คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : กลรักอสุรา l บทที่๒๗ ความนัย (๓) {อัพ70%}
-ทับทิม กล่าว-
เวลา ๑๙.๒๐ นาฬิกา
หนึ่งอาทิตย์มาแล้ว นับตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายภายในสถานที่ถ่ายทำละคร จนทำให้ฉันไม่ได้หวนกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองยังสถานที่ถ่ายทำกองละครอีก เช่นเดียวกับงานพิเศษอื่นๆ
ที่ถูกตัดออกจากชีวิตไปราวกับว่าไม่จำเป็นและใช้ชีวิตในแต่ละอยู่แต่ภายในบ้านไม่ออกไปไหน
เหตุผลก็เพราะ
ฉันไม่อยากพบเจอกับใครโดยเฉพาะกับพวกนักข่าวที่พร้อมจะรุมสัมภาษณ์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขตแดน
เพราะแบบนั้นวันนี้ การมาของเมรีจึงค่อนข้างทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์นิดหน่อย
แต่จะว่าไป ขณะเดียวกันก็ต้องขอบคุณเธอนะ
ที่ดันเข้ามาหาในช่วงที่ฉันกำลังรู้สึกเบื่อได้ถูกเวลาแบบนี้
และนับจากให้สัมภาษณ์บ้าๆ กับพวกนักข่าววันนั้นไป
นี่ก็ผ่านมาแล้วเจ็ดวันแล้ว ที่ฉันไม่รับรู้หรือรู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติรอบตัว จนคล้ายกับว่าความสามารถการรับรู้ถึงการมีอยู่มันได้หมดไปอย่างไรก็อย่างนั้น
ซึ่งฉันไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองหรอกนะ ว่าเขาหายไปไหน ด้วยเพราะลึกๆ
นั้นรู้คำตอบดีอยู่แล้ว อีกอย่างคำสัมภาษณ์ต่อหน้านักข่าวแบบนั้น
มันก็น่าจะดังพอที่จะทำให้เขาได้จนยิน จนเลิกทำเรื่องแบบนั้นกับฉันได้เหมือนกัน
ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในบ้าน
ทำฉันรีบคว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องขึ้นเปิดดูแก้เบื่อ ขณะนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวเก่าภายในห้องรับรอง
ก่อนพบว่าเจ้าของข้อความดังกล่าวไม่ใช่ใคร
เขตแดน : วันนี้ก็อยู่บ้านอีกแล้วเหรอ ?
ทับทิม : อือ
เขตแดน : ไม่คิดจะออกมาช่วยงานที่กองถ่ายบ้างหรือไง ? เขาจ้างเธอนะ
เขตแดน : หรือว่ากลัวจะทำให้ตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องคุณกรองขวัญอีก
และใช่ อีกเหตุผลที่ฉันเลี่ยงพาตัวเองไปกองถ่าย
ก็คงเป็นเหมือนที่เขตแดนส่งข้อความมานั่นหล่ะ
ฉันไม่อยากรับรู้ ไม่อยากต้องพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตเหมือนที่เคยผ่านมา
‘แล้วเธออยากรู้ไหม
ว่าทำไมวิรุฬที่อยู่ในฝันฉัน ถึงฆ่าตัวตายตามผู้หญิงคนนั้นไป ? ทั้งหมดนั่นเพราะคำสัญญายังไงล่ะ…’ โดยเฉพาะคำบอกกล่าวของเขตแดนเมื่อหลายวันก่อนนั่น
‘คำสัญญาอะไร ?’
‘หากหมดหวังจากความพยายาม จันทน์ผาจะยอมตัดใจ
แล้วกลับมาอยู่เคียงข้างกับวิรุฬในฐานะคนรัก…’ เชื่อไหม ว่าฉันยังจำน้ำเสียงจริงจังของเขตแดนวันนั้นได้ชัดติดหูอยู่เลย
และมันทำให้ฉันคิดอดคิดไม่ได้ว่าการได้พบเจอกันของเราในชาติภพนี้
อาจเกิดผลของคำสัญญาในชาติภพก่อน
ซ้ำตอนนี้ฉันเองก็ยังอยู่ในสถานะคนรักจำยอมของเขาเสียอีก หากสิ่งที่เขตแดนพูดทั้งหมดนั้นคือความจริงร้อยเปอร์เซนต์ การกลับมาเพื่อใช้สถานะรักของคนรักระหว่างเรา มันอาจจะถูกกำหนดไว้ให้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วก็ได้
พอความคิดสิ้นสุดลงหลังประโยคคำถามในหัว
ปลายนิ้วก็เริ่มตอบสนองรับความคิด บรรจงกดแป้นพิมพ์ส่งข้อความตอบรับปลายทางกลับไป
ทับทิม : ที่นายบอกว่าแม่จันทน์ผาให้คำสัญญากับวิรุฬไว้น่ะ
ทับทิม : พอจะบอกได้ไหม ว่าทำไมเธอถึงต้องให้สัญญา
ทว่า ในหนนี้ข้อความที่ฉันส่งไป
กลับไม่ได้รับการตอบกลับมาเหมือนเคย แม้ว่าปลายทางจะกดเปิดอ่านแล้วก็ตาม
เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับใด โทรศัพท์ในมือจึงถูกเคลื่อนมาวางลงบนอก
ขณะตาจ้องมองขึ้นไปยังฝ้าเพดานด้านบนเพื่อให้สมองอันน้อยนิดได้ลองคิด
อย่างที่บอก ถึงแม้ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอดีตที่หมดไปจากหัวมากเท่าไหร่
แต่ท้ายที่สุดแล้วฉันก็ทำไม่ได้แบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง
เพราะทุกครั้งที่คิดจะลบทุกสิ่งที่เคยรับรู้ให้หายออกไปจากหัวให้กลับมาอยู่ในจุดเริ่มต้น ช่วงเวลานั้นก็มักจะมีใครสักคนเข้ามาหา แล้วพูดถึงสิ่งที่ฉันพยายามลืมมันเสียทุกครั้ง ยกตัวอย่างเมรี
ที่วันนี้จู่ๆ ก็โผล่มาที่บ้าน และเอาแต่ถามถึงเนื้อหาพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์และเรื่องของท่านอสุรานั่นยังไงหล่ะ…
ยิ่งคิด ยิ่งเหนื่อยหน่ายตัวเอง ด้วยเหตุนั้นฉันจึงตัดสินใจละทิ้งความเบื่อหน่ายที่ก่อตัวขึ้นด้วยการหลับตาลง โดยหวังให้ทุกห้วงอารมณ์ที่เป็นอยู่เลือนหายลับไปกับห้วงนิทราแทนการหลงลืม ทว่า จังหวะที่เปลือกตาปิดลงสนิท พื้นที่ว่างเปล่าบนโซฟาข้างกายก็เกิดแรงยวบมหาศาลราวกับว่ามีใครอีกคนทิ้งตัวลงนั่งลงมาให้รู้สึก
กึก…
ฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นเพื่อดูว่าเจ้าของแรงยวบบนโซฟาข้างลำตัวนั้นเกิดจากน้ำมือใคร
ขณะเดียวก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ ในอกนั้นมีคำตอบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ซ้ำคำตอบที่คาดคิดไว้ก็คล้ายกับจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ
เมื่อบริเวณหน้าผากรับรู้ถึงปลายนิ้วสัมผัสจากใครอีกคนที่ถือวิสาสะไกล่เกลี่ยปรอยผมยุ่งๆ
ของฉันให้เข้าที่
มันคือสัมผัสอบอุ่น สัมผัสเดิมที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี...
ร่างกายทุกส่วนเริ่มเกร็งจัด
เมื่อสิ่งที่ตามมาขณะน้ำหนักผ่านปลายนิ้วยังคงไกล่เกลี่ยไปตามโครงหน้าคือลมหายใจร้อนๆ
ที่เป่ารดลงมาราวกับต้องการยืนยันการมีอยู่
จนสุดท้ายฉันก็ทนต่อทุกสัมผัสที่ได้รับไม่ไหว
จำต้องเบิกตาขึ้นเพื่อมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง
ก่อนพบว่าทุกอย่างที่คิดไว้ ไม่มีตรงไหนที่ผิดเพี้ยนไปเลย
โดยเฉพาะกับร่างสูงใหญ่ของผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์สีสะอาดตาตรงหน้า…
ฟึ่บ!
“ทะ ท่าน !” ความตกใจส่งผลให้ฉันหยัดตัวลุกขึ้นนั่งในท่าสำรวมทันที เมื่อมีโอกาสเผชิญสายตากับท่านอสุราอีกครั้งตรงๆ โดยไม่ลืมเว้นระยะห่างระหว่างเราสองคนไว้นิดหน่อย หากแต่ท่าทีที่แสดงออกไปนั้นกลับไม่ได้ทำให้ให้คนตัวใหญ่แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเพราะช่วงเวลาเดียวกันนั้นเขาดันแสดงอาการตกใจให้ได้เห็นผ่านแววตา อีกทั้งยังรีบลดมือออกห่างไปทันที
แม้ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่จะดำเนินไปในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ถึงอย่างนั้นเบื้องหลังแววตาตกใจที่ท่านอสุราแสดงให้เห็น ก็ยังตามด้วยการถามไถ่
“พะ พี่กวนยามนอนแม่ทับทิมงั้นรึ ?” และคงมีแต่ฉันเท่านั้น
ที่ยังคงแสดงความแข็งกระด้างผ่านถ้อยคำและท่าทางเหมือนไม่คุ้นชินการมีอยู่ของเขา
“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ ฉันแค่พักสายตาเฉยๆ น่ะ…”
ท่านอสุราเองก็คงรับรู้ถึงความรู้สึกที่ฉันส่งผ่านทางสีหน้าและน้ำเสียงได้ไม่ต่างกัน
เมื่อเห็นว่าฉันขยับลุกมาอยู่ในท่านั่งปกติ
เขาจึงเลือกเขยิบตัวถอยเพิ่มระยะห่างระหว่างเรามากขึ้น
ซ้ำยังเป็นฝ่ายออกปากถามไถ่ราวกับคนไม่รู้จะพูดอะไร
“ยามนี้…แม่ทับทิมเป็นเช่นไรบ้าง
สุขสบายดีหรือไม่ ?”
“เจ้าค่ะ สบายดี…แล้วท่านล่ะเจ้าคะ หายไปเสียนานเชียว”
ทั้งที่มันคือคำถามทั่วไป แต่ตลอดเวลาของการสนทนา
ฉันกลับรู้สึกแปลกขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
จนตอนนี้ไม่รู้เลยว่าที่ต้องรู้สึกแบบนี้เป็นเพราะฉันเริ่มกลับมาไม่ชินกับการได้เห็นเขาเหมือนเมื่อก่อน
หรือเป็นเพราะเราได้หวนกลับมาคุยกันใหม่หลังหายหน้าหายไปเป็นอาทิตย์กันแน่
“พี่เองก็สุขสบายดี…” ไม่รู้ว่าท่านอสุราเองจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า
ขณะพูดคุย เขาถึงได้พยายามเลี่ยงสบสายตาอยู่ตลอดเวลา มากกว่าจะมองหน้ากันเหมือนทุกที “แล้วเรื่องหัวใจเล่า แม่ทับทิมกับคนรักมีความสุขดี ใช่หรือไม่”
แม้ไม่ได้มองตาตอนพูดคุยเหมือนที่ผ่านมา
แต่เสียงรวมถึงคำถามที่ลอดดังจากปากเขาก็ชวนให้รู้สึกวูบไหวในอกได้เฉกเช่นทุกครั้ง
และต่อให้จะรู้สึกกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่ สิ่งที่คนนอกอย่างฉันทำได้
คือการตอบคำถามของเขากลับไปให้ดูเป็นปกติเหมือนเก่าเท่านั้น
“ก็ดีเจ้าค่ะ กับเขตแดนน่ะ…” และทันทีที่เสียงของฉันขาดช่วงลง บทสนทนาระหว่างที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวก็มีอันต้องขาดช่วงลง พลอยให้ต้องเหลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายคู่สนทนาเล็กน้อยเพื่อดูท่าที ก่อนพบว่าผู้ฟังเวลานี้กำลังเม้มปากลงแน่น ขมวดย่นคิ้วเข้าชิดกันเป็นปม
หากฉันไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป กริยาบนหน้าที่เขากำลังแสดงออกน่ะ มันเต็มไปความเจ็บปวดในแบบที่ครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยประสบยามต้องฟังเสียงของคนรักพูดจาทำร้ายน้ำใจกันอย่างไรก็อย่างนั้น
ภาพสีหน้าที่ท่านอสุราแสดงให้เห็น
เหมือนเป็นตัวเร่งความรู้สึกลึกๆ ในยิ่งสร้างความรู้สึกแปลกๆ
ในอกให้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จนไม่อาจมองภาพเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายได้นานนัก
และเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเราเงียบจนเกินไป ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“แล้วท่านล่ะเจ้าคะ กับคุณกรองขวัญเป็นอย่างไรบ้าง…” ทว่า ผู้ฟังกลับไม่ได้หยุดรอฟังการไถ่ถามจนจบคำนัก
แต่เขาเลือกที่จะลุกพรวดพราดขึ้นจากโซฟาในจังหวะเดียวกัน ในท่าสองมือไขว้หลัง
แล้วกล่าวแทรกเสียงขึ้นด้วยถ้อยคำซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องใดกับคำถามที่ได้
“หากอยู่กันสุขสบายเช่นนั้นมันก็ดีแล้ว
พี่จักได้มิต้องพะวงสิ่งใด”
จากมุมที่ฉันนั่งนั้น
สิ่งที่มองเห็นมีเพียงแผ่นหลังของยักษ์หนุ่มเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าสีหน้าขณะเขากำลังพูดนั้นกำลังแสดงออกมาในรูปแบบใด
สิ่งเดียวที่ฉันรับรู้ได้จากท่านอสุราเวลานี้มีเพียงเรื่องเดียว
นั่นคือ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมพูดถึงเรื่องของตัวเองกับคุณกรองขวัญอย่างไร
ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น
‘แล้วแม่ทับทิมเล่า
จักรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ? จักปวดอุราบ้างหรือไม่
หากพี่นั้นกล่าวถึงแม่กรองขวัญให้แม่ทับทิมฟังในทุกช่วงเวลาที่พบหน้า’ ที่บ้าก็คือ ฉันดันนึกถึงเสียงถามของเขาเมื่อครั้งนั้นขึ้นมานี่สิ
มันเหมือนกับการเล่นเกมอะไรสักอย่าง
ที่ต้องใช้ความรู้สึกมากมายลึกๆ เป็นเดิมพัน โดยมีกฎกติกาว่า
ห้ามแสดงความรู้สึกที่มีออกไปให้ใครได้เห็น
ไม่เช่นนั้นเกมที่ต้องลงเล่นจะจบลงทันที
ที่ขี้โกงที่สุดก็คงเป็น
ความรู้สึกในตัวที่เกิดขึ้นแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว ทั้งที่รู้ว่าไม่สมควรนั่นหล่ะ…
ปี๊บ! ปี๊บ!
อีกหนเสียงแจ้งเตือนข้อความที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น
ทำฉันรีบสลัดความคิดและความรู้สึกทั้งหมดที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งให้หลุดออกไปจากหัว
รีบลดสายตามองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมโดยหวังว่าข้อความที่ถูกส่งเข้ามาได้ถูกจังหวะ
น่าจะช่วยลดทุกความรู้สึกที่กำลังหวนกลับมาให้เบาบางลงได้บ้าง แต่ว่า
เขตแดน : ได้ส่งข้อความเสียง
[โทษทีนะ ที่ไม่ได้ตอบข้อความกลับทันทีพอดีฉันกำลังขับรถกลับจากวัดน่ะ…ส่วนคำถามของเธอ ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าควรจะตอบเธอยังไงน่ะ…]
ทันทีที่เสียงของเขตแดนดังขึ้นผ่านลำโพงโทรศัพท์มือถือ ชายตัวสูงในชุดเครื่องทรงยักษ์ก็รีบเหลียวหลังกลับมาทางฉันโดยทันที
[…ที่บอกได้ตอนนี้ก็คือในฝันฉันน่ะ วิรุฬก็รักจันทน์ผามาก
จนไม่อยากให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักเป็นของคนอื่น…มันอาจจะฟังตลกนะ
แต่ความรู้สึกฉันตอนเห็นเธอคุยกับยักษ์คืนนั้นน่ะ มันคือความรู้สึกเดียวกับที่ผู้ชายคนนั้นมีในฝันเลยหล่ะ]
แต่แล้วสีหน้าเรียบเฉยเคล้าความประหลาดใจที่ยักษ์หนุ่มแสดงออกก็เริ่มปรับเปลี่ยนไป
เมื่อเสียงแจ้งเตือนข้อความและเสียงของแดนดังขึ้นเป็นหนที่สอง
เขตแดน : ได้ส่งข้อความเสียง
[ถ้าพูดกันตามจริง…นอกจากฉันที่ฝันเห็นภาพพวกนี้แล้ว
มันก็ยังมีคนอื่นที่ฝันเห็นภาพพวกนี้เหมือนกันนะรู้ป่ะ…] เสียงของเขตแดนที่ดังผ่านโทรศัพท์ในหนนี้ฟังดูลังเลซ้ำยังขาดช่วงนิดหน่อย
และเหมือนเคยตรงที่เขาทำราวกับเลี่ยงที่จะบอกชื่อบุคคลหรือตอบคำถามของฉันตรงๆ
หากแต่นั่นกลับไม่ใช่กับคนตัวสูงใหญ่ขาดกายที่เอ่ยแทรกเสียงของเขตแดนที่เงียบไปราวกับล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร
“กระดานชนวนกล่าวถึงแม่กรองขวัญงั้นรึ ?”
“คะ ?” แน่นอนว่าสิ่งที่ลอดผ่านปากท่านอสุราทำฉันซึ่งไม่เข้าใจอะไรรีบย้อนด้วยความแปลกใจโดยทันที
“แม่ทับทิมมิได้ยินที่กระดานชนวนมันกล่าวหรอกรึ ว่านอกจากมันแล้ว ยังมีผู้อื่นระลึกถึงอดีตภพของตนเองได้มิต่างกัน…” ในหนนี้ท่านอสุราไม่ได้แค่ย้อนถาม แต่ยังฉวยโทรศัพท์ไปจากมือฉัน
ขณะปากยังคงขยับ “หากผู้อื่นมิใช่แม่กรองขวัญแล้วไซร้
จักเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้เล่า”
พอได้ฟังเหตุผลจากปากท่านอสุราแบบนั้น
มันก็อดที่จะถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“ท่านรู้ได้ยังไงเจ้าคะ ว่าคุณกรองขวัญสามารถระลึกอดีตของตัวเองได้…”
แต่กว่าจะนึกได้ว่าเขาใช้ช่วงเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการติดตามคนรักในอดีต
จนไม่น่าแปลกนักหากจะรู้ถึงสิ่งที่คนรักของตัวเองเป็น
ก็คงเป็นตอนที่สายตาดันเผลอสบเข้ากับนัยน์ตาเรียวรีที่อีกฝ่ายใช้มองกลับมานั่นหล่ะ
แม้จะทิ้งคำถามไว้จนจบความสงสัย หากแต่ท่านอสุราก็ใช่จะตอบกลับมาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม
เพราะเขาเลือกที่เป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นด้วยตัวเอง
“แม่ทับทิมบอกพี่ได้หรือไม่
ว่าบุรุษใดที่สิงอยู่ในกระดานชนวนกระดานนี้ ?”
“เขตแดนเจ้าค่ะ” เพื่อเปลี่ยนเรื่องและจบคำถามที่เหมือนถูกลืม
ปากจึงไม่รอช้ารีบขยับให้คำตอบโดยทันที แต่ว่า
การพูดออกไปแบบนั้นมันเลยทำให้ฉันเผลอนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของบุคคลซึ่งถูกท่านอสุราเอ่ยชื่อขึ้นมา
‘แย่เลยนะ
ว่าแต่ไอ้ข้อมูลที่เธออยากได้น่ะ มันเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นวะ ?’
‘พอดีคุณกรองขวัญชอบอ่านพงศาวดารเดียวกับฉันน่ะ
แถมเธอยังดูเหมือนจะรู้อะไรเยอะด้วย ฉันก็เลยเธอนัดมาอ่ะ มีอะไรหรือเปล่า ?’ มันคือเสียงสนทนาระหว่างฉันกับเขตแดนตอนที่อยู่ในร้านอาหาร
หลังจากฉันนัดคุณกรองขวัญออกมาพูดคุยเรื่องพงศาวดารที่ผิดเพี้ยนในวันนั้น
‘ฉันไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนั้นเท่าไหร่…’
‘ทำไมล่ะ ?’ รู้สึกว่าตอนนั้นเขตแดนจะเป็นคนพูดออกมาเองว่าเขาไม่ชอบคุณกรองขวัญเท่าไหร่
โดยให้เหตุผลไว้ว่า
‘ไม่รู้สิ
ไม่ถูกชะตาล่ะมั้ง…’ ไม่ถูกชะตางั้นเหรอ
ถ้าหากเขาเป็นคนพูดว่าตัวเองไม่ชอบเพราะไม่ถูกชะตากับคุณกรองขวัญ
แล้วทำไมเขาถึงรู้ได้ล่ะ ว่าคุณกรองขวัญเองก็สามารถระลึกชาติได้เหมือนกัน
พวกเขาแอบไปคุยกันมางั้นเหรอ ?
ทำไมล่ะ ก็ไหนว่าเขตแดนไม่ถูกชะตากับคุณกรองขวัญไม่ใช่หรือไง ?
“แม่ทับทิม…” ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
เมื่อถูกคนข้างกายขานชื่อ พานให้ทุกความคิดที่มีสะดุดลง
จนต้องเหลือบมองหน้าเจ้าของเสียงเรียกเป็นหนที่สองด้วยความสงสัย และทันทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสสบตากันเป็นหนที่สอง
ท่านอสุราก็เอ่ยถาม “หากพี่มีบางสิ่งจักถามไถ่
เป็นไปได้หรือไม่ที่น้องจักยอมเจรจาต่อพี่อย่างโดยดีเช่นคืนวันเก่าๆ”
ต่อให้รู้มาโดยตลอดว่าสิ่งที่ฉันกำลังประสบพบเจออยู่นั้น
คงเป็นเวรกรรมที่เคยพลาดพลั้งกระทำมาตั้งแต่อดีต ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสิ่งที่ฉันทำได้จึงเป็นการก้มหน้ายอมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ
‘บางทีการจดจำเรื่องราวในอดีตได้นั้นก็อาจเป็นเวรกรรมรูปแบบหนึ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่ตอนเกิด…’ มันคงจริงที่สุดอย่างที่ไวเกลเคยบอกไว้ เพราะการที่ต้องก้มหน้ายอมรับหรือชดใช้นั้น
ไม่มีหนทางใดเลยที่จะสามารถพาฉันหลบเลี่ยงไปจากวงจรกรรมนี้ได้
ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่พยายามจะไม่เอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยว
เพราะแบบนั้นหรือเปล่า ไม่ว่าฉันจะคอยบอกตัวเองให้เลิกยุ่งหรือวุ่นวายกับเรื่องราวในอดีต จนบางสิ่งผิดเพี้ยนไปจากที่ถูกจารึกไว้ จึงไม่เคยประสบผลเลยสักครั้ง ในเมื่อทุกครั้งก็มักมีบางสิ่งดึงดูดและชักจูงให้ฉันวนกลับเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องราวในพงศาวดารเหล่านั่นอยู่เสมอๆ คล้ายกับว่านอกจากต้องก้มหน้าชดใช้กรรมเก่าของตัวเองแล้ว ฉันยังต้องกลับเข้าไปมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง
ไม่ว่าจะผ่านทางเขตแดน เมรี คุณกรองขวัญ หรือท่านอสุรา...
ถ้าหากว่านั่นคือชะตาที่ต้องประสบอย่างแท้จริงเพื่อชดใช้กรรมทั้งหมดให้หมดสิ้นไปแล้วล่ะก็…
“ท่านจะถามอะไรฉันหรือเจ้าคะ ?”
เออ! ฉันยอมก็ได้วะ…
คืนนั้น…ฉันใช้เวลาตลอดช่วงหัวค่ำไล่ไปจนถึงกลางดึกเพื่อพูดคุยและตอบคำถามมากมายที่ยักษ์หนุ่มสงสัย
ซึ่งเรื่องส่วนใหญ่ก็มักเกี่ยวข้องกับเรื่องจากภาพนิมิตอดีตที่ฉันมองเห็นนั่นหล่ะ
ท่านอสุราบอกว่าก่อนหน้านี้ ท่านได้เดินทางกลับไปยังนครยักษ์เพื่อหวนระลึกถึงบางสิ่ง
และเล่าว่าสิ่งที่ตัวเองมองเห็นและระลึกได้หลังจากนั้นมีอะไรบ้าง
ซึ่งนั่นก็ดูจะตรงกับภาพนิมิตที่ฉันถูกทำให้เห็นทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะภาพเหตุการณ์ขณะที่ฉันในสภาพของแม่จันทน์ผาเดินเรียบไปทางกำแพงรั้วจนชนเข้ากับท่านอสุราอย่างไม่ตั้งใจ
เขาถามฉันตอนพูดถึงเรื่องนี้ว่า
“หากสถานการณ์ยามนั้น ผู้ที่เดินจนพี่คือแม่จันทน์ผา
แล้วเหตุยามบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามตน จึงว่ากล่าวด้วยชื่อผู้อื่นเช่นนั้นเล่า ?”
ส่วนฉันซึ่งทำหน้าที่ของผู้ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านภาพนิมิตจึงให้คำตอบเขากลับไป
เมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นเวรกรรมทั้งหมดของตัวเองที่ก่อตัวขึ้น
“ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ
รู้เพียงแค่ว่า ในภาพนิมิต ตอนที่บอกชื่อท่านไปนั้น
ฉันกำลังรู้สึกหวาดกลัวอะไรบางอย่าง”
“เหตุใดจึงต้องหวาดกลัว
ในเมื่อเหตุที่เกิดหาใช่ความตั้งใจไม่ ?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ความรู้สึกพวกนี้น่ะ
มันเกิดขึ้นกับฉัน ตั้งแต่เห็นภาพที่แม่จันทน์ผาลอบเงยหน้ามองท่านอยู่ในขบวนแห่…”
ตลอดเวลาต้องพูดเรื่องเก่าๆ ต่อหน้าท่านอสุรานั้น ไม่ปฏิเสธเลยว่าฉันจะรู้สึกเกร็งอยู่ตลอดเวลา ทว่า ทุกครั้งที่เผลอแสดงทีท่าเหล่านั้นออกไป คนตัวใหญ่เบื้องหน้าก็มักจะขยับยิ้มส่งมาให้ราวกับต้องการบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวลส่งมาให้เสมอๆ
จนคล้ายเป็นแรงผลักดันให้ฉันกล้าที่จะพูดถึงเรื่องราวที่ผิดไปจากพงศาวดารมากขึ้น “แล้ว...การลอบมองของแม่จันทน์ผาในขบวนแห่ ถือเป็นเรื่องผิดหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
“เหตุของผู้ทำผิดจารีตอย่างไร้กาลเทศะ
ล้วนแล้วแต่มิใช่เรื่องที่ดี ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจักต้องรับโทษทัณฑ์ร้ายแรงไม่”
พอได้ฟังคนตัวใหญ่เอ่ยตอบกลับมาแบบนั้น
มันเลยทำให้ฉันเผลอนึกตามภาพนิมิตที่เคยเห็นเพื่อประติดประต่อเรื่องราวในแบบที่ตัวเองเข้าใจ
“จะเป็นไปได้ไหมเจ้าคะ หากว่าที่แม่จันทน์ผามดเท็จชื่อของตัวเอง เป็นเพราะกลัวโทษทัณฑ์จากการลอบมองหน้าท่านในขบวนแห่เมื่อครั้งนั้น…” และแม้จะสรุปผลออกมาในลักษณะนั้น แต่คำตอบที่แท้จริงก็ใช่จะถูกเปิดเผยแต่อย่างใด ในเมื่อคู่สนทนาของฉันเวลานี้ ก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก
นอกจากเรื่องซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของกรรมตามความคิดฉันแล้ว
ท่านอสุรายังเล่าถึงความเห็นของตัวเอง
ที่บางส่วนเริ่มโอนเอนมาทางสิ่งที่ฉันวิเคราะห์ไว้ เช่นเรื่อง
การใช้คาถาอาคมหรือการเล่นของจากชายชาวบ้านที่ชื่อวิรุฬ พอเขากล่าวแบบนั้น
ฉันก็เลยถาม
“ทำไมท่านถึงสงสัยเรื่องนี้ล่ะเจ้าคะ
ฉันก็แค่เดาสุ่มไปตามหนังตามละครที่เคยดูเท่านั้นเอง” ซึ่งท่านอสุราเองก็ให้คำตอบกลับมาอย่างซื่อตรง
ไม่อ้อมค้อม
“เพราะพี่มิอาจนึกถึงเรื่องของแม่จันทน์ผาได้เลยแม้สักเสี้ยวเพลา…”
จริงอยู่ที่คำตอบดังกล่าว ฉันเคยได้ยินเขาพูดแบบนั้นมาบ้าง
แต่นั่นไม่ใช่กับประโยคหลัง “กมลความคิดพี่เสมือนถูกบางสิ่งกดและกั้นให้หยุดคิดคำนึกถึง
หากเมื่อใดที่เริ่มนึกหวน ความเจ็บปวดก็มักจะเกิดขึ้นตามเนื้อกาย
จนไม่ทานทนจำต้องหยุดความคิดที่มีลง”
แม้จะรู้เหตุผลที่ในหัวของท่านอสุราไม่เคยมีภาพของแม่จันทน์ผาปรากฏอยู่
หรือมูลความน่าจะเป็นที่ฟังดูเข้าข่ายมากเท่าไหร่
อย่างไรเสียฉันก็ไม่อาจฟันธงความคิดของตัวเองตามประสาคนไม่รู้ได้อยู่ดี
ทำได้แค่แสดงความมีน้ำใจไปตามประสาคนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ได้เท่านั้น
“ถ้าท่านอยากให้ฉันช่วยเรื่องอะไร บอกได้นะเจ้าคะ ถ้าฉันช่วยได้ ฉันสัญญาว่าจะช่วย”
ที่น่าตลกก็คือ
ตลอดเวลาที่เราพูดคุยกันอย่างเปิดใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเรายามอยู่ต่อหน้ากันนั้นราวกับกำลังพลิกจากหน้าเป็นหลังมือ
ทั้งที่เป็นเรื่องไม่สมควร
หากแต่บรรยากาศการเจรจากลับปราศจากซึ่งความอึดอัดอย่างที่ควร ตรงกันข้าม
เพราะยิ่งได้พูดคุยกันมากเท่าไหร่ ลึกๆ ฉันก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากเท่านั้น
แล้วก็คงเป็นอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเวลาเข้านอนมาถึง…
เวลา ๐๑.๓๗ นาฬิกา
ฉันพาตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงหลังจากจัดการอาบน้ำอาบท่าเสร็จ
เพราะก่อนหน้านี้ดันคุยเรื่องในอดีตกับท่านอสุราไปล่ะมั้ง
หรือไม่ก็เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ทำให้แม้ว่านี่จะปาเข้าไปตีหนึ่งแล้ว
แต่ฉันกลับยังไม่รู้ง่วงสักนิด แม้ว่าภายในห้องนอนจะถูกดับไฟลงจนมืดก็ตามที
หลายนาที ที่ฉันนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนอน เพื่อหาท่าที่เหมาะสมเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่า จังหวะที่พลิกตัวกลับไปทางฝั่งประตู สิ่งที่ตามองเห็นผ่านความมืดกลับยิ่งไล่ความง่วงทั้งหมดที่มีให้หกหายไปยิ่งขึ้นกว่าเก่า
ตึก...
เมื่อที่ตรงนั้นปรากฏร่างสูงใหญ่ของท่านอสุรา
เดินแทรกผ่านบานประตูเข้ามาข้างในไม่ต่างจากพวกผีในหนัง ในละคร
เพราะยังลืมตาอยู่
ใจเจ้ากรรมจึงเต้นแรงขึ้นอย่างผิดจังหวะ
เมื่อเห็นทีท่าอีกฝ่ายขณะเดินตรงเข้ามาหายังเตียงนอน จนเมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น
ฉันจึงตัดสินใจหลับตาปี๋ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวสิ่งเหนือธรรมชาติในแบบที่เขาเป็น
แต่เพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจให้สงบลงต่างหาก
กึก…
แม้ไม่ได้ลืมตา
แต่ความรู้สึกที่ยังทำงานอยู่ กลับบอกชัดถึงการเคลื่อนไหวของใครอีกคนในห้องได้ชัดเจนไม่แพ้การมองเห็นด้วยตาเนื้อ
ฉันยังรับรู้ได้ถึงการยวบลงของเตียงนอนเมื่ออีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมา
และเพราะรู้...หัวใจจึงไม่ยอมทำท่าจะสงบลงได้โดยง่าย
ซ้ำยังยิ่งหนักขึ้น เมื่อคนตัวใหญ่จงใจใช้หลังมือเคลื่อนแตะลงบนผิวแก้ม
เช่นเดียวกับเมื่อตอนช่วงหัวค่ำ ทว่า
“ยังมิหลับมิใช่หรอกรึ ไยจึงมิลืมตาขึ้นมาโวยวายเช่นทุกทีเล่า
แม่ทับทิม ?” ครั้งนี้เขาดันจับไต๋ฉันได้!
เมื่อการแกล้งหลับไม่สามารถอำพรางข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ได้
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นตามเสียงบอกกล่าวเพื่อมองหน้ายักษ์รู้ทันตรงๆ
ผ่านความมืด แต่ก็ใช่ว่าพอทำแบบนั้นแล้ว ท่านอสุราจะยอมลดมือออกไปเสียเมื่อไหร่
“ฉันไม่ใช่คุณกรองขวัญนะเจ้าคะ เอามือออกไปได้แล้ว”
“หากกล่าวว่าพี่มิหมายทำเช่นนี้กับหญิงอื่น แต่ประสงค์ปฏิบัติเช่นนี้ต่อแม่ทับทิมเล่า
พี่ยังต้องลดมือถอยห่างอีกหรือไม่ ?” สิ่งที่ดีสำหรับการเปิดใจคุยกันระหว่างเรา
คือการลดความอึดอัดที่เคยมีต่อกันตลอดหลายวันให้เบาลง แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ท่านอสุรากระทำตามอำเภอใจแบบนี้ด้วยเช่นกัน
แม้จะยอมก้มหน้าชดใช้หรือยอมกลับไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอดีต
อย่างไรเสียฉันก็ไม่อยากให้เขาทำซึ่งผิดเพี้ยนไปจากเรื่องราวที่ถูกจารึกไว้อยู่ดี
แถมตอนนั้นถ้าฉันไม่ฝันหรือเป็นบ้าได้ยินไปเอง
ท่านท้าวอสุเรนทร์เองก็ยังกล่าวไว้แบบนั้นอีก
‘แม้นน้องจักเป็นถึงอนุชาท้าวเมือง
หากกระทำผิดยามใด ก็จักต้องรับโทษเช่นไอ้ อี ยักษา ยักษีตนอื่นในนคร
พี่มิอาจลดโทษให้น้องได้ เพื่อมิให้ผู้ใดจดจำกระทำเป็นเยี่ยงอย่าง’ ในเมื่อไม่สามารถหยุดมือของท่านอสุราลงได้ด้วยคำทักท้วง
ฉันจึงเลือกเบือนหน้าหลบแล้วพลิกตัวหันกลับไปอีกฝั่งโดยทันที
พร้อมกับปากที่ยังคงพูดเตือนสติ
“ท่านเองก็เจอคนรักแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำไมไม่ไปทำแบบนี้กลับคุณกรองขวัญล่ะ ?” เหมือนคำพูดของฉันในหนนี้จะใช้ได้ผล เมื่อผู้ฟังไม่ส่งเสียงใดโต้เถียงกลับมา
แต่แล้วเพียงครู่สั้นๆ เท่านั้น ฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อบริเวณกลางลำตัวถูกวงแขนแกร่งของเขาพาดทับลงมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ซึ่งนั่นตามมาด้วยเสียงกระซิบหลังหูพร้อมอ้อมกอดที่กระชับรอบกายมากขึ้น
“เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นกับแม่กรองขวัญ
ในเมื่อยามนี้พี่ทำกับแม่ทับทิมอยู่…”
ฟึ่บ!
วินาทีที่สิ้นเสียงร่างกายก็เผลอแสดงการตอบโต้ต่อแรงสัมผัสที่ได้ด้วยการดิ้นอย่างสุดแรง
แต่เหมือนจะสายเกินไป
เมื่อเรี่ยวแรงที่ท่านอสุราให้โอบกอดรอบกายไว้นั้นดูจะมีพละกำลังมากกว่าหลายเท่านัก
“ทำอะไรน่ะท่าน ปล่อยนะ !” เมื่อพลังกายสู้ไม่ได้
ฉันจึงใช้พลังเสียง
เอาจริงๆ ฉันรู้นะ ว่าท่านอสุราเองก็รู้ ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันผิด ไม่ว่ากับตัวเขาเองหรือคนรักที่เคยให้สัญญากันไว้ตามเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดาร ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ท่านอสุราก็ใช่จะยอมคลายอ้อมกอดตามเสียงต่อว่าฉันแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับยิ่งกระชับวงแขนกอดรัดลงมาแน่นมากขึ้น จนเนื้อกายเราทั้งคู่เบียดแนบชิดกันแนบสนิท
การที่เป็นแบบนั้นมันเลยทำให้ฉันรับรู้ได้แม้ไม่มองว่า
ชุดเครื่องทรงยักษ์สีสะอาดตาบนตัวเขาเวลานี้มันได้เปลี่ยนไป
จนไม่รู้สึกถึงประดับบนเนื้อตัวที่น่าจะทิ่มแทงผ่านเนื้อผ่านตามแรงกอดกระชับ
ขณะที่ร่างกายกับเสียศูนย์และแตกตื่นอยู่ในภายในอ้อมแขนที่ได้รับอย่างไม่สมควรอยู่นั้น
ท่านอสุราซึ่งดูไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านต่อสิ่งใดไม่ว่าจะแรงดิ้นหรือเสียงปฏิเสธก็กล่าวขึ้น
“แม่ทับทิมมิอยากรู้หรือ ว่าเหตุใดเราถึงมีโอกาสได้พบหน้ากันเช่นนี้…” ด้วยคำถามนั้นซึ่งตรงกับสิ่งที่ฉันค้างคาใจมาโดยตลอด
มันเลยพลอยให้ร่างกายเผลอชะงักลงเล็กน้อยหลังได้ยิน ซ้ำยังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำถาม
“ทะ ทำไมเจ้าคะ ?”
“เพราะพี่เป็นผู้ขอให้ได้พบแม่ทับทิมด้วยตัวเองอย่างไรเล่า”
ทั่วหน้าเริ่มเกิดอาการร้อนจัด
เมื่อได้ยินคำตอบซึ่งดูต่างจากสิ่งที่เคยอ่าน ซึ่งนั่นคือช่วงเวลาเดียวกันที่วงแขนของเขาคลายออกเล็กน้อย
จนฉันสามารถใช้แรงทั้งหมดที่มีสะบัดตัวจนหลุดออกจากอ้อมกอดอุ่นได้สำเร็จ
ฟึ่บ!
“อ๊ะ…” แต่ว่านั่นเป็นเพียงความคิดชั่ววูบแรกเท่านั้น
เพราะวินาทีที่เข้าใจว่าตัวกำลังจะหลุดพ้น ความเร็วที่อีกฝ่ายมีมากกว่าซึ่งมาพร้อมกับวงแขนและฝ่ามือก็ไม่วายดึงฉันให้กลับมาอยู่กับที่ในสภาพนอนเผชิญสู้สายตากับเขาแบบตรงๆ
อีกครั้ง
กึก! ตุบ!
ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟด้านนอนสาดส่องเข้ามา
วินาทีนั้นกลับเป็นช่วงเวลาที่ฉันสามารถมองเห็นใบหน้าค,คายและองค์ประกอบบนดวงหน้าของท่านอสุราได้ชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ โดยเฉพาะกับรอยยิ้มและแววตาที่เขาใช้จ้องมอง ซึ่งเป็นจริงอย่างที่คาดไว้
เมื่อท่านอสุราในเวลานี้ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดเครื่องยักษ์อย่างในตอนแรก
หากแต่กำลังเปลือยกายท่อนบนโดยสวมเพียงกางเกงผ้าแพรเท่านั้นติดกาย
“ปะ ปล่อยนะเจ้าคะ !” แม้สถานการณ์จะไม่สู้ดีนัก
ซ้ำยังปั่นป่วนความรู้สึกจนไม่อยู่กับร่องกับรอย
ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่วายที่จะเอ่ยปากต่อว่าเหมือนทุกที ทว่า
อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะพูดเรื่องอื่น เพื่อต่อเติมใจความเดิมที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้
“ไฉนแม้ทับทิมจึงมิเอ่ยถามหาเหตุผลเฉกทุกทีเล่า ?”
“…” ทั้งที่กำลังถูกเขาพันธนาการไว้ด้วยเรื่องผิดและไม่สมควร
หากแต่ความรู้สึกกลับแสดงการตอบรับทุกแววตา
น้ำเสียงรวมถึงอ้อมกอดของเขาไปในทางอื่นอย่างไร้การควบคุม
โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเรื่องที่จะบอกเหตุผลออกมาด้วยตัวของตัวเอง
“จากการได้หวนกลับทบทวนบางสิ่งที่นคร ทำให้พี่ได้รู้ว่า
แท้จริงแล้วผู้ที่พี่เฝ้ารอจักพบเจอนั้นไซร้คือแม่ทับทิมไม่ผิดแน่…” ต่อให้ความรู้สึกบางส่วนจะเผลอวูบไหวไปตามน้ำคำ
กระนั้นคามผิดชอบชั่วดีที่มีในตัวก็ไม่วายส่งผลให้ปากแย้ง
“ทะ ทำไมถึงบอกไม่ผิดล่ะเจ้าคะ
ในเมื่อคนที่ท่านรอคือแม่นิมมานรดี”
แต่ใครจะคิดว่าสิ่งที่ท่านอสุราตอบกลับมานั้นจะเป็นแบบนี้
“มันจริง…ที่พี่เฝ้ารอที่จะหวนกลับมาพบแม่นิมมานรดี
หากแต่คำวอนขอต่อฟ้าดินเมื่อครานั้น คือการครวญหาหญิงผู้เป็นรักแรกอย่างไรเล่า…”
รักแรกงั้นเหรอ…
ถ้าเขาร้องขอกับฟ้าดินไว้แบบนั้นจริง ก็แปลว่าแม่จันทน์ผาคือรักแรกของท่านอสุราจริงๆ
ด้วยงั้นสินะ แล้วอย่างนั้นผู้ซึ่งถูกบันทึกชื่อไว้ในพงศาวดารอย่างแม่นิมมานรดีล่ะ…
“หากแม่จันทน์ผาคือรักแรกที่พี่ปักใจตามดั่งปากแม่ทับทิมว่า
ให้พี่กอดเช่นนี้ให้คลายห้วงคำนึกหามิได้หรอกรึ…” อีกหนที่ท่านอสุรากล่าวขึ้น ทว่า จังหวะที่กำลังจะอ้าปากปฏิเสธเหมือนอย่างทุกที ร่างทั้งร่างกลับต้องนิ่งไป
เมื่อเขาจงใจกระชับวงแขนแน่นยิ่งขึ้นกว่าเก่า แล้วเอ่ยแทรกขึ้นอีกหน “ในเมื่อพี่นั้น หาใช่จะมีโอกาสกระทำผิดเช่นนี้บ่อยครั้งนัก”
ตามประสาคนที่รู้ความผิดของตนเองเป็นอย่างดี...
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น