คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 01 | Beyond the Horizon - The beginning of the end.
I.
The beginning of the end.
ฉันมองแหวนแต่งงานที่มือข้างซ้ายแล้วรู้สึกได้ว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นไร
เรามีความสุข เรามีครอบครัว เรายังมีบ้านให้กลับไป สุดท้ายสิ่งที่ต้องการก็มีแค่นั้นเอง
0.
อาณาเขตเหนือจุดบรรจบของผืนฟ้าที่แผ่ออกไปสุดสายตานั้นเป็นสีครามกระจ่างของท้องนภากว้าง ราวกับกำลังโอบกอดทุกสรรพสิ่งไว้ เหมือนโดมแก้วสว่างใสที่ครอบคลุมผืนแผ่นดินอย่างไร้จุดสิ้นสุด แต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวเป็นริ้วซึ่งช่วยระบายสีสันให้รับกับประกายแสงจางๆ จากดวงอาทิตย์ และลอยอ้อยอิ่งอย่างอิสระไปตามสายลมอ่อนที่หอบตัวมาเป็นระลอกเอื่อยจนยอดไม้ด้านล่างไหวเอนเสียดสีกัน ซ่อกแซ่ก ซ่อกแซ่ก คล้ายเสียงกระซิบแบ่งปันความลับจากที่ไกลแสนไกล พัดเอาใบไม้ให้โปรยลิ่วลงมา บางเบาไม่ต่างจากละอองฝน บ้างก็ลอยสูงขึ้นไปพร้อมหมุนวนหลายตลบ ล่องไปตามการชักนำของกระแสลมขี้เล่นช่างหยอกเย้า ใต้ปุยเมฆที่คอยโอบอุ้ม
เหนือเส้นขอบฟ้า
1.
“…” เด็กชายบนชานระเบียงเหล่มองใบไม้ที่ปลิวมาตกข้างตัวอย่างไม่ใส่ใจนัก ดวงตาสีเขียวครามดูเบื่อหน่ายไร้แววสดใสร่าเริงต่างจากเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกันกลับมาเพ่งความสนใจยังก้อนเมฆอวบอ้วน ซึ่งเขามักใช้เวลาพินิจอยู่เสมอว่าคล้ายรูปใด และนั่นคือสิ่งบันเทิงที่ช่วยสร้างความเบิกบานให้แก่เด็กน้อย จนเผลอหลงลืมไปว่าตนได้รับมอบหมายหน้าที่อันน่าเบื่อจากผู้เป็นบิดาอย่างไรบ้าง แม้ยิ่งทำความสะอาดเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็ได้เล่นหมากรุกกับพ่อเร็วเท่านั้น แต่เขาไม่ต้องการเผยท่าทีก่อนว่าอยากแสดงฝีมือที่ถูกไล่ให้ไปฝึกฝนมาใหม่ หลังพ่อรุกเขาเสียจนแต้มจากการเล่นครั้งล่าสุด ขืนเผลอแสดงออกเช่นนั้น ทุกอย่างก็คงจะเข้าทางพ่อผู้เก่งกาจของเขามากเกินไป
เพราะอย่างไรเจ้าบ้านตระกูลนาราผู้คร่ำเคร่งก็ชอบสบโอกาสกลั่นแกล้งบุตรชาย แม้บุตรชายคนดังกล่าวจะไม่ทันรู้ตัวว่าพ่อกับแม่ตนสนุกแค่ไหนกับการหยอกเย้าลูกชายขี้อายของตัวเอง พอเห็นเด็กน้อยแง่งอนก็อดแกล้งอยู่ตลอดไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น นารา ชิกาไดจึงมุ่งมั่นชัดเจน ขอแค่พ่อไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาอยากเล่นด้วยกันมากแค่ไหนก็พอ – ดูเหมือนพ่อลูกบ้านนาราจะชอบเก็บอาการด้วยกันทั้งคู่ คนเป็นพ่อก็แสดงออกไม่เก่งแถมยังปากแข็ง ส่วนฝ่ายลูกชายก็ถอดแบบผู้ให้กำเนิดมาไม่ผิดเพี้ยนเผลอๆ อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
ถ้าผู้เป็นพ่อจะมีเวลาให้เขาอีกสักนิด แต่เพราะภาระหน้าที่จากหลายตำแหน่งในครอบครองทำให้เจ้าบ้านตระกูลนารา บิดาของเขาเห็นเรื่องเกี่ยวกับบุตรชายคนเดียวเป็นรองลงไป ถึงมารดาจะคอยแก้ตัวแทนผู้ชายที่ไม่มีเวลาให้ครอบครัวอยู่เสมอ ชิกาไดก็ไม่เคยถูกโน้มน้าวให้เชื่อได้เลยว่าพ่อรักหรือห่วงใยเขามาก ความทรงจำหนึ่งที่เลือนรางอยู่บ้างของเด็กชายคือการถูกทิ้งให้อยู่กลางป่าของตระกูลทั้งคืน แถมยังต้องกระเสือกกระสนหาทางกลับบ้านเอาเอง เด็กน้อยซึ่งอายุยังไม่ถึงสี่ขวบดีมาถึงบ้านด้วยสภาพมอมแมม แต่พ่อก็พูดสั้นๆ ด้วยเนื้อหาใจความประมาณว่าเขาใช้เวลานานเกินไป ทว่านั่นไม่น่าน้อยใจเท่ากับการที่แม่ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว
ปกติมารดาจะคอยปรามเวลาบิดารังแกเขาจนเกินเลย หรือพูดง่ายๆ คือติดลม หากครั้งนั้นแม่เพียงแค่ไล่ให้ไปอาบน้ำและเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับเด็กน้อยที่เหนือแทบตาย ภายหลังถึงรู้จากป้าอิโนะว่า ‘โอ้ย แม่เขาน่ะเป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว แต่พ่อกับแม่เราเขาเคารพการตัดสินใจของกันและกันมาก รู้ไหมว่า…’ ตอนนั้นชิกาไดไม่อยากรู้อะไรหรอก แค่ได้ยินว่าแม่ยังเป็นห่วงจึงค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายพูดยืดยาวต่อจากนั้นเลยก็ตาม หากบอกว่าถ้าแม่ยืนถือมีดข้างศพเปื้อนเลือดพ่อก็ยังจะเข้าข้างแม่อยู่ดี นั่นถึงจะพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง
กระดิ่งลมบนขื่อเหนืออังกาวะส่งเสียงกระทบกังวานเสนาะหูเมื่อถูกสายลมสัมผัสต้อง กระบอกไม้ไผ่ที่คอยรองน้ำให้สระขนาดย่อมในสวนญี่ปุ่นก็ดังกระทบหิน เป็นจังหวะร่วมกับเสียงใบไม้แห้งซึ่งถูกกวาดไปตามพื้น เด็กชายตัวน้อยแห่งตระกูลนารานึกสงสัยอยู่บ่อยครั้ง เพราะเหตุใดพ่อจึงแต่งงานกับแม่ ทว่าแม้มารดาจะดุเขาเป็นประจำแต่ไม่เคยทำตัวเหมือนพวกผู้หญิงคนอื่นที่น่ารำคาญ ดังนั้นเอาเข้าจริงชิกาไดประหลาดใจมากกว่าว่าทำไมแม่ถึงแต่งงานกับผู้ชายแข็งกระด้างอย่างพ่อ
ดวงตาสีเขียวครามหรี่ลง ขาทั้งสองข้างหยุดแกว่งไกวเมื่อสายลมเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามาลามเลียใบหน้า อากาศโดยรอบเจือด้วยกลิ่นละมุนของฤดูหนาว เพราะบรรยากาศยามนี้คล้ายคลึงกับความทรงจำครั้งเยาว์วัยจึงทำให้ชิกาไดนึกขึ้นมาได้ เขาเคยหนุนตักนุ่มนิ่มแล้วมองใบหน้าตั้งอกตั้งใจของแม่ซึ่งสาละวนอยู่กับอะไรสักอย่าง รายละเอียดจิปาถะเหมือนจะเลือนรางไปหน่อย ตอนนั้นเขาเพียงเซ้าซี้หนักเข้า แม่ก็ดุแต่ยอมมาเล่นด้วยกันอยู่ดี จริงสิ บางครั้งแม่ก็เล่านิทานซึ่งเขาเคลิ้มหลับก่อนฟังจบหรือแกะเกาลัดหวานๆ ให้กิน กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังกลับบ้านมาอิงหลังมารดาที่กำลังทบทวนบัญชีรายรับรายจ่าย บ้างก็จัดดอกไม้ไม่ก็ปักผ้าด้วยฝีเข็มเป็นระเบียบ ทว่าพอนั่งได้สักพักจะถูกไล่ให้ไปกลั้วปากล้างมือ หากครู่ถัดมาเขาก็ย้อนมาแหมะที่เดิมอีกอยู่ดี ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องที่ชิกาไดคุ้นเคยมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้
แม่เป็นผู้หญิงคนเดียวในชีวิตเขาที่ไม่น่าเบื่อน่ารำคาญเลยสักนิด
‘…แค่ดุมากไปหน่อยเท่านั้นเอง’ นาราตัวน้อยปล่อยให้วังวนความคิดหลั่งไหลเข้ามาดุจเดียวกับสายน้ำ ถึงกระนั้นด้วยสัญชาตญาณอันแหลมคมที่ได้รับเป็นของขวัญแต่กำเนิดจากมารดา มือน้อยๆ คว้าไปยึดถังน้ำสำหรับหน้าที่ทำความสะอาดของตนไว้ทันท่วงทีเมื่อเห็นมันคลอนแคลนทำท่าจะตั้งไม่อยู่ น่ารำคาญจริง คิดพลางถอนหายใจออกมา น้อยคนนักจะมีสัมผัสรวดเร็วฉับไวเช่นนั้น กิ่งไม้ยืนต้นซึ่งเตรียมผลัดใบรับเหมันตร์ถูกปลิดใบลงมาโดยสายลมเอื่อยอีกหน ชิกาไดกลับสู่ความเป็นไปรอบตัวอีกครั้งด้วยการลงน้ำหนักของฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ เด็กชายสัมผัสได้ผ่านแผ่นไม้บนชานระเบียงแต่ก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนมุมมองอับแสงลงเพราะร่างสูงของผู้เป็นบิดาเคลื่อนเข้ามาถึงตัวและหยุดยืนอยู่เหนือศีรษะ เงาจากฝ่ายพ่อบดบังแสงเรื่อๆ ลงหมด เด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นสบประสานดวงตาคมกริบซึ่งมองลงมายังตัวบุตรชายด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่อ่านอารมณ์ไม่ออก ชิกาไดผงะไปวูบหนึ่งด้วยกลัวถ้อยคำตำหนิจากบิดา นั่นคือเรื่องน่ากลัวที่สุดในชีวิต
หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่าการที่หัวหน้าตระกูลนาราคนปัจจุบันถือวิสาสะนั่งลงข้างลูกชายคนเดียว ชิกามารุเห็นแล้วว่าบุตรชายตั้งใจทำความสะอาดมากพอดูเมื่อชานระเบียงสะอาดวับ แต่ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลูกเหมือนใคร – ไม่แปลกใจเลยแม้เพียงนิดที่เห็นชิกาไดนั่งมองก้อนเมฆลอยลมอย่างเพลิดเพลินหลังถูพื้นเสร็จ ภรรยามักพูดเสมอว่าลูกได้เขามามากเกินไป
ฝ่ายบุตรชายเมื่อพ่อนั่งลงก็เข้าทางพอดี ร่างเยาว์วัยค่อยๆ ปีนขึ้นมานั่งพิงอกกว้างๆ ของบิดาผู้ให้กำเนิดโดยไร้ซึ่งคำเอื้อนเอ่ยใด เห็นพ่อไม่พูดตำหนิอะไรก็ค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย มันสมองที่ฉลาดเป็นกรดพยายามวางแผนหน่วงเหนี่ยวให้บิดาอยู่ด้วยกันอีกสักระยะก่อนต้องทำความสะอาดต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหตุผลมีเพียงประการเดียวคือเด็กน้อยบ้านนาราสนิทและใกล้ชิดกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองมาตั้งแต่ยังเล็กจึงไม่ทันรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนเองติดจะขี้อ้อนอยู่นิดหน่อย เด็กชายติดแม่ก็จริงแต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าช่างเหมือนและเข้ากันได้ดีกับผู้เป็นพ่อ – ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวชิกาไดล้วนชี้ชัดว่าเป็นลูกชายของใครจะมีก็แค่เพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปชัดเจน
หากชิกามารุพึงพอใจกับการที่ดวงตาของเธออยู่บนตัวลูกของเรา
“รู้ไหมถ้าเราสองคนไม่รีบไปทำต่อให้เสร็จต้องลำบากแน่” ปุยเมฆซีดจางฟุ้งกระจายเป็นทางยาวแทบจะกลืนไปกับฟากฟ้าสีผาก ตัดกับทิวทัศน์ของภูเขาที่แมกไม้ยังคงถูกทาทับด้วยสีแดงส้มแผกฤดู หิมะควรโรยตัวนานแล้ว นารา ชิกามารุก้มลงมองบุตรชายคนเดียวที่เงยหน้าขึ้นพิจารณาความเป็นไปของท้องฟ้าโปร่ง ดวงตาสีเขียวครามคล้ายกำลังจ้องมองเขาแต่เมื่อสังเกตดีๆ กลับจดจ่ออยู่กับทุกสรรพสิ่งเหนือขึ้นไปบนนภากว้าง ในประโยคของพ่อหมายความถึงใครทำไมชิกาไดจะไม่รู้ อย่างเดียวที่หัวหน้าโจนินคนเก่งของหมู่บ้านไม่กล้าหือคือการสร้างความไม่พอใจให้ผู้หญิงที่บ้าน นารา เทมาริบอกให้สามีไปทำความสะอาดกับบุตรชายก็ควรเป็นเช่นนั้น หาใช่มัวนั่งเอ้อระเหยมองก้อนเมฆลอยลมกันทั้งพ่อทั้งลูกแบบนี้
2.
“เห-ว-อ--!” ก่อนตามมาด้วยเสียงเสียดสีอันเนื่องมาจากแรงเสียดทาน
ได้ยินเพียงเท่านั้นนารา เทมาริก็ถอนหายใจ แต่ใบหน้ากลับแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มและมือทั้งสองก็ยังไม่ละออกจากกิจกรรมที่ทำอยู่เพื่อไปห้ามปราม ถ้าวันไหนพ่อลูกคู่นี้อยู่กันอย่างสงบได้ โลกนินจาคงถึงคราวพินาศแล้วกระมัง แค่ฟังจากเสียงแว่วๆ ไม่ต้องผละจากจุดที่ยืนอยู่ยังรู้เลยว่าสองพ่อลูกหาเรื่องเล่นกันวุ่นวายอีกแล้ว กิจกรรมสุขสันต์ของบ้านตระกูลนารารอบนี้เห็นทีจะเป็นการถลาไปบนโถงทางเดินที่เพิ่งถูขัดเงา เธอได้ยินเสียงล้มตึงหนหนึ่งด้วย นั่นเป็นของบุตรชายแน่นอน
ถึงชิกาไดจะชอบบ่นเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบอันมากมายของบิดาด้วยความไม่พอใจ ทั้งยังชอบถามว่าอะไรทำให้แม่แต่งงานกับพ่อ – ผู้ที่เด็กชายคิดกล่าวอ้างไปเองว่าไร้ความรู้สึก – แต่ชิกาไดก็ยังเหมือนลูกกวางน้อยซึ่งเชื่องและว่าง่ายกับบิดาของตน ทั้งยังเคารพเทิดทูนอยู่นั่นเอง เทมาริปล่อยให้ความคิดหยั่งรากลึกขณะสายน้ำชโลมผ่านมือเพื่อชะล้างฟองสบู่ให้ไหลลงท่อระบายน้ำจากนั้นจึงเช็ดกับผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้รอบเอว อาจเพราะเธอใกล้ชิดกับชิกามารุ ผู้เป็นสามีมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยจึงแจ้งแก่ใจแล้วว่าสามีเธอแสดงออกไม่เก่งเพียงไร ทั้งความรู้สึก การกระทำหรือคำพูดมองเพียงผิวเผินจะไม่สะกิดใจว่ามีความหมายใดแอบแฝง แล้วยังนิสัยเรียบเฉยซึ่งเป็นผลพวงมาจากอุปนิสัยช่างเบื่อหน่ายเมื่อครั้งยังเด็กนั่นอีก แม้คำว่าน่าเบื่อน่ารำคาญจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงเมื่อเติบโตขึ้น และความเหนื่อยหน่ายกลายเป็นความเยือกเย็น สุขุมที่ต้องอาศัยอารมณ์อันเฉยชาพร้อมจิตใจสงบนิ่งเป็นพื้นฐาน แต่ชิกามารุก็ยังติดความราบเรียบ สบายๆ ด้วยเพราะเคยชินกับนิสัยขี้เบื่อหมดไฟพวกนั้นอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บุตรชายคนเดียวจะเข้าใจว่าพ่อเป็นพวกแข็งทื่อ ดูไม่ออกว่ารับแม่มาเป็นคู่ชีวิตได้อย่างไร
และอย่างปฏิเสธไม่ได้ พ่อคนที่ว่ายังเข้มงวดกับบุตรชายระดับหนึ่งจนดูด้านชาในความคิดของชิกาไดมาตั้งแต่เล็กด้วย หากสามีเธอก็ให้เวลากับลูกเยอะมากทีเดียวเมื่อเทียบกับภาระการงานของเขา แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกบ้านนี้สนิทกันอย่างกับอะไรดี ทั้งยังเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเนื่องจากถอดแบบกันมาไม่ผิดเพี้ยน เชื่อเถอะว่าคำพูดแรกของชิกาไดที่เธอกับสามีตื่นเต้นแทบตายเป็นคำว่าน่าเบื่อ เหตุเพราะบุตรชายขลุกอยู่กับคุณพ่อผู้หลงลูกมากเกินไป แถมพอโตขึ้นมาหน่อยแม้เด็กชายตัวน้อยจะกำลังนั่งเล่นกับเธอ แต่เมื่อพ่อกลับบ้าน เขาจะวิ่งเตาะแตะไปที่หน้าประตู กอดผู้เป็นบิดาไว้อย่างรักใคร่ เทมาริยังจำโอคาเอริอันกระท่อนกระแท่นนั้นได้ สามีเธอก็คงเช่นกัน
“นี่ ถูชานระเบียงเสร็จแล้วนะ มีอะไรให้ทำอีกบ้างไหม” ครั้นนึกถึง สามีก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี อีกฝ่ายโผล่หน้าเข้ามาในห้องครัวที่มีกลิ่นหอมอบอวลของขนมหวาน ทุกพื้นที่สัมผัสบ่งบอกได้ว่าเป็นครัวที่ถูกใช้อยู่เป็นประจำสำหรับประกอบมื้ออาหารหลักของทุกวัน – บิดาเคยกล่าวแก่บุตรชายว่า ครัวเป็นแหล่งกบดานของแม่เขา – ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดสายตาคมกริบกวาดมองบรรยากาศและภาพอันคุ้นเคยรอบด้าน แสงสว่างลอดผ่านหน้าต่างทำให้ภายในห้องโปร่งโล่งและดูสะอาดตาปลอดโปร่งมากกว่าเดิม กลุ่มควันสีขาวบิดตัวลอยขึ้นจากหม้อซึ่งเริ่มเดือด ปรุงแต่งอากาศด้วยกลิ่นชวนให้ท้องร้อง ร่างระหงในชุดผ้ากันเปื้อนกำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมตรงหน้าก่อนดวงตาคู่สวยจะเงยขึ้นมาสบประสานกัน จังหวะนั้นเขาถามอีกครั้ง “ให้ช่วยไหม”
ห้วงความคิดอันยาวนานของเทมาริหยุดลง เธอวางมือจากจานใบสุดท้ายที่ล้างอยู่เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเจ้าบ้านตระกูลนารา ผู้ควบตำแหน่งหัวหน้าโจนินและที่ปรึกษาพิเศษ มันสมองของโคโนะฮะ พร้อมคำเยินยออีกมายมายที่หญิงสาวฟังแล้วอยากจะอาเจียนด้วยความหมันไส้ เพราะอย่างไร เธอก็เห็นผู้ชายตรงหน้าเป็นเพียงสามีขี้แงจอมเบื่อหน่ายอยู่วันยังค่ำ เป็นเพียงแค่สามีที่ดีที่สุดในโลกเท่านั้น …และเธอก็เป็นภรรยาของเขา เป็นผู้หญิงที่โชคดีสินะ
“แล้วห้องหนังสือน่ะจัดแล้วหรือยัง” หญิงสาวหรี่ตา “อย่าบอกนะว่าลืมดูดฝุ่นห้องรับแขกด้วย” พอคิดว่าอาจจะเผลอใช้งานมากไปหน่อยก็อยากผ่อนผันให้ แต่อีกฝ่ายดูไม่ทุกข์ร้อนพร้อมทำตามอย่างว่าง่ายเพื่อให้คุ้มค่ากับวันหยุดที่นานๆ ทีจะมีโอกาส จึงยุติความคิดนั้นลง อีกประการหนึ่ง เมื่อคืนเขาตักตวงความต้องการจากเธอมากเกินไปจนเทมาริไม่อยากแม้แต่จะขยับตัวลุกจากฟูกในตอนรุ่งสาง แล้วยิ่งไม่ต้องถามถึงความปวดเมื่อยตอนนี้ ฉะนั้นทำงานแลกเปลี่ยนกันหน่อยเป็นไร เทมาริมองดวงตาคู่เดิมที่มักทอดมองมาเสมอ ครั้งหนึ่งผู้ชายคนนี้เคยบอกว่าเธอจะเป็นแม่ที่วิเศษ ถ้าแม่ของลูกเขาเป็นเธอก็คงไม่เลว จะว่าอะไรไหมถ้าจะขอให้เป็นคนๆ นั้น
เธอจึงกลายเป็นนารา เทมาริ แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ชิกามารุกล่าวเสมอว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มีเธอเป็นภรรยาและแม่ของลูก เทมาริเดินไปหาสามีตรงประตูแล้วปล่อยให้เขาเกี่ยวผมเธอขึ้นทัดใบหูอย่างแผ่วเบา ทั้งหมดนั่นถือเป็นเรื่องปกติเหมือนเช่นทุกวัน ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ใส่ใจมากนักกับนิ้วซุกซนที่ละไปทั่วใบหน้า ตอนพูดกันถึงเริ่มสนใจมือรุ่มร่ามที่ลงมายุ่งย่ามบริเวณแก้ม “ไปจัดห้องหนังสือก่อนเลย วันก่อนจัดไปให้ทีแล้ว แต่เอกสารอะไรต่อมิอะไรกองเต็มไปหมดต้องรอให้มาจัดเองถึงจะรู้เรื่อง”
ถ้อยคำของภรรยาทำเอานารา ชิกามารุนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนฉุกคิดอะไรได้ พลางยกมือเกาศีรษะแก้เก้อ ในช่วงหลายสัปดาห์มานี้ห้องหนังสือบ้านเขาเริ่มมีเอกสารและม้วนคัมภีร์กองพะเนินจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง แถมยังมีทีท่าว่าโฮคาเงะจะทำให้มันเพิ่มขึ้นอีก นินจาระดับสูงของโคโนะฮะกำลังมีงานล้นมือเป็นแท้จริง ไม่เว้นแม้แต่อุจิวะ ซาสึเกะซึ่งถูกตามตัวกลับมาก่อนเวลาเป็นกรณีพิเศษ นึกถึงตรงนั้นหัวหน้าโจนินผู้รับศึกหนักทั้งที่บ้านและที่ทำงานก็เพิ่งสัมผัสได้ว่าสายตาของคนตัวเล็กกว่ากำลังคาดคั้นมองมาจนรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพราะมัวแต่เล่นกับเจ้าตัวแสบแท้ๆ เชียว ลึกๆ แล้วชิกามารุต้องการเวลาอยู่กับชิกาไดมากกว่าการฝึกให้ในตอนเช้าตรู่ หรือนั่งฟังภรรยาเป็นฝ่ายเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายบ้างในแต่ละวัน
“เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ ของว่างเสร็จพอดี” พอมองสามีนานเข้าก็ยิ่งใจอ่อนลงอีกหลายส่วน เมื่อตัดสินใจไม่ถือสาหาความให้ยืดยาวจึงเอ่ยปากออกไปแบบนั้น เพราะทราบดีว่าชิกามารุทำดีไม่น้อยสำหรับวันที่ทุกครอบครัวในหมู่บ้านโคโนะฮะงาคุเระต้องทำความสะอาดบ้านกันยกใหญ่เพื่อต้อนรับปีใหม่ซึ่งกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ถึงสัปดาห์ถัดจากนี้ – แล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็มีแต่เขา เราอยู่ด้วยกันมานานเท่าไหร่แล้ว ดวงตาสีสวยหันมองตามแผ่นหลังของสามีออกไปอย่างอ่อนโยน
บางครั้งเทมาริก็เคยคิด เรื่องทั้งหมดของเรามันเริ่มมาจากตรงไหน
3.
“ทุกอย่างเป็นความประสงค์ของท่านคาเซะคาเงะ พวกเราซึนะจะร่วมมือกับโอโตะทำสงครามกับโคโนะฮะ นี่เป็นภารกิจลับระดับเอ ขอให้พวกเราจำใส่ใจไว้ให้ดี” เพราะห้องค่อนข้างทึบจึงมีเพียงเสียงของโจนินระดับสูงแห่งซึนะงาคุเระกังวานก้อง มันสะท้อนอยู่ในใจของเด็กสาวผู้ไม่ทันรู้สึกตัวว่าใบหน้าตนเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดด้วยเช่นกัน ทำอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดความกังวลอันน่าอึดอัดนี่ให้หมดไป ถึงเจ้าของน้ำเสียงหนักแน่นจะมั่นอกมั่นใจมากหนักหนาก็ตามที ขึ้นชื่อว่าสงครามย่อมต้องนำมาซึ่งความสูญเสีย ไม่มีอะไรดีอย่างแน่นอน แล้วเพราะเหตุใดถึงต้องห่ำหั่นกันเพียงเพื่ออำนาจ มันคุ้มแล้วหรือ – เธอไม่ได้รับคำตอบในข้อนั้น ดวงหน้าสวยคมงอง้ำขณะคิ้วขมวดมุ่นกำลังขับให้ใบหน้าดูดุดัน และรอยย่นที่หว่างคิ้วก็สื่อถึงความวิตกกังวล
ตลอดอายุสิบห้าปีของเทมาริ ได้ยินเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิตคือตอนพ่อเข้ามาประคองกอดเธอ ซึ่งกำลังตื่นเต้นกับน้องชายที่กำลังจะเกิดแล้วบอกกับเธอด้วยน้ำตาว่าแม่ตาย ชั่วขณะนั้นความตื่นเต้นและความปีติยินดีหายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเธอซึ่งร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง ร้องจนไม่มีน้ำตาให้ร้อง ตอนนั้นรสเค็มปร่าของน้ำตาคล้ายจะไม่มีรสชาติอีกต่อไปเมื่อได้ลิ้มรสมันจนชินชา เสียงเริ่มแหบแห้งจนท้ายที่สุดก็ถูกกลืนหายไปในลำคอด้วยหมดเรี่ยวแรง ทั้งๆ ที่ไม่สบายใจอยู่ก่อนหน้าแล้วว่าจะมีต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่เธอก็ยังดำเนินชีวิตอย่างปกติและเฝ้ารอคอยวันที่น้องชายเกิด โดยไม่แยแสต่อลางสังหรณ์ซึ่งได้เตือนทุกอย่างไว้หมดแล้ว
ข่าวสำคัญที่โจนินประจำทีมเพิ่งนำมาแจ้งให้ทราบก็เช่นกัน มันสร้างความไม่สบายใจให้ฉายออกมาทางดวงตาของเทมาริเหมือนเช่นอดีตครั้งนั้น และลึกลงไปก็มากด้วยความสับสนปะปนกับความรู้สึกหวาดเกรง ถ้าเธอไม่แม้แต่จะพูดออกไป สุดท้ายก็จะคงเหลือเพียงความเสียใจ บุตรสาวคนเดียวของคาเสะคาเงะเคยได้เรียนรู้แล้วว่าความผิดพลาดในอดีตมีไว้มีไว้สำหรับเป็นข้อเตือนใจไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกันขึ้นมาอีกซ้ำสอง เทมาริไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายตามสังหรณ์ของเธอขึ้นมาอีก ในชั่วขณะต่อมาจึงกล่าวทักท้วงออกไปแม้จะรู้ดีว่าการกระทำนั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
“ทำไมจนป่านนี้แล้วยังทำสงครามกันอีก ต้องลงทุนลงแรงเสียเวลาขนาดไหนถึงทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกันได้ แล้วยังจะทำลายสัญญา ทำให้คนต้องตายอีกมากมาย…” เสียงของเทมาริไม่กระด้างหรือดังจนเกินไป มันจึงยังคงไว้ซึ่งสัมมาคารวะอันพึงมีต่อโจนินประจำทีมอย่างบากิ นินจาระดับสูงแห่งซึนะงาคุเระ หมู่บ้านซึ่งซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางทะเลทราย และก็เป็นอย่างที่เทมาริตระหนักได้ดี แท้จริงแล้วบากิถูกส่งมาเพื่อควบคุมความประพฤติของพวกเธอ บุตรทั้งสามของคาเสะคาเงะซึ่งถูกจับมาอยู่ร่วมทีมเดียวกันอย่างเสียไม่ได้ เขาเป็นคนตรงไปตรงมาถึงเลือกตอบคำถามของเธอได้อย่างชาญฉลาดและเรียบเฉย แม้เทมาริจะเป็นบุคคลที่ได้รับความเกรงใจอยู่เสมอแต่กับบากิถือว่าไม่ใช่ หากอีกฝ่ายเป็นนินจาคนอื่นคงจะกริ่งเกรงเธอในฐานะบุตรีคนเดียวของคาเสะคาเงะ ผู้ได้รับยีนมรดกจากมารดามาทุกกระเบียดนิ้วเป็นแน่
“นินจามันก็แค่เครื่องมือทำสงคราม สนธิสัญญาพันธมิตรน่ะเป็นแค่สิ่งคุกคามการดำรงอยู่ของพวกเราเท่านั้น…”
โสตประสาทของเด็กสาวไม่ได้จดจ่ออยู่กับถ้อยคำของบากิอีกต่อไป แม้อีกฝ่ายจะยังคงกล่าวต่อจากนั้นอย่างเป็นการเป็นงาน มีเพียงท่าทีของเทมาริเท่านั้นที่กำลังตั้งใจฟัง หากใจกลับห่างออกไปด้วยอิทธิพลของความกังวล ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของคุโนะอิจิแห่งซึนะเกี่ยวกระหวัดอยู่กับภารกิจแฝงตัวเข้าสู่โคโนะฮะงาคุเระในรูปของการสอบจูนิน เธอกลัวว่าครั้งนี้จะสูญเสียคนสำคัญไปอีกโดยไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากส่งสายตาที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยไปยังน้องชายทั้งสอง – ซึ่งยืนอยู่คนละฟากของห้อง – ทั้งที่ไม่อาจปฏิเสธหรือหลีกหนีได้อีกต่อไปว่าตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เริ่มขึ้นแล้ว
แล้วใครเป็นคนกำหนด
4.
ลมจะสงบก่อนพายุจะมาเสมอ ซึนะงาคุเระมีคำสอนเช่นนี้เพราะเป็นหมู่บ้านกลางทะเลทรายที่มักมีพายุทรายโหมกระหน่ำอยู่บ่อยครั้ง เทมาริเข้าใจถึงความหมายของมันดีจึงยังไม่วางใจ แม้การแทรกซึมเข้าสู่โคโนะฮะจะราบรื่นและเป็นที่น่าพึงพอใจมากเพียงใด พายุอาจเริ่มตั้งเค้าเหนือผืนทรายท่ามกลางความเงียบและสายลมที่นิ่งสงบอย่างช้าๆ แล้วก็เป็นได้ ดวงหน้าเยาว์วัยที่แม้จะดูวิตกกังวลอยู่ลึกๆ หากยังชวนให้ผู้อื่นลอบเพ่งพิศความสะสวยสมวัยนั้นสลัดความคิดฟุ้งซ่านก่อนผินมองลงไปเบื้องล่าง ท่ามกลางสนามประลองสำหรับการสอบจูนินรอบสุดท้ายของหมู่บ้านโคโนะฮะงาคุเระ คู่แรกในการประลองรอบทัวนาเม้นท์กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือดดุจเดียวกับพยัคฆ์และมังกร ก่อนจะประกาศผู้ถือชัยในนามอุซึมากิ นารุโตะ
ในฐานะนินจา เทมาริผ่านการฝึกจิตใจมากแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่เวลานี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังคงถูกความวิตกกังวลเข้าเคลือบคลุมจิตใจ เธอสัมผัสได้ถึงเหงื่อชื้นๆ บนมือทั้งสองที่ประสานกันแน่น ท้ายที่สุดมันก็มาถึงแล้ว การประลองคู่ต่อไปก็คือนินจาคนสุดท้ายจากโศกนาฏกรรมอุจิวะกับกาอาระ น้องชายคนเล็กที่เธอแสนจะตามใจ เนื่องจากต้องการชดเชยช่วงเวลาที่ควรได้ใช้กับกาอาระ พี่สาวเช่นเธอจึงเอาอกเอาใจน้องชายคนเล็กเสียมากมาย ถึงคนในหมู่บ้านจะไม่สามารถยอมรับบุตรชายคนเล็กของคาเสะคาเงะได้ด้วยความเต็มใจแต่กระนั้นสำหรับเทมาริแล้วเธอไม่สามารถเกลียดกลัวน้องชายตัวเองได้ มันเป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาดระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมอบความห่วงใยมากมายให้น้องเล็กคนนี้อย่างไรข้อกังขาทั้งที่ไม่เคยอยู่ข้างๆ เขา – กาอาระอยู่คนเดียวมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ เพราะคำประกาศิตของผู้เป็นบิดาที่ห้ามเธอและคันคุโร่ยุ่งเกี่ยวกับภาชนะโดยเด็ดขาดด้วยเหตุผลเพียงว่าเขาอันตรายเกินไป เมื่อมีโอกาสได้ร่วมทีมกันเขาจึงปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมรับทุกคน โกรธ เกลียด และเดียวดาย
ดวงตาสีเขียวครามหลุบลง เปลือกตาเคลื่อนเข้ามาบดบังภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้าเหลือเพียงความมืดและความทรงจำในส่วนลึก เทมาริหลับตาลงพลางถอนหายใจแผ่วเพราะเมื่อเบือนสายตาไปทางน้องชายคนเล็ก ภาพร้องไห้งอแงของกาอาระที่เธออุ้มด้วยมือคู่นี้ตอนยังเป็นเด็กและยังคงประทับฝังแน่นอยู่ในใจกลับถูกแทนทับด้วยภาพของอสูรผู้รักตนเอง กระหายการฟาดฟันและการพรากชีวิต
อสูรที่เทมาริไม่ควรสนใจตั้งแต่แรก แต่ถึงกระนั้นการที่อุจิวะ ซาสึเกะไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวทันกำหนดเวลาการประลองก็ทำให้เทมาริกังวลใจไม่น้อย เพราะเป็นความจริงว่าการประลองของกาอาระเป็นหนึ่งในฟันเฟืองตัวใหญ่ของแผนการ หากอุจิวะผู้เหลือรอดขาดความรับผิดชอบถึงเพียงนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นจูนิน ทว่าโคโนะฮะจะตัดใจทิ้งมวยคู่เอกของรอบทัวนาเม้นท์นี้ได้ลงหรือ ไม่มีทางอย่างแน่นอน การเดิมพันทางฝั่งไดเมียวกำลังสะพัด ดังนั้นหากจนหนทางแล้วหมู่บ้านที่ซ่อนเร้นภายใต้เงาไม้อันสงบสุขแห่งนี้คงถูกบีบจนตัดสินใจเลื่อนการสอบ ร้ายสุดคือจำต้องยกเลิก แต่ไม่ว่าทางใดย่อมส่งผลให้แผนการของซึนะบิดเบือนเสียทั้งนั้น
“แล้วจะทำยังไงล่ะ ถ้าหมอนั่นไม่มาก็ผิดแผนหมดน่ะสิ” เสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบจากน้องชายคนรอง – คันคุโร่ ชี้ให้เห็นว่าเทมาริไม่ใช่เพียงคนเดียวที่กำลังกังวลกับเรื่องนี้ หรือบางทีนินจาซึนะทุกนายอาจกำลังรู้สึกไม่ต่างกัน กาอาระคือไพ่ตาย ในขณะเดียวกันก็เป็นอาวุธที่พร้อมย้อนกลับมาประหัตประหารพรรคพวกฝ่ายเดียวกัน เด็กหนุ่มนักเชิดหุ่นอำพรางสีหน้าท่าทางได้เป็นอย่างดีขณะหันไปปรารภกับผู้เป็นพี่สาว เขาไม่ร้อนรน เขายังคงเก็บความรู้สึกเช่นเดียวกับเทมาริ ทว่าเขาไม่ได้ไร้ความรู้สึกเหมือนกาอาระ ความกังวลจึงถูกฉายออกทางใบหน้าเล็กน้อย และคำตอบของพี่สาวที่ไม่ได้มีใจจดจ่อกับคำกล่าวของเขาก็ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเท่าใดนัก
“เนอะ แบบนี้ก็แย่สิ” ฟังอีกฝ่ายตอบกลับเพียงเท่านั้นคันคุโร่ก็หมดอารมณ์ต่อบทสนทนา เห็นได้ชัดว่าพี่สาวของเขาไม่ได้มีสติอยู่กับความวิตกกังวลที่เขาเพิ่งแสดงออกไปสักเท่าไหร่ คำตอบจึงปราศจากอารมณ์และไร้ซึ่งการกลั่นกรอง แม้ดวงตาคู่สวยที่เหมือนแม่จะจ้องลึกลงมาในดวงตาของเขาคล้ายพยายามปลอบประโลมในแบบของเธอก็ตามที – หากมันก็ยังคงเป็นสายตาที่มอบความเชื่อมั่นให้กับเขาทุกครั้งไป
บรรยากาศบนชานระเบียงที่พักคู่ประลองเริ่มกดดันและตึงเครียดจากความลุ้นระทึกจนเทมาริสัมผัสได้ พวกนินจาโคโนะฮะเป็นห่วงเพื่อนพ้องของตัวเองที่ยังไม่ปรากฏตัว ส่วนนินจาซึนะอย่างเธอกับคันคุโร่ก็ห่วงแผนการซึ่งอาจบิดเบือนหรือไม่ประสพผลหากสถานการณ์ยังคงดำเนินไปในทิศทางไม่มั่นคงเช่นนี้ เทมาริรู้ดีว่าความพะว้าพะวงจะไม่ช่วยอะไร เช่นนี้แล้วเด็กสาวจึงเลือกปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่เผื่อแผ่ความสนใจให้แก่ผู้คนรอบข้าง นั่นทำให้เธอเกิดความเห็นอกเห็นใจและหากเริ่มใจอ่อนขึ้นมาแล้วละก็ เห็นทีความเต็มใจที่จะร่วมแผนโจมตีหมู่บ้านนี้ของเธอคงจะน้อยลงอีกจากที่น้อยมากอยู่แล้ว – ฟึบ – อะไรบางอย่างตัดผ่านอากาศลงไป ด้วยสายตาอันฉับไว คุโนะอิจิจากทะเลทรายรีบพุ่งความสนใจไปยังนินจานายหนึ่งที่กำลังแจ้งข้อมูลบางอย่างแก่เจ้าหน้าที่คุมสอบกลางสนามประลองทันที นี่อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของแผนการ และก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้ในแง่ร้ายสุด เมื่อจูนินประจำสนามสอบประกาศข้อมูลนั้นออกมาให้ทราบโดยทั่วกันด้วยเสียงอันดัง
“ทุกท่าน เนื่องจากผู้เข้าประลองในรอบนี้ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเราจะขอเลื่อนการประลองคู่นี้ไปก่อนให้คู่ประลองถัดไปเริ่มแทน!”
“…!!” คล้ายจะได้ยินเสียงถอนใจอย่างโล่งอกจากคนทั่วทั้งสนามประลองตามมาหลังคำประกาศนั้น แต่คงเป็นสิ่งที่เทมาริอุปาทานไปเอง หรือหากมันเป็นจริงก็คงต้องยกเว้นเธอไว้คนหนึ่งเสียแล้ว ใบหน้าของสองพี่น้องจากหมู่บ้านแห่งทรายฉายแววตกใจเล็กน้อยด้วยประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่ต่างกับนินจาโคโนะฮะซึ่งแสดงสีหน้าออกมาชัดเจน ไม่คิดปกปิด เด็กสาวจากซึนะรู้สึกเหมือนความกังวลของเกะนินฝ่ายโคโนะฮะถูกถ่ายโอนมายังเธอกับคันคุโร่จนหมด เพราะพวกเธอเริ่มจะหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังโล่งใจเป็นปลิดทิ้ง หากทว่าความหนักอึ้งของบรรยากาศส่วนใหญ่มาจากผู้เป็นน้องชายคนรองซึ่งต้องรับช่วงต่อในการประลองลอบต่อไปจนได้รับความกดดันมากกว่าใคร
“คู่ประลองคู่ต่อไปคันคุโร่กับอะบุราเมะ ชิโนะ ลงมาได้แล้ว!” สิ้นเสียงประกาศจากผู้คุมสอบ ความรู้สึกเครียดเขม็งก็ประดังเข้ามา บีบบังคับให้คันคุโร่กัดฟันแน่น แม้จะคาดการณ์ล่วงหน้าถึงแผนสำรองแล้วก็ตาม แต่ความกดดันโดยรอบทำให้เขาวิตกจนเหงื่อไหลโทรมกายได้อย่างง่ายดาย ‘ไอ้คู่ประลองแบบนี้ช่างมันเถอะน่า ที่สำคัญคือก่อนเริ่มแผนจะเอาลูกไม้ที่ใส่ไว้ในคาราสึออกมาให้คนอื่นเห็นได้ไง’
ในหัวของเด็กหนุ่มเริ่มไตร่ตรอง ซึ่งมันก็ง่ายมากสำหรับคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการสอบจูนินอย่างคันคุโร่ เพราะเขาสามารถตัดสินใจสละสิทธิ์การประลองเพื่อรักษาความลับของคาราสึ หุ่นเชิดไม้ตายลับก้นหีบของเขาได้ในทันที หากไม่ทำเช่นนี้ก่อนเริ่มแผนการจู่โจมโคโนะฮะ ลูกไม้เด็ดจะถูกนำออกมาแสดงให้สายตาทุกคู่ซึ่งนั่งอยู่ในสนามประลองได้เห็น และมันจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาทำหากสิ้นหนทางเดินต่อในเกมที่สภาสูงแห่งซึนะบังคับให้เขากับพี่สาวร่วมเล่น สำหรับนักเชิดหุ่นแล้วความลับบนตัวหุ่นสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่ง หากมันถูกเปิดเผยก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป คนมักจะจับผิดกลครั้งที่สองเสมอ เด็กหนุ่มหันไปสบดวงตาสีเขียวครามชั่วขณะหนึ่งเพื่อสื่อความนัย ก่อนจะประหวัดได้ว่าไม่ว่าเรื่องอะไรเล็กน้อยแค่ไหน เทมาริมักรู้ก่อนเขาเอ่ยปากเสียอีก ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอมองกลับมาอย่างมีนัยยะคล้ายจะบอกว่าตามใจ
เช่นนั้นแล้ว นินจานักเชิดหุ่นแห่งซึนะงาคุเระจึงประกาศกับเจ้าหน้าที่คุมสอบด้านล่างอย่างเฉียบขาด “ผมสละสิทธิ์”
กระแสลมเย็นบาดผิวปรากฏขึ้นก็ตอนนั้นเอง เทมาริส่งเสียงในลำคออย่างขุ่นในอารมณ์ ไม่ใช่เพราะน้องชายสละสิทธิ์จนเธอต้องลงประลองรอบต่อไป หากเนื่องด้วยนิสัยเกลียดความยุ่งยากน่ารำคาญที่ยิ่งทำให้อารมณ์ตอนนี้ยุ่งเหยิงมากขึ้นไปเอง เธอเป็นคนที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามโดยง่ายนอกจากจะมีเหตุผลเพียงพอ ทั้งยังไม่มีใครกล้าขัดใจ มีแต่คนเกรงใจอยู่เสมอ และเหนือสิ่งอื่นใดเธอมักได้ดังใจไปเสียทุกอย่าง เป็นเหมือนนางพญาที่ทุกคนเอาใจ ดังนั้นจึงหงุดหงิดอยู่พอตัวเมื่อต้องรับคำสั่งให้มาทำภารกิจซึ่งต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย แถมยังสร้างความวิตกกังวลให้เธอเสียมากมาย แต่ลำพังแค่การรับคำสั่ง เด็กสาวไม่เคยมีปัญหา รู้ดีว่าเป็นหน้าที่พึงกระทำในฐานะนินจาคนหนึ่งต่อภารกิจมอบหมาย ทว่านี่เป็นคำสั่งแกมบังคับที่แทบจะไม่เห็นประโยชน์อันใดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลย ถึงกระนั้นเทมาริก็ยังคงต้องเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งในแผนการนี้โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นจึงน่าหงุดหงิดจนอารมณ์ซึ่งขุ่นมัวเป็นทุนเดิมเริ่มเดือดพล่านพร้อมอาละวาดเต็มที่ ยิ่งพอบวกกับความห่วงใยในหมู่บ้านของตนด้วยแล้ว นินจาซึนะงาคุเระทุกคนตระหนักได้ดีเลยว่าตอนนี้เทมาริซังเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ที่สุด
อันที่จริงความหงุดหงิดนั้นเป็นผลสะท้อนของความไม่สบายใจซึ่งแฝงตัวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจอย่างแน่นอน แต่เทมาริอยากปฏิเสธความจริงข้อนี้ ด้วยเพราะต้องการแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเยือกเย็น มีจิตใจมั่นคงไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนได้ ดังที่เคยเป็นมาตลอด เด็กสาวจากทะเลทรายเพียงเฝ้าบอกตัวเองว่าเธอแค่ไม่ชอบแผนการร้ายๆ นี่ ต้องมานั่งวิตกกังวลและถูกผู้อื่นบงการ ความรู้สึกที่อยากจะยุติการประลองในคู่ของตนไวๆ จึงถูกปลุกขึ้น พร้อมกับการหันไปปลดพัดเหล็กขนาดใหญ่ อาวุธประจำตัว มาโบกสะบัดเพื่อเรียกกระแสลมอันคุ้นเคยหอบร่างของตนบนพัดคู่กายลงไปยังสนามประลองด้านล่าง – รวดเร็วประหนึ่งสายลม งามสง่าและเด็ดขาด
“ท่าทางเธอจะอยากประลองนี่ เอ้า! อีกคนลงมาได้แล้ว”
ขอให้อีกฝ่ายไม่โชคร้ายจนถึงที่สุดก็แล้วกัน สำหรับนินจาซึนะทุกนายในสนามประลองเลือกอวยพรให้ฝ่ายตรงข้ามแบบนั้น เพราะแค่มาเจอเทมาริซังตอนอารมณ์ไม่ดีสุดขีดก็ไม่ถือว่าโชคดีแล้ว คงจะเป็นการอับโชคเสียมากกว่า
“เหวออ-อ” เสียงดังมาก่อนตัว เทมาริซึ่งยืนคุมเชิงคอยท่าอยู่ด้านล่างจึงหันขึ้นไปมองแม้จะจำคู่ต่อสู้ของตนแทบไม่ได้เลยก็ตาม แต่เมื่อเห็นเด็กชายผู้ใช้วิชาเงาแห่งโคโนะฮะร้องเสียงหลงขณะตกลงมาจากระเบียงที่พักคู่ประลองก็แจ้งแก่ใจทันที – หมอนี่เองคู่ประลองของเธอ เจ้าเด็กหน้าเบ้ที่ชื่ออะไรนะ นานิโงโตะมารุ – เด็กสาวยอมรับว่านึกออกเพียงเลือนรางถึงจะผ่านการสอบทั้งหมดมาจนรอบสุดท้ายแล้วเนื่องจากเรื่องสำคัญอย่างแผนโจมตีโคโนะฮะเป็นพันธะผูกพันเธออยู่ นอกจากนี้การเข้าร่วมสอบจูนินก็แค่ฟันเฟืองตัวหนึ่ง ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมั่นใจแน่แล้วว่าไม่มีผลกับแผนการของซึนะจึงไม่อยู่ในความสนใจเท่าที่ควร ลักษณะที่ทำให้คุโนะอิจิแห่งซึนะจดจำเจ้าเด็กใช้วิชาเงาได้บ้างก็มีแค่สติปัญญาอันเฉียบคม เกะนินของหมู่บ้านโคโนะฮะคนนี้ฉลาดไม่น้อย หากทว่าความเนือยนายก็มีมากมิยิ่งหย่อนกว่ากัน และอย่างหลังนั่นก็เรียกความเหนื่อยหน่ายให้เทมาริอีกเท่าตัว เพราะเจ้านานิโงโตะมารุยังคงนอนแผ่หลาตรงจุดที่ตกลงมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ไม่คิดขยับเขยื้อนแม้เพียงนิด
ดวงตาสีเขียวครามมีความอิดหนาระอาใจพาดผ่าน เทมาริทอดมองไปยังคู่ประลองซึ่งนอนแผ่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ทุกข์ร้อน ให้ตายเถอะ ไม่เคยพบไม่เคยเห็นผู้ชายประเภทนี้มาก่อนเลยในชีวิต ผู้ชายประเภทที่ดูลักษณะไล่เลี่ยกับกาอาระกำลังทำหน้าเบื่อโลกซังกะตายและไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาตั้งรับคู่ต่อสู้ แม้ผู้ชมทั่วทั้งสนามประลองจะเริ่มกล่าวสรรเสริญบุรุษผู้ยังคงนอนแอ้งแม้งกันกระหึ่มก็ตามที – “เฮ้ย เริ่มประลองกันได้แล้ว” เสียงเซ็งแซ่ดังอื้ออึง ส่วนใหญ่เทมาริจะฟังไม่ได้ศัพท์ แต่บ้างก็ว่า
“คู่พรรค์นี้น่ะสู้ๆ กันให้จบเร็วๆ เหอะ” ไม่ก็โห่ร้อง “จะนอนไปถึงไหนฟะ ลุกขึ้นไอ้หนู!”
“อ้าว นายจะยอมแพ้เรอะนั่น” เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังคงนอนแผ่อยู่อย่างไม่ยี่หระ ใบหน้าเหม่อลอยเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดรอบตัวเขาเป็นเพียงภาพฉายที่เลื่อนไหลผ่านไป เทมาริจึงร่วมผสมโรงไปกับผู้ชมในลานประลองบ้างเล็กน้อยด้วยความหวังว่าน้ำเสียงและสายตายั่วเย้านี้จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอยากจะเอาชนะในฐานะบุรุษให้เด็กชายมีแรงฮึด ลุกขึ้นมาสู้กับเธอจนจบไปโดยเร็ว แต่ความเงียบที่เป็นเสมือนคำตอบก็ชัดเจนแล้วว่าการท้าทายของเธอไม่ก่อให้เกิดผล
“ถ้านายไม่เข้ามา ฉันเข้าไปเองก็ได้!” จบคำ ร่างเพรียวระหงก็ออกวิ่งเข้าหาคู่ต่อสู้พลางเงื้อพัดหวังจะจัดการให้จบภายในการโจมตีครั้งเดียว หากทว่าทันทีที่กลุ่มควันจากการจู่โจมจางหายลง ภาพตรงหน้าที่ปรากฏหาใช่เด็กชายผู้ใช้เงาแต่กลับเป็นความว่างเปล่า ต้องอย่างนี้สิ ลุกขึ้นมาได้สักที – ชั่วขณะหนึ่งเทมาริยอมรับว่าตนตกใจแต่ถัดจากนั้นความดีใจก็พาดผ่านเข้ามาแทนที่ มันผสมปนเปไปกับความประหลาดใจซึ่งหยดลงบนความนึกคิดชั่วแวบหนึ่งของเด็กสาวว่าเพราะเหตุใดกันจึงต้องสนใจมากถึงเพียงนั้น – เมื่อแรกคุโนะอิจิแห่งซึนะก็ร่ำๆ จะหมดความอดทนอยู่หรอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายมัวแต่พิรี้พิไรน่าหงุดหงิด ทว่าหากเธอฮึดจบการประลองรอบนี้โดยเร็ว ขณะอีกฝ่ายไม่มีแก่ใจจะสู้แบบนี้ก็สูญเปล่า ใช่ ไร้ความหมายด้วย ได้รับชัยชนะมาทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ได้สู้ให้เต็มที่ เธอรับไม่ได้จริงๆ – เหตุนี้จึงต้องสนใจอยู่นั่นเอง ด้วยเพราะตัวเองเป็นคนตรงไปตรงมาแบบนั้นจึงไม่อาจถือแค่อารมณ์เป็นสำคัญ
“ไอ้เรื่องจะได้เป็นจูนินรึเปล่าน่ะ ช่างหัวมันเฮอะ แต่เป็นผู้ชายจะให้แพ้ผู้หญิงได้ไง ลองซักตั้งก็ได้” คนที่หลบการโจมตีขึ้นไปยืนอยู่บนคุไนซึ่งปักอยู่กับกำแพงสนามประลองเอ่ยขึ้น ท่าทียียวนกวนประสาทนั้นแต้มรอยเหยียดยิ้มอย่างยินดีที่มุมปากเทมาริได้ไม่น้อย เพราะในที่สุดเราก็เริ่มประลองกันอย่างยุติธรรมและสมน้ำสมเนื้อ
œ
0.
“กินเสร็จแล้วก็ไปทำความสะอาดต่อให้เรียบร้อยด้วยล่ะ” ก็เพราะครั้งก่อนนารา เทมาริเห็นสองพ่อลูกนอนแผ่กันอยู่ในห้องนั่งเล่นหลังจากทำความสะอาดไปได้ครึ่งหนึ่ง ใบหน้ายามหลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนทำเอาอดยิ้มไม่ได้ จึงเจาะจงหันมากล่าวสำทับกับบุตรชายเป็นพิเศษ เธอทราบดีว่าชิกาไดติดนิสัยขี้เบื่อและมักทำสิ่งต่างๆ ด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้จะตั้งใจนัก บางครั้งเลยห่วงจนเผลอจู้จี้จุกจิกไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าบุตรชายร่วมมือกับคนพ่อด้วยแล้ว ผู้ชายบ้านนี้จะสร้างเรื่องปวดหัวได้อย่างไร้ที่ติ สำหรับเทมาริ การที่ลูกชายคนเดียวทั้งสืบทอดพร้อมซึมซับนิสัยของผู้เป็นบิดามาอย่างถูกต้องทุกกระเบียดก็มีข้อดีข้อเสียไม่ด้อยไปกว่ากัน ถึงเด็กชายจะฉลาดเป็นกรดหากทว่าเมื่อไม่ใช่เรื่องที่ตนสนใจก็จะขาดความกระตือรือร้น ยังดีหน่อยที่แม้จะชอบเบื่อหน่ายต่อสิ่งรอบตัว รำคาญนู้นนี่ แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดติดปากเพื่อแสร้งไม่ใส่ใจความสามารถลึกๆ ของตน และดำเนินชีวิตอันเรียบง่ายไปเรื่อยๆ ตามปกติ ชิกาไดชอบความราบเรียบ สบายใจ เหมือนพ่อ
บุตรชายคนดังกล่าวรับคำอย่างว่าง่ายไร้ซึ่งท่าทีอิดออดทันที เมื่อเห็นมารดาหันมารับคำตอบจากตน ดูเหมือนการขัดคำสั่งคุณแม่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เด็กชายคิดอยากทำครั้นถูกบังคับให้ต้องเลือก เพราะแม้แต่บิดาผู้เป็นฮีโร่กลายๆ ของเขายังไม่กล้าขัดคำสั่งอันคล้ายถ้อยประกาศิตของมารดาเลยสักเพียงนิด แล้วเขามีหรือจะกล้า หากทำเช่นนั้นคงมีชะตากรรมไม่สู้ดีนัก ทว่าถึงกระนั้น นับตั้งแต่จำความได้ก็ยังไม่เคยเห็นมารดาโกรธใครจริงจัง ไม่มีเหตุผล หรือใช้อารมณ์กับบิดาเลยสักครั้ง เขาจึงไม่เข้าใจอย่างยิ่งถึงสาเหตุที่ทำให้บิดาเกรงใจไม่กล้าหือ – ในบางเรื่อง – ขนาดนี้ สำหรับชิกาไดถ้าขัดคำสั่งแล้วก็จะไม่สบายใจ แถมคุณแม่ยังน่ากลัวอยู่หน่อยๆ ด้วยเวลาดุ และถ้าถูกดุขึ้นมาจริงเขาก็จะรู้สึกแย่ทั้งยังใจหาย แต่พ่อล่ะ ยังคงหาคำตอบไม่ได้
สมองอันปราดเปรื่องที่ได้รับเป็นมรดกจากบิดากำลังแก้ข้อสงสัยไม่ตก ในสายตาของเด็กชาย มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นคนดุ เจ้าระเบียบและเข้มงวด แม้อย่างหลังจะแพ้ผู้เป็นพ่ออยู่หน่อยๆ ก็ตาม นอกจากนี้ยังไม่มีใครกล้าขัดใจเนื่องจากสิ่งที่คุณแม่ทำมักเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุผลเสมอ แล้วถึงดูเผินๆ พ่อจะเกรงใจแม่ไม่กล้าหือก็เถอะ แต่ก็แค่บางเรื่องเท่านั้น เขาสามารถยืนยันหนักแน่นทีเดียว เพราะนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ถือกำเนิดถึงแม่จะดุอะไรจนพ่อต้องยอมแพ้ หากเด็กชายก็ยังเห็นบิดาเป็นคนเดียวที่ตัดสินใจเรื่องในบ้าน เป็นผู้นำแสนสุขุมที่เขาเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างๆ มาตลอดด้วยความยกย่องชื่นชม แถมอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญซึ่งจะละเลยไม่ยกมาพิจารณามิได้คือแม้จะเฮี้ยบอย่างไรหากมารดาก็ยังมีมุมอ่อนหวาน ปฏิบัติอย่างอ่อนโยน ใจดีกับบิดา ไม่เคยขึ้นเสียงใส่หรือทำตัวเหนือกว่า เคารพในทุกการกระทำของพ่อโดยไม่กังขาใดๆ รู้ทันกันทั้งยังเกื้อหนุนกันเป็นที่ยิ่ง ดังนั้นชิกาไดจึงยิ่งจนมุมกับการเฝ้าไขปัญหา
“มีอะไรกับพ่อรึเปล่า” รู้สึกมาได้สักพักแล้วชิกามารุจึงค่อยเอ่ยปากขึ้น หลังจากเห็นบุตรชายจ้องมาทางตนด้วยสายตาที่เหมือนจะตำหนิอยู่ในที เขาผู้เป็นพ่อจึงต้องถามหาถึงสาเหตุนั้น ใช่จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เด็กคนนี้เป็นลูกเขา ลูกจะไม่เหมือนพ่อแม่ได้หรือ ชิกาไดคงกำลังตำหนิเขาอยู่ในใจสินะว่าเขาช่างทำตัวกลัวเมียจนสมควรได้รับวุฒิบัตรประกาศยกย่องเกียรติคุณดีเด่นเข้าสักวันหนึ่ง – ทั้งการกระทำและความคิดอ่านของเด็กชายไม่ได้ต่างจากเขาในวัยเยาว์สักเท่าไหร่นัก บางครั้งก็เหมือนกันเพราะทำสำเนามาอย่างถูกต้อง เจ้าบ้านตระกูลนาราคนปัจจุบันประหวัดถึงวัยเยาว์ของตน เขาเคยถามพ่อว่าทำไม แต่ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะเข้าใจว่าเพราะอะไร ตอนได้รู้จักกับเทมาริและอยู่ข้างๆ เธอถึงเริ่มประจักษ์ เมื่อใช้ชีวิตคู่ก็ถ่องแท้
บางทีการยอมโอนอ่อนตามในบางเรื่องก็ถือเป็นการคำเพื่อคนที่รัก
ดวงตาคมกริบจ้องลึกลงไปในดวงตาของบุตรชายขณะเฝ้ารอคำตอบกลับ นัยน์ตาสีเขียวครามมีร่องรอยของความลังเลพัดผ่านวูบหนึ่งเหมือนระลอกคลื่นก่อนจะกลับมาเรียบเฉยดังเดิมหลังพายุแห่งความสงสัยสงบลง ชิกามารุอ่านท่าทีนั้นออก เขารู้จักลูกชายเป็นอย่างดี ชิกาไดกำลังชั่งใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดออกมา และก็แน่นอนครั้งนี้ความอยากรู้เอาชนะเด็กชายได้อยู่หมัด หลังเหล่มองบิดาผู้ให้กำเนิดอยู่นานก็หลุดคำถามที่ทำให้ผู้ถูกถามนึกขัน “ทำไมพ่อถึงแต่งงานกับแม่นะ”
พ่อเคยทำให้แม่มีความสุขบ้างหรือเปล่า
คนเป็นพ่อเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ชั่วขณะนั้นช่างยาวนานเหลือเกินสำหรับเด็กชายผู้มีความสงสัยใครรู้อยู่เต็มเปี่ยม ชิกาไดคิดถึงวันหนึ่งในฤดูร้อนที่พ่อกลับบ้านเร็วกว่าปกติและพยายามแย่งตักนิ่มๆ ของแม่ไปจากเขาจนต้องเปิดสงครามย่อมๆ ซึ่งลงท้ายด้วยการถูกบังคับให้รอมชอมทั้งสองฝ่าย ไม่ยุติธรรม ในเมื่อพ่อชอบยึดตัวแม่ไว้คนเดียวเรื่อยๆ อยู่แล้วก็ควรเสียสละให้เขาถึงจะถูก เด็กชายตัวน้อยนึกงอนป่องขณะเสียงเครื่องชาเซรามิกกระทบกันแผ่วๆ ดึงกลับสู่สภาวะปัจจุบัน ผู้เป็นมารดากำลังรินน้ำใส่แก้วเขาอย่างละเมียดละไม สีเขียวของชาค่อยๆ ละลายตัวและหมุนวนไปตามน้ำซึ่งเข้าไปแทนที่ความว่างเปล่าก่อนหน้า ไอระอุอังใบหน้าจนความอบอุ่นซึ่งเข้ามาต่อสู้กับอากาศเย็นๆ ของฤดูหนาวกลายเป็นความร้อนไป
บางทีแม่ก็จะใช้ชุดชงชาแบบกึ่งเต็มพิธีการ แต่ดูเหมือนวันนี้เวลามีไม่พอเท่าไหร่จึงกลายเป็นแบบเฉพาะกิจ บ้านเขาวุ่นวายตั้งแต่เช้าจากการทำความสะอาดรับปีใหม่อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ชิกาไดเป่าลมหายใจจนชาอุ่นๆ เป็นควันขาว เพราะได้ยินแม่เตือนก่อนแล้วจึงจิบด้วยความระมัดระวังแต่ความร้อนของมันก็ยังทำให้ลิ้นชา คิ้วพลันขมวดย่นเข้าหากันยุ่ง ออกจะรำคาญอยู่ไม่น้อย น่าเบื่อจริง เจ้าตัวบ่นอุบอิบก่อนวางแก้วลงอย่างเก็บอาการ มือหันมาคีบขนมใส่ปากพลางเคี้ยวตุ้ย รสหอมหวานของโยกังช่ำน้ำหลอมไปทั่วปากช่วยให้ลิ้นพองทุเลาลง เด็กชายตัวน้อยเริ่มเพลิดเพลินกับขนม จังหวะเดียวกับที่พ่อนึกอยากจะตอบคำถามเขาขึ้นมา
“อยากรู้จริงๆ น่ะเหรอ แล้วลูกเคยถามแม่ไหมล่ะว่าทำไมถึงแต่งงานกับพ่อ” เคยอยู่แล้วล่ะครับบุตรชายผู้ถอดแบบกันมาคิดพร้อมพยักหน้ารับ แต่ดวงตาของบิดาก็ยังคงว่างเปล่าอยู่นั่นเอง อย่างน้อยก็ควรมีสักวูบหนึ่งที่คิดสงสัย หากเพราะเป็นนินจาระดับสูงและถูกฝึกมาให้ความรู้สึกไม่แสดงออกชัดเจนจนเคยชิน ผนวกกับนิสัยส่วนตัวด้วยแล้ว จึงกลายเป็นความเฉยชาในสายตาของบุตรชายไป ความจริงแล้วมันสมองของโคโนะฮะ ชายที่แม้แต่นินจาต่างหมู่บ้านยังนับถืออย่างนารา ชิกามารุอยากรู้ไม่น้อย เทมาริเป็นคนเดียวที่เข้ามาในหัวใจคนอย่างเขาได้ แม้เขาจะช่างเบื่อหน่าย ขี้รำคาญ แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนที่รักอย่างไรก็อยากรู้เพิ่มอีก ถึงตัวเขาเองรู้มาโดยตลอดอยู่แล้ว วันนั้นโคโนะฮะงาคุเระมีหิมะตกหนัก เป็นวันก่อนเทศกาลรินเนะพอดิบพอดี เกล็ดน้ำแข็งสีขาวโรยรายลงมาหนาตา เราสองคนเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขาที่เครื่องทำความร้อนบุโรทั่งใช้การไม่ค่อยจะได้ ลมหายใจละลายออกมาเป็นไอขาวก่อนจะมลายหายไปกับอากาศโดยรอบ เธอนั่งบนตักเขา ห่อตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา มือประคองแก้วกาแฟเพื่อให้ความร้อนซึมซาบออกมาจนร่างกายอุ่นขณะกวาดสายตาอ่านรายงานระหว่างหมู่บ้านที่ได้รับมอบหมายมาให้ทำร่วมกัน นึกแล้วก็ยังขำใบหน้าเหรอหราของหญิงสาวไม่หายเมื่ออยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้น
“นี่ รักนะ” ทั่วทั้งห้องตกอยู่ใต้ความเงียบชั่วครู่หนึ่ง ถ้าถามเทมาริว่าอะไรน่าตกใจที่สุด เธอคงตอบออกไปว่าช่วงเวลาที่เขาบอกรักนั่นแหละ – นารา ชิกามารุปากแข็ง หัวดื้อ และรั้นเกินกว่าที่แสดงภายนอกนัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเป็นผู้ชายปากหนักพูดคำว่ารักกับเทมารินับครั้งได้ – ถ้าไม่บอกรักผู้หญิงบ้างนะ เธอก็จะรออยู่อย่างนั้นแหละ รอจนเบื่อพอสักวันก็จะวิ่งหนีไป – ชิกามารุได้ยินมาจากอิโนะ ทำให้หวนนึกได้ว่าแทบไม่เคยบอกรักผู้หญิงของตัวเอง ด้วยคิดว่าหญิงสาวคงเข้าใจทุกการกระทำที่เกิดขึ้นว่าเธอมีความหมายต่อเขามากแค่ไหน เพราะชิกามารุรู้อยู่เสมอมา ทุกสิ่งที่เทมาริทำล้วนให้ความสำคัญกับใครเป็นอันดับแรก มือน้อยๆ ของเธอโอบอุ้มเขาออกจากหลุดดำมืดทุกครั้งที่เขากำลังจะจมลง ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว มือคู่นั้นปลอบประโลมและปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้มลายหายไป เขาทั้งหลงเธอ ทั้งคลั่งไคล้เธอจนแทบบ้า รักจนถอนตัวไม่ขึ้น
แต่ชิกามารุคงจะไม่บอกลูกชายที่อายุยังถึงแปดขวบของตัวเองแบบนั้นหรอก“แม่เขาตอบว่ายังไง พ่อก็ตอบอย่างนั้นแหละ”
‘หา… อะไรนะครับ’ ดวงตากลมโตเฝ้ามองบิดาหวังคำอธิบายที่กว้างกว่าเพิ่มเติม หากต้องตัดใจ แม้จะเคยถามมารดาเพราะสงสัยว่าทำไมแม่ถึงแต่งงานกับคนอย่างพ่อมากกว่าก็จริง ทว่าจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้คำตอบ หากนั่นเป็นครั้งแรกที่ชิกาไดเห็นใบหน้ามารดาแดงก่ำด้วยความเขินอาย ถัดมาแม่ก็ดึงเขาเข้าไปในวงแขนนุ่มนิ่มคล้ายจะบ่ายเบี่ยงเพราะเมื่อแม่ทำแบบนั้นทีไรเขาก็เลิกทำตัวมีปัญหา ลืมเรื่องทั้งหมดทุกทีไม่ว่าจะเรื่องน่าเบื่อน่ารำคาญหรือสิ่งกวนใจ เหมือนถูกปราบพยศ แต่พ่อคงไม่ได้แต่งงานกับแม่เพราะอย่างนี้หรอกใช่ไหม มันสมองของอัจฉริยะตัวน้อยผู้ฉลาดเป็นกรดพยายามเค้นหายุทธวิธีให้ได้ซึ่งข้อแถลงไขสิ่งที่ตนสงสัย นัยน์ตาสีเขียวครามเป็นประกายเข้มขึ้นยามใช้ความคิด
“ยังสงสัยอยู่อีกเหรอ คุณแม่เขาเขินแย่แล้ว ดูสิ” รอยยิ้มบางๆ ที่ต้องเพ่งพิศให้ดีถึงจะเห็นมันแต้มอยู่บนใบหน้าคมสันขณะกำลังคลอนศีรษะบุตรชายคนเดียว เด็กชายเหล่มองตามคำของบิดา ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่พ่อพูดนะครับ เห็นชัดอยู่ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดกำลังตีสีหน้าเรียบเฉยขณะลงมือเก็บถ้วยชามเตรียมเดินเข้าห้องครัว ก่อนจะตามมาด้วยประโยคที่เรียบดุจเดียวกับใบหน้า ราวกับเมื่อครู่เขาไม่เคยเอ่ยอะไรที่พาดพิงไปถึงเลยแม้แต่น้อย
“ไปทำความสะอาดกันได้แล้ว ทั้งพ่อทั้งลูกเลย”
เมื่อได้ยินถ้อยประกาษิตจากภรรยา ก็มีแต่ต้องลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นเท่านั้น ถ้ามีอะไรที่ทำให้หัวหน้าโจนินของหมู่บ้านไม่แม้แต่จะกล้า – ในบางเรื่องน่ะนะ – ก็คงเป็นผู้หญิงที่บ้านนั่นเอง ครั้งหนึ่งโฮคาเงะรุ่นเจ็ดเคยเปรยถึงขณะกำลังเมามายได้ที่ในงานสังสรรค์ระหว่างเพื่อนร่วมรุ่น หรือเรียกให้ถูกคืองานปรับทุกข์ของพวกไม่กล้าหือกับเมีย นารุโตะกระดกสาเกรวดเดียวก่อนพูดเสียงยานคาง แถมยังมีกระแสยั่วเย้าแอบซ่อนอยู่ ชิกามารุวางแผนยุทธวิถีให้โคโนะฮะได้เปรียบมานับร้อยๆ แผน แต่ก็ยังวางแผนชนะเทมาริซังไม่ได้สักกะแผน ช่างเป็นสามีในโอวาท แล้วก็หัวเราะร่วนออกมา ก็นะ อย่าให้เริ่มเรื่องของนายกับฮินาตะเลย เสียหน้าโฮคาเงะแห่งโคโนะฮะหมด ชิกามารุหัวเราะสั้นๆ ในลำคอ วันที่โคโนะฮะถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวราวกับผืนพรมหวนกลับมาในห้วงความคิดอีกครั้ง สัมผัสอันอบอุ่นท่ามกลางความหนาว ละมุนละไมจนตราตรึงฝังแน่นในความทรงจำ ตอนนั้นเขาจูบเธอหลังบอกว่ารัก มันเป็นรสของครีมและกาแฟคั่ว ชวนให้เสพติด เขาขาดเธอไม่ได้อีกต่อไป อันที่จริงเขาขาดเธอไม่ได้มานานแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของภรรยาออกไปอย่างเรียบเฉยเท่าที่ผู้ชายปากแข็งคนหนึ่งจะสามารถแสดงออกมา
บางครั้งชิกามารุก็เคยคิด เรื่องทั้งหมดของเรามันเกิดขึ้นจากอะไร
1.
“อาจจะกะทันหันไปนิด แต่พวกเธอได้รับการเสนอชื่อให้เข้าสอบจูนิน” ถึงซารุโทบิ อาสึม่า โจนินประจำทีมจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่จางๆ เพื่อให้เรื่องที่เพิ่งประกาศดูตื่นเต้นมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่อาจซื้อความสนใจจากเด็กชายไปได้ บุตรชายคนเดียวของหัวหน้าตระกูลนาราสูญเสียสิ่งที่เด็กในรุ่นราวคราวเดียวกันมีไป นั่นคือความกระตือรือร้นรวมทั้งแรงจูงใจไว้คอยกระตุ้นผลักดัน ลูกศิษย์เขาเหมือนคนกร้านโลก ผ่านอะไรมามากจนมั่นคงและเฉยชา แต่แท้จริงก็ยังเป็นเพียงเด็กชายที่เฝ้าแสวงหาความสงบในชีวิต หากอาสึม่ามั่นใจว่าถ้าเด็กชายบ้านนาราผู้มีสติปัญญาล้นเหลือเกิดจริงจังขึ้นมาก็จะโดดเด่นยิ่งกว่าใคร นารา ชิกามารุมีความรับผิดชอบสูง ตรงไปตรงมาและจิตใจดีแม้เจ้าตัวจะไม่ทันรู้สึกเลยก็ตาม แค่เพราะทายาทตระกูลนาราคนนี้ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากจึงไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวเท่านั้น ที่เบื่อหน่ายต่อเรื่องรอบตัวเพราะนิสัยส่วนที่อยากแสวงหาความสงบสุขขัดแย้งกับนิสัยส่วนที่อยากรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ มากเกินไป หากด้วยนิสัยช่างเบื่อหน่ายนั่นก็ทำให้เด็กชายบ้านนาราสุขุมเยือกเย็นได้ยิ่งกว่านินจาคนไหน ความสามารถทั้งหมดเพียงแค่ถูกเก็บซ่อนไว้หลังกำแพงรอให้เจ้าของเต็มใจไขกุญแจเปิดด้วยตัวเอง ก็นิสัยของชิกามารุเป็นเช่นนั้นเอง
ใบหน้าของลูกศิษย์คนโปรดระอาสุดขีด แม้อาสึม่าจะพยายามชักจูงบทสนทนาให้ดึงดูดใจแค่ไหนก็ตาม
ตลอดอายุสิบสองปีของนารา ชิกามารุ ช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่าเบื่อน่ารำคาญไม่ว่าจะเป็นการตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งฟังแม่พร่ำบ่นบนโต๊ะอาหาร เวลาที่มีใครก็ตามมารบกวนตอนกำลังนอนดูเมฆสบายอารมณ์ พวกชอบออมมือให้เวลาเล่นโชหงิ ฝนตกเฉอะแฉะ ภารกิจทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ผู้หญิงซึ่งนอกจากแม่แล้วก็จะไม่ขอเฉียดกรายเข้าไปใกล้เลยถ้าเป็นไปได้ แล้วก็อะไรอีกนะ จะมานั่งสาธยายก็ใช่ที่ น่าเบื่อจริง ชีวิตนี้ก็ด้วย ช่างน่าเบื่อดีแท้
เรื่องที่เพิ่งได้ฟังจากปากของโจนินประจำทีมก็ไม่ต่างกัน มันสร้างความรำคาญใจให้ชิกามารุได้พอตัว เพราะเด็กชายผู้ยังหาคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่ไม่เจอโดยหวังเป็นนินจาเพื่อไม่ให้ชีวิตตัวเองน่าเบื่อ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมหรือคล้อยตามไปกับอาสึม่าเซนเซเหมือนเพื่อนร่วมทีมทั้งสองเลยแม้เพียงนิด นอกเสียจากจะแสร้งทำเป็นเหม่อมองท้องฟ้าตามความเคยชินเพื่อหลีกเลี่ยงการออกความคิดเห็น ซึ่งเขาที่เป็นส่วนหนึ่งในทีมจะต้องแสดงทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย เกะนินทีมสิบเน้นการทำงานเป็นทีม แต่ถ้าพูดกันตามจริงนินจาส่วนใหญ่ก็เน้นความสามัคคีในหน่วยมาอันดับแรก ฉะนั้นการสอบจูนินจำต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิกทุกคน มิเช่นนั้นก็เป็นอันต้องล้มพับไป อาสึม่าถึงจดๆ จ้องๆ เขาเป็นพิเศษด้วยกลัวเจอคำว่าน่าเบื่อ
“ชิกามารุ ตั้งใจหน่อยสิ” อุตส่าห์ใช้ชื่อตัวเองเป็นประกันให้ศิษย์ทโมนพวกนี้ได้แสดงความสามารถในสนามจริง ไม่มีอ่อนข้อ อดีตสิบสองนินจาองครักษ์ก็ต้องลงทุนโน้มน้าวพ่อตัวดีของทีมให้เห็นด้วยเสียก่อน อาสึม่าเอ่ยเสียงเข้มพลางชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เมื่อเห็นชิกามารุเงยหน้าขึ้น ดังนั้นภาพท้องฟ้าแต้มปุยเมฆสีขาวที่ควรจะปรากฏแก่สายตาเหนื่อยหน่ายจึงถูกแทนด้วยใบหน้าหนวดเฟิ้มซึ่งเด็กชายไม่สู้จะพอใจนัก แน่นอนว่าเซนเซกำลังต้องการคำตอบว่าเขาเต็มใจหรือเห็นด้วยที่จะร่วมสอบจูนินหรือไม่ แต่ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ก็คือคำตอบของเขา
“ไม่หรอก น่าเบื่อ”
“ชิกามารุ!” เจ้าของชื่อที่ยามานากะ อิโนะ คุโนะอิจิเพียงหนึ่งเดียวในทีมขึ้นเสียงใส่ยังคงตีหน้าเรียบเฉย แม้เด็กหญิงผู้กระตือรือร้นกับเรื่องสอบจูนินมากเกินธรรมดาจะตวัดสายตามองซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางหันไปอุทธรณ์กับอาสึม่า ซึ่งเคยชินกับสภาวการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี และก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องโน้มน้าวให้ชิกามารุคล้อยตามความประสงค์ของทุกคนในทีม เห็นดังนั้นทายาทตระกูลนาราจึงเริ่มหันหาแนวร่วมอย่างเด็กชายจากตระกูลอาคิมิจิ ทว่าคาดผิดถนัด อาคิมิจิ โจจิก็ทำหน้าลำบากใจคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่อาจมีความกล้าเพียงพอ นั่นเป็นเหตุให้ชิกามารุใจอ่อนลงแค่ชั่วหัวใจเต้นจังหวะเดียว สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือเห็นเพื่อนสนิทกระอักกระอ่วน ขาดความมั่นใจแบบนั้น มันกระตุ้นให้เขาต้องยอมรับการเข้าร่วมสอบจูนินอย่างเสียไม่ได้ เด็กชายจอมเบื่อหน่ายถอนหายใจออกมากับสายลมเอื่อยที่สัมผัสต้องแก้ม เหม่อมองท้องฟ้ากว้างที่ดูแจ่มใสกว่าทุกทีอย่างอาลัยอาวรณ์ ดวงอาทิตย์ออมแสงสีซีดตัดผ่านเส้นขอบของกลีบเมฆขณะนกลอยเล่นลมอยู่ใต้อากาศปลอดโปร่งพลางส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
‘สงบสุขจังน้า เป็นเมฆเนี่ย’ คิดแล้วก็เสียดายแต่อย่างไรชิกามารุก็ต้องรีบตัดบทโจนินประจำทีมของตนด้วยสีหน้าหน่ายเซ็ง ก่อนเซนเซจะเริ่มร่ายยาวถึงเรื่องที่เขาไม่ใคร่อยากจะฟังอย่างความสำคัญของการสอบจูนิน ‘บลาบลาบลา’ ยาวยืด หัวหน้าโจนินหมู่บ้านโคโนะฮะคนปัจจุบันคือคนจากตระกูลนารา หรือพูดให้ถูกก็หัวหน้าตระกูลนารา บิดาของชิกามารุ พ่อเคยพูดเรื่องสอบจูนินกับเขาครั้งหนึ่ง ถ้าต้องฟังอีกรอบคงน่าเบื่อแย่ เมื่อเด็กชายตัดสินใจแล้วก็จะไม่มีลังเลอีกต่อไป – “ครับๆ เข้าใจแล้วครับ ผมไม่มีปัญหา ไม่ขัดข้อง ไม่อะไรทั้งสิ้น เชิญตามสบายครับ” – เป็นอันว่าต้องสอบจูนิน ต่อให้ยึกยักบ่ายเบี่ยงสุดท้ายแล้วมันก็ต้องเกิดขึ้นจนได้
แล้วใครเป็นคนเริ่ม
2.
แค่ตัดสินใจเข้าสอบเพื่อตัดรำคาญ แต่กลับกลายเป็นว่านารา ชิกามารุเกิดแรงฮึดอันน้อยนิดขึ้นมาเสียดื้อๆ และพาตัวเองมายืนอยู่ในการประลองทัวร์นาเม้นท์รอบสุดท้ายของการสอบจูนินได้อย่างไม่น้อยหน้า ดวงตาคมกริบเจืออารมณ์เนือยๆ ของเด็กชายถูกตรึงอยู่กับการประลองคู่แรกที่กำลังดุเดือดขึ้นทุกชั่วขณะ ทั่วทั้งสนามลืมหายใจด้วยความลุ้นระทึก หากถามชิกามารุว่าเอนเอียงทางฝ่ายไหนก็คงหนีไม่พ้นคำตอบที่ว่าน่าเบื่อ ถึงกระนั้นก็ยังอดดีใจไม่ได้เมื่อผลออกมาในชื่ออุซึมากิ นารุโตะ เป็นความจริงว่านารุโตะคือเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งหากพูดว่าสนิทก็คงติดจะแปลกใจอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ยังถือเป็นเพื่อนคนสำคัญที่ไม่รู้สึกกังขาเลยถ้าต้องเอาใจช่วยให้ได้รับชัยชนะ ยิ่งระยะหลังร่วมหัวจมท้ายเผชิญหน้ากับทานุกิหัวแดงจากซึนะก็สนิทมากกว่าเดิม เมื่อก่อนเพียงเรียนร่วมห้อง อาจมีร่วมก๊วนโดดเรียนไปด้วยกัน แต่เนื่องจากความเบื่อหน่าย – อันเกินจะหยั่งได้ – ชิกามารุจึงไม่ใคร่สนใจสิ่งรอบตัวสักเท่าใดนัก พอเริ่มทำความรู้จักมากขึ้นจากสถานการณ์ต่างๆ ก็เพิ่งตระหนักว่านารุโตะเจิดจ้าดุจดังดวงอาทิตย์อันอบอุ่นที่สาดแสงอย่างยุติธรรมเพื่อทุกคน หมอนี่เป็นคนดีคนหนึ่ง แล้วเขาก็ยินดีอย่างยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเก่งกาจจนเอาชนะฮิวงะ เนจิ รูกี้อันดับหนึ่งของปีที่แล้ว คุณชายแห่งฮิวงะไปได้อย่างสมศักดิ์ศรี
“เฮ้ยมันชนะจนได้แฮะ นึกว่ามันจะเป็นพวกดาวร่วงเหมือนเราซะอีก”
ถ้อยคำหยอกเย้าของชิกามารุสร้างความแปลกใจให้แก่อาบุราเมะ ชิโนะเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนไม่น้อย แม้ดวงตาของเด็กชายจากบ้านอาบุราเมะ ตระกูลเก่าแก่ผู้ใช้แมลงแห่งหมู่บ้านโคโนะฮะจะถูกปิดทับด้วยแว่นกันแดดทรงกลม แลดูลึกลับจนไม่อาจตีความได้ว่ารู้สึกเช่นไร หากคงกำลังประหลาดใจกับบางคำในประโยคของอีกฝ่ายเมื่อเจ้าตัวเอ่ยทวนออกมาเสียงเรียบ “พวกดาวร่วง?” – ชิโนะไม่แสดงความรู้สึกของตนออกมาฟุ่มเฟือย เด็กชายบ้านนาราเองก็มักเปิดเผยแต่ด้านที่ชอบเบื่อหน่ายสิ่งรอบตัว หากทั้งสองคนต่างรู้จักซึ่งกันและกันดีกว่าที่แสดงออกภายนอก พวกเขายินดีกับอุซึมากิ นารุโตะทั้งในฐานะเพื่อนและนินจาโคโนะฮะงาคุเระ ต้องยอมรับว่าจำนวนนินจาซึ่งชนะการประลองของแต่ละหมู่บ้านจะเท่ากับความไว้วางใจที่มากขึ้นจากไดเมียวรวมถึงบรรดาผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้ยังข่มขวัญหมู่บ้านอื่นในด้านศักยภาพการต่อสู้ เป็นประหนึ่งเกราะกำบัง ถ้าแสดงความสามารถออกมามากหมู่บ้านก็ยิ่งได้ผลประโยชน์
“ก็คนกรี๊ดกร๊าดขนาดนั้นหยั่งกะพวกดาวรุ่งแน่ะ ดีไม่ดีฉันจะไม่มีทางชนะมันเอานา แย่แน่งานนี้” ชิกามารุพูดทีเล่นทีจริง แต่ดูท่าจะเป็นอย่างแรกเสียมากกว่า เพราะเหมือนใบหน้าเหนื่อยหน่ายนั้นกำลังฉีกยิ้มอย่างยินดีอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเข้าไปตบบ่าผู้ชนะในการต่อสู้รอบแรกที่เพิ่งโดดขึ้นมาบนชานระเบียงพักคู่ประลองเต็มแรง ฝ่ายนารุโตะก็ยิ้มร่าพลางพูดเสียยกใหญ่ถึงความรู้สึกบนสนามเมื่อครู่ พูดเสียเนิ่นนานจนความจริงที่ว่าการประลองรอบต่อไปยังไม่สามารถเริ่มประลองได้เนื่องจากอุจิวะ ซาสึเกะไม่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เริ่มคลืบคลานเข้ามา เด็กทั้งสองจึงยุติบทสนทนาอันตื่นเต้นนั้นลง ความวิตกกังวลคุกคามเข้ามาแทนที่เหมือนเนื้อร้าย มันแผ่ออกมาเจือปนกับบรรยากาศกดดันโดยรอบเหมือนกลุ่มอากาศอิสระ
เสียงพูดคุยจอแจเริ่มดังออกมาจากฝั่งคนดูและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนนินจาคุมสนามนึกวิตกถึงเวลาแห่งการรอที่ดูเหมือนจะยืดเยื้อตราบเท่าที่อุจิวะ ซาสึเกะ นินจาผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวของตระกูลอุจิวะไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวขึ้นมาในเวลาอันกระชันชิดนี้ และการแก้ปัญหาขั้นสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการให้อุจิวะคนสุดท้ายหมดสิทธิ์การสอบจูนินรอบจริงอย่างเสียไม่ได้ ในฐานะนินจาการตรงต่อเวลาและความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผู้เพิกเฉยต่อสามัญสำนึกพื้นฐานเหล่านั้นจะยังมีสิทธิ์เป็นจูนินอยู่อีกหรือ นั่นคือสิ่งที่นินจาระดับสูงของโคโนะฮะงาคุเระกำลังหยิบยกประเด็นถกเถียงกันเพื่อให้การประลองซึ่งยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงเพราะเกะนินคนเดียวมิอาจตระหนักถึงหน้าที่รับผิดชอบ หากทว่าผู้คนทั่วทั้งสนามประลองต่างต้องการชมมวยคู่เอกของวันนี้ทั้งสิ้น เงินเดิมพันกำลังพุ่งสูงและความกดดันจากไดเมียวก็บีบให้เจ้าหน้าที่คุมสอบต้องรีบตัดสินใจเร็วขึ้นกว่าเดิม เลื่อนการสอบหรือตัดสิทธิ์ อย่างไรก็ต้องเลือก
สำหรับชิกามารุที่มั่นใจเต็มร้อยว่าเคยคุยกับซาสึเกะแทบนับคำได้ก็แอบวิตกไปกับสภาวการณ์นี้เช่นกัน เขาไม่ได้สนิทกับอุจิวะนั่นนักหรอก ถ้าเทียบกับนารุโตะที่มักจะโดดเรียนไปเกลือกกลิ้งอยู่ที่โรงฝึกของโรงเรียนนินจาแล้วยังถือว่าสนิทกว่ากันมาก แต่จะพูดอย่างไรดี ก็คงเหมือนกับนารุโตะที่ไม่ว่ายังไงก็ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่น เป็นเพื่อนคนสำคัญที่เรียนด้วยกันมา ฝึกด้วยกันมา เล่นด้วยกันมา กินข้าวด้วยกันมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงสวัสดิภาพและสิทธิ์ของซาสึเกะ อีกประการหนึ่งความสามารถของอุจิวะผู้ถือครองเนตรวงแหวนคู่สุดท้ายมากพอให้โคโนะฮะงาคุเระเป็นหมู่บ้านน่ายำเกรง ดังนั้นหากโอกาสแสดงขีดจำกัดทางสายเลือดเก่าแก่ต้องมลายหายไปก็คงน่าเสียดายไม่น้อย “หมอนั่นมัวทำอะไรอยู่ คิดจะโดดร่มรึไง”
“สัปปุรุษมิกรายใกล้ภัยพาล ก็ตัดสินใจได้ฉลาดดีแล้วนี่” ไม่มีเสียงตอบกลับไปยังอาบุราเมะ ชิโนะผู้เป็นเจ้าของประโยคเล่นสำบัดสำนวนเมื่อครู่ แม้ชิกามารุจะรู้ว่าเพื่อนพยายามสื่อสิ่งใด แต่เขาพึงใจเลือกใช้ความเงียบเป็นเสมือนคำตอบ เด็กชายบ้านอาบุราเมะก็ปล่อยผ่านเพราะเข้าใจอากัปกิริยานิ่งเงียบนั้นดีว่าอย่างไรถ้อยคำของตนคงส่งถึงอีกฝ่ายแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเกะนินจากทีมสิบเสมองลงไปยังสนามประลองเพื่อรอการมาถึงของอุจิวะ ซาสึเกะ หากไม่มีสิ่งใดรับรองได้แน่นอนว่าอุจิวะผู้เหลือรอดจะรีบรุดมา ไม่สิ ถ้าจะพูดกันจริงๆ ล่ะก็ มีอยู่คนหนึ่งที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ชิกามารุคาดการณ์ไว้ไม่ผิด เมื่อนารุโตะพูดออกมาด้วยแววตาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นล้นปรี่ ซาสึเกะโชคดีใช่เล่นที่มีคนเชื่อใจมากถึงเพียงนั้น
“พูดอะไรของพวกนาย หมอนั่นน่ะต้องมาอยู่แล้ว”
ไม่เพียงแค่แววตามั่นใจหนักแน่น แต่เด็กชายเจ้าของดวงตาสีฟ้าใสยังใช้สายตาเหลือบมองไปยังใครบางคนที่ชิกามารุจำได้แม่นว่าถือครองความสามารถควบคุมทราย ทั้งจิตใต้สำนึกยังบอกอีกว่าทางที่ดีที่สุดอย่าได้เฉียดกรายเข้าไปใกล้หมอนี่เป็นอันขาด – กาอาระ อสูรผู้รักตัวเอง นินจาจากทะเลทราย – เขาไม่เข้าใจกับท่าทีนั้นของนารุโตะจึงได้แต่สลับสายตาจ้องเขม็งไปยังคนทั้งคู่ จนท้ายที่สุดก็ถูกดึงความสนใจลงไปเบื้องล่างครั้นเหลือบไปเห็นนินจานายหนึ่งกำลังกล่าวบางสิ่งกับผู้คุมลานประลอง ความสงสัยใคร่รู้ถูกจุดประกายขึ้นท่ามกลางความนึกคิด เหมือนหยดน้ำที่หยดลงกระทบผิวแล้วแผ่กระแสคลื่นออกไปเป็นวงกว้าง ความเคลือบแคลงระบายอยู่บนดวงตาคมกริบขณะจับจ้องเจ้าหน้าที่คุมสอบไม่กระพริบ มันโชนแสงทั้งยังดูวาวโรจน์ขึ้นยามเจ้าตัวจริงจัง ทำให้เด็กชายขึงขัง น่าเกรงขามและพึ่งพาได้ในเวลาเดียวกัน ชิกามารุยังคงจดจ่อกับความเป็นไปเบื้องหน้า คล้ายเวลาเป็นดังสายลมพัดผ่าน รอบด้านเหมือนจะหยุดนิ่งยามสายวายุสงบเงียบ หากเมื่อมันเริ่มก่อตัวเหตุการณ์รอบข้างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปมแห่งความสงสัยของเขาคงอยู่ได้ไม่นานก็ถูกคลายลงเมื่อสิ่งที่นินจาสองนายด้านล่างคุยกันถูกประกาศออกมาเสียงดัง เพื่อให้คนทั่วทั้งสนามประลองได้ยินกันอย่างทั่วถึง “ทุกท่าน เนื่องจากผู้เข้าประลองในรอบนี้ยังมาไม่ถึง ดังนั้นเราจะขอเลื่อนการประลองคู่นี้ไปก่อนให้คู่ประลองถัดไปเริ่มแทน!”
“…!!” ความตกใจระคนปนเปไปกับความโล่งใจ ชิกามารุตกใจที่เหล่านินจาผู้ควบคุมการสอบเปลี่ยนกฎให้แก่ซาสึเกะ สุดท้ายก็หลงเหลือเพียงความโล่งใจที่เพื่อนคนนี้ยังมีสิทธิ์ประลองต่อ หากเมื่อความรู้สึกเหล่านั้นหมดไป เขากลับเริ่มรู้สึกเป็นห่วงตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถ้าลองรูปการเป็นอย่างนี้การประลองของเขาต้องถูกเลื่อนเข้ามา – ไวกว่าความคิด “งั้นการประลองของฉันก็เขยิบใกล้เข้ามาอีกน่ะสิ” – พอนึกถึงคู่ประลองของตัวเองแล้วก็หน่าย เธอเป็นผู้หญิง – เด็กชายบ้านนาราถือคติไม่ว่าจะกับเรื่องอะไรห่างไกลจากเพศตรงข้ามได้เป็นดี แต่เขาไม่เข็ดขยาดจนถึงขั้นเหยียดเพศ เหตุที่รำคาญเมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ของตนเป็นสตรีเพศก็หาใช่เพราะดูถูก การทำร้ายผู้หญิงไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงไหน ทั้งการกระทำ คำพูดกระทั่งความคิดล้วนแล้วแต่แย่ แม้จะเจตนาหรือไม่ จะเป็นหน้าที่หรืออะไรก็ไม่สมควรนำมาเป็นข้ออ้างให้ปฏิบัติทั้งสิ้น – เช่นนี้ถึงได้น่ารำคาญ
ดวงตาคมกริบของชิกามารุถูกเคลือบด้วยความเบื่อหน่ายดังเช่นทุกที ใบหน้าแสดงออกซึ่งความไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน ดีใจก็ดีใจอยู่หรอกที่ซาสึเกะยังได้ประลอง ยังไงเสียเขาก็อยากดูอยู่ด้วย แต่จะให้ประลองกับผู้หญิงเร็วขึ้นเนี่ยไงๆ ก็ไม่อยากทำใจยอมรับหรอกนะ ตอนเข้ารอบจริงก็ดีใจอยู่หรอกแต่สายทัวร์นาเม้นท์ต้องสู้เยอะกว่าคนอื่น แถมยังโดนเปลี่ยนคู่อยู่คนเดียวอีก ดีอย่างตรงได้สู้เท่ากับคนอื่นเขา แต่กลับเปลี่ยนมาให้สู้กับผู้หญิงซะอย่างนั้น บ่นเป็นหมีกินผึ้งเสร็จก็รีบหันไปหาแนวร่วมอย่างอาบุราเมะ ชิโนะที่ดูเหมือนจะรับผลกระทบมากที่สุดเพราะอยู่ในฐานะคู่ประลองรอบต่อไป
แต่ท่าจะสายเกินไป “คู่ประลองคู่ต่อไปคันคุโร่กับอะบุราเมะ ชิโนะ ลงมาได้แล้ว!”
เสียงประกาศเรียกคู่ประลองดังขึ้นก่อนที่ชิกามารุจะทันได้อ้าปากพูดเสียอีก และไม่ว่าเสียงเรียกนั้นจะฟังดูกราดเกรี้ยวน่ากริ่งเกรงสักเพียงไหนอาบุราเมะ ชิโนะก็ยังคงสงบนิ่งดุจพระพุทธรูปหิน นั่นทำให้ชิกามารุเลือกยุติบทสนทนาที่กำลังจะเกิดลง เรียบเฉยถึงขั้นนั้นใจก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้วกระมัง อารามผิดหวังทำให้เด็กชายหน้าเบ้ ดวงตาคมกริบจ้องมองปุยเมฆที่เริ่มทอประกายรับแสงดวงอาทิตย์ แม้ไม่เชื่อเรื่องโชคลาง แต่เหมือนโชคดีจะไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลยเพราะถ้อยคำสั้นๆ ที่ชิกามารุได้ยินในอีกไม่กี่อึดใจต่อมาจากนินจาแห่งซึนะ คู่ประลองของเด็กชายบ้านอาบุราเมะ แถลงความจริงแล้วว่าวันนี้เขาช่างไร้โชค – “ผมสละสิทธิ์!”
จะมีอะไรที่โชคร้ายกว่านี้อีกไหม หากถัดจากนั้นเพียงชั่วลมหายใจเดียวชิกามารุก็ได้รับคำตอบทันที คุโนะอิจิจากซึนะ คู่ประลองของเขารีบปลดอาวุธอันมโหฬารก่อนสะบัดอย่างแรง เรียกกระแสลมมหาศาลเพื่อหอบตัวเองลงไปยืนอยู่ด้านล่างสนามประลอง สายลมนั้นกราดเกรี้ยวไม่ต่างจากสีหน้าของผู้ควบคุมคาถา เธอจ้องหน้าท้าทายกลับมาโดยปราศจากความกลัวเกรง แถมยังเจือไว้ด้วยริ้วรอยแห่งความหงุดหงิด มันพุ่งเข้าหาชิกามารุราวกับคุไนล่องหนอันคมกริบซึ่งจะไม่มีวันพลาดเป้า ดวงหน้าสะสวยดูเย่อหยิ่ง ถือตัว อากัปกิริยาทุกอิริยาบถของเธอสง่าดุจนางพญา เธอต้องเป็นผู้หญิงประเภทเข้มแข็ง มั่นใจในตัวเองและมักสะดุดตาเพศตรงข้ามแน่
‘เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย จะมาฮึดอะไรกะฉัน ไปตายซะยัยบ้า แล้วทำไมมีแต่ฉันต้องโดนเปลี่ยนคู่ประลองอยู่เรื่อยเลย ปัทโธ่ งั้นสละสิทธิ์มั่งซิ’ ยังไม่ทันที่เด็กชายบ้านนาราจะได้ทำตามใจนึก มือที่เอื้อมมาสัมผัสด้านหลังก็ออกแรงผลักจนเขาสูญเสียการทรงตัว แม้จะพยายามหาวัตถุยึดเหนี่ยวแต่ด้วยเพราะไม่ทันตั้งตัวจึงไม่อาจคว้าสิ่งใดได้ทัน เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็นอนแอ้งแม้งอยู่ด้านล่างสนามประลองในสภาพเบื่อโลกสุดขีดเสียแล้ว นารา ชิกามารุถูกผลักตกลงมา ซึ่งต้นเหตุทั้งหมดก็คงหนีไม่พ้นอุซึมากิ นารุโตะที่กำลังส่งเสียงกระตุ้นเขาผู้หมดกำลังใจไปแล้วดังลั่น กระนั้นก็ยังแพ้เสียงสรรเสริญจากส่วนของผู้ชม ดังอื้ออึงทั่วสนาม ไม่ว่าใครต่างก็อารมณ์เสียสุดขีดกับการประลองของซาสึเกะที่ถูกเลื่อนไร้กำหนด พวกเขาจึงเริ่มก่อกวนทั้งยังแสดงความไม่พอใจด้วยวาจา “เฮ้ย เริ่มประลองกันได้แล้ว!” กอปรไปกับ “คู่พรรค์นี้น่ะสู้ๆ กันให้จบเร็วๆ เหอะ”
“จะนอนไปถึงไหนฟะ ลุกขึ้นไอ้หนู!” ได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่แสดงอาการเบื่อหน่ายอยู่แล้วก็บูดเบ้ ‘เฮ้อ ทีคู่ประลองซาสึเกะละอยากดู ทีคู่เราละเห็นเป็นมวยประกอบรายการ น่าเบื่อจริง ไม่อยากดูคู่ประลองฉันขนาดนี้ หมดไฟซะแล้วสิเรา…’
“อ้าว นายจะยอมแพ้เรอะนั่น” ทายาทตระกูลนาราได้แต่แหงนหน้าด้วยท่าทีอันสมฉายาจอมขี้เบื่อหมดไฟ หากทว่าเสียงซึ่งแทรกเข้ามาในโสตประสาทดังสะท้อนขึ้นท่ามกลางความคิดและอารมณ์ขุ่นมัวเสียก่อน กระแสเสียงยั่วเย้านั้นเรียกให้เด็กชายเหลือบสายตาที่ไม่สู้จะชอบใจขึ้นมอง เขาให้เห็นใบหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายชัดเจนทีเดียว ‘คู่ประลองก็เป็นผู้หญิงอีกละ…’ ชิกามารุไม่ได้ปฏิเสธเรื่องไม่ชอบผู้หญิง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่สามารถอธิบายความเบื่อหน่ายในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี ภาพที่ปรากฏแก่สายตายามแหงนมองมีเพียงเด็กสาวซึ่งเขาให้คำจำกัดความเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไปคือน่ารำคาญ และเขาก็เชื่อมั่นว่าตัวเองคิดไม่ผิดนัก ผู้หญิงคนนี้เป็นเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วๆ ไปแน่นอน – น่ารำคาญ ไม่มีเหตุผล เอาใจยากทั้งยังอารมณ์แปรปรวน – เด็กชายแกล้งทำหูทวนลมเมื่อคุโนะอิจิจากทะเลทรายกล่าวด้วยอากัปกิริยาที่แสดงออกว่าตั้งใจจะยียวนกวนประสาทเขาเต็มที่ หากทว่า – “ถ้านายไม่เข้ามาฉันเข้าไปเองก็ได้”
ฮะ ?
สายตาของชิกามารุจ้องคู่ประลองของตนครู่หนึ่ง ก่อนคิดอยากจะถอนคำพูดขึ้นมาจับจิต เมื่อเห็นคู่ประลองเงื้อพัดหมายมั่นปั้นมือว่าจะจัดการเขาให้จบในการโจมตีเดียว เขาผู้กำลังนอนหมดอาลัยตายอยากจึงต้องดึงคุไนออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้น่าเข็ดขยาดกว่าผู้หญิงทั่วไปพวกนั้นเยอะ จิตใต้สำนึกของเขาบอกโดยอัตโนมัติ เพราะหากเขาไม่หลบการโจมตีอันบ้าระห่ำมายืนอยู่บนคุไนซึ่งเกือบจะปักลงบนกำแพงลานประลองแทบไม่ทันก็ไม่อยากคิดสภาพศพของตนตอนถึงฆาตนัก – ในเวลานี้สภาพอารมณ์ของเด็กชายเริ่มเปลี่ยนไป ตอนนี้คุโนะอิจิตรงหน้าได้จุดอารมณ์การต่อสู้ที่หายไปของเขาคืนมา แม้ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากหลักการของเขาก็ตาม เขาถือว่าการเกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นเพศที่แข็งแรงกว่า เป็นผู้นำกว่าไม่ควรหงอกับผู้หญิง ดังนั้นการไม่ยอมสู้อย่างสมศักดิ์ศรีกับเพศน่าที่รำคาญ เอาแต่ใจ พูดมากทั้งยังอ่อนแออย่างผู้หญิงคนนี้ย่อมเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้เด็ดขาด หากชิกามารุเริ่มเอาจริงความสามารถทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ภายในจะถูกนำออกมา มันก็มีมากอย่างล้นเหลือ “ไอ้เรื่องจะได้เป็นจูนินรึเปล่าน่ะช่างหัวมันเฮอะ แต่เป็นผู้ชายจะให้แพ้ผู้หญิงได้ไง ลองซักตั้งก็ได้”
หัวใจกระตุก ชิกามารุสาบานได้ว่าเห็นรอยแย้มยิ้มอย่างยินดีแต้มอยู่บนริมฝีปากเล็กนั่น เขาเองก็ยินดีในฐานะผู้ชายที่ไม่อยากแพ้ผู้หญิงอย่างหมดรูปเพียงเพราะหมดแรงจูงใจในการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้ เรา จึงเลือกที่จะเริ่มประลองพร้อมกันทั้งคู่
つづく.
สวัสดีค่ะคุณคนที่หลงเข้ามา :-D
ฟิคนี้เคยลงไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อปี 2555 ในชื่อ Cloud and Wind story ค่ะ
ที่กลับมาลงอีกครั้งเพราะเป็นสัญญาของเกมลงทัณฑ์ซึ่งข้าพเจ้าแพ้
ไม่ต้องตกใจที่พอเปิดเรื่องมา Couple ก็ร่วมหอลงโลงกันแล้ว...
ข้าพเจ้าตั้งใจเขียนเรื่องโดยมีแก่นคือผ่านทางความทรงจำของตัวละคร
ตัวละครจะไม่เป็นผู้เล่าแต่เราจะย้อนกลับไปอยู่กับพวกเขา ฉะนั้นจึงต้องเริ่มตั้งแต่ต้น
เพราะมันจะมีรายละเอียดมากทีเดียว ตัวละครจะเติบโตและพัฒนาหลายสิ่งหลายอย่าง
จากหลายๆ เหตุการณ์ ข้าพเจ้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังกับการติดตามฟิคเรื่องนี้.
ข้าพเจ้าแต่งฟิคนี้เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
เพราะสงสัยว่าช่องว่างที่ขาดหายไปในแต่ละช่วงของนารุโตะจะเป็นยังไง
ฟิคเรื่องนี้ตั้งใจจะเล่าถึงช่องว่างระหว่างเวลาของชิกามารุและเทมาริที่อาจารย์ไม่ได้เขียน
ซึ่งแม้ว่านี่เป็นแค่แฟนฟิคชั่น แต่ก็ตั้งใจให้มันดำเนินไปตามมังงะทุกกระเบียด
ฟิคนี้จึงดำเนินเรื่องโดยอิงมังงะ และใส่เหตุการณ์ส่วนที่หายไปโดยไม่ให้สะดุด
ซึ่งข้าพเจ้าหวังว่าตัวเองจะทำแนบเนียนพอ
อยากให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบดังที่ฟิคนี้ตั้งใจจะถ่ายทอด
ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดความนุ่มนวล อบอุ่นหัวใจ กลมกล่อมและละเมียดละไม
แบบไม่ประดิษฐ์หรือยัดเยียด ความสัมพันธ์ที่ถักทอด้วยเหตุการณ์เรียบง่ายแต่มีความหมาย
อยากเขียนความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ให้ไม่หวือหวา
แต่แน่นอนและเป็นธรรมชาติที่สุด อยากให้คนอ่านทั้งสนุก ทั้งอบอุ่น
ทั้งละมุนละไมกับฟิคนี้เหมือนมีใครสักคนมากอดไว้ นี่เป็นความตั้งใจค่ะ :)
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะดีใจมากหากทุกท่านติดตามกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงบทสรุป
สุดท้าย ขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากใจจริงที่กดเข้ามาอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ :))
*เรื่องควรรู้สำหรับบทนี้* คำว่านานิโงโตะมารุที่เทมาริใช้เรียกแทนตัวชิกามารุในตอนนี้
เนื่องมาจากเธอจำชื่อจริงๆ ชิกามารุไม่ได้ เธอจึงเลิกรำลึกถึงชื่อที่จำไม่ได้และจัดการ
เรียกใหม่เสร็จสรรพว่านานิโงโตะมารุ (นานิโงโตะ แปลว่า อะไรสักอย่าง) LOL
อนึ่ง ฟิคนี้น่ารัก ไม่เร่งรีบ อบอุ่นและละมุนละไม
ติดตามความสัมพันธ์ที่ไม่เร่งรีบของคู่นี้ได้ค่ะ
ฝากฟิคไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
………………………………………………………………………………....................
ความคิดเห็น