คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : กลรักอสุรา l บทที่๒๖ ตอน อโหสิกรรม {อัพ100%}
เมื่ออสุราสดับฟังเสียงเตือน พระอุระสะเทือนให้วาบหวาม
วจีหนักชวนให้ครวญคิดตาม ถึงข้อห้ามควรระวังให้พ้นภัย
ว่าแล้วยักษ์หนุ่มจึงครุ่นคิด ถึงโทษผิดต่อตนสิ้นเสียใหม่
หรือเรานั้นต้องจำยอมและตัดใจ เรื่องอดีตปล่อยไปให้ฝังลืม
หลังได้พูดคุยกับท่านชมชิตทร์จนรับรู้ถึงข้อห้ามและคำตักเตือน
ทั้งหมดนั่นทำเราต้องกลับมานึกทบทวนความรู้สึกที่มีทั้งหมดใหม่
ว่าแท้จริงแล้วยามนี้เรากำลังต้องการสิ่งใดอยู่และควรปฏิบัติตัวหลังจากยามนี้ให้ดำเนินไปในทางไหนกันแน่…
แม้นพอจะรำลึกห้วงอดีตจากภาพนิมิตของตนเองและผู้อื่น จนล่วงรู้ถึงบางสิ่งซึ่งแตกต่างจากที่เราเข้าอกเข้าใจในทีแรก กระนั้นแล้วชื่ออันไพเราะของนางอัปสรเช่น
‘นิมมานรดี’ นั้นยังคงฝังติดแน่นอยู่ในอกไม่เลือนหายไปไหน
‘หลับเสียเถิดดวงใจพี่...ฮึก แม้นชาติภพนี้
เราสองจักมิได้เคียงรักกันดั่งคำมั่น พี่ขอให้น้องจงอุบัติสิ้นเสียใหม่...
เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เราต้องรักกัน สืบไปจากนี้...ทุกภพทุกชาติ...’ ถ้าทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเป็นดั่งที่แม่ทับทิมคาดการณ์ไว้
ยามนี้ที่เรายังรู้สึกรักและผูกพันต่อแม่นิมมานรดีในรูปโฉมใหม่อาจเพียงเพราะความผูกพันที่เคยมีต่อกันในภพชาติก่อน
‘หากว่าฟ้าดินยังคงสลับรับฟังเสียงขอ โปรดจงช่วยส่งสัญญาณบอกกล่าวเราเสียหน่อยเถิด…ว่ายามนี้รักแรกของเรานั้นอยู่หนแห่งไหน มีสุขหรือทุกข์เช่นไร…หากต้องรอคอยอย่างผู้สิ้นหวังหาได้ล่วงรู้ความเป็นอยู่เช่นนี้ เห็นทีอุราเราคงมิคลายระบม’
ถ้าหากเสียงร้องขอของเราในอดีต
เป็นสิ่งนำพาเราให้กลับมาพบกับสิ่งที่ต้องประสงค์จนเกิดเป็นความรู้สึกอันไม่สมควรแสนอึดอัดเช่นนี้
วูบหนึ่งมันก็พานให้อดคิดไม่ได้ว่า หรือบางทีหรือฟ้าเบื้องบน
คงหมายให้เราล่วงรู้ความเป็นจริงที่ผิดเพี้ยน
เพื่อยุติห้วงอารมณ์ทั้งหมดที่มีลงก็เป็นได้
ถึงจะคิดเช่นนี้
ทว่า …
‘ในเมื่อยามนี้ท่านล่วงรู้ถึงเวรกรรมและคำทำนาย…มิว่าสิ่งใดที่อยู่ในพระอุระพระองค์ยามนี้ หากได้รับคำตอบแล้วไซร้
กระหม่อมขอทรงอย่าผลีผลามกระทำการตามใจตนจนตกอยู่ในบ่วงกรรมที่คอยท่าอยู่เลยนะขอรับ’
หากรับรู้ แต่เราไม่อาจแก้ไขหรือกระทำการใดให้เรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องที่ถูกต้องได้ มันจะมีความอะไร หรือฟ้าต้องการแค่เพียงให้เรารับรู้เพื่อปล่อยผ่านก่อนจากลาไปด้วยความรู้สึกค้างคาเช่นนี้…
‘จักเป็นผลดีกว่าหรือไม่ขอรับ
หากท่านอสุราจะปล่อยเรื่องราวที่รับรู้และพบเจอทั้งหมดให้เหมือนเช่นสายลมโชย…ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ท่านได้พบเจออยู่นั้น
ท่านหาได้นำพากลับคืนถิ่นต้นกำเนิดเดิมได้ ไยจึงไม่พบเพื่อบรรเทาความคิดถึง
เพื่อน้อมรับในวันลาจากมาถึงเล่าขอรับ ?’
ซึ่งถ้านั่นคือประสงค์อันแท้จริงจากฟ้าแล้วล่ะก็
สิ่งเดียวที่เราควรทำหลังจากนี้คือการอโหสิกรรมให้กับทุกสิ่ง
เพื่อพาตนเองออกห่างจากวิบากกรรมที่ท่านชมชิตทร์หวาดกลัวเช่นนั้นหรือ…
กึก…
“เม !”
ทันทีที่ความคิดนึกทบทวนต่อตนเองมาถึงตรงนี้เสียงหวานของนารีชนผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้น
ดึงเราหลุดจากวังวนความคิดอันแสนสับสนให้กลับคืนสู่ช่วงเพลาปัจจุบัน
ก่อนต้องพบว่าเวลานี้เราหาได้หยัดยืนอยู่บนที่ภายในวังเหมือนเก่าอีกต่อไปแล้ว
แต่เป็นสถานที่แปลกตาอันเป็นเรือนพักแรมของหญิงสาวที่เราเคยคาดหวังจะได้พบหน้ามาโดยตลอด
อย่างแม่กรองขวัญ
“วันนี้ก็ยังทันนะ รับงานเถอะ ถ่ายแบบแป๊บเดียวเองเดี๋ยวก็จบแล้ว”
จากมุมที่เรายืนอยู่นั้น สามารถมองเห็นใบหน้าสวยของแม่กรองขวัญได้อย่างเต็มตา
อาภรณ์บนเนื้อกายนางยามนี้แปรเปลี่ยนไปต่างจากภาพสุดท้ายที่เราจดจำครั้งเมื่อยืนอยู่หน้าสระบัว
ซึ่งเราไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก
ในเมื่อช่วงเวลาของเมืองมนุษย์และนครยักษ์นั้นห่างไกลมากนัก
อีกทั้งเราเองก็ต้องนอนพักฟื้นอยู่แต่ในวังอยู่หลายคืน
คาดว่าเวลาในเมืองมนุษย์คงจะผลักเปลี่ยนร่วงเลยจากวันก่อนไปไม่มากก็น้อย
“โธ่เม
! นิตยสารของที่นี่ขายดีจะตาย ทีมงานของเขาอาจจะวุ่น ๆ ก็ได้
น่านะ...มาเถอะ….ดะ เดี๋ยวสิเม อย่างเพิ่งสาย…เมรี!
อีเมรี!!!” จากการยืนลอบฟัง
รับรู้ได้ว่าน้ำเสียงและถ้อยคำที่หลุดผ่านริมฝีปากสวยตรงหน้านั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด ซ้ำยังไร้ความอ่อนหวานตามอย่างที่เราเข้าใจ
โดยเฉพาะกับชื่อเสียงเรียงนามของของผู้ที่ถูกแม่กรองขวัญแผดเสียงผ่านกระดานชนวนเรืองแสงในมือ
เจ้าของชื่อนั่นคือชื่อไอ้กุมภัณฑ์ในภพชาติใหม่ไม่ผิดแน่
หลังเฝ้าติดตามแม่กรองขวัญมาระยะหนึ่ง
สิ่งแรกที่เรารับรู้ได้คือจิตนึกคิดที่นางมีต่อภพชาติอดีตของตนเอง
แม่กรองขวัญสามารถล่วงรู้ภพชาติกำเนิดของตนได้
ทั้งที่เป็นเช่นนั้นแต่กลับไม่สามารถสื่อสารสิ่งใดต่อเราได้จวบจนถึงเพลานี้
คาดว่าเพราะนางจดจำอดีตของตนเองได้ จึงไม่แปลกใจนักหากเสียงเกรี้ยวกราดดังกล่าวจะดังขึ้นฉุนเฉียวใส่บุคคลซึ่งเคยปลิดชีวิตตนเองในห้วงอดีตด้วยความโกรธแค้นแบบนี้
“ฮัลโหล…บีน่าเหรอจ๊ะ นี่เจ๊ขวัญเองนะ…” อีกหนที่เสียงของแม่กรองขวัญดังขึ้นด้วยโทนที่เปลี่ยนไป
ขณะพูดคุยผ่านกระดานชนวนในมือ “เจ๊ตัดสินใจได้แล้วล่ะจ๊ะ
ว่าหลังจากนี้เจ๊จะรับบีน่ามาเป็นเด็กในสังกัดแทนเมรี…ไม่มีอะไรหรอกจ่ะ
เจ๊แค่ไม่ชอบคนที่เลือกงานแบบเมก็แค่นั้นน่ะ”
ภาพของแม่กรองขวัญยามนี้คือตัวช่วยยืนยันและเป็นตัวอย่างชั้นดีของผู้ไม่อาจตัดบ่วงกรรมที่มีมาตั้งแต่เกิดของตนเองกับยักษ์มารได้ คะเนว่านี่คงเป็นบ่วงกรรมที่มีต่อยักษ์มารซึ่งแม่กรองขวัญพกติดตัวมาจากภพกำเนิดเดิม
มันคือกรรมที่ท่านชมชิตทร์เอ่ยปากเตือนไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว...
ในเมื่อเราไม่อาจหยิบยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวเวรกรรมผู้ใดตามกฏหลักของฟ้าได้ สิ่งเดียวที่เราพึ่งจักทำได้ในเวลานี้
จึงเป็นการตัดใจ หันหลังให้กับอดีตหญิงคนรัก แล้วพาตนเองออกห่างจากบ่วงกรรมที่เริ่มทักทอเพิ่มขึ้นในช่วงเพลานั้นออกมาให้ไกลที่สุด แม้ลึกๆ อยากอยู่ห้ามปรามมากเพียงใดก็ตามที…
เพียงเสี้ยวลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
เท้าที่ก้าวจากตนเองออกจากภายในเรือนพักแรมของแม่กรองขวัญ ได้นำพาเรามาหยุดยืนอยู่บนพื้นถนนทอดยาวซึ่งไม่คุ้นตานัก
รอบข้างถูกปกคลุมไปด้วยร่มไม้สลับกำแพงสูง ซึ่งภายในมีอัครสถานคล้ายเรือนพักแรมเรียงรายอยู่เต็มสองฝั่ง
ทว่า
แต่ก่อนที่เราจะทันได้ย่างกรายพาตนเองออกจากพื้นที่แสนแปลกตาตรงนั้นไป จู่ๆ
ทั่วพื้นที่กลับเกิดเสียงแปลกประหลาดพร้อมด้วยบางสิ่งที่พุ่งเข้าปะทะกายเราอย่างรุนแรง
เอี๊ยดดดด ! โครมมม !
แต่ด้วยเพราะบางสิ่งในโลกมนุษย์ไม่อาจมีผลกระทบกับเนื้อกายเราได้มากนัก
แรงกระทบกระทั้นที่ได้รับจึงไม่ได้สะทกสะท้านต่อร่างกายเราแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อมองดูให้ดีอย่างถี่ถ้วนแล้ว
สิ่งที่พุ่งชนเราเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นม้าเหล็กที่คนในเมืองมนุษย์มักใช้เป็นพาหนะสำหรับเดินทางเสียด้วยสิ
ทว่า ความสนใจที่เราเคยมีต่อม้าเหล็กรูปทรงแปลกประหลาด
ก็มีอันต้องถูกทำให้หันเหทิศทางไปทางอื่น
เมื่อเสียงหวานของนารีชนตนหนึ่งดังขึ้นอย่างตกอกตกใจ ขณะก้มหน้าก้มตามองใต้ท้องม้าเหล็กอย่างเป็นกังวล
“คุณคะ
! เป็นอะไรหรือเปล่า!?” นางมีรูปลักษณ์ดูสวยสง่า
ดูผิดหูผิดตาไปจากชาติภพก่อนนัก ซ้ำยังมีกลิ่นกายหอมคล้ายกับดอกพิกุลทองในสวน เพียงมองเห็นปราดเดียวเท่านั้น
เราก็สามารถรับรู้ได้โดยทันทีว่านางคือผู้ใด ยิ่งด้วยผู้ซึ่งลงจากม้าเหล็กคันดังกล่าวตามนารีชนผู้นั้นลงมาติดๆ คือพระพี่ชายเราด้วยแล้ว
เรายิ่งมั่นอกมั่นใจเข้าไปใหญ่
กึก...
“น้องมาทำสิ่งใดที่นี่เล่า
?” เสียงเอ่ยทักตามประสาพี่น้อง เมื่อได้พบหน้ากันดังขึ้นผ่านปากพี่ชายซึ่งกำลังแสดงสีหน้าแปลกใจแกมสงสัย
ซึ่งเราก็ทำตัวตามประสาน้องชายผู้ภักดีต่อพี่ชายด้วยการตอบถ้อยกลับไปโดยทันควัน
“น้องหาได้เข้าใจเหตุและผล
ว่าเหตุใดน้องจึงมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้เช่นกันท่านพี่…” แต่ด้วยเพราะ
นอกจากท่านพี่อสุเรนทร์แล้ว อีกชีวิตที่ปรากฏตัวต่อสายตาเรานั้นคือศัตรูคู่อาฆาตของพี่ชาย
นั่นจึงทำให้ปากเราเผลอขยับถามไถ่ด้วยความสงสัย “แล้วท่านพี่เล่า
เหตุใดจึงออกร่วมเดินทางเคียงข้างอริเช่นนี้ ไยจึงมิปลิดชีวายมันให้สิ้นดั่งคำมั่นที่ประกาศไว้เล่า ?”
“เหตุเพราะ...พี่ทำข้อตกลงกับไอ้กุมภัณฑ์ไว้เมื่อไม่กี่เพลาก่อน”
“ข้อตกลงงั้นรึ ?”
เราย้อนอย่างไม่เข้าใจความหมาย
“ถูกแล้ว มันจริงเช่นที่น้องบอก ไอ้กุมภัณฑ์ยามนี้นั้นหาได้จดจำกรรมเก่าของตนเองได้
พี่จึงตามติดมันเป็นเงาเพื่อให้มันได้ครวญคิด ระลึกถึงกรรมเก่าที่เคยก่อไว้…และเมื่อไหร่ที่มันล่วงรู้กรรมถึงเรื่องระยำที่เคยก่อไว้
เมื่อนั้นพี่จักฆ่ามันเสียตามดั่งคำสัตย์”
เสียงของพี่ชายเรายังคงความดุดันและจริงจังไว้ดังเก่า หากแต่ในคราวนี้ การได้รับฟังอะไรเทือกนั้น กลับทำให้เรารู้สึกโล่งในอกมันเสียอย่างนั้น คงเพราะกว่าที่ไอ้กุมภัณฑ์จะระลึกได้ว่าตนเองเคยก่อกรรมชั่วอันใดมาบ้าง คงใช้เพลาอีกหลายชั่วยามพอดูกระมัง
ช่วงเพลาเดียวกันการที่เรารู้สึกเช่นนั้นต่ออริที่ปลิดชีวาหญิงคนรัก มันเลยทำให้เราตระหนักถึงความประสงค์ของตัวเองประการต่อไปของตัวเองได้ไม่ยากนัก
“เจ้าประคู้ณณ
ขอให้อย่ามีเจ้ากรรมนายเวรตัวใหม่โผล่ออกมาเลยนะ
หนูสัญญาหนูจะพยายามแบ่งเวลาไปทำบุญให้ !” อีกหนที่เสียงหวานระคนความหวาดหวั่นของไอ้กุมภัณฑ์ในสภาพนารีชนดังขึ้น
แทรกบทสนทนาระหว่างเราสองพี่น้อง พลอยให้สายตาหันเหไปยังเจ้าของเสียงอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
ซึ่งนั่นตามมาด้วยคำถามจากปากพระพี่ชายของเราที่มีต่อนาง ซ้ำยังให้ความรู้สึกแตกต่างจากการลั่นวาจาบอกกล่าวเมื่อครู่
“เจ้ากำลังกราบไหว้สิ่งใดรึ?”
“เมื่อกี้ท่านไม่เห็นเหรอ
ฉันขับรถชนอะไรก็ไม่รู้…” บทสนทนาซึ่งฟังดูเป็นกันเองของท่านพี่อสุเรนทร์กับศัตรูในอดีต
รวมถึงสีหน้าท่าทางที่มันกำลังแสดงออก ทำเราอดคิดต่อยอดจากประสงค์ประการต่อมาของตนเองไม่ได้ว่า หรือเพราะก่อนหน้านี้
เราดันหวนนึกถึงเรื่องของไอ้กุมภัณฑ์กับแม่นิมมานรดีที่เคยก่อกรรมร่วมกันขึ้นมา ยามนี้เราถึงได้มาหยุดยืนอยู่ตรงนี้
จนปะเข้ากับไอ้กุมภัณฑ์ในรูปโฉมใหม่เช่นนี้ได้
‘ต่อให้เพื่อนฉันคนนี้
ในอดีตจะเคยเข่นฆ่ากันมาก่อน ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเธออยู่ดีเจ้าค่ะ…อีกอย่างตอนนี้คนบนฟ้าก็ลิขิตให้เราสองคนเกิดมาเป็นเพื่อนกัน
คอยดูและช่วยเหลือกันยามมีเรื่องเดือดร้อน เป็นแบบนี้แล้ว หากเป็นท่าน
ท่านยังจะรู้สึกโกรธลงอีกหรือเจ้าคะ ?’
ยิ่งด้วยในหัวเผลอนึกถึงคำพูดของแม่ทับทิมเมื่อตอนนั้นด้วยแล้ว
เรายิ่งแน่อกแน่ใจเข้าไปใหญ่ว่าหลังจากนี้ควรต้องกระทำสิ่งใด
พอคิดได้เช่นนั้น จากที่เลือกจะซ่อนตัวให้หลุดพ้นจากสายตาของมัน เราจึงเกิดการเปลี่ยนใจ ซ้ำยังเป็นฝ่ายเอ่ยถ้อยตอบโต้เสียงบอกกล่าวอย่างเป็นกังวลของนางกลับไปพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมด้วยไมตรี
“เราคือคนที่เจ้าควบม้าเหล็กพุ่งปะทะใส่เมื่อครู่ แต่มิต้องกังวลไปไย เรามิเป็นไรมากดอก เป็นห่วงม้าเหล็กของเจ้าจักดีกว่า คงจักปวดระบมน่าดู...”
หากแต่การทำเช่นนั้นกลับทำให้ผู้ที่ได้เห็นเบิกตากว้างคล้ายกับตกใจ ก่อนรีบมองไปยังม้าเหล็กของตนเองสลับกับหน้าเราไปมาเหมือนคนเสียสติ และเพื่อให้นางรับรู้ว่าเราหาใช่จะมุ่งร้ายเหมือนเก่าก่อน นั่นจึงเป็นอีกหนที่เราเอ่ยแทรกทีท่าที่ไอ้กุมภัณฑ์แสดงออกเป็นหนที่สอง
“แล้วยามนี้เจ้าจักเดินทางไปหนแห่งไหนรึ ให้เราขอติดตามไปด้วยได้หรือไม่ ?”
ไม่กี่เพลาต่อมา…
จริงอยู่ ที่ไม่กี่เพลาก่อน เราคือฝ่ายเอ่ยขอที่จะติดตามไอ้กุมภัณฑ์ในภพชาติใหม่มาด้วย
แต่ใครจะคิดว่าหลังสิ้นเสียงรับปากไม่เต็มคำของมัน
สถานที่ที่แม่เมรีหรือไอ้กุมภัณฑ์พาเราและพี่ชายเดินทางมานั้น
จะเป็นเรือนพักแรมหลังหนึ่งที่เราคุ้นตา
ม้าเหล็กซึ่งถูกใช้เป็นพาหนะถูกไอ้กุมภัณฑ์ขับเคลื่อนเข้าไปยังพื้นที่ภายในบ้านหลังหนึ่ง
โดยที่เรานั้นไม่อาจติดตามเข้าไปภายในเรือนหลังดังกล่าวได้
แต่ไม่ใช่กับเรือนพักแรมซึ่งตั้งอยู่เคียงกัน ที่ดึงดูดเราให้หยุดยืนนิ่งอยู่บริเวณด้านนอกรั้วไม้อยู่ระยะใหญ่ จนแทบลืมไปเสียสนิทในว่าเหตุที่เราอาศัยร่วมอาศัยมาด้วยนั้น แท้จริงแล้วแอบแฝงประสงค์ใดไว้
“มิเข้ามาข้างในก่อนล่ะเจ้าคะ…” จนกระทั่งเสียงเชิญชวนของตายายจากศาลไม้หน้าบ้านกล่าวทักท้วงกึงทักทายขึ้นอย่างอ่อนน้อมตามประเจ้าบ้านเจ้าเรือน
เท้าที่เคยหยุดนิ่งจึงตอบรับคำเชิญดังกล่าวกลับไปตามมารยาท ด้วยการก้าวเหยียบย่างผ่านประตูรั้วสำหรับกักกั้นเขตแดนเข้าไปยังพื้นที่ภายในตามเสียงเชื้อเชิญ
ตึก… ตึก…
ตลอดทุกฝีก้าวที่เราเหยียบลงลงสู่อาณาเขตของเรือนพักแรมคุ้นตา นอกจากสายตาของตายายประจำบ้านแล้ว
เรายังรับรู้ได้สายตาของท่านพระภูมิผู้คอยปกปักษ์พื้นที่ตรงส่วนนั้นอีกด้วย
และถึงแม้นจะรับรู้ถึงนัยน์ตาทั้งสามคู่เป็นอย่างดี ทว่า
สายตาเรากลับเลือกมองตรงไปยังประตูทางเข้าบ้านราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่สามารถมองเห็น
ยิ่งเดินลึกผ่านบานประตูเข้าไปภายในเรือนมากเท่าไหร่
อาการนิ่งงั้นคล้ายกับถูกสะกดก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยอาการสั่นในอกอย่างไร้ที่มา
ด้วยเพราะรู้ดี ว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ภายในคืออะไรกระมัง
ใจเราถึงได้ตกอยู่ในอาการเหล่านี้ ซ้ำยังยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
เมื่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือภาพของหญิงสาวเจ้าของบ้าน
ขณะเดินออกจากโถงประตูทางเชื่อมภายในเรือน
กึก…
เท้าเหมือนถูกสั่งให้หยุดลงโดยชะงักราวกับถูกตอกติดให้นิ่งอยู่กับที่บริเวณมุมหนึ่งภายในเรือนหลังดังกล่าว จังหวะเดียวกับนารีชนรูปร่างเล็กเดินสวนผ่านตรงไปยังม้านั่งตัวยาวรูปทรงประหลาดกลางบ้าน
นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้น นี่คงเป็นอีกคราวที่เรามีโอกาสได้ยลเห็นใบหน้าแม่ทับทิมระยะใกล้ๆ เช่นนี้ แต่ว่า…
แปล๊บ…
พอนึกหวนไปถึงเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมา
ในอกเรากลับรู้สึกปวดแปลบจนต้องเผลอเลื่อนมือขึ้นกุมอกตัวเอง
เมื่อภาพสุดท้ายที่แทรกขึ้นในกมลความคิดให้นึกถึง ดันเป็นภาพของแม่ทับทิมขณะอิงแอบชิดกายกับอดีตคนรักของตนเองต่อหน้ามวลมหาปุถุชน
‘อย่างที่บอกไปน่ะค่ะ ว่านี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด
เพราะจริงๆ แล้วฉันกับเขตแดนน่ะ…เราคบกันมาได้สักพักแล้วต่างหากละคะ’ ไม่สิ ไม่ใช่อดีตคนรัก หากเรียกขานให้ถูกต้องกล่าวทั้งคู่คือคนรักกันถึงจะถูก
เมื่อนารีหญิงเจ้าของความรู้สึกและความสัมพันธ์ในเมืองมนุษย์ตกเป็นของชายอื่นไม่ว่าจะทางกายหรือวาจา สิ่งที่เราทำได้นับจากนี้จึงเป็นการทิ้งระยะห่างระหว่างเราไว้ เพื่อไม่ให้ตนเองผิดต่อจารีตอันดี ทว่า
แม้นจะรู้ถึงกฎข้อห้ามและข้อปฏิบัติเป็นอย่างดี แต่ว่าร่างกายและความรู้สึกกลับไม่ยินยอมรับฟัง ยังคงเลือกที่จะลดระยะห่างระหว่างตนและหญิงสาวตรงหน้าลง ด้วยการก้าวเท้าเข้าไปหา ซ้ำยังทิ้งกายอย่างอ่อนแรงบนม้านั่งรูปทรงแปลกเพื่อคงระยะห่างระหว่างเราไม่ให้ไกลกันเกิดไป
กึก…
นับจากมีโอกาสได้พูดคุยกับแม่ทับทิมในคืนนั้น
เราเองก็พอจะรับรู้ได้ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแปรเปลี่ยนไป
ไม่เหมือนวันแรกที่ได้พบเจอกัน
แม่ทับทิมคล้ายกับเลี่ยงที่เจรจาความใดต่อเราถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต
ราวกับไม่หมายที่จะรู้ถึงตัวตนของตัวเอง ไม่แตกต่างจากเรานัก
ซึ่งเลือกหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงดวงใจที่ตามหา
‘แล้วแม่ทับทิมเล่า จักรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ? จักปวดอุราบ้างหรือไม่ หากพี่นั้นกล่าวถึงแม่กรองขวัญให้แม่ทับทิมฟังในทุกช่วงเวลาที่พบหน้า’ เหตุผลคงเพราะเรากำลังกลัว...
กลัวว่าถ้อยคำที่ใช้บอกเล่าจะทำร้ายความรู้สึกหรือทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดี เฉกเช่นที่เรากำลังรู้สึก ซ้ำยังเริ่มเปลี่ยนเป็นความสงสัย ว่าหากยามนี้เราหมายเอ่ยถ้อยกล่าวสิ่งใดที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราอีกสักหน ถึงตอนนั้น แม่ทับทิมยังคิดจะเจรจาต่อเราเหมือนแรกเริ่มเดิมทีอยู่หรือไม่…
พอนึกมาถึงตรงนี้ มือที่เคยวางอยู่บนตักก็เผลอเลื่อนวางทาบลงบนหลังมือสวยของหญิงสาวตรงหน้าอย่างถือโอกาสเพื่อสื่อสารความรู้สึกในอกที่มี
ทว่า ช่วงเพลาเดียวกันนั้นกลับเป็นจังหวะที่แม่ทับทิมชักมือตนเองออกไปทั้งๆ
อย่างนั้นราวกับรับรู้ถึงการมา ซ้ำยังรีบลุกขึ้นชะโงกหน้ามองผ่านไปยังบานประตูราวกับว่ามองเห็นบางสิ่ง ก่อนลุกขึ้นจากม้านั่งมุ่งตรงไปยังประตูทางออก
โดยที่เรานั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
และทำได้เพียงแค่มองทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ ตามอย่างที่พึงจะเป็น
กึก…
“เมนั่งรอตรงนี้นะ
เดี๋ยวฉันไปหยิบน้ำกับขนมมาให้”
ไม่นานนักเทียบเท่าความรู้สึก
แม่ทับทิมซึ่งเดินหายออกไปหลังประตูไม้ก็ปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมเสียงกำชับ
ซึ่งการกลับมาของนางในหนนี้นั้น ใช่มาเพียงลำพังเหมือนเก่าเสียที่ไหน
เมื่อผู้ที่เดินตามกลับเข้ามาในตัวบ้านคือสหายคนสนิทหรือศัตรูคู่อาฆาตของพระพี่ชายเราในภพอดีต
จนอดคิดไม่ได้ว่า
ทีท่าที่แม่ทับทิมปฏิเสธการถูกสัมผัสเมื่อครู่แล้วหันไปชะเง้อชะแง่มองผ่านประตูออกไป
อาจเพราะคงนางคงมองเห็นสหายสนิทเช่นแม่เมรีที่นอกตัวบ้านก็เป็นได้
ทันทีที่เจ้าบ้านเจ้าเรือนเดินหายกลับเข้าไปด้านหลังโถงประตูภายในตัวบ้าน
แขกผู้เยือนก็รีบทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งนุ่มนิ่มจนพื้นที่บางส่วนอ่อนยวบลงไป
ด้วยระยะที่ใกล้กับระหว่างเรากับอดีตศัตรูของพี่ชายเวลานี้
มันเลยทำให้เรานึกถึงความต้องการของตัวเองก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้
เพราะคาดว่าระยะเพลาที่เหลืออยู่ อาจมีไม่มากนัก
การเลือกทำสิ่งต้องประสงค์ให้ครบถ้วนที่สุดจึงเป็นสิ่งแรกที่เราหมายมั่นลงมือทำ
“นาย !” เสียงอุทานแหลมเล็กตามจริตดังขึ้นแทบจะช่วงเวลาเดียวกันกับที่เราจงใจปรากฏกายให้ผู้ซึ่งเคยร่วมวิบากกรรมมองเห็น
จำต้องเอ่ยขึ้นด้วยระดับเสียงที่มีแค่เราและคู่สนทนาเท่านั้นจะพอได้ยินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เจ้าจักเสียงดังไปไยเล่าไอ้กุมภัณฑ์?” ซึ่งการบอกกล่าวกลับไปเช่นนั้น
มันก็ทำให้อดีตศัตรูในรูปโฉมของนารีรูปโฉมงานไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์คลายอากัปกริยาตกอกตกใจลงไปบ้าง
กระนั้นแล้วน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ก็ยังเต็มไปด้วยอาการเดิมไม่เปลี่ยนไป
“ท่านเป็นใคร?”
“ตัวเรานั้นชื่อ อสุรา…”
แม้นจะเคยเป็นศัตรูกันมาแต่ปางก่อน หากแต่วิถีทางและความรู้สึกของเรายามนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว
ดังนั้นคงไม่แปลกอะไร หากคำพูดคำจาที่ใช้ยามนี้จะฟังดูเป็นกันเองไม่แตกต่างจากผู้เป็นพี่นัก “แล้วเจ้าล่ะ…ชาติภพนี้มีนามเช่นไร”
“มะ เมรี”
“ชาติภพนี้รายนามของเจ้า
ฟังไพเราะเสนาะหู สมเป็นนารีชนเสียนี่กระไร”
ต่อให้รู้ตัวว่าความประสงค์ที่มีเวลานี้คือสิ่งใด
กระนั้นแล้วการกล่าวเข้าเรื่องโดยตรงต่อหน้าอดีตศัตรูที่เราเคยอาฆาตแค้นไม่ต่างจากพระพี่ชาย
ก็ไม่วายทำให้การเจรจาดูยากลำบากกว่าที่ควรเป็นอยู่ดี ทว่า
ดูเหมือนความรู้สึกทั้งหมดกลับไม่ใช่ต่อผู้ร่วมวงสนทนา เมื่อนางชิงถามขึ้นด้วยตัวของตัวเอง
“ทะ ท่านก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของฉันอีกคนเหรอ
!?”
เมื่อบทสนทนาลงเอยแบบนั้น
เราจึงไม่รอช้าที่จะเริ่มพูดเข้าเรื่อง
“หากเจ้าจักเรียกเราด้วยนามนั้น
เห็นทีเราคงปฏิเสธมิได้...แต่เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป
เรามิได้อาฆาตแค้นขุ่นเคืองเจ้าอีกต่อไปแล้ว เราอโหสิฯ ให้เจ้าหมดแล้วไอ้กุมภัณฑ์”
แม้เรื่องที่สนทนากันอยู่นั้นค่อยข้างละเอียดอ่อนซ้ำยังฟังดูหนักหนาสาหัส
“เรื่องเวรและกรรม
ให้เป็นเรื่องของพี่ท่านกับเจ้าเพียงสองต่อสองจักดีกว่า”
กระนั้นแล้วเรายังคงรอยยิ้มเล็กๆ
ไว้บนหน้า เพื่อให้อีกฝ่ายลดคลายเป็นกังวลใจขณะรับฟังความนัย เหตุก็เพราะคาดว่าแม่เมรีก็คงจะพบเจอเรื่องเลวร้ายจากพระพี่ชายเรามามากพอแล้ว
“พะ พี่ท่านเหรอคะ
?” ซึ่งนั่นก็ตามมาด้วยเสียงยอกย้อนถามระคนอาการแปลกใจของผู้ฟัง
“ดวงหน้าเรากับท่านพี่อสุเรนทร์
มิละม้ายคล้ายกันหรอกรึ?” แต่ทันทีที่เราตอบถ้อยกลับไป
นารีชนตรงหน้าก็เริ่มนิ่งไปราวกับกำลังคิดตาม
ซึ่งไม่นานนักนางก็เอ่ยถามขึ้นอีกหนด้วยความใคร่รู้
“ละ
แล้ว...กุมภัณฑ์เคยทำอะไรท่านไว้งั้นหรือคะ ท้าวอสุรา...” ซึ่งเสียงเรียกขานรวมถึงคำถามของคู่เจรจานั้นก็บอกได้เป็นอย่างดี ว่านางคงไม่รู้สึกอดีตของตัวเองเลยแม้เพียงนิด ถึงได้เอ่นขานชื่อเราพร้อมยศศักดิ์เทียบเท่าพระพี่ชาย
“เราไม่ใช่ท้าวเจ้าเมือง
ไม่ต้องขานเรียกเราเช่นนั้นหรอก” และนั่นคือถ้อยคำแรกที่เราเอ่ยตอบกลับไป
ก่อนตามมาด้วยเหตุผลที่อีกฝ่ายถามค้างไว้ “ส่วนสิ่งที่เจ้าก่อกรรมไว้กับเรา
มันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอันใดนัก เจ้าก็แค่...ปลิดชีวาหญิงคนรักของเราจนวอดวายก็เท่านั้นเอง”
สิ้นเสียงตอบอย่างซื่อสัตย์และเถรตรง
ทำเอาผู้ฟังขมวดคิ้วย่นชิดกันเป็นปม เช่นเดียวกับคำถาม
“ทะ
ท่านประชดฉันเหรอคะ?”
“เหตุใดเราจักต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า จริงอยู่ที่เราเคยโกรธและเคียดแค้นเจ้ามากยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ยามนี้ทวิภพเปิดกว้าง นำพาทุกสิ่งเวียนวนบรรจบกันอีกครั้ง...ด้วยประการฉะนี้ เราจึงมิโกรธแค้นสิ่งใดเจ้าอีก…”
ซึ่งเราหาได้ใส่ใจอากัปกิริยาบนดวงหน้าสวยที่อีกฝ่ายแสดงออกไม่ เมื่อประการเดียวที่เราต้องการเวลานี้มีเพียงแค่ การได้ลั่นวาจาอโหสิกรรมที่เคยก่อร่วมกันไว้ เพื่อหยุดทุกเวรกรรมที่เริ่มเคลื่อนหมุนวนให้มอดดับลงแต่เพียงเท่านั้น…
“วาจาเราศักดิ์สิทธิ์เพียงพอจักมิเอ่ยโป้ปดผู้ใด เจ้าจงเชื่อมั่นในคำเรา”
แต่ก่อนจะทันได้เจรจามากความใดไปกว่านี้
แม่ทับทิมซึ่งเดินหายเข้าไปหลังโถงประตูดันเดินย้อนกลับมาเสียก่อน
ทำให้การเจรจาระหว่างเรากับศัตรูต้องมีอันหยุดไป เช่นเดียวกับกายาเราที่เคยปรากฏต่อหน้าแม่เมรีด้วยเช่นกัน
อย่างไรเสียเราก็ใช่ว่าจะตัวเองหลบหนีตนเองออกไปไหนไกลเสียเมื่อไหร่
“น้ำเย็น ๆ มาแล้วจ้าเพื่อนรัก...”
ซึ่งการหยุดยืนอยู่ภายในพื้นที่เดียวกันเช่นนั้น
มันจึงทำให้เรารับรู้ถึงใจความของคนทั้งคู่ไปด้วย “ไหนมีเรื่องอะไรจะรบกวนฉัน
เล่าสิ?”
“ช่วงนี้เธอรู้สึกว่ารอบตัวมีเรื่องแปลก
ๆ บ้างไหม?”
“ไม่นี่ ถามทำไมอะ?”
“ปะ เปล่าไม่มีอะไร”
นอกจากแม่เมรีที่มักแสดงทีท่าอึกอักเคล้าความเป็นกังวลผ่านสีหน้าและน้ำเสียงขณะพูดคุยแล้ว
แม่ทับทิมในช่วงเวลานั้นก็ดูไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
นางยังคงตอบคำถามเสมือนไม่อยากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ผู้ใดได้รับรู้…
“อะไรเนี่ยอย่าพูดอะไรแปลก
ๆ สิ... แล้วช่วงนี้งานที่กองเป็นไงบ้าง
ตั้งแต่วันนั้นฉันยังไม่ได้เข้าไปเช็กงานให้พี่ช้างเลย
เห็นเขาว่าเปลี่ยนนักแสดงไปเยอะเหมือนกันนี่…” ซ้ำคำพูดของแม่ทับทิมที่ลอดผ่านปากอยู่ตอนนี้
ยังบอกเล่าถึงช่วงเวลาภายในเมืองมนุษย์ที่เวียนเปลี่ยน ได้เป็นอย่างดี
ก่อนเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งคำถาม ราวกับต้องการบ่ายเบี่ยงเรื่องของตนเอง “แล้วเธอล่ะ...ตั้งแต่วันนั้น ยังเจออะไรแปลก ๆ อยู่อีกหรือเปล่า?”
“ก็นิดหน่อยอะ...”
“ที่มาหาฉันวันนี้เพราะเรื่องนี้เหรอ?”
แม้นแม่ทับทิมจะรับรู้ทุกสิ่งอยู่แก่ใจ
ถึงอย่างนั้นถ้อยคำพูดที่เอ่ยกล่าวนั้น
กลับยังคงความเหินห่างราวกับผู้ไม่รู้เรื่องใด
ตรงกันข้ามกับการหยิบยื่นมือเข้าช่วยเหลือที่พร้อมจะหยิบมาใช้อยู่ทุกช่วงเพลา
“ในตำนานท้าวอสุเรนทร์น่ะ ก่อนที่ท่านจะไม่ถูกกับกุมภัณฑ์ สองคนนี้เคยสนิทกันมาก่อนใช่ไหม เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าอะไรที่ทำให้กุมภัณฑ์แปรพรรค ทำลายสวรรค์กับเมืองยักษ์แบบนั้น?”
ส่วนเรื่องราวที่หญิงสาวสองตนกำลังเจรจากันอยู่นั้น
คือเรื่องราวในอดีต ซึ่งแม่ทับทิมเองก็คอยให้คำตอบแก่ผู้ตั้งคำถามได้อย่างฉะฉานราวกับว่าจดจำทุกภาพเหตุการณ์ในห้องอดีตได้
อาจเพราะสิ่งที่คนทั้งคู่กำลังเจรจากันอยู่นั้นคือเรื่องไกลตัวแม่ทับทิมมากกระมัง
นั่นเลยทำให้บทสนทนาของคนทั้งคู่เริ่มยืดยาวออกไป ทว่า…
“รู้สึกว่า...กุมภัณฑ์จะใช้อิทธิฤทธิ์ที่ท้าวอสุเรนทร์มอบให้
แอบลอบขึ้นสวรรค์ลักพาตัวนางสวรรค์ซึ่งเป็นที่หมายตาของท้าวอสุเรนทร์ไปละมั้ง”
“ลักพาตัวเหรอ
!?”
“อื้อ
เหมือนว่ากุมภัณฑ์เองก็ชอบนางสวรรค์นั้นเหมือนกัน ก็เลยผิดใจกับท้าวอสุเรนทร์น่ะ”
“ที่แท้ก็แค่ผิดใจกันเพราะเรื่องผู้หญิงงั้นเหรอ?”
ชั่วยามที่เสียงพูดคุยดำเนินมาถึงตรงนี้
ผู้ที่ต้องรู้สึกแปลกไปกับคำพูดที่ได้ยินกลับกลายเป็นตัวเราเสียเอง
ยิ่งด้วยภาพสนทนาของคนทั้งคู่ปรากฏอยู่ในสายตาเนินนานกว่าที่ควรเป็นด้วยแล้ว ในหัวก็เผลอนึกหวนถึงเหตุการณ์ในคืนก่อนวันเกิดเรื่องตามบทสนทนาที่ได้ยินอย่างห้ามไม่ได้
หากจำไม่ผิดวันนั้นดูเหมือนจะเป็นวันที่เรากับเหล่าทหารเพียงหยิบมือ
รับอาสากันออกลาดตระเวรเฟ้นหาตัวยักษ์มารซึ่งกำลังหลบหนีในเมืองมนุษย์ตามความประสงค์พระพี่ชาย
เพื่อทำการจับกุมอัปรีย์ยักกลับสู่นคร ก่อนที่มันจะเหิมเกริมบุกขึ้นเหยียบย่ำสรวง
จนกระทั่งเราพาตัวเองบุกเข้าสู่
พื้นที่ชายป่าใกล้กับสระบัวอันเป็นสถานที่ต้องรักปักดวงใจ
เรากลับได้พบเข้ากับสิ่งที่ตามหา
หากแต่ว่าช่วงเพลาเดียวกันก็มีสิ่งอื่นซึ่งอยู่นอกเหนือประสงค์แทรกเข้ามาด้วย
‘บาดแผลเหล่านี้
ท่านเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ ท่านกุมภัณฑ์ ?’ นั่นคือแม่จันทน์ผา ขณะช่วยดูแลบาดแผลให้กับยักษ์มารที่ทุกชีวีบนสรวงให้ความโกรธแค้นและสาปแช่ง
ฟึ่บ!
‘อย่ามาแตะต้องเนื้อกายกู
!’ แม้ว่าสิ่งที่นางได้รับกลับมาจะเป็นการปฏิเสธด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลตามประสาของผู้มีอิทธิฤทธิ์เป็นรองพระพี่ชายเราในนครยักษ์ก็ตาม
หอกปลายแหลมถูกยักษ์มารวาดเสกขึ้นท่ามกลางอากาศ ก่อนกระหวัดเหวี่ยงข่มขู่นางสวรรค์ตรงหน้าราวกับหมายมั่นจะฆ่าผู้ที่ล่วงรู้ที่หลบซ่อนของตนให้มลายสิ้น
‘เหตุใดท่านกุมภัณฑ์จึงคิดจักทำร้ายฉันล่ะเจ้าคะ
ในเมื่อเราสองหาได้มีเวรกรรมใดต่อกันไม่…’ ทั้งที่มันหมายมั่นจะปลิดชีวีผู้พบเห็นและเกี่ยวข้องกับนครยักษ์เช่นแม่จันทน์ผาให้วอดวาย
หากแต่หอกปลายแหลมในมือของมันกลับมีอันต้องชะงักลงเมื่อเสียงกล่าวบอกกล่าวแสนอ่อนหวานแกมเข้าอกเข้าใจดังขึ้น
‘แม้นฉันจักเป็นอัปสรของนครยักษ์
กระนั้นแล้วฉันก็หาใช่จักมุ่งร้ายต่อท่านแต่อย่างใด’
ทั้งที่มันเที่ยวออกล่าฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์ดั่งเช่นผักปลา
หากแต่การกระทำอันแสนโหดเหี้ยมดังกล่าวนั้นหาได้เกิดขึ้นกับนางสวรรค์ตรงหน้าแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับอากัปอาการเกรี้ยวกราด ไม่ฟังผู้ใดที่ไอ้กุมภัณฑ์มี
ยามนั้นก็ดูจะลดลงจนไม่ต่างจากช่วงเพลาที่ยังคงตำแหน่งเป็นทหารเอกคู่กายพระพี่ชายในวัง
‘บาดแผลตรงนี้
ให้ฉันดูแลเถิดนะเจ้าคะ ท่านกุมภัณฑ์…’ และทีท่าที่แปรเปลี่ยนและอ่อนลงของไอ้กุมภัณฑ์ที่มีต่อแม่จันทน์ผาในยามนั้น
มันก็พลอยให้กระบองตาลในมือเราเผลอลดลงกลับคืนข้างตัวอย่างไร้เหตุผล
‘เจ้าจักมิเอาความนี้ไปพูดต่อผู้ใดใช่หรือไม่
นางอัปสร’
‘เจ้าค่ะ…ฉันจักไม่นำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใด…’ โดยเฉพาะกับเสียงไถ่ถามซึ่งฟังคล้ายกับเป็นคำสัญญาของคนทั้งคู่
‘หลังพ้นช่วงยามนี้ไป
หากท่านได้ใช้ช่วงยามอยู่กับตนเองจนเนินนานมากพอ ท่านกุมภัณฑ์ให้คำมั่นต่อฉันได้หรือไม่เจ้าคะ
ว่าจักกลับคืนสู่นครยักษ์เพื่อรับโทษทัณฑ์เพราะผลกรรมที่ก่อ’
และเพราะภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นกระมัง เราถึงได้ปล่อยปะละเลยหน้าที่ตนเอง จนเกิดเรื่องราวกับลักพาตัวนางสวรรค์ขึ้นหลังจากช่วงยามเมื่อครานั้น
เรื่องทั้งหมดก่อนเกิดสงครามสรวงมันเริ่มต้นเพราะมือเราเอง...
“ช่วงนี้เธอเองก็เจอเรื่องแปลกจากอาถรรพ์ท้าวอสุเรนทร์ใช่ไหมล่ะ ทำไมไม่ลองเช่าหุ่นท่านมากราบไหว้ดูละ เผื่อเรื่องแย่ ๆ จะลดลงบ้าง...”
ทว่า การหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตก็ไม่อาจดำเนินต่อเนื่องได้นานนัก เมื่อเสียงของแม่ทับทิมขณะเจรจากับสหายคนสนิทดังแทรกขึ้นผ่านภวังค์ ซ้ำยังฟังเหมือนกับนางกำลังเอ่ยถ้อยถึงเรา
“ฉันน่ะ
เช่าองค์ปั้นของท่านอสุรามากราบไหว้ที่บ้าน ช่วงหลัง ๆ มานี้เลยรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างใจเย็นกับทุกเรื่องมากขึ้น”
“เช่าองค์ปั้นเหรอ?”
“ใช่ นู้นไง
วางอยู่ตรงนั้น…” นอกจากกล่าวถึงแล้ว
แม่ทับทิมยังชี้มือชี้ไปไปยังหุ่นปั้นรูปทรงใกล้เคียงกับเราซึ่งวางอยู่ชั้นไม้สูงราวกับต้องการยืนกรานที่สิ่งลอดผ่านปาก
“ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วใช่ไหม
หุ่นปั้นรูปท่านอสุราอะไรนั่นน่ะ” ไม่รู้เพราเหตุอันใด
ไอ้กุมภัณฑ์ถึงถามขึ้นเช่นนั้นหลังปรายมองไปยังจุดที่แม่ทับทิมแนะนำ
แต่ขณะเดียวกันเราก็รับรู้ได้ ว่าตลอดเวลาที่นางพูดคุยกับแม่ทับทิมนั้น
นัยน์ตาคู่สวยยังกลอกไปมาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างด้วยทีท่าระแวดระวัง
“อื้อ… ตั้งแต่รุ่นแรกที่เขาเปิดให้เช่าเลยหล่ะ”
“ท่าทางเธอเนี่ย
คงชอบท่านอสุราอะไรนั่นมากจริงๆ เลยนะ ทำไมล่ะ ?” ทว่า
คำถามของไอ้กุมภัณฑ์หนนี้ กับทำให้ผู้ลอบฟังเช่นเราสะอึกด้วยอาการหวามในอกเล็กน้อย
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยามนั้นไม่ต่างจากช่วงที่แม่ทับทิมบอกความรู้สึกของตนเองต่อหน้าแม่กรองขวัญเมื่อครานั้นตรงไหน
‘ว่าแต่วันนี้ทับทิมดูแปลกๆ
ไปนะจ๊ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากรู้เรื่องอะไรพวกนี้ขนาดนั้นล่ะ ?’
‘เพราะฉันชอบท่านอสุรามากๆ
ยังไงล่ะคะ…’ ที่แตกต่างออกไปเห็นทีจะเป็น
นอกจากอาการหวามที่แล่นพล่านไปทั่วทั้งอกแล้ว
ช่วงยามเดียวกันเรากลับรู้สึกระบมไปทั่วทั้งใจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการต้องได้ยินเสียงบอกกล่าวความรู้สึกจากแม่ทับทิมเช่นนั้นอย่างชัดถ้อยชัดคำอีกครั้ง
“อื้อ ฉันชอบเขา
ท่านอสุราน่ะ…” ใจเรายามนี้สั่นไปหมด ไม่ต่างจากเนื้อกาย
ซ้ำยังไม่มีท่าทีจะหยุดลงได้ง่าย
“แล้วทำไมถึงชอบล่ะ
ในเมื่อในตำนานมันก็น่าจะมีตัวละครอื่นด้วยไม่ใช่เหรอ ?”
“เพราะท่านอสุราเป็นเพียงยักษ์ตนเดียว
ที่ฉันรู้สึกชอบล่ะมั้ง…” แม่ทับทิมกล่าวเช่นนั้น
บนดวงหน้าสวยกำลังปรากฏรอยยิ้มให้เห็น ทว่า
นั่นกลับไม่รอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสุข “มันก็เหมือนเวลาอ่านนิยายสักเล่มนั่นแหละ
ยิ่งรับรู้ถึงตัวตนตัวละครตัวนั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกรักและชื่นชอบท่านมากเท่านั้น”
พอเสียงบอกกล่าวความรู้สึกดำเนินมาถึงตรงนี้
ในหัวก็เผลอนึกถ้อยคำต่อว่าหลายคืนก่อนของแม่ทับทิมขึ้นมา
‘ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น
แต่ทุกอย่างที่ฉันเคยรับรู้มา มันเหมือนกับผิดเพี้ยนไปหมด
ไม่ว่าจะเรื่องราวของตัวท่านกับหญิงคนรัก หรือแม้แต่อุปนิสัยของท่านที่ฉัน…’
‘อุปนิสัยพี่งั้นรึ ?’
‘เจ้าค่ะ...อะ
อุปนิสัยของท่านที่ฉันเคยชอบน่ะ…’ ทั้งที่แม่ทับทิมเคยปรามาสต่อหน้าเราไว้เช่นนั้น
‘ท่านใจดำ…กับแม่จันทน์ผามากๆ เลย รู้ตัวหรือเปล่าเจ้าคะ ?’ ทั้งที่รู้ว่าเราคือผู้ใจดำ กระทำเรื่องเลวร้ายต่อนางตลอดภพชาติที่ผ่านมาแท้ๆ แล้วทำไมล่ะ
ทำไมยามนี้ถึงยังพูดความรู้สึกของตนเองที่มีต่อเราเช่นนี้อีก…
“ต่อให้ความเป็นจริง
ท่านอสุราจะไม่เหมือนกับที่ฉันวาดฝันไว้
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังยกเขาเป็นที่หนึ่งในความรู้สึกเสมอ เป็นไงล่ะ
ลึกซึ้งหรือเปล่า ฮ่ะๆ” อีกหนที่เราถูกกระชากออกจากวังวนความคิดด้วยถ้อยคำตบท้ายเชิงหยอกล้อพร้อมเสียงหัวเราะจากเจ้าของเสียงพูดและพูดฟัง
หากแต่ถ้อยคำติดตลกพรรค์นั้นกลับไม่ได้ช่วยให้เราอยู่อาการหวามในอกลงแม้สักครา...
“น้ำเน่ามาก ยัยหนอนหนังสือเอ้ย!” สิ่งที่มองเห็นผ่านสายตาเวลานี้
คือภาพของนารีหญิงขณะพูดคุยกันอย่างสนุกปากคละเคล้าเสียงหัวเราะ หากแต่นั่นกับไม่ใช่ความรู้สึกฝืนๆ
ส่งผ่านเสียงหัวเราะของแม่ทับทิม
‘ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้สึก ยิ่งเป็นอันตรายต่อกายและใจ…อนึ่งตัวท่านนั้นคือยักษ์หาใช่ปุถุชน แม้นยามนี้จักล่วงรู้ทุกสิ่ง แต่การพาองค์ลงไปข้องเกี่ยวจนผูกติดเวรกรรมที่คอยท่าอยู่นั้นหาใช่เรื่องที่ดีไม่…’
มันคงจะจริงอย่างที่ท่านชมชิตทร์ตักเตือน ว่ายามใดที่เริ่มรู้มาก ในใจก็ยิ่งตอบสนองความรู้สึกมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกต่อสิ่งที่ได้รับรู้และมองเห็นมากแค่ไหน
โดยเฉพาะเสียงครวญน่าสังเวชในอดีตที่ยังติดอยู่ในอก
‘หะ หากทับทิม…เม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ…ยะ
ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้…อึก…ฮึก…ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา
ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮือออ’ กว่าจะรู้สึกตนอีกครั้ง
ก็ตอนที่เท้าทั้งสองข้างพาเราก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่ทับทิมไปเสียแล้ว…
กึก…
ยิ่งจ้องมองใบหน้าสวยในแบบที่แม่ทับทิมมีมากเท่าไหร่
ภาพซ้อนของอดีตนางสวรรค์ผู้แสนอาภัพก็คล้ายกับปรากฏขึ้นซ้อนทับให้เราได้เห็นมากเท่านั้น
เช่นเดียวกับภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เริ่มผุดแทรกเข้าสู่กมลความคิดโดยไร้อาการเจ็บปวดใดเข้ามาขวางกั้นเหมือนดั่งทุกที
‘บัวในสระแห่งนี้ งดงามไม่ต่างจากผู้เด็ดดอมดม…จักเป็นไปได้หรือไม่ หากเราจักขอติดตามแม่นิมมานรดี ลงมายลความงามดอกบัวที่สระแห่งนี้อีกสักครา’
ภาพของแม่นิมมานรดีในแบบที่เราคุ้นเคยและเข้าใจภายในเรือพายเมื่อแรกรักเอง
ก็คล้ายกลับค่อยเลื่อนหายไปพร้อมเสียงหวานซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่าง
‘จะ เจ้าค่ะ หากท่านประสงค์เช่นนั้น
หม่อมฉันคงมิอาจขัด…อะ’ หรือแม้แต่ใบหน้าสวยหวานขณะหลับตา ยามนั่งนิ่งงันการจุมพิตบริเวณหน้าผากจากเรา
ช่วงยามเดียวกันนั้น
ในหัวก็คงไว้ด้วยเสียงเตือนของท่านชมชิตทร์ราวกับต้องการเตือนสติ
‘ในเมื่อยามนี้ท่านล่วงรู้ถึงเวรกรรมและคำทำนาย…มิว่าสิ่งใดที่อยู่ในพระอุระพระองค์ยามนี้ หากได้รับคำตอบแล้วไซร้
กระหม่อมขอทรงอย่าเพิ่งผลีผลามกระทำการตามใจตนจนตกอยู่ในบ่วงกรรมที่คอยท่าอยู่เลยนะขอรับ…’ ทว่า สิ่งที่ตามมากลังจากนั้น
กลับกลายเป็นภาพความระทมทุกของนางสวรรค์ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์
ทั้งเสียงร่ำไห้ เสียงอ้อนวอน และร้องขอความเห็นใจ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางในตอนนั้น คือภาพจำเดียวที่เราจดจำได้แน่ชัดราวกับว่า ความรู้สึกที่แม่จันทน์ผามีในตอนนั้นกำลังบังเกิดขึ้นกับตั;
และเราเชื่อว่านั่นคือเวรกรรมที่เราต้องชดใช้...
‘อย่างที่บอกไปน่ะค่ะ ว่านี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะจริงๆ แล้วฉันกับเขตแดนน่ะ…เราคบกันมาได้สักพักแล้วต่างหากละคะ’ แม้นมีคนรักอยู่ข้างกายตามประสงค์ กระนั้นแล้วเรากลับรู้สึกเจ็บปวดในอก ยามเห็นแม่ทับทิมอยู่เคียงข้างชายอื่นอยู่ดี คงไม่ต่างจากแม่จันทน์ผายามต้องเห็นเรากับพี่สาวนางอยู่คู่เคียงกายกันนัก
‘เพราะทุกชีวา ล้วนแล้วแต่มีเวรและกรรมผูกตนมาตั้งแต่ถือกำเนิด
อยู่ที่ว่าผู้ใดจะผูกบ่วงที่มีติดตัวให้รัดกายตนเองจนแน่นขึ้นกว่าที่เป็นเท่านั้น…’ ถ้าหากความรู้สึกที่เป็นอยู่ยามนี้ คือเวรและกรรมที่เราต้องเผชิญและชดใช้ให้กับเรื่องราวร้ายๆ
ในอดีตซึ่งเคยพลาดพลั้งทำใส่แม่จันทน์ผาจริงแล้วไซร้
แล้วยามนี้เล่า เราจะหยุดกรรมตนเองลงได้อย่างไร…
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น