ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #26 : กลรักอสุรา l บทที่๒๔ ตอน วัฏจักรกรรม {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.5K
      171
      26 ก.พ. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *


    บทที่๒๔
    ตอน วัฏจักรกรรม


    อยากรู้หรือเปล่าว่าในฝันฉันน่ะ ผู้ชายที่ชื่อวิรุฬคนนั้นรักผู้หญิงที่ชื่อจันทน์ผามากแค่ไหน ?”

    อาการหวามในอกแล่นขึ้นให้รู้สึกทันทีหลังสิ้นเสียงถาม ทั่วหน้าเริ่มเกิดอาการชาอีกครั้งยามต้องถูกเขตแดนจ้องมองกันในระยะใกล้แบบนี้จนต้องรีบเป็นฝ่ายละสายตาไปจากเขาก่อน  ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากชื่อของผู้หญิงที่ฉันรู้จักดีคนนั้น ไม่ได้ออกมาจากเขาแบบนี้

    ไม่ตอบแปลว่าไม่อยากรู้งั้นสิ ?อีกหนที่เขตแดนพูดแบบติดตลก ก่อนละสายตากลับไปยังทางเบื้องหน้า พร้อมเพรียงกับสัญญาณไฟจราจรที่เริ่มเปลี่ยนสี แต่นั่นไม่ใช่กับฉันที่ทุกส่วนของร่างกายเหมือนกำลังถูกเขาแช่แข็งไว้การเล่าเรื่องพวกนั้น แต่ถ้าให้เดานะ ฉันคิดว่าผู้ชายคนนั้นคงรักจันทน์ผาอะไรนี่มากจริงๆ

    “…”

    ลองคิดดูสิ ถ้าไม่รักมาก ในฝันฉันผู้ชายคนนั้นก็คงไม่ตายตามคนรักไปหรอกจริงไหม…” เขากำลังถามฉัน ถามในสิ่งที่ฉันเองไม่สามารถรู้แต่รู้สึกได้ ไหนจะเรื่องที่เขาสวดคาถาขอกับฟ้าดินนั่นอีก

    ขอกับฟ้าดินงั้นเหรอ

    รู้สึกว่าจะให้คนรักของตัวเองกลับมาเกิดใหม่ มีความบริสุทธิ์และงดงามเหมือนเม็ดทับทิม…” พอฟังมาถึงตรงนี้ นี่คงเป็นหนที่สองแล้วที่ฉันอดไม่ไหว จำต้องเหลือบมองเสี้ยวหน้าคนพูดด้วยความตกใจปนช็อก

    จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ วูบหนึ่งฉันเคยสงสัยถึงที่มาที่ไปของผู้ชายชื่อวิรุฬกับเขตแดนซึ่งเคยใช้ชื่อเดียวกันแถมยังมีความฝันอันแสนคลุมเครือแบบนั้นในวัยเด็ก แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าสิ่งที่เคยสงสัยในตอนนั้น จะกลับกลายมาเป็นเรื่องเล่าจากปากของผู้ชายคนนี้

    ในเมื่อหลีกหนีความจริงกับเวรกรรมที่ตามหลังมาแบบติดๆ ไม่ได้ ฉันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดปากถามเขากลับไปบ้าง

    ถ้าผู้ชายคนนั้นรักแม่จันทน์ผาจริง แล้วทำไมแม่จันทน์ผาถึงไม่มีความสุขล่ะ ?ตอนถามออกไปแบบนั้น ฉันไม่กล้าที่จะมองหน้าเขาหรอกนะ เลยเลือกที่จะหลุบตามองมือตัวเองซึ่งกำลังเกี่ยวพันกันไปมาเพื่อลดแรงกดดัน

    แต่ว่า คำถามของฉันกลับไม่ได้คำตอบใดกลับมาจากปากของผู้เล่า ซึ่งจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมเขตแดนถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ราวกับว่ามันเป็นหัวข้อสนทนาสำคัญ

    เขตแดนไม่พูดหรือเล่าอะไรหลังจากนั้นอยู่ราวๆ เกือบนาทีตามความรู้สึก แต่ไม่นานเขาก็ยอมปริปากกล่าวขึ้น

    แล้วเธอล่ะ ทำไมถึงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเรื่องความสัมพันธ์ของเราออกไปแบบนั้น…” หากแต่ฟังดูเป็นการถามย้อน เสียมากกว่าจะให้คำตอบกลับมา

    “…” ซึ่งฉันตอบไม่ได้ นั่นเลยทำให้เขาเป็นฝ่ายตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง

    ตั้งใจประชดใครอยู่หรือเปล่า ?

    ฉันจะไปประชดใครล่ะ ในสถานการณ์แบบนั้นจะให้ฉันหักหน้านายต่อหน้านักข่าวหรือไง ?และพอย้อนกลับไปบ้าง สิ่งที่ตามมาแบบติดๆ คือเสียงหัวเราะในลำคอคล้ายกับตลกอะไรของผู้ฟัง

    เธอหักหน้าฉันเก่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ?พร้อมคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ เรื่องแค่นี้มันคงไม่ยากนักหรอกถ้าเธอจะทำ เว้นเสียแต่เธอแค่ตอบนักข่าวเพื่อประชดคนอื่นเท่านั้นเอง

    เลิกใส่ร้ายกันสักทีได้ป่ะ บอกว่าเปล่าก็คือเปล่าไง…” ทั้งที่พยายามแก้ต่างให้กับตัวเอง ทว่า เขตแดนกลับไม่ได้รอให้ฉันได้พูดจนจบคำ เมื่อเขาชิงพูดแทรกขึ้นด้วยคำพูดที่สร้างความตกใจให้แก่คนฟังไม่แพ้กับที่แล้วมา

    แล้วถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น เป็นสิ่งที่ฉันวางแผนมาแล้วแต่ต้นล่ะ ?

    วางแผนมาแล้วแต่ต้นงั้นเหรอ

    ถ้าหากว่าก่อนที่ฉันจะเข้าไปหาเธอ ฉันให้สัมภาษณ์กับพวกนักข่าวว่าเข้าไปรับแฟนล่ะ เธอจะว่าไง ? นี่หรือว่า ไอ้ที่รู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างเหมือนถูกเตรียมการไว้ตั้งแต่ต้นในตอนนั้น จะเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

    นายทำแบบนั้นทำไม ?เพื่อความแน่ใจ ฉันจึงถามขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่แข็งขึ้น บ่งบอกความรู้สึก

    ก่อนหน้านี้ฉันเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวไป ว่าฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่ไม่ได้เปิดเผยหรอกว่าคือใคร…” ซึ่งเขตแดนเองก็ไม่รอช้า รีบให้คำตอบกลับมาทันทีราวกับเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว แต่วันนี้ฉันแค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย ก็เลยวางแผนแล้วให้สัมภาษณ์พวกนักข่าวไป

    “…”

    มันต้องมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ ที่คนนอกอย่างฉันซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับคนในกองถ่ายจะมายังที่ถ่ายทำ ฉันก็เลยบอกพวกนั้นว่า ฉันมารับแฟน…” ครู่หนึ่งที่เขาเงียบเสียงลง เช่นเดียวกับรถที่เคลื่อนมาจอดลงเมื่อเบื้องหน้ามีสัญญาณไฟสีแดงปรากฏขึ้น พร้อมเพรียงกับเสียงเข้มบอกกล่าวความรู้สึกของคนขับ แล้วรู้อะไรไหม สิ่งที่ฉันตั้งใจจะพิสูจน์วันนี้แม่งดันเป็นเรื่องจริง

    ตั้งใจจะพูดอะไร ?ฉันแย้ง หากแต่นั่นกลับทำให้คนฟังเลือกที่จะเท้าแขนข้างหนึ่งลงกับหัวพวงมาลัย เอี้ยวตัวมองกันแบบตรงๆ สีหน้าของเขตแดนเวลานี้ปราศจากความทะเล้นหรือความยียวนเหมือนทุกที หากแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจังแทรกทุกอณูบนใบหน้า

    เช่นเดียวกับเสียงถามซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน

    อสุราที่เป็นยักษ์น่ะ อยู่แถวนั้นใช่ไหม ?นี่เป็นหนที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่คำถามของเขตแดนทำฉันพูดไม่ออก ซ้ำฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีหน้าที่แสดงออกไปตอนนั้นน่ะ กำลังปรากฏให้เขาเห็นรูปแบบไหน สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือสายตาจริงจังของเขตแดนขณะพ่นคำถามรู้ทันออกมาไม่หยุดเท่านั้น อสุราอะไรนั่นคงอยู่ตรงนั้น ใกล้ๆ คุณกรองขวัญใช่หรือเปล่า ?

    “…” ทะ ทำไมเขาถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะ โดยเฉพาะเรื่องของคุณกรองขวัญน่ะ

    หรือเธอจะบอกว่าไม่รู้จักก็ได้นะ แต่เธอคงไม่กล้าจะปฏิเสธหรอกใช่ไหม ว่าไม่รู้จักกับยักษ์ตนนี้ ?หูเหมือนเริ่มอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใด หลังจากถูกคำถามเชิงกดดันของเขตแดนสาดเข้าใส่หนักข้อมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูท่าแล้วเขาเองก็คงจะรับรู้ความรู้สึกที่ฉันเป็นตอนนี้เช่นกัน ถึงได้เอ่ยถามขึ้นอีกหนด้วยเสียงที่อ่อนลง คงตกใจใช่ไหม ว่าฉันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ?

    “…” แน่นอนว่าฉันไม่ได้ตอบ นั่นเลยทำให้เขาพูดมันออกมาด้วยตัวเอง

    วันที่เธอเป็นลมน่ะ รู้ใช่ไหมว่าฉันคือคนที่พาเธอมาส่งแล้วอยู่เฝ้าเธอตลอดแทบทั้งคืน…” เขตแดนกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน คืนที่ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับท่านอสุราถึงเรื่องราวในอดีตเป็นหนสุดท้าย

    เดี๋ยวสิ! นี่อย่าบอกนะว่าเขา

    และการอยู่เฝ้าเธอแบบนั้น มันเลยทำให้ฉันมองเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น อย่างเช่นผู้ชายที่มีใบหน้าของยักษ์ขณะนั่งคุยกับเธอเธอที่เป็นคนธรรมดาสิ้นเสียงบอกกล่าวของเขตแดน ไม่ได้มีแต่ฉันเท่านั้นรู้สึกตกใจ แต่รวมถึงคนพูดซึ่งใช้น้ำเสียงบอกเล่าแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น การได้ยินเรื่องที่เธอกับผู้ชายคนนั้นคุยกัน มันเลยทำให้ฉันได้คำตอบที่เคยสงสัย ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกผูกพันและโหยหาแต่เธอชนิดที่ไม่สามารถมองใครได้อีก

    ฉันจะทำยังไงดีล่ะ ฉันควรจะตอบเขาว่าอย่างไรดี

    แม้จะบอกตัวเอง ว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องราวในอดีตอีกโดยเด็ดขาด แต่ว่า เมื่อถึงตาจน ปณิธานที่เคยตั้งไว้ทั้งหมดก็มีอันต้องพังลงในที่สุด ยิ่งเมื่อคนตัวใหญ่ข้างกายเวลานี้เอาแต่สาดคำพูดกดดันใส่กันไม่หยุดด้วยแล้ว ฉันยิ่งไม่มีทางเลือก

    พะ เพราะแบบนี้ใช่ไหม อยู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องระลึกชาติขึ้นมา ?

    พูดแบบนั้นมันก็ใช่…”

    แล้วเหตุผลที่มารับฉันกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่กองถ่ายวันนี้ล่ะ  นายทำเพื่ออะไร ?จากตอนแรกที่บรรยากาศภายในรถเต็มไปด้วยแรงกดดันจากเขาแต่เพียงฝ่ายเดียว เวลานี้กลับเพิ่มมากขึ้นด้วยคำถามของฉัน

    และแม้จะกดดันมากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นเราทั้งก็ยังผลัดกันถามตอบอยู่เช่นนั้นไปตลอดทาง

    ก็เพื่อพิสูจน์ยังไงล่ะ ว่าเธอคงไม่ได้รู้สึกหรือเกี่ยวอะไรกับเรื่องเหนือธรรมชาติบ้าๆ พวกนี้ แต่ก็เปล่า…”

    แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินฉันไม่ทราบ ว่าฉันจะรู้สึกหรือไม่ได้รู้สึกอะไรกับใคร ?สิ้นเสียงถามจากฉัน คราวนี้คนที่เงียบไปคือเขตแดน ซึ่งการที่เงียบไปแบบนั้นมันเลยทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองท่าทีของอีกฝ่ายขณะขับรถ

    ตอนแรกฉันคิดว่าเขาคงกำลังแสดงทีท่าและสีหน้าไม่พอใจตลอดเวลาที่เราพูดถึงเรื่องนี้ แต่ว่าดันผิดคาด เมื่อเสี้ยวหน้าคมคายที่เขาแสดงออกให้เห็นขณะประคองพวงมาลัยบังคับรถไปบนพื้นถนนนั้น กำลังถูกฉาบไว้ด้วยความรู้สึกอื่น ซึ่งคาดว่าเขตแดนเองก็คงรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ วาจาสั้นห้วนจึงถูกเขาพ่นขึ้น

    ฉันไม่ชอบมัน…” ก่อนตามต่อด้วยประโยคยืดยาวราวกับต้องการระบายความอัดอั้นในอก ถ้าหากเรื่องเวรๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา มันพ่วงมาจากเหตุการณ์ในอดีตชาติ ความรู้สึกนี้ก็คงไม่ต่างจากที่ฉันเคยรู้สึกเมื่อชาติก่อนเท่าไหร่

    “…”

    “แล้วเธออยากรู้ไหม ว่าทำไมวิรุฬที่อยู่ในฝันฉัน ถึงฆ่าตัวตายตามผู้หญิงคนนั้นไป ?จากที่เคยผลัดกันถามตอบ พอมาอยู่ในจุดที่เขตแดนเป็นฝ่ายพรั่งพรูคำพูดของตัวเองไม่ยอมหยุด ฉันจึงต้องกลายมาเป็นผู้รับฟังอย่างสิ้นข้อโต้แย้งด้วยความไม่รู้เข้ามาแทน ทั้งหมดนั่นเพราะคำสัญญายังไงล่ะ…”


    -กรองขวัญ กล่าว-

    เอ็งจักรำเช่นนี้ไม่ได้นังสร้อย...มือไม้ให้มันอ่อนช้อย จักได้ถูกใจคุณหลวงท่าน

    แต่ป้าจ๊ะ...สร้อยไม่อยากเข้าพบคุณหลวง ป้าช่วยสร้อยไม่ได้หรอกรึ ?” 

    เสียงตอบโต้ของหญิงวัยกลางคนกับหญิงสาวคู่หนึ่งดังขึ้นบริเวณกลางสวนสวยภายในพื้นที่บ้านทรงไทยหลังใหญ่ ขณะผู้สวมบทบาทใช้ความสามารถในการแสดงที่ตนเองมีสื่อสารความรู้สึกตามบทบาทที่ได้รับ 

    ส่วนฉันซึ่งเป็นผู้ดูแลของดาราสาวชื่อดังซึ่งกำลังเงื้อไม้เงื้อมือร่ายรำอยู่กลางสวนตามบทที่ได้นั้น ก็ทำได้แค่ยืนกอดอก เฝ้ามองดูเธอจากระยะที่ไม่ใกล้หรือไกลมากนัก

    คัต!! น้องเมเป็นอะไรไปครับ !?” ทว่า วินาทีที่เสียงสั่งคัตดังขึ้น พร้อมกับนักแสดงสาวในความดูแลซึ่งจู่ๆ ก็แสดงอาการเลิกลักตกใจ ผิดไปจากบทที่ได้รับ 

    สายตาที่เคยให้ความสนใจกับภาพการแสดงเบื้องหน้าก็มีอันต้องหันเหไปยังทิศทางอื่น ไม่ใช่เพราะรู้สึกอับอายแทน แต่ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายกับการมองเห็นภาพของเธอเสียมากกว่า

    ผู้คนบนโลกล้วนแล้วแต่เกิดมาพร้อมเหตุการณ์ฝังใจเจ็บกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกหรือเรื่องราวเหล่านั้นมาตั้งแต่ห้วงอดีตเก่าก่อนของตนเองได้ชัดเจนนัก บางคนจึงแสดงออกกับต่อสิ่งที่ผูกใจเจ็บด้วยความกลัวหรือความเกลียด

    บางคนเกลียดและกลัวจำพวกสัตว์เลื้อยคลาน บ้างอาจเพิ่งมารู้สึกหวาดกลัวหรือไม่ชอบในชาติภพนี้ แต่ก็ยังมีบางคนที่รู้สึกเกลียดและกลัว หรือไม่ชอบมาตั้งแต่เกิด โดยไร้เหตุผล และเมื่อถาม พวกเขาก็ให้เหตุผลได้เพียงแค่ว่า ไม่รู้สิ ก็ไม่ชอบอ่ะ 

    ฟังแล้วก็คงไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่ ที่เกิดมาก็รู้สึกไม่ชอบและไม่ถูกชะตากับใครคนหนึ่ง นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบเจอ และแม้ไม่ชอบเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นแล้ว ฉันก็ยังอยู่ร่วมโลกเดียวกับมันคนนั้นได้อย่างเป็นมืออาชีพ

    พอคิดเรื่อยเปื่อยมาถึงตรงนี้ นอกจากภาพใบหน้าของดาราเบอร์หนึ่งที่ดูแลอยู่จะปรากฏเข้ามาให้เห็นในความคิดแล้ว มันยังมีใบหน้าของเด็กสาวอีกคนปรากฏให้หวนนึกถึงด้วยเช่นกัน

    เด็กสาวที่ชื่อว่าทับทิมอะไรนั่น

    อย่างที่บอก อาจเพราะบางอย่างที่ผูกติดเราทั้งคู่ไว้ตั้งแต่ในอดีตด้วยล่ะมั้ง มันเลยทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบเธอเท่าไหร่นัก แม้ว่าในช่วงเวลาปัจจุบันเราทั้งคู่จะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกันมาก่อนสักครั้งก็ตาม

    อีนิมมานรดี ไยเอ็งเอาแต่นั่งแต่งองค์ทรงเครื่อง เกียจคร้านมิช่วยงานช่วยการเยี่ยงผู้อื่นเขา !’ ฉันจำเสียงด่าทอของบุพการีจากห้วงอดีตได้ เสียงตวาดกร้าวพร้อมไม้หวายที่มักจะหวดฟาดเข้าใส่ยามที่ท่านเริ่มมีปากมีเสียง โดยทุกครั้งก็มักจะมีเสียงหวานของเด็กสาวอีกคนคอยแก้ต่างให้กันอยู่เสมอๆ

    อย่าว่าพี่นิมมานรดีเลยจ่ะแม่ พี่เขาทำงานเสร็จก่อนฉันเสียอีก จึงหลับนั่งพักในเรือนต่างหากหล่ะจ้ะ’ ฉันไม่เคยรู้สึกโกรธบุคคลซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ในอดีตเลยสักครั้ง หากเสียงด่าทอที่มักเกิดล้วนแล้วแต่เกิดจากเข้าใจผิด 

    ทว่า นานไป ฉันกลับค้นพบว่ามันไม่ใช่ เมื่อภาพที่หลอกหลอนอยู่ในหัวยังคงเจนชัดไปหมดทุกอย่างราวกับกำลังเกิดจริงในช่วงเวลาปัจจุบัน

    หัดเอาเยี่ยงอย่างนังจันทน์ผามันเสียบ้างนะเอ็ง ข้ามิแปลกใจนักว่าเหตุใด ชายในหมู่บ้านถึงสนอกสนใจนังจันทน์ผาเสียยิ่งกว่าพี่ของมัน !’

    ทำไมพูดเช่นนั้นล่ะจ๊ะ ฉันเองก็ทำได้ทุกอย่างมิต่างจากนังจันทน์ผามันเสียหน่อย พูดเช่นนั้นฉันเสียใจนะจ๊ะแม่

    เสียใจงั้นรึ ข้านี่ควรเสียใจ ที่มีลูกสาวมิได้เรื่องเช่นเอ็งข้าไม่คุยแล้ว จักออกไปดูนังจันทน์ผามันเสียหน่อย ป่านนี้คงหิวน้ำหิวท่าแย่ เพราะทุกเสียงด่าทอที่ปรามาสสาดใส่ ล้วนแล้วแต่จงใจเปรียบเทียบกับลูกสาวอีกคน เสมือนว่าฉันในตอนนั้นไม่มีอะไรดี เช่นเดียวกับความรักและความห่วงใยที่ได้ ราวกับมีให้ไม่เท่ากัน

    ไม่เว้นแม้แต่ในวันลา

    เป็นสุขๆ นะนังจันทน์ผา ถึงจักขึ้นไปเป็นนางฟ้านางสวรรค์ รับใช้เบื้องบน แต่เอ็งต้องรู้จักระมัดระวัง ดูแลด้วยเองบ้างนะ

    จ่ะแม่ ฉันกับพี่นิมมานรดีจักทำหน้าที่บนสรวงให้ดีที่สุด…’ แม่ไม่เคยแม้แต่จะอวยพรใดให้ เหมือนกับที่ทำใหจันทน์ผาผู้เป็นน้อง เพราะแบบนี้ล่ะมั้งทุกครั้งที่ต้องนึกถึงหน้าผู้หญิงในอดีตคนนั้นหรือเด็กที่ชื่อทับทิม ฉันจึงรู้สึกหงุดหงิดมันเสียแทบทุกครั้งไป

    ท่านอสุราน่ะหรือ ลงไปตัดดอกบัวกับเอ็งในช่วงย่ำรุ่ง !?’

    จ้ะพี่บัดนี้ น้องยังมิรู้เลย ว่าควรจักวางตัวเช่นไรให้ถูกให้ควร หากต้องปะหน้าท่านเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในหัวแว่วถึงเสียงสนทนาระหว่างเราสองพี่น้องจากห้วงอดีต และฉันเกลียดทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นได้ไป ไม่ว่าจะความรัก ความเอ็นดู หรือคำชื่นชม 

    ทั้งที่เราทั้งคู่มีทุกอย่างที่ถอดแบบกันออกมาแล้วทำไมล่ะ

    ทำไมฉันถึงไม่ได้รับความเอ็นดูอะไรพรรค์นั้นบ้าง…

    พอความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ภาพของเด็กสาวซึ่งเคยติดตรึงอยู่ในความคิดก็เริ่มเลือนจางไปจากในหัว ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาแทนที่

    [คุณกรองขวัญใช่ไหมครับ นี่ผมเองนะ เขตแดน…] ผู้ชายคนนั้นคือดีเจหนุ่มสุดฮ็อตซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ ซ้ำยังเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฉันรู้สึกถูกชะตามากเป็นพิเศษจากผู้คนทั้งหมดบนเส้นสายวงการบันเทิง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษมากพอที่จะนำพาฉันให้เข้าไปทำความรู้จักเช่นกัน

    เขตแดนเองเหรอโทรมาแบบนี้เจ๊ตกใจหมด

    [ผมได้เบอร์มาจากนักข่าวที่ชื่อณภัทรน่ะครับ พอดีเขาแวะมาสัมภาษณ์ที่รายการเมื่อวาน]

    แล้วนี่แดนมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ถึงได้โทรหาเจ๊แบบนี้น่ะ ?

    [พอดีผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณกรองขวัญหน่อยน่ะครับ ไม่ทราบว่าสะดวกหรือเปล่า ?] 

    มันเหมือนกับมุกตลกร้าย เมื่อผู้ชายเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาในชีวิต แม้ดวงจิตลึกๆ ยังคงจดจำความเป็นไประหว่างเราในห้วงอดีตที่ผ่านมาได้ก็ตามที กระนั้นแล้ว ฉันก็ไม่เคยคาดหวังว่าชะตากรรมระหว่างเราจะต้องหวนกลับมาผูกติดกันเป็นครั้งที่สองหรอกนะ เพราะสิ่งเดียวที่ฉันหวังและเฝ้ารอที่จะได้พบเจอมีเพียงชายคนรักที่เคยให้คำสัญญาต่อในอดีตชาติเพียงคนเดียวเท่านั้น

    [ผมอยากคุยกับคุณเรื่องยักษ์น่ะครับ] แต่อาจเพราะสันนิวาสที่เคยทำร่วมกันมาตั้งแต่ในอดีตล่ะมั้ง ที่ทำให้เราทั้งคู่มีโอกาสได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง และทำหน้าที่ของกันและกันดั่งเก่าไม่ต่างจากภพก่อน [คุณกรองขวัญรู้จักพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์ใช่ไหมครับ ?]

    ตำนานท้าวอสุเรนทร์ มันทำไมหรือจ๊ะ ?

    [มะ มันอาจฟังดูไร้สาระไปหน่อย แต่ว่าผมกำลังเจอกับเรื่องแปลกๆ น่ะครับ]

    ตะ ตายจริง แล้วแดนเอาเรื่องนี้มาบอกเจ๊ทำไมล่ะจ๊ะ ?

    [พะ เพราะว่าสิ่งที่ผมเห็นน่ะ เขาพูดถึงคุณกรองขวัญน่ะครับ…ผะ ผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องบ้าอะไร แต่ไอ้ที่ผมเห็นน่ะ มันคือยักษ์ ยักษ์ที่แต่งองค์ด้วยชุดเครื่องทรงสีขาว...] และนี่หล่ะมัน คือเรื่องตลกร้ายที่ฉันพูดถึง ทั้งที่เฝ้ารอคอยที่จะพบมาตลอดสามสิบปี หากรอบกายกลับปราศจากวี่แววและการมีอยู่ให้รู้สึกหรือพบเห็น ราวกับว่าเจ้าของเสียงร้องไห้และคำสัญญาในวันพลัดพราดได้หลงลืมมันไปจนหมดสิ้น ทว่า

    ใส่ชุดเครื่องทรงสีขาวอย่างนั้นหรือจ๊ะ ?

    [ครับ ผมแม่ง...ดูเหมือนคนเสียสติมากใช่ไหม ตะ แต่ผมเห็นจริงๆ นะ ยักษ์ตนนั้นน่ะอยู่กับทับทิม พูดกันถึงเรื่องบางอย่างที่ผมผมไม่อยากเชื่อว่ามันจะมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ] เสียงเข้มหากแต่ฟังดูสับสน ร้อนอกร้อนใจของปลายสายในช่วงเวลานั้น กลับให้รับรู้ถึงสิ่งที่ต่างออกไปจากความคิด [สิ่งที่เขาพูดกับทับทิมน่ะมันดูแปลกและประหลาด... ตะ แต่ว่ากลับสอดคล้องกับความฝันที่ผมมีแถมเขายังพูดถึงคุณ]

    นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่า วัฏจักรกรรม

    ในเมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น แม้ไม่อยากกลับไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เช่นในอดีตมากเท่าไหร่ ทว่า

    จ๊ะ แต่เจ๊ไม่รู้นะว่าถ้าพูดแล้ว แดนจะเชื่อหรือเปล่า…’ สิ่งสุดท้ายที่ฉันตอบเขากลับไปนั้นกลับเป็นการออกปากเชื้อเชิญราวกับต้องการดึงเขาใหกลับเข้ามาป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเสียอย่างนั้น เขตแดนเชื่อเรื่องการระลึกชาติหรือเปล่าจ๊ะ?

    ตึก...

    พอความคิดนึกย้อนมาถึงตรงนี้ เท้าที่ก้าวพาตัวเองออกห่างจากพื้นที่ถ่ายทำละคร ก็พาฉันเดินมาหยุดอยู่หน้าของสระบัวภายในบ้านทรงไทยในที่สุด 

    ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ฉันถึงชอบพาตัวเองเดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสระบัวประดับสวนบ่อยนัก เห็นแล้วรู้สึกสบายใจงั้นเหรอ ? 

    หรือเพราะการได้เห็นสระบัวที่หาได้ยากในยุคสมัยปัจจุบันแบบนี้ มันทำให้ฉันนึกเหตุการณ์ในอดีตซึ่งยังตามหลอกหลอนอยู่ในหัวกัน ?

    น่าสังเวชนัก ที่ข้ามีคนเยี่ยงเอ็งเป็นน้องร่วมโลหิต…’ ทันทีที่เปลือกตาปิดลงขณะสูดรับบรรยากาศร่มรื่นภายในสวนสวย เสียงต่อว่าด่าท่อจากห้วงอดีตก็แว่วขึ้นให้ได้ยิน ไยจึงเบาปัญญา หาได้คิดหน้าคิดหลัง ริอ่านเป็นขโมยให้ทั่วนครตั้งข้อครหา

    ‘มันก็สมใจพี่แล้วมิใช่หรอกรึ ที่ได้ยลเห็นน้อง มีสภาพนังสมเพชเวทนาเช่นนี้ ? ซึ่งเสียงดังกล่าวมันก็คือเสียงของตัวฉันเอง สลับกับเสียวหวานอ่อนน้อมของหญิงสาวคนหนึ่ง ในสภาพเนื้อกายเต็มไปด้วยบาดแผล ในเมื่อทุกสิ่งที่เป็นอยู่ มันคือตัวพี่มิใช่รึ ที่กำหนดขีดเส้นชีวิตน้องให้มีสภาพเช่นนี้ !’ 

    และนั่นคงเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เด็กสาวที่มักมาพร้อมกริยาเรียบร้อยในห้วงอดีตขึ้นเสียงใส่กันแบบไม่ยอม

    เอ็งปรักปรำข้างั้นรึ นังจันทน์ผา !?’

    น้องหาได้ปรับปรำใส่ความพี่ไม่ น้องเพียงแค่สงสัย ว่าเหตุใดพี่สาวร่วมโลหิตจึงมิรักใคร่เอ็นดูน้องสาว เทียบเท่าตนเองไยจึงมองเห็นผู้อื่นดีกว่า มิเหลียวแลหรือใส่ใจห้วงความรู้สึกเช่นที่คนสายเลือดเดียวกันพึงจักเป็น…’ 

    ฉันได้ยินเสียงหวานยอกย้อน ละล่ำละลักทุกความรู้สึกนึกคิดของตัวเองใส่กันไม่ยอมหยุด 

    หากพี่บอกกล่าวเพียงสักนิด ว่ามิชอบใจหรือต้องประสงค์สิ่งใด พี่คิดรึ...ว่าฉันจักเห็นแก่ตัวเอง เมินเฉยต่อเสียงร้องของผู้เป็นพี่ หรือการเห็นน้องตกต่ำ จนมิเหลือบเคล้าเก่าคือสิ่งที่พี่ปรารถนาหมายมั่นให้น้องเป็น

    ‘…’

    ไยพี่จึงมองเห็นน้องเป็นคนอื่นคนไกล หยิบโยนให้แก่ชายอื่นที่หมายปองเช่นสิ่งของไร้ชีวิตจิตใจเช่นนี้เล่า พี่นิมมานรดี…’ สิ้นเสียงบอกกล่าวในช่วงท้าย จำได้ว่าเสียงหวานของผู้หญิงคนนั้นฟังดูอ่อนลง 

    ฟึ่บ!

    หากนั่นก็ตามมาพร้อมด้วยเสียงกระแทกน้ำที่ดังสนั่น เช่นเดียวกับที่หญิงสาวตัวระดับพอๆ กันในสภาพของชาวบ้านแสนธรรมดาผลัดตกลงไปภายในสระบัว

    นังจันทน์ผา !’ และฉันได้ยินเสียงของตัวเองกรีดร้องเรียกชื่อเธอ

    กึก...

    เฮือก !” แต่แล้วขณะที่ในหัวถูกกลบเสียงกรีดร้อง จู่ๆ ร่างทั้งร่างกลับต้องเบิกตาขึ้นจากภาพในอดีตด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างสัมผัสลงบริเวณหัวไหล่ พลอยให้ต้องตวัดตามองสิ่งที่เกิดในช่วงเวลานั้นทันทีด้วยความสงสัย ทว่า สิ่งที่พบเจอนั้น กลับมีเพียงความว่างเปล่า

    ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ร่างกายกลับตอบสมองพื้นที่ว่างบริเวณหัวไหล่ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ บนหน้า เช่นเดียวกับฝ่ามือที่ค่อยๆ ถูกยกขึ้นวางลงบนไหล่ตนเองอย่างเชื่องช้า การทำเช่นนั้นมาพร้อมกับสายลมเอื้อยๆ ที่พัดผ่านเข้าหาตัวราวกับเป็นสัญญาณบอกให้รับรู้ ว่าเวลานี้ฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

    แปลว่าภาพที่ผมเห็นในฝันมันไม่ใช่แค่ความฝันธรรมดา แต่เป็นการมองเห็นอดีตของตัวเองอย่างนั้นหรือครับ ?

    จ๊ะมันอาจจะฟังดูเชื่อยากไปสักหน่อย แต่ว่าเจ๊เองก็มองและฝันเห็นเรื่องราวแบบนี้เหมือนกัน’ พร้อมเพรียงกับเสียงพูดคุยระหว่างฉันกับดีเจหนุ่มในร้านกาแฟหลังจากที่เรามีโอกาสได้พูดเรื่องราวน่าประหลาดใจผ่านโทรศัพท์เมื่อหลายวันก่อนดังแทรกเข้าสู่ดสตประสาตอีกครั้ง

    ถ้าหากว่าความฝันของผมกับเรื่องที่ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารคือเรื่องที่เคยเกิดจริง แปลว่ายักษ์ที่ผมมองเห็นก็คงลงมาตามหาคุณตามอย่างที่ถูกจารึกไว้ถูกต้องไหมครับ ?’ 

    ถะ ถ้าพูดกันตามเนื้อเรื่องก็ใช่จ้ะ แล้วก็นะเจ๊ไม่เคยรู้สึกแปลกใจเลย ตอนเห็นข่าวที่แดนให้สัมภาษณ์ถึงเด็กที่ชื่อทับทิมคนนั้นน่ะ

    ทำไมหรือครับ ?’ แต่เพราะสิ่งที่ได้รับรู้จากปากของเขตแดนดันผิดไปจากที่คาดไว้นิดหน่อยการเสริมถ้อยคำและพูดการชักจูง เพื่อให้เขาหยิบยื่นการช่วยเหลือ จึงเป็นสิ่งที่ฉันเลือกทำ ไม่ต่างจากห้วงอดีตที่เราเคยทำร่วมกันมา

    ก็แหม ในอดีตที่เจ๊ระลึกได้น่ะ เจ๊มองเห็นแดนกับเด็กคนนั้นให้คำสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันนี่จ๊ะเพื่อเป็นการยืนยันว่าเรื่องที่เราคุยกันตอนนี้ ไม่ได้เป็นแค่คำโกหก แดนช่วยเจ๊พิสูจน์หน่อยได้หรือเปล่า ?

    พิสูจน์หรือครับ ?

    จ่ะ เจ๊อยากรู้น่ะว่าที่แดนพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า…’ ซึ่งการชักจูงในครั้งนี้มันก็ดูง่ายไม่ต่างจากเหตุการณ์เก่าเท่าไหร่ เพียงแค่ใช้บุคคลอันเป็นที่หมายตาเป็นเหยื่อล่อเท่านั้น ทุกอย่างก็ดูจะง่ายไปเสียหมด ถ้าหากท่านอสุราอยู่กับเจ๊แล้วหนูทับทิมสามารถมองเห็นท่านจริงอย่างที่เขตแดนเล่า แดนเองก็สามารถใช้สถานการณ์ในตอนนั้นสานสัมพันธ์กับหนูทับทิมต่อหน้านักข่าวได้ด้วยนะ

    หากแต่ข้อเสนอในหนนี้ แตกต่างจากอดีตนิดหน่อย ตรงที่ฉันเพียงต้องการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้ซ้ำรอยเดิม เพื่อให้คำสัญญาระหว่างเราเมื่อครั้งอดีตดำเนินไปในทิศทางที่ควรเป็น

    ตามกฏสรวงที่ห้ามชายใดผิดลูกผิดเมียผู้อื่น...

    พอคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มก็ยิ้มคลี่ออกกว้างมากขึ้น พร้อมความสุขอิ่มเอิบในอกในแบบที่รอคอยมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อมีสายลมเย็นๆ พัดผ่านกายราวกับกำลังรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันมี จนอดถามต่อสายลมและพื้นที่ว่างเปล่าข้างกายด้วยความยินดีไม่ได้

    ท่านอยู่กับฉันตรงนี้ใช่ไหมเจ้าคะท่านอสุรา


    -อสุรา กล่าว-

    ท่านอยู่กับฉันตรงนี้ใช่ไหมเจ้าคะท่านอสุรา

    เราได้ยินเสียงหวานของหญิงคนรักเอ่ยถาม ยลเห็นใบหน้าสวยปรากฏรอยยิ้มคล้ายกับดีอกดีใจที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเรา ทว่า ทั้งที่เป็นเช่นนั้นระยะห่างเรากับดวงใจไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจกลับเหินห่าง ไม่เหมือนอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อครั้งเก่าก่อน

     แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เรากลับไม่ได้พาตัวเองถอยห่างไปไหน ยังคงยืนเคียงข้างดวงใจตามอย่างที่ควรเป็น ราวกับว่าสัมพันธ์เก่าและคำสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อกัน มิอาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงระหว่างเราให้เลือนหายไป

    เราเคยไถ่ถามตัวเองอยู่หลายต่อหลายหน...

    ถึงความรู้สึกแรกพบที่มีต่อดวงใจหลังอุบัติด้วยรูปโฉมใหม่ ว่าเหตุใดความรู้สึกยามแรกเจอจึงมิได้ละม้ายคล้ายคลึงเมื่อครั้งอดีต เราหาได้มีความเกษมเปรมปรีดิ์หรือรู้สึกยินดี ยามได้หวนกลับมายลดวงหน้าสวยของคนรักเฉกเช่นวันเก่า เมื่อเทียบกับนารีชนอีกนางซึ่งหาได้มีความเกี่ยวข้องทางสายสัมพันธ์

    จนถึงยามนี้ แม้ได้ยืนเคียงข้างดวงใจที่เฝ้ารอ หากแต่ในอกนั้นไซร้ กลับคำนึกหาแต่หญิงอื่นไม่หยุด ไม่ว่าจะดวงหน้า กริยาท่าทางกระโดกกระเดกไร้ความอ่อนหวานอ่อนช้อย

    แฟนเก่าก็หมายถึง อดีตคนรักยังไงล่ะเจ้าคะแต่เราเลิกกันไปหลายปีแล้วเจ้าค่ะ เพราะฉันจับได้ว่าเขาไม่ได้รักฉันจริง แถมยังมีผู้หญิงคนใหม่ เพราะงั้นฉันเลยไม่มีเรื่องจำเป็นที่ต้องอยากกลับไปใกล้ชิดเขาอีก คราวนี้ท่านก็เลิกคิดได้แล้วนะเจ้าคะ ว่าฉันอยากเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้นอะ

    หรือแม้แต่เสียงหวานหากแต่มากล้นด้วยความจริงใจ

    อย่างที่บอกไปน่ะค่ะ ว่านี่คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะจริงๆ แล้วฉันกับเขตแดนน่ะเราคบกันมาได้สักพักแล้วต่างหากละคะ หากแต่ยิ่งคิดหวนถึงเสียงหวานของแม่ทับทิมเท่าไหร่ ผู้ซึ่งต้องเป็นฝ่ายปวดระบมไปทั้งทรวงเห็นที่จะเป็นตัวเราเสียเอง

    ท่านว่ามันไม่แปลกหรือเจ้าคะ ว่าทำไมฉันถึงไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองคือนิมมานรดี ถ้าหากสิ่งที่ฉันเห็นในฝัน คือการระลึกชาติได้อย่างแท้จริงตามดั่งประสงค์ของท่านแล้วล่ะก็… ตอนนี้ ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมเหมือนกันว่าฉันคงไม่ใช่แม่นิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะอะ อื้อซ้ำเมื่อภาพที่ปรากฏแทรกเข้ามาในภวังค์ความคิด คือเสียงปฏิเสธและภาพสีหน้าตกอกตกใจของแม่ทับทิม ขณะถูกเราฉวยโอกาสช่วงชิงความหวานบนผิวปากอย่างจาบจ้วงด้วยแล้ว นอกเสียจากอาการหวามจะเข้าแทรกให้รู้สึกสั่นไปทั่วกายแล้ว ความเจ็บในอกก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

    กึก

    ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเพลานั้น ส่งผลให้เท้าเผลอก้าวถอยหลังออกห่างจากหญิงคนรักอย่างผู้รู้สึกผิด ขณะเดียวกับก็อดใคร่ครวญไม่ได้ว่า เหตุใดความรู้สึกเช่นนี้จึงเกิดขึ้นกับตัวเราให้รู้สึกทรมานทั้งกายและใจอยู่เช่นนี้ร่ำไปราวกับไม่มีวันจบสิ้น

    ท้ายที่สุดแล้ว ความอึดอัดที่ฝังรากลึกอยู่ในอุรามากขึ้นทุกขณะเกินกว่าร่างกายจะทานทนไหว จึงส่งผลให้อิทธิฤทธิ์เล็กน้อยที่ถือครองนำพาเรากลับคืนสู่นครที่จากมาอย่างไล่ทางเลือกอื่น 

    เพียงแค่ปิดตาลง การเท้าผ่านเมฆหมอกซึ่งคั่นกลางระหว่างทวิภพเพียงเท่านั้น สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าหลังเปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้ง คือภาพของต้นไทรขนาดใหญ่ภายสวนของในวัง เช่นเดียวกับเครื่องสายงาช้างที่บันดาลขึ้นในมือ

    กึก

    แต่ก่อนที่การเยียวยาตามวิสัยที่เรามักชอบทำผ่านการบรรเลงเครื่องสายเพื่อให้ความรู้สึกและจิตใจบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ลง ช่วงเพลานั้น เสียงเรียกขานกล่าวทักอย่างนอบน้อมก็ดังขัดขึ้นเสียงก่อน

    กลับมาแล้วหรือขอรับ ท่านอสุรา…”

    ด้วยเพราะเราเป็นถึงอนุชาท้าวเจ้าเมืองนครยักษ์ ครั้นจะเมินเฉยเสียงทักทายดังกล่าว ก็คงเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ควรนัก 

    ยิ่งด้วยเจ้าของเสียงคือท่านชมชิตทร์ปุโรหิตประจำวัง ผู้ซึ่งเคยสอนตำราและวิชาความรู้ให้ด้วยแล้ว เรายิ่งไม่อาจเพิกเฉยกระทำตามใจตนต่อได้ จำต้องปล่อยเครื่องสายในมือให้อันตรธานหายไปจากมือ ซ้ำยังต้องเปลี่ยนความตั้งใจแรกที่เคยมี หันตัวกลับไปทางต้นเสียงอย่างเสียไม่ได้

    มีเรื่องอันใดรบกวนจิตนึกคิดเช่นนั้นหรือขอรับ ไยจึงกลับนครพร้อมเครื่องสายในมือเช่นนั้นอีกเล่า ?อีกหนที่ท่านชมชิตทร์กล่าวถามเมื่อเรามีโอกาสได้ยลหน้าค่าตากันโดยตรง

    บางสิ่งน่ะท่านชมชิตทร์ ยามนี้เรามีบางสิ่งติดอยู่ในกมลความคิด ซ้ำยังมิอาจสลัดให้หลุดออกห้วงนิมิตได้โดยง่าย…” สิ้นเสียงตอบถ้อย ท่านปุโรหิตชมชิตทร์ก็รีบยกมือไหว้ขึ้นสูงเหนือแทนการตอบรับ ก่อนเคลื่อนสองมือพนมไว้ที่กลางอกอีกครั้งในท่านั่งคุกเข่าลงกับพื้นหญ้า

    บางสิ่งที่ท่านอสุราตรัสถึง คือเรื่องอันใดงั้นรึขอรับ ?

    แม้นไม่มียศถาเป็นถึงเจ้าเมืองเจ้านคร กระนั้นแล้วเราสายโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายก็ยังคงความเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ปกครองนครในฐานะอนุชาอยู่ดี ครั้นจะพูดมดเท็จเพื่อจบการเจรจาอันน่าอึดอัดลง เห็นทีคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ทว่า ช่วงเพลาที่เราหมายจะขยับปากเอ่ยถ้อยกลับไปนั้น ท่านชมชิตทร์ผู้เรืองปัญญาและความสามารถ เอ่ยถ้อยถามซ้ำขึ้นอีกหน

    หรือท่านอสุราทรงเป็นห่วงท่านท้าวที่ยามนี้ต้องสงครามกับไอ้กุมภัณฑ์ในเมืองมนุษย์เช่นนั้นหรือ ?

    เรื่องของพระพี่ชายเรานั้น หาได้มิมีสิ่งใดน่าวิตกนักหรอกท่านชมชิตทร์ มิต้องกังวลไปไย

    หากเช่นนั้น แล้วเหตุใดพระพักตร์ทั้งจึงหาได้เปื้อนรอยแย้มเช่นเก่าก่อน หรือท่านหาได้พบเจอสิ่งที่หมายปองเช่นนั้นหรือขอรับ ?กว่าจะรู้ตน ว่ายิ่งให้คำตอบท่านชมชินทร์เท่าไหร่ มันก็กลายเป็นเราเสียเองที่ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็คงเป็นตอนที่คำถามต่อมาดังลอดผ่านปากคู่เจรจาจนสิ้นคำนั่นกระมัง

    เมื่อหมดหมดสิ้นหนทางที่จะตบตาผู้ปราดเปรื่อง ล่วงรู้ฤกษ์บ้านฤกษ์เมือง ท้ายที่สุดเราจึงต้องพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในอุราออกไปอย่างเสียไม่ได้

    หาใช่เรื่องนั้นหรอกท่านชมชิทตร์ เพราะยามนี้เราได้พบสิ่งที่เฝ้ารอ สมดั่งปรารถนาหมดสิ้นแล้ว

    หากได้พบสิ่งที่หมายปองแล้วไซร้ ไฉนจึงมิแย้มยิ้มเฉกเช่นวันเก่าก่อนเล่าขอรับ ท่านอสุรา ?

    เราเองก็หาได้รู้เหตุและผล ถึงความเศร้าหมองในดวงจิตเช่นกัน ท่านปุโรหิต...” 

    ดังที่ตอบถ้อยท่านชมชิตทร์ไป ทุกวจีเราล้วนแล้วแต่เป็นความสัตย์ นับจากฤกษ์ทวิภพเปิดออก จวบจนถึงชั่วยามนี้ เราเองยังมิอาจหาคำตอบใดให้กับความสงสัยในใจได้เลยแม้แต่เพียงประการเดียว

    เหตุใดท่านอสุราจึงตรัสเช่นนั้นเล่าขอรับ ในเมื่อทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีเหตุ มีผลทั้งหมดทั้งสิ้น…” อีกหนที่เสียงของท่านชมชิตทร์ทำทุกห้วงความสนใจที่มีดิ้นหลุดจากวังวนความคิด จับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ของชายในชุดเครื่องแต่งกายสีขาวสะอาดตา ขณะกำลังพนมมือกล่าวถ้อยเจรจาต่อเราอย่างเป็นกันเอง แม้ตนนั้นจะมีอายุมากกว่า หากบางสิ่งอันเป็นต้นเหตุยังคงติดค้างอยู่ในอก ไยท่านจึงไม่ลองครุ่นคิดใคร่ครวญหาที่มาเสียหน่อยเล่า

    ที่มางั้นรึ ?

    ขอรับท่านอสุรา ที่มาของทุกสิ่งที่ส่งผลให้ท่านอสุราของกระหม่อมปราศจากความเกษมเช่นนี้หากล่วงรู้เพียงสักนิดกระหม่อมคะเนว่า ท่านอสุราอาจจักได้ในสิ่งที่ตามหาอยู่ก็ได้นะขอรับ สิ้นเสียงบอกกล่าวอันน่าเชื่อถือเชิงแนะนำของท่านปุโรหิตชมชิตทร์ ทุกเสียงพูดคุยที่เกิดขึ้นในช่วงยามนั้นก็มีอันยุติลงไปช่วงขณะหนึ่ง อาจเพราะคู่สนทนาของนั้น หมายให้เราได้ลองใช้ช่วงเพลาที่มีในการทบทวนทุกสิ่งตามดั่งคำบอกกล่าว

    เมื่อได้รับการชี้แนะเช่นนั้น เราเองก็ใช่จะอยู่เฉย รีบพยายามหวนนึกถึงทุกสิ่งซึ่งยังติดอยู่ในความทรงจำเพื่อหาคำตอบโดยบัดดล

    หากลองนึกย้อนกลับไปในห้วงอดีต ความรู้สึกของเรานั้นที่มีต่อคนรักนั้นไซร้ มันเริ่มต้นนับตั้งแต่เมื่อไหร่ นับจากเมื่อยามที่ขบวนแห่นางสวรรค์จาดแดนสรวงเดินทางมาถึงพระนครงั้นรึ

    ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านนายทหาร…’ 

    เหตุใดจึงมองเหม่อหาได้มีสติดูทางเช่นนี้เล่า นางอัปสร…’ หรือเกิดจากเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นหน้าโถงพระทางเข้าวังในจนได้ยลเห็นดวงหน้าสวยของนางอัปสรเมื่อครานั้นกัน

    ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร มีชื่อเสียงรายนามเช่นไรงั้นรึ ?’ 

    หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา


    Talk1 มันก็จะเริ่มเข้มข้นหน่อยๆ 
    Talk2 เห็นคนลงเรือเขตแดนเยอะ งั้นเราลงด้วย ลำไยท่านอสุราเหมือนกัน ชิชะ! #ผิดด
    ปล. ชาร์ปนี้ด่าได้ แต่อย่าแรง เดี๋ยวสะเทือนใจ T___T

    ___________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

    ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T


    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือกดหัวใจให้เราก็ได้น้าา 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×