คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : 06 | Beyond the Horizon - Somewhere only we know.
VI.
Somewhere only we know.
เขาไม่ได้ให้แค่ดอกไม้เธอ แต่ยกทั้งสวนมาไว้ตรงหน้า
เขาไม่ชอบเพศตรงข้าม แต่เข้าหาเธอยิ่งกว่าแม่เหล็กต่างขั้ว
เขาปฏิเสธในทุกสิ่ง และการกระทำที่ตรงข้ามกับวาจานั้นก็มีข้ออ้าง
เขาไม่เคยคิดอะไรเกินกว่าที่อีกฝ่ายเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน
1.
เป็นเพราะหมู่บ้านต้องการเขากวางคุณภาพสมบูรณ์ เทมาริถึงต้องตามผู้ชายน่าหงุดหงิดเข้ามาในอาณาสิทธิของเขาด้วยเพื่อทุกขั้นตอนจะได้อยู่ในสายตา หากป่าแห่งนี้กลับโอบอุ้มเธอด้วยความรู้สึกสงบและเย็นสบาย ดวงตาสีเขียวครามเพลิดเพลินอยู่กับธรรมชาติรอบตัวโดยเฉพาะดอกไม้หลากหลายสีสันที่ขึ้นแซมอยู่ตามผืนหญ้า ขณะกระแสลมหอบลู่ตามกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่ของไม้ยืนต้นที่แผ่อาณาบริเวณกว้างกลืนกินสีฟ้าใสของท้องนภากระจ่าง สายลมนั้นก่อให้เกิดเสียงเสนาะหูจากกิ่งใบที่เสียดสีกัน ผสานกับเสียงนกประจำถิ่นฐานซึ่งกำลังร้องระงมพลางโผบินฉวัดเฉวียนตัดผืนฟ้าเบื้องบน มันดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทประหนึ่งลำนำขับขาน
“เธอทำยังกะไม่เคยเห็นดอกไม้” อีกหนึ่งเสียงที่เทมาริถือเป็นมลภาวะเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ดังขึ้นอีกครั้ง นับตั้งแต่เดินด้วยกันมาจากร้านขนมนินจาต่างหมู่บ้านคู่นี้ก็พูดกันแทบนับคำได้ ว่ากันตามจริงบทสนทนาส่วนใหญ่ระหว่างคนทั้งสองกึ่งๆ ค่อนไปทางหาเรื่องมากกว่าชวนคุยเรื่อยเปื่อยอย่างที่คนปกติเขาทำกันด้วยซ้ำ ตัวเด็กชายเป็นฝ่ายเริ่มทำตัวขวางเธอไปซะทุกเรื่องหรือถ้าเขาวางตัวปกติก็ยังเหมือนตีตัวห่างออกไปหลายช่วงก้าว แม้กาอาระผู้เป็นน้องชายจะมีอายุไล่เลี่ยกับคนตรงหน้าแต่ไม่เคยมีประพฤติกรรมเช่นนี้ ดังนั้นเธอจึงหมดหนทางเข้าถึงเหตุผลในการกระทำของนาคิมุชิคุง
บางทีคงเพราะนิสัยแบ่งแยกชายหญิงของเขา เทมาริพยายามหาเหตุผลอยู่บ้าง แต่พอหันมองใบหน้าเฉยชาที่ไม่แสดงอารมณ์อื่นใดนอกจากท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งรอบตัวก็สรุปได้ว่ามันอาจมีส่วนเพียงเล็กน้อย ‘เธอเผลอไปทำอะไรไม่ดีเข้ารึเปล่า…’
ถ้าไม่ใช่เพราะคำร้องขอจากซึนะงาคุเระเธอคงไม่ต้องมาอยู่โคโนะฮะถึงสามเดือนเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างหมู่บ้านแถมถูกโฮคาเงะผูกตัวติดกับผู้ชายแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยพบอย่างนี้ ทว่าเหมือนเขาจะเดาความคิดเธอออก ดวงตาสีสวยเหลือบมองตามเด็กชาย เขาอ้อมหลังไม้ต้นใหญ่ออกนอกเส้นทางไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมดอกไม้ขาวปลอดจำนวนไม่มากนักในกำมือ นาคิมุชิคุงยื่นให้เธอโดยปราศจากคำพูดจา และนั่นมากพอให้เทมาริเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดที่เห็นฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีหมางเมินหรือตีตัวห่างคงเพราะเธอคิดไปเอง
ท่าทีนั้นอาจเป็นหนึ่งในนิสัยของเด็กชายที่เธอควรรู้ไว้ถ้าจะร่วมงานกับเขา
ตั้งแต่เธอไปช่วยนาคิมุชิคุงจากพวกนินจาโอโตะจนต้องมาทำงานร่วมกันในภารกิจนี้ เทมาริก็เริ่มสัมผัสได้ว่านารา ชิกามารุเป็นเด็กช่างเอาแต่ใจ เบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัวอันเนื่องมาจากสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีอิทธิพลเหนืออารมณ์หรือความรู้สึกใดของเขา ทว่าเด็กชายก็ยังคงเป็นคนแรกที่สามารถเอาชนะเธอได้ด้วยสติปัญญามากเหลือ เด็กสาวเหลือบมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายที่มักนิ่งเฉย อาจเพราะแสดงออกไม่เก่งเหมือนน้องชายเธอกระมัง ไม่ เธอไม่ควรนำไปเปรียบกับน้องชายคนสุดท้องเพราะนาคิมุชิคุงต่างกับกาอาระลิบลับตรงนิสัยปากร้าย แถมยังชอบเหยียดเพศอยู่หน่อยๆ แต่กลับใจดีกับผู้หญิง และพึ่งพาได้ดีเกินคาด ทั้งการเอาใจใส่กับเรื่องเล็กน้อยอย่างดอกไม้ที่อยู่ในมือเธอตอนนี้แสดงว่าเขาควรถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนอ่อนโยนซึ่งน้อยนักที่เทมาริจะมีโอกาสได้ยุ่งเกี่ยวด้วย มือนุ่มนิ่มหมุนก้านเล่นก่อนพบว่ากลีบดอกช่างบอบบางและมีกลิ่นหอมละมุนผสานแตะจมูก ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาในซึนะงาคุเระไม่ได้ให้อะไรนอกเหนือจากความร้อนระอุหรือพายุกระหน่ำแม้กระทั่งความหนาวถึงไขกระดูกยามดวงอาทิตย์คล้อยตก แต่กระนั้นเทมาริกลับชื่นชอบในดอกไม้และสีเขียวของต้นใบซึ่งหาได้ยากยิ่งในหมู่บ้านแห่งทราย
บนดวงตาสีน้ำตาลของชิกามารุสะท้อนภาพผู้หญิงซึ่งอ่อนหวานนุ่มนวลมากกว่าที่เด็กชายคิด ในยามเธอพูดขอบคุณราวกับดอกไม้เหล่านั้นเป็นเหมือนของขวัญพิเศษ
“เธอคงไม่เคยเห็นเพราะมันไม่ได้หาง่ายๆ ในร้านขายดอกไม้ทั่วไป ลองดมดูสิพวกกวางก็ชอบมัน” ผู้อ่อนวัยกว่าพูดขณะพยายามกลืนคำว่าฉันก็ชอบมันลงลำคอที่ค้างแข็ง ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ จิตใต้สึกนึกก็อยากบอกรสนิยมความชอบให้กับผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่น่าตีตัวออกห่างทั้งยังเจอหน้ากันไม่นานเท่าไหร่ฟังด้วย ชิกามารุไม่ได้รู้สึกกับเจ้าหล่อนผิดแผกแปลกจากเพื่อนร่วมภารกิจหรือคู่ต่อสู้ที่เกือบจะฆ่ากันตายกลางลานประลองถ้าจักระเขาเพียงพอกับแผนการซึ่งวางไว้จัดการเธอร่วมร้อยกว่าตาและความเป็นไปได้จากผลวิเคราะห์ผนวกกับความรับผิดชอบในฐานะบุรุษเพศไม่มายุติไว้ – เขามั่นใจว่าตนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ทว่าตอนนี้พอเห็นใบหน้าดื้อรั้นนั้นระบายยิ้มก็เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมา เหตุผลเดียวที่พอรองรับได้คงเพราะไม่ค่อยเฉียดกรายยุ่งย่ามกับเพศตรงข้ามมากเท่าไรนักกระมังถึงไม่เคยชินกับความรู้สึกประหลาดนี้
แต่เขามักปฏิบัติอย่างดีกับคุโนะอิจิในหมู่บ้านเดียวกันเป็นปกตินิสัยอยู่แล้ว คุโนะอิจิแห่งทะเลทรายอาจแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปหลายเรื่องและเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจสตรีเพศมากเกินความพอดีจนผิดวิสัยบุรุษดังเช่นที่นารุโตะเคยบอก วังวนความคิดหลั่งไหลในหัวดุจเดียวกับกระแสน้ำหมุน เด็กหนุ่มยังคงสรุปข้ออ้าง – ซึ่งพยายามหาเหตุผลให้เหมาะสมที่สุด – ของตนไม่ได้ แถมเสียงอันเบิกบานของเด็กสาวผู้ร่วมทางยังดังขึ้นสกัดการพิจารณาตรึกตรองทั้งหมดลง
“นี่… ที่จริงฉันสงสัยนะ” โสตประสาทของเด็กหนุ่มจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุโนะอิจิต่างหมู่บ้านกำลังจะกล่าวโดยฉับพลันทันที น่าแปลกเมื่อชิกามารุให้ความสนใจในทุกสิ่งอันเกี่ยวเนื่องกับผู้หญิงตรงหน้า เธอเล่นดอกไม้สีขาวในมือขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกล่าวกับตัวเองเสียมากกว่าจะหวังคำตอบ แต่กระนั้นดวงตาคู่สวยก็ยังสบประสานคู่สนทนาเชิงหยอกล้อ “ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายให้ฉันอยู่กับเพื่อนของนายก่อนมานี่น่ะออกจะแปลกๆ ว่าไหม ถ้าไปด้วยกันตั้งแต่ต้นเลยคงจะเร็วกว่าใช่ไหมล่ะ แล้วก็นะไหนนายบอกว่าไม่ชอบพวกผู้หญิงน่ารำคาญงั้นงี้ไง แต่เพื่อนผู้หญิงของนายนี่ไม่ใช่น้อยๆ เลย” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบือนหนีจากร่างระหงของคู่ร่วมภารกิจเมื่อเธอเริ่มสนทนากับเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เขานึกว่าอีกฝ่ายลืมเรื่องจิปาถะที่คุยกันระหว่างทางไปแล้ว นี่เขาอยู่กับผู้หญิงที่คนในหมู่บ้านเห็นพ้องกันว่าสวย สง่า มีเสน่ห์ และถือตัวจริงหรือ เด็กสาวผู้เก็บงำความรู้สึกอย่างดี ยากที่ใครจะรู้ว่าเธอกำลังรู้สึกเช่นใดกำลังทำให้เด็กชายบ้านนาราเป็นห่วงขึ้นมาเสียอย่างนั้นเพราะเธอยอมเปิดใจให้เห็นตัวตนอีกด้านแต่กับเขาแค่คนเดียว ‘นั่นล่ะปัญหา’
ปัญหาที่เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ สำหรับเขาไง
ลมพากิ่งก้านร่มรื่นของหมู่ไม้ใหญ่สะบัดเสียดสีกัน เส้นผมสีบลอนด์ของคนที่เดินอยู่ข้างๆ เริ่มเคลียแก้มขาวเนียนนั่นแต่เจ้าตัวไม่ให้ความสนใจมากกว่าคำตอบที่ยังไม่ได้รับจากคู่สนทนาซึ่งตัดประเด็นกันดื้อๆ ก่อนจะทันได้คิดถึงคำตอบจริงๆ เสียอย่างนั้น “ไม่ขอตอบ” – ทว่าชิกามารุควรมีความหนักแน่นไว้สำหรับเด็กสาวจากทะเลทรายมากกว่านี้ เพราะเมื่อเห็นใบหน้าสวยคมสงบและเรียบเฉยลงอย่างจริงจัง เขาจึงต้องดึงคำพูดที่ตั้งใจตอบในทีแรกก่อนกลืนลงลำคอไปแล้วออกมา
“เพราะเธอไม่เคยเห็นเพื่อนผู้ชายของฉันนี่ แล้วอีกอย่างเธอตีความหมายผิดแล้ว ไม่ชอบไม่ได้แปลว่าต้องไม่มีผู้หญิงคนไหนมาข้องแวะกับชีวิตเลยสักหน่อยฉันยังเดินกับเธออยู่นี่เลย” ขาทั้งสองข้างของเด็กชายเดินถอยหลังด้วยความคล่องแคล่วเมื่อผู้บงการเลือกหันหน้าเผชิญกับเด็กสาวผู้มีร่องรอยขุ่นข้องฟุ้งกระจายในดวงตาคู่สวยเหมือนท้องฟ้าก่อนพายุก่อตัว เป็นอันว่าความรู้สึกของเธอซึบซับเจตนาของเขาได้ดีเยี่ยมน่าตกใจ ชิกามารุรู้ก่อนอีกฝ่ายเอ่ยออกมาเสียอีก
“นายไม่ได้ตอบคำถามนั่นจริงๆ สักหน่อย นาคิมุชิคุง”
‘คำก็ขี้แยสองคำก็งอแง ไม่น่ายอมให้ยัยนี่มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตอีกแล้วจริงๆ ทำไมไม่ปฏิเสธไปนะ ทั้งที่ปฏิเสธก็ไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว’ ก็ได้แค่นึกแต่ถึงกระนั้นชิกามารุก็ยังหันไปโต้ตอบกับอีกฝ่าย “ทีฉันยังไม่เคยถามซักไซ้อะไรเธอเลย”
“ก็นายไม่ถามเองนี่” โทนเสียงตอบกลับเบากว่าที่ชิกามารุหวังจะได้ยินเพราะถ้าเป็นกับอิโนะ เพื่อนร่วมทีมของเขาแล้วคงมีเสียงตวาดกราดเกรียวแทนคำตอบลื่นเสนาะหูซึ่งนับครั้งได้แต่กับเทมาริ เด็กชายไม่เคยได้ยินเธอขึ้นเสียงดังอย่างน่าเกลียดกับคนอื่นในบทสนทนายามปกตินอกจากข่มขู่คู่ต่อสู้แบบเขาในลานประลองสอบจูนิน คุโนะอิจิจากซึนะถูกอบรมมารยาทมาอย่างมากมายจากการคาดเดาผ่านทางอากัปกิริยาที่แล้วมาของเธอ อิริยาบถงามสง่าและนิ่มนวลคงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งให้เขากันหญิงคนนี้ออกจากพวกผู้หญิงน่ารำคาญทั่วๆ ไป ดวงตาสีสวยมองตามเด็กชายผู้อ่อนเยาว์กว่าที่ผละออกไปริมทางโดยไม่บอกกล่าวได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ดังข้ามไหล่มา
“ก็ฉันไม่รู้จะถามอะไรคนอย่างเธอ เช่นว่าทำไมเธอถึงชอบดอกไม้น่ะนะ”
ชิกามารุหันหลังกลับจนเกือบชนเด็กสาวที่เดินเข้าไปใกล้ด้วยสงสัยว่าคู่ร่วมภารกิจกำลังกระทำสิ่งใดผิดแผก เด็กชายบ้านนาราย่นระยะถอยห่างจากเพศตรงข้ามทันทีที่เห็นใบหน้าผวาด้วยความตกใจแบบไม่ทันตั้งตัว
“นั่นนายทำอะไร” ไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายแค่เป่าลมแผ่วเบาใส่ดอกไม้ในมือที่ขาวสล้างเหมือนโคมแก้วและบอบบางเหมือนจิตใจมนุษย์
เมล็ดทัมโปโปะกระจายเป็นสายลอยล่องเหนืออากาศรอบด้านอย่างบางเบาอ้อยอิ่งราวกับไหลอยู่ในสายน้ำ มันเป็นภาพสะท้อนปรากฏบนดวงตาของเทมาริที่มองตามอย่างสนอกสนใจ เหมือนเธอกลับไปเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งพบของเล่นชิ้นใหม่อย่างไรอย่างนั้น ชิกามารุเป่าละอองเมล็ดอีกครั้งจนเหลือแต่ก้านและยื่นดอกใหม่แก่เด็กสาวด้วยใบหน้าบูดบึ้งราวกับถูกบังคับให้รับผิดชอบแบกโลกไว้ทั้งใบ ซึ่งนั่นสวนทางกับการกระทำของตัวเองเหลือเกิน
“ยังไงฉันก็ขอปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้นของนาย” มือเนียนนุ่มรับเมล็ดพืชอันบอบบางจากเด็กชายที่ไม่ต้องการคาดคั้นหาคำตอบเป็นทุนเดิม ดวงตาสีเปลือกไม้อ่อนแสงลง แสร้งเสมองสิ่งรอบตัวราวกับมันมากด้วยเรื่องเล่าน่าสนใจ เพราะรอยยิ้มยียวนซึ่งประดับบนใบหน้าคุโนะอิจิจากทะเลทรายเหมือนเครื่องประดับชิ้นงามที่สุดเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวเขาให้เหมือนปุยนุ่นเบาบางที่ค่อยๆ รัดทุกส่วนของร่างกายให้ตายใจจนหมดลมหายใจลงอย่างช้าๆ ด้วยความละมุนละไมอันบาดลึก
จากป่าโปร่งที่มีต้นไม้ขึ้นห่างกันก็เว้นระยะถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินเล็กแคบซึ่งเกลี่ยไว้ลวกๆ บางช่วงถูกแทนด้วยรากไม้หรือวัชพืชคุกคามพื้นดินหนา ยังไม่นับใบหญ้ารกทึบปกคลุมจนไม่เห็นผิวดิน บางส่วนก็มีพืชล้มลุกขึ้นเป็นพุ่มกอแซมอยู่ตามโคนไม้ยืนต้นที่แผ่กิ่งก้านสาขาราวกับมือมีชีวิต มันมีลำต้นเกินจะโอบได้รอบและมีอายุยาวนานกว่าการคาดคะเน ตามเปลือกไม้สีเข้มมีมอสเปียกชื้นขึ้นแซมเหมือนถูกธรรมชาติแต่งแต้มสีสัน ไม่ก็มีสีซีดจางสลับกันไปจนถึงเทาแก่แทบกลมกลืนกับหินขมุกขมัวก้อนใหญ่ที่โผล่พ้นผืนดินขึ้นมาเป็นสิ่งกีดขวางขนาดย่อม ตอนผ่านทางเดินแคบระหว่าช่องหินซึ่งเรียบแบนลดหลั่นกันลงไปไม่ต่างจากบันไดปกติ เด็กชายบ้านนาราก็ยื่นมือมา เด็กสาวจากทะเลทรายจึงจนใจที่จะปฏิเสธความปรารถนาดีตามมารยาทนั้นเพราะโดยพื้นฐานเธอห่างไกลจากคำว่านิสัยย่ำแย่หรือเย่อหยิ่ง แต่เด็กน้อยขี้แงคงลืมว่าคนที่เขากำลังดึงมือบนพื้นไม่สม่ำเสมอด้วยกิริยากระด้างห่างเหินอยู่นี้เป็นนินจาเหมือนกัน
“นายคงมาที่นี่บ่อยใช่ไหม” แม้จะถามแบบนั้นหากเทมาริค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าอีกฝ่ายหลับตาเดินแล้วหลงก็คงแปลก ถึงเด็กชายจะนำทางเธอมาตลอดตั้งแต่ออกจากร้านขนมทว่านั่นเป็นเรื่องปกติที่คนในหมู่บ้านนั้นจะรู้ทุกตรอกซอกซอย แต่พอเข้ามาในอาณาเขตสีเขียวครึ้มนี้เขากลับยิ่งเหมือนกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้านของตัวเอง
“ไม่รู้สิก็ตั้งแต่จำความได้” ชิกามารุรอจนกว่าจะดึงคุโนะอิจิที่เกิดอยากรู้ในเรื่องไม่สลักสำคัญจนถึงขั้นไร้สาระมายังพื้นมั่นคงแล้วจึงตอบ เชื่อเถอะว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงใดเพื่อยื่นมือให้เธอโดยไม่ดูเหมือนการคุกคามทางเพศทั้งที่เจตนาจริงๆ แค่อยากช่วยเหลือในฐานะผู้ชายเท่านั้น หากคู่สนทนาเริ่มหันรีหันขวางมองหาสิ่งรอบตัวเหมือนความสนใจทั้งหมดที่มีให้ก่อนหน้าโอนเอียงไปหาอะไรบางอย่างซึ่งแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ แล้วจะไม่ให้หงุดหงิดขึ้นมาได้อย่างไร ตอนแรกก็เห็นคำถามเป็นเหมือนสิ่งกวนใจน่ารำคาญแต่พออีกฝ่ายไม่สนใจเข้าก็เริ่มจริงจังขึ้นมา “นี่เมื่อกี้เธอแค่ถามลอยๆ รึไง หัดสนใจฟังที่คนอื่นพูดหน่อย”
“ชู่– นายไม่ได้ยินเหรอ เสียงน่ะ” มันกังวานก้องกับลมในบรรยากาศใต้เงาระยิบระยับจากแสงซึ่งส่องผ่านเรือนยอดต้นไม้
ต้องยอมรับว่าคุโนะอิจิจากทะเลทรายมีประสาทสัมผัสเฉียบคม พอเด็กชายบ้านนาราลองเงี่ยหูฟังตามถึงค่อยพบสิ่งที่ผิดแผกจากสภาพรอบตัว แม้เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดนั้นจะไม่ใช่ของมนุษย์แต่มากพอให้ผู้ได้ยินเปลี่ยนทิศทางที่มุ่งหมายไว้ในตอนแรกสู่ต้นตอทันที ร่างเยาว์วัยแทรกตัวผ่านต้นไม้สูงย่ำลงไปบนพื้นหญ้าหนาซึ่งถูกปูทับด้วยใบไม้แห้งเหมือนผืนพรมเมื่อเข้าใกล้ฤดูใบไม้ร่วงเต็มแก่ บนเฉดสีน้ำตาลหม่นไล่ไปถึงส้มเข้มของใบแห้งกรอบมีสีแดงดังโลหิตสาดทับเป็นย่อมๆ ดวงตาคมกริบแค่เฉียดมองก็รู้ว่าร่องรอยยังสดใหม่ และทุกระยะที่ย่นย่อลงตามการเร่งฝีเท้าเดินเสียงครางก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนชิกามารุเริ่มแน่ใจว่าจะมีอะไรรออยู่
ตรงนั้นมีกวางนอนพึ่งพาความมั่นคงของต้นไม้ใหญ่อยู่ท่ามกลางใบไม้แห้งที่พอเริ่มขยับตัวก็นำพาเสียงแซ่กแซ่กประสานกับเสียงครางนั้นแต่ถึงอย่างไรก็ยังดิ้นรนต่อไปเพื่อหวังเอาชีวิตรอดจากห้วงสาหัส
เทมาริหยุดการก้าวเดินด้วยความเร่งรีบของตัวเองแทบไม่ทันตอนคนที่ออกตัวนำหน้ามาลิ่วชะงักกะทันหันเพราะค้นพบต้นกำเนิดเสียงครางนอนพะงาบพิงโคนลำต้นคล้ายเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกเผาผลาญไปจากความทรมานที่เผชิญ เธอไม่เคยเห็นกวางใกล้คลอดมาก่อน และยิ่งมีเลือดมากจนย้อมพื้นที่โดยรอบด้วยสีแดงก่ำขนาดนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ หากเป็นความจริงว่าเราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับมัน สัญชาตญาณของสัตว์ป่าสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่ผู้ร่วมทางกลับถอดเป้สะพายหลังพร้อมหยิบเชือกขึ้นมาอย่างไม่รั้งรอ
“เจอซาคาโงะเข้าให้แล้วไหมล่ะ” นัยน์ตาโศกของกวางตัวนั้นจับจ้องมายังเทมาริขณะเด็กชายพึมพำไม่ได้ศัพท์พร้อมค้นหาสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในกระเป๋าเป้ ตอนนั้นมือของเธอก็ลงไปร่วมด้วยก่อนสมองทันสั่งการ – “นายจะหาอะไร บอกมา” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ดีว่าควรทำอะไรในเวลานี้ เขาหยิบกระติกขึ้นมารินน้ำในนั้นจนไหลชุ่มผ้าสีขาว เธอค่อนข้างงุนงงเมื่อมันถูกยื่นมาให้
“เธอปิดตามันไว้และกดไม่ให้มันดิ้น” เป็นคำร้องขอที่เทมาริไม่เคยถูกขอที่ไหนมาก่อน แต่เมื่อชิกามารุเริ่มแก้เชือกก็ผลักดันให้เธอปฏิบัติตามโดยไม่คิดรีรอ เสียงเสียดสีของใบไม้เริ่มดังขึ้นเนื่องจากสายลมโหมแรงกว่าเก่า หากก็ถูกกลบกลืนลงด้วยความเคลื่อนไหวอันเร่งรัดแข่งกับเวลาของผู้ที่นำตัวเองเข้ามายุ่งกับกลไกธรรมชาติโดยบังเอิญ
.
จริงอยู่ว่ามันค่อนข้างทุลักทุเลมากทีเดียว แต่เทมาริคิดว่าทั้งหมดผ่านไปด้วยดีเพราะเด็กชายที่เนื้อตัวมอมแมมด้วยสีเลือดรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างน่าตกใจ แม้โลหิตจะมากจนแต่งแต้มพื้นดินที่กระหายจะซับสีแดงจัดจนทิ้งเป็นร่องรอยขนาดใหญ่ เธอมองเลือดที่หยดจากมือชิกามารุก็รินน้ำใส่ผ้าสะอาดจากกระเป๋าของตัวเองให้อีกฝ่าย นั่นทำให้เธอได้เห็นว่าเขาทำความสะอาดตัวเองได้แย่พอๆ กับเด็กน้อย “เดี๋ยว นายต้องเช็ดหน้าก่อน หน้านายเปื้อนไปหมดแล้ว”
ถึงจะบอกเด็กชายออกไปแบบนั้น แต่เด็กสาวก็ยังเห็นเขาพยายามเอาผ้าซึ่งเปื้อนเลือดจากมือ เช็ดคราบเลือดหย่อมเดียวบนคางจนเลอะเทอะพอกับผ้าที่ถืออยู่จนรู้สึกว่านั่นไม่ได้ช่วยให้สะอาดขึ้นจึงหยุดการกระทำน่าเอ็นดูในสายตาเทมารินั้นลง
ดวงตาสีเข้มพยายามตีความใบหน้าของคุโนะอิจิจากทะเลทราย เพราะเมื่อเขาหันไปสบตาเธอก็เบือนสายตาหนีด้วยรอยยิ้มหลากหลายอารมณ์ที่โดยส่วนมากจะค่อนไปทางขบขัน – “ยิ้มอะไร” เมื่อเขาถามเธอก็ส่ายหน้ากลบเกลื่อน แสร้งหันไปสนใจลูกกวางแรกเกิดซึ่งตะเกียกตะกายขาหน้าพยายามลุกขึ้นยืนแทน ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาชอบที่คุโนะอิจิจากซึนะช่วยเขาจัดการลูกกวางซาคาโงะได้อย่างไร้ที่ติ แถมยังดีมากจนเขาไม่เหลือข้อกังขาที่เคยแยกเธอออกจากพวกผู้หญิงทั่วไป เทมาริควรได้รับแล้ว
เด็กชายทิ้งน้ำหนักตัวลงนิดหน่อยเมื่อท่อนไม้กระดกเล็กน้อยขณะเด็กสาวผู้ร่วมทางนั่งลงข้างๆ – ชิกามารุสังเกตเห็นมือขาวเนียนคู่นั้นเปื้อนเลือดอยู่มากแต่อ่อนจางจนเป็นสีออกน้ำตาลตัดผิวสีขาวชัดเจน ครั้นเลื่อนสายตาลงมาก็พบว่าขาเธอเลอะเป็นปื้นพอๆ กับจินเบของเขาที่ชุ่มด้วยเลือดทว่ากลืนไปกับเนื้อผ้าสีดำจนหมด หากเทมาริไม่ได้สะทกสะท้าน ประการหนึ่งอาจเพราะคุโนะอิจิมือเปื้อนเลือดผู้คนมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยหรือไม่ก็เลินเล่อจนไม่ทันเห็น ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าเป็นอย่างหลังเพราะเทมาริตั้งใจช่วยกวางตัวนั้นเหลือเกินจนรู้สึกได้ด้วยทั้งหมดของตนเองว่าเธอเป็นคนดีอย่างไม่ต้องรอให้เวลาพิสูจน์หรือใครตัดสิน นิสัยภายนอกที่คนในหมู่บ้านเห็นเป็นเพียงแค่หน้าฉากซึ่งเธอมีไว้ป้องกันตัว แต่ความอ่อนโยน นิ่มนวลนั้นไม่สามารถซ่อนภายใต้ความแข็งกร้าวและเข้มแข็งได้ตลอดเวลาเพราะมันเป็นความจริงอยู่นั่นเอง เด็กชายรู้จากความคุ้นเคยมาทั้งชีวิต ผู้หญิงนิสัยแบบนี้ที่เขารู้จักอีกคนคือแม่…
และพ่อก็มักจะยอมผู้เป็นมารดาเสมอไม่ว่าเรื่องอะไร
ความคิดของชิกามารุทำเอาเจ้าตัวต้องกลืนน้ำลายขณะหันไปมองเพื่อนร่วมทางที่กำลังสนใจจนถึงขั้นขะมักเขม้นกับทิวทัศน์ร่มรื่นของป่า ในส่วนลึกเด็กชายเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่น่าเอาเธอไปเทียบกับผู้เป็นมารดา หรือการที่พ่อยอมแม่เพราะมันไม่สมเหตุสมผล แต่ตัวเขาเองแทบจะไม่เคยปฏิเสธคุโนะอิจิแห่งซึนะได้ลง หากเขาสาบานได้ว่าไม่ได้รู้สึกกับเธอต่างจากคนที่ร่วมงานกันหรือผู้หญิงต่างหมู่บ้านซึ่งจ้องจะฆ่ากันให้ตายกลางลานประลอง แค่ยกให้เธอต่างจากพวกผู้หญิงน่ารำคาญ
“นายเจอซาคาโงะบ่อยไหม” เสียงนั้นคลอไปกับเสียงเจื้อยแจ้วของนกบนกิ่งไม้ หรือทิวสนไกลลิบๆ ที่ลู่เสียดสีกันช่วยดึงชิกามารุออกจากความอับอาย เทมาริกำลังพูดถึงซาคาโงะ ลูกกวางที่ไม่ยอมกลับหัวตอนเกิด
“ไม่บ่อยหรอกนานๆ ครั้งน่ะ บางทีถ้าไม่รู้พวกมันก็อาจจะตายกันทั้งคู่ วันนี้เธอช่วยชีวิตนินิกะกับลูกมันไว้” เหมือนรอยยิ้มจะพาดผ่านใบหน้าสวยคมชั่วพริบตาหนึ่งเป็นประกายความยินดีซึ่งบริสุทธิ์ใจเสียจนชิกามารุต้องรีบลุกจากท่อนไม้ด้วยกลัวจะถูกรัดรึงเข้าไปใกล้เด็กสาวโดยปุยอ่อนนุ่มที่เขามองไม่เห็นแต่เกือบโดนโอบรัดทีละน้อยจนเกือบขาดอากาศหายใจอีกครั้ง หากเด็กชายบ้านนาราเชื่อว่าส่วนหนึ่งเพราะเขากำลังรู้สึกไม่สบายตัวกับเลือดเหนียวเหนอะหนะที่เกรอะกรังตามร่างกาย ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองหมู่ไม้เบื้องหน้าอย่างมีนัยยะ ก่อนจะยื่นมือเพื่อช่วยดึงอีกฝ่ายขึ้นยืนโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธน้ำใจนั้น
“แล้วนายจะตั้งชื่อตัวลูกว่าอะไร …นายต้องเป็นคนตั้งใช่ไหม” ปลายเสียงของเด็กสาวจากทะเลทรายค่อนข้างเบาเคลือบความไม่แน่ใจ ขณะเดินเคียงคู่ไปกับเด็กชายที่สาวเท้าอย่างรวดเร็วผ่านกอสุมพุ่มไม้เป็นทิวแถว ใบไม้แห้งส่งเสียงสวบสวบเมื่อย่ำเท้าลง เทมาริพบว่าคนบ้านนาราตั้งชื่อกวางทุกตัวบนป่าในอภิสิทธิ์ของตระกูลก็ตอนที่ชิกามารุเรียกแม่กวางตัวนั้นว่านินิกะและบอกว่าพ่อเขาเป็นคนตั้งชื่อให้มัน ทั้งหมดนั่นทำให้เธอเริ่มมั่นใจว่าป่านี้คงเป็นคล้ายๆ สวนหลังบ้านของเด็กชาย สวนหลังบ้านที่ใหญ่มากทีเดียว พื้นที่สีเขียวในซึนะงาคุเระคงเทียบได้แค่กระถางต้นไม้ริมระเบียงบ้านเขา
“เธอน่าจะเป็นฝ่ายตั้งชื่อให้มันมากกว่า” ไม่รู้ทำไมชิกามารุถึงพูดออกไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนก็ตอนได้ยินอีกฝ่ายตอบ
“ซายะ…” ใบไม้รอบตัวเสียดสีกันเหมือนกำลังกระซิบว่าซายะ เสียงนั้นกระจายไปทั่วผืนป่าทุกครั้งที่ลมหอบผ่านมาเป็นระลอก ใบไม้แห้งที่ทับถมกันบนผืนหญ้าเริ่มลดลง อย่างน้อยก็ไม่ดังซ่อกแซ่กแข่งกับความเป็นไปของธรรมชาติในป่าทุกครั้งที่ก้าวเดิน โคนไม้ยืนต้นสูงแซมด้วยดอกคอสมอสแห่งฤดูใบไม้ร่วงขึ้นเบียดเสียดกันแน่นพื้นที่จนต้องกระจายตัวออกมาเป็นสายยาวเกาะกลุ่มกัน อากาศที่ผ่านตัวคนทั้งคู่อวลด้วยกลิ่นหวานละมุน ชิกามารุตอบรับชื่อนั้นจากเทมาริตอนหยุดยืนอยู่หน้าเวิ้งหลากสีสัน และกว้างเหมือนหลุมขนาดใหญ่ที่ถูกโอบกอดท่ามกลางแมกไม้หากมันขาวสล้างด้วยดอกไม้มากมายเกินกว่าคุโนะอิจิทะเลทรายจะคาดถึง หนาแน่นจนมองไม่เห็นพื้นทั้งยังรุกรานเกินอาณาเขตของต้นไม้ใหญ่ซึ่งล้อมอยู่รอบด้านออกไปอีก
เด็กสาวนึกสงสัยว่ามันจะแผ่ขยายไปถึงตรงไหน
คนที่ทำหน้าตายอย่างเด็กชายผู้เบื่อโลกก็แผ่ความยินดีล้นออกมาอยู่รอบตัวจนสัมผัสได้อย่างแน่ชัด เมื่อเห็นเทมาริมุ่งความสนใจไปยังดอกไม้ที่บานอวดสีสันหลากหลายจนเขาหมดความสำคัญไปในพริบตา หากนั่นหมายถึงชิกามารุทำสำเร็จที่จับจุดความชอบของเธอได้อยู่มัดและยังทำให้อีกฝ่ายปลดเปลื้องเกราะกำบังตัวเอง ใบหน้าถือดีอ่อนลงจนผ่อนคลายยิ่งกว่าตอนไหนๆ ที่เขาเคยเห็น นั่นทำให้เด็กชายถูกความสุขรัดรึงไว้แน่น “ใช่มันสวย เธอก็น่าจะชอบอีกที่ที่ฉันจะพาไปเหมือนกัน”
‘หวังว่าน่ะนะ’ ชิกามารุบังคับให้ตัวเองแน่ใจอย่างนั้น ความคาดหวังมีมากทีเดียวว่าอีกฝ่ายจะพึงพอใจ ต่อมาเขาก็พบว่าต้องการจะพาเทมาริกลับมายังเวิ้งที่เต็มไปด้วยดอกไม้แน่นขนัดอีกครั้งหลังทำความสะอาดร่างกายเหนียวเหนอะจนเกลี้ยง
ก็รอยยิ้มเมื่อครู่ยังติดใจเขาอยู่เลย
ดูเหมือนเด็กสาวจะล่อหลอกง่ายกว่าที่คิด ถึงเดินตามเด็กชายไปอย่างว่าง่ายราวกับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอ่อนเดียงสาเมื่อครั้งเดินอยู่กับยาชามารุผู้เป็นดังเช่นมารดาคนนั้น เด็กชายบ้านนาราพาคุโนะอิจิแห่งซึนะผู้เคยชินกับแสงจ้าของดวงอาทิตย์บนท้องนภาใสสีฟ้าจัดหรือทะเลทรายระอุที่มีไอขาวจับตัวลอยต่ำจากความร้อน ผ่านต้นไม้ที่มีมอสหนาชื้นขึ้นเกาะเปลือกไม้สีเข้มไม่เว้นกระทั่งก้อนหินสีเทาซึ่งวางเรียงรายหลั่นกัน เสียงรินไหลของกระแสน้ำแว่วเข้ามาเมื่อเงี่ยหู จนเริ่มดังขึ้นมาใกล้ตอนสัมผัสได้ถึงไอความเย็นที่แผ่ออกมาจากพืชทุกต้น ในความชุ่มฉ่ำของน้ำตกขนาดย่อมนั้น ใบหน้าของเทมาริสดชื่นขึ้นพอๆ กับต้นไม้ซึ่งพร่างพรมด้วยหยดน้ำที่กัดเซาะหินผาลงมาสู่เบื้องล่าง
น้ำใสราวกับกระจกจึงเห็นท้องน้ำชัดเจน มันสะท้อนใบหน้าของเด็กสาวที่พร่ามัวไปตามแสงที่ตกกระทบพื้นผิว ปลาว่ายหนีอย่างระแวดระวังเมื่อเทมาริจุ่มมือลงไปจนผิวน้ำกระจายเป็นริ้วคลื่น ความเย็นแล่นปราดขึ้นตามนิ้วขณะวักน้ำล้างคราบเลือดจางๆ ตามแขนขาให้ละลายลงไปจนเป็นสีเดียวกับสายน้ำ “นายพูดถูก ฉันชอบที่นี่”
ชิกามารุตีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อเพื่อนร่วมทางเอ่ยขึ้น แต่ความยินดีเอ่อล้นออกมาอยู่รอบตัว – หากมีคนอื่นร่วมทางด้วยพวกเขาก็คงรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ – แม้ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ธุระกงการของเด็กชาย หากเมื่อเห็นใบหน้าสดใสที่ผ่อนคลายนั้นเขากลับรู้สึกถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกชอบใจ บางทีอาจจะคุ้มค่าที่พาอีกฝ่ายมายังที่ที่ไม่เคยมีคนภายนอกรุกล้ำเข้ามาก่อนแม้ได้รับอนุญาต คุโนะอิจิจากทะเลทรายคงเป็นคนต่างหมู่บ้านคนแรกที่เข้ามาในป่าของตระกูลนาราลึกขนาดนี้ เด็กชายผู้เยาว์วัยควรรู้เหตุผลว่าทำไมถึงอยากนำเสนอสถานที่เหล่านี้กับเพศที่ตนคิดว่าน่าเบื่อหน่าย แต่เขารู้เพียงว่าเทมาริยังคงไม่เปิดใจหรือกระทั่งไว้ใจให้มากพอกับที่เขาไว้ใจจนพาเธอมา
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองเด็กสาวที่ปีนขึ้นไปนั่งบนโขดหินริมฝั่งขณะก้าวลงไปถึงแค่น้ำตื้นที่สูงเพียงข้อเท้า เมื่อเดินลึกลงไปกระแสน้ำก็ไหลผ่านขาทั้งสองข้างอย่างไม่อ่อนข้อเพราะเห็นเขาเป็นเพียงสิ่งกีดขวาง ชิกามารุตั้งใจเช็ดล้างแขนซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีแดง ทว่าน้ำเย็นๆ ไหลผ่านร่องนิ้วและหยดลงมาตามแขนตอนที่เขาตัดสินใจวักมันสาดใส่เธอเต็มแรง
หยดน้ำเย็นหอบใหญ่กระเด็นมาโดนเทมาริจนโชกในแบบที่ใครเห็นก็รู้ว่าจงใจ เด็กสาวหันขวับไปหาโจทก์คนสำคัญที่วางท่าทีเฉยเมยคล้ายจะไม่มีส่วนรู้เห็น “นายผิดพลาดครั้งใหญ่เลยที่สาดน้ำใส่ฉัน นาคิมุชิคุง”
ท่อนขาสมส่วนก้าวลงไปในธารน้ำสะอาด สัมผัสถึงก้อนกรวดขรุขระบดเบียดอยู่ใต้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าและเทมาริก็จำได้อีกครั้งว่าความสนุกนั้นเป็นแบบไหน น้ำกระเซ็นขึ้นมาทุกครั้งที่เธอวิ่งไล่เด็กชายไปบนสายน้ำเย็นเยียบพลางหลบน้ำที่เขาสาดมาอย่างหาเรื่อง กวางที่ยืนกินน้ำดับกระหายอยู่อีกฝากเฝ้าสังเกตการณ์เงียบๆ อย่างไม่ต้องการมีส่วนร่วมในความเปียกปอนนั้น
.
แทนที่จะรู้สึกสบายตัวขึ้นเพราะล้างเนื้อตัวสะอาดแล้ว ชิกามารุกลับเปียกมะลอกมะแลก รู้สึกหนาวเมื่อลมลามเลียเสื้อผ้าชุ่มโชก แต่เขาชอบความเย็นในต้นฤดูใบไม้ร่วงที่รังสรรค์ทิวเขาเบื้องหน้าให้เป็นสีแดงตัดกับท้องฟ้าสีอมเทาขมุกขมัวตอนบ่ายคล้อยซึ่งมักสลัวรางแม้ในเวลากลางวันจากอิทธิพลของฤดูกาล เงาไม้เริ่มคล้อยต่ำจากจุดที่เขานั่งพิงโคนต้นไม้อยู่อย่างซังกะตาย เรือนยอดหนากรองแสงลงมาถึงพื้นหญ้าหนานุ่มแค่พร่ามัวทั้งยังไหววูบไปตามช่องว่างของกิ่งใบที่โยกคลอนไปตามกระแสลม ปุยเมฆเริ่มเคลื่อนตัวมาบดบังแสงของดวงอาทิตย์ และทุกครั้งที่อากาศเย็นจากสายลมเอื่อยลอยเข้ามาทักทาย เขาเป็นอันต้องเผื่อแผ่ความสนใจให้เทมาริทุกครั้งไป
แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่เดือดร้อนกับสภาพอากาศเย็นซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเสื้อผ้าชื้นๆ ของตนสักเท่าไหร่ เธอชันเข่าอยู่หน้าลำต้นสีเทาที่เปลือกไม้ปริแตกเป็นริ้วขรุขระ กลิ่นหอมจางๆ เจือมากับเสียงหวีดร้องของลมที่แทรกตัวผ่านหมู่ไม้ขณะดวงตาคู่สวยถูกสะกดยังเวิ้งซึ่งมีดอกไม้ปกคลุมหนาจนไม่อาจเห็นพื้นดินใต้สีสันสดใสที่ธรรมชาติระบายสรรสร้าง เทมารินึกถึงบ้านและไอร้อนของทะเลทรายขึ้นมาเมื่อความเย็นสัมผัสต้องผิวขาวละเอียด หากนั่นทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด
เด็กสาวไม่ทันรู้สึกคุกคามด้วยซ้ำตอนถูกเมียงมอง
ใบหน้าด้านข้างของเธอสงบนิ่งดุจเดียวกับท้องฟ้าที่ชิกามารุมองหาอยู่เสมอ เขาไม่ได้ถอนสายตาออกจากแก้มนวลเนียนซึ่งเปื้อนรอยยิ้มอันอ่อนเยาว์เพราะถูกกลืนหายเข้าไปในพันธนาการเบาบางที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด ครั้งนี้เขาไม่ปฏิเสธ ปุยนุ่นอ่อนละมุนที่มองไม่เห็นค่อยๆ ก่อตัว คืบคลานเข้ามากอดรัดทุกส่วนของร่างกายทั้งภายใต้อำนาจและนอกเหนือควบคุมของเขาอย่างนิ่มนวลจนตายใจ รู้สึกว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังมาถึงทั้งที่นั่งอยู่ปลายเดือนสิบ ทั่วทั้งร่างมีความรู้สึกแล่นปลาบขึ้นดั่งกองไฟที่ใกล้มอดแต่กำลังคุกรุ่นด้วยสะเก็ดไฟแดงก่ำรอเวลาสงบ ‘ยัยนี่เป็นผู้หญิงช่างสร้างปัญหา น่ารำคาญชะมัด’ – ถ้านั่นจะออกมาจากใจจริงแม้เพียงนิดคงเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นมากพอสำหรับเด็กชายขี้เบื่อซึ่งถูกทำให้เผยตัวตนอีกด้านโดยผู้หญิง เพศที่เขารำคาญหนักหนาแค่คนเดียว และร้ายที่สุดคือเขาไม่รู้สึกตัวเลย
2.
นาฬิกาปลุกแผดเสียงอย่างไม่มีการผ่อนปรน หรือปรานีคนที่นอนคู้อยู่บนฟูก จนกว่ามือสะเปะสะปะของเด็กชายจะหาทางยุติเสียงดังหนวกหูนั้นลง
การตื่นตอนดวงอาทิตย์ยังไม่ไต่ระดับพ้นขอบฟ้ามาทำตามหน้าที่ถือเป็นเรื่องธรรมดาของชิกามารุมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะทั้งหมดล้วนคือความเคยชินจากหน้าที่รับผิดชอบซึ่งผู้เป็นบิดามอบหมายมาให้ การฝึกวิชาตอนรุ่งสางที่แค่หายใจยังออกมาเป็นไอขุ่นขาวหรือเดินเตร่เข้าไปในป่าของตระกูลเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย และกลับมานั่งฟังเสียงบ่นงึมงำของมารดาบนโต๊ะอาหารเช้า หากตอนนี้ก็มีอีกกิจวัตรหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ช่วยให้ช่วงเช้าของเขาสดใสมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เหลือเกิน ชิกามารุประชดขณะคิดว่าต้องรีบเข้าไปเปลี่ยนเวรที่ฝ่ายประสานงานตามการจับไม้สั้นไม้ยาวเสี่ยงดวงอันสิ้นคิด
บานประตูโชจิถูกแง้มออก อากาศเย็นจัดในตอนย่ำรุ่งทะลักเข้ามาในห้อง แผ่ไปทั่วบรรยากาศมืดทึบจนต้องถูต้นแขนขับไล่ความหนาว หมอกขุ่นมัวจับตัวหนาอยู่เหนือสระน้ำในสวนญี่ปุ่นนอกชานระเบียง น่าเบื่อจริง สมองเด็กชายตีความขอบฟ้าอีกด้านที่ยังเป็นสีน้ำเงินเข้มไล่ระดับอ่อนลงเมื่อบรรจบกับตีนฟ้าฝั่งตะวันออกซึ่งจับแสงสีทองอมส้มกลมกลืนไปกับร่องรอยม่วงคล้ำโดดเด่นท่ามกลางความมืดที่คลี่คลุมโดยรอบว่าอย่างนั้น เพราะเขาเห็นแล้วว่าฟ้ายังไม่สว่างดี โคมไฟตามทางบนตัวหมู่บ้านที่เขามองเห็นลงไปจากเนินขณะเดินลงฝีเท้าอย่างแผ่วเบาไปตามชานระเบียงยังส่องสว่างแทนลูกไฟยักษ์ซึ่งสาดแสงเรืองรองอยู่ริมขอบเทือกเขาสุดสายตา
เด็กชายคิดผิดที่ไม่ใช้โถงทางเดินกลางเพื่อเข้าสู่ห้องหนังสือ เพราะหูและปลายนิ้วของเขาเริ่มเย็นเฉียบเหมือนถูกน้ำค้างแข็งที่ประพรมบนใบไม้เกาะกินเข้าด้วยอีกราย แสงจากดวงอาทิตย์ทางตะวันออกที่ถูกเจือจางด้วยฝ้าไอขมุกขมัวตัดผ่านสายหมอกมาช่วยให้ชิกามารุรู้สึกอุ่นขึ้น ตอนนั้นเสียงตีปีกพึ่บพั่บอยู่เหนือศีรษะก็ทำลายความคิดวกวนในภวังค์ เรียกให้ดวงตาสีน้ำตาลพุ่งเป้าไปหานกส่งข่าวของหมู่บ้านซึ่งบินถลามาเกาะอยู่ตรงหน้าและพยายามจิกพื้นไม้ฮิโนกิด้วยจงอยปากแหลม พิราบสีควันนี่ไม่น่าเป็นนกสื่อสารของบิดาเขาแน่เพราะเจ้าตัวนั้นต้องพิเศษอยู่เสมอด้วยสีขนขาวปลอดเนื่องด้วยตำแหน่งหัวหน้าโจนินของนารา ชิกาคุ
ดังนั้นข้อความที่เขียนด้วยลายมือไร้ระเบียบนี้ส่งหาเขาอย่างแน่นอน
นายไปช่วยงานที่สนามฝึกสี่ก่อนเจ็ดโมง ไม่ต้องเข้ามาที่นี่: ใจความมีแค่นั้น
‘แล้วที่นี่น่ะมันที่ไหนกันเล่า’ ถึงกระนั้นชิกามารุก็ทวงถามคำตอบจากลายมือหวัดๆ บนกระดาษแผ่นเล็กนี่ไม่ได้อยู่ดี หากตัวอักษรคุ้นตาช่วยแถลงไขให้กระจ่างเลยว่ารุ่นพี่จากฝ่ายประสานงานกำลังส่งคำสั่งมัดมือชกอันน่างุนงงผ่านทางนกตัวเดียวที่บินฝ่าน้ำค้างและสายหนอกหนาตอนเช้าตรู่มาถึงมือเขา ‘ครั้งนี้เป็นตาใครล่ะ’ เด็กชายบ่นอุบ เพราะเมื่อวานถูกเรียกตัวไปวางแผนปลิดชีวิตโจนินจากอิวะงาคุเระซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของโคโนะฮะอย่างแยบคายในสนามฝึกที่ว่านั่น เขาถูกพาไปเลี้ยงเนื้อย่างสำหรับแผนการที่ประสพผลทั้งยังต้องทนนั่งฟังคำยกยอสติปัญญาของตัวเขาซึ่งได้ยินแล้วรู้สึกสยองชอบกลอีก
สนามฝึกสี่ขึ้นชื่อว่าโหดหินแล้วยังเป็นสนามในอุดมคติที่นินจาหมู่บ้านอื่นเห็นแล้วอย่างมีไว้ในครอบครอง พวกนินจาระดับสูงชอบไปใช้นักแหละ เด็กชายเคยตามบิดาเข้าไปครั้งหนึ่งและนึกเข็ดขยาดที่มันมีสิ่งดึงดูดใจเพียงพอจะลบล้างความเบื่อหน่ายอันเป็นนิสัยได้ เขามั่นใจนักเชียวว่าสนามนี้เป็นข้ออ้างที่ดีมากทีเดียวสำหรับการลอบกำจัดใครบางคนโดยไม่ผิดสังเกต เพราะอย่างนั้นชิกามารุถึงไม่ได้อยู่รับรองนินจาจากซึนะงาคุเระทุกวัน ฝ่ายประสานงานใช้ประโยชน์จากหัวคิดของเขาทุกครั้งทุกโอกาสทั้งที่เขาแค่ได้รับคำสั่งมาช่วยงานเป็นพิเศษเนื่องจากนินจาประจำไม่พอ
อันที่จริงในการสอบจูนิน ชิกามารุแทบหมดสภาพไม่ได้ต่อสู้อย่างพิสดาร หรือโดดเด่นเหมือนอย่างพวกอัจฉริยะรอบอื่นแต่กลับถูกจับตามองจากระดับสูง เหตุนั้นจึงทำเขาปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อยในการวิ่งเข้าวิ่งออกทำภารกิจสาหัสสากรรจ์กับหน่วยย่อยที่ต้องอาศัยอุบายแยบยลหรือมันสมองอันเฉียบคม ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีให้มากมายเท่าไหร่ – นั่นเป็นข้ออ้างของเด็กชายผู้ถ่อมตัวจนน่าหมันไส้ ความไม่รู้ตัวของพวกฉลาดเป็นกรด มากความสามารถบ่อนทำลายกำลังใจคนธรรมดาที่มีความมุมานะพยายามได้อยู่ไม่น้อย
น้ำค้างตอนเช้าลงจัดพอๆ กับหมอกเบาบางที่เคลือบอากาศเย็นไว้ทุกอณู ชิกามารุจามออกมาด้วยอุณหภูมิต่ำๆ รอบตัวสำแดงฤทธิ์
‘ยัยนั่นจะเป็นหวัดรึเปล่าก็ไม่รู้…’ วันนั้นเทมาริจามตลอดทางที่เขาพาเธอเดินกลับออกมาจากป่าของตระกูล เด็กชายนึกถึงคุโนะอิจิจากซึนะที่ไม่ได้โผล่หน้าไปพบปะหลายวันแล้ว หวังว่าเจ้าหล่อนคงไม่สร้างเรื่องให้ใครต่อใครเดือดร้อนหรือหัวปั่นเหมือนเขาอีก แอบฟังความจากรุ่นพี่ประจำฝ่ายที่ใช้แรงงานคนไม่หยุดหย่อน ชิกามารุก็เข้าใจว่าคุโนะอิจิกำลังปรึกษากับฝ่ายรักษาการณ์เรื่องโครงสร้างความปลอดภัยในหมู่บ้านเพื่อปรับใช้กับซึนะงาคุเระ เธอเป็นผู้หญิงมากความสามารถ เขายอมรับในข้อนั้น
สองสามวันหลังมานี่ชิกามารุจึงคอยประสานงานให้แค่คันคุโร่และน้องชายหน้าตายผู้ซึ่งเขากับนารุโตะคุ้นเคยกันดี ทั้งยังต้องรับผิดชอบภารกิจนู้นภารกิจนี้ที่เข้ามาหาไม่เว้นแต่ละวัน พร้อมช่วยงานฝ่ายประสานงานอันวุ่นวายหลังเหตุการณ์โอโรจิมารุจู่โจมจนความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านคลอนแคลนควบคู่ไปด้วย ซึ่งเขาควรจะแยกร่างถ้ามีจักระเหลือเฟือ แถมตอนนี้ก็ยังมีสนามฝึกพรรค์นั้นรออยู่อีก นารา ชิกามารุชอบความสมบูรณ์แบบในหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองมากพอดู นั่นหมายถึงเขาไม่อยากละเลยภารกิจใดไม่เว้นแม้แต่ภารกิจชวนปวดหัวอย่างรับรองคุโนะอิจิจากซึนะให้ได้รับความสะดวกสบายทุกประการในโคโนะฮะ ‘…น่าเบื่อดีแท้’
3.
ขณะจ้องมองยังภูเขาซึ่งโอบล้อมตัวหมู่บ้าน เทมาริก็เห็นว่าสีแดงอมส้มแผ่อาณาบริเวณจับจองใบไม้ทุกกิ่งก้านจนหมดแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงในแบบที่ซึนะงาคุเระไม่มีทางมีได้ ผ้าคาดเอวที่ผูกทิ้งชายไว้เบื้องหลังสะบัดพลิ้วไปมายามท่อนขาปราดเปรียวก้าวเดินอย่างมาดมั่นไปบนถนนซึ่งคลาคลั่งด้วยผู้คนตอนสาย เธอปลีกตัวจากการประชุมช่วงเช้าออกมาเพื่ออาหารเติมเต็มกระเพาะที่กำลังส่งเสียงโครกครากอย่างน่าขัดเขิน และตัดสินใจว่าแค่เมนูพิเศษของร้านเล็กๆ ในย่านการค้าก็เพียงพอ
วันนี้เด็กสาวต้องปรึกษากับนินจาโคโนะฮะเรื่องแผนรับมือการลอบโจมตีหมู่บ้านทุกกรณีที่อาจเกิดขึ้น ที่ประชุมของฝ่ายรักษาการณ์มีแต่พวกเคร่งเครียดเกินความพอดี ดังนั้นการได้ออกมาเดินยืดเส้นยืดสายหลังจากขลุกตัวอยู่กับพวกนินจาระดับสูงของโคโนะฮะตั้งแต่เช้าตรู่ก็ถือว่าดีไม่น้อย การเดินเล่นคือสิ่งที่เทมาริโปรดปราน เพราะนั่นไม่ต้องเร่งรีบหรือรับมือกับปัญหา เหยียบย่างไปพบพื้น นำพาตัวเองไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามจะผ่านเธอไป น้อยคนจะรู้ความลับนี้ เธอสนิทกับนินจาประจำหอพฤกษศาสตร์ซึนะจนเข้าไปช่วยงานวิจัยได้ทุกเมื่อ ดินของซึนะงาคุเระไม่เหมาะกับการเพาะพันธุ์พืชผลใดจนต้องเอาใจใส่ให้มากพอกับความต้องการที่จะนำมันมาใช้ประโยชน์ และเธอก็ชอบแวะเวียนเข้าไปสังเกตการณ์ความเป็นไปพอๆ กับการพัฒนาตัวเองในสนามฝึก
“ยินดีต้อนรับค่า-“ ดังขึ้นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของร่างระหงก้าวผ่านประตูหน้าร้าน พลางเลิกผ้าโนเร็นเหนือวงกบ
ภายในร้านขนาดกะทัดรัดมีกลิ่นข้าวหุงสุกใหม่ๆ โต๊ะไม้เข้าชุดกัน ช่องลมเป็นซี่อยู่เหนือรายการอาหารเขียนอยู่บนแผ่นไม้รอบผนัง โต๊ะด้านในสุดดูน่าจับจองเมื่อมันไม่เป็นจุดสนใจมากนัก สถานการณ์ทั่วไประหว่างซึนะกับโคโนฮะบางส่วนยังตึงเครียดอยู่ไม่น้อยทำให้เทมาริหลีกเลี่ยงการกระทำที่โดดเด่นหรือสุ่มเสี่ยง เธอแค่อยากทานอาหารเช้าง่ายๆ จากหญิงชราท่าทางงุ่มง่ามผู้เป็นเจ้าของร้านเท่านั้น
ภารกิจที่เทมาริถูกมอบหมายให้มาดำเนินการในหมู่บ้านนี้มีมากจนหัวหมุนเพราะซึนะงาคุเระเข้าพวกกับโคโนะฮะโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงต้องแบ่งปันข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน เด็กสาวถูกเหล่าที่ปรึกษาซึนะส่งมาเพื่อการนั้น เชื่อมสัมพันธ์อันดีกับหมู่บ้านพันธมิตรพร้อมช่วยเหลือนินจาโคโนะฮะในภารกิจควบคุมตัวอุจิวะคนสุดท้าย ซึ่งล้มเหลวไปแล้ว เป็นระยะเวลากว่าสามเดือนตามข้อตกลง และอารมณ์ขันร้ายกาจจากโคโนะฮะคือโฮคาเงะเจาะจงว่านินจารับรองของเธอต้องเป็นนารา ชิกามารุ ที่ตอนนี้หายตัวไปร่วมสัปดาห์ได้
‘…หมอนั่นไปทำภารกิจอะไรอยู่นะ’ แน่นอน เขาย่อมทำหน้าที่ตัวเองอย่างดี เธอก็เช่นกัน
เทมาริจึงไม่เดือดร้อนกับเรื่องนั้น โคโนะฮะงาคุเระยังส่งนินจานายอื่นมาดูแลเธออยู่ แต่การได้สัมผัสชิกามารุในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากเป็นกองหนุนในภารกิจติดตามตัวอุจิวะ ซาสึเกะทำให้เธอเห็นอีกด้านหนึ่งของเด็กชาย และได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของตัวเองที่มีต่อเขา ถึงจะขี้เบื่อแต่สำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง ไม่อยากยุ่งย่ามกับผู้หญิงทว่าให้เกียรติเพศตรงข้ามอย่างมากมาย ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นความชอบของเธอมาก่อนแต่หมอนั่นทำให้สวนดอกไม้สุดสายตาปรากฏตรงหน้า
กำแพงจิตใจของเทมาริพังทลายก็ยามนั้นเอง ดวงหน้าสวยคมเผลอยิ้มออกไปโดยอัตโนมัติขณะเรื่องทั้งหมดในใจถูกปลดเปลื้องลง และพบเจอความผ่อนคลายที่เผลอหลงลืมไปเมื่อไหร่ไม่รู้อีกครั้ง เขาเป็นมิตรกับเธอด้วยความใจดีและด้านอ่อนโยนนั่น แถมเด็กสาวไม่คิดเลยว่าเด็กชายตัวน้อยจะพึ่งพาได้มากทีเดียว
หากว่ากันตามจริงเธอค่อนข้างอยากให้เขาโผล่หน้าโผล่ตามาหาเหมือนกัน ต้องยอมรับว่าชิกามารุเป็นคนที่เธอต้องการตัวมากที่สุดในหมู่บ้านนี้ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดหรือกับเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นก็ตาม เทมาริอยากเห็นใบหน้าเฉยเมยซึ่งช่วยประกันความอุ่นใจให้ระหว่างอยู่โคโนะฮะ อาจจะเป็นไปได้ว่าความเชื่อใจของคุโนะอิจิจากทะเลทรายต่อหมู่บ้านที่ซ่อนเร้นท่ามกลางเงาไม้เป็นของเด็กชายบ้านนาราคนเดียว เธอเปิดใจให้อีกฝ่ายมากเกินไปแต่กลับไม่รู้สึกหวาดระแวงอย่างที่ควรจะเป็น
ใบหน้าชวนมองลดระดับความแข็งกร้าวลง ลมมีกลิ่นอายจางๆ ของฝนอันชุ่มชื้นแทรกผ่านเข้ามาในขณะที่ท้องฟ้าด้านนอกซีดจางลงและปุยเมฆสีครามอมเทาซึ่งคล้ายจะอุ้มน้ำจนดูอัดอั้นก็ลอยตัวต่ำ บรรยากาศสงบรอบตัวชวนให้เทมารินึกถึงเด็กชายตอนนั่งเอกเขนกกันอยู่หน้าดอกไม้นับพันซึ่งประทับใจเธอยิ่งกว่าของทุกชิ้นที่เคยได้รับนับแต่จำความได้ ชิกามารุสัญญาว่า ‘แล้วเธอจะได้มาอีก …ก็เธอยังไม่ได้เขากวางไปไม่ใช่รึไง’ ก่อนหน้าจะต่อประโยคจนจบเขาชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนกัน แต่สายตาของเธออยู่กับลูกกวางที่เข้ามาออเซาะจึงปล่อยผ่านความสนใจขณะอีกฝ่ายรีบกล่าวต่อเหมือนตอนกาอาระถูกจับได้ว่าทำเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างลงไป
เมื่อนึกถึงน้องชายคนเล็กของตัวเอง เทมาริก็กระจ่าง อาจเพราะเห็นหมอนั่นเป็นน้องชายคนหนึ่งถึงได้ไว้วางใจโดยไม่ตะขิดตะขวง ‘ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ…’ ถ้ามันไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อมาคานความรู้สึกส่วนหนึ่งที่แปลกแยกออกไป
เทมาริตั้งท่าจะสั่งอาหารมาเยียวยากระเพาะแสบร้อน
หากเด็กหญิงตัวน้อย ซึ่งวิ่งเข้ามาในร้านด้วยฝีเท้าทั้งหมดที่มีดึงความสนใจของหญิงชราไป เด็กน้อยหน้าเสีย และอุทธรณ์กับผู้อาวุโสกว่าว่ามีเรื่องไม่ดีอย่างไรเกิดขึ้นบ้างจนหญิงมากวัยหวาดผวาไปอีกคน เทมาริไม่ได้ตั้งใจฟังหรอก หากโสตประสาทของเธอกลั่นกรองเสียงร้อนรนของเด็กหญิงเข้ามาทุกประโยค นัยน์ตาสีเขียวครามหันกลับมาจดจ่อกับรายการอาหารตอนที่เจ้าของเสียงเล็กๆ ซึ่งกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อวิ่งเข้ามาหาพลางกล่าวอย่างลุกลน “พี่สาวเป็นนินจาใช่ไหมคะ ได้โปรดช่วยหน่อยเถอะค่ะ”
4.
ชิกามารุหุบร่ม คอยระวังไม่ให้น้ำแฉะทางเข้าร้านทั้งที่มันเจิ่งนองอยู่แล้ว
ใบหน้าอ่อนเยาว์พราวไปด้วยหยดน้ำเพราะร่มทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีนัก หญิงวัยกลางคนประจำร้านจึงคีบผ้าที่อบจนร้อนในตะกร้าถ่านมาให้ตามธรรมเนียม อุณหภูมิอุ่นๆ แผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือเย็นเยียบขณะเด็กชายจ้องมองท้องฟ้าสีขาวซีดด้านนอกผ่านช่องหน้าต่าง ฝนพร่างพรมลงมาจากก้อนเมฆสีเทาอวบอ้วนซึ่งลอยจับตัวหนาเป็นแพ ผู้คนสัญจรตามถนนหนทางอันชื้นแฉะเบาบางลงถนัดตา ต่างฝ่ายต่างหลบมรสุมลูกย่อมที่ตกลงมาอย่างไร้วี่แวว ลมกรรโชกยิ่งพัดกระหน่ำสายฝนให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นและซัดกระเซ็นมาโดนชิกามารุผู้หลบลี้อยู่หลังกันสาดหน้าร้านขนมหวานโคโนะฮะ สภาพการณ์รอบด้านพร่ามัวไปด้วยหยดน้ำเม็ดหนา การที่ฝนสาดตัวไปตามทิศทางของกระแสลมปั่นป่วนยิ่งทำให้ยอดไม้สั่นไหว กิ่งไม้ตีกันฉวัดเฉวียน คนอีกจำนวนหนึ่งจึงตัดสินใจล้มเลิกความพยายามที่จะฝ่าความกราดเกรี้ยวนั้นไป
“รับอะไรไหมชิกามารุคุง” รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของหญิงเจ้าของร้านเหมือนกำลังฉีกยิ้มให้ชิกามารุที่พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำชักชวนนั้น เสียงคำรามจากอีกฟากของท้องฟ้าแข่งกับเสียงไหลจั่กบนรางน้ำ เด็กชายคลึงมือกับผ้าผืนอุ่นพร้อมกวาดตาหาโต๊ะที่พอมีว่างอยู่บ้าง ภารกิจที่ถูกขอร้องให้ช่วยในสนามฝึกพิลึกนั้นเสร็จลงเร็วเกินคาด อย่างน้อยเขาก็เหลือเวลาเป็นของตัวเองนิดหน่อย พอให้โพล่หน้าไปหายัยนั่นก่อนกลับฝ่ายประสานงาน หากตอนนี้ทำได้เพียงหงุดหงิดกับสายฝนที่ซัดกระหน่ำ
“เมนูพิเศษของวันนี้ ไม่สิโอเบริโจโยะก็ได้ครับ ผมคงต้องฆ่าเวลาสักหน่อย” ช่วงระยะหลัง เด็กชายผู้ไม่พิสมัยรสชาติของขนมหวานเกินคนปกติเริ่มรู้สึกรำคาญที่อยู่ดีๆ ตัวเองก็นึกชื่อขนมได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะภารกิจรับรองคุโนะอิจิแห่งซึนะ
“แล้วจะเล่นอะไรสักกระดานรึเปล่าล่ะ” เมื่อแรกชิกามารุงุนงงกับคำกล่าวนั้น แต่หญิงเจ้าของร้านช่วยแถลงไขโดยการพยักเพยิดไปอีกทาง เขาเห็นใบหน้าคุ้นเคยโดดเด่นขึ้นมาจากกลุ่มคนจำนวนน้อยในร้าน นินจาหนวดเฟิ้มกำลังใช้ความพยายามอยากมากในการยับยั้งใจตัวเองไม่ให้หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด อาสึม่า โจนินประจำทีมสิบนั่งอยู่กับหญิงสาวผมหยักศกที่กำลังโบกมือมาทางเขา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุเรไนเซนเซย์ถึงอยู่ด้วยกัน เขาไม่ชอบฟังเรื่องซุบซิบเท่าไหร่นักแต่ข่าวลือหนาหูแพร่กระจายเหมือนไฟลามทุ่ง โดยมีต้นเหตุแค่ว่าอาสึม่าไปซื้อกุหลาบช่อเดียวที่ร้านดอกไม้ยามานากะ
“ไง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเลยนะ” เป็นคำทักทายแรกจากปากอาสึม่าผู้พยายามสื่อคำอธิบายผ่านทางใบหน้าว่า แค่บังเอิญออกมาคำธุระแล้วเจอกับคุเรไนเซนเซย์เท่านั้นเอง แต่ชิกามารุไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากตั้งใจจะหลีกเลี่ยงการถูกเชิญให้นั่งเพื่อจะไม่ต้องรบกวนคนทั้งคู่ที่แสดงออกว่าคบกันชัดเจนยิ่งกว่าคำบอกเล่าไหน เขาแสร้งตีความจากโจนินผู้ฝึกสอนของตัวเองไม่ออกและมุ่งเป้าไปสนใจหญิงสาวผู้มีดวงตาสีเพลิงแทน
“นึกว่าอยู่กับคุโนะอิจิจากซึนะคนนั้นซะอีก เธอชื่ออะไรนะ” คุเรไนเพิ่งประจักษ์ เพราะกลายเป็นว่าในโคโนะฮะงาคุเระ เมื่อพูดถึงเทมาริแห่งทะเลทรายต้องเป็นอันนึกถึงเด็กชายบ้านใหญ่ตระกูลนาราที่เป็นคู่ประลองม้ามืดในการสอบจูนินครั้งล่าสุด
“…เทมาริครับ”
ชื่อหล่อนออกจะแปลกหูอยู่หน่อย แต่เขาว่ามันเพราะทีเดียว ชิกามารุค่อนข้างประหลาดใจที่โจนินหญิงเริ่มการสนทนาโดยการถามถึงนินจาต่างหมู่บ้าน ดูเหมือนคนในโคโนะฮะจะกล่าวถึงเด็กสาวจากทะเลทรายในหลายแง่มุม ส่วนมากเป็นไปในแง่ชื่นชมผสมปนเปกับความกระอักกระอ่วนที่มีต่อนิสัยแข็งกร้าวของเจ้าหล่อน ซึ่งเขาเฝ้าปฏิเสธในใจฝ่ายเดียวว่าเธอไม่ใช่คนเย่อหยิ่งหรือกระด้างชาเลยแม้เพียงนิด กระทั่งออกปากแก้ต่างให้ก็ถูกมองด้วยสายตาประหลาดราวกับว่าตอนนั้นเขาไม่ได้ชื่อนารา ชิกามารุ เจ้าของสมญานามจอมขี้เบื่อหมดไฟ
“อ๋อจริงด้วยเทมาริ เห็นเมื่อกี้ที่หอข่าวพูดกันใหญ่เลยว่ายังหาตัวเธอกับเด็กผู้ชายไม่เจอ เป็นผู้หญิงที่ใจเด็ดจริงๆ เข้าไปในป่ามรณะเพื่อตามหาเด็กตัวเล็กๆ แบบนั้นคนเดียว…” ยังไม่ทันจบคำดี คุโนะอิจิผู้เชี่ยวชาญคาถาลวงตาไม่คิดด้วยซ้ำว่าชิกามารุจะฟังเรื่องที่เธอพูดอยู่ แต่เด็กชายก็ฉวยเสื้อกันฝนทั้งสองตัว ลมตีเข้าหน้าคุเรไนวูบหนึ่งเมื่อชิกามารุวิ่งผ่านออกไปท่ามกลางสายฝนคะนอง และนั่นเป็นความรีบเร่งจนถึงขั้นร้อนรน ก่อนจะแปรเป็นความโกรธเกรี้ยวอย่างที่อาสึม่าไม่เคยได้เห็นจากตัวลูกศิษย์คนโปรดเลยแม้เพียงครั้งเดียว นารา ชิกามารุผู้เฉยเมยกับสิ่งรอบตัวเป็นนิสัยไม่รับฟังข้อมูลจนหมดแต่ผลีผลามทำอะไรบางอย่างโดยขาดการไตร่ตรองรอบคอบ อดีตสิบสองนินจาองครักษ์ถูกทำให้งุนงงเสียมากมาย
\
つづく.
สวัสดีค่ะ รีบมาลงเพิ่มก่อนจะต้องหายตัวไปอย่างลึกลับ
ขอบคุณที่ติดตามกัน ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ คะแนนโหวตและคำวิจารณ์นะคะ
มันมีความหมายมากจริงๆ ค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณอีกกี่ครั้งถึงจะพอกับความรู้สึกดีๆ ที่ข้าพเจ้าได้รับ ; u ;
สำหรับเนื้อเรื่องในตอนนี้เป็นส่วนเติมเต็มช่องว่างที่หายไประหว่างนารุโตะออกไปกับจิไรยะ
และข้าพเจ้าพบว่าหลังจากเทมาริจัดการทายูยะแล้วใช้เวลาสามเดือนก่อนที่นารุโตะ
จะออกเดินทางจากหมู่บ้าน (อ้างอิงจากนารุโตะเล่ม 27 ตอนที่ 238 )
ฟิคเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนเพราะข้าพเจ้าตั้งใจเขียนมากหวังว่าจะไม่ทำให้ทุกท่านเบื่อก่อน
มันไม่เหมือนกับฟิคเรื่องอื่น อาจจะไม่สนุกหรือน่าติดตามเท่าเพราะมันดำเนินเรื่องไปด้วยรายละเอียด
ที่ข้าพเจ้าต้องการนำเสนอ ไม่หวือหวา มีองค์ประกอบชัดเจนและสื่อความหมายได้
ข้าพเจ้าหวังว่าฝีมือไม่ย่ำแย่มากนักเพราะค่อนข้างหนักใจเรื่องนี้มากทีเดียว
ดังนั้นขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ของทุกท่านที่ทำให้มีแรงใจขึ้นมาค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ > <
อนึ่ง ดอกไม้ที่ชิกามารุให้เทมาริคือไลเซนทัส
สุดท้าย คอมเม้นท์ได้ค่ะ ผู้เขียนเชื่อง ฉีดยาแล้วและไม่กัด :-3
………………………………………………………………………………....................
ความคิดเห็น