ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Fic Naruto | ฟิค Shikatema) Beyond the Horizon

    ลำดับตอนที่ #7 : 00 | Beyond the Horizon - Where the boys are.

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 64


     



    ………………………………………………………………………………....................

    บทนี้เป็นตอนพิเศษเนื่องในวันที่ 7 เดือน 7 เหตุการณ์ในตอนไม่เชื่อมต่อ
    กับเนื้อเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ แต่เกิดขึ้นหลังจากความสัมพันธ์ของชิกามารุและเทมาริ
    ดำเนินมาถึงบทสรุปที่ฟิคเรื่องนี้กำลังจะถ่ายทอดไปถึงอย่างสุดความสามารถ ขอให้สนุกนะคะ :-)


    ………………………………………………………………………………....................




     


    Sequel.

     

    Where the boys are.

    ทำไมมนุษย์เราถึงไม่รู้จักฟังคำตักเตือนตั้งแต่อายุยังน้อยกันนะ

    1.

              เมื่อโอริฮิเมะพบกับฮิโกโบชิได้ไม่นานทั้งสองก็หลงรักกันจนได้แต่งงาน

                   “ทำไม…” เสียงงัวเงียกล่าวถาม เปลือกตาสะลึมสะลือใกล้จะปิดอยู่รอมร่อแต่เด็กชายตัวน้อยที่นอนขดตัวหนุนตักมารดาพึงใจจะฟังตอนจบของนิทานมากกว่าจึงข่มความง่วงของตนไว้ – ดีจัง ชิกะไดครางอย่างเป็นสุขเมื่อขยับตัวเข้าซุกมารดาผู้ให้กำเนิดมากขึ้นเพื่อขอแบ่งปันความอบอุ่น กลิ่นหอมๆ หวานๆ จากตัวนิ่มๆ ของแม่อวลอยู่โดยรอบ มันละมุนละไมราวกับเป็นยาสลบที่ทำให้เขาจมลงสู่ห้วงนิทราและเมื่อมันลอยมาแตะจมูก ก็จะรู้สึกเหมือนกำลังอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มนิ่ม แม่มักเป็นอย่างนี้เสมออยู่ด้วยแล้วสุขใจ รู้สึกเป็นสุขยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เหตุนี้เองเขาถึงต้องเปิดสงครามแย่งชิงตัวแม่กับพ่อเป็นครั้งคราวและแม่ก็จะเอ็ดเข้าให้จนเก้อกันไปถ้วนหน้า

                   สำหรับชิกะได มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นคนดุ เจ้าระเบียบและเข้มงวด แม้อย่างหลังจะแพ้ผู้เป็นพ่ออยู่หน่อยๆ ก็ตาม นอกจากนี้ยังไม่มีใครกล้าขัดใจเนื่องจากสิ่งที่คุณแม่ทำมักเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุผลเสมอ แล้วถึงดูเผินๆ พ่อจะเกรงใจแม่ไม่กล้าหือก็เถอะ แต่ก็แค่บางเรื่องเท่านั้น เขาสามารถยืนยันหนักแน่นทีเดียว เพราะนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ถือกำเนิดถึงแม่จะดุอะไรจนพ่อต้องยอมแพ้ หากเด็กชายก็ยังเห็นบิดาเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจเรื่องในบ้าน เป็นผู้นำแสนสุขุมที่เขาเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างๆ มาตลอดด้วยความยกย่องชื่นชม แถมอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญซึ่งจะละเลยไม่ยกมาพิจารณามิได้คือแม้จะเฮี้ยบอย่างไรหากมารดาก็ยังมีมุมอ่อนหวาน ปฏิบัติอย่างอ่อนโยน ใจดีกับบิดา ไม่เคยขึ้นเสียงใส่หรือทำตัวเหนือกว่า เคารพในทุกการกระทำของพ่อโดยไม่กังขาใดๆ รู้ทันกันทั้งยังเกื้อหนุนกันเป็นที่ยิ่ง

                   หลังจากแต่งงานโอริฮิเมะและฮิโกโบชิก็ไม่สนใจหน้าที่ของตัวเอง

                   ผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ…’ ชิกะไดคิด กระเถิบแซะผู้เป็นมารดาเข้าไปอีก ‘ต้องเป็นเพราะโอริฮิเมะแน่ถึงทำให้ฮิโกโบชิไม่ทำงานไปด้วย เอาแต่ใจตัวเองจังน้า…’ เด็กชายตัวน้อยรำพึง เพราะความง่วงจึงตัดตัวเองออกจากการมีส่วนร่วมต่อความเป็นไปรอบด้าน รู้สึกแค่เพียงสัมผัสจากมือนุ่มๆ ของแม่ลูบเหนือศีรษะอย่างแผ่วเบาคล้ายจะฉุดดึงสติที่ยังพอครองได้ให้ลื่นไหลหายไปด้วยความอ่อนโยนนั้น

                   ‘เอาอีกสิ เอาอีก’ เด็กชายร่ำรองอยู่ในใจเมื่อมารดาหยุดมือทันทีที่ได้ยินเสียงพูดไม่ได้ศัพท์ของผู้เป็นบิดาดังคลอมา ‘พ่อพูดว่าอะไรนะ ช่างเถอะ แม่ครับเล่าต่อสิครับ’ ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นจากพื้น เขากำลังบินรึเปล่า คงไม่ใช่หรอก

                   หลับซะแล้วล่ะ พาไปส่งที่ห้องหน่อย

                   ‘ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น แม่เล่าให้ผมฟังต่อสิครับ’ ดูเหมือนเสียงครวญครางในใจเด็กชายแห่งบ้านนาราจะหยุดลงแค่นั้น เพราะเมื่อบิดาวางร่างน้อยๆ ลงบนฟูก ความง่วงที่ฝืนมานานก็บันดาลให้หลับลึก ลมหายใจถี่ยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ตัดขาดจากความเคลื่อนไหวที่วนเวียนอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะจุมพิตเบาๆ จากมารดา ผ้านวมหนาที่ห่มทับ แม้กระทั่งความหนาวหลังจากดิ้นเอาผ้าห่มออกจากตัวตลอดคืน

    2.

                   เด็กชายนั่งท้าวคางมองกระดานอย่างเหนื่อหน่าย พลางนึกบ่นอยู่ในใจ ‘ครูคิดผิดแล้ว ถ้าปาคุไนในระดับนั้นมันจะถูกส่งด้วยแรงอีกแบบนึง’ แต่เขาไม่จำเป็นต้องท้วงติงเองเพราะมีโบรุโตะเป็นผู้ช่วยเสมอในเรื่องนี้ เด็กชายผู้ร่าเริงจากบ้านอุซึมากิจะกล่าวเสียงดังอย่างกระตือรือร้นก่อนยกมือด้วยซ้ำ อันที่จริงดูจะเอาเรื่องอยู่ด้วย เมื่อลองเงี่ยหูฟังดูก็พบว่าเป็นตามนั้น ตาขวางๆ ตามนิสัยขี้เบื่อของชิกะไดไม่ได้คอยเฝ้ามองความเป็นไปในห้อง แต่ดวงตากลมสีเขียวครามมองออกไปนอกหน้าต่างที่รุกรานผนังกว้างครึ่งหนึ่ง ตีแผ่ภาพท้องฟ้าสงบไม่ขุ่นมัวเหมือนโดมแก้วสีฟ้าจัด

                   เขารู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ไม่มีลมพัด ทั้งยังเป็นวันที่ดวงดาวพร่างพรายระยิบระยับ

                   เมื่อเช้าตอนออกจากบ้านมาอย่างเร่งรีบเขาได้กระดาษสีมาแผ่นหนึ่งจากย่านการค้า เธอบอกว่าสำหรับคำอธิษฐานของคืนนี้ ชิกะไดรู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันทานาบาตะ แต่เพราะลงมาโต๊ะอาหารเช้าสายเลยถูกตำหนิเสียยกใหญ่จึงลืมความตั้งใจเดิมไปซะสนิท เขาจะไปตัดต้นไผ่เล็กๆ พอหิ้วมาได้มาให้ฮิมาวาริ บุตรสาวคนเล็กของบ้านอุซึมากิวางแผนเรื่องนี้ไว้สักระยะแล้วแต่เด็กหญิงเพิ่งจะบอกเขาเมื่อวานซืนเพื่อหาผู้ร่วมขบวนการ – อุซึมากิ ฮิมาวาริต้องการให้ที่บ้านประหลาดใจถึงมาปรึกษา ซึ่งเขาอดเสนอตัวช่วยเหลือเด็กหญิงผู้แจ่มใสเหมือนฮิมาวาริที่หันเข้าหาดวงตะวันคนนี้ไม่ได้

                   ‘สำหรับพวกเราแต่ละบ้านเรา ดีไหม เราจะเขียนกันคนละแผ่นด้วย แต่ต้องไม่บอกใครนะ นะ นะคะ’ ฮิมาวาริเป็นเจ้าแผนการเสมอ และเขามักจะเป็นผู้สนองความต้องการของเธอได้ดีที่สุด พูดง่ายๆ มีอะไรก็อ้อนเพื่อนสนิทพี่ชายไว้ก่อน วิธีการของเด็กหญิงทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้เสมอทั้งที่ถ้าต้องการทำเมินไปเลยอย่างที่เคยทำกับใครหลายคนเวลาทำตัวน่ารำคาญ มาพูดนู้นพูดนี่ข้างหู ‘เธอต้องมีคาถาพิเศษอะไรสักอย่างแน่’ ชิกะไดมั่นใจอยู่หน่อยๆ ภายในหัวก็เบาโหวงพาลให้คิดถึงนิทานเมื่อคืนที่ยังไม่รู้ตอนจบ เรื่องเล่าเกี่ยวกับวันทานาบาตะซึ่งไม่เคยฟัง ทั้งที่ตั้งใจจะไม่หลับจนกว่าจะจบแท้ๆ นิ้วมือเล็กๆ ลูบรอยตัดของกระดาษอย่างไร้จุดหมาย เขาถอนสายตากลับมาเห็นโบรุโตะแอบเอาด้วงใส่หลังซาราดะ ทายาทแห่งอุจิวะ

                   บางทีซาราดะควรเอาคืนบ้าง เพราะฮิเก็นมักจะแกล้งเธอในแง่การเรียกร้องความสนใจเสมอ ถึงแม้ทายาทของตระกูลอุจิวะที่ล่มสลายจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเกี่ยวโยงกับเด็กชายอุซึมากิ แต่ซาราดะกลับดูผูกพันกับโบรุโตะมากมาย – ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวแล้วด้วย เด็กชายเจ้าของดวงตาสีนิลรีบคว้าแขนอีกฝ่ายที่จับด้วงไว้แน่นอย่างรู้ทัน รอบตัวชิกาไดมีแต่คนเก่งๆ จนนึกอยากถอดใจเอาดื้อๆ ทุกที ส่วนหนึ่งคนในหมู่บ้านอ้างว่าเป็นเพราะนิสัยซึ่งได้รับเป็นมรดกตกทอดมาจากผู้เป็นบิดา

                   ชิกะไดฉีกกระดาษแผ่นเล็กออกมา ก่อนจะเขียนหวัดๆ ลงไป เรื่องเย็นนี้ขอผ่านนะ – เขาหมายถึงขบวนการพิทักษ์โคโนะฮะไร้สาระอะไรสักอย่างที่อุซึมากิ โบรุโตะคะยั้นคะยอให้ร่วมวง แต่เมื่อถูกร้องขอจากน้องสาวหมอนี่เองเรื่องวันนี้จึงต้องขอผ่าน กระดาษแผ่นน้อยพับอย่างพิถีพิถันถูกส่งถึงเด็กชายอุซึมากิซึ่งนั่งถัดลงไปหลายชั้น ทว่ามันถูกเปิดอ่านเป็นทอดๆ ตลอดเส้นทางที่ส่งต่อ เด็กชายบ้านนารานิ่วหน้าเกิดรู้สึกร้อนขึ้นมากะทันหันด้วยความอับอาย ‘ทำไมคนเราชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นกันนักนะ น่าเบื่อจริง’ ขณะกำลังบ่นอิดออด เศษกระดาษยับยู่ก็กระแทกท้ายทอยอย่างจัง เขาลูบหลังศีรษะป้อยๆ พลางก้มหยิบมาคลี่อ่านอย่างงุนงง

                   จะแอบไปทำอะไรสนุกๆ อีกใช่ไหม ลายมือเป็นระเบียบดูคล้ายจะปรากฏความไม่พอใจแฝงมาตามรอยยับหย่นของกระดาษที่ถูกขยำมาเป็นก้อน ‘โจโจ มันใช่เรื่องของเธอซะที่ไหน’ ชิกะไดนึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิมและเมื่อมากเข้าก็ฟุบลงกับโต๊ะ ตัดรำคาญ เด็กชายตัวน้อยเหลือบดวงตากลมขึ้นมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง พอใจที่จะปล่อยผ่านความคิดไปกับความปลอดโปร่งของสภาพอากาศด้านนอก ‘วันนี้อากาศดีคงเข้าไปหิ้วต้นไผ่ได้ง่ายๆ ขออย่าให้ฝนตกเลย ลมไม่กระดิกอย่างนี้’

    3.

                   ต้นไม้สูงแผ่กิ่งก้านโอบล้อมบรรยากาศโดยรอบ ระรานพื้นที่สีครามของท้องฟ้าเมื่อแหงนมองขึ้นไปจากทางเดินซึ่งถูกเกลี่ยไว้อย่างลวกๆ ทั้งยังปักรั้วไม้ตลอดแนวสำหรับกันวัชพืชเข้ารุกราน แต่กระนั้นดอกทันโปโปะก็ยังขึ้นแซมตามรั้วรอบขอบชิด มันไหวเอนอย่างบอบบางเมื่อเด็กชายหอบแรงลมเดินผ่านไปโดยขดเชือกคล้องแขนม้วนใหญ่ หนักอึ้ง เป้สะพายเต็มไปด้วยม้วนคัมภีร์กับชูริเคน นับรวมไปถึงของว่างที่ผู้เป็นมารดาสั่งแกมบังคับให้พกติดตัวมาด้วยเนื่องจากเขาบอกความจริงแม่แค่บางส่วนว่ากำลังจะมาฝึกวิชาเงียบๆ ในป่าของตระกูลเพื่อให้มารดาประหลาดใจภายหลัง แม้แต่เลื้อยสักปื้นแอบเอามายังลำบากหนักหนา ต้องรอแม่คล้อยหลังจนลับสายตาถึงรีบวิ่งสุดตัวไปเอามาจากโรงเก็บของและหายตัวไปไม่เห็นฝุ่น

                   ชิกะไดก้มลงเก็บกิ่งไม้มากวัดแกว่งไปมาแก้เหงา ด้วยฐานะที่เป็นเด็กบ้านตระกูลนารา เขาเข้ามาในป่าแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตอันเยาว์วัย ความคุ้นเคยก่อร่างตัวขึ้นทันทีที่สัมผัสกลิ่นสะอาดๆ ของอากาศ ต้นไม้และดิน เหล่ากวางซึ่งคอยพิทักษ์รักษาสอดส่องดวงตาโศกเมียงมองในทุกย่างก้าวของเขาเหมือนมาต้อนรับพร้อมส่งให้ถึงจุดหมาย

                   กวางทุกตัวคุ้นชินกับเขา บางครั้งมันจะดุนจมูกเข้าใกล้เหมือนออดอ้อน ตัวที่เด็กหรือยังไม่มีเขาอันสง่างามจะเข้ามาคลอเคลียขาเหมือนลูกสุนัขเชื่องๆ ขี้ประจบ

                   ใบไม้แห้งส่งเสียงกรอบแกรบอยู่ข้างใต้ขณะก้าวเดิน มีบางช่วงที่เขารู้สึกไม่ดีเวลาเดินผ่านเวิ้งป่าส่วนหนึ่ง อีกด้านเป็นทิวเขาสูงมีต้นไม้ขึ้นแน่นขนัดสีเขียวทึบ อากาศตรงนี้มักจะเบาบางชวนให้อึดอัดด้วยบรรยากาศอึมครึมในความรู้สึกลึกๆ เสมอ – เมื่อครั้งมากับพ่อ ชิกาไดเคยลอบสังเกตสีหน้าผู้ให้กำเนิดซึ่งจะเคียดขึ้งขึ้น ดูต่างจากบิดาในยามปกติมากนักราวกับเปลี่ยนได้บทบาทไปเป็นหัวหน้าโจนินของหมู่บ้านที่จริงจัง น่ากริ่งเกรง ‘มันต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่’ แต่ไม่เคยรวบรวมความกล้าถามออกไปได้เลยสักครั้ง ตอนอยู่กับเขา พ่อไม่เคยน่ากลัวแบบนี้เลย เด็กชายจึงไม่อยากถามออกไปเพราะมันอาจเป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้

                   ดวงตากลมสีเขียวครามเมื่อเจ้าตัวใช้ความคิดจะเป็นประกายรุนแรงผิดแผกจากเด็กวัยเดียวกัน ลมเย็นๆ ผิดธรรมชาติหอบตัวมาทุกครั้งที่เดินผ่านเส้นทางนี้ชวนให้น่าเก็บมาครุ่นคิดหาเหตุผลรองรับ แต่เพราะจมลงสู่ห้วงความคิดของตัวเองอย่างตั้งใจมากเกินไป ชิกะไดไม่ทันรู้สึกถึงใบไม้ซึ่งปลิวว่อนไปกับแรงลมที่หวีดเสียงกังวานลู่กับกิ่งไม้ราวกับกำลังส่งเสียงครางโหยหวนเลยด้วยซ้ำ จนเหงื่อกายเย็นเฉียบพร่างพรายไปทั่วใบหน้าฉงนสนเท่ห์ จึงทันเห็นร่างสีดำเกรอะกรังด้วยเลือดอยู่เบื้องหน้า และสัมผัสได้ถึงมือซีดเซียวที่มีเจตนารุกรานใบหน้าเขาอย่างมุ่งร้าย มันเย็นเยียบเหมือนน้ำค้างแข็ง

                   พ่อสอนเสมอว่าให้มีสติ ด้วยเหตุนี้ชิกะไดจึงคว้าชูริเคนขึ้นมาก่อนสมองสั่งการเสียอีก ทว่ามันสู้ความรวดเร็วของอีกฝ่ายไม่ได้

                   มันก็แค่ภาพลวงตา ชิกะไดพยายามบอกตัวเองแบบนั้นแต่เพียงพอแล้วกับการที่ภาพนั้นสามารถจับต้องได้จริง ชั่วขณะต่อมา เพียงแค่หัวใจเต้นจังหวะเดียว มันก็หายไปกับลมอีกระลอกที่พัดพากลิ่นฤดูร้อนมาด้วย เขารู้ว่าลมกลับมาเป็นปกติแล้วแต่สัมผัสหนาวลึกนั้นยังติดค้างอยู่บนใบหน้าเหมือนจงใจฝากความหวาดกลัวให้ดิ่งลึกลงสู่หัวใจที่กำลังหวั่นเกรง ความเป็นไปรอบด้านคล้ายจะไม่เป็นมิตรไปซะหมด เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าต้นไม้ที่นี่เก่าแก่และดูน่าเกรงขามมากขนาดนี้ แม้จะมีแสงทอระยิบผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งใบให้เห็นเป็นประกายวับแวม แต่โคนต้นกลับเห็นเป็นเงามืดทึมทึบกว่าครั้งไหนๆ ที่มองผ่านไป เห็นดังนั้นมือก็กำคุไนแน่น ทั้งที่ยังสัมผัสได้ถึงโลหะเย็นๆ ผ่านปลายนิ้ว แต่ไม่อาจวางใจได้เลย

                   เด็กชายยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นใต้เงาไม้คลุมเครือ ไม่ขยับเขยื้อน และพยายามปะติดปะต่อภาพที่ปรากฏ แต่ไม่อาจนึกได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ชวนให้หวาดเกรงกว่าอะไรทั้งหมดคือการที่มันเหมือนภาพฝัน หากเป็นความจริงเสียยิ่งหว่าสิ่งไหนๆ ทำให้เขาสกัดกั้นความสงสัยใคร่รู้ทั้งหมดลงไม่ได้ ทั้งยังกระวนกระวายเมื่อต้องการหาคำตอบที่เหมาะสมรับกับสถานการณ์แปลกประหลาดเมื่อครู่

                   สิ่งสำคัญคือความสงสัย ผู้เป็นบิดาเคยกล่าวกับเด็กชายว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงปลุกกระตุ้นให้มนุษย์ได้มากที่สุด

                   ตอนนี้เขาเข้าใจถึงความหมายของมันจริงๆ แล้ว

                   เชือกขดใหญ่ที่คล้องแขนเด็กชายมาตลอดถูกวางลงกับพื้นตามด้วยเป้สะพายหลังซึ่งวางพิงโคนต้นไม้อย่างไม่ใคร่จะได้รับความสนใจมากนัก เพราะมีสิ่งน่าค้นหามากกว่าอยู่ลึกเข้าไปเบื้องหลังเงาสุดสายตาอีกเวิ้งของป่า จริงอยู่ว่าทิศทางซึ่งเขากำลังมุ่งหน้าไปขัดกับจุดประสงค์หลักที่มุ่งหมายไว้ แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับชิกะไดอีกต่อไป  ทางเดินง่ายๆ เปลี่ยนเป็นผืนหญ้ารกชัฏ ปกคลุมด้วยวัชพืชและเถ้าไม้เลื้อยสีเข้มจนไม่เห็นผิวดิน บางช่วงเขาก็เหยียบลงไปบนหญ้าเรียบเตียนผิดวิสัย กระโดดข้ามรากไม้ซึ่งดันตัวเองโผล่พ้นดินขึ้นมา ดีดตัวขึ้นโคนต้นไม้ที่มีมอสจับเหมือนผืนพรมสีเขียวฝังตัวแน่นก่อนจะไถลลงมาบนดินนุ่มๆ แล้วออกวิ่งอีกครั้งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น

                   ชิกะไดรู้สึกเหมือนกำลังเล่นสนุกมากกว่ามุ่งหน้าหาอันตราย รอยยิ้มบางๆ แต้มริมฝีปากที่มักนิ่งเฉยจนคนรอบตัวเห็นเป็นนิสัยปกติ ลมลู่ผ่านตัวเขาไปเหมือนห้วงอากาศอัดแน่น เข้าปะทะใบหน้าก่อนจะไล้ใบตามแก้มทำให้เจ้าของร่างที่เร่งความเร็วต้านกระแสลมเหล่านั้นรู้สึกดีไม่น้อย ท่อนขากระโดดก้าวในช่วงที่ยาวมากขึ้นพลางเร่งความเร็วจนเห็นภาพรอบด้านเคลื่อนไปอย่างบิดเบี้ยว ทั้งยังพร่ามัว ภาพของท้องฟ้าเหนือศีรษะเลื่อนขึ้นลงตามการกระโดดสูงต่ำผ่านสิ่งกีดขวางธรรมชาติ

                   กิ่งไม้ดีดเข้าหน้าเด็กชายที่ก้มหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด และเกือบเสียการทรงตัว

                   แต่เขาล้มหน้าคะมำจริงๆ ตอนได้ยินเสียงคุ้นเคยที่กำลังอารมณ์ไม่สู้ดี เจ้าบ้านตระกูลนาราขึ้นเสียงกร้าวราวกับสายฟ้าฟาดลงหน้าตรงหน้าบุตรชายผู้ยันตัวลุกขึ้นมาด้วยความกริ่งเกรง นัยน์ตาสีเขียวครามประสานกับความขุ่นมัวบนดวงตาอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหลุบลงเหมือนค้นพบความผิดของตน

                   ดวงตาคู่นั้นเสมองสภาพแวดล้อมรอบตัวซึ่งคล้ายลานขนาดย่อมที่ล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุเก่าแก่เหมือนช่วงอื่นของป่า หากสิ่งที่ต่างกันคือเส้นเอ็นที่โยงใยอย่างซับซ้อนระหว่างต้นไม้แต่ละต้นรอบพื้นที่ราวกับการเริงระบำของแมงมุม ทั้งยังแขวนยันต์ผนึกไว้เรียงราย แทรกซึมบรรยากาศทุกอณูเหมือนตัวช่วยกะเกณฑ์อาณาบริเวณที่ไม่ควรล่วงล้ำ อาณาเขตแห่งการสังหาร คุกคาม ผืนดินใต้เท้าเขานั้นมีหญ้าหนาขึ้นสลับแซมกับหน้าดินอัดแน่นสีน้ำตาลเข้ม มีเพียงพื้นดินข้างตัวบิดาเท่านั้นที่ปรากฏสิ่งผิดแผกเป็นวงกลมรัศมีกว้างพอดิบพอดีเหมือนจงใจให้ผิดสังเกต หญ้าที่ขึ้นทุกแห่งที่ไม่กล้ำกรายเข้าไปในวงนั้นเลยแม้เพียงเหลือบเงา ‘ตราประทับบนนั้นคือตราของตระกูล’ เขามองปราดเดียวก็รู้

                   “ลูกมาทำอะไรที่นี่” คำถามปราศจากคำตอบ ในฐานะหัวหน้าโจนินของหมู่บ้าน นารา ชิกามารุจำเป็นต้องสร้างบรรยากาศกดดันให้แผ่รอบตัวเพื่อปกครองพวกโจนินที่ขึ้นชื่อว่ามีฝีมืออยู่ในระดับสูง แต่น้อยครั้งนักที่เขาจะใช้มันกับลูก

                   “มองมาที่พ่อ มันหมายความว่าลูกจะไม่โกหก หรือถ้าใช่ก็เป็นการโกหกที่แนบเนียนพอจะหลอกคู่ต่อสู้ของลูกได้ แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าพ่อไม่ต้องการคำโกหกไม่ว่ากรณีไหน …ลูกมาทำอะไรที่นี่” คล้ายกับว่ากำลังคาดคั้นนักโทษสอบสวน แต่เป็นเพียงพ่อกล่าวกับลูกชายเท่านั้น เด็กน้อยผู้เยาว์วัยเบือนสายตาจากกวางตัวใหญ่กลับมาที่บิดาทันที ถ้าพ่อคนที่ใจดี และช่างตามใจกลับกลายเป็นคนเข้มงวดจนน่ากลัวในฉับพลัน นั่นหมายถึงต้องเกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญหรือความปลอดภัยที่พ่อมักมอบมันให้แก่เขาเป็นแน่ หากก็ยังไม่เข้าว่าทำไมพ่อถึงดูโกรธนักทั้งที่การมาอยู่ในป่าของตระกูลดูไม่น่าจะเป็นความผิดของเขาเลยแม้แต่น้อย

                   มันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของเขาในฐานะทายาทของบ้านตระกูลนารา

                   ผมมาเอาต้นไผ่ครับ” เจ้าของคำตอบเห็นแววตาของบิดาโชนแสง จังหวะนั้นชิกะไดรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วจนท้องไส้ปั่นป่วน และสมองก็มึนงงไปชั่วขณะ เท้าของเขาไม่ได้แตะพื้นแต่เมื่อมันสัมผัสผืนหญ้าอ่อนนุ่ม ประสาทรับรู้ของเด็กชายก็กลับเป็นปกติภายใต้การคุ้มครองจากกวางตัวใหญ่ซึ่งอยู่ข้างๆ อย่างภักดี ซายะคือกวางอายุมาก บางทีอาจจะมากที่สุดเท่าที่ใครเคยพบ เขาของมันแตกเป็นกิ่งโค้งงอนงดงามอยู่เหนือศีรษะเขาเมื่อมันเอาจมูกมาดุนใกล้ๆ แก้มเพื่อปลอบโยน

                   เด็กชายเบือนสายตามองไปเบื้องหน้าและเห็นแผ่นหลังของพ่อกำลังเผชิญกับร่างเงาสีดำซึ่งโชกชุ่มไปด้วยโลหิต ตอนที่ชิกะไดบังเอิญสบกับดวงตาสีไลแลคก็รู้สึกถูกคุกคามอย่างอาฆาต ทว่ามันไม่อาจก่อร่างความหวาดหวั่นให้แก่เขาได้เท่ากับความกดดันอันเคียดขึ้งจากผู้เป็นบิดาซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าที่หัวหน้าโจนินของหมู่บ้านเต็มตัว ไม่ใช่พ่อผู้ใจดีอีก ‘…ไม่ใช่ มันเป็นอีกความรู้สึก’ ทายาทตระกูลนาราคิด บิดาเขากำลังดำรงอีกสถานะหนึ่งนอกเหนือจากนั้นแต่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาแน่ใจ

                   ‘เขาเคยเห็นตัวสีดำนี่มาก่อนหน้านี้ มันพาเขามาที่นี่เอง’

    4.

                   “ทาไดมะ” เสียงเรียบเฉยดังมาจากหน้าประตู ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าซึ่งดังใกล้เข้ามาตามโถงทางเดินกลาง

                   “โอคาเอรินาไซ ของว่างอยู่ในครัวแน่ะ” ผู้เป็นมารดาของเด็กชายที่หยุดยืนอยู่หน้าประตูหันมองบุตรของตนอย่างเอื้ออารี ดวงตากลมโตที่เหมือนตัวเธอเองสมัยเยาวว์วัยมองตอบอย่างซุกซนตามประสาเด็ก สามีเธอบอกเสมอว่าชิกะไดเหมือนตัวเขาที่ย่อขนาดลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บุตรชายคนเดียวเหมือนชิกามารุไม่มีผิดเพี้ยนต่างกันตรงนัยน์ตาสีเขียวครามซึ่งเป็นยีนมรดกเพียงชิ้นเดียวจากเธอ

                   “ผมเอาดอกไม้มาฝากด้วย จากป้าอิโนะ” ซุยเซ็นสีขาวช่อหนึ่งวางลงบนโต๊ะข้างกองจดหมายที่ขอบซองเริ่มเป็นสีเหลืองซีดจางตามกาลเวลา ทุกฉบับจ่าหน้าเช่นเดียวกัน ด้วยชื่อและลายมือที่ชิกะไดคุ้นเคยดี เห็นดังนั้นเด็กชายจึงรีบโดดเข้าหาผู้ให้กำเนิดเหมือนลูกแมวน้อย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมแม่ถึงสาละวนอยู่กับจดหมายถึงผู้เป็นบิดาที่เขียนด้วยลายมือของแม่เอง เขาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แนบกับแขนนิ่มๆ พลางได้กลิ่นกระดาษเก่าซึ่งจับกับอากาศโดยรอบช่วยยืนยันอายุมัน ตราไปรษณีย์ซึนะเลือนไปบ้างแล้วแต่ทำให้เขามั่นใจว่ามันเคยถูกส่งมาก่อน “กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ จดหมายพวกนี้เก่ามากๆ เลย”

                   “ใช่ มันเก่ามาก ไปหยิบกล่องในห้องหนังสือมาให้แม่หน่อยสิ” เธอหมายถึงกล่องไม้ฮิโนกิซึ่งชิกะไดรู้ดีว่าอันไหน

                   เด็กชายพยักหน้าและลุกออกไป เทมาริเห็นลูกชายคนเดียวมีคำถามสงสัยก่อเกิดในใจเรียบร้อยแล้วจากใบหน้าเคร่งขรึม แต่ยังไม่เอ่ยออกมาเท่านั้นเอง เธอไม่ได้อยากให้ชิกะไดเป็นเด็กอัจฉริยะแค่เพียงอยากมอบความสุข สงบทั้งหมดแก่เด็กชายตามช่วงวัย หากเขาได้รับความฉลาดปราดเปรื่องมาจากผู้เป็นบิดามาทุกประการ บุตรชายคนนี้มีความสามารถสูงเกือบทุกด้านเหมือนพ่อ และยังขี้รำคาญ ช่างเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกัน ดังนั้นเรื่องชวนหนักใจของแม่ที่มีต่อลูกชายคือความเอื่อยเฉื่อยไปตามเรื่องตามราว ทั้งยังไม่จริงจังต่อสิ่งรอบตัวจนกว่าเจ้าตัวจะให้ความสนใจเอง บางครั้งเธอถึงจ้ำจี้จ้ำไชทำให้ชิกะไดคิดว่าตัวเองทำอะไรไม่เคยจะดี เทมารินึกขันอย่างเอ็นดู ‘ลูกชายเธอเป็นหนุ่มน้อยขี้งอน และช่างน้อยใจ…’

                   หญิงวัยกลางคนผู้วางตัวสมฐานะนายหญิงแห่งบ้านตระกูลนาราเหลือบมองกล่องไม้ซึ่งวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อย ขณะคนที่นำมันมาเริ่มยกกระดานโชหงิจากชานระเบียงด้านนอกมาตั้งไม่ห่างกันนักแต่ไม่ได้ปักหลังนั่ง หากกระแซะข้างตัวเธออย่างออดอ้อนกลายๆ – เพราะเป็นแม่ถึงรู้ความหมายในการกระทำของลูกตัวเอง นั่นคือเมื่อเธอเสร็จจากสิ่งที่ทำอยู่ต้องหันไปถามว่า ‘มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า’ แล้วเล่นหมากรุกกันนั่นเอง เทมาริปัดแก้มบุตรชายขี้อ้อนที่กำลังเรียกร้องความสนใจแผ่วเบา มือเนียนนุ่มลูบศีรษะเด็กน้อยด้วยความรักเต็มเปี่ยมทำให้ชิกาไดรู้สึกดีเสมอ

                   อักขระบนกระดาษวิ่งผ่านดวงตาสีเขียวครามของนารา เทมาริอย่างรวดเร็ว เพราะความสามารถในการประมวลข้อมูลที่ฉับไว ก่อนประหวัดถึงความทรงจำอันมีค่าเกินกว่าจะเอาอะไรมาแลกได้บนจดหมายทุกฉบับซึ่งไม่คิดว่าจะมีโอกาสเห็นอีก เธอกำลังทำงานบ้านตามปกติแต่ตอนจัดเก็บห้องหนังสือก็บังเอิญพบมันเก็บอยู่ในลิ้นชักเอกสารสำคัญของชิกามารุ ทั้งที่อยู่กันมาเป็นสิบปีแต่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มันต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีเพียงสามีเธอรู้ และเพิ่งถูกนำมาไว้ในนั้นด้วยเหตุผลบางอย่างเป็นแน่

                   นิ้วมือเรียวสวยดึงจดหมายฉบับสุดท้ายออกมาจากซอง จังหวะเดียวกับที่ชิกะไดชะโงกหน้าเข้ามา

                   มันเป็นจดหมายฉบับแรกที่เขียนถึงเขา …สามีของเธอ เพื่อขับไล่ความหม่นหมองให้มลายไป เทมาริกำลังหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแต่คำถามของบุตรชายดึงความสนใจไปก่อน “อะไรคืออาคัทสึกิเหรอครับ”

    5.

                   “อาคัทสึกิ” เสียงหลุดออกมาทันทีที่พลันประหวัดได้ ชิกะไดระลึกถึงความทรงจำครั้งหนึ่งตอนบังเอิญถามชื่อซึ่งมารดาอธิบายแค่เพียงที่สมควรรู้ ดังนั้นจึงต้องค้นหาเพิ่มเติมด้วยตัวเอง สมองของบุตรชายคนเดียวแห่งบ้านนาราเป็นเหมือนแหล่งข้อมูล เพราะเขาอ่านทุกสิ่งในห้องหนังสือเนื่องจากไม่คิดว่าจะมีอะไรสร้างสรรค์มากไปกว่าการนอนดูเมฆเท่ากิจกรรมนี้อีกแล้ว แถมพ่อยังไม่เคยห้ามเขาเรื่องหมกตัวอยู่ในนั้น แม้แม่จะเคยแนะนำให้ออกไปทำกิจกรรมเหมือนเด็กคนอื่น แต่ก็คงมีเพียงความน่าเบื่อรอเขาอยู่เหมือนตอนถูกลากไปรอบหมู่บ้านกับพวกโบรุโตะ

                   สิ่งที่ห่อหุ้มร่างเงาสีดำซึ่งเริ่มชัดเจนเป็นรูปร่างมนุษย์มากขึ้นทุกขณะคือเสื้อคลุมขาดวิ่นสีดำสนิท ลายเมฆบนนั้นทำให้ชิกะไดฉุกคิดถึงองค์กรอาคัทสึกิที่เป็นชนวนก่อสงครามครั้งที่สาม แต่ถึงแม้เขาจะสนใจใคร่ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับองค์กรมากเพียงใด หากไม่มีข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษรหลงเหลืออยู่อีกเลยแม้กระทั่งหอสมุดโคโนะฮะ นอกจากแฟ้มเอกสารปึกเก่าๆ ในห้องหนังสือ กล่าวพาดพิงแค่ชื่อและการถูกสังหาร ในหนังสือระบุว่านารา ชิกามารุ นินจาโคโนะฮะ – พ่อของเขาเอง เป็นผู้ปลิดชีวิตหนึ่งในสมาชิกอาคัทสึกิ บางทีเขาควรจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี่ได้ตั้งนานแล้ว

                   คนๆ นี้คือคนที่พ่อเคยฆ่า แต่ยังสามารถจับจ้องได้

                   “ลูกรู้ชื่อนั้นได้ยังไง” ชิกามารุเหลียวมองบุตรชายซึ่งเอ่ยถึงชื่อที่เขาไม่ได้ยินมานาน …นานมากแล้ว หลังสงครามสิ้นสุดมีเรื่องหนึ่งถูกเสนอขึ้นต่อที่ประชุมคาเงะในญัตติว่าเราจะปิดบังเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับองค์กรอาคัทสึกิเพื่อป้องกันการก่อตั้งกลุ่มก้อนใดๆ ที่อาจสร้างอันตรายต่อความมั่นคงของแคว้นขึ้นมาอีก เขาเป็นคนเสนอเรื่องนี้เองโดยไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นหากไม่มีการกล่าวถึง ชื่อเหล่านั้นก็จะถูกลบเลือนไป ทว่าไม่มีทางจางหายพร้อมความทรงจำเลวร้ายของทุกคน เหมือนอย่างตอนนี้ที่มันกลับมา ครั้งหนึ่งภรรยาเขาเคยบอกว่าความทรงจำที่ฝังแน่นกับใจไม่มีวันหายไป แต่มันจะถูกเก็บไว้เพื่อปกป้องตัวเรา เธอพูดพลางจูบหน้าผากเขาอย่างละมุน

                   เจ้าบ้านตระกูลนาราหลับตาปล่อยให้ความทรงจำเวียนเข้ามาเหมือนสายน้ำ

                   ภาพฉายในส่วนลึกเป็นรูปบิดเบี้ยวของเด็กชายมือเปื้อนเลือดเพราะจัดการคนที่สังหารเซนเซตัวเองให้ได้รับการทรมานยิ่งกว่าความตายสำเร็จ นับแต่ตอนนั้นก้นบึ้งของผืนแผ่นดินลึกลงไปก็มีร่างแหลกละเอียดทว่ายังมีชีวิตคอยตามอาฆาตเขาตลอดเวลา มันส่งจิตออกมาป้วนเปี้ยนด้วยคาถานอกรีต คอยรังควานเมื่อสะสมพลังได้มากเพียงพอ และหลังจากวันนั้นทุกเดือน ทุกปีจนถึงทุกสองปี เขาต้องเข้ามาในป่าส่วนนี้เพื่อคอยผนึกปิศาจนอกรีตให้อยู่ในที่ควรอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลกลับสู่ปัจจุบันเพื่อสัมผัสรอบบริเวณซึ่งเหมือนจมลงสู่บ่อโลหิตสีดำทมิฬจากกลิ่นคาวเลือดรุนแรงที่แทรกซึมอากาศจนแทบสำลัก

                   “ได้เวลาเข้านอนอีกแล้ว” เสียงของหัวหน้าโจนินแห่งโคโนะฮะเยียบเย็นยิ่งกว่าบรรยากาศรอบตัวเสียอีก ทันทีที่เจ้าบ้านตระกูลนารายกมือ เงาซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมก็ดึงยันต์ผนึกที่โยงใยอยู่โดยรอบเข้าพันธนาการกลุ่มก้อนความแค้นเคืองในรูปร่างมนุษย์ ชิกะไดเห็นดวงตามันกลอกไปมาในเบ้าลึกโหลก่อนจะจ้องมองมาทางเขาด้วยอารมณ์มุ่งร้ายเต็มเปี่ยม ราวกับมีปลายนิ้วเย็นเฉียบคลืบคลานไปทั่วใบหน้าหากมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง สิ่งที่สัมผัสจับต้องได้เพียงอย่างเดียวของมันในเวลานี้คือเสียง

                   “แกจะต้องได้รับการลงทัณฑ์ โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะตกที่แก จาชินซามะจะต้องพิโรธ! จาชินซามะ!!” แค่เหล่มองก็รู้ว่าใบหน้าของผู้เป็นบิดาไม่เปลี่ยนเลยสักนิดแม้จะถูกพ่นคำหยาบคายหรือก่นด่ามากมายแค่ไหน ชิกะไดยังรู้สึกขุ่นในอารมณ์แทนด้วยซ้ำ

                   “ก็รอจาชินซามะของแกมานานแล้วเหมือนกัน” หัวหน้าโจนินของหมู่บ้านพูดพลางลดระดับมือลง ใจชิกะไดกระตุกวูบพร้อมหลับตาลงโดยอัตโนมัติคล้ายจะรู้ว่ามันเป็นความต้องการของผู้เป็นบิดาทว่าแค่จังหวะกระพริบตาภาพเงาเบื้องหน้าก็ว่างเปล่า หลงเหลือเพียงเสียงตะโกนอย่างปองร้ายสะท้อนดังก้องระหว่างหุบเขา ไม่ปรากฏร่องรอยใดของเงาดำทมิฬเหมือนมันไม่เคยมีตัวตนมาก่อน ทิ้งไว้เพียงกระแสลมที่กลับเข้าสู่วังวนปกติพร้อมความเงียบเพียงชั่วอึดใจก่อนนกจะถลาออกสู่ท้องฟ้า

                    “อะไรคือจาชินซามะ…” เสียงพึมพำของบุตรชายดังพอให้ได้ยิน ชิกามารุมองเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองที่ทำหน้าตายเหมือนคำถามเมื่อครู่เป็นแค่การเปรยกับสายลมฤดูร้อนไม่มีความสลักสำคัญหรือต้องการคำตอบทั้งที่ความจริงเป็นตรงข้าม แต่เขาไม่ต้องการให้คำตอบ ลัทธิประหลาดวิกลจริตนี่ไม่สมควรมีตัวตนในความทรงจำใครอีกนอกจากเขาเพราะไม่ก่อให้เกิดผลดีในทางใดเลย

                   “ก็แค่เรื่องน่าเบื่อ ลูกไม่ชอบไม่ใช่เหรอเรื่องน่าเบื่อน่ะ” รอยยิ้มบางๆ เปื้อนใบหน้าคมคายของชายวัยกลางคนที่ดูดีภูมิฐานสวนทางกับอายุ บทบาทของชิกามารุในฐานะหัวหน้าโจนินของหมู่บ้านจบลงแล้ว แม้กระทั่งเด็กชายคนที่เป็นศิษย์อาสึม่าเซนเซก็ถูกนำไปเก็บรักษาในส่วนลึกของจิตใจ เหลือเพียงหน้าที่พ่อของเด็กน้อยจอมเหนื่อยหน่ายชีวิตแต่ช่างสรรหาความตื่นเต้นแปลกใหม่ให้ตัวเองไม่หยุดหย่อน ปากบ่นว่าเบื่อหน่ายแต่พออยากรู้อยากเห็นอะไรเข้าหน่อยก็พร้อมกระโจนเข้าใส่ เห็นทีเขาต้องแก้กับเทมาริว่าบุตรชายของเราออกจะกระตือรือร้นเหมือนเธอไม่ได้เบื่อหน่ายโลกเหมือนเขาสมัยยังเยาว์วัยมากขนาดนั้น

                   มือน้อยๆ ลูบจมูกกวางตัวใหญ่ที่แสดงออกว่าชอบใจก่อนหมอบลงกับพื้นด้วยความชรา การที่พ่อไม่ได้ตอบคำถามเขาคงมีเหตุผลรองรับ น้อยครั้งนักที่ไม่มีคำตอบถ้ามันเป็นประเภทที่เขาไม่สมควรรู้  ดวงตาสีเขียวครามแอบซ่อนงำประกายยกย่องชื่นชมขณะมองบิดาที่จัดการตัวอันตรายได้ในเสี้ยววินาทีทั้งยังทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและคงเดินออกจากป่าไปเหมือนแค่แวะเข้ามาเดินเล่น “แล้วจะทำอะไรต่อครับ”

                   “ต้นไผ่ของลูกไง” ชิกะไดทำหน้าเหวอ เพราะเขาลืมไปสนิท

    5.

                   น้ำมันในกระทะเดือดกำลังพอดีตอนเทมาริหยดแป้งเทมปุระลงไป ดวงตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งตามประสาผู้รอที่พะวักพะวง แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าถึงเวลามื้อเย็นที่เธอกำชับไว้นักหนาแต่ผู้ชายบ้านนี้หายไปกันหมดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุตรชายหอบข้าวหอบของย้ายไปอยู่กับกวางในป่าแล้วและสามีเธอคงมีงานสุมพะเนินตามประสาหัวหน้าโจนินกับอีกหลายตำแหน่งหน้าที่ในความรับผิดชอบจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาแต่งงานกับเธอหรือหมู่บ้านนี้กันแน่ หากนั่นยังไม่นับรวมตอนเธอเอ่ยเรื่องเอาใจใส่ตัวเองให้มากขึ้น เขาก็บอกว่าหักโหมเรื่องอื่นดีกว่าใช่ไหมและทำเอาเธออ่อนปวกเปียกไปหมด ‘มันน่านัก…’

                   ดวงตาสีเขียวครามบนใบหน้าสวยคมเสมองหน้าปัดนาฬิกาอีกรอบ เธอกังวลอยู่กับมันนับแต่เข็มสั้นเคลื่อนค่อนห่างจากจุดเดิมที่มันคงอยู่ ระยะห่างซึ่งมีมากขึ้นของเข็มบนนั้นกลายมาเป็นความรู้สึกกังวลทับถมจิตใจหนักอึ้ง พาลให้นึกห่วงบุตรชายที่ออกจากบ้านไปตั้งแต่กลางวัน ทว่าขณะเทมาริกลับคาคิอาเกะที่เริ่มเหลืองเสียงอันคุ้นเคยที่มีสำเนียงแทบจะคล้ายคลึงกันของสองพ่อลูกก็ดังลอดเข้ามา “ทาไดมะ”

                   เสียงซุกซนปนเจ้าเล่ห์ของผู้ชายบ้านนาราคลอกับเสียงน้ำเดือดพล่าน หม้อซึ่งตั้งไฟอยู่ไม่ห่างกันเริ่มเดือดได้ที่ ไล่เลี่ยกับเสียงดังอย่างมีพิรุธจากหน้าประตู หากเจ้าของความวุ่นวายเหล่านั้นที่ไม่ได้มาปรากฏตัวให้เห็นหน้า พ่อลูกคู่เซ็งเพียงแค่เอะอะให้ได้ยินอยู่ไกลๆ ชวนสงสัยว่าสองพ่อลูกรวมหัวกันสร้างความวุ่นวายในรูปแบบไหนขึ้นมาอีกตั้งแต่ว่างเว้นจากกิจกรรมชวนปวดหัวครั้งล่าสุดมาเกือบเดือน รอยไหม้จากตะเกียงหอมที่จุดกันรอบบ้านตอนเทศกาลโคมไฟยังติดอยู่บนอังกาวะหน้าห้องนั่งเล่นอยู่เลย ทว่าเหมือนเป็นหน้าที่ที่เธอต้องรอให้ผู้ชายบ้านนี้ตระเตรียมเรื่องสนุกของพวกเขาให้เสร็จแล้วค่อยออกไปตื่นตาตื่นใจกับความยุ่งเหยิง แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องทั้งหมดจะแย่ไปหมดซะทีเดียวบางครั้งก็ทำเอาเธอตะลึงด้วยเหมือนกัน และพอคิดว่าตัวเองจะออกไปเจออะไรก็อดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาไม่ได้

                   เทมาริคีบคาคิอาเกะซึ่งทอดจนเหลืองกรอบขึ้นจากหม้อก่อนจะเรียงมันลงบนสำรับโซบะที่พร้อมแล้ว และดูเหมือนจะไม่ต้องเสียเวลาตาม ชิกามารุก็โผล่หน้าเข้ามารับอาหารจานหลักไปจากมือดังเช่นทุกครั้ง แต่ไม่วายเอาจมูกมาแตะแก้มนุ่มนิ่มเป็นธรรมเนียมหลังกลับถึงบ้านอย่างรวดเร็วจนคนถูกหอมแก้มจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน พอเธอยกอีกถาดตามเข้ามาในห้องอาหารสองพ่อลูกผู้เข้าขากันดีก็เรียงหน้ากันอยู่บนโต๊ะโดยพร้อมเพรียงทั้งยังกลบเกลื่อนเรื่องที่ตัวเองกระทำด้วยสีหน้านิ่งเฉยปราศจากพิรุธ นั่งจับกลุ่มคุยสัพเพเหระประจำวันกันอีกตามเคย

                   “วันนี้เป็นโซบะเย็นแหะ กำลังอยากกินพอดี” ชิกามารุพูดขณะมองบุตรชายกล่าวขอบคุณอาหาร เทมาริแค่พยักหน้าตอบสามีแต่รู้สึกราวกับตัวเองเป็นผู้ชนะในเรื่องอะไรสักเรื่องเมื่อคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ตั้งแต่คบกันพอเริ่มเข้าฤดูร้อนเธอก็เห็นเขาบ่นว่าอยากกินทุกทีจนเริ่มเดาทางถูก พอแต่งงานกันก็เป็นเธอเองนี่แหละที่ทำให้เขากินหรือถ้าพูดให้ถูกคือเขากินแต่กับข้าวของเธอ วันไหนไม่ได้กลับมากินข้าวบ้านก็มาบ่นกระปอดกระแปดเหมือนกลับไปเป็นชิกามารุสมัยเยาว์วัยว่าไม่อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้

                   ‘ก็เธอทำให้ฉันกินข้าวที่ไหนไม่อร่อย ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตการกินของฉันไปตลอดสิ’ เขาพูดหน้าตาย นึกแล้วยังหมันไส้อยู่เลย

                   แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็รับผิดชอบอาหารการกินของชิกามารุมาสิบกว่าปีแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของผู้เป็นสามีมองมาเหมือนรู้ทันแต่เทมาริไม่ใคร่สนใจมากไปกว่ามื้ออาหารและเรื่องเล่าจากบุตรชายซึ่งระบายสีสันให้โต๊ะอาหารได้ทุกครั้ง

                   อันที่จริงชิกามารุแอบเห็นด้วยกับคนที่เคยบอกว่าถ้าใครสักคนจะมีอิทธิพลต่อเขาอย่างแท้จริง คนๆ นั้นคงเป็นหญิงสาวจากทะเลทราย เมื่อครั้งยังเยาว์วัยรู้ตัวอีกทีชีวิตน่าเหนื่อยหน่ายของเขาก็ปราศจากคำว่าเบื่อเพราะหน้าที่รับผิดชอบและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งยังต้องคอยเกี่ยวพันกับเทมาริในทุกรูปแบบจนเธอเป็นคนเดียวที่เขาไม่สามารถขัดใจได้ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อเผลอสร้างความไม่พอใจให้ มีความห่วงใยอย่างล้นเหลือมอบไป ที่สำคัญคือเขายอมให้เธอเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตอันโลดโผนเสียมากมายเหมือนเป็นคนๆ เดียวกัน ตอนนี้แม้เขาจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลนาราแต่เธอคือผู้คุมบ้านตัวจริง ไม่มีความเป็นไปใดเล็ดลอดผ่านสายตาของนารา เทมาริไปได้

                   “จริงสิ เธอเห็นไฟเย็นบ้างหรือเปล่า เมื่อกี้ไปหากับชิกาไดแล้วไม่เห็นเจอ” ชิกามารุเอ่ยขึ้น มือกำลังบดงาไปด้วยก่อนเทมาริจะรับมาทำต่อ ถ้าพูดถึงเรื่องหาของในบ้านต้องถามกับภรรยาเป็นคนแรกเสมอเพราะเธอมีทักษะที่เขาเทียบตัวแข่งขันไม่ได้เลย  ถ้าแอบซ่อนอะไรต้องเผื่อใจไว้ส่วนหนึ่งว่าของนั้นอาจถูกพบเข้าสักวัน ‘หวังว่า เธอจะยังไม่เห็นของในลิ้นชักนา…’

                   แต่ดูเหมือนเทมาริจะตอบพร้อมตัดสินใจเก็บเรื่องของที่พบในลิ้นชักห้องหนังสือไว้ถามเป็นการส่วนตัว “ตอนจัดห้องเก็บของก็ไม่เห็น สงสัยใช้ไปหมดแล้วตั้งแต่เทศกาลโคมไฟนั่นแหละ ชิกาได ตอนลูกเข้าไปเห็นบ้างหรือเปล่า”

                   เทมปุระแทบติดคอเด็กชายผู้ถูกถาม ไม่แน่ใจว่าแม่รู้เรื่องที่เขาแอบเข้าไปเอาเลื่อยในห้องเก็บของได้อย่างไรแต่แค่คำถามนั่นก็ทำเอาสะดุ้งโหยงแบบไม่ทันตั้งตัวก่อนส่ายหน้าตอบเป็นพัลวัน ขนาดคิดว่าตัวเองหลบหลีกสายตามารดารวดเร็วแล้วแต่จนแล้วจนรอดก็ถูกรู้เห็น คำพูดของบิดาหลุดเข้ามาในความทรงจำโดยพลัน ‘ถ้าหลอกแม่ได้ ลูกก็หลอกได้ทุกคนนั่นแหละ รู้ไหมพ่อก็โกหกแม่เขาไม่ได้หรอก …แค่ไม่อยากน่ะ’ เด็กชายเข้าใจว่าที่จริงแล้วพ่อแค่กลัวแม่ แต่พ่อก็ยังปฏิเสธอีกว่าไม่ใช่

                   “ก็คงหมดไปแล้วนั่นแหละ งั้นไว้คราวหลังก็ได้ วันนี้มีอะไรที่ดีกว่ากันตั้งเยอะ”

                   ฟังสามีพูดอมภูมิดังนั้น ฝ่ายเทมาริก็รู้สึกคลางแคลงเล็กน้อยถึงอะไรดีๆ ที่ว่านั่น คงจะเป็นของที่ชวนให้ประทับใจได้พอๆ กับตะเกียงหอมซึ่งหวิดทำบ้านทั้งหลังวอดถ้าเธอไม่บังเอิญไปเห็นซะก่อน แถมสองพ่อลูกยังยิ้มรับด้วยความไม่ยินดียินร้ายจนเธอที่ไม่ถือสาหาความตั้งแต่แรกนึกสนุกและไหลตามน้ำไปด้วยกัน ถึงกระนั้นแม้ทานาบาตะปีนี้จะไม่มีต้นไผ่ กระดาษคำอธิษฐาน ดวงดาวพร่างพราย แต่มีครอบครัวที่คงอยู่กับพร้อมหน้าไม่ต่างจากชีวิตในวันปกติเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ

                   .

                   แทบไม่ทันตั้งหลัก พอเทมาริอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเป็นคนสุดท้ายบุตรชายก็เข้ามาจูงไปห้องนั่งเล่นโดยไม่เปิดโอกาสให้อุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยความรวดเร็วเธอสังเกตเห็นกระดาษคำอธิษฐานวางเรียงอยู่บนโต๊ะ หากเมื่อเบือนสายตากลับมาในระดับปกติภายนอกประตูที่เปิดกว้างหน้าชานระเบียงก็เห็นสามียืนนำเสนอผลงานของตนอยู่อย่างเงียบๆ แต่กระหยิ่มยิ้มย่องออกนอกหน้า

                   ไฟที่ให้แสงสีส้มจางออกมาจากกระบอกไผ่ตัดมุมเฉียงสะท้อนกับความมืดในสวนแบบญี่ปุ่นของบ้านตระกูลนาราจนเหมือนหิ่งห้อยนับร้อยฟื้นชีวิตขึ้นมาจากพื้นน้ำจับแสงสีนวลกับสภาพแวดล้อมรอบด้านจนดูโดดเด่นขึ้นมาภายใต้แผ่นฟ้ายามค่ำคืนซึ่งโปร่งโล่งให้ดวงดาวนับร้อยพันส่องแสงสุกใสอวดกันระยิบระยับ ชั่วขณะแรกที่เทมาริเห็นก็รู้สึกหลงความงามนั้นจนไม่อาจละสายตาหนี ดวงตาสีเขียวครามจับจ้องเส้นสีขาวน้ำนมอันสุกสกาวที่ละลายอยู่บนท้องฟ้าเหมือนถูกแต่งแต้มด้วยปลายพู่กันก่อนมืออบอุ่นของคนคุ้นเคยจะจับเธอนั่งลงและยื่นแผ่นกระดาษสำหรับคำอธิษฐานมาให้

                   ภรรยาของเขาไม่มีคำขอใดเขียนแตกต่างไปจากปีที่แล้วหรือปีก่อนหน้า เพราะชิกามารุทราบดีว่าสิ่งเดียวที่เธอต้องการคือความสุขอันยืดยาวและสุขภาพแข็งแรงของทุกคนในครอบครัวเหมือนดังเช่นเวลานี้ ใบหน้าสวยคมของหญิงสาวผู้มีอำนาจเหนือชีวิตเขาระบายยิ้มละมุนให้บุตรชายซึ่งเข้าไปเกาะแกะรอบด้าน กำลังออดอ้อนในเรื่องอะไรสักอย่างที่เขาได้ยินไม่ถนัด

                   ถัดจากนั้นนิทานเก่าก่อนก็เวียนกลับมาทักทายโสตประสาทเจ้าบ้านตระกูลนารา ‘บิดาของโอริฮิเมะจึงสาปให้ทั้งแสงแยกจากกันโดยมีแม่น้ำคั่นกลาง และจะกลับมาพบกันได้ในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดของทุกปี’ ตำนานวันทานาบาตะซึ่งเขาฟังมาตั้งแต่เด็กจนเบื่อหน่าย ตอนนั้นชิกามารุคิดว่าเรื่องพวกนี้นั้นไร้สาระ แต่เรียนรู้ต่อมาว่าเรื่องไร้สาระไม่ใช่จะแย่สักทีเดียว

                   คนตัวสูงรีบเข้าไปนั่งข้างภรรยาหลังจากลูกชายคนเดียวหันไปเขียนขยุกขยิกลงบนกระดาษของตัวเอง ดวงตาสีเปลือกไม้ไล่ไปตามตัวอักษรบนนั้นด้วย ชิกาไดเขียนแสดงความยินดีถึงโอริฮิเมะกับการพบฮิโกโบชิตามเรื่องซึ่งได้รับฟังมาจากมารดาแม้เด็กชายจะรู้ดีว่ามันเป็นแค่นิทานก็ตาม ชิกามารุไม่เคยแปลกใจที่พอกลับมาบ้านแล้วความไม่สบายใจทั้งหมดจากข้างนอกนั่นสลายหายไป เพราะของขวัญชิ้นพิเศษอย่างบุตรชายและคนตัวเล็กกว่าที่เขาจับมืออยู่นี่เป็นตัวแปรสำคัญ

                   “เธอชอบหรือเปล่า” เสียงกระซิบถามคล้ายจะลอยไปในสายลมอ่อนยามค่ำคืนทั้งยังละลายกลิ่นหอมของหญิงสาวเนื้อนุ่มนิ่มที่พิงไหล่เขาอยู่มาแตะจมูก เธอเองก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ยิ่งกว่าชอบอีก แล้วไม่เขียนคำอธิษฐานกับเขาบ้างเหรอ”

                   “ไม่เขียนหรอก ก็เอาแผ่นเดียวกับเธอเหมือนทุกปีนั่นแหละ” แผ่นกระดาษถูกดึงไปจากมือเทมาริอย่างง่ายดาย ชิกามารุทายไม่คลาดเคลื่อนที่คำอธิษฐานนั้นยังเหมือนเดิมทุกประการ สายตาคมกริบเหลือบมองบุตรชายซึ่งวนเวียนอยู่รอบต้นไผ่ในสวนก็วางใจเพราะถ้าชิกะไดมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ในเวลานี้คงสงสัยว่าทำไมคุณแม่ผู้มีใบหน้าซับสีชาดจึงเริ่มลงมือประทุษร้ายร่างกายคุณพ่อยกใหญ่ทั้งดึงทั้งตีจนเขาระบมทั้งตัวหากก็ไม่เสียใจที่พูดออกไป “ถ้าชอบใจคืนนี้ขอรางวัลหน่อย”

     




     

    つづく.


    ………………………………………………………………………………....................

     

    นักอ่านท่านใดประสงค์ Cut Scene (NC part) ของบทนี้โปรดทิ้งอีเมลของท่านไว้
    สามารถขอ Cut Scene ได้จนกว่าฟิคเรื่องนี้จะหายไปอย่างลึกลับ... (ฮา)

    อนึ่ง เนื่องจากนักอ่านบางท่านทิ้งไว้แค่อีเมล แค่อีเมลจริงๆ เลย บางท่านก็มีอีเมลแล้วถามแค่ว่าทันไหม
    ทันน่ะทันเสมอค่ะ แม้คนเขียนจะหายไปนาน แต่ก็เข้ามาดูคอมเม้นท์ทั้งใหม่และเก่าตลอด
    เป็นกำลังใจให้ยังเขียนอยู่ แม้จะยังไม่ได้ลงต่อ แต่ก็ยังหมั่นเขียนอยู่เบื้องหลังเงียบๆ เสมอ
    เพราะงั้นไม่ลองคอมเม้นท์เพิ่มบ้างเหรอคะ ไม่เขียนเพิ่มสักนิดเลยเหรอ
    ตอนทิ้งอีเมลเพื่อขอ NC ไว้อย่างเดียวโดยไม่เคยคอมเม้นท์อะไรสักนิด ไม่รู้สึกอะไรกันบ้างเหรอคะ T-T

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่คอมเม้นท์ตั้งแต่ 5 ตอนขึ้นไป ทางนี้จะไม่ส่ง NC ให้นะคะ
    เราไม่เคยใจจืดใจดำกับคนอ่านเลย รู้สึกขอบคุณคนอ่านอยู่เสมอ แต่จุดที่ โอ้ คอมเม้นท์ใหม่
    ไหนเข้ามาดูสิ อ้าว... มีแค่อีเมลทิ้งไว้ แป่ว ใจมันแป้วเลย T.T
    จะว่าผู้เขียนเรื่องมาก กระหายคอมเม้นท์ก็ได้ TuT ถือซะว่าเมตตาคนเขียน
    คอมเม้นท์เล็กๆ น้อยๆ แค่รู้ว่ายังมีคนอ่าน มีคนตามอยู่นะเอ้อ เราก็ดีใจแล้ว
    ชอบไม่ชอบ มันเป็นยังไงบ้าง ก็ยังดีค่ะ บอกความรู้สึกเกี่ยวกับฟิคเรื่องนี้บ้างหลังจากที่อ่าน
    แค่คอมเม้นท์จากใจ สั้นยาวยังไงคนเขียนก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกและความจริงใจนะคะ (; u ;)
     

    .………………………………………………………………………………....................


     


                 ... 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×