ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Fic Naruto | ฟิค Shikatema) Quiet Moon

    ลำดับตอนที่ #5 : Quiet Moon | Chapter 04 - Stained Glass

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 375
      20
      8 พ.ย. 66

     



    04


    เหตุเพราะชายหนุ่มไม่อาจทำใจกลับไปพบหน้าคุโนะอิจิผู้มาจากทะเลทรายคนนั้นได้ในเวลานี้โดยไม่ถูกถาโถมด้วยความรู้สึกผิดจนหายใจไม่ออก


    เขาไม่มีอะไรจะกล้าไปสู้หน้าเธอ


    นารา ชิกามารุถึงแวะเวียนมายังสำนักเริงรมย์ที่ใช้บริการอยู่เป็นประจำ เพื่อแสวงหาความสำราญที่จะช่วยกลบกลืนเรื่องราวทั้งหมดให้เลือนหายไปจากใจชั่วขณะ เขาก็แค่กำลังหนีความจริงและหลบเลี่ยงบ่ายเบี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับปัญหา แล้วสุดท้ายก็คงไม่ต่างอะไรจากนารุโตะ คนที่เขาตำหนิติเตียนและค่อนขอดด้วยความชิงชังไปก่อนหน้านั้นแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงเลยแม้แต่น้อย


    เกโกะซึ่งถูกเรียกตัวมาปรนนิบัติยื่นจอกเหล้ามาให้อย่างเนิบนาบเอาใจ เจ้าบ้านหนุ่มตระกูลนารายกมันขึ้นจิบด้วยดวงตาเหม่อลอย ริ้วรอยคร่ำเคร่งบนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงภวังค์แห่งการครุ่นคิดตรึกตรอง ดวงตาสีน้ำตาลฉาบทับด้วยประกายความเคร่งเครียดอันคมกริบ


    เขามองตรงไปข้างหน้า แต่ไม่อาจบอกได้เลยว่าจดจ่อไปอยู่ที่จุดใด


    ชั่วขณะหนึ่ง ชายหนุ่มซึ่งเปลี่ยนมาสวมยุคะตะเนื้อเบาสบายเพื่อความผ่อนคลายก็ทอดกายกึ่งนั่งกึ่งเอนลงกับที่เท้าแขน เปลี่ยนผ่านความสนใจมาเหม่อมองอากัปกิริยาชดช้อย ตลอดจนการเคลื่อนไหวอันนุ่มนวลเนิบช้าของสตรีผู้ใช้ศิลปะสร้างความสุนทรีย์ให้แก่ผู้คนอยู่เช่นนั้นอย่างเงียบเชียบ


    เขาชอบวิธีการที่เธอค่อยๆ อุ่นสาเกให้ร้อน ใช้ผ้าซับไอน้ำขอบขวด จัดเตรียมสำรับอย่างเงียบๆ อยู่ใกล้ๆ ตัว ท่าทีปฏิบัติของเธอสงบเสงี่ยมเรียบร้อยด้วยกิริยามารยาทเพียบพร้อม รู้ว่าควรพูดอะไร ไม่พูดอะไรตอนไหนบ้าง มันทำให้ชิกามารุซึ่งมีนิสัยรำคาญผู้หญิงเป็นทุนเดิมไม่รังเกียจที่จะใช้เวลาอยู่กับเธอ


    ด้วยเหตุนี้ ยามเขาต้องการสงบจิตใจก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ นั่งมองเธอตระเตรียมการปรนนิบัติเขาอย่างเนิบนาบ เพราะมันชวนให้สภาวะจิตใจหยุดยิ่ง หรือมิเช่นนั้น เขาก็จะนั่งฟังเธอเล่นโกโตะ ดูเธอร่ายรำอย่างประณีตศิลป์ มองเธอชงชาหรือวาดภาพอย่างใช้สมาธิ นั่นนับรวมไปถึงการให้เธอประจบเอาใจ อย่างไรเสีย ทั้งหมดนั่นก็เป็นความเชี่ยวชาญของเหล่าเกโกะอยู่แล้ว


    ที่สำคัญที่สุดคือ เกโกะนางนี้ยังยินยอมพร้อมใจให้เขาตักตวงความรื่นรมย์ทางกาย ต่างจากงานหลักของเกโกะทั่วไปอีกด้วย


    การที่สตรีนางนี้รู้ว่าจะทำให้เขาพอใจหรือผ่อนคลายอย่างไรได้บ้าง ทำให้เขาถูกใจและเรียกหาอยู่ตลอดยามปรารถนาจะได้รับการปรนนิบัติหรือต้องรับรองแขกอื่นที่ตนพามา – และนั่นนับรวมโฮคาเงะของหมู่บ้านเช่นกัน จนสุดท้ายเขาก็รับเธอมาอยู่ในความอุปถัมภ์ แม้เกโกะรายอื่นที่เขาเคยเรียกตัวอยู่บ้างประปรายจะมีอีกมากมายคละเคล้ากันไปตามอารมณ์ แต่ไม่มีใครที่เขาจะพึงพอใจใฝ่หาได้เท่าสตรีตรงหน้า


    “ทะคะฮะรุ” เมื่อได้ยินเสียงเรียก สตรีเจ้าของชื่อก็เขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีก เธอวางตัวอย่างสำรวมด้วยรู้ดีว่าชายหนุ่มที่เป็นผู้อุปถัมภ์ของเธอมีความชื่นชอบเช่นไร และแม้ความสัมพันธ์ทางกายจะไม่ใช่แนวทางของเกโกะ และห่างไกลจากวิถีปฏิบัติของอาชีพ แต่กับชิกามารุที่อุปถัมภ์ค้ำชูเธอมานาน การสร้างความอภิรมย์ทางกาย ตอบสนองความต้องการให้แก่เขาก็กลายเป็นหนึ่งในงานของทะคะฮะรุด้วยความเต็มใจเช่นกัน


    มันไม่ใช่ด้วยเรื่องค่าตอบแทน แต่เป็นความภักดีและความสำนึกบุญคุณที่คุณชายตระกูลนาราชุบเลี้ยง ดูแลเธอมาตลอด


    ประการสำคัญคือ เธอพอใจในตำแหน่งแห่งที่นี้ ตระหนักรู้ถึงสถานะหน้าที่ของตน และไม่เรียกร้องสิ่งใดจากเขามากไปกว่าการได้ปรนนิบัติดูแลเป็นครั้งคราวยามเขาประสงค์จะมาพักผ่อนหย่อนใจ


    สิ่งที่เธอมีให้เขาคือรักและความปรารถนาดี ไม่หวังครอบครองล้วนๆ


    ด้วยประจักษ์แจ้งแก่จิตอย่างถ่องแท้ว่านารา ชิกามารุมีใครคนหนึ่งเชิดชูอยู่ในใจแล้ว และเธอคนนั้นผู้มาจากหมู่บ้านใต้เงาทรายคือผู้ถือครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งร่างกาย ความรู้สึก และทุกๆ สำนึกที่ชิกามารุใส่ใจมอบให้


    ซาบาคุ โนะ เทมาริเป็นสตรีที่ชิกามารุเลือก และเป็นคนที่เขาภาคภูมิใจให้เชิดหน้าชูตาอยู่ข้างๆ ภายใต้สถานะคนๆ เดียวที่เขารัก


    จริงอยู่ นอกจากทะคะฮะรุแล้ว ยังมีเกโกะหรือไมโกะนางอื่นที่ชิกามารุเรียกใช้งานอีก แล้วไหนจะหญิงบำเรอกายรายอื่นที่ไม่ใช่เกโกะ แต่ประกอบอาชีพเฉพาะทางในการสร้างความสุขสำราญแก่บุรุษ และเมื่อนับบรรดาสตรีที่เขามีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนด้วยตามแหล่งเริงรมย์อื่นๆ นอกเหนือจากนี้ ก็ใช่ว่าจะสามารถเรียบเรียงได้ครบหมดในคราวเดียว


    ทว่าชายหนุ่มไม่เคยผูกพันหรือสานสัมพันธ์กับใครมากไปกว่าสัมพันธภาพในเชิงธุรกิจ เพราะเขาใช้เงินแลกบริการอันจรรโลงใจ ปรนเปรอด้วยสิ่งบันเทิงรื่นรมย์ผ่านการปรนนิบัติจากพวกเธอ มันก็แค่การร่วมหลับนอนกับเหล่าสตรีผู้แลกเรือนกายให้บุรุษเชยชม


    สำหรับเจ้าบ้านตระกูลนาราแล้ว อะไรพวกนี้ไม่สลักสำคัญกับเขา


    มันแค่วิถีทางที่เขาทำเสียชินชาจนกลายเป็นเรื่องปกติสามัญในชีวิตไป โดยที่เขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนหรือรู้สึกรู้สามากมายนักว่ามันจะหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมจรรยา เป็นการเสเพล หรือเป็นข้อบกพร่องในแนวทางการปฏิบัติตัวอันดีและชีวิตที่อยู่กับร่องกับรอย


    เขาไม่เคยให้ค่ากับมัน ไม่เลยแม้แต่น้อย


    สิ่งเดียวที่นารา ชิกามารุให้ค่าคือคุโนะอิจิผู้มาจากทะเลทรายคนนั้น


    คนที่เวลานี้ เขาซึ่งพร้อมทุ่มเททุกสิ่งให้และไม่เคยให้ใครหรืออะไรที่เกี่ยวเนื่องกับตนอาจหาญมาเทียมเทียบกับเธอ ก็ยังไม่อาจปกป้องหญิงสาวเอาไว้ ทั้งยังไม่สามารถทำอะไรให้เธอไปได้ดีกว่าที่ควรจะต้องทำให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย


    มันฉีกหัวใจเขาประหนึ่งภายในกำลังแหลกลานออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรอย่างนั้น แถมยังทำให้สิ่งที่เขายึดเหนี่ยว ตลอดจนสิ่งใดๆ ที่เขาเชื่อถือ พังทลายเป็นเถ้าธุลีลงไปตรงหน้า เพราะมันตอกย้ำว่า ไม่มีอะไรจะมีความหมายสำหรับตนเองอีกแล้ว


    ถ้าเพียงแต่ว่าแม้ผู้หญิงที่รักคนเดียว คนที่ตนยึดมั่นเป็นที่ตั้งของจิตใจ เป็นเข็มทิศตรึงชีวิตเขาให้อยู่กับร่องกับรอย คงอยู่ในวิถีทางอันดีตามกรอบจรรยา เขากลับไม่อาจตอบแทนเธอให้สมกับที่เพียรพร่ำยกเธอเป็นคนสำคัญได้


    เช่นนี้ ชีวิตเขาจะมีความหมายอะไร นอกจากคนไร้ประโยชน์ผู้สูญเสียหลักยึดของชีวิตไป


    ดวงตาคมกริบหลุบลงในแบบซึ่งเป็นได้ทั้งทอดถอนปลดปลงและกล้ำกลืนฝืนความทุกข์ทรมานหม่นไหม้ในใจไปพร้อมๆ กัน


    เสี้ยวลมหายใจถัดมา ชายหนุ่มก็ขยับเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ผินสายตาปราดมองไปอีกด้านหนึ่งอย่างเด็ดขาด พลางโบกมือไล่เหล่าไมโกะนางอื่นที่ดีดบิวะและร่ายรำอย่างแช่มช้าอยู่เบื้องหน้าให้ถอยฉากออกไปจากห้อง เสียงดนตรีและทำนองขับร้องจึงสงัดลงโดยพลันอย่างรู้หน้าที่ พวกนางหยุดมือทันทีและค่อยๆ ล่าถอยพ้นประตูด้วยการเคลื่อนไหวอันงดงาม


    เห็นดังนั้น ทะคะฮะรุซึ่งรับรองชายหนุ่มตรงหน้ามานาน สามารถอ่านความรู้สึกนึกคิดได้อย่างแม่นยำถี่ถ้วนก็จับสังเกตได้ถึงอารมณ์ของผู้อุปถัมภ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปร เธอพยายามค้อมตัวลงอีกจนแทบแนบประชิดตัวชายหนุ่ม พึงใจจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความนอบน้อมพร้อมปลอบประโลม ก่อนจะรินสาเกเติมใส่จอกของชายหนุ่มอย่างเอาอกเอาใจ ด้วยรู้ดีว่าต้องรับมือกับอารมณ์และความแปรปรวนเช่นนี้ของชายหนุ่มอย่างไร


    “ชิกามารุสะมะ มีเรื่องกังวลใจหรือคะ”


    ไม่มีคำตอบจากปากของเจ้าบ้านตระกูลนารา ทว่ากระนั้น ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กลับฉายแววคมปลาบ และดูคล้ายจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ที่ปะทุคุกรุ่นอยู่ภายใน มันยิ่งส่องสะท้อนความกดดันอันเครียดขึ้ง น่าครันคร้าม ชั่วขณะหนึ่ง โทสะทั้งหมดที่พุ่งพล่านออกมาในชั่วพริบตา ไม่อาจทนข่มกลั้นไว้ได้ก็ถูกขับเร้นอย่างแรงกล้าจนสูญเสียการควบคุมตนเองอันดีไป


    เขาเขวี้ยงจอกเหล้าซึ่งบีบแน่นไว้ในมือเข้าปะทะผนังเต็มแรง มันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แหลกลานอย่างไม่อาจประสานกลับมาดีดังเดิมได้อีกต่อไป


    เฉกเช่นเดียวกับทุกสิ่งทั้งหมดในเวลานี้ที่กำลังจะแหลกสลาย ไม่เล็งเห็นซึ่งหนทางจะเยียวยา


    ครั้นยิ่งคิดถึงความจริงที่กำลังวิ่งไล่ตามเข้ามาอย่างกระชั้นชิด ไม่สามารถหลีกหนีไปด้วยวิถีทางใดๆ ก็ยิ่งกระตุ้นให้ขัดเคืองคับแค้น รุมเร้าด้วยความรู้สึกเดือดดาลที่ต้องระบายออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


    เวลานี้ ชายหนุ่มจึงเลือกปลดปล่อยทุกโทสะเหล่านั้นผ่านทางความใคร่และกามอารมณ์ เขาไม่สนเหตุปัจจัยอื่นใดทั้งหมดอีกต่อไป ไม่ว่าจะสถานที่ เวลา หรือความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ จะอย่างไรเสีย เขาก็มาใช้บริการที่แห่งนี้บ่อยเสียจนอะไรต่อมิอะไรเป็นที่เข้าใจต้องตรงกันดีสำหรับทุกคน

     

    ชิกามารุกระชากแขนหญิงสาวข้างกาย ดึงเธอขึ้นจากท่าทีนอบน้อมที่กำลังปรนนิบัติเขา


    ชายหนุ่มดึงอีกฝ่ายอย่างแรงจนจอกสาเกใบใหม่ที่เธอกำลังซับด้วยผ้าอุ่นๆ ให้ร้อน กระเด็นหลุดจากมือ ตกลงบนเสื่อทาทามิ ท่อนแขนเรียวเล็กอันบอบบางใต้แขนเสื้อกิโมโนดูคล้ายกิ่งไม้เล็กๆ ที่พร้อมจะหักหากมีสิ่งใดมากระเทือนหรือไม่ได้รับการทะนุถนอมให้ดี ทว่าชิกามารุก็ดูจะไม่ได้สนใจนัก เขายังคงปฏิบัติต่อเกโกะนางนี้อย่างไม่คิดถนอมออมแรง ไม่รู้สึกว่าต้องปรานีหรืออ่อนโยน


    มือแกร่งบีบแขนเธอแน่นจนขึ้นเป็นรอย ขณะพันธนาการรัดเธอไว้ด้วยมือตัวเองไม่ให้ขยับขัดขืน เพราะประสงค์จะแสดงอำนาจเหนือกว่า ชดเชยความไม่มั่นใจและปมบกพร่องที่คอยทิ่มแทงว่า เวลานี้ กับเรื่องทั้งหมดนี่ ตนไม่อาจทำอะไรได้เลย


    เขาใช้ความรุนแรงเพื่อทดแทนและปลอบโยนจิตใจว่าตัวเองยังคงมีอำนาจ ควบคุมทุกอย่างได้ภายใต้กำลังและบงการของตน ใบหน้าคมสันลดต่ำลง ปลายนิ้วปัดผ่านผิวเนื้อ แหวกสาบเสื้อกิโมโน ก่อนจะประทับริมฝีปากอุ่นๆ เหนือเนินอกของหญิงสาว ลากลิ้นสัมผัสผ่าน


    “ทะคะฮะรุ”


    ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยชื่อสตรีตรงหน้าออกมาอีกครั้งอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน


    แต่ในน้ำเสียง รวมถึงความรู้สึกที่เจือปนอยู่นั้น ราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังเรียกชื่อเธอ แต่เป็นนามของใครอีกคน


    ภาพที่สะท้อนอยู่บนดวงตาของชายตรงหน้าก็เช่นเดียวกัน ประหนึ่งว่าเขาไม่ได้กำลังมองเธอ หากแต่สตรีคนหนึ่งซึ่งกำลังครอบครองดวงจิตตลอดจนห้วงคำนึงหาของเขาต่างหากที่ถือครองครรลองจักษุบนดวงตา เนื้อที่ในดวงใจ และพื้นผิวเหนือสำนึกคิดทุกประการนั่น


    ถึงแม้ว่าสำหรับเขาแล้ว เธอคือทะคะฮะรุ[1]


    เธอมักจะเป็นท้องฟ้าแจ่มใส


    แต่เธอไม่มีวันทัดเทียมสายลมของเขาได้


    หญิงสาวหลับตาลงด้วยความกล้ำกลืน ขณะชายหนุ่มเลิกเสื้อกิโมโนออก พลางซุกหน้า ขบเม้มลงมาบนยอดอกของเธอ กระแสความเสียวสะท้านแล่นผ่านทั่วร่าง ปลุกเร้าอารมณ์ให้กระเจิดกระเจิง เขาดึงผ้าคาดเอวชั้นในออก ก่อนจะปลดโอบิของเธออย่างช่ำชอง เพราะเขารู้วิธีใส่กิโมโนและถอดมันออกดี


    หนึ่งในผลพลอยได้ของการเป็นคุณชายตระกูลใหญ่


    ร่างสูงจับตรึงเธอกับพื้นก่อนจะนาบตัวลงมา ตักตวงทุกสิ่งทุกอย่างไปโดยไม่เคยให้อะไรตอบกลับมาจริงๆ นอกจากเงินตราหรือวัตถุ


    แต่หญิงสาวก็ยังพึงพอใจจะปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสัมผัสโอ้โลมของอีกฝ่าย เธอยินยอมพร้อมใจให้เขากระทำอย่างไรกับเธอก็ได้เพียงเพราะว่าอย่างน้อยๆ ตนก็ได้ครอบครองตัวเขาไว้ชั่วเวลาหนึ่ง


    ถึงจะไม่มีวันได้หัวใจเขามาเลยก็ตาม แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะมีดวงตามองมายังเธอตอนที่ร่วมรักกัน


    แม้หญิงสาวจะไม่แน่ใจนักหรอกว่า เขามองที่เธอเป็นเธอจริงๆ หรือให้เป็นตัวแทนของใครทับซ้อนมาระหว่างตักตวงความสุขจากเธอกันแน่ แต่ทะคะฮะรุคิดว่าคงปลอบประโลมใจตัวเองได้ดีกว่า หากปักใจเชื่อไปเสียว่าได้อยู่ในสายตาอีกฝ่าย


    ต่อให้ไม่ว่าครั้งใด เขาก็ไม่เคยจูบเธอยามแนบร่างลงมาหรือสอดใส่เป็นหนึ่งเดียวกัน


    มันคงถูกสงวนไว้ให้แก่คนรักเพียงเท่านั้น และเธอไม่ควรค่าพอแก่ความรู้สึกเขาที่จะมอบปฏิสัมพันธ์ลึกซึ้งนั่นให้


    ความรู้สึกชอกช้ำระคนขมขื่นที่เต็มตื้นขึ้นมา บีบให้ทะคะฮะรุซึ่งปรารถนาจะมอบความสำราญแก่ชายหนุ่มผู้อุปถัมภ์มากกว่าตัดพ้อกับตนเองจนดูไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับอีกฝ่าย ต้องฝืนกล้ำกลืนมันลงไป พลางตอบสนองสัมผัสเร่งเร้าจากคนตรงหน้าเพื่อหวังให้เขามีความสุข


    ทว่าจังหวะที่ชายหนุ่มแทรกมือผ่านเข้ามาข้างใต้กิโมโนเพื่อสัมผัสจุดเปียกชื้นด้านในที่กำลังเรียกร้องให้ได้รับการกระตุ้น เสียงดังโหวกเหวกเอ็ดอึงซึ่งลอดเข้ามาจากด้านนอก ลอยผ่านระเบียงทางเดินอันวกวนสู่ตัวห้องชั้นในนี้ ก็พลันทำให้ชิกามารุชะงักมือ


    เขาคงจะไม่หยุดอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านของตัวเองง่ายๆ แน่ หากเสียงดังกล่าวซึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่สำเนียงอันคุ้นเคยของโฮคาเงะแห่งโคโนะฮะ และกระแสปรามอื้ออึงที่แทรกตามมาเป็นระยะ ทั้งยังฟังดูลุกลนระคนลำบากใจไม่น้อยนั่น ไม่ใช่ของนายหญิงผู้ดูแลประจำสำนักกับเหล่าหญิงรับใช้คนอื่นๆ ที่ส่งเสียงมาก่อนตัวเสียอีก


    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงเดินตามกันมาเป็นขบวนเพื่อคอยทัดทานนะนะไดเมะคนเดียว


    “ไม่ได้นะคะ นะนะไดเมะสะมะ ด้านในมีแขกอยู่ค่ะ”


    นั่นเป็นเสียงร้อนรนของนายหญิงประจำเรือนน้ำชาที่ลำบากใจไม่น้อย ขณะกล่าวซ้ำๆ ด้วยถ้อยคำเดิมๆ อยู่เช่นนั้นกับแขกผู้มาเยือนที่เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะสนใจรับฟังเลยสักเพียงนิด การห้ามปรามอย่างสุภาพสำรวมเหล่านี้จึงไม่เป็นผลเท่าไรนัก


    เสียงฝีเท้าสืบเข้ามาไม่ห่าง ฟังดูรีบร้อนและหุนหันมากทีเดียว ราวกับว่าโฮคาเงะหนุ่มกำลังรีบเร่งจะจัดการกิจบางอย่างให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วด้วยจุดประสงค์อื่นมากกว่าจะแสวงหาความสำราญอันรื่นรมย์


    ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แสร้งทำเป็นรื่นเริงบันเทิงใจ และทำตัวลอยชาย ปล่อยอารมณ์สบายอย่างง่ายๆ ไปกับสถานการณ์นี้ ไม่ฟังคำทัดทานใดๆ แต่มุ่งหน้ามาตามระเบียงทางเดินอย่างองอาจ ทั้งยังผึ่งผายด้วยอากัปกิริยาของผู้ทรงอำนาจ ขณะเหล่าสตรีประจำเรือนน้ำชาที่รีบก้าวเท้าตามมาเบื้องหลังเป็นขบวนต่างร่ำเอ่ยรั้งไม่ขาดปาก


    ก็จะไม่ให้ดึงตัวโฮคาเงะหนุ่มไว้ได้อย่างไร ในเมื่อเกโกะที่โฮคาเงะรุ่นที่เจ็ดเอ่ยปากเบิกตัวในวันนี้เป็นผู้หญิงของเจ้าบ้านตระกูลนารา


    ทั้งที่โดยพื้นฐาน ไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือเรียกหาทะคะฮะรุเป็นการส่วนตัวทั้งนั้น ด้วยรู้ดีว่านั่นเท่ากับการประกาศตัวเป็นศัตรูกับนารา ชิกามารุ ซึ่งอาจเป็นก้าวเท้าผ่านเข้าไปยังความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริง อันจะเป็นเหตุให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก รวมถึงมีแนวโน้มจะมีชีวิตสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ


    ถึงแม้ว่าเกโกะนางนี้จะไม่ใช่ผู้หญิงตัวจริงของเจ้าบ้านหนุ่ม ไม่เหมือนคุโนะอิจิผู้มาจากทะเลทรายคนนั้น สตรีผู้ซึ่งรั้งตำแหน่งนายหญิงของบ้านตระกูลนาราอย่างไม่ต้องสงสัยก็ตาม ครั้งล่าสุดที่มีคนล้ำเส้นกับเทมาริแห่งทะเลทราย นินจาผู้นั้นลงเอยด้วยภารกิจที่รู้กันว่าคือการส่งไปพลีชีพ แต่ทะคะฮะรุก็ยังเป็นผู้หญิงในคุ้มครองของชิกามารุอยู่นั่นเอง


    แล้วกวางหนุ่มผู้มองเผินๆ เงียบขรึมนั้น เป็นคนหวงของอย่างร้ายกาจมากทีเดียว การที่โฮคาเงะจะไปยุ่งย่ามด้วยย่อมไม่เป็นการดี ไม่ว่าอย่างไร


    “นะนะไดเมะสะมะ ขอร้องล่ะค่ะ ทำอย่างนี้ทะคะฮะรุเองก็คงลำบากใจนะคะ เธอกำลังรับแขกท่านอื่นอยู่ค่ะ”


    ปกติ โฮคาเงะหนุ่มแวะเวียนมาใช้บริการที่แห่งนี้บ่อยครั้งพอๆ กับนารา ชิกามารุ สองหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้ไม่มีปัญหากับการใช้จ่ายเพื่อความสำราญเป็นแขกประจำ บางทีก็เยี่ยมหน้ามาด้วยกัน


    แต่แล้ว โฮคาเงะของหมู่บ้านก็มาปรากฎตัวหน้าโรงน้ำชา


    เรียกหาสตรีที่กำลังปรนนิบัติเพื่อนสนิทของตนอยู่ราวกับจะก่อสงครามกลางสำนักรับรองให้วอดวายกันไปจะๆ อย่างไรอย่างนั้น


    อีกอย่าง เหล่านางประจำสำนักรู้ดีว่าเจ้าบ้านหนุ่มแห่งตระกูลนาราไม่ชอบให้ใครเข้าไปรบกวนจนกว่าจะกลับออกไปในวันรุ่งขึ้น ตอนฟ้ายังไม่สาง หรือไม่แล้ว บางเวลาก็จะพาทะคะฮะรุไปค้างคืนยังที่พักของเธอ พวกนางจึงทำทุกทางอย่างสุดความสามารถเพื่อยื้อยุดเงาไฟของหมู่บ้านไว้ก่อนจะเข้าไปถึงโอสะชิคิ[2] ด้านใน แล้วตามมาด้วยความขัดแย้งหรือการวิวาทที่พวกเธอเองไม่อยากแม้แต่จะนึกภาพ


    นินจาระดับสูงที่ใครต่างก็ครันคร้าม ผู้นำของหมู่บ้านกับหัวหน้าโจนินที่เป็นรองแค่โฮคาเงะ คิดแล้วก็พลันอกสั่นขวัญแขวน


    น้ำเสียงของสตรีผู้ดูแลกำลังจนใจถึงที่สุด เหตุใดคนตรงหน้าที่เป็นโฮคาเงะถึงกล้าเรียกตัวผู้หญิงของเพื่อนสนิทตัวเองได้หน้าตาเฉย


    แถมการคัดค้านก็ดูจะเป็นไปได้ยากเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะฟังสิ่งใด ก่อนจะฝ่าวงล้อม บุกเข้ามาข้างในอย่างสบายอารมณ์ราวกับไม่ถืออะไรเป็นสาระสำคัญ ทั้งยังไม่อ่านบรรยากาศแวดล้อมอีกด้วย ได้แต่โบกไม้โบกมือด้วยท่าทีง่ายๆ สบายๆ แถมยังสำราญจนออกนอกหน้า ถึงแม้ว่าดวงตาคู่นั้นกับท่าทีที่แฝงอยู่จะดูเฉียบขาด เหมือนหนึ่งว่ามีเจตนาและความมุ่งหมายอันไปเต็มด้วยเคร่งเครียดจริงจังอื่นแอบแฝงอยู่


    เป็นความมุ่งมั่นอันน่าพรั่นพรึงที่บอกชัดเจนในตัวว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ตามต้องการ


    นะนะไดเมะ โฮคาเงะซ่อนความเครียดขึ้งไว้ใต้รอยยิ้มเสเพลที่ยิ้มสรวลเสล ตลอดจนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะซึ่งติดจะหยอกล้อชวนหัว “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทะคะฮะรุจังไม่อยากเจอฉันอย่างนั้นเหรอ ไปรับแขกคนอื่นอะไรกัน เหลวไหลทั้งเพ วันนี้เจ้าบ้านตระกูลนาราไม่มาหรอก ใครอื่นจะเรียกเอาทะคะฮะรุไปได้อีก”


    “ทะคะฮะรุมีแขกอยู่จริงๆ ค่ะ แต่อัตสึฮะรุของท่านว่างอยู่นะเจ้าคะ เธอพร้อมจะปรนนิบัติท่านเหมือนทุกที”


    ดูเหมือนการพร่ำโน้มน้าวจะไม่ส่งผลประการใดต่อความคิดของอุสึมากิ นารุโตะ ชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธอย่างเรื่อยเฉื่อยและไม่ใคร่ใส่ใจนักด้วยใบหน้าเป็น ก่อนจะจบฝีเท้าที่ก้าวอย่างองอาจมาดมั่นไปตามแผ่นกระดานลง เมื่อหยุดยืนยังที่หมาย


    ห้องชั้นในของเรือนรับรองพิเศษนั้นเชื่อมต่อออกมาจากเรือนหลักผ่านระเบียงยาวที่ทอดตัดสวนญี่ปุ่นอันงดงาม ในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ มันกำลังเปล่งแสงเรืองรองจากโคมไฟตามสุมพุ่มไม้ ตะเกียงอะชิโมะโทะที่ถูกวางไว้เป็นจุดๆ ตลอดทางเดิน ส่องไสว สะท้อนเข้ากับแสงเงาบนใบหน้าร่าเริงของนารุโตะให้กลายเป็นความถมึงทึงขึงขังดูน่ากลัว ตรงตามการแสดงออกแท้จริงจากภายในไปเสีย


    ร่างสูงในชุดฮะคะมะลำลองฉาบทับเป็นเงาบนกระดาษกรุของประตูโชจิที่กางกั้นระกว่างเอ็นงะวะกับชานเรือนชั้นใน โฮคาเงะหนุ่มไม่ได้เปิดมันออกในทันทีตามประสงค์ เพราะดูเหมือนสตรีที่ตามหลังมาไม่ห่างพยายามจะพูดอะไรให้เขาเปลี่ยนความคิดเสียเป็นครั้งสุดท้ายอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้เขาถอยห่างจากประตูเบื้องหน้า


    น้ำเสียงของนายหญิงผู้ดูแลเริ่มสิ้นหวัง ไม่เห็นลู่ทางจะทำอะไรได้อีกแล้วยามมีเพียงแค่บานประตูกางกั้น เธอรู้ดีว่าเจ้าบ้านหนุ่มแห่งตระกูลนารามาใช้บริการสถานเริงรมย์แห่งนี้เพราะชอบความเป็นส่วนตัวยิ่งกว่าอะไร และที่นี่มอบสิ่งนั้นให้ได้ แถมเขายังมอบความเชื่อใจให้เธออำนวยความสะดวกต่างๆ ยามมาใช้บริการ นั่นรวมถึงการรักษาความลับด้วย


    เธอจึงยังดิ้นรน หันไปสั่งเด็กรับใช้ให้เรียกเกโกะในอุปการะของโฮคาเงะหนุ่มออกมา


    “ใครก็ได้ไปตามอัตสึฮะรุมารับรองนะนะไดเมะสะมะที”


    “ไม่ต้อง!” เสียงนี้ตัดผ่านอากาศ สวนกลับไปทันที ราวกับว่าความอดทนของโฮคาเงะหนุ่มไม่อาจเหนี่ยวรั้งความเร่งร้อนและความมุ่งหมายที่จะจัดการเรื่องให้จบไปได้อีกแม้เพียงวินาทีเดียว ชั่วขณะเสียงประกาศกร้าวอันเฉียบขาดและทรงอำนาจสั่นคลอน ทุกอย่างก็หยุดนิ่ง


    แน่นอนว่าเสียงนี้ลั่นผ่านเข้าไปด้านในห้องด้วยเช่นกัน ครั้นนารุโตะรู้ตัวว่าเผลอพลั้งในการควบคุมตัวเองไป ก็รีบปล่อยปลายเสียงให้อ่อนลง ก่อนจะเสริมด้วยท่าทีที่กลับมาโอภาปราศรัยอย่างร่าเริงอีกครั้ง


    “วันนี้น่ะ อยากให้ทะคะฮะรุจังมาดูแลมากกว่า ไหนทะคะฮะรุจัง อยู่นี่เหรอ”


    สิ้นคำ ประตูบานเลื่อนฟุสุมิกรุกระดาษหนา ลงลายงดงาม ก็ถูกเปิดออกอย่างฉับไว


    ตอนนั้น ชิกามารุซึ่งไหวตัวทันอยู่ก่อนหน้าจากเสียงเอะอะและบรรยากาศเจือด้วยอำนาจที่ลอยผ่านมาตามระเบียง ก็ได้ผละออกจากเกโกะประจำตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูไม่ครณามือเดือดร้อน แม้เหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหมดจนถึงตรงนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะเพียงไม่กี่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น


    หัวหน้าโจนินคนสำคัญของหมู่บ้านในชุดยุคะตะเนื้อเบาสบายซึ่งบัดนี้แหวกให้เห็นช่วงอกกว้างกับเสื้อฮะโอะริที่คลุมไหล่ไว้หลวกๆ กำลังนั่งปล่อยอิริยาบถสบายๆ ดื่มสาเกอยู่บนเบาะ ขณะสตรีข้างกายหลุบงุดอย่างสำรวม พยายามดึงกิโมโนหลุดลุ่ยเข้าไว้ด้วยกันด้วยใบหน้าเรียบเฉย มีสติ ทั้งยังไว้ตัว ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


    แต่ไม่ว่าใครที่เห็นภาพตรงหน้าในเวลานี้ ก็ย่อมเข้าใจด้วยกันทั้งนั้นว่า เมื่อครู่ คนทั้งสองกำลังซุกไซ้กันพัลวัน และเพิ่งผละแยกจากกันเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน ไม่มีใครกล้าเลื่อนสายตามองเข้าไปในห้อง เหล่าสตรีด้านหลังสำรวมสายตา มองตรงไปทางอื่นอย่างรู้หน้าที่ เว้นแต่โฮคาเงะหนุ่มซึ่งจ้องภาพเบื้องหน้าราวกับยังตั้งสติไม่ได้


    ครั้นผู้ถือวิสาสะบุกรุกเห็นภาพดังกล่าว เหนือความคาดหมายโดยสัตย์จริงว่าไม่คาดคิดมาก่อนถึงการต้องพบเจอหัวหน้าโจนินของตนในเวลานี้ ยิ่งโดยเฉพาะในสภาพนี้ด้วยแล้ว หลังจากเพิ่งผ่านเรื่องทั้งหมดในห้องประชุมที่มีพวกเขาเพียงสองคนไม่ทันข้ามวัน โฮคาเงะแห่งโคโนะฮะก็พลันชะงักงันไป ไม่สามารถสั่งการร่างกายให้ทำสิ่งใดได้ถูก


    ชั่วพริบตาหนึ่ง บนดวงตาสีฟ้านั่นฉายร่องรอยแห่งความวิตกและความหวั่นผวา ราวกับกลัวว่าจะถูกจับได้หรือถูกล่วงรู้ถึงเจตนาแท้จริงที่มาพบเกโกะประจำตัวเพื่อนสนิทอย่างแปลกประหลาด ผิดสามัญสำนึกแก่ผู้ใดก็ตามที่ได้พบเห็นขึ้นมา


    นารุโตะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ พยายามปั้นหน้าให้กลับคืนเป็นปกติมากที่สุด ก่อนจะกล่าวทักทาย


    “อา นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอนายที่นี่ชิกามารุ”


    ในเวลานี้ โฮคาเงะหนุ่มเป็นคนเดียวที่ไม่สนใจบรรยากาศมากพอจะพูดออกมา ถ้อยคำนั้นมีความหมายตรงตามจริงทุกประการ นารุโตะไม่คาดคิดว่าจะพบอีกฝ่ายที่นี่ถึงได้เสียอาการอย่างมาก และเกือบเผลอทำหน้าเผือดลง ทว่ามันก็ถูกซ่อนไว้ใต้ใบหน้าระรื่น กลบเกลื่อนความรู้สึกและเจตนาทั้งหมดสุดฤทธิ์


    นะนะไดเมะหยุดไปเสี้ยวลมหายใจหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่ออย่างรักษากิริยาและวางตัวโออ่าผ่าเผยเฉกเช่นชายหนุ่มตระกูลดีเจ้าสำราญ


    “ถ้าไม่เป็นการรบกวนล่ะก็นะโฮคาเงะหนุ่มเลิกคิ้ว เขายกมือขึ้นจับขอบประตูเป็นเชิงถามถึงการต้อนรับขับสู้ พลางเว้นจังหวะปลายเสียง ทิ้งประโยคไว้เพียงเท่านั้น


    เหตุเพราะการเอ่ยปากเสนอตัวขึ้นมาก่อนว่าประสงค์เช่นไรคือการเสียมารยาทและไม่สมความประพฤติอันเหมาะสมที่พึงสงวน ทั้งที่ความหมายแท้จริงก็เท่ากับเจตนาถามไถ่ถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเป็นนัยๆ อย่างสงวนท่าทีไม่ให้น่าเกลียด พร้อมทั้งคงสมบัติผู้ดีเอาไว้


    ฝ่ายผู้ตอบรับจึงไม่มีทางเลือก นอกจากจะเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนอย่างไม่น่าต้อนรับด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ และร่ำๆ จะปะทุอารมณ์คุกรุ่นที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้งออกมาได้ทุกเมื่อ





    ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงเสียดสีของผ้าไหมชั้นดีขณะสตรีนางเดียวภายในห้องกำลังเลื่อนพับผืนผ้าโอะบินั้นพันรอบเอวให้เข้าทีดังเดิม


    ยิ่งเธอขยับกาย เสียงเนื้อผ้าก็ยิ่งลอยอ้อยอิ่งในบรรยากาศ เกโกะรูปงามจัดแต่งคอเสื้อฮันเอะริชั้นในให้เรียบร้อยและดึงสาบเสื้อกิโมโนขึ้นกระชับตัวด้วยท่วงท่าเสงี่ยมสำรวม กึ่งจะเอียงอาย สงวนตัว ทั้งยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อสถานการณ์กระอักกระอ่วนและความบาดหมางลึกๆ ภายใต้ฉากหน้าเคร่งขรึมเป็นปกตินี้


    เธอนั่งทับเข่า หลังตั้งตรงด้วยอิริยาบถสง่างามทุกกระเบียด หันทิศเฉียงไปทางชานเรือน จัดแต่งอาภรณ์อย่างเงียบๆ ไม่ประจันหน้าตรงๆ กับบุรุษทั้งสอง พลางเบือนหน้าอย่างไว้กิริยา


    พวกเขานั่งเยื้องกันคนละทิศตามมารยาท ไม่หันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายต่างก็นั่งผินหน้าไปคนละทางตามตำแหน่งการนั่ง โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่เกือบจะเรียกได้ว่าหันหลังให้บุรุษทั้งสอง และบุรุษทั้งสองนั้น ใครมาเห็นก็ต้องเข้าใจได้ทันทีว่ากำลังเข้าหน้ากันไม่ติด เมื่อฝ่ายหนึ่งไม่คิดอยากจะควบคุมโทสะพุ่งพล่านที่แผ่ออกมา ขณะอีกฝ่ายก็ไม่ไว้หน้า แสดงท่าทีประหนึ่งว่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดไป


    โฮคาเงะแห่งโคโนะฮะเหลือบมองเกโกะนางเดียวในห้องเมื่อเสียงเนื้อผ้าหยุดลงแทนสัญญาณว่าเธอจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเพียงวางสายตาอย่างเรียบเฉย ไม่ได้ใส่ใจท่วงท่างดงาม และไม่ได้คิดว่ามันยั่วยวนใจแต่อย่างใด เพราะเขากำลังนึกทอดถอนใจแทนเกโกะนางนี้


    ทะคะฮะรุงดงามก็จริง อากัปกิริยาทั้งหมดนั่นชวนให้หลงใหลและพึงใจชมชอบ


    แต่ไม่อาจเทียบกับสตรีอีกนางได้เลย


    ขณะจับตาชื่นชมเกโกะเลื่องชื่อของแคว้น ใจของโฮคาเงะหนุ่มที่กำลังนึกถึงคู่หมั้นสาวของเพื่อนสนิทเพราะความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ ก็อดหยิบยกสตรีทั้งสองมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แม้ความจริงจะห่างชั้นกันไกลจนป่วยการจะทำเช่นนั้น


    ร่องรอยความทรงจำเวียนผ่านเข้ามา เพราะเกโกะผู้แช่มช้อยกำลังนั่งด้วยอิริยาบถแบบเดียวกับที่ทำให้ภาพทับซ้อนของสตรีอีกคนปรากฏขึ้นบนห้วงสำนึก


    ทะคะฮะรุในชุดกิโมโนนั้นพริ้มเพราอ่อนหวาน แต่เทมาริในชุดกิโมโนนั้นสง่างามสูงศักดิ์


    ไม่ใช่เพียงเกโกะที่ต้องสวมกิโมโนเป็นประจำ เทมาริแห่งทรายก็สวมกิโมโนบ่อยครั้งเช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกงานพบปะสมาคมเป็นทางการ เพราะด้วยสถานะของเธอเอง ตลอดจนการจะเป็นนายหญิงของตระกูลใหญ่ในอนาคต ย่อมมีเหตุให้ต้องสวมกิโมโนอยู่เสมอ แม้แต่กิโมโนที่เป็นสินเดิมของเธอก็งดงามและมีราคาอยู่แล้ว บรรดากิโมโนกับของใช้ประจำตัวที่เจ้าบ้านตระกูลนาราจัดหาให้ก็ยิ่งประเมินค่าไม่ได้


    เขานึกถึงคุโนะอิจิจากทะเลทรายที่สวมกิโมโนฟุริโซเดะ[3] จากผ้าไหมย้อมทอลายซึ่งตัดเย็บงดงามปราณีตในงานหมั้นของเธอกับเจ้าบ้านตระกูลนารา ขับความงามสูงสง่าหมดจดของเธอให้โดดเด่นเป็นที่ประทับใจ ต้องตาทุกคนที่ได้พบเห็น แถมยังโจษจันกันออกไป ซาบาคุ โนะ เทมาริ บุตรสาวคนเดียวของคาเสะคาเงะรุ่นก่อน ชาติตระกูลงามพร้อมยิ่งกว่าคำว่าเหมาะสมกับตระกูลนาราเสียอีก


    เมื่อทั้งสองนั่งด้วยกันตอนแลกเปลี่ยนของหมั้น ใครในงานนั้นก็พบว่าพวกเขาช่างสมกันเหลือเกินในทุกๆ ด้าน


    เขาเองก็เป็นพยานอยู่ด้วยในวันดังกล่าว เทมารินั่งทับส้น ตัวตั้งตรงอย่างสง่า วางตัวไร้ที่ติด้วยกิริยามารยาทผุดผาดหมดจด ทุกๆ อิริยาบถของเธอสง่างามจับตาสมฐานะท่านหญิงทะเลทราย บุตรสาวของคาเสะคาเงะ เป็นสุภาพสตรีซึ่งแม้ปกติแล้วจะเป็นคุโนะอิจิที่ห้าวหาญถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังเป็นสตรีผู้งดงามชดช้อยด้วยศักดิ์ตระกูลติดตัวเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอย่อมได้รับการอบรมมาอย่างพรั่งพร้อมสมฐานะกุลสตรีทุกกระเบียด และหากต้องออกเรือนไปก็เป็นที่เชิดหน้าชูตาของตระกูล


    เทมาริแห่งทรายไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เลยที่จะทำให้ทะคะฮะรุในเวลานี้หมองลงไปถนัดตา


    จริงอยู่ว่าทะคะฮะรุสงบเสงี่ยมเจียมตัว ขณะที่เทมาริเปล่งประกายผ่าเผย


    แต่ถ้าให้เปรียบกันแล้ว ความงามที่ต่างกันทั้งสองด้านนั้น ยังมีระดับที่แตกต่างกันอยู่ลึกมากทีเดียว และแม้ว่าสตรีทั้งสองนางต่างก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อม เพราะรสนิยมของเจ้าบ้านตระกูลนารานั้นกังขาไม่ได้เลยก็ตาม


    ชิกามารุมีรสนิยมสูง บรรดาผู้หญิงที่เพื่อนของเขาไปยุ่งเกี่ยวด้วยจึงมักจะไม่ธรรมดา


    นารุโตะลอบมองเกโกะผู้อ่อนหวานอีกครั้ง เขารู้ว่าทะคะฮะรุมีความรู้สึกเช่นไรให้ชิกามารุ แต่ความปรารถนาจะครอบครองนั้นถูกซุกซ่อนไว้ด้วยสำนึกเจียมตัวดี ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเทมาริแห่งทรายคือคนเดียวที่ชิกามารุจะยกย่องไว้ข้างตัวอย่างเชิดชู แม้หญิงสาวจะเป็นคุโนะอิจิที่กร้าวแกร่ง เธอก็คงความเป็นกุลสตรีอันเพียบพร้อมไว้ทุกกระเบียด เพราะอีกสถานะที่เธอมีติดตัวโดยชอบธรรมแต่กำเนิดนั้นไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงจากทะเลทราย


    เธอได้รับการอบรมบ่มเพาะทุกๆ คุณสมบัติของกุลสตรีอันผ่องแผ้วหมดจด


    ในแบบที่เกอิชาคนหนึ่งผู้เรียนรู้ศาสตร์และศิลป์การเป็นกุลสตรียากจะเทียบได้


    ต่อให้ทะคะฮะรุจะงามเพียงใดก็เป็นได้เพียงดอกไม้ประดับ หรือองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมบารมี ย้ำให้เห็นสถานะเปี่ยมอำนาจ ฟุ่มเฟือยล้นเหลือ และทำได้ตามใจชอบของชิกามารุ เป็นไม้ประดับที่จะไว้ชื่นชมเล่นให้เจริญหูเจริญตา ตักตวงความสำราญให้พอใจ จัดหาความสบายให้ไม่ขาดเหลือสิ่งใด


    แต่ไม่มากและไม่คิดจะถนอมไปกว่านั้น


    เกโกะนางนี้งามล้ำ ไม่มีข้อตำหนิด่างพร้อย หากมีเธอไว้เชิดหน้าชูตาก็ไม่อายใคร ทว่าเทมาริแห่งทรายนั้นงามสง่าเพียบพร้อม กิริยาผ่องแผ้ว ชวนให้ตราตรึงด้วยบรรยากาศมั่นใจผ่าเผย เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ชิกามารุไม่คิดเบือนหน้าหนี และยอมตนมอบทุกอย่างให้ เปิดเผยนิสัยด้านซึ่งไม่เคยมีใครเห็น ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับเธอด้วยด้านที่ไม่เคยปฏิบัติกับใครคนไหน กล่าวได้ว่าหัวหน้าตระกูลนาราทั้งถนอมทั้งเชิดชูออกหน้าออกตา


    ชิกามารุไม่เคยให้ค่าผู้หญิงคนไหนมากไปกว่าเทมาริ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้ใจของชายหนุ่มไป


    ถ้าเกิดเรื่องทั้งหมดนี้จบลงด้วยโศกนาฎกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะสิ้นสุดลงแบบไหนในตอนสุดท้าย ก็ยังมีเพียงสิ่งเดียวที่แน่นอน ไม่ผันแปร  ดวงใจของชิกามารุจะอยู่ที่คุโนะอิจิแห่งทะเลทรายเสมอ ให้ไปหมดทุกสิ่ง ไม่เหลือไว้ให้ใครอื่นอีก


    ไม่มีวันที่ชิกามารุจะรักใครได้ต่อไป


    หัวใจเขาเป็นของผู้หญิงจากทะเลทรายทั้งดวง ดังนั้น หากปราศจากซาบาคุ โนะ เทมาริแล้ว ก็เท่ากับชิกามารุไร้หัวใจไปนั่นเอง


    เป็นคนไม่มีหัวใจ ด้านชา ไม่มีความรู้สึกหรือความสามารถที่จะรักหลงเหลือ


    นารุโตะรู้ดี ทั้งหมดจึงเท่ากับว่า เวลานี้ เขากำลังทำร้ายหัวใจของเพื่อนสนิทอย่างแสนสาหัส ตั้งเป้าคุกคามเทมาริก็เท่ากับเล็งไปที่หัวใจของนารา ชิกามารุ เหมือนกระชากหัวใจที่อีกฝ่ายมีมาทำลาย ย่อยยับแหลกลาน และสุดท้ายหากขาดหญิงสาวไป คนๆ นั้นก็ไม่หลงเหลือหัวใจอยู่อีก


    ความรู้สึกผิดอันร้ายกาจโหมกลืนขึ้นมาจากกระเพาะ เหมือนมือของอสุรกายที่กำลังฉีกทึ้งอวัยวะภายใน นารุโตะรู้สึกแน่นหน้าอกด้วยน้ำหนักของกลุ่มก้อนความเจ็บปวดและความเสียใจสุดซึ้งต่อสิ่งที่กำลังจะกระทำ ความละอายรวมทั้งความอึดอัดคับแค้นต่อตัวเองกำลังคละคลุ้งอยู่ในกระแสสำนึกของเขาราวกับหมอกควันพิษที่ตอกย้ำความเจ็บปวด


    เขานึกอยากจะด่าทอ ทึ้งศีรษะตัวเอง เพราะไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว และยิ่งคิดถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำต่อ ก็ยิ่งชิงชังเรื่องทั้งหมดนี่มากขึ้นเท่านั้น โฮคาเงะหนุ่มรู้สึกถึงตะกอนความรู้สึกผิดที่กำลังละลายอยู่ในอกจนลิ้นรู้สึกขมปร่าด้วยความละอายเกินต้าน


    เหตุผลที่ตนมาพบเกโกะในอุปถัมภ์ของชิกามารุ เพราะผลกระทบสืบเนื่องมาจากเรื่องที่เขามอบหมายให้ชิกามารุไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขาจำต้องวางกลไกอันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการควบคุมเรื่องดังกล่าว


    แล้วมันเป็นราวกับพยานให้ประจักษ์ว่า เขานั้นทำสิ่งไม่น่าให้อภัยได้มากถึงเพียงใด


    เรื่องทั้งหมดสามารถร้ายกาจและต่ำช้าอย่างไร้หัวใจกว่านี้ได้อีก


    การมาเยือนสำนักเริงรมย์ที่ทะคะฮะรุสังกัดอยู่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาความสำราญหรือลูบคมชิกามารุเล่นด้วยการยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงในความดูแลของหมอนั่น ทว่าจุดประสงค์แท้จริงที่ตนพยายามอำพรางไว้ภายใต้ท่าทีสบายๆ ของชายหนุ่มผู้แสวงหาความสำราญหย่อนใจคือการมาเพื่อมอบหมายให้เกโกะนางนี้รับบทเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญต่อภารกิจอันเกี่ยวเนื่องกับหัวหน้าโจนิน


    เพราะหากชิกามารุจับตาเทมาริแห่งทรายผู้เป็นหัวใจแล้วไซร้ ใครกันเล่าจะจับตาชิกามารุให้แน่ใจว่าเขาจะทำหน้าที่นั้นอย่างเหมาะสมตามที่พึงกระทำ


    ทะคะฮะรุคือคนๆ นั้น


    คนที่เขาจะมอบหน้าที่สอดแนมให้เธอคอยเฝ้าดู สอดส่อง และลอบควบคุมทุกเรื่องเกี่ยวกับนารา ชิกามารุอย่างลับๆ ใช้ความตายใจ ความไว้วางใจ ตลอดจนความคุ้นเคยของอีกฝ่ายในช่วงที่เขามาพักผ่อนหย่อนใจกับเธอให้เป็นประโยชน์ และนำมารายงานโดยตรงแก่เขา


    ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เชื่อใจเพื่อนสนิทของตน ทว่าความจำเป็น รวมถึงหน้าที่ธำรงประโยชน์ของหมู่มากย่อมมาก่อนเสมอ มิหนำซ้ำ มันยังเป็นข้อคิดเห็นจากสภาสูงที่ถูกแนะนำลงมายังโฮคาเงะ แม้เขาจะไม่อาจหนีความจริงที่ว่าตนคือคนที่ตัดสินใจทำมันให้เกิดขึ้นไปได้ก็ตาม ชิกามารุซึ่งกำลังถูกเพ่งเล็งจากสถานะที่เกี่ยวพันกับคุโนะอิจิแห่งซึนะงาคุเระ จำต้องอยู่ในการเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือยกเว้นเป็นอื่น


    เสียงโหวกเหวกอันเต็มไปด้วยความรื่นเริงประการหนึ่ง ดังแว่วมาไกลจากด้านนอกนั่น เมื่อแขกที่แวะเวียนมาอีกชุดกำลังถูกเชื้อเชิญไปตามระเบียงอีกฝั่งของสวน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของบุรุษทั้งสองนัก แม้ว่าความสงบเงียบไร้บทสนทนาในห้องรับรองพิเศษอันน่าอึดอัดนี้จะแตกต่างกับบรรยากาศสรวลเสเฮฮาตรงนั้นมากก็ตาม


    ในโอสะชิคิ[4] ห้องรับรองแบบญี่ปุ่นที่ถูกจัดเตรียมแยกไว้เป็นพิเศษเพื่อปรนนิบัติเจ้าบ้านหนุ่มแห่งตระกูลนารา ปรากฎแสงสีส้มสลัวจาง กรุ่นด้วยกลิ่นเครื่องหอมซึ่งถูกรมอยู่ตลอดเวลา เงาจากตะเกียงโบราณทาบทับลงบนฉากกั้นผ้าไหมอันโปร่งบาง วะวิบไหวราวกับกำลังเริงระบำ มันเป็นห้องส่วนตัวราคาสูงระยับ แสดงถึงสิทธิพิเศษในสถานที่ที่บุรุษมักจะมาแสวงหาความสำราญให้แก่ตัวเอง และบุคคลซึ่งพร้อมจ่ายในราคาแพงลิบลิ่วนี้ก็กำลังนั่งอิงที่เท้าแขนอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด


    อุสึมากิ นารุโตะค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองลงจากความตึงเครียด หวังจะละลายภาวะบรรยากาศกดดัน และหลอกตัวเองออกจากความรู้สึกผิด เขาค่อยๆ นั่งเอนกายกึ่งทอดตัวกับเบาะ เท้าศอกกับที่รองแขน ครั้นแล้ว ก็รินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากจอกขึ้นจิบ พลางจับจ้องเจ้าบ้านตระกูลนาราอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อาจหาบทสนทนาใดมาทำลายความเงียบลง


    ในอณูบรรยากาศราวกับกำลังมีเงาชั่วร้ายอันพลิ้วพรายแหวกว่าย ขยับไหว เตรียมล่อหลอกวิญญาณสิ่งมีชีวิตในห้องอย่างเงียบเชียบ เหี้ยมเกรียม และพร้อมจะตะครุบเหยื่อ หากความขัดแย้งภายใต้ความเงียบงันวางเฉยระหว่างคนทั้งคู่ลุกโหมขึ้นมา หรือความอดทนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสะบั้นลงก่อน


    ดวงตาสีฟ้ามองของเหลวใสในจอกที่ไหวกระเพื้อมเมื่อตนเขยื้อนมือ สิ่งใดที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระจายต่อออกไปเป็นทอดๆ เหมือนเช่นคลื่นที่ขยับไหวส่งผลกระทบออกไปเป็นระลอก มันไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่เขาตัดสินใจจะกระทำอยู่ ณ ขณะนี้ เพียงหยดเดียวที่กระทบผิวน้ำอันสงบ ก็ส่งเกลียวคลื่นตีรวนออกเป็นวงกว้าง ไม่อาจหยุดยั้ง ไม่สามารถเรียกคืนได้


    นารุโตะปลดปลง กล้ำกลืนทุกสิ่ง เขาบีบจอกดังกล่าวแน่นด้วยตระหนักดีว่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่อาจถอยหลังกลับ


    โฮคาเงะหนุ่มผินใบหน้าที่ถูกบังคับให้กลบเกลื่อนจุดประสงค์แท้จริงทั้งหมดไปทางหัวหน้าโจนินของตน หมายมั่นจะคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายหันมานั่งดื่มเป็นเพื่อน และแสดงออกอย่างจริงใจว่าเขาได้เสนอความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ ตลอดจนความรู้สึกผิดคิดอยากจะชดเชยแล้ว เผื่อว่าชายหนุ่มจากตระกูลนาราจะไม่เคลือบแคลงสงสัยในเจตนาแอบแฝงใดๆ ของเขา


    แต่บางที ใช้วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่กำลังทำหน้าเหมือนพร้อมปฏิเสธโลกอยู่ทุกเมื่อ อย่าว่าแต่คำเชื้อเชิญของเพื่อนสนิท


    สถานการณ์จึงอึดอัด เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองลอยอวลอยู่ใต้ผิวน้ำนิ่งสนิท นารุโตะรู้ดีกว่าใครว่ามันสมองของชิกามารุประมาทหรือประเมินค่าต่ำไปไม่ได้เลย ถึงได้พยายามทำทีประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดผิดไป และฝังกลบมันลงภายใต้ฉากหน้าของการเปลี่ยนมาแสวงหาความสำราญ


    นารุโตะลอบสังเกตเพื่อนหนุ่มผู้สวมหน้ากากเรียบเฉยปกปิดอารมณ์ขุ่นมัวไว้ แต่ไม่อาจบอกได้ว่ามิดชิด ทั้งยังไม่คิดจะพยายามทำเช่นนั้นให้ดีเท่าไหร่นักด้วย ปกติแล้ว ชิกามารุผู้มาพร้อมกับสมญานามจอมเบื่อหน่าย เรียบเรื่อย มักสงวนอารมณ์ของตนไว้อย่างดีภายใต้ความเงียบขรึม มองดูสุขุมเยือกเย็น ไม่ปล่อยให้ใครล่วงรู้ความคิดหรืออ่านอารมณ์ความรู้สึกออก


    ทว่าเวลานี้ เจ้าบ้านตระกูลนารากำลังเปิดเผยความรู้สึกขุ่นเคืองออกมาอย่างชัดเจน แค่เพียงสัมผัสอณูอากาศรอบตัวก็รู้สึกได้แล้วถึงความไม่พอใจที่อึงอลอยู่ เพราะเขาร่ำๆ จะหมดความอดทนกับคู่สนทนา ทั้งยังตั้งใจจะให้อีกฝ่ายตระหนักว่ากำลังบั่นทอนความอดทนเขาให้เหลือน้อยนิดลงมากเพียงใด


    แน่นอนว่าชิกามารุไม่ใช่คนโง่หรือขาดเชาว์ปฏิภาณที่จะไล่ตามความคิดของนารุโตะไม่ทัน การที่โฮคาเงะหนุ่มมาปรากฎตัวร้องเรียกหาเกโกะในอุปการะของเขา ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลใดมาอธิบาย ตรงกันข้ามอย่างมหันต์เสียอีก – อาศัยเพียงเสี้ยววินาทีแห่งการตริตรอง ชิกามารุก็รู้ว่าต้องไม่พ้นอุบายกลเกมที่มุ่งหมายจะกะเกณฑ์ให้ภารกิจซึ่งได้มอบหมายแก่เขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ดำเนินไปในทิศทางที่เห็นชัดว่าถูกวางไว้แล้ว


    ตะเกียงโคมสีแดงที่แขวนอยู่นอกชานพัดแกว่งด้วยแรงลม ทำให้เงาของเจ้าบ้านตระกูลนาราที่สาดอยู่บนผนังไหววูบ สวนแบบญี่ปุ่นด้านนอกสว่างด้วยดวงไฟซึ่งตั้งไว้เป็นจุดๆ ขับแสดงความงามในยามค่ำคืนออกมาได้อย่างเต็มที่ ใบไม้และบุปผาต่างคล้ายกับถูกย้อมด้วยสีแดง แสงเงาขับเร้นคมของใบไผ่ทำให้มันมองดูเหมือนใบมีด


    ดวงตาคมกริบของชิกามารุไม่ได้จ้องกลับไปยังเพื่อนสนิทหรือเกโกะภายใต้อุปการะที่นั่งเสงี่ยมสำรวมอย่างเงียบๆ อยู่มุมห้อง พลางก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อสื่อแสดงความสุภาพนอบน้อม ไม่ปรารถนาจะมีส่วนรวมหรือสอดรู้สอดเห็นเรื่องที่จะได้รับรู้รับฟัง แต่ดวงตาคู่คมที่สามารถบาดลึกไปยังจิตวิญญาณของผู้คนนั้นกำลังพินิจสวนตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน เหมือนหนึ่งว่าพยายามจะเข้าถึงแก่นแท้ของมัน และสายตาที่ใช้มองก็ยิ่งวาวโรจน์ขึ้นเรื่อยๆ เคลือบทับด้วยแสงสีแดงก่ำจากด้านนอกจนดูน่ากลัว


    มันสมองเฉียบแหลมคิดทบทวนเรื่องราวตลอดจนความเป็นไปได้ทั้งหมดของเหตุผลที่นารุโตะมาปรากฎตัวในทีนี้แล้ว โทสะก็พรั่งพรูจนแทบโหมกลืนร่างเขา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะดึงคนที่เกี่ยวข้องกับเขาเข้ามามีส่วนในเรื่องนี้มากเท่าไรจึงจะพอใจ


    ถ้าเขาจะเผลอควบคุมโทสะไม่ได้ ลงหมัดใส่คนตรงหน้าเข้าจังๆ มันก็หมายความว่าเขาอดทนได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว และนั่นไม่ใช่การขาดสติ


    ความเคลื่อนไหวเดียวภายในห้องจึงตกเป็นของนะนะไดเมะ โฮคาเงะรุ่นที่เจ็ด นารุโตะรินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากจอกอีกครั้ง มองดูคล้ายกับว่าพร้อมปักหลักร่ำสุราเป็นมั่นเหมาะ ใจหนึ่ง เขาก็ต้องการลบเลือนเรื่องร้ายๆ ให้พ้นไปชั่วขณะด้วยอำนาจของฤทธิ์สุรา มากกว่าจะใส่ใจทำอย่างอื่น ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงแค่ฉากหน้าก็ตาม


    “นายกำลังไม่พอใจ ฉันรู้ มันเขียนอยู่บนหน้านาย”


    เงาไฟของหมู่บ้านกล่าวทั้งที่ไม่มองหน้าเพื่อนสนิท แต่จับจ้องของเหลวสีใสกลิ่นฉุนกึกในมือพลางหย่นจมูกอย่างขุ่นเคือง เห็นได้ชัดว่าโฮคาเงะพยายามอ้อมค้อม เตะถ่วงเวลาให้ยืดเยื้อออกไปเป็นอีกรอบของวัน ราวกับกำลังทดสอบความอดทนของหัวหน้าตระกูลนาราว่าจะมีให้อย่างกว้างขวางหรือสิ้นสุดลงที่ตรงไหน


    ชิกามารุไม่ตอบ เขาแค่เพียงตวัดสายตากลับมาแทนการบ่งบอกว่าได้สดับฟังถ้อยคำแล้ว และคู่สนทนาเองก็เคยชินต่อการปฏิกิริยาวางเฉย กึ่งจะไม่ใส่ใจกึ่งรำคาญเช่นนี้จากอีกฝ่ายอยู่แล้ว จึงไม่ใคร่เก็บมาสนใจหรือคาดหวังคำตอบเช่นกัน


    นารุโตะเห็นท่าทีดังกล่าวก็ละสายตา หันไปเอ่ยกับหญิงสาวผู้พาตัวเองมาอยู่ร่วมห้องกับนินจาระดับสูงทั้งสองอย่างเสียไม่ได้  สตรีผู้แช่มช้อยซึ่งแม้จะเสงี่ยมหงิมอย่างรู้จักวางตัว แต่กระนั้นก็ไม่สะดวกใจต่อการมีอยู่ของตน ทั้งที่ปกติ เหล่าเกอิชาเคยชินต่อการมีส่วนร่วมรับรู้ รับฟัง มีตัวตนอยู่ร่วมฉากเวลาบรรดาแขกหยิบยกเรื่องต่างๆ มาพูดคุยในฐานะส่วนหนึ่งของงานอยู่แล้ว


    ทว่าบรรยากาศเวลานี้กลับทำให้เธออึดอัดยิ่ง เพราะโดยส่วนตัว ทั้งหมดแทบไม่ต่างอะไรกับว่าเธอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันด้วย


    ซึ่งก็เป็นตามจริงนั้นอย่างไม่อาจปฏิเสธ


    น้ำเสียงของนะนะไดเมะเปลี่ยนไปสนุกสนานกลั้วสำเนียงรื่นเริงทันทีที่เอ่ยกับเกโกะสาว “ทะคะฮะรุจัง วานหยิบกากสาเกบนถาดให้ที นั่นละขอบคุณ นายมีคนรู้ใจน่ารักๆ ว่าง่ายอย่างนี้ไว้คอยเรียกหาคงสบายน่าดูสิท่า”


    ฟังดังนั้น ชิกามารุก็ยักไหล่ที่เป็นได้ทั้งข้อปฏิเสธและการยอมรับ นารุโตะบอกไม่ได้ว่าเป็นอย่างไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคืองและสะกดกลั้นอารมณ์คุกรุ่นเต็มที่ก็สามารถตีความหมายดังกล่าวได้ทันที ดูเหมือนหัวหน้าโจนินของหมู่บ้านจะจัดการอารมณ์อันขุ่นมัวได้ยากกว่าเดิม เพียงแค่ว่ามีผู้แตะต้องคนในความดูแลให้ได้รับความกระอักกระอ่วนใจ


    เกโกะผู้แน่งน้อยตรงมุมห้อง แม้จะสำรวมกิริยา แต่ชิกามารุที่รู้จักเธอมานานสามารถตีความท่าทีรวมทั้งสีหน้าหมองลงอย่างไม่สบายใจนั่นออกว่ากำลังลำบากใจ หนำซ้ำเธอยังนั่งไม่เป็นสุขตั้งแต่โฮคาเงะของหมู่บ้านถือวิสาสะเยี่ยมหน้าเข้ามาแล้ว และตอนนี้ก็กำลังประหม่าผิดวิสัยเมื่อถูกพาดพิงถึงจนผู้อุปถัมภ์อย่างเขาต้องลงมือคลี่คลายสถานการณ์ ออกหน้าแทนเธอ เพื่อให้ความกังวลใจของสตรีเพียงคนเดียวในห้องผ่อนคลายลง


    อันที่จริง อาจกล่าวได้ว่า ตนเองก็ห่วงใยทะคะฮะรุอยู่ไม่น้อย นั่นเป็นเรื่องปกติ ถึงแม้จะเป็นเพียงความรู้สึกและเยื่อใยที่พอมีให้บ้างตามประสาคนเคยชิดใกล้ในแบบเนื้อแนบเนื้อมาแล้ว แต่มันก็เป็นแค่สิ่งพึงมีตามธรรมนองคลองธรรม แล้วถึงเขาจะใช้ประโยชน์จากเธอเพียงแค่ตักตวงความใคร่ หรือให้เป็นผู้ปรนเปรอความสุขสำราญยามนึกอยากหย่อนใจก็ตาม ทว่าเขาก็ยังให้คุณค่าสตรีนางนี้พอสมควร


    เจ้าบ้านหนุ่มแห่งตระกูลนาราหันไปสั่งเกโกะในอุปการะ “ทะคะฮะรุออกไปรออีกห้องก่อน จนกว่าท่านโฮคาเงะจะพร้อมพูดธุระกับเธอจริงๆ แล้วฉันจะเรียกเธอกลับมา”


    เสียงทุ้มนุ่มซึ่งปกติจะติดกระแสสำเนียงเนือยนาย แฝงความรำคาญเล็กน้อย เวลานี้ เจือด้วยความห่วงใยและโอบเอื้อที่ช่วยเติมเต็มจิตใจของผู้ถูกพูดด้วย


    เธอรู้ว่าภายใต้ฉากหน้าเรียบเฉย เบื่อหน่ายแสนระอาเป็นนิสัย แต่กลับแฝงด้วยความเคร่งขรึมนั่น มีความอ่อนโยนแฝงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การโต้ตอบของชิกามารุดังกล่าวนี้เร่งปฏิกิริยาตอบสนองจากชายหนุ่มอีกคนได้เห็นผลดีทีเดียว ทะคะฮะรุลอบยิ้มจางๆ ที่รู้กันดีระหว่างเขากับเธอ แสดงความขอบคุณกลับไปตอนดวงตาสีน้ำตาลนั่นเหลือบมองมา หัวหน้าโจนินของหมู่บ้านพยักหน้าช้าๆ เพียงผิวเผิน เป็นสัญญาณรับรู้


    สำหรับเขา เธอคือทะคะฮะรุ เธอมักจะเป็นท้องฟ้าแจ่มใสอยู่นั่นเอง


    แม้จะเหมาะสมคู่กัน อยู่เคียงกับเมฆไม่สร่าง


    แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นสายลมที่โอบอุ้มเมฆ ลอยตามการพัดพาไปเสมอ


    การแสดงออกที่สื่อให้เห็นถึงความห่วงใยจากผู้อุปถัมภ์นั้น ทำให้ทะคะฮะรุค่อยๆ ลุกอย่างใจชื้น ตั้งท่าเตรียมจะยอบตัวออกไปอย่างนบนอบ กิริยาที่เธอชันเข่าลุกขึ้น เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่ง กลับตัวหันไปทางประตูเลื่อนนี้งดงามมีระดับ มือเรียวสวยจับชายแขนเสื้อกิโมโนข้างหนึ่งขณะเอื้อมมือไปแง้มประตูเล็กน้อยตามมารยาท หมายจะเปิดเลื่อน


    หากนั่นง้างปากโฮคาเงะแห่งโคโนะฮะได้ในทันที


    ชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจวางจอกสีขาวลงด้วยริมฝีปากซึ่งเม้มแน่น ก้ำกึ่งในเรื่องที่ต้องตัดสินใจ บนดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มตื้นขึ้นมาวูบหนึ่ง และมลายหายอย่างรวดเร็วก่อนอีกฝ่ายทันสังเกตเห็น ครั้นแล้ว ผู้เป็นพลังสถิตร่างก็เลือกจะโกหกออกไป ตัดสินใจบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งที่สาระสำคัญของเรื่องนี้คือนารา ชิกามารุเพียงผู้เดียวเท่านั้น


    คนผู้เดียวที่กลายเป็นเป้าหมายให้ต้องจับตาดู อยู่ในความเพ่งเล็งภายใต้สถานกาณ์คุกรุ่นนี่


    โฮคาเงะหนุ่มพร่ำสะกดจิตตัวเองให้เชื่อว่ามันเป็นการโกหกสีขาวเพื่อให้เพื่อนหนุ่มสบายใจ ทว่าไม่สามารถปฏิเสธได้เลยถึงเนื้อแท้ของมันที่อาจเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายยิ่งกว่า ในเมื่อไม่ว่าทางใดก็เจ็บปวดสาหัสด้วยกันทั้งนั้น “ฉันมาพบเธอก็เพื่อนายนะชิกามารุ ทะคะฮะรุจะคอยช่วยนายจับตาดูเธอ ฉันเองก็เชื่อใจนายว่านายจะเลือกทางที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ทะคะฮะรุเองจะเป็นตัวช่วยสำคัญของเราได้”


    นารุโตะเว้นจังหวะเหมือนกำลังชั่งใจ “เรื่องไม่ควรจะเป็นแบบนี้แต่สภาสูง


    ห้องสี่เหลี่ยมเงียบลงถนัดตา และคล้ายประหนึ่งว่าห้องญี่ปุ่นอันสง่างามตามธรรมเนียมนี้กลายเป็นกล่องหนาทึบ ก้องเสียง ลงผนึกลั่นกลอนหนาแน่น ปิดล็อกทุกสิ่งลงไปโดยพลันอย่างไรอย่างนั้น มันเต็มไปด้วยความกดดันเหมือนคลื่นสีดำกำลังล้นทะลักกลืนกินคนในห้อง


    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นความว่างเปล่า


    ท่ามกลางความนิ่งเฉยในความเป็นไปสงัดงัน ชิกามารุไม่รู้ตัวว่าตนหยิบแอลกอฮอล์รินใส่แก้วตัวเองเมื่อไหร่ แต่รสแสบร้อนชวนให้ลุ่มหลงแผ่ไปทั่วอก อบอุ่นเหมือนถูกกอด ทั้งยังร้อนผ่าวราวกับพบเจอรักแรกอีกครั้ง เขาชื่นชอบรสที่ทำให้รู้สึกดีชวนเสพติดนี้ และประสงค์ให้มันรุนแรงพอจะลบเลือนความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดจนด้านชาไป


    ชั่วขณะความเงียบอันเนิ่นนานที่แม้แต่โฮคาเงะแห่งโคโนะฮะก็ยังไม่คิดอยากจะเคลื่อนไหว สุดท้ายแล้ว ชิกามารุก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ ง่ายดาย เป็นความเรียบเฉยธรรมดาประหนึ่งกำลังพูดถึงดินฟ้าอากาศ แต่นั่นทำให้คนทุกผู้ใจหายวาบโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลยแม้เพียงเศษเสี้ยว


    นี่ไม่ใช่ความผิดของนาย นายทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้นายควรห่วงแต่เรื่องของหมู่บ้าน”


    ความนิ่งเฉยนี่แหละ หมายถึงของจริงแล้ว


    ใบหน้างดงามของทะคะฮะรุผินมองผู้ให้การอุปถัมภ์ตนด้วยอากัปกิริยาซึ่งยังคงความสำรวม ไม่มีบกพร่อง ทว่า หากลองสังเกตดูดีๆ นั่นมีความละอายใจและรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นแฝงอยู่


    ในความเป็นจริงแล้ว ใจเธอทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องดี โฮคาเงะไม่ได้เรียกตัวเธอมาพบครั้งนี้เป็นครั้งแรก เรื่องที่เงาแห่งไฟพูดเมื่อครู่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เศษเสี้ยวเล็กน้อยซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าถูกบิดเบือนจากเรื่องราวอันเป็นความจริงที่ไม่ได้รับการเปิดเผยแก่เจ้าบ้านตระกูลนาราทั้งหมด


    โฮคาเงะหนุ่มมอบคำสั่งแท้จริงให้เธอมากกว่านี้


    เลวร้ายกว่านี้


    หญิงสาวนึกถึงอากาศขมุกขมัวก่อนดวงอาทิตย์แหวกพ้นขอบฟ้าย่ำรุ่ง ในห้องพักของเธอซึ่งมีโอกาสได้ต้อนรับโฮคาเงะของหมู่บ้านผู้มาเยือนเหนือความคาดหมายใดๆ ทั้งมวล


    เธอเปิดประตูด้วยความตกตะลึงยามพบว่าแขกคนดังกล่าวคือเงาไฟของหมู่บ้าน


    หญิงสาวเชิญอีกฝ่ายเข้ามาภายในห้องพักอันสะดวกสบายซึ่งชิกามารุเป็นคนจัดหาให้ เธออยู่ในชุดยุคะตะเนื้อบางสำหรับสวมนอนกับฮะโอะริที่หยิบมาคลุมทับตอนลุกออกไปเปิดประตู แต่นารุโตะดูจะไม่ใส่ใจ ไม่ถือสาความไม่เรียบร้อยในตัวเจ้าของสถานที่นัก เขามาเพียงถ่ายทอดถ้อยคำที่ไม่ต่างอะไรกับคำสั่งทำร้าย ประหัตประหารกันให้ย่อยยับ


    เพราะมันเสมือนหนึ่งถ้อยคำชี้ขาดตัดสินที่ทำให้เธอต้องทรยศต่อชิกามารุ หันหลังให้แก่เขา ทำลายเขา ตลอดจนสร้างความเจ็บปวดชอกช้ำให้อีกฝ่าย และผลลัพธ์ที่ตามมาคือความทุกข์ทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย


    เธอรู้สึกเหมือนโฮคาเงะมาพิพากษาโทษประหารแก่เธอด้วยตัวเองกับการบอกให้เธอรับหน้าที่เช่นนั้น ไม่เปิดทางเลือกอื่นใดให้คิดทบทวน ใจคอเธอไม่ดีเลย ทะคะฮะรุยังจดจำได้ฝังใจถึงดวงตาสีฟ้าจัดของอุซึมากิ นารุโตะ ซึ่งจับจ้องมาด้วยความรู้สึกแน่วแน่ชัดเจนว่าควรดำเนินการเรื่องใดต่อไปบ้าง


    ประโยคหนึ่งที่โฮคาเงะหนุ่มพูดด้วยยังคงวนเวียนอยู่ภายใต้วังวนความคิดไม่สร่าง นอกจากเธอจะต้องคอยสอดแนมชิกามารุ ล้วงเอาข้อมูลจากเขา เธอต้องทำยังไงก็ได้เพื่อแยกเทมาริแห่งซึนะงาคุเระกับนารา ชิกามารุ ผู้อุปภัมภ์ของเธอออกจากกัน จบความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทุกด้าน จับตาดูพวกเขาจนกว่าสภาสูงจะมีคำสั่งใหม่ออกมา เธอทำได้ใช่ไหม


    ราวกับโฮคาเงะแห่งโคโนะฮะบีบบังคับให้เธอไปอยู่ข้างเขาอย่างไม่อาจขัดขืนเป็นอื่น ฉุดทึ้งดึงเธอให้เปลี่ยนสถานะไปเป็นฝ่ายที่ยืนตรงข้ามกับชิกามารุ ต่อต้าน และเป็นปฏิปักษ์ต่อชายผู้ให้การอุปถัมภ์ตนเป็นอย่างดี


    ชายคนที่เธอมอบดวงใจให้


    ตอนนั้น เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตอบรับเหมือนหนึ่งคือหน้าที่ด้วยใจคอตีบตันและดวงใจสั่นเครือ


    นะนะไดเมะเป็นบุรุษที่เย็นชาไร้หัวใจมากกว่าที่เธอคิด เขาไม่แม้แต่จะกระพริบตาหรือเบือนหน้าหนียามเห็นสตรีร่ำไห้ กล้ำกลืนความขมขื่นตกปากรับคำ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่


    เมื่อย้อนคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า มันเป็นคำสั่งให้ปฏิบัติและเป็นการบีบบังคับที่ร้ายกาจเหลือเกิน เศษส่วนทั้งใจเธอไม่นึกอยากจะทำมัน ชีวิตความเป็นจริงนั้นมีเพียงการตลบตะแลงใส่กันจนบางครั้งก็แทบจะแทนที่ความจริงโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว ทว่าเธอกลับต้องมาทำตัวสับปลับ ปอกลอกเอาข้อมูล ยังไม่นับรวมถึงการใช้สัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเป็นการเฝ้าจับตาดู ซึ่งจะทำลายความเชื่อใจที่เธอได้รับจากชิกามารุให้พังลง


    คงจะไม่ผิดนักหากบอกว่าเธอกำลังเล่นกับไฟ ที่สุดท้ายแล้ว เธอเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน


    ชั่วลมหายใจหนึ่ง ทั่วทั้งร่างพลันรู้สึกสั่นสะท้าน ขนลุกชันขึ้นมาด้วยความจริงที่ว่านารา ชิกามารุ ผู้อุปถัมภ์ของเธออยู่ในกำมือ


    ข้อเท็จจริงดังกล่าวแล่นผ่านเข้ามาจนทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบถึงปลายนิ้ว ทะคะฮะรุรู้สึกคล้ายกับตัวเองหยุดสั่นไม่ได้ แม้จะยังคงนั่งนิ่งอย่างสงวนท่าที อวัยวะในอกเต้นระทึก มันบิดเร้าเข้ามาด้วยเงื้อมมือที่ได้ชื่อว่าความกลัว


    ตอนนั้นเองที่หญิงสาวหวนสติรับรู้คืนสู่ปัจจุบัน เมื่อชิกามารุวางจอกในมือลง เสียงก้นจอกกระทบถาดไม้เพียงแผ่วเบา แต่กลับให้ความรู้สึกหนักอึ้ง ประหนึ่งมันดังตัดผ่านห้วงบรรยากาศทั้งมวลเหมือนการหวดของค้อนเหล็ก


    ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้น รวบสาบเสื้อยุคะตะเข้าที่ จัดผ้าคาดเอวให้เรียบร้อย


    ท่วงท่าสูงตระหง่านนั้นดูใหญ่โตคับห้อง เหมือนหนึ่งว่าหมายจะข่มสิ่งรอบด้าน แต่ก็ไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่าเขาตั้งใจจะข่มใครหรือไม่


    ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าบ้านหนุ่มแห่งตระกูลนารานั้นสง่าผ่าเผย เขาแสดงออกชัดว่าตนหมดธุระกับที่นี่ และประสงค์จะกลับออกไปไม่รั้งรอ ไม่แม้แต่จะสนใจเอ่ยคำอำลา ขณะหมุนปลายเท้าหันไปทางประตู


    ทั้งหมดนั้นเด็ดขาดในคราวเดียว


    ทว่าจังหวะที่ชายหนุ่มจะหันตัวกลับออกไป โฮคาเงะหนุ่มก็ผุดลุกขึ้น เผชิญหน้ากับหัวหน้าโจนินของตน ทั้งสองหยุดยืนประจันหน้ากัน ความสูงใหญ่ของบุรุษวัยฉกรรจ์สองคนทำให้ภายในห้องอึดอัดคับแคบขึ้นมาทันตา ห้วงอากาศทรงอำนาจน่าครันคร้ามและความน่าเกรงขามของทั้งคู่ข่มกันไม่ลง มันแผ่ละอองไอแห่งความกดดันล่องลอยไปทั่วทั้งห้อง


    ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้กำลังเขม่นกันหรือก่อร่างสร้างความบาดหมางพร้อมจะวิวาทใดๆ หากแต่เพียงจ้องลึกยังนัยน์ตาของอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย


    ครั้นแล้ว หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ต่างก็เบือนหน้าหนีอีกฝ่ายราวกับรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการจะสื่อสิ่งใด


    ร่างสูงของหัวหน้าโจนินแห่งโคโนะฮะเดินออกมาจากห้อง ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตนตกเป็นเป้าหมาย ถูกวางแผนแยบคายทับซ้อนไว้อีกชั้นโดยมีเกโกะในอุปถัมภ์เป็นเครื่องมือและถูกบังคับให้หันคมมีดมาทางเขา แต่กระนั้น ชิกามารุก็ยังเลือกจะหันหลังออกมา ไม่สนใจหรือให้ค่าต่อสิ่งใดทั้งสิ้น


    บางที นั่นอาจเพราะสุดจะทนและเบื่อหน่ายต่อเรื่องทั้งหมดนี้เต็มทีจนไม่นึกอยากจะขบคิดหรือใส่ใจสิ่งใดอีกต่อไป ไม่มีเรื่องใดจะระคายหรือรบกวนจิตใจเขาได้อีกหลังจากเรื่องเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเทมาริถูกดึงเข้ามาเกี่ยว


    ต่อจากนี้ ใครจะเพ่งเล็ง พุ่งเป้ามาที่เขาอย่างไรนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ เขาไม่แยแส


    นี่ไม่ใช่การหนีปัญหา หากแต่เป็นเพราะเขาทระนงและเย่อหยิ่งนัก


    เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังโชนแสงอย่างน่าพรั่นพรึง ก้าวเดินไปตามพื้นกระดานด้วยท่าทีประหนึ่งนักรบผู้ถมึงทึง พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้ย่อยยับคามือ


    ใครนึกอยากจะทำอะไรเขาก็ปล่อยให้ก็ทำกันไป ประการหนึ่งก็ด้วยความจองหองนักว่าไม่มีใครจะทำอะไรตนได้ เขาไม่ให้ค่ากับเรื่องนี้ แน่นอนว่าการวางแผนตลบหลังหรือตั้งกลอุบายต่อนารา ชิกามารุ มันสมองของโคโนะฮะนั้น เป็นเรื่องที่คิดผิดถนัด อีกประการหนึ่งคือ เขาไม่มีอะไรให้ต้องกลัวหรือปิดบังซุกซ่อน เขาจะยังคงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด


    แต่ก็แค่นั้น


    เพราะถ้าขาดดวงใจไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกให้คิดอ่านทำอะไรมากไปกว่าใช้มันสมองตามหน้าที่





    ภายในห้องนั่งเล่นมืดสลัว เจ้าของดวงตาสีเขียวครามเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาบนผนัง ขณะคู้ตัวอยู่บนเก้าอี้นวมใต้ผ้าคลุมไหล่เนื้อหนาที่ช่วยรักษาอุณหภูมิความอบอุ่นให้แก่ร่างกายไว้ในแบบที่เครื่องทำความร้อนช่วยไม่ได้


    หญิงสาวผู้มาจากทะเลทรายห่อตัวกระชับแน่นราวกับจะใช้วงแขนของตนเองแทนที่อ้อมกอดของใครอีกคนหนึ่งที่กำลังเฝ้ารออยู่ เธอเอื้อมมือไปหยิบเครื่องดื่มร้อนๆ บนโต๊ะ กุมมือกับถ้วยอุ่นๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้ต่ำ และมันเป็นความอบอุ่นกำซาบซึมที่ชวนให้รู้สึกดี


    แสงนวลๆ ของดวงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างกระจกซึ่งรูดม่านเปิดไว้แค่ครึ่งหนึ่ง ขับให้ภายในห้องดูสลัวรางแบบที่แฝงแร้นไปด้วยความนุ่มนวลอยู่เจือจาง หญิงสาวกำลังรอคอยคู่หมั้นหนุ่มให้กลับมาตามที่รับปากไว้ตอนต้น แต่บางที เขาอาจติดธุระสำคัญก็เป็นได้ เธอพยายามคิดเผื่อเขาในหลายแง่ และก็อดไม่ได้ที่จะยังฝืนความง่วง เฝ้ารอการกลับมา


    เทมาริก้มหน้างุด ห้ามใจไม่หันไปมองเข็มนาฬิกาอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีวันเร่งร้อนไปไหน ยังคงเดินไปในทิศทางเดิมตามครรลอง


    สาเหตุที่ยังคงอยู่รออีกฝ่ายแม้เวลาจะเคลื่อนคล้อยไปมากจนล่วงเลยถึงวันใหม่แล้วเช่นนี้ เพราะเธออยากให้เขาดีใจ ต่อให้ตนเองทำปากแข็งอย่างไร ทว่ายามที่เห็นเขากลับมาจากภารกิจอันยาวนาน ก็มีแต่ความยินดีปรีดาเพียงเท่านั้น เธอปรารถนาจะต้อนรับเขากลับบ้านด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ตลอดจนความสะดวกสบายยามได้รับการปรนนิบัติอย่างดี


    เธอถึงยังคงรอ


    เพื่อให้เขารู้สึกว่ากลับถึงบ้านแล้วในที่สุด และเห็นว่าบ้านแห่งนี้พร้อมต้อนรับ เป็นที่ปล่อยวางทุกสิ่งให้สุขกายสบายใจ หญิงสาวปล่อยให้ภวังค์ความคิดค่อยๆ ไหลผ่านเข้ามาโดยไม่รู้ตัว มันค่อยๆ กลืนสติสัมปชัญญะ ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าตัวก็ไม่ทันรู้สึกเช่นกัน เธอละเมอเพรียกหาออกมาเสียงแผ่วขณะค่อยๆ จมลงสู่ห้วงภวังค์


    ชิกามารุ” เทมาริคราง


    ใจของหญิงสาวประหวัดไปถึงชายหนุ่มผู้ปล่อยให้เธอรอ ต้องเป็นฝ่ายรออยู่ตลอดตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว นั่นไม่นับรวมเวลารอเขากลับจากภารกิจ แต่การรอนี้ ในความเป็นจริง ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ทำเหมือนกับว่าการเดินหน้าในความสัมพันธ์นั้นไม่จำเป็นต้องพูดกันให้มากความ และเขากับเธอย่อมเข้าใจกันดีโดยไม่ต้องแสดงออกมากมาย และสุดท้าย ก็เหมือนเธอแค่ถูกประทับตราว่าเป็นผู้หญิงที่เขาเลือก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลงเอยกัน


    มันเหมือนเธอต้องรอเขา เพราะเป็นของตาย


    แน่นอนว่า  ความรู้สึกที่เขามีให้เธอไม่อาจเป็นที่กังขา เขาเห็นค่าความสำคัญของเธอยิ่งกว่าใคร เทิดทูนเธอคนเดียว แล้วไม่ว่าเขาจะชอบเย้าแหย่หรือหยอกล้อเธอเล่นตามประสาคนรัก คอยเอาใจ หรือปรนเปรอทุกอย่างไม่มีข้อจำกัดเพียงไร แต่เธอก็ยังคงเป็นของตายอยู่ที่ตรงนี้ มองเขาออกไปและกลับเข้ามาอีกครั้ง โดยที่เธอยังอยู่ที่เดิมเสมอ การมอบวัตถุนอกกาย หรือทำราวกับแค่ถนอมเธอไว้ยิ่งกว่าใครก็นับว่าเพียงพอ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกำลังรอเขาตลอดเวลา


    บางที ตนอาจกำลังรอให้เขาซึ่งมักจะไม่แสดงท่าทีหรือปล่อยให้ใครต่อใครอ่านความคิดได้ พูดหรือทำอะไรให้เห็นว่าไม่ได้มองเธอเป็นของตาย แต่เขามักทำให้เธอรู้สึกว่าว่าตนเป็นผู้หญิงข้างกายที่อย่างไรก็จะรออยู่ยามเขากลับบ้าน เคียงข้างกายเขาไม่ไปไหน


    เสียงฟันเฟืองข้างในประตูลั่นเมื่อกุญแจถูกไข ครั้นแล้ว มันก็เปิดออก เผยให้เห็นผู้มาเยือนในยามวิกาล


    นารา ชิกามารุเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง เพราะไม่อยากทำให้หญิงสาวเจ้าของห้องต้องตื่น คะเนจากเวลาที่ล่วงเลยถึงเพียงนี้แล้ว เขาตระหนักดีว่าคู่หมั้นสาวต้องเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย อีกไม่นานท้องฟ้ารุ่งสางก็จะแผ่อิทธิพลเข้ามาปลุกผู้คนจากการหลับใหลให้เริ่มออกมาดำเนินวิถีชีวิตยามเช้าอีกครั้ง ใต้หมอกสลัวกับแสงทึมทึบของรัตติกาลที่ยังไม่จางหายไปไหนดี


    เหตุที่เขาเพิ่งจะกลับมาถึงเอาเวลานี้ เพราะหลังผลุนผลันออกมาจากสำนักเริงรมย์ที่ไปใช้บริการ ทำอย่างไรใจของเขาก็ไม่อาจตรงกลับมาที่นี่ได้ทันที และไม่พร้อมจะสู้หน้าหญิงสาวจากทะเลทรายที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมอยู่รอเขากลับบ้านจนกว่าจะหลับไปเหมือนเช่นทุกๆ ครั้ง เขากลับไปมองรอยยิ้มสดใสที่ออกมาต้อนรับเขา ขณะที่ตัวเขาต้องทำเหมือนทุกอย่างเป็นธรรมดาสามัญไม่ได้


    มันคงจะเหมือนคมมีดกรีดลงมาในใจเลยทีเดียวตอนมองรอยยิ้มมีความสุข เปี่ยมด้วยพรของการยังไม่ล่วงรู้ความจริงนั่น


    ดังนั้น เขาจึงแวะเวียนไปนั่งดื่มสาเกอุ่นๆ ปัดเป่าความคิดในหัวให้โล่ง ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปที่ร้านโอเด้งเจ้าประจำ แล้วจึงค่อยกลับบ้าน


    แน่นอนว่าบ้านของเขาไม่ได้หมายความถึงบ้านตระกูลนารา


    นั่นเป็นบ้านของเขาก็จริงอยู่ ทว่าบ้านในความหมายจริงๆ ของชายหนุ่มคือที่ใดก็ตามที่เทมาริอยู่


    สำหรับเขา ที่นั่นคือบ้าน


    บ้านแห่งนี้อบอุ่น เปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้สงบสบายใจไม่เสื่อมคลาย ชิกามารุเดินทะลุผ่านโถงทางเดินกลางไปยังเคาน์เตอร์ครัวที่กั้นฉากกับห้องนั่งเล่นในความมืดด้วยความเคยชิน ดวงตามองตรงไม่ได้สอดส่ายหาสิ่งใด จึงไม่ทันสังเกตเห็นเงาร่างที่ขดตัวใต้ผ้าคลุมบนเก้าอี้นวมในส่วนห้องนั่งเล่น


    ชายหนุ่มเปิดก๊อก รองน้ำใส่แก้วขึ้นดื่มเพื่อหวังดับความมึนเมาเล็กน้อยจากแอลกอฮอล์ที่จู่โจมสำนึกสติของเขาอยู่หลายอึก


    เขาเป็นคนคอแข็ง แต่ก็อดเพลี่ยงพล้ำให้ความเมามายไปบ้างบางทีด้วยความเต็มใจ


    นัยน์ตาสีน้ำตาลใต้เงาความมืดวาววับขึ้นเล็กน้อยเมื่อสะท้อนกับแสงจากด้านนอก เขาเหลือบมองอาหารค่ำที่ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะ รอการกลับมาของเขาเป็นเรื่องปกติ เวลาที่ตนกลับดึกจะมีอาหารวางรออยู่ในซีนพลาสติกอย่างเรียบร้อย บางทีเธอก็จะลุกขึ้นมาทำโอฉะซึเกะง่ายๆ ให้ถ้าเขาร้องขออาหารไม่หนักท้อง


    เทมาริไม่เคยทำสิ่งใดขาดตกบกพร่องไป และไม่เคยทำให้เขารู้สึกไม่สะดวกสบาย เธอดูแลเขาอย่างดี นั่นยิ่งทำให้ความละอายอย่างร้ายกาจกดทับเข้ามาในใจของชายหนุ่มขึ้นอีก


    เธอทำให้เขามากมาย แต่เขาทำอะไรเพื่อเธอไม่ได้เลย


    ชายหนุ่มรองน้ำใส่แก้วใบเดิมอีกครั้ง ก่อนจะถือมันไปยังเก้าอี้นวมตัวเดี่ยวที่ใกล้ที่สุดเพื่อหวังนั่งสงบสติอารมณ์ ตั้งสติอยู่บนฤทธิ์มึนเมา และจัดการกับความรู้สึกขื่นๆ ในใจ


    ตอนนั้นเอง เขาถึงเพิ่งเห็นคู่หมั้นสาวที่กำลังจมลงสู่ห้วงนิทรา เธอนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าคลุมเนื้อหนาด้วยบรรยากาศราวกับมีความนุ่มนวลห่อหุ้มไว้


    ร่างสูงชะงักไปชั่วอึดใจ อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้พลันชะงักงันไปแบบที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ยามเห็นเธอ แล้วมันอยู่นอกเหนือประสาทสั่งการ นี่อาจเป็นเพราะบรรดาเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เขาเหยียบย่างกลับมายังโคโนะฮะกำลังสำแดงอิทธิพลและผลกระทบของมัน


    แต่เขาก็สงสัยด้วยเช่นกันว่า ต่อจากนี้ จะสามารถมองเธอโดยไม่รู้สึกละอาย ตะขิดตะขวง หรือคั่งค้างใจได้ดังเดิมหรือ


    มันไม่ใช่ว่าตนไม่เชื่อใจหญิงสาว เขาไม่เคยเคลือบแคลงสงสัยในตัวเทมาริ และเขาก็ไม่ได้ถูกปลุกปั่นความรู้สึก หรือปล่อยให้เรื่องบ้าๆ ทั้งหมดนี้ส่งอิทธิพลหรือมีบทบาทเหนือตัวเขา แต่มันมาจากใจของเขาเองที่ไม่อาจมองหน้าเธอได้ ขณะทั้งหมดที่เขารับรู้คือความรู้สึกผิดซึ่งกลุ้มรุมจิตใจ


    มันคล้ายกับว่ามีความรู้สึกบางประการทิ่มแทงเขาอยู่ตลอด


    ชายหนุ่มมั่นใจว่าการกระทำของนารุโตะไม่อาจส่งผลอะไรต่อตัวเขา


    แต่แท้จริง มันก็ทิ้งริ้วรอยด่างพร้อยรอยหนึ่งไว้บนผืนความรู้สึกเป็นที่เรียบร้อย


    หลังหยุดยืนนิ่งงันเช่นนั้นครู่หนึ่ง ชิกามารุก็รวบรวมตัวเองกลับมาอีกครั้ง เขาเดินไปวางแก้วน้ำลงกับโต๊ะตัวเตี้ย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีขึงขัง ร่างสูงโค้งตัวไปข้างหน้า วางแขนกับหน้าขา ก่อนจะประสานมือไว้แน่นที่ตรงกลาง มองคนตรงหน้าไม่ละสายตาราวกับจะเก็บรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยของเธอ ประทับไว้ในดวงใจให้มากที่สุด


    พินิจพิจารณาเธอราวกับเพิ่งได้มองอีกฝ่ายชัดถนัดตาเป็นครั้งแรก


    ใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังหลับใหลดูสงบและปราศจากความกังวลกล้ำกราย เขานั่งมองเธออยู่นานเท่าไรไม่ทันรู้สึกตัวได้ ความคิดสะระตะวกวนอยู่ในห้วงสำนึกไตร่ตรอง


    ชายหนุ่มแจ้งแก่ใจดีว่า เวลานี้ ตนเองเป็นต้นเหตุที่จะนำพาความเจ็บปวดมาให้แก่หญิงสาว


    หากเทมาริได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมด มันจะทำร้ายเธออย่างปวดร้าวนัก ทั้งความเสียใจ ความโศกเศร้า ก็เป็นเขาเองที่กำลังจะทำให้มันเกิดขึ้น ทั้งที่สาบานว่าจะไม่ให้มันมากล้ำกรายเธอ ไม่ว่าอย่างไร


    เข็มนาฬิกาเดินไปเรื่อยๆ ตามหน้าที่ ไม่มีการผ่อนปรน


    ทว่าชิกามารุยังคงนั่งนิ่ง สวนทางกับมัน ต้องอาศัยหลายขณะนาทีทีเดียวเขาจึงสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง ก่อนจะตัดสินใจขยับตัว ด้วยรู้ว่านั่งอยู่เช่นนี้ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ มันไม่ได้แก้ไขเรื่องทั้งหมด ไม่อาจเรียกสิ่งใดกลับคืน รวมทั้งไม่อาจลบเลือนหรือเยียวยาความรู้สึกผิดที่กัดกินใจเขาจนหม่นไหม้ได้


    ยิ่งวางสายตาลงบนดวงใจของตนที่กำลังหลับอย่างเป็นสุข ไม่รู้สึกถึงความทุกข์ทั้งมวลเท่าไหร่ ก็ยิ่งทรมานนัก ราวกับความมืดรอบห้องดูดกลืนลงไปในหลุมลึก กีดกันเขาจากเธอให้ไม่อาจตะเกียกตะกายขึ้นมาเคียงคู่กันได้อีก


    โต๊ะตัวกลางซึ่งวางคั่นระหว่างเก้าอี้นวมสองตัวที่เขากับเธอครอบครองอยู่ เหมือนมีกำแพงหนาซึ่งไม่มองไม่เห็น ขวางกั้น ห้ามไม่ให้เขาเอื้อมมือไปสัมผัสหญิงสาว และบางทีกำแพงนี่ก็อาจมาจากความรู้สึกผิดของเขาเอง


    ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ฉายแววอ่อนโยนเสมอยามทอดสายตายังคู่หมั้นสาว ชายหนุ่มขยับตัวลุกจากที่นั่ง ฝ่ากำแพงนั้น เดินเข้าไปหาเธอ แต่น่าแปลกที่มันกลับยิ่งเจ็บปวดทั้งที่ทำลายกำแพงไปแล้ว ร่างแกร่งช้อนตัวหญิงสาวขึ้น อุ้มเธออย่างเบามือและทะนุถนอม เดินตัวเบาหวิวเข้าไปยังห้องนอนราวกับมวลที่กำลังยกไม่มีผลต่อเขา


    ครั้นแล้ว เขาก็วางคุโนะอิจิแห่งซึนะลงบนเตียงท่ามกลางความมืดอันนุ่มนวลที่ห้อมล้อมรอบด้าน เติมเต็มห้องด้วยความละมุนละไมของแสงจันทร์ที่ผสมกลืนกับเงามืด ก่อร่างบรรยากาศนวลสลัว


    ภายในใจมีสิ่งมากมายอยากจะพูดนับพัน แต่กลับไม่อาจเรียบเรียงหรือเริ่มจากตรงไหนได้เลย


    ทั้งที่เขาฉลาดปราดเปรื่องถึงเพียงนั้น ทั้งหมดนี่จะมีประโยชน์อะไรถ้าแค่ผู้หญิงที่รักคนเดียวกลับทำอะไรไม่ได้


    ชิกามารุทรุดตัวนั่งลงข้างๆ หญิงสาวผู้มาจากทะเลทราย เอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายไว้พลางบีบกระชับแน่น


    จากนั้นก็ดึงมันขึ้นมาจุมพิตเนิ่นนาน ราวกับจะฝากฝังความรักและดวงใจทั้งหมดไว้ในเงื้อมมือเธอ ให้ทำสิ่งใดก็ได้ จัดการกับมันอย่างไรก็ได้ บงการมันแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น


    เขานั่งนิ่ง ไม่ขยับไหว กอบกุมมือเธอไว้เหมือนกลัวเธอจะสลายหายไปต่อหน้าต่อตา





    [1] เขียนด้วยคันจิ ซึ่งคันจิ ในกรณีนี้อ่านว่า ทะคะ แปลว่า ท้องฟ้า และคันจิ ในกรณีนี้อ่านว่า ฮะรุ แปลว่า แจ่มใส เป็นชื่อที่ทะคะฮะรุใช้ในฐานะเกอิชา โดยเป็นชื่อที่ชิกามารุตั้งให้

    [2] ห้องเลี้ยงรับรองที่ปูด้วยเสื่อทาทามิแบบญี่ปุ่น

    [3] กิโมโนระดับพิธีการสำหรับสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน มีชายแขนเสื้อยาว

    [4] ห้องเลี้ยงรับรองที่ปูด้วยเสื่อทาทามิแบบญี่ปุ่น

    อนึ่ง นะนะไดเมะสะมะแปลว่าท่านรุ่นที่เจ็ด ในที่นี้หมายถึงโฮคาเงะรุ่นที่เจ็ดอย่างนารุโตะ



    To be continued


    ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านค่ะ คอมเม้นท์พูดคุยกันได้นะคะ ยังมีใครตามเรื่องนี้อยู่บ้าง ไม่ว่าจะนักอ่านเก่าแก่หรือนักอ่านใหม่ มาพูดคุยกันได้ค่ะ ผู้เขียนกำลังปั่นฟิคเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถ้ายังมีนักอ่านคอยติดตามอยู่จะดีใจมากๆ เลยล่ะค่ะ ; w ;)♥  เข้าใจว่าผู้เขียนทิ้งร้างไปนานมากแต่อย่าปล่อยให้ผู้เขียนเหงาเลยนะคะ ; u ;

    จริงๆ ตอนนี้ลังเลอยู่นานมากกว่าจะลง กลัวผลตอบรับจะเงียบเหงาไม่มีคนรออ่านค่ะ TT แล้วพบกันในบทที่ 5 นะคะ ขอฝากฟิคมหากาพย์สิบปีก็ยังเขียนไม่จบเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกท่านอีกครั้งค่ะ อนึ่ง ทุกท่านสามารถติดแฮชแท็ก #จันทร์สงัด เพื่อพูดคุยหรือคอมเม้นท์เกี่ยวกับแฟนฟิคเรื่องนี้ผ่านทาง Twitter หรือ Facebook ได้ค่ะ อย่าลืมมาเล่นแฮชแท็กนี้กันนะคะ :)




                  

                  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×