NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ
  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic naruto] Sasusaku ตัวตึง

    ลำดับตอนที่ #1 : อุจิวะ ซาสึเกะ

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 67


    อุจิวะ ซาสึเกะ

     

    เด็กชายรุ่นราวคราวสิบปี สวมเพียงกางเกงขาสั้นสีดำ เปลือยเท้าวิ่งลัดเลาะไปตามทิวต้นสนท่ามกลางผืนป่าเวิ้งว้างอยู่บนเกาะขนาดใหญ่ ที่มองยังไงก็ไม่ควรจะมีเด็กน้อยมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้

    ปัง! 

    เสียงกระสุนดังขึ้นหวิดเฉี่ยวใบหูของเด็กชายไปเพียงไรผม ใบหน้าหล่อเหลาผุดไปด้วยเหงื่อเปียกชุ่มได้แต่เหลียวกลับไปมองก่อนหันกลับมามองทางตรงหน้า และยังคงสาวเท้าวิ่งต่อไปในทิศทางยากที่จะคาดเดา 

    ปัง! 

    “อึก!” กระสุนนัดต่อไปเจาะทะลุต้นสนด้านหน้ากลวงเป็นรูเล็ก ๆ จนเห็นแสงรำไรของตะวันโพล้เพล้ยามเย็นส่องลอดสวนมาเข้าตา ขาเล็กเสียหลักสะดุดล้ม แต่ยังดีที่ม้วนตัวออกทางด้านซ้ายหลบกระสุนอีกนัดที่ถูกอีกฝั่งยิงมาได้ทันแบบฉิวเฉียด 

    “ชิตส์! จะฆ่ากันจริง ๆ รึไงอา” เสียงเด็กชายเจ้าของใบหน้าคมคายสบถขึ้น มือเล็กกระชับหูฟังสีดำที่ใช้ใส่ฟังคำสั่งจากคนได้ศักดิ์เป็นอาให้กระชับขึ้น

    “หึ” เสียงทุ้มจากอีกฝั่งตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะกลั้วอยู่ในลำคออย่างชอบใจ ดวงตาสีนิลขึ้นริ้วรอยจับจ้องร่างของเด็กชายผ่านเลนส์ส่องจากปืนไกล ก่อนผละออกจากเลนส์กล้องด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลอุจิวะกำลังใช้ดวงตาสีนิลคู่คมจับจ้องมายังทิศทางเดียวกันกับที่เขาเล็งอยู่ คิ้วเรียวของคนอายุเยอะกว่าขมวดเข้าหากันน้อย ๆ ก่อนผุดรอยยิ้มขึ้นมุมปาก 

    ไอ้เด็กคนนี้ มันอ่านทิศปืนไกลได้เพียงแค่ดูรอยกระสุนงั้นหรอ มันจะดวงเพชฆาตเกินไปมั้ยล่ะนั่น 

    “พอแค่นี้ พรุ่งนี้จะให้ชิซุยเริ่มสอนยิงปืน” เสียงทุ้มว่า เด็กชายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เนื่องจากเขาโดนคนมีศักดิ์เป็น อา ไล่บี้ด้วยปืนไกลมาทั้งคืนตั้งแต่เมื่อวาน การฝึกครั้งนี้ว่าด้วยเรื่องความอดทนกับแรงกดดัน และความอดทนของร่างกายเมื่อต้องอยู่ในสภาวะที่ต้องหนีตายตลอดเวลา นับว่าเด็กชายทำได้ดีเลยทีเดียว 

     

    อุจิวะ ซาสึเกะ ลูกชายคนสุดท้องของตระกูลอุจิวะ มีลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวไล่กัน ห่างกันสามปี คือ อุจิวะ โอบิโตะ และอีกคนห่างกันห้าปี คือ อุจิวะ อินดรา ในตระกูลของเขามี อุจิวะ มาดาระ ได้ศักดิ์เป็นอา ทำหน้าที่ผู้นำตระกูล แทนพ่อของเขา อุจิวะ ฟุงาคุ นอกจากนี้เขายังมีพี่ชายแท้ ๆ คือ อุจิวะ อิทาจิ และอีกหนึ่งที่นับถือเป็นพี่ชาย คือ อุจิวะ ชิชุย 

    ที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทุกคนล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนให้กลายเป็นมัจจุราชร้ายทั้งสิ้น เหตุผลคือ เพื่อปกป้องคนในตระกูล เซ็นจู เล่ามาแล้วก็ย้อนความไปในอดีต ตระกูลอุจิวะแต่เก่าแต่ก่อนมาดูแลตระกูลเซ็นจูมาช้านาน ด้วยครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว อุจิวะปั้นหน่วยรบพิเศษซึ่งเป็นกำลังสำคัญในกองทหารส่งให้กับรัฐบาล ทางผู้นำจึงเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งขององกรณ์หากผนวกร่วมกับตระกูลอุจิวะได้ จึงมีการเจรจาถึงแผนการชั่วของหน่วยงานให้ผู้นำตระกูลฟัง 

    ซึ่งแน่นอนว่าทางเราไม่เห็นด้วย และยังยืนหยัดเป็นฝ่ายคัดค้าน ส่งผลให้ทางรัฐบาลไม่พอใจที่การเจรจาล้มเหลว ความลับของทางรัฐก็รั่วไหลออกไปด้วย เป็นเหตุให้เกิดโศกอนาตกรรม โดนฆ่าล้างเกือบทั้งตระกูล แต่ในความสิ้นหวังอันดำมืดยังมีแสงสว่างริบหรี่ชี้นำทางรอด โชคยังดีที่ตระกูลเซ็นจูกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย อุจิวะถือการช่วยเหลือเป็นบุญคุณครั้งใหญ่ที่ไม่อาจทดแทนได้ นับแต่นั้นมาจึงปฏิญานตัวเป็นคนของตระกูลเซ็นจูจนกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขจะสูญสิ้น

     

     

     

    คฤหาสน์ตระกูลเซ็นจู

    “ซาสึเกะมาแล้ว!” เสียงเด็กหญิงตัวน้อยวัยห้าขวบดีใจร่า ใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มกว้างจนตาหยี มือเล็กข้างหนึ่งถือขวดนมที่กินไปได้ครึ่งขวด มืออีกข้างกอดรัดตุ๊กตาหมีสีขาวคู่ใจ ที่ซาสึเกะเป็นคนปาลูกโป่งให้จากงานเทศกาล เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยวิ่งดุ๊กดิ๊กมารับเขาทั้งอย่างนั้น มือเล็กปล่อยของพะรุงพะรังในมือทิ้ง เปลี่ยนเป็นอ้าแขนวิ่งเข้าไปสวมกอดรอบเอวของเด็กชายด้วยความดีใจ

    มือเล็กเต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนจากกิ่งหนามยอดไม้ของเด็กชายเอื้อมไปลูบเรือนผมสีดอกซากุระที่ยาวลงมาประบ่าอย่างเอ็นดู ดวงตาสีนิลคู่คมมองดูเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มไร้เดียงสาออดอ้อนเขา ถึงแม้ใบหน้าของเด็กชายจะเรียบเฉย หากแต่เเววตาของเขากลับอบอุ่นและอ่อนโยนทุกครั้งยามมองมาที่เจ้าตัวเล็ก

    “กลับมาแล้วหรอซาสึเกะ เหนื่อยมั้ยลูก แม่ทำข้าวปั้นของโปรดไว้เยอะแยะเลย ห่อไว้เผื่อไปฝากมิโกโตะกับพวกอิทาจิด้วย งั้นฝากดู ซากุระ แป๊บนึงนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ไปเอาของมาให้” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น ใบหน้าหวานขึ้นริ้วรอยน้อย ๆ ไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอดูจืดจางลงไปเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มเอ็นดูถูกส่งมาให้เด็กชายเช่นเคยเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เซ็นจู เมบูกิ ภรรยาของ เซ็นจู คิซาชิ ทั้งคู่ให้กำเนิดลูกสาวคนเดียว คือ เซ็นจู ซากุระ 

    เมบูกินั้นรักซาสึเกะเหมือนดั่งลูกแท้ ๆ อีกคน ด้วยเห็นและได้ช่วยเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ช่วงที่ซาสึเกะยังอยู่ในท้องของมิโกโตะ เธอถึงกับออกปากขอมิโกโตะว่าหลังคลอดแล้วให้เธอได้ช่วยเลี้ยงซาสึเกะด้วย เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจเลยที่ซาสึเกะเองก็รักและนับถือเมบูกิเหมือนแม่แท้ ๆ อีกคนเช่นกัน

    “ซาสึเกะไม่มีอะไรมาฝากเลยหรอ” แขนเล็กปล่อยออก เจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่งผละถอยมายืนทำหน้าหงอย พวงแก้มใส ๆ ขึ้นสีเลือดฝาดด้วยไปวิ่งเล่นซนจนเหนื่อยมา

    “หึ ไม่มี” เด็กชายหัวเราะในลำคอ พลางย่อตัวลงไปนั่งเทียบระดับเดียวกันกับเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะแกล้งบอกเธอไปด้วยความหมันเขี้ยวอยากเห็นใบหน้าน่ารักของเด็กหญิงเวลาแง่งอน 

    “ทำไมถึงไม่มี” เสียงใสเอ่ยถามห้วน ๆ แขนเล็กยกขึ้นกอดอกอย่างขัดใจ ใบหน้าน่ารักทำแก้มป่องหันหนีไปอีกทาง 

    “ก็ไม่มี” เจ้าตัวเล็กหน้าบูดหันหนีไปอีกทาง ดวงตาสีแมกไม้กลมโตรื้นไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางสีชมพูเม้มเข้าหากันอย่างแง่งอน พยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ 

    “หึ ๆ จะไม่มีได้ยังไงล่ะ ทวงเช้าทวงเย็นเป็นเงาแค้นขนาดนี้” เด็กชายหัวเราะในลำคอ มือเล็กหยิบเอามงกุฎดอกหญ้าแห้งที่สานเองกับมือออกมาจากกระเป๋าเป้ เรียกความสนใจให้เจ้าก้อนแป้งหันมายิ้มตาหยีด้วยความดีใจ

    เขาจำได้ว่าเด็กน้อยอยากได้เจ้าสิ่งนี้มากแค่ไหน ทุกครั้งที่เขาสะพายกระเป๋าออกไปฝึกกับพวกมาดาระ เด็กน้อยมักจะขอให้เขานำบางสิ่งบางอย่างในป่ากลับออกมาฝากทุกที ครั้งก่อนก็ได้ต้นบอกซ์วูดมาทำบอนไซเอาไว้จัดสวนถาดให้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะชอบและดีใจเอามาก ๆ เสียด้วย

    มือเล็กของเด็กชายเต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วนจากการฝึกฝน เอื้อมมาวางมงกุฎดอกไม้ที่สานขึ้นเองกับมือลงบนหัวทุยของเจ้าก้อนแป้งอย่างเอ็นดู ถึงใบหน้าคมคายของเด็กชายจะดูเรียบเฉย แต่ในใจนั้นกลับตรงกันข้าม 

    “เหมือนเจ้าหญิงเลย” เด็กชายว่า มือวางทาบลงลูบหัวทุยขอฃเจ้าตัวเล็กเบา ๆ 

    “เจ้าหญิงงั้นหรอ” เจ้าตัวเล็กเปลี่ยสีหน้ายิ้มแย้มมาเป็นสงสัย ดวงตาสีแมกไม้กลมโตเหลือบขึ้นมองบน ก่อนยกนิ้วมือเล็กขึ้นมาจิ้มที่มุมปากตนเองทำท่าครุ่นคิด ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ 

    “นี่เจ้า! กล้าดียังไง ไม่มีขนมมาฝากข้า!” ใบหน้าน่ารัก ขมวดคิ้วมุ่นบึ้งตึง นิ้วเล็กชี้ไปยังคนตัวสูงกว่า ก่อนชักมือกลับมากอดอกสะบัดหน้าหนี 

    “หึ ๆ ข้าผิดไปแล้วขอรับ องค์หญิงจะให้ข้าชดใช้ยังไงก็ได้ขอรับ อย่าลงโทษข้าเลย” เด็กชายว่าขึ้นเล่นกับเธอไปตามน้ำเหมือนทุกครั้ง 

    “ไม่ได้! คนทำผิดจะต้องได้รับโทษ!” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งดุ๊กดิ๊กไปเอาค้อนของเล่นมาวิ่งไล่ตีเด็กชาย 

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ขาเล็กสาวเท้าวิ่งตามเด็กชายอย่างสนุกสนาน ซาสึเกะเองก็ผ่อนให้เธอตีโดนบ้างไม่โดนบ้าง ให้เด็กมันได้ใจ เสียงหัวเราะ วิ่งไล่คุมกันดังเจื้อยแจ้วไปทั่วบ้านฟังดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น

    “เด็ก ๆ ระวังล้มนะ” เสียงตะโกนไล่หลังจากเมบูกิดังมาแว่ว ๆ แต่มีหรือที่เด็กน้อยจะสนใจ คนเป็นแม่นำห่อเบนโตะที่เตรียมไว้ถึงสี่ห่อวางเรียงซ้อนกัน ก่อนนึกขึ้นได้วางลืมสตอร์วเบอร์รี่ที่เพิ่งไปอุดหนุนชาวสวนแถวนี้มาใส่ถุงเพิ่มอีกสองกล่อง

    “ทำอะไรครับ” แขนแกร่งจากคนเป็นสามีโอบเอวมาจากทางด้านหลัง เมบูกิได้แต่เอี้ยวตัวไปมอง เซ็นจู คิซาชิ ค้อน ๆ ด้วยกลัวว่าเด็ก ๆ จะมาเห็นเอาได้ 

    “ห่อข้าวให้ซาสึเกะน่ะค่ะ” เธอตอบก่อนผละออกจากอกผู้เป็นสามี มือเล็กเอื้อมไปจัดแจงปกเสื้อให้เข้าที่

    “ดูซิเนี่ยโตจนลูกหนึ่งแล้วก็ยังเป็นเหมือนตอนหนุ่ม ๆ ไม่เปลี่ยน” เสียงบ่นพึมพำเงียบลงกะทันหัน เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้าก่อนออกไปทำงาน เธอเป็นคนผูกไทด์กับจัดคอเสื้อให้สามี

    “ก็เพราะมีคุณคอยทำให้แบบนี้ ผมก็ได้ใจสิครับ” เสียงทุ้มจากชายวัยกลางคนเอยกลั้วหัวเราะ ดูเหมือนวันนี้เขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มือหนายกขึ้นลูบศรีษะทุยของภรรยาอย่างอ่อนโยน ก่อนร่างสูงจะปลีกตัวเดินขึ้นห้องไป 

    “ข้าบอกให้หยุดไง!” เสียงใสของเด็กหญิงเจ้าของเรือนผมสีดอกซากุระดังเจื้อยแจ้ว เรียกความสนใจให้ผู้เป็นแม่หันกลับไปมองดังก่อนหน้า 

    “อ๊ะ! โอ๊ย!” เสียงเด็กหญิงร้องลั่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด เรียกให้เด็กชายหยุดและหันกลับไปมองด้านหลังทันที 

    “เป็นอะไรมั้ย” ซาสึเกะวิ่งเข้าไปนั่งเทียบข้างเด็กหญิงตัวน้อย มือเล็กของเด็กชายเอื้อมไปคว้าพลิกข้อเท้าและขาน้อยของเด็กหญิงไปมา 

    “ฮื้อ เจ็บ ฮึก ฮื้อ” เด็กหญิงเบ้ปากร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ 

    “โอ๋ ๆ ไม่น่าชวนวิ่งเลย” เด็กชายช้อนตัวเด็กหญิงขึ้นมาอุ้มตบก้นปลอบทั้งที่เธอยังร้องไห้อยู่แบบนั้น ใบหน้าน่ารักอาบไปด้วยหยาดน้ำตาซบลงบนไหล่พลางยกแขนเล็กกอดรอบคอเด็กชายไว้แน่น   

    “ฮื้อ”  

    “โอ๋ ๆ จุ๊ จุ๊ ชู่ววส์” เด็กชายโอ๋พลางโยกตัวไปมา 

    “ไหนแม่ดูซิ” เสียงของผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น ตามมาด้วยร่างบางยืนเทียบเคียงเด็กชาย ดวงตาของเธอจ้องมองการกระทำของเด็กชายอย่างอ่อนโยน แขนเล็กของผู้เป็นแม่อ้ารับเป็นเชิงให้ซาสึเกะส่งซากุระมา 

    “ฮึก ฮื้อ” แต่ทว่าเด็กน้อยกลับเงยหน้าขึ้นมามองและยังคนซบลงร้องไห้ กอดคอซาสึเกะไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

    “แหนะ เด็กคนนี้นี่” เมบูกิเอ็นดูท่าทีขี้อ้อนของลูกสาว เธอรู้ทันเด็กน้อย ว่าไม่อยากมากับเธอ แต่อยากให้ซาสึเกะเป็นคนโอ๋มากกว่า

    “มาหาแม่เถอะ พี่ซาสึเกะเขาหนัก” คนเป็นแม่ยังคงไม่ละความพยายาม

    “ฮึก ไม่เอาค่ะ ซาสึเกะกอดนะกอด ฮื้อ” มือเล็กตีไหล่เด็กชายขอให้กอดตนอย่างเอาแต่ใจ พร้อมทั้งยังส่งเสียงร้องไห้งอแงอยู่แบบนั้น

    “ไม่เป็นไรครับ ตัวแค่นี้ไม่หนักหรอก” มือเล็กของเด็กชายกระชับกอดแน่นขึ้นพลางเลื่อนขึ้นมาลูบหลังปลอบประโลมเด็กน้อย 

    “มาหาแม่เถอะ พี่เขาจะได้กลับไปพักผ่อน”

    “ซาสึเกะไม่กลับหรอก ฮึก” เด็กน้อยเถียง

    “แนะ” เมบูกิถึงกับเหวอ เมื่อเจอลูกทำท่าทีว่าจะไม่เอาตน 

    “หึ” เสียงเด็กชายหัวเราะในลำคอ

    “คุณมาดาระฝึกให้ใกล้จบยังลูก” มิโกโตะเลิกสนใจลูกสาวขี้แง เปลี่ยนหันมาคุยกับซาสึเกะแทน

    “ยังหรอกครับ พรุ่งนี้จะเริ่มให้ลองใช้ไรเฟิลแล้ว แต่เห็นชิซุยบอกว่าอยู่ฝึกที่นี่อีกเดือนนึง แล้วต้องย้ายไปซัลวาดอร์สักพักครับ” ซาสึเกะวางเด็กน้อยลง แต่ยังคงให้เธอจับมือยืนข้าง ๆ อยู่แบบนั้น

    “โห บราซิลเลยหรอ ทำไมคราวนี้ให้ไปไกลจังนะ แล้วจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ล่ะนั่น” 

    “คงจะมีงานให้ลองจริง ๆ น่ะครับ เลยต้องไปที่นั่น” เด็กชายเหลือบมองเด็กหญิงตัวน้อยที่แกว่งมือเขาเล่นไปมา 

    “แบบนี้แม่กับซากุระคิดถึงแย่เลย” มิโกโตะว่าพลันมีสีหน้าเศร้าลง

    “ซาสึเกะจะไปไหนหรอ” ดวงตาสีแมกไม้กลมโตจ้องมองเด็กชายสลับกับมารดาไปมาพร้อมเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

    “ยังไม่ได้ไปไหนหรอก” เด็กชายว่า ด้วยรู้ถ้าบอกความจริงไป ซากุระจะต้องร้องไห้งอแงขอตามเขาไปด้วยทุกวันแน่ ๆ รอไปบอกตอนวันจะไปทีเดียวเลยดีกว่า



     คฤหาสน์ตระกูลอุจิวะ 

      “จะไหวรึเปล่า ไม่ฝึกให้มันขึ้นลำปืนเป็นก่อนค่อยเอาไปด้วย” เสียงทุ้มของชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ กล่าว เรือนผมยาวสีนิลที่ถูกมัดรวบไว้กลางหลังหลวม ๆ แต่ถึงแบบนั้นไม่ได้กลบเกลื่อนความหล่อเหลาบนใบหน้าคมคายของเจ้าตัวให้ดูดีลดลงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีนิลคู่คมจดจ้องไปยังโต๊ะทำงานที่คนได้ศักดิ์เป็นอากำลังกางแผนที่ใช้ปากกาหมึกดำขีด ๆ เขียน ๆ อะไรบางอย่างลงไปโดยไม่ได้สนใจเงยหน้ามามองเขาแม้แต่น้อย

       “หึ ไม่ต้องห่วงมันหรอก ไปกับกูกับอินดรา เด็กมันมีของ ไม่เป็นไรหรอก” ดวงตาสีนิลคู่คมแต้มริ้วรอยน้อย ๆ หรี่ยิ้มชอบใจทั้งยังขีด ๆ เขียน ๆ อยู่แบบนั้น มาดาระรู้อยู่เต็มอกว่าอิทาจิเป็นห่วงซาสึเกะมากแค่ไหน อย่าลืมเขาก็เป็นคนเอาอิทาจิไปฝึกเหมือนซาสึเกะช่วงวัยเท่า ๆ กัน แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ

        “...” อิทาจิได้แต่ยืนถอนหายใจยาว ๆ ออกมาอย่างลืมตัว เขาไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิดกับคำพูดของมาดาระ ถึงจะอยากตามไป แต่ดันติดงานใหญ่ แถมเลี่ยงไม่อีก ยังไง ๆ สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมให้ไปสินะ หัวอกคนพี่มันปั่นป่วนจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ตรงนี้

     “เอาน่า กูบอกว่าไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไรสิวะ อย่าคิดมาก” มือหนาวางปากกา ปิดปกเอกสารเล่มหนาลง ใบหน้ามีอายุแต่ยังคงความหล่อเหลาของเขาหันมาบอกให้คนเป็นพี่ชายสบายใจ ร่างสูงลุกยืนขึ้นเดินไปตบไหล่ของชายหนุ่มพร้อมเดินออกจากห้องไป 

    หลังจากวันนั้น ซาสึเกะถูกพาไปฝึกใช้ปืนไรเฟิลอยู่บนเกาะ ควบคุมโดยชิซุยกับมาดาระ แม้จะไม่มีพื้นฐานใช้ปืนมาก่อน แต่ครั้งแรกของเขานั้นก็ทำเอาคนเป็นหัวตระกูลอึ้งไปเลยทีเดียว นัดแรกของคนไม่เคยลั่นไกมาก่อน เจาะเข้ากลางเป้าที่ทำมาร์คเพียงจุดดินสอจิ้ม ไม่เบี่ยง ไม่เอียง ไม่เฉ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต้องคิดว่าเด็กชายฟลุ๊คยิงได้ แต่เปล่าเลย ชิซุยตั้งเป้ามาร์คจุดดินสอแบบเดิมใหม่ เปลี่ยนทั้งองศาแหงนปืน เปลี่ยนมุมเงย แต่ซาสึเกะก็ยิงเข้าจุดมาร์คได้อย่างแม่นยำทุกเป้า ทำเอามาดาระกับชิซุยถึงขั้นออกปากชม

    "กว่ากูจะทำได้แบบมันกูฝึกเป็นเดือน ๆ กูบอกแล้วเด็กมันมีของ" มาดาระว่า

    ตลอดการฝึกของเขาก็ไม่ได้เหงาอะไรมาก เพราะมีโอบิโตะมาฝึกเป็นเพื่อน ถึงแม้โอบิโตะจะฝึกมาก่อน แต่ฝั่งนั้นก็ยอมรับว่าซาสึเกะมีพรสวรรค์จริง ๆ เพราะกว่าโอบิโตะจะทำได้แบบเขา เขาฝึกมานานมาก หลายเดือนเลยทีเดียวกว่ามือจะนิ่ง ยอมรับเลยว่าหมอนี่ของจริง 

    นอกนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่กินในป่า โดยมีกฎว่าทั้งสองห้ามช่วยเหลือหาของกินแบ่งกัน แรก ๆ ก็ลำบาก หาของป่ากินเองมันก็ยากอยู่สำหรับเด็กแบบเขา พอเข้าอาทิตย์หลัง ๆ ก็เริ่มจะชิน หาได้ก็กิน ไม่ได้ก็อดเอา จะว่าไปมันก็ฟังดูโหดร้ายสำหรับเด็กชายคนนึงอยู่ไม่น้อย

    หิวก็ต้องทน

    เหนื่อยก็ต้องทน

    อยากกลับบ้านแค่ไหนก็ต้องทน

    ไม่มีคำปลอบโยน

    ไม่มีการปลอบใจ 

    ไม่มีการช่วยเหลือใด ๆ

     ถ้าไม่ช่วยตัวเองแล้วใครจะช่วยมึงได้ 

    คำพูดของมาดาระที่สอนอุจิวะมารุ่นต่อรุ่น มันก็จริงอย่างเขาว่า ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง แล้วใครหน้าไหนมันจะมาช่วยเราได้ จะช่วยคนอื่น ตัวเองต้องรอด รู้ว่าเสี่ยงให้รีบถอย รู้ว่าไม่ได้ ก็คือไม่ได้ อย่าฝืน ไม่งั้นมันจะเข้าเนื้อมึงเอง 




    คฤหาสน์ตระกูลเซ็นจู

    “น่าสงสารจังเลย เจ้าแมวน้อย ฮึก” เสียงเล็กของเด็กหญิงตัวน้อยในชุดเดรสสีชมพู ดวงตาสีแมกไม้กลมโตรื้นไปด้วยน้ำตา จดจ้องไปยังร่างผอมโซนอนนิ่งของแมวจรสีสลิดตัวหนึ่งนอกรั้วบ้าน มึงเล็กข้างหนึ่งยกหลังแขนขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ ขาเล็กของเด็กน้อยก้าววิ่งต้อย ๆ ไปยังรั้วประตูบ้าน ก่อนทรุดนั่งลงเกาะขอบรั้วกั้น มือเล็กอีกข้างถือขวดนมที่กินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ยื่นออกมานอกรั้วบ้าน 

    "แมวน้อย ตื่นมากินนมสิ จะได้แข็งแรงนะ ฮึก ฮื้อ" เด็กน้อยเจ้าของเรือนผมสีดอกซากุระยังคงพร่ำเรียกให้ร่างนั้นตื่นขึ้นมา 

    "แมวน้อย ทำไมถึงไม่ตื่นล่ะ ไม่หิวหรอ อยากนอนหรอ ฮึก" เด็กน้อยยังคงเรียกให้มันตื่น ด้วยความเดียงสา ทำให้เธอไม่รู้ว่า แมวน้อย ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบแล้ว 

    ตึก ตึก

    ดวงตาสีแมกไม้หยุดมองรองเท้าคุ้นเคยที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เด็กชายในเสื้อยืดคอกลมสีดำเช่นเดียวกับกางเกงขายาว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

    "ซาสึเกะ" ใบหน้าน่ารักยิ้มออกเมื่อเห็นคนมาเยือน เด็กน้อยลุกยืนขึ้นกระโดดดีใจใหญ่

    "ซาสึเกะช่วยน้องแมวด้วย เป็นอะไรไม่รู้ เรียกไม่ยอมตื่นเลย ฮึก" เสียงเล็กพูดไปสะอื้นไป ดวงตาสีนิลคู่คมได้แต่มองลงมายังร่างไร้วิญญาณของแมวจรตัวนั้น ก่อนจะทรุดลงนั่งย่อเข่าเท้าพื้นลงไปดู

    "มันตายแล้ว" นิ้วเรียววางทาบในตำแหน่งหัวใจเพื่อคลำหาชีพจร ก่อนบอกความจริงกับเด็กน้อยไป

    "ตายแล้วจะตื่นตอนไหน ฮึก" เธอถามออกไปด้วยความไร้เดียงสา

    "ตาย คือ ไม่ตื่นแล้ว ไม่ฟื้นแล้ว" เขาอธิบาย 

    "ซาสึเกะก็ปลุกสิ" 

    "ปลุกก็ไม่ตื่นหรอก เพราะมันตาย" เด็กชายว่า ดวงตาสีนิลคู่คมยังคงเรียบเฉย ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่ยังเด็กของเขาแหงนขึ้นมองร่างเล็กที่เกาะรั้งประตูบ้านทั้งน้ำตา

    "ฮึก น่าสงสารจังเลย" เด็กน้อยเหมือนจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เด็กชายพูด เธอจึงได้แต่ร้องไห้ออกมา เด็กชายเองก็ไม่ได้พูดอะไร ทำได้เพียงอุ้มร่างไร้วิญญาณเข้ามาในบ้าน 

    "มาส่งให้มันไปสบายกัน" เด็กชายว่า ก่อนเดินนำเด็กหญิงไปทางสวนหลังบ้าน เขาเข้าไปในห้องเก็บเครื่องมือช่างก่อนหาพลั่วมาขุดหลุมไม่กว้างเท่าใดแต่ลึกพอสมควร ส่วนเด็กหญิฃก็ได้แต่นั่งกอดขวดนม พร้อมกับลูบขนของร่างไร้วิญญาณนั้น 

    "ทำไมถึงต้องตายด้วย ฮึก" 

    "ไม่ใช่แค่แมวหรอกนะ คนเราเอง ก็ต้องตายเหมือนกัน" เด็กชายอธิบาย

    "ซาสึเกะก็ต้องตายด้วยหรอ" เด็กน้อยถามด้วยความตกใจ

    "ใช่"

    "ไม่เอานะ! ไม่ให้ตาย! ซาสึเกะห้ามตาย!" 

    "หึ ๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะตายวันไหน แต่ที่แน่ ๆ ยังไงก็ต้องตาย"

    "ฮึก ไม่เอา ถ้าซาสึเกะตาย ก็หมายความว่าซาสึเกะจะไม่ตื่นมาเล่นด้วยกันเลยสิ" 

    "หึ ๆ ก็เป็นผีมาเล่นด้วย เอามั้ยล่ะ"

    "ไม่เอา กลัวผี!"

    "จะตายได้ยังไง ฉันต้องอยู่ปกป้องเด็กน้อยไปอีกนาน" มือเล็กของเด็กชายเอื้อมมาลูบเรือนผมสีดอกซากุระของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู 

    "จริงนะ!" เสียงเล็กตะโกนอย่างดีใจ ก่อนแขนเล็กจะเอื้อมไปกอดต้นขาของเด็กชายอย่างออดอ้อน

    "มาเถอะ มาส่งแมวตัวนี้กลับสวรรค์กัน" 

    "อื้อ"





    "ไปทำอะไรกันมาเด็ก ๆ" เมบูกิที่นั่งปอกลูกแพร์หันมามองลูกสาวกับเด็กชายที่เดินเข้ามาในบ้าน เจ้าก้อนซาลาเปาวิ่งถือขวดนมดุ๊กดิ๊กไปกอดซบลงบนตัดคนเป็นแม่ 

    "น้องแมวตายค่ะคุณแม่" ดวงตากลมโตแดงก่ำช้อนมองใบหน้างามของผู้เป็นมารดา 

    "แมวที่ไหนลูก"

    "แมวจรน่ะครับ" 

    "ซาสึเกะส่งน้องกลับสวรรค์แล้วค่ะ น้องนอนอยู่หลังบ้าน" มือเล็กชีไปทางทิศที่เธอกับเขสช่วยกันฝังร่างไร้วิญญาณของแมวน้อยไว้ เมบูกิได้แต่มองตามการกระทำของลูกน้อยด้วยความสงสาร

    "โมอิ พาซากุระไปอาบน้ำไป" เธอหันไปบอกกับแม่บ้านคนสนิทที่ช่วยเธอนั่งปอกลูกแพร์ ก่อนหันกลับไปยิ้มให้กับเด็กชาย

    "ค่ะ" แม่บ้านรับคำ ก่อนวางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วเดินอ้อมมาจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยไป

    "อามาดาระบอกว่า จะพาเดินทางหัวค่ำนี้ครับ" เด็กชายว่าเสียงแผ่ว 

    "ซาสึเกะจะไปไหน!" เด็กหญิงตัวเล็กที่เดินไปยังไม่ทันพ้นห้องนั่งเล่น หันกลับมาถามทันควัน

    "ซากุระ ไปอาบน้ำให้เสร็จก่อน ค่อยมาหาพี่เค้า" 

    "ไม่เอาค่ะ ซาสึเกะจะไปไหน" เด็กน้อยปล่อยมือแม่บ้านก่อนวิ่งถือขวดนมดุ๊กดิ๊กกลับมาหาเด็กชาย 

    "ต้องไปเมืองนอกหน่ะ" ตัวเด็กชายเองก็ยอมบอกแต่โดยดี นี่คงถึงเวลาอันสมควรแล้วที่ต้องบอก 

    "ไปทำไมล่ะ แล้วไปด้วยได้มั้ย" เด็กญิงถาม ท่าทางไม่พอใจก็เธอทำเอาเด็กชายนึกขำขึ้นมาในใจ

    "ไม่ได้หรอก แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาตอนไหน" เขาว่า พลางย่อตัวลงไปนั่งเทียบเด็กหญิง

    "อยู่บ้านต้องเป็นเด็กดีของแม่นะ อย่าดื้อ" มือเล็กเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากกิ่งไม้ใบหญ้าบาดจากการฝึกฝนเอื้อมไปลูบเรือนผมสีดอกซากุระของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู 

    "ฮึก ซาสึเกะจะไปนานหรอ" ริมฝีปากบางสีชมพูเริ่มคว่ำลง น้ำตาหยดใสจากหัวใจบริสุทธิ์ไหลอาบใบหน้าน่ารัก ถึงจะไม่เข้าใจอะไรแต่ก็รับรู้ได้ว่าเด็กชายจะไม่ได้มาเล่นกับเธออีกนานเลย ซาสึเกะเองได้แต่หันหน้าไปสบตากับเมบูกิ เมบูกิเองก็พยักเพยิดหน้า เป็นเชิงบอกว่าอยากพูดอะไรกับน้องก็พูด

    "ฟังนะ ฉันต้องไปทำให้ตัวเองเก่งขึ้นเพื่อจะได้มาปกป้องเธอไง" มือเล็กยังคงลูบเรือนผมของเจ้าก้อนซาลาเปาอย่างเอ็นดู 

    "ฮึก ไม่ไปไม่ได้หรอ ฮื้อ" แขนเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาป้อย ๆ เมบูกิเองก็ได้แต่มองลูกสาวอย่างสงสาร เธอรู้ว่าซากุระกับซาสึเกะรักกันมาก สองคนโตมาด้วยกัน ซาสึเกะเองก็เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ ๆ ของลูกสาวเธอ 

    "อ้าว ซาสึเกะ มาอยู่นี่เอง อามาดาระกำลังถามหาอยู่เลย" เสียงทุ้มของคนมีศักดิ์เป็นพี่เอ่ยทักขึ้น อุจิวะ ชิซุย พี่ชายต่างพ่อต่างแม่ของซาสึเกะ ตั้งใจจะเดินเข้ามารับงานกับนายที่บ้านใหญ่ เขาหันไปโค้งเคารพให้กับนายหญิงของบ้าน ซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาเป็นการให้เกียรติเช่นกัน

    "อา เก็บของไว้หมดแล้ว อีกเดี๋ยวจะไป" เด็กชายว่า 

    "งั้นกลับพร้อมฉันก็ได้ รอฉันไปรับงานกับนายเดี๋ยวนึง" ร่างสูงในชุดสูทสุภาพติดไทด์สีดำสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดแกะสลักไม้โอ๊คไป 

    ใช้เวลาไม่นาน ชิซุยก็เดินลงบันไดมาพร้อมกัลเอกสารปึกน้อยในมือ ระหว่างนั้นทั้งซาสึเกะกับเมบูกิต่างพยายามปลอบใจเด็กน้อยที่ร้องไห้งอแงจะไม่ยอมให้เขาไปท่าเดียว 

    "คุณหนูครับ เดี๋ยวซาสึเกะมันก็กลับมา คุณหนูรออยู่ที่บ้าน เป็นเด็กดีนะครับ เดี๋ยวผมซื้อของเล่นมาฝาก คุณหนูอยากได้อะไรดีครับ" ชิซุยเดินไปย่อตัวนั่งเท้าเข่าเทียบซาสึเกะ มือหนาเอื้อมไปลูบเรือนผมสีดอกซากุระอย่างเอ็นดู

    "ไม่เอา! อย่าเอาซาสึเกะไปนะ!" เด็กน้อยสะบัดหน้าหนีไม่ยอมให้ชายหนุ่มลูบหัวตนอย่างพยศ ก่อนวิ่งไปกอดคอเด็กชายไว้แน่น เสียงร้องไห้ดังสนั่นไปทั่วบ้าน ขาเล็กพยายามปีนป่ายตักของเด็กชายให้เขาอุ้มอย่างทุกครั้ง 

    ทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้นได้แต่หันมองหน้ากัน สงสารก็สงสาร แต่มันเป็นหน้าที่ แล้วเขาจะทำอะไรได้ อาบอกให้ไปเขาก็ต้องไป 

    "รอฉันก่อนนะ ซากุระ" แขนเล็กของเด็กชายยอมคลายกอดสุดท้ายก่อนมองหน้ากับโมอิพี่เลี้ยงของซากุระ เธอจึงเขามาแกะแขนของเด็กน้อยที่พันธนาการรอบคอของเด็กชายออก พร้อมกับเมบูกิเองก็ช่วยกันดึงตัวเด็กน้อยออกมาจากซาสึเกะอย่างยากลำบาก 

    "ฮึก ซาสึเกะ!" ร่างเล็กดีดดิ้นในอกพี่เลี้ยงอย่างเอาแต่ใจ เสียงเล็กหวีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ด้วยไม่อยากให้เด็กชายจากไป มือเล็กพยายามปัดตีพี่เลี้ยงด้วยแรงที่มี ภาพตรงหน้าทำเอาดวงตาสีนิลคู่คมแดงก่ำ เขาจำใจหันหลังเดินออกมาพร้อมกับชิซุย ทั้งที่หูยังได้ยินเสียงของเด็กน้อยกรีดร้องเรียกชื่อตนซ้ำ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาทำได้เพียงหันกลับมามองอีกครั้ง ดวงตาสีแมกไม้ไร้เดียวสามองมาน่าสงสารสบกับดวงตาสีนิลคู่คมครั้งสุดท้ายทำเอาอีกคนใจบางลงอยู่ไม่น้อย ซาสึเกะได้แต่ยอมตัดใจหันหน้ากลับโดยไม่หันไปมองเธออีก

    ทั้งหมดนี้ มันก็เพื่อเธอนะ ซากุระ



    ซาสึเกะ ชิซุย และมาดาระ ทั้งสามเดินทางมุ่งหน้าข้ามแดนไกลไปยังซัลวาดอร์ การฝึกของเด็กชายวัยเพียงสิบปีเริ่มต้นขึ้น มาดาระให้ซาสึเกะลงหน้างานจริง โดยมีเขาเป็นคนคอยควบคุม และมีชิซุยเป็นไม้สองกันพลาด 

    "จำกฎของการใช้สไนที่กูบอกได้ใช่มั้ย ให้นัดเดียว มั่นใจค่อยลั่น กูจะอ่านระยะกับบอกแรงลมให้" บนยอดตึกสูงตั้งตระหง่านใจกลางเมืองซัลวาดอร์ ด้วยความที่อยู่บนดาดฟ้าลมจึงแรงมาก แต่อริยาบทของเด็กชายก็ยังคงดูเรียบเฉย ราวกับว่าเขานั้นก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด

    กฎการเป็นสไนเปอร์

    ข้อแรก อย่าใจร้อน

    ข้อสอง มั่นใจค่อยลั่น ห้ามยิงมั่ว

    ข้อสาม ขยับให้น้อยที่สุด 

    ข้อสี่ อย่าทำงานคนเดียว

    ข้อห้า หากตำแหน่งถูกเปิดเผยให้รีบถอย อย่าอยู่เป็นเป้านิ่งให้มันสวน


    ซาสึเกะเองจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ครั้งนี้เป้าของเขาเป็นคนจริง ๆ ไม่ใช่เป้านิ่ง หรือเป้าบินโดรนล่อแบบที่เขาเคยฝึกมากับชิซุย ครั้งนี้เขาต้อง ฆ่า คนจริง ๆ 

    "ใจเย็น นี่คืองานของเรา ถึงไม่ฆ่ามัน มันก็จะส่งพวกมาแว้งเราอยู่ดี โตไปมึงต้องเจออีกเยอะกว่านี้" มือหนาของผู้มีศักดิ์เป็นอาตบลงบนบ่าของเด็กชายที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย จนมาดาระเองก็แอบตะหงิดอยู่ในใจว่าไอ้เด็กนี่มันจะเย็นชาไปถึงไหน

    "ขึ้นลำ" เสียงทุ้มออกคำสั่ง เด็กชายวาง AWM ลงบนขาตั้งกล้องอย่างชำนาญ มือเล็กล้วงหยิบกระสุนมาบรรจุลงแม็กกาซีนก่อนประกอบเข้าไปในตัวปืนอย่างคล่องแคล่ว 

    "ระยะ" เขาถามผู้เป็นอาอย่างใจเย็น พลางมองไปยังตึกสูงฝั่งตรงข้ามเกือบเทียบเท่ากับตึกที่เขาอยู่ ชั้นสองนับจากชั้นบนสุดย้อนลงมา ราวกับถูกเปิดเป็นภัตคารหรู ทั้งชั้นมีแต่ผู้ดีมีสกุลแต่ตัวด้วยชุดหรูหรานั่งรับประทานอาหารเป็นโต๊ะ ๆ ห่างกันพอสมควร ถัดไปจากที่นั่งของแขกไม่ไกล มีนักดนตรีอยู่สามผู้กำลังบรรเลงไวโอลินเป็นภาพที่ดูแล้วชวนเพลิดเพลินคารมย์ดียิ่ง

    "ชั้นสองนับจากบนลงล่าง" เสียงทุ้มของคนเป็นอาว่า ดวงตาสีนิลคู่คมขึ้นริ้วรอยน้อย ๆ หรี่มองผ่ากล้องส่องทางไกลบอกคนเป็นหลาน 

    "..." ซาสึเกะหรี่ดวงตาสีนิลคู่คมส่องผ่านสโคป AWM พลางปรับองศาปืนให้ต่ำลงเล็กน้อย 

    "เป้าหมายในชุดสูทดำ เก้านาฬิการิมสุด นับย้อนเข้าไป มันอยู่โต๊ะที่สอง" มาดาระระบุรูปประพันธ์สันฐานของเป้าหมายให้เด็กชายฟังอย่างละเอียด ซึ่งทุกครั้งที่พวกเขารับงาน จะมีการชี้หัวของเหยื่อทุกคนมาก่อนลงหน้างานจริงอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่เคยมีอุบัติการณ์ระบุผิดตัวเกิดขึ้นกับการทำงานของอุจิวะเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    "คนยกแก้ว หรือคนกำลังจะยืน" ซาสึเกะถาม

    "คนกำลังจะยืน" มาดาระตอบดวงตาสีนิลหรี่ลง มือเล็กเอื้อมปรับสโคปก่อนพยักหน้ารับ

    "เห็นแล้ว"

    "ความเร็วลมสามส่วนสี่ อุณหภูมิ ความชื้นลงตัว" มาดาระแหงนมองเสาธงบนป้ายโฆษณาของตึกฝั่งตรงข้าม ก่อนอ่านทิศลม นิ้วชี้เลื่อนเข้ามาในตำแหน่งเตรียมลั่นไก 

    "รอก่อน เป้าไม่นิ่ง"

    ปัง!

    มาดาระห้ามแต่ทว่าก็ไม่ทัน เด็กชายลั่นไกออกไป จนสันปืนดีดกลับอย่างแรง โชคดีที่เขาคุ้นชินจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร กระสุนเจาะเข้ากลางกระจกใสที่ใช้มองวิว ทะลุเข้าขมับข้าง ร่างของเป้าหมายทรุดหงายลงกับพื้น 

    "เชี่ย" ชิซุยที่ซุ่มเล็งอยู่บนยอดตึกสูงข้าง ๆ สบถออกมาอย่างตกใจ มาดาระเองก็ยังตะลึงในความแม่นยำของเด็กชาย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย มือเล็กไล่ถอดส่วนประกอบของปืนออกอย่างชำนาญ จัดเก็บลงกระเป๋าเป้พร้อมสะพาย ใบหน้าเรียบเฉยไรซึ่งการตื่นตระหนกตกใจใด ๆ ทั้งที่ครั้งนี้เป็นการฆ่าคนครั้งแรก ทำเอาคนเป็นอารู้สึกใจหาย เริ่มกลัวว่ามันจะมีปัญหาทางสุขภาพจิต เพราะตั้งแต่เขสสอนอุจิวะมา ไม่มีใครเย็นชาแบบเด็กคนนี้ ขนาดอิทาจิ ครั้งแรกยังมีน้ำตาร่วง แม้แต่ชิซุยเองก็ยังมือสั่นเสียสูญเล็งเป้าพลาดไปเป็นอาทิตย์ 

    "ไป ลงไปจากที่นี่ก่อน" มาดาระว่า ก่อนพาเด็กชายเดินลงบันไดหนีไฟลงไปจากตึก 


    ห้าปีผ่านไป 

    "มึง ว่ายังไงนะ" 

    "อือ คุณหญิงเมบูกิหน่ะ ท่านเสียแล้ว" 

    "..." 

    สิ้นเสียงสนทนา ราวกับว่าคนแอบฟังอยู่นอกประตูนั้นหูดับจนอื้ออึงไปหมด เด็กหนุ่มที่เผลอเข้ามาได้ยินบทสนทนาของผู้เป็นอากับพี่ชายภายในห้องทำงานที่อาเขาซื้อไว้กกด่านที่ซัลวาดอร์ หันหลังพิงประตูด้วยใจที่แหลกสลาย ดวงตาสีนิลคู่คมแดงก่ำราวกับว่าเจ้าตัวกำลังสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาแตกออกมา 

    และนั่นเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่เขาได้กลับโตเกียว งานทั้งหมดที่นายสั่งถูกระงับ อุจิวะทั้งตระกูลต่างกลับคืนถิ่นเพื่อมาร่วมส่งนายหญิงของบ้านครั้งสุดท้าย 

    ร่างสูงในชุดสูทดำผูกไทด์สุภาพลงจากรถเดินไปสมทบด้านหลังพิธีที่จัดขึ้นกลางสุสานเงียบ ๆ ใบหน้าหล่อเหล่า กวาดดวงตาคู่คมมองหาใครบางคนที่ไม่ได้เจอนานหลายปี 

    "ซาสึเกะ" เสียงคนมีศักดิ์เป็นแม่เรียกเขาเบา ๆ ร่างบางในชุดเดรสสุภาพสีดำเดินเลี่ยงแขกอ้อมมาทางด้านหลังอย่างสุภาพ ก่อนร่างบางเข้ามาสวมกอดลูกชายคนเล็กของบ้านที่ไม่ได้เห็นกันนาน 

    "ฮึก" แขนแกร่งกอดรัดรอบตัวผู้เป็นแม่ด้วยความคิดถึง หลังไม่ได้เจอกันนานห้าปีเขาโตเป็นหนุ่มตัวสูงใหญ่กว่าคนเป็นแม่ไปมาก มือเล็กลูบไปตามกรอบหน้าคม ดวงตาห่วงใยของผู้เป็นแม่กวาดมองเขาอย่างภาคภูมิใจ

    "โตเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้วหรอ ฮึก" อุจิวะ มิโกโตะ มารดาผู้ให้กำเนิดแท้ ๆ ของเขาว่า

    "คุณเมบูกิ ฮึก" 

    "อา รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว" เขาขัด เพราะไม่อยากฟังให้มันช้ำใจเป็นครั้งที่สอง ดวงตาสีนิลคู่คมเริ่มแดงก่ำอีกครั้ง ทำได้เพียงขบฟันจนสันกรามขึ้นชัดบนกรอบหน้าคม สัญญากับตัวเองไว้แช้วว่าจะไม่ร้องไห้ เขาจะต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นตัวแทนของเมบุกิปกป้องซากุระต่อไป

    "ดอกไม้ค่ะ" เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีชาดวัยแรกรุ่นในชุดเดรสสีดำสุภาพ เดินถือถาดดอกกุหลาบสีขาวแจกแขกในงานมาหยุดตรงหน้าสองแม่ลูกด้วยท่าทีเคอะเขิน

    "ขอบใจนะ หนูคาริน" มือเล็กเอื้อมไปหยิบดอกกุหลายสีขาวสะอาดขึ้นมาสองดอก 

    "นี่พี่ซาสึเกะนะ ลูกชายป้าเอง น่าจะห่างจากหนูปีนึง" มิโกโตะแนะนำตัวแทนเขาไปตามมารยาท เด็กสาวได้แต่พยักหน้ารับด้วยท่าทีเคอะเขิน แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้สนใจเธอเลย ดวงตาสีนิลคู่คมยังคงมองผ่านกลุ่มแขกที่มาร่วมงานเพื่อนมองหาคนที่อยากเจอ

    "มองหาน้องอยู่หรอ" ราวกับอ่านใจเด็กหนุ่มได้ มิโกโตะชี้ไปทางมุมขวาสุดใต้ต้นเมเบิ้ลที่กำลังทิ้งใบ มีเด็กหญิงในชุดเดรสดำแขนจั๊มตุ๊กตาทิ้งชายยาวคลุมข้อเท้า เรือนผมสีดอกซากุระเอกลักษณ์ยาวสลวยถูกมัดรวบครึ่งหัวผูกด้วยโบว์สีดำ ยอมรับว่าเธอดูโตขึ้นผิดตาคนไม่ได้เจอนานไม่ต่างจากเขา ดวงตาสีแมกไม้คู่สวยแดงก่ำทั้ง ๆ ที่มองดูจากไกล ๆ ใบหน้าสวยของเด็กหญิงเหม่อลอยราวกับหลุดไปแล้ว ในมือทั้งสองถือกรอบรูปผู้เป็นมารดาไว้แน่น 

    "ขอตัวนะแม่" เขาสะกิดบอกคนเป็นแม่ ก่อนเดินอ้อมไปอีกฝั่งที่เด็กหญิงยืนอยู่ ท่าทีเมินเฉยของเด็กหนุ่มทำเอาเจ้าของเรือนผมสีชาดต้องยิ้มแก้เก้อออกมา




    "ฮึก" เสียงสะอื้นเบา ๆ ดังลอดลำคอออกมาไม่ขาดสาย แขนเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้างามลงมาป้อย ๆ ดวงตาสีแมกไม้คู่สวยหม่นเลื่อนลอย มองดูบาทหลวงทำพิธีกับโลงศพของผู้เป็นมารดา เด็กหญิงปลีกตัวออกมายืนด้านข้างใต้ต้นเมเบิ้ลที่กำลังทิ้งใบให้ร่วงโรย 

    ฟึ่บ

    ดวงตาสีแมกไม้หลุบมองลงต่ำเมื่อมือหนาข้างหนึ่งของใครบางคนยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดตาส่งมาให้ ใบหน้างามได้แต่ช้อนตามองขึ้นไปตามแขนแกร่งของผู้มาเยือนใหม่ 

    "ซาสึเกะ" เด็กหญิงเรียกชื่อเด็กหนุ่มเมื่อจำเขาได้ 

    "ฮึก ซาสึเกะ" ร่างบางรุดเข้าไปกอดคนตัวใหญ่ทั้งยังถือรูปของมารดาคั่นกลางอยู่แบบนั้น

    "ซาสึเกะ คุณแม่ตายแล้ว ฮึก คุณแม่ตายแล้ว" เสียงหวานพร่ำบอกคำเดิมซ้ำ ๆ ทั้งก้อนสะอื้นอย่างน่าสงสาร มือหนาสองข้างได้แต่กอดปลอบลูบหลังเด็กน้อยไปมา ดวงตาสีนิลคู่คมแดงก่ำรื้นไปด้วยน้ำตา หากแต่ว่ายังมีสีหน้าที่เรียบเฉย เขาสงสาร สงสารเธอ ทำไมโลกถึงได้โหดร้ายกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนึงได้ถึงขนาดนี้ 

    "ฮึก ฮื้อ"

    "ฉันมาแล้ว ไม่เป็นไรนะ" มือหนายกขึ้นลูบเรือนผมสีดอกซากุระของเธออย่างอ่อนโยน 

    "ฮื้อ" 

    ครั้งหนึ่งเมื่อแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ ฉันเคยสัญญาว่าจะเป็นพี่ชายที่ดีของเธอ จะดูแลและปกป้องเธอเท่าที่พี่คนนึงจะทำได้ ครั้งนี้ ผมมาทำตามสัญญาแล้วนะครับ หลับให้สบายนะ แม่อีกคนของผม



    หลังจบงานของเมบูกิ

    "อีกแล้วหรอ" เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มว่า 

    "เออ"

    "นานมั้ย"

    "น่าจะประมาณครึ่งปี"

    "นาน"

    "กูรู้ว่ามึงอยากกลับมาดูแลคุณหนู แต่งานนี้มันไม่มีคนไปทำแล้ว ทุกคนก็ถูกใช้ไปงานของตัวเองกันหมด แล้วมันจะเหลือใครล่ะ ก็มึงกับกูไง" โอบิโตะว่า

    "...." ซาสึเกะได้แต่ยืนเงียบ เขาเพิ่งกลับมาโตเกียวได้อาทิตย์เดียว นี่ก็จะต้องกลับไปเก็บงานที่ยังค้างคาอีกตั้งหลายเดือน ดวงตาสีนิลคู่คมได้แต่มองไปยังร่างบางที่นั่งอิงอยู่บนชิงช้าใต้ต้นไม้ตัวเก่าที่เขาเป็นคนทำให้เธอเล่นเมื่อนานมาแล้ว 

    "ยังไงก็ต้องไปแหละ คำสั่งนาย" 

    "เออ กูรู้" ซาสึเกะว่า โอบิโตะจึงขอตัวเดินแยกออกไป ทิ้งให้ร่างสูงยืนพิงประตูอยู่คนเดียว ดวงตาสีนิลคู่คมได้แต่จับจ้องไปยังคนตัวเล็กที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนชิงช้าไม้ตัวเก่ามาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว ในช่วงเวลาสูญเสียแบบนี้ เขาไม่ได้อยากทิ้งเธอไว้คนเดียวเลย แต่งานนี้มันก็ยากเกินกว่าจะมีคนมาทำแทน ไม่มีตัวเลือกอื่นให้เขาแล้ว เพราะต่างคนต่างก็ไปทำภารกิจของตัวเองกันหมด 

    "ซากุระ" เขาตัดสินใจเดินมายืนเทียบข้างหลังคนตัวเล็ก มือหนายื่นไปคว้าเชือกชิงช้าแกว่งให้เธอเบา ๆ

    "คราวนี้จะไปไหนอีก" เด็กน้อยถามออกมาเสียงเศร้า แต่ยังคงนั่งเหม่อมองพื้นหญ้าอยู่อย่างนั้น เธอได้ยินเขากับโอบิโตะคุยกัน 

    "นายสั่ง ฉันเลือกไม่ได้" 

    "...."

    "ฉันจะรีบทำ รีบกลับ" 

    "...."

    "ทำไมใคร ๆ ก็ทิ้งฉันไปหมดเลยกันนะ" เธอพูดออกมาตามความรู้สึก ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา แม่รับผู้หญิงคนนึงที่แม่บอกว่าเป็น เพื่อนสนิท ของตนเข้ามาอยู่ในบ้าน เธอมาพร้อมกับลูกสาวรุ่นราวคราวเดียวกับซาสึเกะ ตอนนั้นเด็กหญิงดีใจมาก เธอนึกว่าตัวเองกำลังจะมีเพื่อนเล่นใหม่ พอเวลาผ่านนานไปความไว้ใจมันจึงเกิด กว่าจะรู้ตัวว่าเลี้ยงงูเห่าไว้ในบ้าน งูมันก็แว้งฉกเราไปแล้ว 

    วันนั้นเป็นวันเกิดของคุณพ่อ เธอกับแม่จึงตั้งใจออกไปซื้อเค้กและจะกลับมาเซอไพร์ซผู้เป็นพ่อ แต่ทว่าทั้งคู่กลับเจอเซอไพร์ซกลับ หลังจากแอบแง้มประตูห้องทำงานเข้าไป ภายในห้องทำงานมันไม่ได้มีเพียงชายผู้เป็นพ่อ ร่างสูงของชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตขาวปลดกระดุมหลุดลุ่ยกำลังละเลงรักกับร่างบางของคนที่คุณแม่ยกให้เป็น เพื่อนสนิท บนโต๊ะทำงานของเขา

    เหตุการณ์หลังจากนั้นคือ คุณแม่ไม่พูดอะไรกับคุณพ่อเลยสักคำ แม่อุ้มเธอขับรถออกมาจากบ้านเงียบ ๆ จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุทำให้เธอเสียแม่ไปในวันนั้น โชคดีมากที่เธอนั่งคาดเข็มขัดอยู่เบาะหลัง แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บทางกายภาพอะไรมาก แต่สภาพจิตใจของเธอกลับตรงกันข้าม

    "ฉันจะรีบกลับมา" ซาสึเกะย้ำคำ เขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไง 

    "ไปเถอะ" ซากุระเหม่อมองเลยไปยังต้นกุหลาบที่ผู้เป็นมารดาของเธอปลูกเอาไว้ ดอกกุหลาบสีขาวบานบ้างตูมบ้างชูช่อแข่งกันเรียงยาวไปตามแนวรั้ว 

    "...."

    "ฉันอยู่คนเดียวได้" ใบหน้าหวานอาบโชกไปด้วยหยาดน้ำตาหันกลับมามองเขาเป็นครั้งแรกในบทสนทนา ทำเอาคนเย็นชาชะงักไป 

    ขอโทษนะ ที่ฉันอยู่ด้วยตอนที่เธอต้องการไม่ได้




    ตั้งแต่วันนั้นที่ได้เจอกับเธอ ระยะเวลาห้าเดือนกว่าของเขาทำไมมันช่างยาวนานขนาดนี้ งานสุดท้ายถูกปิดลงด้วยฝีมือยิงตัดวิถีกระสุนเฉียบคมของสองหนุ่มแห่งตระกูลอุจิวะ ชื่อเสียงเรียงนามของซาสึเกะและโอบิโตะโด่งดังไปทั่ววงการสังหารเงียบ พวกมีอำนาจในตลาดมืดตั้งค่าหัวทั้งสองไว้สูงมาก พักหลัง ๆ มาเจ้าตัวจึงต้องระวังตัวเองเป็นพิเศษ 

    และแล้วเวลาที่เขารอคอยก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นมันก็ถึงเวลากลับคืนบ้าน ทุกอย่างที่เขาตั้งใจไว้กำลังจะเป็นจริง แต่มีหนึ่งสิ่งที่ดูเปลี่ยนไป 

    "ไม่ต้องตาม" เด็กหญิงวัยสิบย่างสิบเอ็ดปีสั่งเสียงเรียบ แววตาแข็งกร้าวแต่ยังดูหม่นหมองในสายตาของเขามองมาอย่างเบื่อหน่าย ซากุระเปลี่ยนไป เธอไม่เหมือนซากุระที่เขารู้จัก 

    "กรี๊ด! บอกว่าให้ออกไปให้หมดไง" เธอตะโกนด่าทุกคนที่เข้ามายุ่งกับเธอ ข้าวของใกล้ตัวถูกคว้ามาปาใส่ผู้ได้ชื่อเป็นเมียคนใหม่ของพ่อสุดแรง นาทีนี้ใครก็เอาเธอไม่อยู่แม้กระทั่งพ่อแท้ ๆ เธอก็ไม่เว้น

    "เพราะคุณสองคนทำให้แม่ต้องตาย" นิ้วเรียวเล็กถูกชี้ไปตราหน้าคนเป็นพ่อ ดวงตาสีแมกไม้แดงก่ำด้วยความแค้น

    "ซากุระ!" คนเป็นบิดาตวาดลั่น 

    "สาระเลวทั้งคุณพ่อทั้งมันเลย" 

    เพี๊ยะ!

    "นาย!" ซาสึเกะที่วิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายทีหลังได้แต่แทรกตัวเข้าไปห้ามคนเป็นนาย

    "มึงถอยซาสึเกะ กูจะสั่งสอนมัน" แขนแกร่งผลักไหล่หนาของเขาออก มือหนาได้แต่ปัดร่างบางไปหลบอยู่ด้านหลังตน แต่เด็กหญิงเองก็แข็งเกินห้าม

    "นายหลบไป ถ้าฉันพูดความจริงแล้วรับไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว" ซากุระว่า

    "ซากุระ!" คนเป็นพ่อตวาดขู่ให้เธอหยุด

    "นี่หยุดสักที นายครับ! ผมขอ" มือหนาพยายามปัดป้องไม่ให้ผู้เป็นพ่อถึงตัวเธอ แต่ถึงเขาจะพยายามห้ามทัพยังไง เมื่อมีคนจุดไฟ แล้วเอาน้ำมันราดใส่ ไฟมันยิ่งโหม ตอนนี้มีแต่จะต้องจับแยก

    "แล้วนี่ก็เหมือนกัน แย่งผัวเพื่อนที่ช่วยตัวเองตอนลำบากแท้ ๆ แล้วยังจะมีหน้ามายืนหน้าด้านในบ้านคนอื่นอยู่ได้  ไม่ทุเลสตัวเองกันบ้างรึไง" นิ้วเรียวข้างที่ว่างยื่นไปชีหน้าผู้หญิงของพอเธอพร้อมตะโกนด่าอย่างสุดเสียง อารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ของเธอมันทำให้วาจาที่ระเบิดออกมาไม่ได้ถูกกลั่นกรองเลยสักนิด

    เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! 

    มือหนาฟาดตบลงมานับครั้งไม่ถ้วน โดนใบหน้ามนบ้างโดนใบหน้าคมของชายหนุ่มบ้าง ถึงจะเป็นอย่างนั้น ซากุระก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนให้คนเป็นพ่อเลยสักนิด

    "นาย! นาย! เป็นอะไรกันครับ" อินดราที่เดินเข้ามาในบ้านหวังจะมาส่งงานต้องรีบทิ้งกระเป๋าเอกสารเข้ามาล้อคตัวผู้เป็นนายไว้ 

    "มึงปล่อยกู กูจะสั่งสอนมันให้รู้ผิดรู้ชอบ" 

    "รู้ผิดรู้ชอบหรอ จะบอกว่าที่ตัวเองทำอยู่ มันถูกรึไง ทุเรส!"

    "ซากุระ!" คนเป็นพ่อตวาดเลือดขึ้นหน้า 

    "ทำไม พูดความจริงแล้วรับกันไม่ได้รึไง" ใบหน้าสวยยังคงยียวนกวนประสาทผู้เป็นพ่อ ที่เธอเถียงชนะ

    "ซากุระฉันบอกให้หยุด!" ซาสึเกะตวาดใส่คนตัวเล็ก แขนแกร่งได้แต่เกี่ยวเอวบางให้เดินตามเขาออกจากตรงนั้นไป 

    "มึงไปเลยนะ มึงออกไปจากบ้านกู"

    "ถ้าแม่รู้ว่าพ่อจะเป็นแบบนี้ คงเสียทีตายให้คนเลวทั้งหลายอยู่กันอย่างมีความสุข" 

    "มึงเอาคุณหนูออกไปเร็ว ๆ!" อินดราจะต้านแรงท่านไม่ไหว ตะโกนไล่คนมีศักดิ์เป็นน้องให้รีบพาคุณหนูออกไป ขืนยังไม่มีใครหยุดงานนี้ต้องมีคนนองเลือดแน่ ๆ 

    "มานี่เลย" แขนแกร่งรวบอุ้มร่างบางขึ้นพาดบ่าเดินออกจากบ้านไป ทั้งยังได้ยินเสียงก่นด่ากันไปมาระหว่างนายกับเธอแบบไม่มีใครยอมใคร

    "มึงไปเลย!"

    "ไปอยู่แล้ว ไม่ต้องไล่ เชิญอยู่กับลูกใหม่ เมียใหม่ของพ่อไปเถอะ!"

    "ซากุระ! ฉันบอกให้หยุด" 

    "นายหุบปากซาสึเกะ ถ้าฉันไม่ได้ด่าพวกมัน ฉันจะตายตาไม่หลับ" 

    ซากุระเปลี่ยนไปมาก ซึ่งเขาเองพอจะเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ ถึงเธอจะยังเด็ก แต่ก็ใช่ว่าจะโตไม่พอที่จะเข้าใจ ตอนนี้เขาต้องแยกเธอกับนายออกจากกันก่อน ไว้อารมณ์เย็นลงทั้งคู่ค่อยว่ากัน

    และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเลือกออกมาจากบ้าน บ้านที่เธอไม่เคยมองว่าเป็นบ้านตั้งแต่เสียแม่ไป เมื่อเรื่องถึงหูของมิโกโตะ เธอบอกให้พาซากุระมาไว้ที่บ้านอุจิวะ ด้วยตั้งใจว่าจะดูแลเด็กหญิงด้วยตัวเอง แต่ซากุระไม่ยอมไป ซาสึเกะเองก็ห้ามทัพคนเอาแต่ใจไม่ได้ จึงได้แต่บอกไปว่าเขาจะเป็นคนดูเธอให้เอง 

    นับแต่วันนั้นมาผ่านไปจนเข้าห้าปีเต็มที่ซากุระย้ายออกจากบ้านมาอยู่คอนโดของซาสึเกะ ซึ่งชายหนุ่มซื้อไว้ตั้งแต่ช่วงกลับมางานศพของเมบูกิ เพราะต้องเตรียมตัวย้ายกลับมาอยู่ที่โตเกียว เขาอยากมีพื้นที่ส่วนตัวไว้คิดงานไว้อยู่แบบสงบ ๆ ถึงตอนนี้มันก็ไม่ใช่พื้นที่ของเขาคนเดียวแล้วก็เถอะ 

    และถึงแม้คนเป็นนายจะด่าลูกสาวอย่างเธอแบบนั้น แต่พ่อ ก็ยังคือพ่อ ให้ตัดเลยยังไงก็ไม่ขาด นายไว้ใจและฝากให้ซาสึเกะดูซากุระแทน ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายโอนเงินเข้าบัญชีของเธอตลอด แต่เด็กสาวกลับไม่ใช้ ไม่แตะต้องเงินในนั้นเลยแม้แต่เยนเดียว เธอใช้แต่เงินเขา ถึงจะรู้ว่าเขาก็ได้ค่าหัวมาจากนายด้วยก็เถอะ ซาสึเกะเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะช่วงนั้นเธอเพิ่งขึ้นมัธยมต้น เขาให้เท่าไรเธอก็รับจากเขาโดยไม่เคยขอเพิ่มสักเยนเดียว จนคนให้ถึงกับต้องเอ่ยปากถามว่าที่ให้ไปน่ะมันพอมั้ย เขากลัวเธอจะกินไม่อิ่ม ไม่ได้ซื้ออะไรที่อยากซื้อ 

    จะมีพักหลัง ๆ ช่วงขึ้นมัธยมปลายนี้แหละ เธอเป็นฝ่ายมาบอกเขาเองว่าต่อไปนี้ไม่ต้องให้เงินเธอใช้แล้ว เขาก็ได้แต่ถามว่าทำไม จนได้ความมาว่า มีพวกนิตยสาร งานถ่ายแบบเข้ามาติดต่อเธอ เธอก็รับ ๆ ไป ถึงมันจะได้เงินดีมากขนาดไหน เขาก็ยังให้เธออยู่ดี ไม่ใช้ก็เก็บไว้ ไปไหนก็จ่ายให้ตลอด ถ้ามีซาสึเกะไปด้วยซากุระไม่เคยได้ล้วงกระเป๋าตังค์จ่ายเองเลยสักครั้ง อานิสงค์นี้ก็ยังเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนสาวของเธอด้วยเวลามากินมาเล่นที่ห้องเธอ 

    "ฉันจะเข้าไปรับงานกับนาย ไปด้วยมั้ย" เสียงทุ้มเอ่ยถามออกไป มือหนายังคงไล่จัดแจงพับปกคอเสื้อ ก่อนเอื้อมไปคว้าสูทดำมาสวม กลิ่นมินต์จากสบู่อาบน้ำของผู้ชายลอยหอมคละคลุ้งไปทั่วห้อง ใบหน้าหล่อเหลาได้แต่หันกลับมามองร่างบางในชุดนักเรียนที่เผลอหลับไปบนโซฟาตัวยาวที่เขาใช้หลับนอนทุกคืน 

    "ซากุระ" เสียงทุ้มเรียก ก่อนเดินมาดูเด็กสาวที่อ่อนเพลียมาจากการถ่ายงาน เขาเห็นว่าเธอตั้งใจมากขนาดไหน เขาเคยบอกให้เธอเลิกทำแล้วใช้แต่เงินเขา แต่สาวเจ้าไม่ยอม รั้นจะให้เขาสอนขับรถ เพราะจะได้ไม่ต้องลำบากเขามารับมาส่ง จนตอนนี้เขายังไม่ยอมสอนเธอขับเลยเพราะเป็นห่วง

    ดวงตาสีนิลคู่คมดูอ่อนลงเมื่อมองมาที่เธอ ซาสึเกะไม่เซ้าซี้ปลุกคนตัวเล็กต่อ เขาเลือกเดินไปเปิดเตาอุ่นซุปสาหร่ายที่ทำไว้ตั้งแต่ก่อนออกไปรับเธอ มือหนาเอื้อมไปเปิดหม้อใช้ทัพพีไม้คุ้ยข้าวหุงร้อน ๆ เรียงเม็ดสวยใส่ถ้วยไว้ให้ เผื่อเธอตื่นขึ้นมาจะได้กินเลย มือหนาหยิบนู่นคว้านี่อย่างชำนาญ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ซุปสาหร่ายร้อน ๆ ไข่ม้วน ข้าวสวยโรยงา และกุ้งอบเกลือแกะเปลือกพร้อมทานก็วางอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะ 

    "หายเหนื่อยก็ตื่นมาอาบน้ำกินข้าวนะ เดี๋ยวมา" เสียงทุ้มว่าออกไป แม้จะรู้ว่าคนหลับไหลไม่ได้ยิน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาทำให้เธอประจำทุกวัน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงคว้ากุญแจรถหรูเดินออกจากห้องไป 

    เสียงปิดประตูลงเบา ๆ ตามมาด้วยดวงตาสีแมกไม้ที่ลืมขึ้น คนนอนฟังเสียงหยิบนู่นทำนี่ของชายหนุ่มอยู่นานลืมตาขึ้นช้า ๆ ขึ้นมาท่ามกลางไฟสลัวที่เขาเปิดในห้องน้ำเพื่อไม่ให้แสงสว่างรบกวนการนอนของเธอ มือเรียวเอื้อมไปคว้าโทรศัพท์รุ่นท็อปขึ้นมาเปิดหน้าจอดูเวลาก่อนโยนลงไว้ที่เดิม ร่างบางบิดขี้เกียจไปมาก่อนนึกถึงคำชวนกลับบ้านเมื่อครู่ 

    ยอมรับว่าเธอได้ยินประโยคนี้จากเขานับครั้งไม่ถ้วน ก็ใช่ว่าเธอจะไม่กลับไปบ้านเลย ไปแค่ตอนที่จำเป็น จำเป็นที่ว่านี่คือ เวลาเลิกเรียนกลับมาแล้วซาสึเกะไปรับเธอ แล้วเขาต้องแวะรับงานต่อที่บ้าน ทำยังไงล่ะ ก็มันเลี่ยงไม่ได้ แต่เธอก็ไม่เคยลงจากรถนะ นั่งรอเขารับงานเสร็จอยู่บนรถเงียบ ๆ 

    ใครจะอยากลงไปเห็นสองแม่ลูกคู่นั้นอยู่กินกันอย่างสุขสบาย เธอยอมรับว่าเธอเกลียดพวกนั้น แล้วก็รู้สึกได้ว่าพวกนั้นก็ไม่ได้อยากจะญาติดีกับเธอ เพราะงั้นก็ถูกแล้วที่เธอเลือกเดินออกมาตั้งแต่วันนั้น

    ก็ต้องขอบคุณซาสึเกะแล้วก็คุณแม่ของเขา ที่คอยดูแลเด็กมีปัญหาอย่างเธอให้โตมาได้ดีขนาดนี้ ซากุระรู้ดีว่านิสัยตัวเองเสียขนาดไหน กว่าจะสงบเสงี่ยมได้อย่างทุกวันนี้มันยากมากเลยนะ ถามซาสึเกะดูก็ได้ เพราะเขารู้เรื่องเธอดีที่สุด




    คฤหาสน์ตระกูลเซ็นจู

    "ขอบใจนะ ซาสึเกะ" เสียงทุ้มของคนเป็นนายว่าขึ้นใบหน้าหล่อเหลาชะงักค้างไปครู่หนึ่งทั้งยังถือเอกสารที่นายเรียกมารับงานไว้ในมือ

    "ฉันผิดเอง ทั้งหมดนี้ ฉันเป็นคนทำมันพังเอง" เสียงทุ้มของคนอาวุโสกว่าเอ่ยออกมาสั่นเครือ ดวงตาคู่คมขึ้นริ้วรอยตามอายุจดจ้องนิ้วเรียวที่แกว่งปากกาไปมาแก้เก้อ 

    "...."

    "ถ้าไม่มีนาย ซากุระจะเป็นยังไง"

    "...."

    "ฉันเองยังนึกภาพลูกฉันไม่ออก"

    "...."

    "เมบูกิคง"

    "...."

    "กำลังสาปแช่งคนเลวอย่างฉันอยู่ข้างบน"

    "...." 

    จะสำนึกตอนนี้เห็นทีคงไม่ทัน แต่ยังไงซะ เขาก็ได้แต่ฝากความห่วงใยผ่านซาสึเกะไป ไม่ได้คาดหวังว่าลูกสาวคนเดียวของเขาจะรับไว้ จะขอให้ช่วยอย่าเกลียดเขามากไปกว่านี้เห็นทีมันก็จะเป็นการขอที่มากเกินไป 

    "รีบกลับเถอะ เดือนหน้าเดี๋ยวฉันหาทีมให้ ส่วนซากุระก็พากลับมาไว้บ้าน ไอส่วนจะอยู่หรือไม่อยู่ให้คนที่นี่ดูแล้วว่ากันอีกทีก็แล้วกัน"

    "อยู่คอนโดผมมีทุกอย่าง ให้โอบิโตะไปส่งเวลาไปโรงเรียนก็ได้ครับ"

    "ไม่ได้หรอก อาทิตย์หน้าโอบิโตะมันก็จะต้องลงใต้ไปเก็บงานให้ฉัน กว่าจะกลับมาก็คงใช้เวลาเท่า ๆ กับนาย เอามาไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวหาคนดูแลให้" คนมีอายุกว่าว่า ทำเอาใบหน้าหล่อเหลาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยต้นเดือนหน้าตัวเองมีภารกิจใหญ่ให้ไปทำ และครั้งนี้คงไปนานมาก จนไม่สามารถบอกได้ว่าจะปิดงานได้เมื่อไร 

    แล้วสิ่งเดียวที่เขากังวลใจคือเรื่องของซากุระ เขาไม่ได้ ไม่อยากให้เธอกลับมาอยู่กับพ่อ แต่เขาไม่อยากให้เธออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสองแม่ลูกคู่นั้นจ้องจะรังแกเธอตลอดเวลา เขารู้ เขาเห็น รู้เห็นหมดว่าใครคิดอะไรทำอะไร แค่ไม่พูดออกมา แต่คงทำอะไรไม่ได้ นายสั่งก็ต้องพากลับมาก่อนแหละ ร่างสูงเดินออกมาพร้อมกับความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ในหัว 

    "พี่ซาสึเกะ" เสียงหวานเรียกไล่หลังเขามา ร่างสูงที่กำลังจะก้าวเท้าออกพ้นประตูบ้านถึงกับต้องหันใบหน้าหล่อเหลากลับมามอง

    "ครับ" เขาขานรับอย่างสุภาพ ถึงจะยังไงเธอก็ได้ศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงของนายแล้ว เขาเองก็ไม่อยากเสียมารยาทกับเธอ

    "จะกลับแล้วหรอคะ" ร่างระหงส์ในชุดเดรสสั้นรัดรูปสีดำตัดกับเรือนผมยาวสลวยถูกดัดเป็นลอนถามออกไปอย่างเขินอาย 

    "ครับ" 

    "ขอติดรถไปลงบ้านเพื่อนได้มั้ยคะ ขี้เกียจขับรถไปเองค่ะ" มามุกนี้ก็ยากที่จะปฏิเสธ ดวงตาสีนิลคู่คมได้แต่กวาดมองไปทางด้านหลังว่ามีใครพอจะขับไปส่งเธอได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่เลยสักคน ท้ายที่สุดก็ต้องยอมขับไปส่งเธอด้วย

    "แล้วขากลับจะกลับยังไง" เสียงทุ้มถามออกไป ใบหน้าหล่อเหลายังคงจับจ้องมองแต่ทางไม่สนใจคนข้าง ๆ 

    "ถามแบบนี้จะมารับหรอคะ คิก" เธอว่าพร้อมกับกลั้วหัวเราะในลำคออย่างชอบใจที่เต๊าะเขาได้ แต่ใบหน้าเรียบเฉยของชายหนุ่มก็ทำเอาเธอต้องหยุดเขินไปเอง

    "ก็คงต้องให้เพื่อนไปส่งแหละค่ะ" ซาสึเกะได้แต่พยักหน้ารับ โดยที่เขาไม่ถามอะไรต่อ ทำเอาสาวเจ้าได้แต่คิดในใจว่าเขาจะไม่ถามเธอหน่อยหรือไงว่าเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย

    แรมโบสีดำด้านคันหรูแล่นผ่านทิวต้นไม้น้อยใหญ่บนถนนตามคำบอกทางของร่างบางข้าง ๆ เสียงสั่นของโทรศัพท์เครื่องหรูของเขาดังขึ้น ทำเอาดวงตาสีโกเมนคู่สวยต้องแอบเหลือบต่ำลงมามอง 

    ...Sakura...

    ติ๊ด 

    "อยู่ไหน" ด้วยความที่ภายในรถนั้นเงียบมา ซาสึเกะไม่เปิดเพลง ทำให้เสียงหวานจากปลายสายดังมากพอที่จะทำให้คนข้าง ๆ คนขับได้ยินบทสนทนา

    "กำลังกลับ" เขาตอบ

    "ซื้อผ้าอนามัยมาด้วย เป็นเมนส์" 

    "อา กินข้าวยัง"

    "กินแล้ว"

    "เอาอะไรอีกมั้ย"

    "ไม่เอา" 

    "แหม นอนอยู่ห้องสบายใจ แต่ใช้คนนั้นทีคนนี้ทีให้ซื้อของให้ ระวังพิการนะน้องสาว" เสียงหวานเอ่ยแทรกขึ้นทั้งที่รู้ว่าเป็นการเสียมารยาท

    "ฉันไม่เห็นรู้เลย ว่านายรับงานส่งวิญญาณพวกสัมเวสีไปที่ชอบ ๆ ด้วย"

    "อีซากุระ" 

    ติ๊ด!

    นิ้วเรียวรีบปัดหน้าจอทิ้งด้วยรู้ว่าถ้าถือสายค้างไว้ เขาคงได้เป็นทางผ่านของการโต้วาทีครั้งนี้เป็นแน่

    "ยังปากดีไม่เปลี่ยนเลย ถามจริง ๆ เถอะ พี่ทนอยู่กับมันได้ยังไงคะ" เธอถามด้วยหงุดหงิดที่ไม่ทันได้สวนฝั่งตรงข้ามสักคำ

    "ไม่เคยทน" คำสั้น ๆ ตอบกลับง่าย ๆ กระแทกเข้าหน้าหญิงสาว ไม่ได้ทนของเขาที่หมายความว่าเต็มใจทำให้ เต็มใจดูแลสินะ ฟังแล้วยิ่งรู้สึกหมันไส้ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยรู้สึกเบื่อหน่าย ก็แม่คุณไปแหย่จมูกเสือก่อน เป็นเขาเขาก็สวนกลับเหมือนกันแหละ รู้ว่าไม่ถูกกันก็ยังจะไปพูดแซะ มันก็สมควรละที่โดน

    "ดูสนิทกันจังเลยนะคะ ซากุระเนี่ย โชคดีจังเลยได้คนดูแลทั้งใจดี ทั้งใจเย็น" เธอว่าอย่างพยายามข่มอารมณ์ และก็เป็นอีกครั้งที่เธอได้ความเงียบเป็นการตอบกลับ ร่างบ่างได้แต่นั่งกัดฟันเบา ๆ ด้วยความขัดใจ สงสัยว่าเขาจะเฉยชากับเธอไปถึงไหนกัน 

    "จอดตรงนี้แหละค่ะ เดี๋ยวให้เพื่อนออกมารับ ซอยมันแคบกลับรถยาก" แรมโบหรูจอดเทียบข้างฟุตบาทตามคำสั่ง ก่อนคนตเรือนร่างเย้ายวนจะเปิดประตูลงรถไป



    คอนโดซาสึเกะ

    เสียงปิดประตูดังขึ้น ดวงตาสีนิลคู่คมกวาดมองไปรอบห้องว่างเปล่าท่ามกลางแสงนวลสลัวจากไฟห้องน้ำ ใบหน้าหล่อเหลาหันตามเสียงดีดกีตาร์ลอดผ่านกระจกบานหนาเข้ามาเบา ๆ 

    "And it’s new, the shape of your body

    It’s blue, the feeling I’ve got

    And it’s ooh, woah-oh

    It’s a cruel summer

    It’s cool, that’s what I tell ’em

    No rules in breakable heaven

    But ooh, woah-oh

    It’s a cruel summer with you"

    ร่างบางในชุดนอนซาตินขายาวแขนยาวสีขาวนั่งดีดกีตาร์ร้องเพลงอยู่ตรงเก้าอี้ระเบียงหลังห้อง เรือนผมยาวสลวยสีดอกซากุระพริ้วไหวไปตามสายลมยามค่ำคืน ใบหน้างามที่เขามองเห็นเพียงเสี้ยวจากมุมข้างดูผ่อนคลายทุกทีที่ได้ทำในสิ่งที่ตนชอบ เสียงหวานมีเสน่ห์ดึงดูคนฟังขับขานเพลง Cruel Summer ของ Taylor Swift เอื่อย ๆ ในแบบของตัวเอง ทำเอาคนแอบฟังไม่อยากเปิดประตูไปขัด ด้วยกลัวว่าสาวเจ้าจะเสียอารมณ์ไม่ยอมร้องเพลงต่อ 

    มือหนาวางของที่คนตัวเล็กโทรไปสั่งไว้บนโต๊ะข้างโซฟาที่ก่อนหน้าเธอใช้นอน เขาเดินไปถอดเสื้อใส่ลงในตระกร้าที่ก่อนหน้ามีผ้าของเขาอยู่เต็ม เมื่อหันไปมองนอกระเบียงข้าง ๆ ที่เธอนั่งอยู่อีกครั้ง ถึงรู้ว่ามีคนเอาผ้าไปซักให้เขา พักหลัง ๆ มานี้ยอมรับเลยว่าเจ้าตัวไม่ค่อยมีเวลาทำงานบ้านในส่วนของตัวเองเท่าไร ซึ่งปกติซากุระเองก็จะไม่ค่อยได้มายุ่งในส่วนของเขา แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เธอทำให้ อาจจะเพราะอยากซักพร้อมกันให้แล้ว ๆ ไป ไม่เปลืองน้ำยาซักผ้าล่ะมั้ง

    "I’m drunk in the back of the car

    And I cried like a baby comin’ 

    home from the bar (Oh)"

    มือหนาเปิดประตูเดินออกมายืนเท้าระเบียงทิศใต้ลมเงียบ ๆ ในมืออีกข้างถือกล่องบุหรี่กลิ่นมินต์ที่ไม่ค่อยได้สูบมาสักพักแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องให้เครียดจนต้องพึ่งมันจริง ๆ กรอบหน้าคมคายขับให้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลาจนเหมือนไม่มีอยู่จริง เรือนผมสีนิลพริ้วลู่มาปรกใบหน้าน้อย ๆ แต่มันก็ไม่ได้บดบังความหล่อเหลาของเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีนิลคู่คมค่อย ๆ หลับพริ้มลง พยายามวางความคิดเรื่องที่ต้องไปเก็บงานให้นายต้นเดือนหน้าทิ้ง 

    "เป็นอะไร จะมาเป็นพระเอกเอ็มวีให้ฉันหรอ" เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นกวน ๆ แบบที่เธอชอบทำใส่เขา ดวงตาสีแมกไม้คู่สวยปรายมองสิ่งที่อยู่ในมือชายหนุ่มน้อย ๆ ก่อนหันกลับมาสนใจปรับคีย์กีตาร์ของตัวเองต่อ

    "ไปด่าเขาทำไม" ดวงตาคู่คมลืมขึ้นมองแสงสียามราตรีเบื้องล่าง 

    "นี่เครียดเพราะฉันด่าแฟนนายเนี่ยนะ" 

    "พูดดี ๆ นะซากุระ" ใบหน้าหล่อเหลาหันมาปรายตามองอย่างไม่พอใจ เธอมักจะเป็นแบบนี้ประจำ ชอบพูดอะไรไม่เข้าหูจนทำให้เขาหัวร้อนอยู่บ่อย ๆ 

    "ไหนล่ะผ้าอนามัย" คนตัวเล็กเปลี่ยนเรื่องถามเมื่อเห็นว่าแกล้งแหย่จมูกเสือแล้วเสือโกรธจริง มือหนาได้แต่ชี้บอกตำแหน่งว่าวางไว้ด้านใน

    "เข้าไปในห้องไป" เขาไล่เธอ ก่อนเริ่มเปิดไฟแช็กจุดบุหรี่ ควันเอื่อย ๆ ลอยตามแรงลมผ่านหน้าคนไม่ชอบกลิ่นมันไป แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร

    "เรื่องอะไรล่ะ ฉันออกมานั่งของฉันก่อนตั้งนาน" ปากว่า ตาไม่มอง มือเล็กไล่ปรับคีย์กีต้าร์พลางลองดีดไปเรื่อย ๆ ซาสึเกะได้แต่คิดในใจว่าตามใจเธอเถอะ เขาเตือนแล้ว นิ้วยาวคีบบุหรี่ขึ้นดูดก่อนพ่นควันเอื่อย ๆ ออกมา 

    "ต้นเดือนหน้า"

    "...." 

    "ฉันต้องไปชิคาโก้" 

    "...." นิ้วเรียวชะงักค้างอยู่บนคอร์ดกีต้าร์ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ควันเอื่อย ๆ ถูกพ่นลอยคลุ้งไปตามแรงลมพร้อมกับร่างสูงที่หันหลังกลับมามองคนตัวเล็กในท่าพิงระเบียง

    "นายให้เธอกลับไปอยู่บ้าน" เขาบอก

    "ไม่" ใบหน้าสวยหันกลับมาตอบกลับเสียงแข็ง ร่างบางผุดลุกขึ้นเตรียมเดินหนีเขาอย่างอารมณ์เสีย 

    "ถึงยังไงนายก็เป็นพ่อของเธอ" ขาเรียวหยุดก้าวยืนค้างอยู่อย่างนั้น

    "ฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ คนอื่นเขาก็ไปทำงานของตัวเองกันหมด แล้วใครจะดูเธอ"

    "ฉันดูแลตัวเองได้" คนตัวเล็กหันมาเงยหน้าเถียงเขาคอเป็นเอ็น

    "ไม่ได้" เสียงทุ้มตอบกลับอย่างใจเย็น

    "อย่ามาตัดสินฉันนะ ปล่อยฉันไปใช้ชีวิตเองสิ นายจะมาคอยตาม คอยดูทำไม ฉันไม่เคยขอ ฉันจะทำให้ดูว่าฉันอยู่ได้ ถึงไม่มีนายฉันก็อยู่ได้ สบายมากเลยด้วย เอาเลยมั้ยล่ะ เริ่มตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้เลย!" เสียงหวานตวาดลั่น มือเล็กข้างที่ว่างเลื่อนเปิดประตูฟึดฟัดเข้าห้องไป เธอคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่มากางออกก่อนเปิดตู้เสื้อผ้ากวาดข้าวของตัวเองลงกระเป๋าด้วยความหงุดหงิด 

    "ซากุระ" มือหนากำมวนบุหรี่ทั้งยังติดไฟทิ้งไปราวกับมันเป็นเพียงกระดาษเปล่า ๆ ขายาวสาวเท้าตามไปคว้าต้นแขนเล็กไว้ แต่กลับถูกเธอสะบัดมือออกอย่างแรง 

    "หยุดประชดสักที" มือหนาไม่ละความพยายาม เขาเดินไปขวางหน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนดึงประตูตู้ปิดลง ร่างบางไม่สนใจเธอนั่งลงรูดซิปปิดกระเป๋า เอาอะไรไปได้แค่ไหนก็แค่นั้นแล้วกัน ซึ่งคนตัวสูงก็ไม่ยอมเธอเหมือนกัน มือหนาคว้าดึงแขนคนตัวเล็กไม่เต็มแรง แต่ก็แรงพอจะทำให้เธอเซลุกมาชนอกแกร่งได้ มือเล็กผลักอกเขาออกเต็มแรง ทั้งยังมีมือหนาจับต้นแขนเธอไว้ทำให้เธอล้มลงไปกองทับอยู่บนตักเขาในท่านั่งทั้งคู่

    แขนเล็กท้าวลงบนไหล่หนาตั้งท่าจะทรงตัวยืนขึ้น แต่กลับถูกคนได้ทีใช้แขนแกร่งกอดรัดตัวไว้แนบอก ด้วยความที่ซาสึเกะตัวใหญ่กว่าเธอมาก มันเลยเหมือนกับเธอจมลงไปในกอดของเขา

    "หยุดสักที" เสียงทุ้มว่าอย่างใจเย็น 

    "...."

    "ถ้าไม่เคยเข้าใจฉัน นายก็ไม่ต้องห้าม ตลอดเวลาที่ผ่านมานายไม่รู้หรอกว่าฉันเจออะไรมาบ้าง ฮึก นายจะเอาแต่ใจบังคับให้ฉันไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ไม่ได้ ฮึก นายถามฉันสักคำมั้ยว่าฉันอยากไปรึเปล่า นายไม่เข้าใจความรู้สึกฉันเลย ฮึก"

    "แล้วเธอจะอยู่คนเดียวได้ยังไง" 

    "ฮึก ฉันอยู่ได้ ฉันจะไปอยู่ของฉันคนเดียว ฮึก"

    "ไม่ให้ไป" ถึงเธอจะรั้นเขาแค่ไหน แขนแกร่งยังคงกอดรัดคนตัวเล็กไว้อย่างนั้น 

    "ฉันไม่อยากกลับบ้าน ฮึก ไม่อยากกลับ" เสียงหวานพูดออกมาอย่างเสียใจ น้ำตาหยดใสเริ่มไหลอาบใบหน้ามนเพราะห้ามไม่อยู่ 

    "ชู่ว์ ฉันรู้" 

    "ฮึก"

    "ฉันรู้" เมื่อเห็นว่าอีกคนสงบลง แขนแกร่งยอมคลายลงน้อย ๆ เลื่อนมือขึ้นไปลูบหัวคนตัวเล็กแบบที่เขาเคยทำกับเธอประจำครั้งยังเด็ก 

    "ให้ฉันไปเถอะนะ"

    "...."

    "ฉันไม่อยากกลับไปที่นั่น ฮึก"

    "...."

    "ฉันอยู่ได้ ถึงไม่มีนาย ฉันก็อยู่ได้"

    "แต่ฉันอยู่ไม่ได้"

    "...."

    "ฉันสัญญากับแม่เธอไว้ ว่าฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้" มือหนาเลื่อนมาลูบไหล่มน 

    "ฮึก ฮื้อ" ประโยคเมื่อครู่ทำเอาใจดวงน้อยอ่อนยวบยาบ ทั้งหมดที่เขาพูดมา เธอเชื่อมาก ๆ เลย เพราะตลอดเวลาห้าปีมานี้ที่เธออยู่กับเขา เขาดูแลเธอดีมาก ๆ มากกว่าคนเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอด้วยซ้ำ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะโชคดีที่ยังมีเขาอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ 

    "อย่าดื้อกับฉันเลย ฉันเป็นห่วงเธอจริง ๆ นะ" 

    "ฮึก" 

    "กลับไปอยู่บ้าน"

    "ฮึก"

    "ถือว่าฉันขอนะ"

    "ฮึก"

    "ซากุระ"

    คนตัวเล็กได้แต่ผละออกมายกหลังแขนเรียวขึ้นเช็ดน้ำตาทั้งยังนั่งอยู่บนตักเขาแบบนั้น ซาสึเกะมาไม้อ่อนกับคนพยศ ทำเอาเด็กสาวใจอ่อนยวบยาบ เธอไม่เคยชนะผู้ชายคนนี้เลย 

    "ฮึก ถ้าฉันอยู่ไม่ได้ ฉันขอกลับมาอยู่นี่ได้มั้ย" เธอถามเสียงแผ่ว มือเล็กยังคงยกขึ้นขยี้ตาจนแดงก่ำ มือหนาได้แต่คว้าข้อมือบางไว้ไม่ให้ทำต่อ เพราะกลัวเธอเจ็บตา 

    "ได้ เอาคีย์การ์ดไว้เลย ยกให้" เสียงทุ้มว่า ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองคนเป็นเด็กในสายตาเขาอย่างเอ็นดู

    "ฮึก สอนขับรถด้วยได้มั้ย" นั่นไง เขาว่าแล้ว

    "ได้คืบจะเอาศอก" นิ้วเรียวยื่นไปดีดหน้าผากมนอย่างคนรู้ทัน

    "ได้มั้ยล่ะ" คิ้วเรียวสวยรับเข้ากับใบหน้างามขมวดมุ่นตามฉบับคนเอาแต่ใจ

    "อือ" 

    "สอนพรุ่งนี้เลย"

    "หึ" เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะมาในลำคอ เขาชอบใจในความเจ้าเล่ห์เพทุบายของเธอที่สุดแล้ว ถึงจะไม่ค่อยอยากให้เธอขับรถเพราะกลัวเป็นอันตราย แต่ก็คงถึงเวลาแล้วล่ะ ก่อนไปเขาตั้งใจยกเฟอรารี่ดำลูกรักอีกคันไว้ให้เธอขับ 

    "ลุกได้ละ เลือดเปื้อนขา" เขาว่าทั้งยังมีสีหน้าเรียบเฉย

    "ฮึก" ร่างบางผละออกจากอกคนตัวสูง มือเล็กเท้าไหล่หนาหยัดตัวยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนเดินอ้อมไปคว้าถุงผ้าอนามัยกับผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งมองคราบเลือดที่เห็นจาง ๆ เปื้อนอยู่บนขากางเกงของเขาอยู่แบบนั้น 

    ได้แต่คิดใจในว่า เธอไม่เคยระวังตัวเลยตอนอยู่กับเขา ทั้งที่เขาเป็นผู้ชาย ต้องไว้ใจกันมากขนาดไหนมาทำประจำเดือนเปื้อนคนอื่นแล้วเดินจากไปหน้าตาเฉย ระหว่างเขาไปทำงาน ไม่อยากให้นายหาการ์ดใหม่มาดูแลเธอเลย เขากลัวเธอจะไม่ระวังตัวแบบที่เธอเป็นอยู่กับเขาตอนนี้ ให้ตายเถอะ 

    เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นท็อปสั่นอยู่บนโต๊ะวางโทรทัศน์ คนตัวใหญ่หยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนเดินไปคว้ามากดรับสาย

    "อา"

    "นายโทรมาบอกกูแล้ว ที่มึงจะไปชิคาโก้ กูส่งมึงไปกับซุยเงะสึสองคน ไหวมั้ย" มาดาระไม่พูดพร่ำทำเพลงนาน เขาบอกวัตถุประสบค์ที่โทรมาให้ชายหนุ่มทราบทันที

    "เกินพอ" เสียงทุ้มตอบกลับเรียบเฉย ก่อนหน้า ซาสึเกะเองก็มีโอกาศได้เจอกับซุยเงะสึบ่อย ๆ ขอเล่าที่มาที่ไปหน่อยแล้วกัน ซุยเงะสึเป็นลูกชายของเพื่อนร่วมหุ้นค้าอาวุธเถื่อนของมาดาระ เป็นพวกมีพรสวรรค์หายากคืออ่านทิศให้มือปืนไกลได้แม่นยำมาก พักหลัง ๆ มานี้ ซาสึเกะก็โดนจับคู่ให้ไปทำงานกับหมอนี่บ่อย ๆ เพราะมาดาระใช้พี่ ๆ ของเขาไปทำอย่างอื่นกันหมด ตำแหน่งคู่หูอ่านทิศปืนไกลของเขาเลยว่าง จนได้หมอนี่มาเป็นตัวปั่น ทำงานด้วยแล้วปวดหัวกับความกวนประสาทของมัน

    "เตรียมตัวให้พร้อม ไปครั้งนี้มึงคงโดนลากงานต่อยาว ๆ" 

    "อือ" 



    มาครบแล้วนะคะลงรวดเดียวเลย อาจจะน้อยหน่อย แต่น่าจะฟิน 100% ปิดตอน อุจิวะ ซาสึเกะแล้วนะคะ ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบตอนกันนะคะ ตอนต่อไปแอบสปอยให้เป็นพาร์ทของน้องระค่ะ เดือดแน่เดือดนอน รอชมกันได้เลยค่ะ 2 ตอนแรกจะเป็นการปูเนื้อเรื่องเพื่อดึงเข้าเรื่องหลักนะคะ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ 

    สรุปผลโหวตพระรองในเพจ ซิมอมาเซง ไรท์เตอร์ นะคะ ได้พระรองเป็น อุจิวะ ชิซุย ค่ะ จะได้ออกมาตอนไหนของเรื่องกันนะ 5555 รอติดตามกันได้เลยน้า 

    มาคอมเมนต์พูดคุยกับเราได้นะคะ ทั้งใต้ตอน และใน เพจบ้านฟ้า ซิมิมาเซง ไรต์เตอร์ ฝากกดไลท์ติดตามไว้ด้วยนะคะ เผื่อมีกิจกรรมแจกขอฃรางวัลจะได้ไม่พลาดกัน สำหรับวันนี้ฝันดีนะคะทุกคน ขอให้เอ็นจอยค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×