ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [sf] Depending on the mood. chanbaek

    ลำดับตอนที่ #1 : beauty and the beast.

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 58




    beauty and the beast
     
               กาลครั้งหนึ่ง เนิ่นนาน ณ.สลัมสถานที่ใครล้วนไม่ปราถนา สถานที่ไม่เจริญทั้งยังครำคร่าไปด้วยกลิ่นชวนให้อาเจียนอีกสิ่งปฎิกูล เชื้อโรคทั้งหลายเหล่นำไปสู่หายณะแห่งชีวิต แต่ใครจะรู้เล่ามีเพียงหนึ่งบ้านเท่านั้นที่ดูหรูหราที่สุดเพราะสร้างด้วยอิฐเหมือนบ้านในนิทานหมู3ตัว ทั้งแข็งแรง ทนทานกว่าไม้และฟางที่พวกอ่อนค่าเขาสร้างกัน 

    แต่บุคคลที่ใคร่อยู่ควรยากจนนี่ แต่ตระกูลบยอนราชวงศ์ตกท้ายกลับมาอยู่ เพราะเหตุใด ก็เมื่อที่นาแพงหูฉี่ แต่ที่สลัมกับไม่เท่าไหร่ แม้นทิวทัศน์ไม่งามแต่พออยู่ทนอดซูได้ ก็น้อมรับ

    "คุณพ่อจะออกทางนอกเมืองเมื่อไหร่หรอค่ะ?" หญิงสาวคนโตนาม 'บยอนเซฮี' พูดและใช้สายตาคู่นั้นมองที่บิดาอย่างฉงน

    "พรุ่งนี้เป็นต้นไป ปจวบ3เดือนได้เล่าลูกพ่อ อยากได้อะไรกันหละ พ่อยินดีซื้อให้ลูกทั้ง3 สบายใจ" บิดากล่าวกับลูก หากแต่สายตาไม่ลดละจากกระเป๋าเก็บเสื้อผ้าใบนั้น

    "ดิฉันอยากได้ตุ้มหู" คนโตกล่าวแล้วใช้มืออวดใบหูที่มีตุ้มหูเพชรคาที่ติ่ง


    "ดิฉันอยากได้สร้อยคอ แบบเพชรนะค่ะ" คนกลางนาม'บยอนซูฮี'กล่าวเฉิดฉาย ชูคอให้ดูสง่า เชิดหน้าหยิ่งยโส


    "แล้วลูกหละ บยอนนิม" บิดาละมือจากกระเป๋า หันหาลูกคนเล็กแล้วเรียกชื่อที่ตนเรียกประจำทุกครั้งที่นึกเอ็นดู

    "ลูกไม่อยากได้อะไร" คนเล็กกล่าวปฏิเสธ ย้อนยิ้มหวานเคลือบให้บิดาได้ชื่นใจ


    "แต่พ่ออยากให้ลูกนี้ เพียงสักอย่างที่เจ้านึกได้หรือฝันถึงก็ได้ ลูกเอย" ชายแก่กล่าววาจานุ่มนวลกับบุตรคนเล็ก ครั้นเดินเท้ามาโอบบ่าเล็กอย่างนึกเอ็นดู


    "อย่างนั้น คืออะไรก็ได้ใช่ไหมคุณพ่อ" คนเล็กกล่าวถาม สิ้นคำบิดาพยักหน้าเห็นชอบ

    "ลูกอยากได้ กุหลาบสีเลือดที่ออกดอก3ดอกในหนึ่งกิ่ง หาให้ลูกได้ไหม?"




    .
    .
    .
    .
    .
    ฤดูโฉดเข้ามาถึง คือฤดูหิมะนั่นแล ฤดูที่อ้างว้าง ไร้ผู้ร่วมชีพเดินทาง แต่ไฉนเล่าชายแก่พบเจอกุหลาบ3ดอกใน1ช่อ หรืออย่างไร หามาได้ง่ายอย่างกับเรื่องเล่า บิดาไม่รีรอเดินไปเด็ดเก็บมาไว้ไปฝากลูกคนเล็กของตนอย่างไม่คิดหลัง


    ครั้นไม่ถึงอึดใจ อสูรร้ายเผยร่างให้ได้เห็น ด้วยม้าที่ตกใจจนทำให้เตลิดจนชายแก่ตกลงหลังม้า แล้วม้าตนนั้นวิ่งสาบสูญ 

    "รู้หรือไม่นี่คือสิ่งล้ำค่า! แค่แตะต้องยิ่งกว่าโทษมหันต์ อยากตายงั้น ฤ?" อสูรโฉดตระกรามถามชายแก่

    "ข ข้า ข้า ต้องการดอกกุหลาบไปเพียงไว้ให้ลูกชายได้เชยเป็นของขวัญเพียงเท่านั้น ปล่อยข้าไปเถิด" ชายชราอ้อนวอนขอชีวิต

    "สิ่งใดเพื่อแลก?" อสูรย้อนถาม

    "ท่านต้องการอะ อะ ไร?" ชายแก่น้อมรับ


    "ลูกชายที่กล่าวถึง ให้เป็นบำเรอเพื่อแลก ยอมหรือไม่" อสูรชี้ข้อเสนอ

    "ข ข้า ." ชายแก่กะอักกะอ่วน กับข้อเสนอ

    "กับชีวิตเจ้าด้วย จะเอาหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสิน" อสูรใช้สี่เท้าย่ำวนรอบๆชายแก่ให้กดดันกับข้อเสนอ

    "ข้า ข้า.." ชายแก่กำมือทั้งสองอบ่างนึกตัดสินใจ 

    "ข้าไม่ชอบคอย!!" อสูรคำรามดังก้องทั่วขู่ให้ชายแก่รีบตัดสินข้อเสนอ


    "ข้า ยอม ยอม ลูกชายข้าไม่นานแน่แท้ ท่านจะได้เชยชม" ชายแก่ตอบข้อเสนอเห็นแก่เพื่อตนให้ได้รอดแล้วยอมแลกลูกชายเพื่อไปบำเรอกับอสูร


    .
    .
    .
    .

    ม้าตัวเดิม ย่ำเท้าเดินวนกลับบ้าน แต่ไฉนไม่มีผู้บังคับการบนหลัง หญิงทั้งสองชายหนึ่งเกิดฉงนในใจแต่ไม่เนิ่นนานบิดากลับมาพร้อมใบหน้าอาบเลือดและดอกกุหลาบ3ดอกใน1ช่อกิ่ง เดินโซซัดโซเซจนคนเป็นลูกกรู่เข้าหาอย่างใจร้อนรน 

    "คุณพ่อโดนอะไรมาหรือ?"

    "ทำไมถึงเป็นเช่นนี้เล่า?"

    "ใครทำกัน?"

    หลายตำฉงนถูกถามลงให้เข้าหูเพียงอย่างเดียวก่อนที่ชายแก่จะสลบเพราะด้วยพิษไข้



    ไม่เนิ่นนานข้ามวันชายแก่ฟื้นขึ้นมาพบเจอความเจ็บปวดสุดระทมจนลืมตาไม่ขึ้น


    "คุณพ่อฟื้นแล้วหรือ?" คนเล็กถามพลางยื่นแก้วน้ำสะอาดประกบปากบิดาอย่างรู้ใจ

    บิดาไม่กล่าวอะไร นอกจากจะพยายามหลับตาพักเพราะไม่มีแรงเสวนาต่อกับใครทั้งสิ้น


    "เล่าให้ลูกฟังได้หรือไม่ว่า เกิดอะไรขึ้น" คนเล็กถามแต่ไม่เร่งรัดให้ตอบ


    "กุหลาบหละบยอนนิม" บิดากล่าวลูกคนเล็ก


    "อยู่นี่" คนเล็กยื่นดอกไม้ปัญหาให้บิดาของตน


    หลังจากนั้นบิดาเล่าท้าวตั้งแต่ตนจนถึงตอนนี้ให้คนเล็กฟัง อย่างนึกโทษตนเอง


    เมื่อคนเล็กได้ฟังไม่เกิดนึกโทษบิดาว่าเห็นแก่ตนเพราะหากเป็นตนก็คงทำเช่นกัน


    .
    .
    .
    .

    หลายฤดูกาล หลายนิทานที่ได้ฟังจากพวกเดินเท้ามาเล่าให้เด็กในสลัมได้ฟังล้วนมีความสุขทั้งเพล แต่ไฉนใครนู้บ้างความจริงต่างจากฝัน นิทาน นิยายเป็นไหนๆ เพราะเหล่านี้เป็นแค่เรื่องกุขึ้นมา จบด้วยการแต่งงาน มีลูก สุขสบายเงินทองไหลมา จากที่ใด ใครจะรู้ แค่กุขึ้นมาว่าฝนเกิดเป็นเงินหรือย่างไร


    "คุณพ่อ ลูกต้องจากไกลแล้ว เพื่อทดแทนพระคุณ " หนุ่มน้อยก้มกราบทาบเท้าบิดา


    "อย่างไร เจ้าต้องโชคดี" บิดากล่าวลา ลูบหัวอลูบหลังส่งท้ายการจากไกลของลูกสุดดวงใจ


    "ขอบพระคุณมื้ออาหารที่บิดายอมเหนื่อย เพื่อให้ลูกได้โต นี่แล้วคือการเป็นตอบแทน เพื่อไถ่ชีวิตท่านจากอุ้งมืออสูร" เด็กหนุ่มน้อมก้มจากลาครั้งสุดท้าย แล้วเดินเท้าเข้าไปยังทางที่บิดากล่าวเอาไว้ก่อนหน้า 


    ก้าวเท้าที่แสนเหน็บจนเริ่มชาเรื่อยไปจนพบปราสาทหินเก่าแก่คร่ำครากูหน้าเกรงขาม 


    เด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินหน้าอย่างเกรงกลัว พลันเปิดประตูเข้าหาภายใน พบเจอลักษณะปราสาทดูธรรมดาเหมือนดั่งจินตนาการ


    เด็กชายย้อนนึกถึงนิทานที่ตนเคยคุ้นหูเมื่อยังเยาว์คือเรื่องโฉมงานกับเจ้าชายอสูร ที่เจ้าชายโดนสาปเป็นอสูรไม่เพียงแค่เจ้าชายแต่ทั้งวัง คนใช้หรือแม้นแต่สัตว์เลี้ยงกลายเป็นเครื่องใช้ไปหมด


    "มาแล้วงั้นหรือ" เสียงทุ้มใหญ่ฟังไม่คุ้นลอยวนในบ้านจนทำให้เด็กน้อยสะดุ้ง


    "ข ข้า มาเป็นนางบำเรอแก่อสูร ผู้มีพระคุณ" เด็กชายก้าวซ้ายขวาอย่างพินิจยืนหยุดกลางศูนย์วัง


    "ฮึ พระคุณหรือ " เสียงทุ้มยังกล่าวต่อแต่ไม่มีต้นตอของผู้กล่าวจัเผยโฉมเลย


    "ข้าอยากให้ท่านประจักษ์ต่อหน้าข้า" เด็กหนุ่มกล่าวท้าทวน

    "หึ ใจกล้า หรือเพียงลมปาก แต่ใจเซาะกันแน่"อสูรกล่าวยียวน


    "ข้าเปล่า ทั้งสองอย่าง เพียงอยากพบท่านว่าพระพักเป็นเช่นไร แค่นั้น" 

    "ถ้าเจ้าเห็นมีอะไรมาประกันว่าเจ้าจะไม่หาย" 

    "ชีวิต"

    จบประโยคพาทีอสูรเดิน4เท้ามายังแสงอาทิตย์ก่อให้ประจักษ์แก่สายตาย ร่างน้อยๆคล้อยสั่นเพราะต่างจากที่เคยจินตนาการไว้มากโข


    "แค่นี้ก็กลายเป็นลูกนก" อสูรเยาะ

    "ลูกนกก็เติบโตเป็นนกที่แข็งแรงและบินได้เช่นกัน" บยอนตรอกกลับไม่รู้เบื้องสูง

    "ก็ลองบินดู จะจับชีกปีกให้บินไม่ได้ตลอดกาล" อสูรกระซิบแหบข้างใบหูระเรือ


    .
    .
    .
    .

    .
    .
     

           นิทานย่อมนิทาน ใครเล่าเคยฉงนหรือไม่ว่าแท้จริงนิทานโหดร้ายยิ่ง ถูกปรับให้สวยงามจนเด็กเอ๋ย ผู้ใหญ่เอ๋ยยังหลงไหลต้องการในนิทาน ไม่พอหรือความสวยงามในชีวิตจริง ยังจินตนาการเพ้อฝันให้เริศเลอจนเกิดความโลภะ 


    "คืนนี้เจ้านอนนี่ เพื่อทอดกายบำเรอแก่ข้า"อสูรชี้นิ้วที่เล็กขมกริบยังเตียงเดี่ยวสำหรับนอนเพียงหนึ่ง

    "ข้าไม่มีหนทาง นอกจากจำนน" ร่างเล็กก้มหน้ารับชะตา


    "ว่าง่ายแบบนี้สิดี" อสูรไม่พล่ามต่อ ก้าวทิ้งให้โฉมงามยืนน้ำตาคลอครั้นไม่ไหลอาบพระปรางด้วยใจที่ดั่งหินผา 

    .
    .
    .
    ยามที่แดดคล้อยต่ำจนเห็นอาทิตย์ชัดเต็มดวงตา น้ำคลอลูกตาสะท้อนหาวับๆเป็นนัยๆ


    "เจ้าชื่ออะไร?" อสูรหันถามว่าที่ภรรยาที่นั่งข้างกาย

    "ข้าชื่อ บยอนแบคฮยอน" โฉมงามหันหาอสูรตอบกลับคำถามอย่างไม่หยีระ

    "ข้าจะเรียกเจ้าสั้นๆว่า'บยอน'เพียงได้ไหม?" อสูรถามอย่างปลอบโยน ช่างต่างกับหลายเวลาที่แล้วที่กระโชกโฮกฮากสิ้นดี

    "ขึ้นอยู่ที่ท่าน" โฉมงามหันหนีเดินวนกลับไปเข้าสู่ห้องนอนส่วนร่วมระหว่างทั้งสอง

    ไม่ถึงอึดใจอสูรจับกระชากแขนบางให้หันประจัน โฉมงามโอดโอยด้วยฤทธิ์แรงบีบจนหน้าแหย

    "ข้า ! พูดดีด้วย! ไฉน!ถึงไม่น้อมรับ!คิดว่าเจ้าเป็นใคร! โอหังสิ้นดี!!" อสูรตวาดกร้าวจนบยอน

    "สิ่งใดที่ข้าต้องดีด้วย! " โฉมงามตวาดกลับไม่เกรง

    "โอหังเช่นนี้! ให้ข้าเตือนไหม? ว่าเจ้า!เป็นนางบำเรอแก่ใคร!" อสูรบีบต้นแขนโฉมงามอย่างไม่รู้ว่าใคร่เจ็บแล้วหอบโฉมงามพาดบ่าทุ่มเตียงโถมตัวเข้ารุกบดฝีปากเต็มด้วยคมเขี้ยวจนน้ำเลือดไหลซึมผ่านลงคางคนใต้ร่าง กลิ่นคราวคละคลุ้งจนอสูรเริ่มโหยหิวแลบเลียโลหิตที่กบปากไล่ไปคอแต่ครั้นโฉมงามไม่แม้นจะขัดขืนเพียงเพราะทราบว่านี่แล้วคือการตอบแทนพระคุณบิดาเพื่อยอมทุกสิ่ง


    "ปากไม่เก่งเหมือนเมื่อครู่เลยนี่" อสูรกระซิบที่กกหู

    "หากเหยื่อตรงหน้าท่าน ท่านจะทำเช่นไร ? จะปล่อยให้หาย หรือขย้ำต่อ" โฉมงามถามหน้าเฉย

    "แน่นอน...
    .
    .
    .
    .
    ข้าจะขย้ำ"





    หลากหลายคืนถูกบรรเลงรักเฉกเช่นนี้ หลายค่ำคืนหลายท้วงท่า หลายครั้งคราว จนหากครรภ์ได้คงลูกดกหน้าดู


    .
    .
    .
    .
    .
    .
    รุ่งอากาศโปร่ง โฉมงามยังนอนบนเตียงอุ่น ด้วยเสื้อคลุมตัวบางฝีมืออสูรที่กลัวหากไม่ห่มด้วยเสื้อคงต้องประชวรเป็นแน่

    โฉมงามมองซ้ายขวาหันหาอสูรที่เคยนอนข้างๆแต่ไม่พบเห็นแม้เงา


    ครั้นให้ตนลุกขึ้นก็คงลำบากเพราะเพียงขยับก็ทรมานทั้งตัว

    แอ็ดดด

    ประตูบานไม้ถูกเปิดออกโดยร่างอสูรในมือถืออาหารยามเช้าใส่ถาดพร้อมทานเดินวางลงบนโต้ะข้างเตียง

    "ตื่นนานหรือยัง?" อสูรหันถามโดยตัวนั่งลงข้างล่างข้างเตียงบรรทมเงยมองโฉมงามอย่างนึกห่วง

    "อือ" บยอนครางเสียงสั่นเนื่องเขาไม่มีแม้แต่แรงตอบโต้

    "ทานอะไรหน่อยไหม? ข้าทำอาหารน้ำกับน้ำนมให้ เผื่อเจ้าหิว" อสูรกล่าวเสียงอ่อนแต่ครั้นมือไม่แม้แต่จะกล้าเลื่อนเข้าลูบใบหน้าเพราะกลัวหากนวลน้องเจ็บอีก คงใจสลาย

    "ข้าไม่มีแรง" ตรัสเสียงเบา ดวงตาหนักๆก็คล้อยต่ำลงจนปิด

    "ประชวรหรือ ?" อสูรกล่าวถามก่อนใช้มือข้างขวาทาบหน้าผากเบา

    "อือ..หนาว" ร่างเล็กครางเสียงอ่อนครั้นตายังอึ้งจนลืมไม่ขึ้น ตัวเริ่มสั่นเหมือนลูกนก

    "รอสักเดี๋ยว ข้าจะเอาน้ำอุ่น" อสูรนึกได้ยามตอนเด็กแม่นมจะเช็ดตัวให้ตอนเมื่อประชวร

    "ท่านชาน .." เสียงเรียกชื่อแสนหวานสะกิดให้อสูรหันกลับอย่างไม่รีรอ

    "ครับ" ขานรับทั้งรีบกรู่เข้าหาควานเอามือเล็กขึ้นบีบอย่างหวงแหน

    "ปวดทั้งตัวเลย..อึก" ร่างเล็กตรัสเสียงสั่นด้วยตัวพยายามกลั้นน้ำตาให้ไม่ไหล

    "อย่าร้องนะ ห้ามเด็ดขาด" อสูรวอน ก่อนทาบมือลูบกระหม่อมบางอย่างเบามือ เพราะหากเพียงเห็นน้ำตาโฉมงาม อสูรตนนี้คงใจสลายเป็นแน่

    "ข้าจะเอายาให้ รอสักครู่" อสูรไม่ว่าเปล่ารีบวิ่งหาสมุนไพรเพื่อรักษาอาการประชวร ก่อนนำยาผงแก้ไข้ละลายน้ำเดินไปให้ร่างเล็กได้ดื่ม


    "ขมหน่อย หากดื่มแล้วจะหาย" อสูรประครองหลังโฉมงามก่อนรินยาขมฝาดเข้าปากบางจนหน้าเล็กเหยเก

    "อื้อ" บยอนหันหนีเพราะยาขมฝาดจนขยาดกลืน 

    อสูรเอี้ยวหันปิดหน้าต่างรับลม หากเพราะกลัวเนื้อนวลถูกลมหนาวแล้วประชวนหนัก ก่อนกลับหันมามองร่างน้อยในอ้อมกอด ดูตัวนิดกว่าเขาเป็นไหนๆ จนบ้างเขาไม่ยั้งมือเวลาได้ร่วมรัก ไม่คิดหน้าคิดหลังจนเนื้อช้ำ ไหนจะประชวรหนักบ้างเล่า คงต้องโทษตนที่ไม่ถนุถนอมตามฉบับสัตว์ป่า

    "บรรทมเยอะๆจะได้หายประชวร" อสูรกล่าว ดึงเอาร่างเล็กเข้าแนบอกเพื่อก่อความอุ่นแล้วห่มผ้าถึงอกเผื่อความอุ่นจะปัดเป่าอาการประชวรให้หาย




    คล้อยบ่ายอาการประชวรของโฉมงามเริ่มดีขึ้น ร่างเล็กตื่นบรรทมคาอกอสูรที่หลับไหลเนื่องเฝ้าประชวน โฉมงามใช้มือบางทาบลงแก้ม ลูบฝีปากที่มีเขี้ยวพ้นออกมาดูหน้าขยาดกลัว

    "ตื่นบรรทมก็ซุกซนเช่นเด็ก" อสูรตรัสครั้นไม่ลืมพระเนตร 


    ".." โฉมงามชักมือออกก่อนซุกอกอุ่นเข้าที่เดิม

    "หายประชวนหรือยังเล่า?" ขยับตัวออกใช้มือทาบลงบนผากมนวัดอุณหภูมิร่างกาย

    "หายแล้วนี่ ไปให้อาหารนกกันไหม?" เอ่ยถามโฉมงาม สีหน้าแย้มยิ้ม

    "หายแล้วจริงอยู่ แต่หากขยับก็ร้าวเจ็บทั้งตัว ไว้วันหลังเถิด" โฉมงามเอ่ยวอน ก่อนผลัดวันการชวนเผื่อให้ในวันหลัง


    "เจ็บหรือ ตรงไหน?" 

    "ใครใคร่บอก" โฉมงามเอ่ยโทสะ ปรางสีระเรือด้วยอารมณ์โกรธหรืออายเสียอย่าง 

    นั่นสิใครใคร่บอกกันว่าตนเจ็บจากกระทำกัน 

    "หลายรอบแล้วยังเจ็บอีกหรือชายา ให้ข้าทายาไหม เผื่อมองไม่เห็น" เอ่ยดูเจ้าเล่

    "ไม่!" ปฏิเสธครั้นเขยิบตัวออกห่างจนลืมปวดที่เริ่มร้าวทั่วสะโพก


    "ฮือ"

    "เจ็บไหมเล่า" อสูรกล่าวห่วง ก่อนเริ่มบีบนวดตัวชายาอย่างเบามือ เผื่อหายจากปวดเมื่อยนี้เสียได้บ้าง


    "อือ" ร่างน้อยเริ่มเคลิ้มตามแรงบีบนวดจวนให้อยากบรรทมอีกสักระรอก

    "หนันเนื้อจริงๆ บีบไม่เข้าเลย หายปวดบ้างไหม?" มือยังบีบนวดให้คลายเส้น แต่ปากเอ่ยแซวชายาอย่างนึกขัน

    "ท่านว่าข้าอ้วน" ชายาตระหวาดกร้าวครั้นได้ฟังพระสวามีเอ่ยคำยียวนให้โมโห


    "เสียเมื่อไหร่ ข้าว่าเจ้าดูมีน้ำมีนวล พอให้อสูรอย่างข้าได้กกกอดอย่างเต็มอิ่ม" อสูรกล่าวแก้ต่าง

    "ข้าง่วงอีกแล้ว" โฉมงายเอ่ยเลื่อนลอย


    "งั้นบรรทมต่อเถิด ข้าไม่กวน" อสูรละกายออกห่างไฉนมือบางรั้งจับที่มือป้อมหนาไว้ไม่ให้จาก







    "ข้าคงบรรทมมิได้ หากไม่มีท่านคอยกอดยามนี้" 






    .
    .
    .
    .

    ยามนี้เพลาเข้าเที่ยงคืน ซึ่งวันเฉลิมฉลองคล้ายวันเกิดเจ้าชายอสูร แต่ไฉนไม่มีงานเลี้ยง หากเพราะการได้ดื่มดั่มความงามของชายาบนอกกับความอุ่นของเตาผิงหากถือว่าเป็นของขวัญชิ้นดีสุดในชีวิต


    "ค่ำนี้เสวยอะไรดี?" โฉมงามรำพึงบนอกอสูรแต่พระเนตรมองยังเปลวเพลิงลุกโชนในเตาอุ่น

    "เสวยเจ้าก็อิ่มยันเช้า" ไม่เพียงตรัสตระแคงหันหอมปรางอุ่นอย่างนึกหมั่นเขี้ยว


    "อาหารสิ" ร่างเล็กกล่าวอมยิ้มเขินอายจนปรางขึ้นสีระเรือ

    "แล้วแต่มเหสี ทำอย่างไร ข้าทานได้หมด" อสูรตรัสกล่าวแล้วดอมดมเกศากลิ่นเกศรเย้ายวน

    "งั้นรอสักเดี๋ยว เนื้อแกะย่างชั้นดีจะเสริฟในครึ่งชั่วโมง" โฉมงามยิ้มหวานลุกจากอกกว้างอย่างนึกเสียดาย ตรงไปห้องเครื่องอาหารจัดการรังสรรค์เมนูที่เป็นโปรดของสวามี

    อสูรมองตามมเหสีไม่วางตาจนเริ่มละหายไปยังห้องเครื่องแล้วจึงย่ำกายไปยังระเบียงเพื่อมองดูเดือนในยามฟ้าสว่าง

    แล้วไฉนตาเริ่มพร่า มองไม่เห็นดวงเดือนข้างหน้า เซซัดเดินถอยจนเสียหลักล้มลงที่พื้น








    "พระกระยาหาร ส เสด็จ!!" กล่าวขาดช่วงหลังเห็นอสูรล้มนอนกองกับพื้นจนตัวเสียสติวิ่งเข้าหายกต้นคอพลางสะอื้นไห้


    "เสด็จ ทรงเป็นอะไร? ฮึก" โฉมงามพลิกหาบาดแผลมองตามทั่วตัวแต่มิเห็นโลหิตไหลตรงจุดใดสักจุด

    "ท่านเป็นอะไร ได้โปรด ข้าขาดท่านไม่ได้ ฮึก" น้ำตาไหลคลอเอ่อไหลไม่ขาดสายพลันก้มลงจุมพิตเพื่อหวังทรงตื่นจากบรรทมถาวรนี้

    "ได้โปรด ฮึก" วอนขอชีวิตอสูรทั้งน้ำตา นึกโทษตัวที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดยามนี้ไม่เช่นนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้

    "ได้โปรด ฮึก ข้ารัก ฮึก" คำพูดสุดท้ายที่ไม่เคยตรัสให้ฟังคือเพียงคำเดียวที่อสูรตนนี้อยากได้ฟังที่สุดในชีวิต ไฉนแล้วสายเกินไปเหลือเกินโฉมงามเอ๋ย


    โฉมงามไม่เคยรู้ว่าตนหลงรักความบริสุทธิ์ของอสูรเข้า ด้วยใจที่ไม่เคยยอมรับเพราะรูปโฉม จนได้รับแล้วความรู้สึก เมื่อสายเกินไป




    พลันแสงวาบวับบนท้องฟ้าค่อยดึงร่างอสูรออกจากอ้อมกอดน้อยขึ้นเหนือหัวโฉมงามกลับร่างกลายเป็นร่างชายรูปงามไร้หนังเฉกสัตว์ ไร้กรงเล็กคมและฟันคมแล้วกลับมีชีวิตยืนตรงหน้าโฉมงามก่อนอุ้มร่างเล็กเข้ากอดแนบอกลูบหัวประโลมขี้แงให้หยุดร่ำไห้

    "ร้องไห้ทำไมเล่า คนดีของพี่" ตระกรองกอดเด็กน้อยที่ไร้แรงยืนโยกตัวซ้ายทีขวาทีให้คนในอกหายขวัญเสีย

    "ฮึก" ร้องทั้งตกใจไม่หายกลับเหตุตรงหน้าแต่อย่างไรโฉมงามกลับเหนี่ยวคอด้วยแขนบางทั้งสองดึงมากอดด้วยใจที่หายไปแทบครึ่ง

    "ข้าไม่ชอบให้เจ้าร่ำไห้ เคยกล่าวหลายเหตุแล้วไม่ใช่หรือ การเห็นเพียงดวงหทัยร่ำไห้ ข้าทรมานยิ่งถูกเพลิงทั้งเป็นเสียอีก ฉะนั้นเงียบเสียคนดี" ชายหนุ่มพูดทั้งสันจมูกคมดอมดมกลิ่มโปรดบนตัวโฉมงามอย่างโหยหา


    "ท่านจริงๆหรือ" โฉมงานละกอดประจันหน้าถามมือข้างขวาลูบแก้มพระราชาเบาๆแล้วสายตาที่ดูไม่เชื่อ


    "จริงสิ หรือให้รื้อฟื้นกลิ่นอายอสูรใหม่ดีเล่า คนสวย" กล่าวเสียงหยอกก่อนอุ้มมเหสีท่าเจ้าหญิงวนกลับเข้าห้องบรรทม

    "เดี๋ยวสิ! อาหารหละ ข้าทำไว้ ถ้าข้ามวันจะทานไม่ได้แล้วนะ!" กล่าวท้วงทั้งในอ้อมกอด

    "ให้พวกแมลงได้กินของดีเสียบ้างจะเป็นไร" กล่าวอย่างไม่หยีระก่อนเดินเข้าประตูกว้างวางมเหสีบนเตียงอย่างเบามือ

    "ท่านไม่เหมือนพระราชาที่ข้าเคยพบเลย"โฉมงามมองโครงหน้าพระราชารูปงามอย่างนึกฉงน จมูกสันเป็นโด่งอย่างเห็นชัด ฝีปากหนาดูเย้ายวน ต่างจากอสูรที่คมเขี้ยวพ้นปากจนหน้ากลัว ไหนจะลมหายใจระอุชวนให้ขนอ่อนชันทั้งตัว 

    "ข้าเป็นคนเดิมเปลี่ยนแค่รูปกาย แต่ทุกอย่างยังเช่นเดิม รักเดียวเช่นเดิม" ราชากล่าวครั้นมือไม้ไม่นิ่งลูบไล้ไปยังโฉมกายละเอียดนิ่มเฟ้นฟัดกายที่แสนคิดถึง

    "ฮึก ท่านรู้ไหม ว่าข้าใจหายไปแทบครึ่ง ฮึก" โฉมงามกล้าวเคล้าน้ำตาใช้มือเล็กลูบโฉมขาวเนียนของราชาเบาๆ

    "ร้องไห้อีกแล้วหรือ ข้าอยู่ตรงนี้ไม่ห่างไปไหน อย่าร้องเลยแก้วตา " แววตาหมองลงของราชาดั่งได้เห็นมเหสีเริ่มสะอื้นไห้อีกระรอก ฝ่ามือหนาเลื่อนเข้าปาดน้ำตาข้างปรางนุ่ม

    "ฮึกๆ ท่านๆ.." สะอื้นเสมือนเด็กถูกกลั่นผ่านลำคอบางจนราชาใช้นิ้วชี้ทาบปากบาง

    "เงียบเถิด พระชายา ข้าเคยตรัสไว้หลายเหตุหากเริ่มกิจกรรม จะไม่ทำการสิ่งใดให้เสียอารมณ์ร่วม ทราบไหม?" ร่างสูงตรัสเสียงยียวนก่อนเข้าทาบริมฝีปากลงปากเฉียบเบาเคล้าคลึงบดขยี้ สอดพระชิวหาเข้าแทรกกลีบปากให้อ้ารับ ก่อนเลื่อนพระพักตร์เข้าแถวไหล่ ใช้นิ้วถอดตะขอชุดออกทั้งชุดค่อยเลื่อนฝีปากเข้ากุมยอดถันโลมลิ้นอย่างไม่รู้อิ่ม
         



    CENCER


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×