คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 08 | Beyond the Horizon - It goes without saying.
XIII.
It goes without saying.
รัตติกาลคลี่ผ่านท้องฟ้ากว้างราวกับผืนพรมดารดาษดาว
ดวงไฟสว่างจากโคมกระดาษประดับประดาราตรีกาลให้มีชีวิตชีวา
เขามองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มภายใต้สีสันแห่งค่ำคืนของเธอก็รู้สึกสงบในที่สุด
1.
ประการหนึ่งคือชิกามารุเพิ่งมีเวลาเป็นส่วนตัวแบบที่สามารถปล่อยให้กับงานอดิเรกเรื่อยเปื่อยของตัวเองได้อย่างอิสระถึงมานอนมองท้องฟ้ากว้างบนดาดฟ้าที่ประจำเหมือนเช่นทุกที ปุยเมฆขาวจับตัวกันฟ่องฟูแต่ก็ยังกลมกลืนไปกับท้องนภาสีครามอันปลอดโปร่ง ยามเอนตัวลงนอนก็เหมือนผืนฟ้านั้นกำลังโอบอุ้มตัวเขาเอาไว้ มันกว้างใหญ่เหมือนไม่แม้แต่จะสามารถสิ้นสุดลงได้ที่ไหน แม้จะบรรจบลงกับผืนแผ่นดิน ณ เส้นขอบฟ้าก็ยังดูไพศาลไร้ขอบเขต ทายาทตระกูลนาราเหม่อมองสิ่งทั้งมวลนั้นอย่างสงบ ความเงียบงันรอบด้านกำลังหล่อหลอมเขาทีละน้อยจนความสบายใจค่อยๆ ละลายผสานเข้ากับห้วงความคิดที่เพิ่งถูกปลดเปลื้องจากภาระหน้าที่ไปหาเธอผู้เป็นดุจสายลมเย็น ยามพัดพามาก็ทำให้เขารู้สึกดีอยู่ทุกครั้ง
ลมมักแฝงความกราดเกรี้ยว รุนแรงทั้งยังเฉียบคม แต่ก็นำพาความสดชื่น เย็นใจมาให้แก่ทุกคนโดยยุติธรรมเฉกเช่นเดียวกัน มันสามารถปัดเป่าสิ่งเลวร้าย ปลอบประโลมจิตใจอันหมองหม่นได้เสมอ เทมาริก็เป็นเช่นนั้นเอง เด็กหนุ่มจากบ้านนาราเพิ่งรู้สึก เธอเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วจะใจคอเยือกเย็น สงบ เขาสบายใจเสียมากมายทุกครั้งที่ใกล้ – ‘เดี๋ยวนะ …ให้ตายเถอะ!’ โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ฝูงนกที่คอยจิกเล็มกรวดทรายลุกหือด้วยความตระหนก เหล่าวิหคกระพือปีกขึ้นสู่ฟ้ากว้างเสียงดังพึ่บพับเมื่อเด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งกะทันหันราวกับถูกโดนของร้อนทันทีที่พลันรู้สึกตัวว่าคุโนะอิจิจากทะเลทรายและรอยยิ้มของเธอที่นำมาซึ่งความสุขสงบเฉกเช่นเดียวกันกำลังแวะเวียนเข้ามามีอิทธิพลในวังวนความคิด
‘มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่ต้องนึกถึงยัยโหดนั่นเลยสักนิด’ มือกุมขมับเหมือนจะคิดแก้ไม่ตก แต่เอาเข้าจริงชิกามารุที่หรี่ตาเล็กน้อยด้วยนึกรำคาญตัวเองก็ไม่ได้หนักใจมากมายนัก เขาแหงนมองเหนือขึ้นไปบนผืนฟ้า เหล่านกซึ่งบินเกาะกลุ่มกันโดยมีพื้นหลังเป็นสีครามกระจ่างของท้องนภาสะท้อนลงบนดวงตาคมกริบ
น้อยครั้งนักที่นารา ชิกามารุจะปล่อยให้ตัวเองมีความคิดเลื่อนลอยแบบไร้สาระ ถึงจะเบื่อง่ายขี้รำคาญแต่โดยมากก็มีความคิดลึกซึ้งเฉียบคม ไม่ใช่คนประเภทช่างฟุ้งซ่านหรือคิดเรื่อยเปื่อย เพ้อเจ้อไปเรื่อย แต่ครานี้คงต้องยอมพ่ายแพ้ให้แค่คุโนะอิจิจากทะเลทรายเพียงคนเดียว เพราะยิ่งอยากลบภาพรอยยิ้มของเธอออกจากห้วงความคิดมากเท่าไหร่กลับยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น “เฮอะ-” เด็กหนุ่มก้มหน้ากลับลงมาในระดับสายตาดังเดิม เขายกมือขึ้นกุมหน้าผากโดยอัตโนมัติราวกับว่าสัมผัสอันละมุนละไมจากเจ้าหล่อนยังคงหลงเหลืออยู่ไม่จางหาย แม้แต่ในความทรงจำเองก็ยังมีร่องรอยของทุกรายละเอียดประทับไว้แน่นเช่นกัน
“ให้ตายเถอะ ไปกันใหญ่แล้วจริงจริง” ชิกามารุร้องออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าตนกำลังประหวัดถึงหญิงสาวที่ระยะหลังมักเข้ามาครอบครองพื้นที่ในสมองเขาจนเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ – ความเคยชินนั่นแหละที่น่ากลัวที่สุด – นัยน์ตาสีเปลือกไม้กระพริบถี่เมื่อเหลือบไปเห็นร่างปราดเปรียวที่ค่อยๆ โผล่พ้นบันไดขึ้นมา เรือนผมสีบลอนด์จับกับแสงแดดจนดูสว่าง ดวงตาสีเขียวคู่สวยมีความตื่นเต้นก่อตัวอยู่ขณะเจ้าหล่อนก้าวลงบนพื้นดาดฟ้า ‘เฮ้ยไม่จริงน่า ต้องเป็นภาพหลอนแน่ยัยนั่นจะมาที่นี่ได้ยังไง’ เด็กหนุ่มเริ่มหงุดหงิด แต่ดูเหมือนยิ่งเขาปฏิเสธมากเท่าไหร่ คน – ภาพตรงหน้าก็ยิ่งคล้ายจะจับต้องได้ในโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นทุกที เทมาริเหมือนเดินออกมาจากความคิดในหัวจนเขาไม่สามารถแยกได้อีกต่อไปว่าเธอเป็นตัวจริงหรือภาพหลอนจากจินตนาการ ทว่าหากเป็นอย่างหลังเขาคงต้องพิจารณาตัวเองโดยด่วน
“อ้าว นาคิมุชิคุง” ประกายพิศวงพาดผ่านดวงตาสีเขียวคราม เป็นสิ่งยืนยันว่าสตรีร่างระหงจากหมู่บ้านที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้เงาผืนทรายไม่ได้ถูกอุปโลกน์ขึ้น
เห็นจะไม่ใช่ภาพหลอน ชิกามารุโล่งอกขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อผู้มาใหม่เอ่ยปากทักด้วยกระแสเสียงยั่วเย้าดังเคย สีหน้าเธอประหลาดใจเล็กน้อยแต่จากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็เคลื่อนเข้ามาแทนที่ ครั้นแล้วจึงเดินตรงเข้ามาโดยไม่ลังเล เป็นฝ่ายเด็กหนุ่มเสียอีกที่ตกใจมากยิ่งกว่า แต่สำหรับชิกามารุการมีสติรู้ตัวจนไวมากพอจะเก็บซ่อนอารมณ์หรือความดีใจเล็กๆ ไว้อย่างดีภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเช่นปกติขณะยืนขึ้นเป็นสัญญาณเชื้อเชิญเพื่อให้เกียรติเธอนั่งลงก่อนในแบบที่บุรุษพึงกระทำถือเป็นเรื่องง่ายประหนึ่งพลิกฝ่ามือ ครู่ถัดมาหลังจากรอเทมาริอนุญาตเขาถึงค่อยนั่งตาม ตอนมองดวงหน้าสวยคมเจือความทระนงก็อดใช้วาจาก่อกวนอีกฝ่ายไม่ได้ ปกติก็ไม่ใช่คนขี้แกล้งหรอก อันที่จริงต้องบอกว่าไม่เคยปฏิบัติอย่างนั้นต่อผู้หญิงจะตรงประเด็นกว่า กับเพื่อนก็มีแอบแกล้งบ้างเป็นครั้งคราวกระนั้นเหยื่อก็ไม่รู้ตัวเนื่องจากคาดไม่ถึง นารา ชิกามารุออกจะสงบปากสงบคำ มีบ่นบ้างตามประสาจอมขี้เบื่อหมดไฟ ทว่ากับหญิงสาวแห่งทะเลทราย เห็นแล้วก็เกิดอยากแกล้งอยู่ร่ำไป น่าประหลาดที่อยากให้เธอหันมาต่อปากต่อคำด้วย “คงไม่ใช่ว่าเธอเดินหลงทางจนมาโผล่นี่หรอกนะ”
ดาดฟ้านี้เป็นที่ประจำของชิกามารุมาตั้งแต่ยังเด็ก บางทีเขาก็มากับพ่อไม่ก็เพื่อนสนิทอย่างโจจิ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วตัวคนเดียวดีที่สุด ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการจะผ่านเข้ามาได้ก็ต้องลัดตรอกซอกซอยอยู่มาก ตามธรรมดาคงไม่มีใครดั้นด้นเข้ามาถึงนี่แน่ ถ้าไม่ใช่พวกชอบเดินเป็นงานอดิเรกก็คงหาเหตุผลดีกว่านี้ไม่เจอ
“เมื่อไหร่จะเลิกอคติกับผู้หญิงสักทีนะนายน่ะ ฉันแค่มาเดินเล่นพอเห็นว่าตรงนี้ดูสงบดีก็เลยขึ้นมาไม่คิดว่าจะเจอนายเท่านั้นเอง” ก็ทราบดีเหมือนกันว่าชิกามารุแค่พูดหยอกเย้าและคำตอบของเธอก็ไม่ใช่คำโป้ปด จะอย่างไรตัวเองก็หาใช่พวกหลงทิศเป็นว่าเล่น ช่วงแรกก็แค่ไม่ชินกับถนนหนทางในหมู่บ้านที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้เงาไม้ทว่าหลังจากภารกิจแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับโคโนะฮะดำเนินมาเกือบสองเดือนก็คุ้นเคยขึ้นมากจนถึงขั้นจดจำแม่นยำ สำหรับเทมาริถ้ารู้เหตุผลในการกระทำของตนดีพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องชี้แจงกับผู้ใดให้มากความ เธอจึงเลือกจะไม่นำคำพูดของนาคิมุชิคุงมาใส่ใจพลางยกขาขึ้นไขว่กันอย่างที่เคย เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอือก รีบถอนสายตาออกมาเสมองสิ่งรอบด้าน – ตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ขาอ่อนขาวเนียนนั่น – ทายาทตระกูลนารากำลังวางตัวไม่ถูกอยู่ทีเดียวถึงเลือกเปิดประเด็นสนทนาหวังเบี่ยงความสนใจของตนออกจากผิวเนื้อวับๆ แวมๆ ชวนให้วอกแวก – “แล้วเป็นยังไงบ้าง เมื่อวานน่ะ”
แม้จะพูดแค่นั้นแต่เด็กสาวก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องใด คงจะไม่พ้นอาการไข้ของเธอที่เขาจุกจิกจู้จี้เป็นหนักหนา เทมารินึกหมันไส้เด็กหนุ่มเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ว่าชิกามารุทำให้เธอลดการระมัดระวังตัวลง ยามเขามาอยู่ใกล้ก็เหมือนเกราะป้องกันตัวเองถูกทำลายโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นเองเมื่อวานถึงต้องตอบคำถามกาอาระตั้งนานสองนานเกี่ยวกับนารา ชิกามารุตัวแสบด้วยเหตุผลเพียงว่าผู้เป็นน้องชายไม่เคยเห็นพี่สาวปล่อยให้ใครมายุ่มย่ามได้มากถึงเพียงนั้นทั้งที่ตัวเธอเองก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าทำไม เทมาริจึงเลือกตอบคำถามแค่เพียงบางส่วนเฉพาะเรื่องที่หมอนี่สมควรรู้ “ไม่เป็นไรแล้ว พอนายกลับไปก็ถูกคะยั้นคะยอให้ไปนอนจนจะเบื่อตาย พอนอนมากๆ เข้าไม่ได้ขยับไปไหนก็รู้สึกเหมือนป่วยหนักมากกว่าเดิมอีก”
“งั้นเหรอ ก็สมกับเป็นเธอ” เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนพยักหน้า จากนั้นก็จมลงสู่ห้วงแห่งความเงียบ หากมิใช่เพราะความกระอักกระอ่วนหรือต่างฝ่ายต่างสานต่อบทสนทนาไม่ได้แต่อย่างไร แค่เพราะพวกเขาชื่นชอบภาพความเป็นไปของท้องฟ้าเบื้องหน้าจนรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็ต้องการซึบซับบรรยากาศเงียบสงบมากกว่าจะพูดคุยกันเหมือนเช่นเวลาอื่น ประหนึ่งเราทั้งคู่กำลังล่องลอยอยู่ในโลกสมมติที่สิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงความสงัดเงียบห้อมล้อมทุกอย่างไว้ และเกินกว่าชิกามารุจะทันตระหนักก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วสำหรับการลอบพินิจดวงหน้าสะสวยในหลากหลายอารมณ์ ไม่ว่าใบหน้าเธอจะกำลังยิ้ม หัวเราะ โกรธหรือเศร้าหมอง เขาก็อดใจที่จะมองและอยากแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นไปด้วยกันไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวขึ้นทำลายช่วงเวลาแห่งความสบายใจที่เทมาริกำลังได้รับ เขามองหญิงสาวที่กำลังถูกดูดเข้าหาสีครามของท้องฟ้าเบื้องหน้าซึ่งครอบคลุมทั่วอาณาเขตสายตา กระทั่งตัวหมู่บ้านตราบจนเทือกเขาสูงสลับกับแมกไม้เขียวครึ้มก็ดูจะเล็กจ้อยลงถนัดด้วยเพราะผืนฟ้ากว้างใหญ่เหลือเกิน หากแม้ท้องนภาสามารถจะบีบรุกรานผืนแผ่นดินเข้ามาได้ ก็คงจะกลืนกินสรรพสิ่งเบื้องล่างลงจนหมดเหลือเพียงความสงบเฉกเช่นสีหน้าของเธอยามนี้
2.
เพราะเด็กหนุ่มทำหน้าเบื่อหน่ายซังกะตายอยู่อย่างนั้น เทมาริเลยอยากดึงแก้มเสียแรงๆ ด้วยความหมันเขี้ยว หรือไม่ก็ทำให้คิ้วที่กำลังขมวดมุ่นพอดูได้ขึ้นมาหน่อย ทว่าชิกามารุอารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่เพื่อนร่วมหน่วยตามหาตัวเขาจนเจอบนดาดฟ้าแล้ว และเมื่อเธอตอบรับคำเชิญร่วมมื้อกลางวันกับเด็กสาวตระกูลยามานากะท่ามกลางเสียงคัดค้านติดจะรำคาญของเขา ความหงุดหงิดนั่นก็ดูจะเพิ่มอีกเท่าตัว นาคิมุชิคุงกำลังกลัวว่าเธอจะอึดอัดถึงแอบมากระซิบเสนอทางหนีทีไล่แถมยังคอยหันมาสบตาอยู่เรื่อยเหมือนรอสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเธออย่างไรอย่างนั้น หากเทมาริรู้สึกสนุกกับความวุ่นวายน้อยๆ ที่พวกเขามีระหว่างกัน ทั้งความคิดเห็นไม่ลงรอยหรือความกระตือรือร้นที่ตัดกับความเรื่อยเฉื่อยและความเบื่อหน่ายจึงไม่ต้องการปลีกตัวออกไป
ไหนๆ ก็จับพัดจับพลูมานี่แล้วก็คงต้องเคารพการตัดสินใจของตัวเองจนถึงที่สุด ถ้าคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มบ้านนารา เทมาริก็มิได้ไม่สนิทใจที่จะทำความรู้จักกันมากขึ้น จากครั้งแรกที่ชิกามารุปล่อยเธอไว้กับเด็กสาวจากตระกูลยามานากะก็ยังมีช่องว่างซึ่งเธอขีดไว้ป้องกันตัวเองทว่าขณะนี้มันก็ร่นระยะลงเล็กน้อย กลายเป็นว่าความเหินห่างเมื่อคราแรกเหมือนดังไอน้ำ ระเหยไปเมื่อใดไม่อาจทราบ เหตุนี้เองยิ่งแจกแจงเท่าไรเหตุผลทั้งหมดก็ยิ่งชี้มายังนารา ชิกามารุคนเดียว – หญิงสาวจากทะเลทรายควรต้องรู้เหตุผลแท้จริงในการกระทำของตน และคงไม่พ้นความจริงที่ว่าคุโนะอิจิผู้แข็งกร้าวแค่เปิดใจให้จอมขี้เบื่อหมดไฟที่ตั้งแง่ใส่กันทีแรกจนหมดสิ้นแล้วก็เท่านั้น เด็กหนุ่มบ้านนารากัดกร่อนกำแพงของหญิงสาวไปมาก หมอนี่คือคนทำลายเกราะป้องกันนั่น เธอจึงเผลอลดป้อมให้คนรอบตัวเขาด้วยชั่วขณะหนึ่ง
“นี่ได้แล้ว ระวังร้อนนะ” ที่จริงแล้วกลิ่นหอมชวนให้กระเพาะบีบตัวอวลอยู่ก่อนชายวัยกลางคนหน้าตายิ้มแย้มเจ้าของร้านราเมนจะวางเมนูแสนภูมิใจลงตรงหน้าแขกซึ่งจับจองที่นั่งภายในร้านจนเต็ม เทมาริรับตะเกียบจากเด็กหนุ่มตระกูลนาราผู้ยังคงสีหน้าเอือมระอากับเหตุการณ์ที่เป็นไปโดยขัดต่อความต้องการของเขา ชิกามารุไม่พอใจที่เพื่อนร่วมหน่วยรบกวนเวลาว่างอันสงบสุขบนดาดฟ้าที่ประจำ – เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งเกี่ยวตรงนี้ – ยิ่งกว่านั้นยังเป็นตอนที่คุโนะอิจิแห่งซึนะอยู่ด้วยกัน
นี่แหละต้นเหตุความหงุดหงิด เพื่อนร่วมทีมปรากฏตัวกะทันหันก่อนจะแย่งความสนใจของเทมาริไปจากเขาโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้เจ้าหล่อนยังเกิดหลงคารมอิโนะกับบทสนทนายืดยาวซึ่งบุตรสาวบ้านยามานากะพูดอยู่ฝ่ายเดียวขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้คุโนะอิจิแห่งซึนะจะยังคงท่าทีสำรวม สุภาพและตอบแทบนำคำได้ตามแบบฉบับคนไว้ตัวก็ตาม อันที่จริงเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรชิกามารุก็รับได้ถ้าสถานการณ์ไม่รวบรัดจนเขางุนงง พายุแห่งความขุ่นในอารมณ์เริ่มก็ตอนยามานากะ อิโนะผู้แสร้งลืมจุดประสงค์เดิมคือมาลากเขาจากงานอดิเรกสงบสุขไปฝึกกระบวนท่าใหม่ เอ่ยปากเสนอมื้อกลางวันอย่างร่าเริงทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันได้ครู่เดียว เงาแดดยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยด้วยซ้ำ แถมเทมาริยังตอบรับอีกแน่ะ เขาจึงต้องมานั่งเบื่ออยู่ร้านอิจิราคุราเมนคอยดูว่าคุโนะอิจิทะเลทรายจะถูกทำให้อึดอัดจนต้องการความช่วยเหลือเมื่อไร ‘น่าเบื่อที่สุด’ คิ้วพาดเฉียงรับกับดวงตาคมกริบขมวดย่น นึกเสียดายความสงบที่ได้ร่วมแบ่งปันกับเธอ มันคงค้างอยู่ในใจราวกับเครื่องหอมของสตรี
“วันนี้ชิกามารุรับภารกิจเป็นผู้ดูแลอยู่เหรอคะ นึกว่าวันนี้หมอนี่จะว่างซะอีก” ขออย่าได้ถามอะไรแปลกๆ อย่างที่เคยถามกับเขาเลย ชิกามารุภาวนาไม่จริงจังนักเมื่ออิโนะกล่าวขึ้น เพราะครั้งหนึ่งคุโนะอิจิเพียงหนึ่งเดียวของทีมเคยเอ่ยปากทำนองว่าเขาสนิทกับเทมาริซังแบบที่ไม่เคยปฏิบัติกับใครในหมู่บ้าน ไร้สาระ เด็กหนุ่มตอบเช่นนั้นเพราะมันคือข้อสังเกตไร้สาระโดยแท้จริง ทว่าเขาผละหนีออกมาจนเกือบตกบันได ทายาทตระกูลนาราพยายามเงี่ยหูฟัง ไม่รู้สึกถึงรสชาติราเมนที่กำลังจัดการอยู่อีกต่อไป
“ไม่ใช่หรอกฉันแค่จริงออกมาเดินเล่นแล้วบังเอิญมาเจอผู้ชายพรรค์นี้ซะได้ ลืมนึกไปว่าจะหานาคิมุชิคุงเจอก็ต้องที่สงบๆ สบายใจแบบนั้น” บรรยากาศขบขันเข้าปกคลุมแม้จะไม่มีเสียงหัวเราะใดหลุดรอดมาก็ตาม อิโนะเม้มปากแน่นแต่ดวงตาสีฟ้ากลับจัดพราวระยับรู้สึกสนุกที่มีคนพาดพิงเกี่ยวกับนิสัยสุดเฉื่อยของเพื่อนสนิทได้ตรงใจ บุตรชายบ้านอาคิมิจิซึ่งหมกมุ่นอยู่กับราเมนใหญ่พิเศษเองก็ส่งเสียงขบขันในลำคอ ใบหน้าอ่อนโยนใจดีของเด็กหนุ่มร่างอวบลอบอมยิ้มหน่อยๆ โจจินึกขำเพราะคิดว่ากระทั่งนินจาต่างหมู่บ้านยังทราบกิตติศัพท์เอกลักษณ์นิสัยของนารา ชิกามารุดีไม่ต่างกัน แล้วไหนจะนาคิมุชิคุงนั่นอีก เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนเรียกชิกามารุเช่นนี้ แถมเจ้าตัวยังปล่อยให้เรียก อาคิมิจิ โจจิไม่ใช่คนประเภทอยากรู้อยากเห็นเกินงามทว่าครานี้คงต้องหาโอกาสสืบต้นสายปลายเหตุว่าทำไมมีผู้หญิงเรียกทายาทตระกูลนาราว่าขี้แย หากช้าไปเพียงเสี้ยวนาที นาคิมุชิคุงคนดังกล่าวส่งสายตาดุดันมาปรามไว้ทันท่วงที
ทำไมเขารู้สึกเหมือนถูกรังแกฝ่ายเดียว ชิกามารุพยายามเข้าใจคำว่าผู้ชายพรรค์นี้แต่ไม่เกิดผล เขาต้องรีบเบี่ยงประเด็นก่อนใครคนใดจะจุดฉนวนอะไรขึ้นมาอีกระลอก “เฮ้อิโนะ เธอน่ะเป็นคนชวนมาร้านนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นสั่งอะไรเลย”
“ลดหุ่นย่ะลดหุ่น ถ้าใส่กิโมโนไปเดินงานโคมไฟไม่สวยก็แย่ตายชัก คราวนี้พนันกับซากุระไว้ด้วย” ติดกับตามคาด บุตรสาวบ้านยามานากะเปลี่ยนหัวข้อทันที เธอพูดพลางสำรวจร่างสะโอดสะองของตนที่ชิกามารุพินิจพิจารณาอย่างไรก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องควบคุมอาหาร หากอิโนะเป็นเช่นนี้เอง เธอจะรู้สึกดีกว่าถ้าได้ลงมือทำจริงๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบือนมาทางหญิงสาวจากทะเลทรายซึ่งกำลังเอร็ดอร่อยกับราเมนตรงหน้าก็นึกขัน เจ้าหล่อนไม่เคยห่วงรูปร่างแท้ๆ แต่กลับเพรียวบางระหงดุจนางพญา เขาแค่เหล่มองเพียงเสี้ยวลมหายใจก็เห็นชัดว่าคุโนะอิจิแห่งซึนะมีร่างกายสมบูรณ์แบบดังที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงสมควร เด็กหนุ่มเกิดความคิดบางประการขึ้นก็ตอนนั้น เทศกาลโคมไฟของหมู่บ้านคือการประดับประดาราตรีกาลด้วยสีโทนร้อนแรงของดวงไฟหลากหลายขนาด โดดเด่นท่ามกลางความมืดมิดรอบด้าน ทุกคนจะเดินท่องตามท้องถนนภายใต้สีส้มที่ฉาบทับใบหน้าเปื้อนเสียงหัวเราะและมนต์สะกดแห่งค่ำคืน เขาหวังว่ามันจะทำให้เธอยิ้มด้วยความสุขเช่นกัน ดังนั้นการออกปากชวนจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญลำดับถัดไปทันทีที่ได้อยู่ตามลำพัง ทว่าความตั้งใจอันรอบคอบเห็นจะไม่เป็นผลเสียแล้ว มันช้ากว่าใครบางคนที่กล่าวเสนออย่างตื่นเต้นตัดหน้าชิกามารุในชั่วพริบตา อาคิมิจิ โจจิคือตัวการ
“จริงสิชิกามารุนายจะไปงานโคมไฟไหม ชวนเทมาริซังสิ ไหนๆ นายก็เป็นผู้ดูแลไม่ใช่เหรอ”
ชั่วขณะหนึ่งเหมือนตัวเองแข็งเป็นหิน เด็กหนุ่มจากตระกูลนาราพูดไม่ออกเมื่อถูกโจจิแย่งความดีความชอบไปต่อหน้าต่อตา นารา ชิกามารุนิ่งเงียบเพราะไม่ทันคาดคิด ตอนอิโนะเลิกคิ้วเยี่ยมหน้าเข้ามาใกล้เขาถึงค่อยตัดสินใจตามน้ำด้วยความเจ็บใจเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉยเลือกจะไม่แสดงอารมณ์ใดก่อนยักไหล่ยอมรับทำทีราวกับเรื่องนี้ไม่มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกดังที่เรื่องส่วนใหญ่ในชีวิตเขาเป็น ทั้งที่จริงแล้วนั่นคือเรื่องเกี่ยวกับเทมาริแท้ๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดำดิ่งลงสู่นัยน์ตาคู่สวยรับกับใบหน้าชวนมอง ในสีเขียวครามนั้นมีความล้ำลึกละลายอยู่ และมันก็ตรึงเขาไว้จนคำพูดหนักอึ้ง – “เธอเองก็ได้ยินแล้วนี่ สุดสัปดาห์นี้มีเทศกาลโคมไฟของโคโนะฮะอย่าลืมมาล่ะ”
มันคือคำชวนที่ไร้มนุษย์สัมพันธ์สิ้นดี อิโนะฟังแล้วระอาเลยต้องลงมือกำกับการด้วยตัวเองเพราะรู้ว่าชิกามารุสามารถทำได้วิเศษกว่านั้นหรือทำอะไรให้ตกใจได้บ้าง เขาเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี มีสำนึกรับผิดชอบสูงหากแสดงออกมาไม่เก่งจึงใช้คำว่าเบื่อหรือท่าทีเหนื่อยหน่ายเป็นประหนึ่งเปลือกเพื่ออำพรางสิ่งดีๆ ที่เขาปฏิบัติโดยไม่ต้องการแสดงให้ใครต่อใครรับรู้ – “หึย ชวนผู้หญิงน่ะออกปากให้ดีๆ หน่อยสิ เทมาริซังคะ ถ้าหมอนี่ไม่ไปรับถึงที่ก็ตอบว่าไม่เลยค่ะ” หลังจากบุตรสาวตระกูลยามานากะพาดแขนรอบคอเด็กหนุ่มบ้านนาราแน่นด้วยท่าทีกึ่งๆ บังคับแกมขู่แต่พองามก็หันไปพยักเพยิดกับคุโนะอิจิแห่งซึนะผู้สามารถเข้าถึงนิสัยเด็กหนุ่มขี้รำคาญคนนี้และปลดเปลื้องจุดประสงค์แท้จริงในทุกการกระทำของเขาจนทะลุปรุโปร่งได้ไม่ต่างกัน เทมาริกำลังตีสีหน้าเรียบเฉยดูไว้ตัวในแบบพี่สาวอายุมากกว่า ‘ให้ตายเถอะ ไม่ชอบสีหน้าแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ’ ชิกามารุรำคาญใจก่อนความตกตะลึงจะจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อสัมผัสอุ่นแทรกซึมลงบนผิวเนื้อ
“เห- อย่างนั้นเหรอ จะเก็บไปพิจารณาดูนะอิโนะจัง หมอนี่น่ะพูดดีๆ ก็พูดได้นา- แต่แค่ไม่ยอมพูดเท่านั้นเอง” มือนุ่มนิ่มของหญิงสาวจากทะเลทรายดึงแก้มชิกามารุอย่างแรง เหมือนกำลังเอ็นดูเด็กน้อยคนหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่นาคิมุชิคุงไม่ต้องการเป็นเด็กน้อยสำหรับเธอ ไม่แต่อย่างใด เขาทำหน้าเบ้ขณะเทมาริพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมกริบสำรวจใบหน้าสะสวยที่มีเค้าทีเล่นทีจริงก่อนคว้ามือขาวเนียนนั่นมาจับไว้มั่น – ‘เอาคืนงั้นเหรอ เสียใจด้วยยัยโหดเธอคิดผิดแล้ว’ คิดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทายาทตระกูลนารายิ้มอย่างสิ้นท่าคล้ายจะจนมุมเมื่อรอยยิ้มบางๆ ของเจ้าหล่อนปรากฏขึ้นมุมปาก ‘…เอาอีกแล้วรอยยิ้มลึกลับ’ รอยยิ้มที่ไม่สามารถอ่านออกดุจจะเชื้อชวนให้เข้าไปค้นหาพร่างพรายอยู่บนริมฝีปากได้รูป ทุกองค์ประกอบในตัวเธอดูเป็นผู้ใหญ่ เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ลุ่มลึกและสิ่งดึงดูดใจ ความพิศวงเหล่านั้นถาโถมสู่ตัวเขาพร้อมฉุดกระชากให้ดิ่งลึกลงไปคล้ายกำลังจมน้ำกลางอากาศ
เด็กหนุ่มเกาะกุมมือที่เล็กกว่าของหญิงสาวได้ทั้งหมด เขาชูมันตรงหน้าเธอก่อนจะปล่อยมือข้างหนึ่งให้เป็นอิสระอย่างมีนัยยะ เพราะเพียงชั่วลมหายใจเข้านั้นเทมาริก็หลงลืมการตอบโต้ไปหมด หญิงสาวนั่งเบื้อใบ้อย่างนิ่งงันขณะชิกามารุแตะแก้มเธอ แผ่วเบา ก่อนจะถูขอบตาคู่สวยอย่างทะนุถนอม “ไปงานโคมไฟกันไหมยัยโหด จะไปรับถึงที่เลย”
3.
ยิ่งถามเท่าไหร่ก็เหมือนจะทำให้เพื่อนร่วมทีมจอมเบื่อหน่ายปิดกั้นตัวเองมากขึ้น ชิกามารุบ่ายเบี่ยงจะตอบทุกคำถามโดยใช้ความเงียบ แต่อิโนะปวารณาตนแล้วว่าต้องเค้นเอาความจริงจากปากเขา ดังนั้นหลังแยกย้ายกันจากร้านอิจิราคุด้วยเพราะคุโนะอิจิแห่งซึนะซึ่งขอตัวอย่างสุภาพในจังหวะอันเหมาะสมจำต้องติดตามนัดกับฝ่ายรักษาการณ์หมู่บ้านโคโนะฮะ เด็กหนุ่มบ้านนาราก็ตกเป็นเป้าหมายหลักที่บุตรสาวบ้านยามานากะหมายมาดจะคาดคั้นเอาความทันที
เหตุผลแรกคือคุโนะอิจิต่างหมู่บ้านดูจะสนิทชิดเชื้อกับชิกามารุมากกว่าที่อิโนะคาดไว้ ปกติทายาทตระกูลนาราไม่ค่อยยอมให้ใครยุ่มย่ามกับตัวเองมากมายขนาดนั้น ครั้นเธอเห็นคนทั้งสองปฏิบัติต่อกันมากเกินกว่าขีดจำกัดซึ่งเขาเคยกำหนดไว้สำหรับคนที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็กระหายใคร่รู้ทุกรายละเอียดปลีกย่อย อันที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านอิจิราคุต้องใช้คำว่ามากกว่าตกใจ สมาชิกทีมสิบอย่างอิโนะและโจจิตะลึงค้างเมื่อเห็นคนทั้งคู่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร ชิกามารุแตะต้องหญิงสาวอย่างอ่อนโยน เขาทะนุถนอมเธอมาก แต่เทมาริซังกลับไม่โต้ตอบประหนึ่งการกระทำนั่นไม่มีความหมายใดลึกซึ้งไปกว่าการที่นารา ชิกามารุเป็นเพียงเด็กขี้แกล้ง ทั้งคู่แค่ปะทะคารมกันเชือดเฉือน หยอกกันทีเล่นทีจริงอย่างสนิทสนม พูดเล่นชวนหัวได้โดยไม่มีฝ่ายไหนเก็บมาถือสา แล้วทั้งหมดนั่นก็เป็นเรื่องที่พวกเขาทำไปโดยธรรมชาติและเป็นไปโดยธรรมชาติที่สุด เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าใสเร่งฝีเท้าจนทันช่วงก้าวยาวๆ ผมนุ่มลื่นสีบลอนด์สว่างซึ่งมัดรวบไว้ด้านหลังสบัดไหว เธอรีบดักหน้าเขาที่เริ่มรำคาญจนหันมาเผชิญหน้าตรงๆ ในตอนสุดท้าย
“อธิบายมาให้ชัดเจนเลยนะชิกามารุ กับเทมาริซังน่ะยังไงกันแน่” ทว่าเมื่อจบคำ อากัปกิริยาตอบสนองของทายาทบ้านนรากลับผิดคาดมหันต์ เด็กหนุ่มพลันขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักส่งผลให้อิโนะทำตากลมอย่างนิ่งงันเหมือนเพิ่งค้นพบข้อเท็จจริงหนึ่งที่สำคัญ ความจริงนั้นสว่างวาบขึ้นในใจ ‘ชิกามารุไม่เคยรู้เลย…’
“ยังไงคืออะไร กับยัยโหดนั่นจะมีอะไร ผู้หญิงนี่นะช่างคิดเล็กคิดน้อยไปทั่ว” มันไม่ใช่การปฏิเสธข้างๆ คูๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าคุโนะอิจิของทีมหมายความเช่นไร แต่เมื่อเด็กสาวบ้านยามานากะจ้องลึกเข้าไปยังดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็พบว่าชิกามารุพูดความจริงตามที่สมองอันเฉียบแหลมนั่นเชื่อทุกประการ ทายาทตระกูลนาราคิดว่าที่ตัวเองทำไม่มีอะไรผิดปกติ กระนั้นกับสายตาคนภายนอกอย่างอิโนะนี่เกินกว่าเรื่องธรรมดาเสียแล้ว ก็แค่สมองเด็กหนุ่มปักใจเชื่ออย่างนั้นเขาถึงไม่เคยเคลือบแคลงสงสัยในการกระทำ สะดุดใจหรือสนใจจะมองลงมาในส่วนลึกอันจริงแท้ของตนเองเลย ยามานากะ อิโนะเพิ่งตระหนัก เพื่อนคนนี้ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าปฏิบัติต่อคุโนะอิจิแห่งทะเลทรายพิเศษอย่างไร เหมือนเขาจะเข้าใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ทว่าแท้จริงกลับทำหลายสิ่งด้วยความรู้สึกซ่อนเร้นจากก้นบึ้งจิตใจหาใช่สมอง ซึ่งเธอก็มิอาจควรตัดสินว่าชิกามารุกำลังมีความรู้สึกใดที่เจ้าตัวไม่ทันรู้สึกถึงอยู่กันแน่ บางทีทั้งสองคงเหมือนเพื่อนที่เจอส่วนเติมเต็มกระมังถึงได้สนิทกันรวดเร็ว เพราะพวกเขาเกื้อหนุนกันและกันให้ครบสมบูรณ์เลยใกล้ชิดกันได้ง่าย เข้ากันได้ดีมาก
เหมือนพี่สาวและน้องชาย
แต่ก็ เชิญไม่รู้ตัวต่อไปเถอะนารา ชิกามารุ – ใบหน้างดงามน่ารักกระหยิ่มยิ้มย่อง ‘ไม่รู้ตัวกันทั้งคู่อย่างนี้แหละ ดีแล้ว เวลามองดูคู่นี้คงสนุกไม่หยอกทีเดียว’ อิโนะเลิกตามประชิดเด็กหนุ่มจากตระกูลนาราเมื่อได้ข้อมูลตามต้องการแม้ข้อมูลนั้นจะนอกเหนือที่คาดการณ์อย่างมาก เธอชนกำปั้นกับโจจิผู้งุนงงเล็กน้อยท่ามกลางอารมณ์หน่ายเซ็งของชิกามารุ ก่อนเดินนำหน้าไปตามถนนซึ่งพาดตัวยาวบนคันดินเลียบแม่น้ำเพราะเต็มอิ่มกับความจริงบางประการเป็นที่เรียบร้อย หญ้าสุงิบริเวณเนินด้านล่างขึ้นรกชัฏและปล่อยละอองฟุ้ง แมลงปอสีแดงบินวนบนผิวอากาศ ทิวสนกับแนวป่าอันเป็นสนามฝึกทั่วไปเห็นลิบๆ มาแต่ไกล หลังเด็กสาวทิ้งระยะทางห่างออกไปพอตัว เพื่อนร่วมทีมที่เดินรั้งท้ายก็เริ่มคุยกันเองด้วยเนื้อหาจิปาถะ ทีแรกนารา ชิกามารุคิดว่าโจจิจะเปิดบทสนทนาด้วยเรื่องดินฟ้าอากาศทว่ากลับกลายเป็นการเปรยผ่านสายลมซึ่งผิวพัด ราวกับเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ “เธอคนนั้นยังไม่ตอบรับนาย …แต่ถ้าเธอไม่ต้องการไปด้วยนายจะยังไปรับเธออยู่ไหม” – ทายาทตระกูลอาคิมิจิเว้นจังหวะครู่หนึ่งพลางกล่าวโดยไม่เจาะจงผู้รับสาสน์ “เทมาริซังเธอพอดีสำหรับนายนะ”
ความเงียบบังเกิดระหว่างเพื่อนร่วมทีมด้วยกัน แม้จะรับฟังโดยไม่คิดอะไรคล้ายคำพูดเหล่านั้นปราศจากซึ่งอิทธิพลอันพึงมีต่อตัวเขา แต่ด้านหนึ่งชิกามารุคงต้องยอมรับว่าตนกำลังพอใจอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
4.
สิ่งที่รายล้อมเด็กหนุ่มอยู่คือหลักฐานของค่ำคืนที่ไม่หลับใหล แม้ยามนี้ตัวอาคารสิ่งปลูกสร้างภายในหมู่บ้านจะดับไฟมืดสนิทโดยพร้อมเพรียงเพื่อให้แสงจากโคมไฟทั่วทั้งโคโนะฮะงาคุเระส่องสว่างโชติช่วง แต่ลำพังแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว หมู่บ้านซึ่งซ่อนเร้นอยู่ใต้เงาไม้กำลังอำพรางตัวผ่านความมืดแห่งรัตติกาล หลอดไฟริมทางยามปกติถูกบรรดาโคมประดิษฐ์ออกมาทำหน้าที่แทน ดวงไฟสีส้มเหล่านั้นเรียงร้อยกันบนถนนทั่วทุกสายบ่งบอกอาณาเขตของโคโนะฮะชัดเจนยิ่งกว่าราตรีไหนๆ มันส่องประกายด้วยรัศมีร้อนแรงจนดวงดาวระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิดดุจผืนกำมะหยี่ดำสนิทแทบจะมัวหมองไป
ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วที่โคโนะฮะงาคุเระเต็มตื้นไปด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนาน ตัวโคมหลากหลายรูปแบบได้รับการประดับทั่วทั้งหมู่บ้าน และเมื่อแสงสุดท้ายเจือหายไปกับเส้นขอบฟ้า ความมืดมิดของรัตติกาลคลี่ผ่านนภากว้าง สีสันสดสว่างก็พลันปรากฏแจ่มชัด อาคารบ้านเรือน กิ่งก้านสาขาของไม้ยืนต้น หรือแม้กระทั่งทางเดินระหว่างตรอกแคบๆ ล้วนถูกเติมแต่งด้วยเฉดสีอันร้อนแรงจากเปลวไฟ ละลานตาราวกับราตรีกาลกำลังแผดเผา กลืนกินความมืดมิดของตัวมันเอง ชิกามารุเคลื่อนตัวตามกระแสคนซึ่งหลั่งไหลออกมายังท้องถนน ฝูงชนเดินกวักไขว่ ต่างพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนานภายใต้แสงสีหลายหลากโทนจากโคมไฟกระดาษที่แต่งแต้มราตรีกาลให้สว่างไสว ความมีชีวิตชีวายามค่ำคืนจุดประกายขึ้นได้ด้วยสีสันเหล่านั้น ความเป็นไปทั้งหมดตกอยู่ใต้อำนาจของดวงไฟที่อาจหาญต่อความมืดอันทรงอิทธิพลในยามราตรี
ทายาทตระกูลนาราเดินไปตามกระบอกไม้ไผ่ตัดปากเฉียงซึ่งวางเรียงตลอดทางเดิน แสงนวลสลัวจากชวาลาในนั้นคอยส่องแสงบอกเส้นถนนแทนไฟริมทางทันทีที่เข้ามาในย่านที่พักอาศัยอันเงียบสงบ มันสะท้อนกลืนกับสีแดงของไม้ผลัดใบจนดูเหมือนใบไม้พวกนั้นดูดซับโลหิตจนแดงก่ำ เงาที่ทอดยาวบนพื้นวูบไหวเล็กน้อยเมื่อเปลวไฟต้องลมผิวผ่าน ชิกามารุหยุดฝีเท้าเมื่อถึงจุดหมาย บ้านพักรับรองของโคโนะฮะงาคุเระคือความตั้งใจหลักแต่แรกแล้ว หากแค่เสี้ยวลมหายใจ เขายังไม่ทันลงมือกระทำสิ่งใดได้ทัน หญิงสาวจากทะเลทรายคนนั้นปรากฎตัวหลังบานประตูพร้อมเสียงกระทบกันของเกี๊ยะไม้และเครื่องประดับชิ้นน้อยบนเรือนผมสีบลอนด์ที่คุ้นตา ดวงตาสีเขียวครามเบิกกระพริบอย่างงงงวยขณะริมฝีปากอวบอิ่มเม้มแน่น ยูคาตะสีไลแลคของเธอขับให้ทรวดทรวงโดดเด่นขึ้นเป็นเท่าตัว เทมาริเรียกเขาแบบเดิมๆ เพราะความเคยชิน – “นาคิมุชิคุง” ครั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงค่อยดึงสติกลับมารู้ตัว ชั่วหัวใจเต้นจังหวะเดียวนั้นคำว่าเวลาช่างประจวบเหมาะเหลือเกินก็แวะเวียนมาทักทายยังจิตใต้สำนึก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังตอนโคมไฟสี่เหลี่ยมหมุนเอื่อยอยู่บนแต่ละกิ่งของต้นไม้ริมทาง ไฟที่ถูกจุดในนั้นสลัวผ่านกระดาษกรองสีน้ำเงินตัดกับแดง “มารับถึงที่แล้วนะยัยโหด”
แม้จะเห็นหน้าเทมาริไม่ชัดเนื่องด้วยไฟจากบ้านทุกหลังทั่วบริเวณดับสนิท โคมไฟกระดาษหน้าบ้านพักรับรองเองก็ค่อนข้างมัว ทว่ากระนั้นชิกามารุก็ยังมั่นใจ เธอกำลังยิ้มอยู่ “ใครบอกว่าจะไปกับนายกัน”
“ไม่รู้ละเทศกาลนี้มีธรรมเนียมนะ ตามมารยาทแล้วถ้ามีคนถือโคมมารับถึงหน้าบ้านก็ต้องไปด้วยกัน” ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ธรรมเนียมพรรค์นี้ค่อนข้างไร้สาระในสายตาเขามาตั้งแต่ยังเยาว์ หากเวลานี้คงเป็นครั้งแรกที่ชิกามารุพอเห็นประโยชน์ขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เพราะการแอบอ้างมันขึ้นมาประสพผลอย่างดียิ่งเมื่อหญิงสาวไม่คิดเคลือบแคลงทั้งยังเดินเข้ามาหาด้วยหลงเชื่อเสียสนิท หรือบางทีเธออาจจะไม่คิดดังที่พูดเมื่อครู่และตั้งใจไว้อยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มรู้ว่าการยังไม่ตอบรับของเธอครั้งนั้นก็คือการไม่ปฏิเสธเช่นกัน ความจริงคือเทมาริตอบรับคำขอเขาตั้งแต่แรกเอ่ยปากนั่นเอง เขาอ่านออกอย่างแม่นยำถึงไม่ลังเลเลยกับการมารับหญิงสาวผู้มากปริศนาให้แก้ไข ต้องอ่านเจ้าหล่อนให้ออก ซึ่งสำหรับมันสมองอันเฉียบแหลม นั่นคงจะง่ายดายมากจึงสามารถนำเวลามาทำสิ่งอื่น ยามเห็นว่าหญิงสาวสวมชุดใดก็พึงพอใจลึกๆ ยูคาตะไลแลคนั่นเป็นของที่เขาตระเตรียมเสียแนบเนียนเพื่อเธอคนเดียว ถึงน่ารำคาญก็จริง ทว่าการเห็นหญิงสาวสมบูรณ์แบบกับงานเทศกาลบวกรอยยิ้มผ่อนคลายบนดวงหน้าสะสวยอันเป็นสิ่งชวนปรารถนา ก็คุ้มค่าพอจะกระทำ
ล่อหลอกรุ่นพี่ประจำฝ่ายประสานงานให้นำยูคาตะมอบแก่คุโนะอิจิในรับรองสำหรับการศึกษาแผนรับมือเหตุฉุกเฉินระหว่างงานเทศกาลเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างหมู่บ้านตามภารกิจดั้งเดิมของสาวเจ้าไม่จำเป็นต้องวางแผนซับซ้อนมากมายแม้เพียงนิด ชิกามารุซ่อนมือข้างหนึ่งในแขนยูคาตะขณะถือโคมส่องทาง มันเป็นดวงไฟซึ่งส่องสว่างที่สุดในความมืด งดงามทีเดียว สายตาคมปลาบดื่มด่ำทัศนียภาพรอบด้าน รู้สึกถึงกลิ่นอายของเธอผ่านเข้ามาผสมกลมกลืนกันกับลมอ่อนที่ช่วยนำพาความอุ่นจากดวงไฟแทรกผ่านอากาศเย็นอันบางเบาบนค่ำคืนกลางฤดูใบไม้ร่วง หญิงสาวยกมือเหนือรอยตัดมุมเฉียงของไม้ไผ่ ยามร่างระหงเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเปลวไฟในนั้นก็ไหววูบจนแสงที่เคลือบทับปากกระบอกริบหรี่คล้ายจะเลือนหายอยู่ตลอดทาง คุโนะอิจิจากทะเลทรายเดินนำหน้าลิ่ว เร่งฝีเท้าลงบันได ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองตามแผ่นหลังซึ่งค่อยๆ ลดระดับลงตามทางลาดชัน กระเป๋าหูรูดรอบข้อมือแกว่งไกว เครื่องประดับผมสะบัดไหว ส่งเสียงกังวานเสนาะหูคลอกับเสียงเกี๊ยะกระทบพื้นหินท่ามกลางบรรยากาศเวิ้งว้างเงียบสงัด
ยูคาตะสีเขียวตุ่น เมื่ออยู่ท่ามกลางค่ำคืนมันก็เข้มขึ้นจนแทบจะกลืนหายไป ปกติชิกามารุจะไม่ใส่ถ้าไม่จำเป็น หากเพราะเทมาริเหตุผลเดียวเท่านั้น ทายาทตระกูลนาราหยุดฝีเท้าข้างหญิงสาวผู้ยืนรอเขาอยู่ปลายบันไดพร้อมรอยยิ้มบางๆ อันคลุมเครือใต้แสงสะท้อนสีส้มนวล ยิ้มสุขุมเยือกเย็นแบบพี่สาวอายุมากกว่า ‘ไม่ไหวแหะ ไม่ชอบเลย’ เด็กหนุ่มบ่นอุบพลางปลดเสื้อฮาโอริที่แค่คลุมไหล่ตนเองไว้ลวกๆ เพื่อนำมาสวมกระชับบนไหล่เธอ ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมอง พริบตาหนึ่งเจ้าหล่อนก็ดึงแก้มเขา ทิ้งรอยปื้นสีแดงบนผิวเนื้อขาวๆ เป็นจ้ำ อีกแล้วที่เธอทำทีเหมือนเล่นอยู่กับเด็กน้อยคนหนึ่งเพียงเท่านั้น แสงสว่างรอบด้านไหวประหนึ่งจะดับมอด ชิกามารุยกมือทั้งสองขึ้นบีบแก้มขาวเนียนของคนตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้หล่อนเจ็บ ก่อนคลึงผิวนุ่มละเอียดไปมาจนดวงหน้าสวยคมมุ่นมุ่ย เขาเองเสียอีกที่ไม่รู้ว่าว่ากำลังปฏิบัติต่อเธอในฐานะอะไร หล่อนใช้หน้าผากโขกกลับเบาๆ เหมือนครั้งก่อนตอนอยู่ร้านอิจิราคุ “เล่นอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว นาคิมุชิคุง”
“ไม่ใช่สักหน่อย” กล่าวพร้อมใบหน้าเรียบเฉยพลางจัดเสื้อคลุมไหล่เธอจนเข้าที่ เทมาริยิ้มออกมาทางดวงตา และเขาก็คิดว่าเธอมีมุมอ่อนหวานน่ารักสมกับเป็นผู้หญิงอยู่ไม่น้อย เงาทั้งสองที่เคียงคู่กันบนพื้นเริ่มออกเดินผ่านบ้านซึ่งประดับโคมพอให้ไม่มืดสนิท ร้อยเรียงเป็นเส้นทางเดิน ครั้นพอหลุดหัวโค้งความจอแจก็พลันเคลื่อนเข้ามา ท้องถนนคึกคักแต่ไม่ถึงขั้นเบียดเสียดวุ่นวาย โคมไฟของแต่ละคนหลั่งไหลเข้ามาตามถนนหนทางทุกซอกมุมเหมือนคลื่นแห่งสีสัน พวกเขาร่วมบรรจบกับสายธารหลากสีนั้นจนถูกกลืนหายเข้าด้วยกัน มันส่องแสงระยิบระยับไม่น้อยหน้าดารากรที่กรายเกลื่อน
ท่องไปตามเส้นทางที่กระแสชีวิตพลุกพล่าน ชิกามารุแตะแขนหญิงสาวขณะรอบข้างเริ่มมากด้วยผู้คนเพื่อไม่ให้เธอถูกคุกคาม มือเฉียดผ่านกันโดยเผินๆ ก่อนผละสัมผัสออกมาหลังหลุดผ่านกลุ่มคนบางส่วน ทั้งสองผ่านย่านการค้าสู่พื้นที่เปิดโล่งบริเวณเข้าสวนหย่อมโคโนะฮะ โคมทรงสี่เหลี่ยมผูกเชือกแขวนเรียงหลายสิบแถวบนแผงไม้ซึ่งขึงเชือกตั้งสูงและยาวตลอดริมลานหินกว้างเพื่อให้สีส้มแดงที่ฉาบทับกระดาษโคมสีขาวรุกรานผืนฟ้า หยดลงท่ามกลางค่ำคืนประหนึ่งสีน้ำจากปลายพู่กัน เล่นแสงเงากับผู้คนที่สัญจรผ่านกำแพงโคมแห่งนี้ดุจดังภาพศิลปะหลากหลายอิริยาบถ ฝีมือธรรมชาติแห่งมนุษย์ ยามหญิงสาวผู้ถือครองธาตุลมกวาดมองความงดงามที่รัตติกาลร่วมมือรังสรรค์กับแสงไฟ ทายาทบ้านนาราก็สบโอกาสพินิจใบหน้าสดชื่นของเธอได้ถี่ถ้วน เขาลอบถอดความรู้สึกเจ้าหล่อน สีหน้าเทมาริแสดงออกซึ่งความพอใจ สนุกไปกับสิ่งรอบด้าน เพียงเสี้ยวพริบตาขณะนั้นความยินดีก็จุดประกายขึ้น แล้วค่อยๆ เอ่อล้นอยู่ในส่วนลึกจนจุกแน่นด้วยความสุขอย่างน่าประหลาด
“ชิกามารุ มาดูทางนี้สิ” เวลาอีกฝ่ายไม่ใช้สรรพนามเรียกเพื่อหวังหยอกเย้ากัน เจ้าของชื่อก็ค่อนข้างชอบใจมากทีเดียว นาคิมุชิคุงทำให้เขารู้สึกเหมือนเด็กเล็กๆ ในสายตาเธอ เสียงอื้ออึงจากผู้คนล่อหลอมค่ำคืนให้มีชีวิตชีวาและคึกคัก ดวงตาคมกริบกวาดมองตามทิศทางที่หญิงสาวมุ่งหน้าหา คุโนะอิจิแห่งซึนะเร่งฝีเท้าประหนึ่งกำลังไล่ตามทัศนียภาพที่ถูกย้อมด้วยแสงอมส้มอันร้อนแรงจนความมืดรอบด้านแทบหม่นหมองลง ชิกามารุตามหล่อนเข้าไปในกลุ่มแผงไม้หลักที่แขวนโคมแน่นขนัดตรงกลางลานโล่ง แต่ละแผ่นสูงลิ่วล้อมทุกด้านเป็นรูปหลายเหลี่ยม ด้านในก็ยังวางสลับซับซ้อนกัน หากเว้นช่องแค่พอประมาณให้สามารถเดินสำรวจตรวจตรา วนไปเวียนมาเหมือนเขาวงกต หญิงสาวจากทะเลทรายเคลื่อนตัวผ่านแผงโคมซึ่งขนาบทั้งสองข้าง ก้าวสู่เส้นทางเล็กแคบลึกขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็มีเพียงโคมไฟเท่านั้นที่รายล้อมรอบตัว จากพื้นจรดแผ่นฟ้าเหนือศีรษะที่กว้างเสมอเสมือนทางเดินด้านล่างมีโคมกระดาษเป็นแถวแน่นขนัดเรียงรายสูง – ครั้นเมื่อถอยสายตากลับจากแถวโคมไฟนับร้อย หญิงสาวในชุดยูคาตะก็หายไปเสียแล้ว ไร้ร่องรอยใดราวกับแสงอมส้มอันพร่ามัวอำพรางเธอไว้ ไม่สามารถจับต้องได้
พื้นนภาเหนือผืนดินมืดมิดคล้ายกับว่ากำลังถูกปกปักษ์อยู่ใต้การสยายปีกสีดำดุจน้ำหมึกของนกกา กระนั้นรอบข้างเขากลับสว่างไสวเจิดจ้า ชิกามารุรู้สึกเหมือนตัวเองหมุนคว้างรอบตัวขณะปราดมองตามช่องทางเดินอันประกอบเป็นแนวยาวทั้งยังวางขวางสลับกันไปภายในเขาวงตกจำเป็นที่ปรากฏผ่านช่องว่างระหว่างโคมกระดาษทรงเหลี่ยมซึ่งแขวนเบียดเสียด สมาธิต่อสิ่งรอบด้านถ่ายเทมายังการมองหาหญิงสาวจากทะเลทรายผู้ที่รัตติกาลอันสดสว่างกลืนหาย แต่ประสาทรับรู้ภาพดุจจะพร่าพราง การมองเห็นถูกแสงที่คลี่คลุมลงมาทำให้ด้อยประสิทธิภาพอย่างมากเพราะเขาไม่อาจรับรองได้ว่าขณะนี้ตนกำลังเห็นภาพหลอนอยู่หรือไม่
ร่างระหงผ่านวูบตามช่องทางเดินอันวกวนที่สลับซับซ้อนกันตามการเรียงตัวของแผงโคม แสงไสวส่งผลให้เขามึนงงเล็กน้อย ช่องว่างระหว่างโคมกระดาษก็มีแสงสะท้อนออกมาจากแผงไม้แถวแล้วแถวเล่าที่กางกั้นอยู่ เมื่อดวงตาคมริบปราดมองก็เหมือนเห็นหญิงสาวเดินเข้านู้นออกนี่อยู่ไหวๆ ชายแขนเสื้อยูคาตะพลิ้วสะบัดตามแรงเคลื่อนตัว ชั่วขณะนั้นเองที่ชิกามารุออกฝีเท้า เลี้ยวตรงทางแยกที่เหมือนเห็นเจ้าหล่อนไวๆ เสียงเครื่องประดับบนผมสีบลอนด์กระทบกันเหมือนจะดังก้องทั้งในโสตประสาทและบรรยากาศรอบด้าน แถวโคมไฟที่ขนาบสองข้างสาดแสงนวลลออ กลืนทับภาพเบื้องหน้ารวมทั้งตัวเด็กหนุ่มจนทุกสิ่งสลัวด้วยสีส้มโดดๆ เขาเลี้ยวก่อนคว้าข้อมือคุโนะอิจิแห่งทะเลทรายทันทีที่หล่อนเคลื่อนเข้ามาในรัศมีสายตา “จับได้แล้ว” – ว่าพลางดึงร่างปราดเปรียวนั่นให้ไปตามการชักพาของเขาอย่างรวดเร็ว ดวงหน้าสวยคมใต้แสงทึมงุนงง โครงไม้ของโคมสี่เหลี่ยมกระทบกัน กระดาษกรองสีขาวระบายทับด้วยสีร้อนแรงจากดวงไฟวูบวาบด้วยกระแสลม เพียงเสี้ยวเวลาพัดผ่าน นารา ชิกามารุถูกสะกด คล้ายแสงเหล่านั้นกำลังหล่อหลอมเขากับเธอให้กลืนเข้าด้วยกัน มันไล้ไปตามใบหน้าสวยคมที่ซ่อนความดุดัน แข็งกร้าวและความละมุนละไมไว้อย่างลงตัว ลามเลียเรือนผม โครงหน้ากับจมูกได้รูปและริมฝีปากเอิบอิ่มแต้มเสียงหัวเราะน้อยๆ หลังเห็นสีหน้าทะเล่อทะล่าของเขา ทายาทบ้านนาราเม้มปาก เขากุมมือเล็กๆ แน่นก่อนลากหล่อนออกจากเขาวงกตโคมประดับอันน่าเวียนศีรษะก่อนทุกอย่างในตัวจะนอกเหนือที่ควบคุมได้
“ดีจังเลยนะเทศกาลนี้น่ะ”
เทมาริกล่าวตอนออกมาพ้นกลุ่มโคมแขวน นั่นเป็นน้ำเสียงสบายๆ ที่เมื่อผ่านเข้ามาในโสตประสาท ชิกามารุก็รู้สึกดีโดยไม่กังขา หมู่ดาวพราวระยับส่องนำทางเหมือนธารน้ำนมที่ผ่านพาดจากขอบฟ้าหนึ่งไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่ง คุโนะอิจิแห่งทะเลทรายเงยหน้าขึ้น ราวกับโลกทั้งใบหมุนคว้างและชะงักงันอยู่แค่ตรงนั้น – เด็กหนุ่มจึงตระหนัก ‘แค่นี้ยังไม่พอหรอก ไม่สำหรับเธอ …เชื่อสิถ้าจะมีอะไรวิเศษกว่า นั่นก็สมควรมีไว้เพื่อยัยโหดนี่’ ไวกว่าความคิดที่หยดลงบนจิตใต้สำนึก ปากก็เอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเผอิญฉุกคิดถึงแผนดีๆ ต่อจากนี้ได้ เขาพูดรัวเร็วเพราะกลัวว่าหากช้าเพียงเสี้ยวลมหายใจเดียวคงเสียโอกาส เธอจะหลุดมือไป แม้มันไม่มีทางใดๆ เลยที่จะเป็นเช่นนั้น “มันยังไม่หมดแค่นี้หรอก จะให้เกียรติเดินมาด้วยกันหน่อยได้ไหม”
ความเคลื่อนไหวรอบด้านถูกกั้นออกจากประสาทรับรู้ เปลวไฟกระตุกวูบครั้นแล้วก็ส่องสว่างดังเดิมคล้ายพยายามกบฏต่อราตรีกาลจนถึงที่สุด ชิกามารุเปลี่ยนท่าทีโดยฉับพลัน หญิงสาวผู้มาจากทะเลทรายนิ่งงัน จับจ้องยังนินจาต่างหมู่บ้านขณะความรู้สึกหลากหลายล้นทะลักเข้ามาในอก ไม่รู้ว่าทำไม หากเด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและให้เกียรติกันอย่างมาก มากเสียจนหัวใจเผลอเต้นผิดจังหวะไป เทมาริรู้สึกขัดเขิน จะอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรแต่ใบหน้าก็ยังร้อนผ่าว อาจเพราะแสงจากโคมไฟกระมัง ก็อีกฝ่ายเล่นตีสีหน้าแบบนั้นอีกแล้ว ‘เราแพ้หมอนี่ก็เพราะอย่างนี้เสมอ’ คุโนะอิจิแห่งซึนะมักจะถูกทำให้ลืมว่าตนอายุมากกว่าตอนนารา ชิกามารุบงการบรรยากาศรอบตัวเขาให้ดูจริงจังขึ้นมา เด็กหนุ่มผลักไสอารมณ์หน่ายเซ็งแล้วนำความเคร่งขรึม สุขุมเยือกเย็นเหมือนหน้าที่รับผิดชอบหรือแผนการที่ตัวเองใช้สมองกลั่นกรองมาอยู่ตรงหน้าเข้าแทนที่ หญิงสาวก้าวตามเขาซึ่งจับมือเธอแค่เผินๆ ความรู้สึกที่ผ่านไออุ่นบนผิวเนื้อที่ถูกต้องกัน หาใช่จะแสดงท่าทีคล้ายพยายามครอบครองหรือแสดงอำนาจเหนือกว่าไม่ สัมผัสจากเด็กหนุ่มต่างหมู่บ้านไม่เคยเจ้ากี้เจ้าการ อยากครอบงำหรือยกตกข่ม มันคือความต้องการจะปกป้อง ถนอมไว้
ยามเพ่งมองจากที่ไกลๆ เหล่าโคมไฟกระดาษเริ่มพร่ามัวเป็นลูกไฟทับซ้อนกันอย่างโปร่งแสง เห็นเพียงโทนสีร้อนแรงสะท้อนเป็นจุดกลมๆ อันสลัวรางพร่างพรายทั่วขอบเขตสายตาที่ค่อยๆ เลื่อนไหลผ่านไปเบื้องหลังขณะเด็กหนุ่มจับจูงเธอแทรกระหว่างฝูงชน สวนทิศทางของกระแสความพลุกพล่านออกมา ความคึกคักรอบด้านเริ่มเบาบางก่อนเหลือเพียงคนทั้งคู่บนทางเดินซึ่งสว่างไสวด้วยชวาลาในไม้ไผ่ตัดปากเฉียงใต้พุ่มไม้ตะคุ่มๆ เหนือรั้วหินที่ถูกถมดินยกระดับขึ้นเหนือพื้น เทมาริกระชับฮาโอริคลุมไหล่ให้แน่นเล็กน้อยเพื่อต่อสู้กับสายลมหวีดร้อง เสียงจิ้งหรีดดังระงมกลางพงไม้ที่อำนาจของแสงไฟเคลือบสีแดงอมส้มทับ เธอจมสู่ห้วงภวังค์จนเมื่อป่าสนแน่นขนัดรายล้อม สติรับรู้ก็หวนคืน ธรรมชาติโอบอุ้มทัศนียภาพให้รื่นตา สภาพแวดล้อมเต็มรื้นด้วยสีเขียวแห่งแมกไม้แม้จะซ่อนอยู่ใต้ความมืดมิดที่แสงโคมสลัวๆ บนกิ่งไม้แต่ละสาขาละลายลงมาเจือจางก็ตาม หากความร่มรื่นก็ยังมิอาจจางหาย
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเฉกเช่นเปลือกไม้เหลือบมองมาชั่วแวบหนึ่ง แค่ขณะเดียวถัดจากนั้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ท่อนแขนแข็งแรงก็โอบรอบไหล่เธอทันที เทมาริถูกบังคับให้ก้มลงต่ำเพื่อหลบกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งเกือบล้มพาดทางเดินอยู่รอมร่อ ครั้งผ่านมาได้เด็กหนุ่มก็รีบผละออกรวดเร็วพอๆ กับตอนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวก่อนเธอจะทันเอ่ยปากเสียอีก คูน้ำเล็กไหลชะลงมาจากภูเขา เลียบเส้นทางเล็กแคบปูด้วยหินแผ่นบางร่ำๆ จะสึกกร่อนที่ตัดผ่านป่าสนเก่าแก่ ลัดเลาะต้นสนก่อเกิดเส้นทางคดเคี้ยวเป็นลาดเนินไม่สม่ำเสมอไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ความกว้างของแต่ละขั้นบันไดจึงยาวพอตัว แสงกระจ่างจากโคมหินยุมิกิที่มีตะไคร้เขียวเกาะบางๆ ทอดตัวเบียดเสียดสาดส่องยาวตลอดริมข้างทางไม่เว้นช่องว่าง พืชใบเล็กขึ้นปกคลุมทั่วจนไม่เห็นผิวดิน เบื้องหน้าสุดบันไดคือเสาไม้ฮิโนกิซึ่งสีแดงหลุดลอกจนซีดเกือบเป็นสีเดียวกับเนื้อไม้เดิม
ตรงนั้นเองที่มีศาลเจ้าขนาดย่อมตั้งตระหง่านถัดเข้าไป มันอยู่ท่ามกลางต้นไม้เก่าแก่ซึ่งถูกค่ำคืนกลืนหาย
คูน้ำเล็กไหลบ่าลงมาเป็นธารสายแคบจากเนินชะง่อนหินที่เรียงตัวไม่สม่ำเสมอเพราะการกัดเซาะของสายน้ำ ส่งเสียงสะท้อนทั่วบริเวณใดๆ อันมีแมกไม้แผ่อิทธิพลถึง ตัวศาลเจ้าปราศจากสิ่งดึงดูดตาทั้งยังเก่าจัด ตะเกียงน้ำมันแห้งขอดถูกแขวนโซ่โลหะห้อยระย้าอยู่มุมชายคาไร้ซึ่งแสงสว่าง โซ่บดเบียดกันเอียดอาดหลังลมเย็นแทรกซึมผ่านอาภรณ์สู่ผิวเนื้อ ต้นสนสูงตระหง่านยืนต้นแน่นขนัด แม้จะมองจนสุดสายตาก็ยังเห็นเพียงลำต้นหนาทึบกับความมืดที่วันนี้สุกสกาวด้วยแสงไฟ กรวดเล็กๆ อัดแน่นบนพื้นทางเดินตรงปลายบันได จุดสิ้นสุดของพื้นปูหิน โคมยุมิกิคล้ายสว่างวาบกว่าทุกคราตอนเทมาริใช้กระบวยไม้ไผ่ซึ่งรับต่อจากเด็กหนุ่มมาตักน้ำเพื่อชำระล้างมือตามธรรมเนียม และอากัปกิริยาเหล่านั้นก็ตกอยู่ใต้สายตาของชิกามารุทั้งสิ้น เขาสอดมือข้างที่ไม่ได้ถือโคมกระดาษไว้ในแขนเสื้อพลางจ้องมองหญิงสาวนิ่งงัน ใบหน้าเรียบเฉยดุจเดียวกับน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย “จริงๆ น้า- นี่ไม่คิดจะถามหน่อยเลยเหรอว่าฉันพามาที่ไหน ไม่คิดว่าจะเชื่อคนง่ายขนาดนี้นะเธอเนี่ย”
“ไม่ถามหรอก รอดูไปก่อน เกิดท่าไม่ดีค่อยเจี๋ยนนายทีหลังก็ยังไม่สาย” ถึงจะพูดเล่นได้แต่นั่นต้องเกิดจากพื้นฐานความเชื่อใจด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาทั้งคู่มีกันอยู่แล้วอย่างเต็มเปี่ยม ในที่สุดผู้คนที่เคยได้สัมผัสต่างก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าทั้งสองเป็นนินจาต่างหมู่บ้านที่สนิทใจกันโดยสมบูรณ์ แต่เพราะน้ำเสียงทีเล่นทีจริงท้ายประโยค ทำเอาชิกามารุผงะทันควัน นึกเสียวสันหลังวูบอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ชัดเจนแล้วว่าคนที่ทำให้เด็กหนุ่มสามารถรู้สึกเช่นนั้น – เช่นว่าเธอสำคัญเลยเกรงใจ – คงมีแต่เทมาริคนเดียว เขาร่ำๆ จะยอมเธออยู่เรื่อยไป ทายาทตระกูลนาราหันมองหญิงสาวที่ทิ้งช่วงตามหลังมาขณะเดินขึ้นบันไดสูงชัน เขาเห็นเธอตัวเล็กลงด้วยมุมมองที่ซับแสงจางๆ จากโคมหิน ก่อนตัดสินใจยื่นมือไปเป็นหลักให้แก่เจ้าหล่อนซึ่งตอบรับน้ำใจกันโดยมารยาท เมื่อพื้นกลับมาเรียบเสมอกันอีกครั้งศาลเจ้าที่อยู่เบื้องหน้าก็คล้ายจะใหญ่กว่าที่มองเผินๆ จากด้านล่างเกือบเท่าตัว แม้กระนั้นก็ยังไม่อาจบิดเบือนข้อเท็จจริงอันว่าสิ่งปลูกสร้างนี้เล็กผิดสังเกต องค์ประกอบมีเพียงไม้คิมิจิกับหมุดทองเหลือง ชิกามารุรีบดับโคมในมือลง
แสงวูบหายแต่สิ่งหนึ่งก็พลันปรากฏแทนที่ก่อนจะทันกระพริบตา ปลายทางนั้นส่องสว่างวิบวับจากหิ่งห้อยซึ่งลอยละล่องอย่างบางเบาดุจฝุ่นละอองในอากาศ ลูกไฟดวงน้อยที่มีชีวิตพร่าพรายอยู่รอบด้าน ภาพอันงดงามนี้ดูดกลืนสายตาโดยไม่ปล่อยให้ผู้มาเยือนได้ตั้งตัว ละอองแสงฟุ้งกระจายเป็นจุดเล็กๆ พร่างพราย บ้างก็ส่องแสงเหนือวัชพืชที่คลุมดินหนาแน่น แปรเปลี่ยนพื้นอันรกชัฏเป็นประดุจทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่าม หญิงสาวผู้มาจากทะเลทรายยิ้มร่าหลังปล่อยผ่านความประทับใจแรกเห็นออกมาทางสีหน้าที่ตื่นตะลึงเล็กน้อย ดวงตาเองก็แย้มยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน “ชิกามารุ นี่มันสุดยอดไปเลย”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” เขานึกลำพองขึ้นมา แสงของหิ่งห้อยที่โอบล้อมส่องประกายระยิบระยับประหนึ่งละอองหิมะที่พร่างพรมจากเบื้องบนหรือเกสรดอกไม้ซึ่งปลิดปลิวจนล่องลอยอบอวลในอากาศหลังสายลมหอบตัวพัดผ่าน ผืนนภาเจือจางลงถนัดตา เด็กหนุ่มแห่งบ้านนาราประคองมือขึ้นฮุบละอองแสงมีชีวิตใกล้ๆ ตัว มันเปล่งแสงอยู่ในอุ้งมือเขาคล้ายพยายามใช้แสงนั้นต่อสู้สิ่งแปลกปลอม – “เฮ้ เทมาริ” เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียกก่อนอีกฝ่ายจะยื่นมือที่กุมบางสิ่งมาใกล้ หญิงสาวประคองมือคู่นั้นไว้โดยเต็มใจแม้สถานการณ์จะพาไป ชิกามารุค่อยๆ กอบกุมมือคนตรงหน้าแล้วปล่อยดวงไฟเล็กจิ๋ววะวิบวะวับให้อย่างระมัดระวัง รอจนแน่ใจว่าคุโนะอิจิแห่งซึนะควบคุมได้จึงปล่อยมือสาวเจ้าช้าๆ พลางคาดหวังปฏิกิริยาของเธออย่างจดจ่อ ดวงตาคมกริบลับกับคิ้วพาดเฉียงลุกวาวด้วยร่องรอยเจ้าเล่ห์ผิดปกตินิสัย จอมขี้เบื่อหมดไฟแห่งโคโนะฮะงาคุเระกลั้นใจเมื่อเทมาริหัวเราะออกมา แก้มเธอซับสีเลือดฝาดเพราะมีโอกาสสลัดความเครียดขึ้ง ปล่อยตัวผ่อนคลาย ความเป็นธรรมชาตินั่นตกทับหัวใจเด็กหนุ่มจนอ่อนยวบราวกับลูกตุ้มเหล็ก เขาเกาหัวแกรกด้วยความเก้อเขิน อยู่ดีๆ ใบหน้าก็แดงยิ่งกว่าหญิงสาวผู้กำลังเบิกบานกับการดื่มด่ำความงดงามรอบด้าน
“นายรู้จักแต่ที่ดีๆ นะเนี่ย ขอบคุณเผื่อที่ผ่านมาด้วย” คงเพราะรสนิยมตรงกันเป็นแน่ แต่อาจไม่มีฝ่ายไหนคาดคิดถึงข้อสังเกตนั้น หิ่งห้อยตัวน้อยในมือเรียวเล็กถูกปล่อยให้ลอยละล่องพร้อมแสงวูบวาบ ละอองแสงมีชีวิตที่ดารดาษกรายเกลื่อนยิ่งรายล้อม เทมาริตามเด็กหนุ่มจากตระกูลนารามายังหน้าแท่นบูชาสลักเสลาเมื่อตีความผ่านสีหน้ายียวนที่ปกปิดความเจ้าเล่ห์ไม่มิดว่ากำลังอมภูมิ ซ่อนงำบางสิ่งอยู่ เขาผิวปากพ่นคาถาไฟออกมาจุดตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด มันลามเลียตะเกียงโลหะคล้ายลมหายใจขุ่นมัวกลางฤดูหนาว ช่อดอกคิคุส่งกลิ่นกำซาบทั่วบริเวณ เชือกเส้นใหญ่ซึ่งบิดเป็นเกลียวสลับสีและกระดิ่งทองเหลืองดูมากอายุ ขณะหญิงสาวกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่อไปเพื่อหวังจะรู้เท่าทันฝ่ายตรงข้าม อยากเดินหมากนำหน้าให้ได้หนึ่งตาทว่าไม่เห็นลู่ทางใดๆ เลย ชิกามารุก็หยิบบันไดขึ้นมาพาดกับช่องเล็กๆ ที่เปิดออกจากฝ้าเพดาน
“ก้าวระวังๆ หน่อยล่ะไม้มันเริ่มผุแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าตัวยังยื่นมือมาจับแขนอีกฝ่ายแน่นเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะอยู่ภายใต้การดูแลของเขา และปลอดภัยอย่างที่เขาต้องการทุกประการ ร่างปราดเปรียวก้าวตามเด็กหนุ่ม มือนุ่มนิ่มเผลอจับแขนตอบ หากพวกเขาเคยชินจนปล่อยให้มันลื่นไหลไปโดยธรรมชาติ ไม่ให้ความสนใจใดๆ ตกอยู่แม้เพียงนิด บันไดไม้ส่งเสียงเอียดอาดเนื่องจากสนิมกร่อนหัวตะปูเกือบหมด แผ่นหลังที่นำทางอยู่เบื้องหน้าเอียงเล็กน้อยเพราะต้องเบี่ยงตัวจับจูงคนข้างหลัง ทันทีที่ชะโงกผ่านช่องเล็กๆ ก่อนส่งตัวเองขึ้นถึงด้านบนความมืดก็เข้าจู่โจมสภาพสายตาจึงไม่อาจมองเห็นสิ่งใดชั่วขณะ ห้องบนเพดานอัดแน่นด้วยความมืดไร้สุ่มเสียงจนชิกามารุชูโคมไฟขึ้นองค์ประกอบในห้องถึงปรากฏแจ่มชัดท่ามกลางแสงสีส้มละมุน กลิ่นเสื่อทาทามิที่ยังเขียวเจือจางเข้ามาในประสาทรับรู้ราวกับกำลังพยายามนำเสนอว่าตนยังใหม่และช่วยรับรองว่าห้องใต้หลังคาแห่งนี้ไม่ถูกใช้งานบ่อยนัก มันดูดซับกลิ่นแดดอ่อนๆ ครั้งดวงอาทิตย์ขึ้นมาทำหน้าที่บนฟากฟ้าไว้เต็มเปี่ยม เสาไม้สีดำขลับเงาวับดังปีกแมลงทับ เทมารินั่งห้อยขารออยู่เหนือบันไดขณะเด็กหนุ่มเคลื่อนตัวไปอีกฟากฝั่งของห้อง
ห้องใต้หลังคาที่มีความลึกลับครอบคลุมอยู่ทั่วนี้สูงเพียงครึ่งหนึ่งของปกติ แค่สามารถนั่งได้เท่านั้น ทว่าทั้งหมดก็ไม่ถือเป็นอุปสรรค ตอนหน้าต่างลายตารางเลื่อนออกแสงจันทร์สีขาวก็เติมเต็มบรรยากาศมืดสลัว ระเบียงที่ต่อออกไปนั้นแคบเพียงชะโงกตัวก็เต็มกลืนแล้ว หากแม้จะถูกวงกบล้อมกรอบ ทว่ากลับยื่นออกไปเหมือนลอยอยู่กึ่งกลางท้องฟ้าที่แต่งแต้มดวงดาวกลาดเกลื่อนดุจเดียวกับภาพศิลป์ขนาดใหญ่ ชิกามารุหันมาทำหน้าตายเหมือนเด็ก “ตีตั๋วพิเศษหน่อยเป็นไง มานี่สิดอกไม้ไฟจะเริ่มแล้วนะ”
พอตามเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ระเบียงสั้นๆ นั้นเงาสนเบื้องล่างก็ปรากฏเป็นคลื่นสีดำเหมือนท้องทะเลที่สะท้อนผืนนภายามค่ำคืน แสงสีส้มเริงระบำเหมือนเปลวเพลิงกำลังเผาผลาญเส้นขอบฟ้าเหนือหมู่บ้านที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้แมกไม้ เบื้องล่างมีละอองแสงจากหิ่งห้อยล่องลอยประดุจธารน้ำกินอาณาบริเวณกว้างล้อมรอบเขตศาลเจ้าขนาดหย่อม ทั้งที่เขาเพิ่งจุดเครื่องหอมในเครื่องกระเบื้องเคลือบเพื่อไล่แมลง หากเด็กหนุ่มบ้านนาราก็ยังได้กลิ่นหอมระรวยจากเรือนผมสีบลอนด์ชวนให้จิตใจถูกพัดพาไป ชิกามารุขยับกระดานโชหงิไว้ตรงกลางระหว่างกรอบหน้าต่างและเบาะนั่งบุนวมก่อนเรียงเบี้ยแต่ละตัวอย่างพิถีพิถันด้วยต้องการดึงสมาธิกลับมาดังเดิม แต่แน่นอนว่าไม่เห็นผล เขาจดจ่อกับคุโนะอิจิแห่งทะเลทรายมากจนถึงคราวเพิกเฉยไม่ได้อีก เธอนั่งพิงขอบระเบียงแล้วทอดสายตาไปไกลแสนไกล ดูเหงาจนน่าใจหาย
“เทมาริ” ขอบฟ้าฝั่งโคโนะฮะงาคุเระแดงผาก ดวงจันทร์และแสงดาวจึงมีรัศมีหมองลง เสียงคูน้ำกัดเซาะผ่านหินแว่วเข้ามาไม่น้อยหน้าเหล่าจิ้งหรีดกลางแมกไม้หนาทึบ หญิงสาวนิ่งจนชิกามารุต้องเอ่ยปากเรียกด้วยน้ำเสียงเบาโหวงเหมือนกำลังทะนุถนอมตุ๊กตากระเบื้องอันบอบบาง เขาเผลอลืมชั่วขณะว่าเทมาริห่างไกลจากคำว่าบอบบางอย่างไร คงเพราะเธอผู้เป็นดังตุ๊กตาอันงดงามประณีตกำลังดำรงตนเสมือนไร้ซึ่งชีวิตดังเช่นลมหายใจถูกดูดให้กลืนหายไปกับท้องนภา แต่แค่นั้นก็มากเกินพอแล้วสำหรับการไล่ต้อนความรู้สึกเขาเสียจนมุม บางสิ่งที่เรียกว่าความเป็นห่วงมักส่งอิทธิพลกดดันทุกผู้คนอย่างร้ายกาจเสมอ คล้ายเวลาหมุนผ่านเนิ่นนานกว่าใบหน้าสวยคมจะหันกลับมาในเชิงถามหากแท้จริงคือหนึ่งพริบตา เทมาริเลิกคิ้วฉงน ปัญหาของเด็กหนุ่มเลยตกอยู่ที่เขาปราศจากหัวข้อสนทนาสำรองไว้ยามเผชิญสถานการณ์กะทันหันนี้โดยสิ้นเชิง ทายาทตระกูลนาราทำได้เพียงเงียบก่อนจะไหลไปเรื่อย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพยักพเยิดยังกระดานโชหงิตรงหน้า “จะถามว่าเล่นนี่ด้วยกันหน่อยไหม”
ความมืดว่ายเวียนโดยรอบบรรยากาศสงบและปลอดโปร่งเหมือนเพิ่งหายใจโผล่พ้นน้ำกลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศกระจ่างเข้มข้น เด็กหนุ่มเสริมขึ้นแก้สถานการณ์ทันท่วงทีเพราะคราแรกแค่เอ่ยปากเนื่องจากความเป็นห่วง ไม่ได้มีเรื่องพูดด้วยอย่างที่น่าจะเป็น ‘น่าเบื่อ… ทำไมเราต้องใส่ใจขนาดนั้น’ จอมเหนื่อยหน่ายแห่งโคโนะฮะครางแต่ก็ควรรู้สึกเช่นที่บ่นสักเพียงนิด ไม่ใช่สนุกกับเรื่องท้าทายที่เกี่ยวพันกับคุโนะอิจิแห่งซึนะงาคุเระจนแสดงออกชัดเจนบนดวงตาวาวโรจน์มากมายขนาดนี้ ตอนเทมาริบอกว่าหมดภูมิจะเล่นเขาก็โน้มน้าวสาวเจ้ามานั่งตรงข้ามกันสำเร็จ แผ่นหลังเธอเหยียดตรง คอตั้งคล้ายจะเชิดหน่อยๆ ในท่าทับขาเก็บชายยูคาตะเสียเรียบกริบตามมารยาทปฏิบัติอย่างครบถ้วน งามสง่าและนิ่มนวลมากทีเดียว ชิกามารุถึงพบคำตอบ เหตุเพราะเป็นเธอนั่นเอง ผู้หญิงที่ต้องยอมรับว่าแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในนิยามของเขา
“ถ้าเล่นไม่เป็นก็จะสอนให้” รีบเสนอตัวพลางเก็บงำความลิงโลดเล็กๆ ใต้ก้นบึ้งจิตใจ เขาเตรียมกระดานทันที เธอไม่ว่าอะไรทั้งยังสนอกสนใจเป็นพิเศษด้วยซ้ำ ชิกามารุไม่ทันคิดมาก่อนถ้าหล่อนสามารถเล่นโชหงิด้วยกันได้ก็คงวิเศษเกินคาด มีคู่ปะมือเพิ่มอีกหนึ่งคน กระแสลมหวีดผ่านเรือนยอดต้นสนส่งเสียงเหมือนรัตติกาลกำลังผิวขลุ่ยกังวานเศร้าเติมแต่งห้องใต้หลังคาที่เหมือนเวลาทั้งมวลหยุดชะงักลงเพื่อให้พวกเขาได้ดำเนินไปตามวิถีทางซึ่งต่างฝ่ายเลือกกำหนดขึ้นด้วยตัวเองไม่มีใครบีบบังคับทั้งที่ไม่รู้หนทางภายหน้า แม่นกกกไข่ในรังบนกิ่งไม้สูงเอียงคอมองความเป็นไปของคนทั้งคู่ เด็กหนุ่มอธิบายเรื่องพื้นฐานแต่พอเล่นจริงก็เริ่มกุมขมับเพราะเผลอออมมือให้จนฝ่ายตนเข้าข่ายวิกฤตเล็กน้อย ชะล่าใจกับผู้หญิงคนนี้ย่อมผิดพลาดเสียเอง เขาเคยประสบแล้วหลายครั้งก็ไม่เคยจดจำจริงจัง
“นี่เธอไม่เป็นจริงๆ รึเปล่าเนี่ย” เอ่ยถามทีเล่นทีจริง
“ก็จริงน่ะสิ นายเริ่มจะแพ้เลยพาลใช่ไหม” ทั้งที่จะแพ้หรือชนะยังอ่านเกมไม่ออกเลย เหตุใดเจ้าหล่อนถึงเล่นเอาเขาเกือบเข้าตาจน เทมาริหรี่ตาพลางยิ้มระรื่นปล่อยให้ชิกามารุตรึกตรองเกมด้วยใบหน้าสุขุม เธอสังเกตว่าดวงตาเขาเป็นประกายรุนแรงขึ้นเวลาสมองปราดเปรื่องเริ่มทำงาน ดอกไม้ไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าประหนึ่งผืนนภาจะร่วงหล่นลงมาโดยมีความมืดของพื้นแผ่นดินคอยรองรับ มันพุ่งตัวขึ้นไปก่อนกระจายสะเก็ดไฟระยิบระยับดุจจุมพิตที่ประทับแก่ราตรีกาล คุโนะอิจิแห่งทะเลทรายแอบละเลียดชมอย่างใจเย็นผ่านหน้าต่างซึ่งลอย ณ กึ่งกลางผืนฟ้าตอนเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเดิน มือที่เธอรู้สึกอุ่นใจด้วยเสมอคีบตัวหมากวางลงบนทิศทางที่มันสมองเฉียบแหลมวิเคราะห์มาอย่างดี เสียงเบี้ยกระทบกระดานไม้หนักเบาตามวิสัยผู้เล่นสลับกันเสนาะหู ทายาทตระกูลนาราแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้ากำลังจะกลับแล้ว อีกแค่ไม่กี่วัน เขาอยากปกป้องตัวเองกระมังจึงไม่อยากรับรู้ ดวงตาเฉียบคมลอบมองอีกฝ่าย สีหน้าหล่อนที่กำลังครุ่นคิดดึงดูดสายตาให้จับจ้องอยู่อย่างนั้น เธอน่าสนใจมาก… ดอกไม้ไฟน่ะเทียบไม่ติดแน่นอน
ต่อให้สะเก็ดไฟที่กำลังเริงระบำท่ามกลางความมืดจะงดงามสะกดสายตาหรือมีลูกเล่นแพรวพราวเพียงไหน ชิกามารุก็คิดว่ามันไม่อาจสู้หญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเขา ตัวหมากของฝ่ายตรงข้ามในเชิงเทินฝั่งเด็กหนุ่มเริ่มมากขึ้นแปรผันตามใบหน้าคร่ำเคร่งของเทมาริ เธอจมลงสู่ความคิดไตร่ตรองอันรอบคอบ เขาจึงยิ่งเพลิดเพลินมากขึ้นกับการเพ่งมองอารมณ์หลากหลานทางดวงหน้าสะสวยนั่น รอยยิ้มมีเลศนัยแฝงอยู่บนริมฝีปากที่มักแสดงออกซึ่งความเหนื่อยหน่าย มันสมองหลักแหลมพยายามคาดเดาถึงสีหน้าและปฏิกิริยาที่เจ้าหล่อนจะโต้ตอบยามรู้ตัวว่าเขากำลังจะจบกระดานหลังเผลอออมมือให้ผู้เล่นฝึกหัดคนนี้ลองสนามจนสามารถเก็บเกี่ยว เพิ่มพูนประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็วจากระดับความยากของการฟาดฟันกันโดยหมากแต่ละตัว ดอกไม้ไฟประดับทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ขับให้เสน่ห์แห่งราตรีโดดเด่นตราตรึง สีสันสดสวยสว่างวาบเข้ามาเจือปนแสงอุ่นๆ ซึ่งเรืองรองคับห้องใต้หลังคา บุตรชายบ้านตระกูลนาราลงหมากปิดท้ายพร้อมท่าทียียวนแบบที่ไม่เคยเผยต่อใครสักครั้งเดียว “รุกฆาต” – เด็กหนุ่มประกาศประกอบน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วจึงตามด้วยเสียงโอดครวญเพราะความเสียดายของคุโนะอิจิต่างหมู่บ้าน
ไม่น่าคาดเดาเลย มันส่งผลกระทบต่อเขามากเกินกว่าที่คิด นินจาผู้ใช้วิชาเงาถูกปุยนุ่นพร้อมความละมุนละไมอันเข้มข้นลึกล้ำที่ไม่เคยแสดงตัวโอบรัด ฉุดดึงเข้าไปอีกครั้งเมื่อสบดวงตาคู่สวย กระทั่งรอยยิ้มระรื่นซึ่งกำลังขบขันตัวเองของเธอ ชิกามารุเหวอไปขณะโดนจู่โจมกะทันหันโดยหญิงสาวผู้โน้มตัวเข้ามาหวังเพียงจะหยอกเล่นเช่นปกติดังเคย หากทว่าครานี้มีอิทธิพลกับชิกามารุรุนแรงเหลือเกิน อาจเพราะแสงสีส้ม รอยยิ้มจริงจิงเป็นธรรมชาติหรือสิ่งใดๆ ที่เด็กหนุ่มไม่สามารถหาเหตุผลได้ เขานึกขอบคุณกระดานหมากคั่นกลาง มิเช่นนั้นจิตใจคงเตลิดไกลอย่างที่ไม่เคยมีคู่ต่อสู้คนไหนหรือใครทำให้เกิดขึ้น จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเคยสิ หลายครั้งทีเดียวถ้าฝ่ายตรงข้ามคือเธอ เฉพาะแค่คุโนะอิจิแห่งซึนะ ทายาทตระกูลใหญ่เฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวต่อไปของอีกฝ่ายไม่วางตาเพื่อจะรับมือทันท่วงที หญิงสาวดูฉงนเล็กน้อยแต่ก็เอื้อมมือมาด้วยต้องการแกล้งเหมือนทุกครั้ง เธอลากเสียงยาวล้อเลียนแบบผู้หญิงขี้เล่น “เล่นครั้งแรกแล้วแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่มาแพ้นาคิมุชิคุงนี่สิ”
ทั่วทั้งร่างเด็กหนุ่มกระตุกก่อนร่างกายจะสั่งให้ดิ้นหนีโดยฉับพลันทันทีเมื่อมือนุ่มๆ ของหญิงสาวจากทะเลทรายปัดผ่านแก้มก่อนสะกิดโดนใบหู เขารู้สึกวูบหวิวขณะเรี่ยวแรงปวกเปียก สิ่งที่ฉุกคิดขึ้นคือต้องไม่ให้เจ้าหล่อนล่วงรู้จุดอ่อนของเขาเด็ดขาด ชิกามารุตีหน้ากลบเกลื่อนครั้นเห็นสาวเจ้างุนงง แต่สภาวการณ์เริ่มวิกฤตอย่างเห็นได้ชัด เทมาริหรี่ตามองเขาคล้ายกำลังประเมินบางสิ่งที่เขาสัมผัสถึงความอันตรายบนรอยยิ้มกรุ้มกริ่มซึ่งทำให้ดวงหน้าหวานคมเหมือนถูกเคลือบด้วยยาพิษรสเลิศอันหอมหวาน แม้ต้องการจะกระเทิบห่างอย่างไรหากมือเรียวสวยคู่นั้นก็จับหูเขาอีกครั้งสำเร็จ ราวกับกระแสไฟฟ้ามหาศาลวิ่งผ่านชั่วเสี้ยวหัวใจเต้นจังหวะเดียว เขาทิ้งตัวลงกับพื้นเริ่มปัดป้อง กลั้นหัวเราะและสั่นสะท้านในคราวเดียว
“ว่าแล้วเชียวนายให้ใครแตะโดนหูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ น่ารักจังน้า-” มือของเด็กหนุ่มซึ่งแกว่งไกวสะเปะสะปะหาทางป้องกันจุดอ่อนเมื่อครู่ จับไหล่เทมาริที่ย้ายฝั่งตัวเองมาแกล้งเขาให้ถนัดมือได้ในที่สุด เด็กหนุ่มเลื่อนนิ้วลงเกาะกุมข้อมือบางเพื่อพันธนาการเธอชั่วขณะ เขาหอบหายใจเพราะหัวเราะอย่างหนักแม้จะพยายามสะกดไว้เต็มขีดจำกัด เหมือนร่างกายไม่ใช่ของตนอีก เสียงหัวเราะยังคงดังแผ่วๆ ควบคู่จังหวะหายใจไม่สม่ำเสมอ ชิกามารุนอนเหยียดบนพื้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนส่งผ่านอารมณ์หมันเขี้ยวไปยังหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ตัวพร้อมโน้มร่างเพรียวบางเข้ามาหา ใบหน้าเด็กหนุ่มบ้านนาราซึ่งครั้งหนึ่งเคยเบื่อหน่ายเปรอะเปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการผู้ชั่วร้ายกับสติปัญญาคมคายปล่อยมือ อาศัยจังหวะเพียงพริบตาก็จับเอวเจ้าหล่อนให้ล้มลงกับพื้น มือคอยรับหลังไม่ให้กระแทก แต่ความปราณีจะมีแค่เท่านั้น เธองอตัวทั้งยังเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาบ้างตอนเขาสัมผัสต้องเอวเหมาะมือ สถานการณ์เข้าทางตามความมุ่งหมายทุกประการ – “เธอนั่นแหละน่ารักยัยโหด บ้าจี้ที่เอวนี่มันสุดคลาสสิกเลยนะ น่าเบื่อไม่น่าสนใจเลยแหะ” พูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพร้อมยั้งเสียงหัวเราะตัวเองไปด้วย เทมาริไม่ยอมสุดฤทธิ์ เธอหัวเราะจนตาหยีน่ามองไปอีกแบบ ยูคาตะยับยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเมื่อต่างเกลือกกลิ้งไปกับเสื่อทาทามิ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่หยุดเล่นสนุก นารา ชิกามารุยกสะโพกกลมกลึงขึ้นตอนเธอบุกเข้ามาไม่ลดละ ทว่าผลัดกันเอาคืน ครั้งหนึ่งได้เป็นผู้ถือไผ่เหนือกว่าแล้วก็เปลี่ยนสถานะลงมาเป็นเหยื่อ สลับบทบาทไปมาอยู่อย่างนั้น แม่นกบนรังเบิกม่านตามองครั้นแล้วก็ต้องตัดใจผงกคอหลับดังเดิมเมื่อแน่ชัดว่าสงครามขนาดย่อมและค่ำคืนนี้คงดำเนินอีกยาวไกล เสียงหัวเราะสนุกสนาน – โดยมากเป็นของหญิงสาวที่จนแต้มจะสู้แรงฝ่ายตรงข้าม – ผสมเสียงป้องปรามผนวกถ้อยคำหยอกเย้าพอประมาณเจ็บๆ คันๆ ดังต่อเนื่องไม่หยุด เติมแต่งเที่ยงคืนไม่หลับใหลให้เป็นเช่นอนันตกาล
5.
นินจาประจำฝ่ายเหลือเพียงหยิบมือ หนึ่งในนั้นคือทายาทตระกูลนาราผู้ลอยตัวเหนือการดำเนินอยู่ของสิ่งรอบด้าน เขาเลือกนั่งรอบนโต๊ะริมหน้าต่างขณะความรู้สึกตีกันเองอยู่ในจิตใต้สำนึกซึ่งโดยมากคือความใจหายอันหวิวโหวง
อีกด้านของหน้าต่างคือตัวหมู่บ้านโคโนะฮะงาคุเระ สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่ที่ลดหลั่นสลับซับซ้อนกันตามมุมมองระนาบพื้นกระจายออกเป็นบริเวณกว้างจากศูนย์กลางหลัก หอข่าว – อาคารทรงกลมรัศมีกว้าง สถานที่ประจำการสำหรับผู้รั้งตำแหน่งสูงสุด โฮคาเงะ สัญลักษณ์คำว่าไฟโดดเด่นท่ามกลางหน้าผารูปสลักต่างฉากหลังอันขึงขัง ชิกามารุเหม่อมองท้องฟ้าเวิ้งว้างตามปกตินิสัยถึงตัดสินได้อย่างเชี่ยวชาญว่าวันนี้อากาศดีที่สุดในรอบหลายวัน เมฆจับกลุ่มเป็นก้อนหนาขนาดหย่อมๆ ทั่วทั้งอาณาเขตสีครามกระจ่าง บ้านเรือนบางหลังยังหลงเหลือหลักฐานจากเทศกาลโคมไฟเมื่อสัปดาห์ก่อนคือเรื่องปกติ เหตุเพราะการประดับโคมที่หน้าประตูจวบจนเหมันต์มาเยี่ยมเยือนคือการต้อนรับฤดูหนาวและบอกลาใบไม้ร่วงโดยสมบูรณ์ ทว่ากระนั้นเครื่องทำความร้อนภายในห้องก็ถูกยกออกมาใช้งานแล้ว กาน้ำซึ่งวางพิงไฟด้านบนพ่นไอเอื่อยๆ พรมปูพื้นจึงมีร่องรอยหยดน้ำกระเซ็น ห้องทำงานประจำฝ่ายประสานงานมักมีมนต์ขลังตลอดเวลาเนื่องด้วยเก่าแก่พอๆ กับตัวอาคารที่มันอยู่แต่ความสะดวกสบายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย แม้มีแบบแผนเก่าแก่หากไม่โบราณคร่ำครึ จะบอกว่ามีรสนิยมคงได้ หอทำการในโคโนะฮะส่วนใหญ่ก็มักจะมีรูปลักษณะเช่นนี้คล้ายคลึงกัน
‘…น่าเบื่อจริง ไปพบโฮคาเงะถึงไหนกันนานชะมัด’ การรอคอยโดยที่รู้แน่แก่ใจว่าตอนจบไม่เป็นดังต้องการกระตุ้นให้อารมณ์เหนื่อยหน่ายรุนแรงอีกเท่าตัว อันที่จริงเด็กหนุ่มหงุดหงิดเพราะถือว่าตนเป็นผู้ดูแลแต่กลับถูกคำสั่งไม่ให้รับรองนินจาจากหมู่บ้านแห่งทรายเข้าพบโฮคาเงะเพื่อรายงานภารกิจเชื่อมสัมพันธไมตรีก่อนเดินทางกลับหลังสิ้นสุดภาระหน้าที่ยังโคโนะฮะงาคุเระ เขาหมุนดินสอเล่นหวังสงบความไม่สบอารมณ์ กลิ่นส้มจางๆ ลอยแตะจมูกพาลให้นึกถึงหญิงสาวผู้แข็งกร้าวและเหตุการณ์แวดล้อมครั้งนั้นที่นำพาหลายสิ่งหลายอย่างผ่านมาจนปัจจุบัน ทายาทตระกูลนารามองถุงหนังขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้าขณะพยายามบังคับให้ตัวเองเชื่อว่าได้ทำตามสัญญาแล้วแม้จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็เถอะ เขากวางชั้นดีห่อกระดาษไขอยู่ด้านในคือสิ่งทดแทนสำหรับชดเชยที่เขาไม่ได้พาหล่อนกลับไปยังป่าของตระกูลเพื่อชมดอกไม้ซึ่งกำลังเบ่งบานก่อนโรยราเมื่อสิ้นสุดใบไม้ร่วงดังที่เธอชอบ
เครื่องทำความร้อนส่งเสียงครืดคราด ในห้องเหลือเพียงเด็กหนุ่มแห่งตระกูลนาราเพียงคนเดียว สีหน้าภายนอกนั้นเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อน ทว่าลึกลงไปกลับว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้เวลาทำหน้าที่อย่างเถรตรงเพราะเธอจะต้องไปแล้ว แต่อย่างไรเสียทุกคนก็ไม่อาจหนีความเป็นจริงพ้น มนุษย์มักถูกบังคับให้ปล่อยความจริงที่ต้องเผชิญนั้นเดินไปตามครรลองเสมอมา ชิกามารุก็เช่นกัน จะปฏิเสธสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เขาไม่ใช่พวกเหลาะแหละหรืออ่อนแอไม่กล้าสู้ ครั้งหนึ่งก็เคยถูกหญิงสาวผู้มาจากทะเลทรายสั่งสอนมาแล้วโดยอาศัยเหตุการณ์ที่เป็นบทเรียนอย่างดี ‘นาคิมุชิคุง…’ เธอเริ่มหยอกเขาก็ตรงนี้
ทว่ากระนั้นชิกามารุกลับรู้สึกเฉยที่แสดงจุดอ่อนหนึ่งให้คนแปลกหน้า – แต่ตอนนี้ไม่แล้ว – อย่างเทมาริได้เห็น หากเพราะเป็นเธอเสียอีก กับคุโนะอิจิแห่งซึนะเขายิ่งเป็นตัวของตัวเอง เด็กหนุ่มหลุดออกจากวังวนความคิดและห้วงความทรงจำซึ่งปรากฏชัดเหมือนจะย้ำเตือนกันว่าที่ผ่านมาดีอย่างไร ล่าสุดที่ส่งเธอถึงบ้านพักหลังดอกไม้ไฟพร่างพรายทั่วท้องฟ้าจบลงก็ไม่ได้พบกันสักครั้ง ฉะนั้นโดยไม่อาจปฏิเสธใครบางคนได้ตักตวงความสุขโดยไม่รู้ตัวจนถึงตอนที่มันหมดไป – นารา ชิกามารุลุกขึ้นเพื่อหน้าที่รับผิดชอบครั้งสุดท้ายในฐานะนินจารับรองหน่วยย่อยของซึนะงาคุเระ เมื่อโสตประสาทจับสังเกตความเคลื่อนไหวบริเวณโถงทางเดินบ่งบอกถึงบุคคลผู้มาเยือน ลึกลงในใจมีแต่ความว่างเปล่าเหมือนมีรอยรั่วที่ไม่อาจหาพบค่อยๆ ขยายตัวกัดกินอยู่จุดใดสักแห่งบนหัวใจกลวงเปล่า เนื้อหาคำพูดเอาแต่ใจสะท้อนกึกก้อง
ทั้งที่เขายอมรับและซื่อสัตย์กับความจริงมาโดยตลอด หากความรู้สึกที่อยากจะกล่าวคำลาไม่หลงเหลืออยู่เลย เด็กหนุ่มบ้านนาราประหวัดถึงเรื่องราวซึ่งร่วงหล่นลงบนผืนความทรงจำประหนึ่งเม็ดฝนพร่ำ ดวงตาสีเขียวของเทมาริพร่าพรายด้วยความฉงนเมื่อเห็นนาคิมุชิคุงนิ่งเฉยหลังจากไม่ได้พบกันสักพักใหญ่ เธอยังคงจดจำเทศกาลที่รัตติกาลถูกแสงไฟเจือจางความมืดมิดลง ความสว่างไสวเอ่อล้นท่ามกลาง โคมกระดาษหลากหลายรูปแบบประดับประดาค่ำคืนดังมนต์สะกด เสียงดอกไม้ไฟกึกก้องกลมกลืนเข้ากับความสงบเงียบของป่าขณะเด็กหนุ่มพยายามออมมือแต่ก็รุกฆาตเพื่อหวังจะแกล้งกันในตอนสุดท้าย เธอจึงพบว่าเขามีจุดอ่อนไหวตรงไหน พวกเราหัวเราะออกมาทั้งยังล้มกลิ้งบนพื้นเมื่อเธอจี้จุดอ่อนเด็กหนุ่มหน้าตายจอมขี้แกล้งที่พยายามกลั้นหัวเราะสลับเสียงห้ามปรามจนน้ำตาไหล หน้าขาวๆ แดงก่ำ หลังจากเล่นสนุกเสียเนิ่นนานเขาก็รับผิดชอบพาไปส่งถึงที่เหมือนตอนมารับตามสัญญาเชื้อเชิญทุกกระเบียด เป็นความจริงว่านาคิมุชิคุงคนที่แอบเหยียดเพศหน่อยๆ เป็นสุภาพบุรุษพร้อมให้เกียรติเพศตรงข้ามมากมาย ช่างขัดแย้งกันอย่างเหลือเกิน คุโนะอิจิแห่งทะเลทรายขยับเข้าใกล้ชิกามารุตอนเขาเอ่ยปากด้วยประแสเสียงติดจะรำคาญตามนิสัย “ไปกันหรือยัง สายมากแล้ว”
.
นอกจากน้องชายทั้งสองคนที่สร้างบรรยากาศอึดอัดตลอดเส้นทางแล้ว เด็กหนุ่มจอมเหนื่อยหน่ายเองก็มีสีหน้าอึมครึมไม่น้อยกว่ากัน ดวงอาทิตย์ซ่อนหลังปุยเมฆอวบอ้วนซึ่งเกาะกลุ่มบางตาเหมือนตวัดทาสีขาวด้วยแปรงขนาดใหญ่ออมแสงที่สาดส่องลงมาให้โคโนะฮะงาคุเระตกอยู่ใต้เงาร่มก่อนเที่ยงวันจะคืบคลานเข้าแทน นกกระจาบฝนบินวนเป็นวงกลมท่ามกลางสีฟ้าครามคล้ายจะหาเหยื่อ บางครั้งผิวเนื้อก็สัมผัสลมที่มีกลิ่นอายเหมันต์ คลอเคลียอย่างแผ่วเบา หญิงสาวผู้เคยชินกับความร้อนระอุเหนือผืนทรายกว้างสุดคณานับรู้สึกคิดถึงเมื่อต้องลาจากความอ่อนโยนของฤดูใบไม้ร่วงในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ความเหงาจับตัวประดุจน้ำแข็งเย็นๆ ขณะต่อสู้กับการสรรหาคำลา ทว่านั่นยังไม่สำคัญเท่าต้องหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งซึ่งกำลังปะทุ ท่อนขาสมส่วนเร่งความเร็วขึ้นจนทันฝีเท้าเรื่อยเฉื่อยของเด็กหนุ่มผู้ดูแลเพื่อพยายามแก้ไขความบาดหมางระหว่างเด็กหนุ่มต่างหมู่บ้านและน้องชายคนเล็ก กาอาระ ที่ต่างเป็นเหล็กร้อนๆ ยามกระทบเสียดสีกันก็ออกมาเป็นสะเก็ดไฟพร้อมลุกลามหากไม่รีบควบคุม ชิกามารุหันหน้าตอบพลางขยับคอแทนคำถาม พอสบตาเธอ อารมณ์ขุ่นมัวพร้อมคิ้วขมวดเคร่งก็เลือนหาย “มีอะไร อย่าทำหน้าน่ากลัวอย่างนั้นสิยัยโหด”
“ถ้าคิดว่าน่ากลัวนักก็ฟังแล้วปฏิบัติตามซะนาคิมุชิคุง ถึงจะขอได้แค่นายคนเดียวก็เถอะ แต่น่าจะดีขึ้นถ้านายเลิกทำหน้าซังกะตายได้แล้ว แค่นี้บรรยากาศก็หดหู่…” สภาพการณ์ไม่เป็นมิตรจากอสูรผู้รักตนเองที่เดินรั้งท้ายยังคงแทรกซึมทั่วและทายาทตระกูลนาราซึ่งสัมผัสความขุ่นข้องนั้นได้ก็ไม่ต้องการยอมแพ้ เหตุเพราะก่อนหน้านี้เมื่อสักครู่เขามอบเขากวางที่ซึนะงาคุเระออกปากขอให้เทมาริไป เจ้าทานุกิหัวแดงนั่นถึงขุ่นในอารมณ์เสียมากมาย ผนวกกับเหตุการณ์ครั้งก่อนในบ้านพักรับรองก็ยิ่งเหมือนเติมฝืนชั้นดีลงกองเพลิง ชิกามารุสอดมีเข้ากระเป๋ากางเกงพลางรีดหน้ากลับเป็นปกติ ดวงตาสีเขียวครามพิจารณาใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม หญิงสาวแห่งทะเลทรายเริ่มเจอปัญหาแก้ไม่ตกเนื่องจากคนที่กำลังมีอิทธิพลต่อเธออย่างมากมายคือเด็กหนุ่มหน้าตายที่มักบ่นน่าเบื่อน่ารำคาญ แถมยังติดจะเหยียดเพศอยู่หน่อยๆ หากอยู่ด้วยแล้วรู้สึกดี เขาหยิบยื่นความจริงใจมาให้อย่างมากมาย – เทมาริเม้มปาก ความเหงาน่าใจหายเป็นประหนึ่งน้ำที่เริ่มจับตัวแข็งอีกครั้ง “นายน่ะเป็นอะไรไม่เห็นเหมือนทุกทีเลย”
ร่างสะโอดสะองก้าวขนาบข้างเด็กหนุ่มด้วยความเร็วเทียบเท่ากัน ถ้าจะมีบางสิ่งซึ่งเธอหาไม่ได้จากที่ไหนอีกก็คงเป็นความสุขสงบที่ได้รับจากชิกามารุ – เด็กหนุ่มต่างหมู่บ้านนิ่ง ครั้นแล้วก็จำต้องยอมรับด้วยคำพูดเพราะเห็นความไม่สบายใจบนดวงหน้าสะสวย เขาถูกทำให้ยอมแพ้ทุกที “ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกไปตรงไหน แค่คิดว่าอีกนานกว่าจะได้เจอกันเลยเหงานิดหน่อยเท่านั้นเอง ตอนอยู่กับเธอมีเรื่องมากมายตั้งขนาดนั้นนี่” – เขากลบกลืนความสับสนแถมทั้งความเอาแต่ใจอันดื้อรั้นที่คอยรบเร้าว่าไม่อยากให้เธอไป เพราะนารา ชิกามารุไม่ใช่คนชอบยึดติด ทว่าเหมือนเมฆอิสระลอยตามลมสบายๆ มากกว่า ความที่เป็นคนอย่างนี้ถึงไม่อาจเข้าใจความสับสนในอก อันที่จริงเขาไม่ปล่อยให้ความวุ่นวายยุ่งเหยิงนี่อยู่ในความใส่ใจมากเกินสมควรเลยแม้แต่น้อย แค่เพียงมันคอยวูบผ่านเรื่อยๆ เพื่อสะกิดให้รู้สึกใจหายเท่านั้น เด็กหนุ่มบ้านนาราเริ่มตกที่นั่งลำบากเพราะไม่รู้ว่าเทมาริกำลังกลายเป็นข้อยกเว้นของตัวเอง เขาทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนเฉพาะเธอคนเดียว และมักมีความรู้สึกแปลกใหม่มากมายอย่างที่เคยไม่รู้สึกกับเธอด้วย แต่ถ้าชิกามารุจะทันคิดว่านั่นเป็นปัญหาก็คงต้องรอให้เจ้าตัวรู้ตัวก่อนว่าได้ยกคุโนะอิจิแห่งซึนะให้พิเศษกว่าคนอื่นอย่างไร
“จริงเหรอ งั้นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่แหะ รู้ไหมถึงจะนานแต่ถ้าเด็กขี้แงอย่างนายไม่เสียน้ำตาหมดตัวจนแห้งตายซะก่อนก็คงได้เจอกันอีกแน่” ตอนชิกามารุหันมองหญิงสาวนั้น เธอกำลังจับจ้องผืนฟ้าอยู่ “…นายชอบมองท้องฟ้า ก็คิดซะว่ายังไงก็ยังมองท้องฟ้าเดียวกันอยู่ก็แล้วกัน”
“หึ เธอก็เป็นอย่างนี้ล่ะนะยัยโหด” ถ้อยคำเหล่านั้นสะกิดความคิดเด็กหนุ่มและยิ่งย้ำความมั่นใจที่ว่าเธอพิเศษกว่าใครๆ เทมาริพูดถูกต้องทุกประการ เขาคงคิดแบบนั้นถ้าความรู้สึกแสนเอาแต่ใจนี่ไม่มาบดบังเหตุผลที่เขาสามารถหามาลดความหวิวโหวงในใจเสียก่อน ชิกามารุค่อนข้างถูกใจเธอทีเดียว เขากระตุกยิ้มอย่างที่ทำไม่บ่อยนัก พุ่มไม้เหนือคันดินบนรั้วหินที่ก่อขึ้นต่อจากพื้นเอนไหว กิ่งก้านคลอนเล็กน้อยตามลมผิวผ่าน ใบไม้จึงปลิดปลิวร่วงหล่นย้อมพื้นหญ้าให้เป็นสีน้ำตาลอมส้ม ครั้นทางเดินเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลานโล่ง ประตูของโคโนะฮะงาคุเระก็ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าท้าทายการมีอยู่ของผืนนภาสีครามไปเกือบครึ่ง ชิกามารุหยุดฝีเท้า นินจาแห่งซึนะงาคุเระเดินขึ้นมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มต่างหมู่บ้าน หญิงสาวคนข้างๆ ก็เช่นกัน เธอย้ายไปอยู่อีกฝั่งพร้อมน้องชาย ถึงเวลาของคำลาแล้ว สิ่งที่มนุษย์เราไม่ต้องการมักมารวดเร็วเสมอ – “งั้น… ขากลับดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
นินจาผู้ครอบครองหุ่นเชิดตอบรับขณะน้องชายตัวเองกอดอกนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยอะไรเสมือนกล่าวอำลากลายๆ เทมาริก็เช่นกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวบรัดตามประสานินจาซึนะที่ไม่ชอบสุงสิงกับคนต่างหมู่บ้าน ชิกามารุมองแผ่นหลังเล็กๆ ของเจ้าหล่อนห่างออกไป น้อยครั้งนักที่เขาจะสนใจเรื่องพรรค์นี้ หากก็ไม่ปฏิเสธถ้าจะบอกว่ากำลังรอคำลาที่แท้จริงจากปากคุโนะอิจิแห่งซึนะ เมื่อได้ยินก็จะถือว่าหน้าที่รับผิดชอบเขาสิ้นสุดลงด้วยประโยคเดียวของเธอ มันเป็นสามเดือนที่รวดเร็ว สามารถทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงทั้งยังพัฒนาขึ้น เพราะคนทั้งคู่มีอะไรคล้ายๆ กันถึงเข้ากันง่าย ต่างทำอะไรที่ไม่เคยทำให้คนอื่นเห็นต่อหน้าอีกฝ่าย ถ้าพวกเขาจะรู้ว่ากำลังเผลอตัวปล่อยให้อดีตคู่ประลองเข้ามามีอิทธิพลมากกว่าที่ใครเคยเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยก็คงไม่มีความรู้สึกเหงาเช่นตอนนี้หยดลงบนก้นบึ้งของจิตใจ จากคู่ต่อสู้ที่เคยประหัตประหารกันจนถึงที่สุดก็กลับกลายเป็นความสัมพันธ์อันดีในแบบหนึ่งที่ไม่เคยรับหรือให้กับคนไหน เธอเป็นเพื่อนคนพิเศษและเขาก็เป็นเช่นนั้นสำหรับเธอไม่ผิดแผกกัน ในท้ายที่สุดหลังหลายเหตุการณ์ผันผ่านพวกเขาก็ดึงดูดกันจนเห็นเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นคู่คนที่สนิทสนม โคจรรอบกันและกันไปเสียแล้ว ชั่วขณะหนึ่งใบหน้าที่คุ้นเคยตลอดสามเดือนก็หันกลับมา ดวงตาคู่สวยเหลือบมองพลางกล่าวทิ้งท้าย “ถ้ามีอะไรทางเราจะช่วยเอง ตอนนั้นก็อย่าลืมบอกล่ะนาคิมุชิคุง”
…นี่เป็นการลาจากที่ดีแล้ว เด็กหนุ่มทายาทตระกูลนารากระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจถึงที่สุด “พูดเกินพอดีไปนิดนะ ผู้หญิงก็งี้ล่ะน้า”
つづく.
จบบทแล้วค่ะ ; w ; ยอมรับว่าบทนี้ดูดพลังชีวิตสุดๆ เลยค่ะ 555
เพราะเหมือนจะต้องดึงเอาความรู้สึกของตัวละครออกมาให้พอดีพอเหมาะ
ฉะนั้น ถ้าตอนนี้เวิ่นมากไป ผิดพลาดตรงไหนสามารถติชมกันได้ตามสะดวกค่ะ
มีอะไรก็วิจารณ์ได้นะคะ คนเขียนเชื่องและไม่กัด ('///u///')
อยากจะพัฒนาฝีมือตัวเองด้วย ( ///v/// )ゞ
สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับจำนวน fav. ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ดีใจมากๆ เลยล่ะค่ะ
ฟิคเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ อบอุ่นและละมุนละไมเรื่องนี้ขอฝากตัวกับทุกท่านอีกครั้งนะคะ ♡
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามฟิคเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตที่เพิ่มขึ้น
รวมถึงคอมเม้นท์ดีๆ ที่เป็นกำลังใจให้ได้ตลอด รักนักอ่านทุกคนมากๆ เลยค่ะ (///v///)
………………………………………………………………………………....................
ความคิดเห็น