คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : กลรักอสุรา l บทที่๒๒ ตอน ความสัมพันธ์ {อัพ100%}
-ทับทิม กล่าว-
หลายวันต่อมา…
นับจากคืนนั้น
ที่ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับท่านอสุรา
บางสิ่งที่เคยติดค้างก็เหมือนจะได้รับคำตอบที่เคยสงสัยกลับคืนมาบ้าง
ไม่ว่าจะเรื่องในอดีตซึ่งอยู่นอกเหนือจากเนื้อหาที่เคยอ่าน
หรือแม้แต่ความรู้สึกแปลกๆ ยามพูดคุยกับผู้หญิงซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเพื่อนสนิท
ไม่ว่าจะเรื่องของกลิ่นดอกสร้อยทองบนเนื้อกายแม่นิมมานรดีที่เธอพูดได้เสมือนล่วงรู้แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่เคยถูกบันทึกไว้
ไหนจะคำพูดแปลกๆ หรือท่วงท่าการร่ายรำที่หน้าต้นไม้ในตอนนั้น
‘แม่กรองขวัญ... แม่ทับทิมเองก็รู้จักนางมิใช่หรอกรึ ?’
‘คุณกรองขวัญน่ะหรือเจ้าคะ คือแม่นิมมานรดี ?’
‘เห็นทีแล้ว คงไม่ผิดแน่…’ ทั้งหมดนั่นก็เพราะ เธอคือผู้หญิงที่ท่านอสุราเฝ้ารอ ข้ามผ่านกาลเวลา
เพื่อให้ได้พบกันอีกครั้งตามอย่างที่ถูกจารึกไว้ยังไงล่ะ
ถึงหลายสิ่งจะเริ่มชัดเจนขึ้น
แต่ก็ใช้ว่าความสงสัยที่เคยมีจะลดจางลงตามไปเสียที่ไหน เพราะฉันยังคงมีอีกหลายๆ
คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจ สืบเนื่องจากคืนก่อนที่ได้คุยกับท่านอสุรานั่นหล่ะ
ถ้านับย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่ท่านอสุราปรากฏตัวตรงหน้า
จำได้ว่าพื้นที่ตรงนั้น คุณกรองขวัญเองก็เคยใช้เป็นพื้นที่พูดคุยกับฉันเหมือนกัน
หากว่ากลิ่นหอมของดอกสร้อยที่ท่านอสุรากล่าวถึงนั้นไม่ได้มาจากฉันแต่มาจากคุณกรองขวัญที่เพิ่งเดินจากออกไปในช่วงเดียวกันเท่านั้น
มันก็คงไม่แปลกนัก หากจะเกิดเป็นเรื่องเข้าใจผิด
แต่สิ่งที่มองเห็นผ่านภาพนิมิตในอดีตนั้น กลับแสดงให้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเนื้อหาจากพงศาวดารนี่สิ ไม่ว่าจะเรื่องของแม่จันทน์ผา แม่นิมมานรดี ท่านอสุรา
หรือแม้แต่ชายชาวบ้านที่ชื่อวิรุฬคนนั้น
ซ้ำคืนก่อนท่านอสุราเองก็ดันพูดออกมาแบบนั้น…
‘เหตุของการลงมาเยือนเมืองมนุษย์ ตัวพี่นั้นตระหนักดีว่าลงมาเพื่อการณ์ใด
แม้นได้พบปะดวงใจที่พลัดพรากดั่งประสงค์
หากแต่จิตนึกคิดพี่นั้นไซร้กลับว้าวุ่นอยู่กับสิ่งอื่น เสมือนว่า แท้จริงแล้ว
ผู้ที่พี่ประสงค์จักพบหน้ามิใช่ดวงใจอย่างที่มุ่งหวัง
หากแต่เป็นเจ้าของเสียงหวานที่ดังก้องไกลไปถึงพระนคร…’ ต่อให้ถ้อยคำบ้าๆ ในตอนนั้นจะเป็นเพียงห้วงอารมณ์ของคนที่กำลังสับสนก็เถอะ
แต่ในทุกๆ คำพูดของเขามันก็ชวนให้ก่อเกิดเป็นคำถามอยู่ดี
จากที่ได้อ่านบทกลอนของพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์วนมานับร้อยนับพันครั้ง
ผู้หญิงที่ท่านอสุราเฝ้าร้องขอและรอคอยเพื่อจะกลับมาเจออีกครั้งคือแม่นิมมานรดีไม่ใช่หรือไง
ถ้าแบบนั้นเสียงที่ดังไปสรวงทำไมจึงเป็นเสียงของฉันแทนที่จะเป็นคุณกรองขวัญล่ะ ?
‘แล้ว…ท่านเริ่มมีความรู้สึกอยากนึกถึงเรื่องของแม่จันทน์ผาตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?’
‘นับจากวันที่ทหารวัง พบร่างแม่จันทน์ผาห้อยคอใต้ต้นมะกอกกระมัง…’ ไหนจะเรื่องที่ท่านอสุราจดจำภาพความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแม่จันทน์ผาไม่ได้นั่นอีก
‘จะพอเป็นไปได้ไหมเจ้าคะ หากผู้ชายที่ชื่อวิรุฬคนนั้นจะใช้อาคมที่ตัวเองมี
ทำอะไรบางอย่างใส่ท่าน…ประมาณว่าที่ท่านจดจำเรื่องของแม่นิมมานรดีได้อย่างเดียวนั้น
อาจจะเกิดจากฝีมือของผู้ชายคนนั้น’ แล้วถ้าหากช่วงเวลาในอดีตมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
ตามอย่างที่ฉันสันนิฐานะล่ะ
‘แล้วเหตุใดไอ้วิรุฬจึงประสงค์ให้พี่จดจำเพียงแค่แม่นิมมานรดีเล่า…’
‘กะ ก็เขารักแม่จันทน์ผาไม่ใช่หรือเจ้าคะ
ส่วนแม่นิมมานรดีก็อาจจะชอบท่าน...’
‘แม่ทับทิมจักกล่าวว่า แท้จริงแล้วแม่นิมมานรดีนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นนั้นรึ ?’ ซึ่งมันก็น่าตลกนะ
ทั้งที่ภาพนิมิตฉายชัดถึงภาพลักษณ์ของแม่นิมมานรดีในมุมที่แตกต่างจากสิ่งที่ได้อ่านผ่านตัวอักษรแท้ๆ
แต่ฉันกลับไม่กล้าที่จะพูดปรักปรำหรือใส่ร้ายเธอตามภาพที่มองเห็นยามอยู่ต่อหน้าท่านอสุรามันเสียอย่างนั้น
‘มะ ไม่รู้เจ้าค่ะ ฉันก็แค่พูดตามสิ่งที่คิด…’ หรือมันคงจริงอย่างที่แม่จันทน์ผาบอกไว้
ว่าฉันควรจะหยุดตามหาเธอหรือคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว
เพราะสุดท้ายคนนอกซึ่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้เพื่อบอกเล่าให้คนรุ่นหลังได้รับรู้อย่างเธอก็คงเป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบทั่วไปภายในพงศาวดารแต่เพียงเท่านั้น
ทั้งที่มันควรจะจบตั้งแต่รับรู้ว่าผู้หญิงที่เขาตามหาคือใครแท้ๆ
แต่ว่า…
‘ยามอยู่เมืองมนุษย์เช่นนี้ พี่นั้นยังไร้หลักและที่พักพิง
จักเป็นไปได้หรือไม่หากพี่จักขออาศัยอยู่ร่วมชายคาเรือนหลังนี้เรื่อยไปจนกว่าจะถึงฤกษ์นิมิตหมายอันดีและลาจาก…’ พอเขาร้องขอออกมาแบบนั้น แล้วใครมันจะกล้าปฏิเสธลงล่ะ ซ้ำช่วงเวลาเดียวกัน
เขตแดนก็ดันรู้สึกตัวตื่นขึ้นช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี พลอยให้บทสนทนาระหว่างฉันกับท่านอสุราจำต้องจบลงไว้เพียงเท่านั้น
กึก…
“ทับทิมจ๊ะ!” เสียงขานชื่อที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น
ทำฉันสะดุ้งจากวังวนความคิด รีบเหลียวหลังมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัย ก่อนพบเข้ากับหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานกองถ่ายละคร
กำลังชะโงกหน้ามองผ่านโถงประตูเข้ามา
ทันทีที่เราเห็นหน้ากันตรงๆ เธอก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวพี่วานเช็กเครื่องแต่งกายนักแสดงอีกรอบได้หรือเปล่าจ๊ะ เดี๋ยวอีก 10 นาที พี่จะให้คนเข้ามาขนชุดไปห้องแต่งตัว…พอดีว่าน้องเมรีจะเข้ามาเปลี่ยนชุดแล้วน่ะจ่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันเช็กให้อีกรอบนะคะ” สิ้นเสียงตอบกลับ ทีมงานคนดังกล่าวก็ขยับยิ้มส่งให้แทนคำขอบคุณ ก่อนผละออกจากโถงประตูห้องสำหรับจัดเตรียมเสื้อผ้าไป
คาดว่าคงออกไปรับหน้าตอนรับเพื่อนสาวของฉันที่ต้องเข้ามาเปลี่ยนชุดเป็นแน่ ส่วนฉันที่ถูกวานให้มาช่วยงานก็จำต้องย้ายร่างตัวเองไปยังโต๊ะและราวแขวนเสื้อผ้าเพื่อตรวจตราเครื่องแต่งกายนักแสดงเป็นหนสุดท้ายตามคำสั่งที่ได้รับมา
และใช่ค่ะ ตั้งแต่วันที่เมรีเพื่อนฉันประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลจนพลอยให้กองถ่ายละครต้องหยุดพักไป
วันนี้ก็เวียนมาครบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันมีโอกาสได้กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองตามอย่างที่ผู้กำกับละครร้องขอ
ซึ่งมันก็นับเป็นเรื่องดี
เพราะฉันจะใช้เวลาทั้งหมดที่มีไปกับงานมากกว่าจะมานั่งคิดเรื่องฟุ้งซ่านจนเกิดเป็นคำถามรกหัว
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับท่านอสุราตอนนี้มันก็ใช่จะเหมือนเดิมที่ได้เจอกันที่ไหน
ถึงอย่างนั้นท่านอสุราก็ไม่เคยถือตัว เวลาต้องเจอหน้าหรือพูดคุยกัน ซึ่งท่านอสุราเองก็ทำทุกสิ่งตามอย่างที่เคยร้องขอ
เขาอยู่กับฉันเพื่อใช้บ้านเป็นที่พักกายในเมืองมนุษย์เท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าการอยู่ร่วมกันนั้น
เราจะไม่ได้พูดคุยกันเสียที่ไหน
เรายังพูดคุยหรือทักทายกันบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเหมือนก่อนนักหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ฉันนี่แหละที่มักเป็นฝ่ายตัดบทให้จบลง ทั้งนี้ก็เพื่อลดความสงสัยที่จะตามมาให้หยุดลงไปด้วย
อีกอย่างท่านอสุราเองก็ได้พบกับคนที่รอคอยแล้วด้วย ต่อให้ในอดีตจะเคยเกิดอะไรขึ้นก็ตามที ฉันก็ไม่ควรเอาเรื่องเหล่านั้นเข้าไปขัดขวางจนชะตาลิขิตระหว่างคนทั้งคู่ตามพงศาวดารที่ฉันชื่นชอบเปลี่ยนไป
ถูกไหม ?
กึก...
ทันทีที่ความคิดในหัวสิ้นสุดลง
การเช็กเครื่องกายนักแสดงตามคำสั่งที่ได้รับมาก็เป็นอันสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน
พร้อมเพรียงกับกำไลทองที่ถูกหยิบขึ้นมาวางทับบนผ้าถุงสีหมากเป็นชิ้นสุดท้าย
ประจวบเหมาะกับเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังพอดิบพอดี
ตึก… ตึก…
“มาตรงเวลาเลยนะคะ เสร็จพอดีเลย...” ด้วยเพราะคิดว่าอาจเป็นพวกทีมงานเข้ามารับเสื้อผ้าไปให้นักแสดงในห้องแต่งตัวตามที่นัดไว้
ฉันจึงเป็นฝ่ายสงเสียงทักทายออกไป ทว่า เมื่อกลับหันหลังไปเจอเข้ากับผู้ที่เดินเข้ามาภายในห้องสำหรับจัดเตรียมเสื้อผ้า
ทุกเสียงแซวที่ตั้งใจใช้หยอกล้อก็ไม่วายต้องเงียบงันลงเป็นหนที่สอง
เพราะผู้ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเวลานี้นั้นดันไม่ใช่เหล่าทีมงานอย่างที่คิด
แต่กับเป็นชายตัวสูงในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ซึ่งการปรากฏตัวของเขาในสถานที่นี้
เวลานี้ มันก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าคุณกรองขวัญเอง
ก็คงจะมาถึงสถานที่ถ่ายทำละครแล้วเช่นกัน
กึก…
“กระทำสิ่งใดอยู่งั้นรึ แม่ทับทิม ?” คำถามแรกถูกเขาเอ่ยขึ้นทันทีที่เรามีโอกาสได้เจอหน้ากัน
ซึ่งมันคือคำถามเดิมๆ ที่เขามักใช้พูดกับฉันในช่วง ๓-๔
วันนี้มานี้ราวกับไม่รู้จะพูดอะไร และไม่ใช่แค่ท่านอสุราเพียงฝ่ายเดียวหรอกที่มักใช้คำพูดเอ่ยทักทายตามประสาคนที่ไม่รู้จะคุยอะไร
เพราะบ่อยครั้งฉันเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ทำงานน่ะสิเจ้าคะ…” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนับจากเหตุการณ์คืนนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างจึงลงเอยในสภาพแบบนี้ไปได้ อาจเพราะเราต่างคนต่างรู้อยู่เต็มอกล่ะมั้ง
ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
มันเลยทำให้ระหว่างเรามักถูกเว้นว่างด้วยสถานะที่เคยขีดกั้นไว้เมื่อครั้งอดีต
ฉันไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขา
เหมือนที่เขาไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน
“ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ หรือว่าตามคุณกรองขวัญมา ?”
“เมื่อครู่ ที่ลานแจ้งกลางสวน พวกพราหมณ์ส่งเสียงเรียกพระพี่ชายให้มาเยือนยังสถานที่แห่งนี้
พี่จึงต้องติดตามพระพี่ชายมาด้วย…” แต่ก็มีบางทีเหมือนกัน ที่ความอยากรู้ลึกๆ มันดันชนะการหักห้ามใจตนเอง แล้วเผลอเอ่ยถามไปอย่างไม่ตั้งใจ
“แล้วตอนนี้…เรื่องของท่านกับคุณกรองขวัญเป็นยังไงบ้างเจ้าคะ
?”
จำที่ฉันบอกได้ใช่ไหม
ว่าทุกครั้งที่ท่านอสุราเริ่มพูดถึงเรื่องราวในอดีต ฉันมักจะเป็นฝ่ายตัดบทอยู่เสมอๆ
และเช่นกันทุกครั้งที่ฉันเผลอเอ่ยถามถึงความคืบหน้าระหว่างเขากับคุณกรองขวัญ ท่านอสุราก็มักจะทำในสิ่งเดียวกัน
ถ้าไม่ตัดบทไป ก็มักจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยไปเสียดื้อๆ
อย่างเช่นในตอนนี้
ตอนที่เขาเลือกเดินผ่าน ตรงไปยังโต๊ะสำหรับจัดวางเครื่องแต่งกาย
ราวกับว่าสิ่งที่เขาให้ความสนใจเวลานี้คือข้าวของเครื่องใช้ซึ่งถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะมากกว่าจะเป็นการให้คำตอบแก่คู่สนทนาตรงหน้าอย่างฉัน
และพูดบางอย่างซึ่งดูไม่ตรงกับคำตอบที่ต้องการเลยแม้แต่นิด
“เหตุใดประดับเหล่านี้ จึงถูกวางเกลื่อนกลาดเช่นนี้เล่าแม่ทับทิม…” เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบในสิ่งที่ถูกถาม ฉันเองก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะเร่งเร้าสิ่งที่อยากรู้เหมือนกัน ดังนั้นคำตอบเรียบง่ายอย่างสัตย์จริงจึงถูกใช้โต้กลับไปราวกับลืมว่าก่อนหน้านี้เคยตั้งคำถามใส่เขาไว้ว่าอะไร
“พอดี ฉันเตรียมชุดกับเครื่องประดับพวกนี้ไว้สำหรับใช้งานเจ้าค่ะ…”
แม้จะเออออตามน้ำคำที่อีกฝ่ายเลี่ยงที่จะพูดคุย
อย่างไรเสียมันอดก็ไม่ได้ที่จะแอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนตัวใหญ่อีกครั้งจากทางด้านหลัง
ก่อนพบว่าท่านอสุราเวลานี้ยังคงให้ความสนใจกับเครื่องประดับซึ่งถูกวางเรียงรายไว้บนโต๊ะอย่างไรก็อย่างนั้น
“ชอบเครื่องประดับพวกนี้เหรอเจ้าคะ
?” และนี่คงเป็นอีกครั้งที่ฉันเอ่ยถาม
ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมตอบกลับแต่โดยดี
“อืม…ประดับเหล่านี้งามตามิผิดเพี้ยนไปจากที่พี่ถือครองแม้แต่นิด” ได้ฟังแบบนั้น สายตาที่เคยจับจ้องไปยังเสี้ยวหน้าคมคาย
จึงหันเหความสนใจไปยังเครื่องประดับบนโต๊ะโดยทันที ขณะปากยังคงพ่นวจีโต้ตอบกลับ
“ก็แค่ความสวยล่ะมั้งคะ
ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกัน เพราะมูลค่าของประดับพวกนี้
คงเทียบกับเครื่องประทับที่ท่านมีไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“เหตุใดแม่ทับทิมจึงกล่าวเช่นนั้น
ในเมื่อประดับเหล่านี้นั้นล้วนแต่มีคุณค่าทั้งสิ้น”
“ก็เครื่องประดับที่ท่านเห็นน่ะ
มันไม่ใช่ของจริงแต่เป็นของปลอมสำหรับใช้ในการทำงานยังไงล่ะเจ้าคะ” สังเกตได้ว่าตลอดเวลาที่อธิบายอยู่นั้น ท่านอสุรายังคงเคลื่อนมือสัมผัสไปยังเครื่องประดับชิ้นต่างๆ
บนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ
เขาไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา
แต่เลือกที่จะจับสัมผัสเครื่องประดับชิ้นต่างๆขึ้นดูอย่างพินิจพิจารณา
จนกระทั่งหยุดมือลงที่ปิ่นปักผมซึ่งถูกประดับด้วยอัญมณีสีแดงสด
“แท้จริงแล้วประดับทุกชิ้นนั้น
ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแค่ต่างเหตุผลเท่านั้น…” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
ท่านอสุราก็กล่าวขึ้นอีกครั้งพลางถือวิสาสะหยิบจับเครื่องประดับที่เขาสนใจขึ้นไว้กับตัว
พอเห็นเขาทำแบบนั้น
สายตาที่เคยสนใจอยู่กับเครื่องประดับชิ้นอื่นก็เผลอมองตามการกระทำของคนตัวใหญ่โดยอัตโนมัติ
ก่อนต้องเป็นฝ่ายสะดุ้งเมื่อพบว่านัยน์ตาคมที่เคยให้ความสนใจกับเครื่องประดับในมือตอนแรกนั้น
เวลานี้กำลังเหลือบมองหน้ากันแบบตรงๆ
อีกทั้งยังกล่าวขึ้น
ทันทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสสบตากันอย่างไม่มีโอกาสหลีกเลี่ยง
“พี่มิเคยให้ค่าราคาประดับเหล่านี้เท่าไหร่นัก…”
ซึ่งนั่นก็ตามมาด้วยการกระทำปุบปับของอีกฝ่ายแบบไม่ทันเตรียมใจ เมื่อท่านอสุราเคลื่อนมือเข้ามาหา
แล้วใช้ปลายนิ้วเรียวจัดการกับปรอยผมบางส่วนที่ร่วงปรกหน้าไปทัดข้างหูให้อย่างเบามือขณะปากยังคงเอ่ยกล่าว
“เมื่อแท้จริงแล้ว ประดับทุกชิ้นมีค่า ยามอยู่ในมือผู้ถือครองที่เหมาะสม…”
ลำพังแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัสจากเขาที่เฉียดผิวแก้มไป
มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ร่างกายเผลอสะท้านรับความรู้สึกที่ได้รับอย่างไม่สมควร
แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้เลย เมื่อคนตัวใหญ่ใช้ช่วงเวลาเดียวกันนั้น
บรรจงติดปิ่นปักผมประดับอัญมณีสีแดงชิ้นโตลงบนเรือนผมให้อย่างเบามือ
“อะ…” ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึก หรือนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่มองเห็น
ทว่า วินาทีที่ประดับชิ้นดังกล่าวถูกเขาบรรจงติดให้บนเรือนผมเท่านั้น
ทุกอย่างรอบตัวก็คล้ายกับหยุดเคลื่อนไหวและเงียบไปเสียดื้อๆ ร่างกายเหมือนถูกการกระทำดังกล่าวของเขาแช่แข็งให้ยืนนิ่งงับไม่ต่างจากหุ่นไม้
เช่นเดียวกับสายตาที่เหมือนกับถูกสะกดให้จับจ้องไปยังดวงหน้าคมคายของคนตัวสูงเบื้องหน้าราวกับต้องมนต์
‘หะ หากทับทิม…เม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ…ยะ ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้…อึก…’ ซึ่งในขณะที่ทุกสิ่งหยุดนิ่งท่ามกลางความเงียบงัน
เสียงในหัวกลับสะท้อนเสียงครวญในอดีตดังแทรกให้ได้ยินชัดขึ้นทุกวินาที ‘ฮึก…ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา
ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮือออ’
โดยเสียงดังกล่าวยังคงดังวนเวียนอยู่ในความคิดอยู่แบบนั้น
จนกระทั่งมืออุ่นเบื้องหน้าถูกผู้เป็นเจ้าของลดห่างออกไปพร้อมคำชม
“ประดับผมทับทิมชิ้นนี้
เหมาะสมกับแม่ทับทิมดั่งที่พี่คาดไว้มิมีผิด” สิ้นเสียง
ร่างกายที่กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งก็เผลอแสดงการตอบรับต่อคำชมที่ได้มาด้วยการรีบผละตัวถอยทิ้งระยะห่างระหว่างเราไปนิดหน่อยอย่างไม่ต้องคิด
แต่ก่อนจะทันได้พูดหรือทำอะไรไปมากกว่านี้
เสียงจอแจของเหล่าทีมงานที่พร้อมกันเข้ามาเอาเสื้อผ้าตามอย่างที่นัดแนะกันไว้ก็ดันแทรกขึ้นมาเสียงก่อน
“ตายแล้วน้องทับทิม
ทำไมเอาประดับผมมาใส่เองแบบนั้นล่ะจ๊ะ !?” หูน่ะได้ยินเสียงของหนึ่งในทีมงามกองถ่ายทักขึ้นเชิงหยอกล้อ
หากแต่สายตากลับไม่ได้ความสนใจกับเจ้าของเสียงดังกล่าวเลยแม้แต่นิด
เพราะสิ่งที่ยังอยู่ในโฟกัสสายตาเวลานี้นั้น
ยังคงเป็นผู้ที่นำเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวมาติดใส่ผมให้ต่างหาก
“ชุดพวกนี้เช็กหมดแล้วเนอะ
งั้นเดี๋ยวพี่ขออนุญาตขนไปที่ห้องแต่งตัวเลยแล้วกันนะจ๊ะ” อีกหนที่เสียงของเหล่าทีมงานดังขึ้น
ขณะพากันเดินผ่านร่างสูงใหญ่ของท่านอสุรามาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าโต๊ะสำหรับจัดเตรียมเสื้อผ้า
ก่อนจะช่วยกันโยกย้ายข้าวของเครื่องใช้ย้ายไปยังห้องแต่งตัว
และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนกลุ่มนั้นใช้เวลาช่วยกันขนย้ายเครื่องแต่งกายออกไปจากห้องจัดเตรียมตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้สึกตัวอีกที ก็คงเป็นตอนที่ดวงหน้าคมคายของท่านอสุรากำลังปรากฏรอยยิ้มและเสียงถามไถ่
“หน้าพี่มีสิ่งใดเปรอะเปื้อนงั้นรึ
ไยแม่ทับทิมจึงมองมิวางตาเช่นนั้นเล่า ?”
“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ!” และนั่นคงเป็นปฏิกิริยาตอบรับแรกของฉันหลังเริ่มคืนสติเมื่อถูกเขาถาม
เช่นเดียวกับมือที่รีบเคลื่อนแตะไปเรือนผมของตัวเองที่เวลานี้มีเครื่องประดับสำหรับใช้ในการประดับแทรกไว้อย่างคนรีบร้อน
ทว่า จังหวะที่ตัดสินใจจะดึงเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวออก เสียงของท่านอสุราก็ไม่วายทำให้มือเผลอหยุดชะงักได้อยู่ดี
“คงไว้เช่นนั้นก็เข้าท่าดีไม่ใช่รึ
จักรีบดึงออกทำไมเล่า ?” เขาไม่ใช่แค่ทักท้วง
แต่เลือกที่จะใช้ช่วงเวลาเดียวกันถือโอกาสจับมือฉันลงกลับคืนข้างตัวไปด้วย
และนี่คงเป็นอีกครั้งแล้ว ที่ทุกส่วนของร่างกายถูกนัยน์ตาเดิมคู่นั้นแช่ไว้ให้ยืนนิ่ง
เขาเหมือนลูกตุ้มเหล็กขนาดใหญ่
สำหรับพังทำลายกำแพงสูงที่ฉันพยายามสร้างขึ้นเพื่อหยุดทุกการรับรู้ของตัวเองให้ล้มครืนลงไม่เป็นท่า
ทั้งที่ปกติฉันเป็นคนใจแข็งมากแท้ๆ
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่รวมกับการมีสิ่งเหนือธรรมชาติตนนี้ยืนอยู่เบื้องหน้า
ที่เป็นแบบนี้เพราะฉันชอบและรักพงศาวดารเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่านะ
หรือเพราะว่าในอดีตฉันเองก็เคยเป็นตัวประกอบไม่สำคัญของพงศาวดารเรื่องนี้กัน
“หลายช่วงยามที่ผ่านมา…”
อีกหนที่เสียงของท่านอสุราทำฉันเผลอเกร็งจัดไปเสียทุกส่วน
แม้ว่าเรายังมองตากันอยู่ในท่าเดิม “เหตุใดแม่ทับทิมจึงมิบอกกล่าวความพี่เช่นครั้งเก่าก่อนเล่า”
“หมะ
หมายความว่าไงเจ้าคะ…”
“ทุกคราแม่ทับทิมจักบอกกล่าวให้พี่รับรู้
มิว่าจะมาหรือไป ไฉนเลยยามนี้จึงเสียงบอกกล่าวเหล่านั้นจึงเลือนหายไปเสียเล่า ?”
ได้ฟังเพียงเท่านั้น
ฉันก็รู้ได้โดยทันทีว่าคนตัวใหญ่กำลังหมายถึงเรื่องอะไร
มันก็อย่างที่เขาว่า
เพราะตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าพบผู้หญิงที่ตามหาและต้องจากไป ฉันก็เลือกที่จะเลิกอธิษฐานจิตบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเขา
ไม่ว่าจะออกไปไหน หรือทำอะไรเหมือนอย่างทุกที
“ก็ท่านคงยุ่งนี่เจ้าคะ
ฉันก็เลยคิดว่าไม่ต้องบอกอะไรเลยมันน่าจะดีกว่า ท่านจะได้ไม่ต้อง…” ทั้งที่ถูกถาม แต่ครั้นเมื่อเวลาให้คำตอบ เจ้าของคำถามกลับไม่รอฟังจนจบคำ
“ไยแม่ทับทิมจึงชอบคิดแทนพี่นัก…”
ซ้ำยังขัดขึ้นเสียงดุ หากแต่บนใบหน้ายังคงปราศจากกริยาโกรธเกรี้ยวให้เห็น
เช่นเดียวกับแววตาซึ่งยังล้นไว้ด้วยความอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป “มิรู้หรือว่าพี่รอการบอกกล่าวจากปากแม่ทับทิมเช่นนั้นทุกวี่วัน”
“…” อีกแล้ว
เขากำลังพูดให้ฉันรู้สึกอีกแล้ว
“ต่อแต่นี้ไป
แม้นข้างกายหาได้มีพี่อยู่เคียงกายดังเก่า
จักเป็นไปได้หรือไม่ หากพี่จักขอฟังเสียงบอกกล่าวของแม่ทับทิมเช่นนี้เรื่อยไป”
มันบ้ามากๆ ที่เขาเลือกที่จะพูดแบบนี้กับฉัน
ทั้งที่จริงแล้วคำพูดบ้าๆ พวกนี้น่ะ คนที่สมควรได้มันคือคุณกรองขวัญไม่ใช่หรือไง
“ท่านพูดแบบนี้มันจะดูไม่ดีนะเจ้าคะ…”
เพราะรู้สึกแบบนั้น ฉันเลยต้องพูดออกไป
เผื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันคิดว่าสิ่งที่พูดอยู่นั้นเป็นเรื่องไม่สมควร “ในเมื่อตอนนี้ท่านได้เจอคนรักแล้ว แต่ยังพูดแบบนี้กับฉัน
มันจะทำให้ท่านกลายเป็นยักษ์สองใจเอาได้นะเจ้าคะ...อะ”
แต่ก็เหมือนเคยเมื่อถ้อยคำที่หมายจะใช้สื่อสารให้คู่สนทนารับรู้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยได้จนจบคำ
เพราะจังหวะเดียวกันนั้นผู้ฟังเลือกที่จะหยุดเสียงของฉันให้ขาดช่วงลงด้วยปลายนิ้วที่เขาถือวิสาสะไกลเกลี่ยปรอยผมส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ไปทัดข้างหู
ขณะใช้สายตาคู่เดิมมองกวาดสำรวจไปทั่วดวงหน้าอย่างพินิจพิจารณา
และกล่าวขึ้นเมื่อเขาทำทุกสิ่งจนเสร็จสมตามดั่งที่ตั้งใจ
“หากพี่เป็นเช่นนั้นจริงดังคำกล่าวเล่า แม่ทับทิมจักมีความคิดเห็นเช่นไร ?”
คำพูดของเขาฟังดูไม่ต่างจากคำพูดประชดประชันเท่าไหร่นัก
แต่ขณะเดียวก็ซ่อนความรู้สึกบางอย่าง จนพลอยให้ผู้ได้ฟังรู้สึกตามไปด้วย
แม้จะเผลอวูบไหวไปตามความรู้สึกที่แทรกผ่านถ้อยวาจา
แต่ฉันก็ยังคงพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกัน อีกทั้งมันคงไม่ดีแน่
หากท่านอสุราจากพงศาวดารที่ฉันชื่นชอบจะเป็นดั่งคำประชดประชันตามอย่างที่กล่าวออกมา
“ถ้าท่านพูดแบบนี้
ฉันชกจริงๆ นะเจ้าคะ”
“หากแม่ทับทิมหมายประทุษร้ายพี่จริงเช่นนั้นจริง
แล้วไยจึงมิลงมือเสียบัดเดี๋ยวนี้เล่า…อะ”
พลั่ก!
ไม่ต้องให้เสียงท้าทายของอีกฝ่ายจบคำดี
หมันเปล่าของฉันก็ถูกซัดเข้าใส่หน้าผู้พูดทันที
แม้ว่าเรี่ยวแรงที่ใช้จะไม่มากพอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ
แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้คำพูดไม่คิดของเขาเงียบลงไปได้
“ฉันทำได้มากกว่านี้อีกนะเจ้าคะ
บอกไว้ก่อน…” และหากนี่เรียกว่าการข่มขู่สิ่งเหนือธรรมชาติแล้วล่ะก็
ใช่ค่ะ ฉันกำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ “คราวหน้าคราวหลัง
ท่านอย่าพูดอะไรแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
“…” ท่านอสุราไม่ตอบอะไร
แต่เขาเลือกที่จะนิ่ง จนฉันต้องเป็นฝ่ายเติมเต็มช่องว่างคำพูดระหว่างเราด้วยตัวเอง
“ท่านไม่คิดหรือเจ้าคะ
หากว่าคนรักของท่านมาได้ยินอะไรแบบนี้ เขาจะเสียใจมากแค่ไหน ท่านไม่รักแม่นิมมานรดีแล้วหรือเจ้าคะ
?”
“หากพี่กล่าวว่า
ยามนี้นั้นยังคงรักแม่นิมมานรดีมิเคยแปรเปลี่ยนไป…” หลังจากเอาแต่ยืนเงียบและถูกต่อว่าอยู่ครู่หนึ่ง
คราวนี้ท่านอสุราจึงเริ่มมีปากมีเสียงโต้กลับมาบ้าง เขาไม่ใช่ย้อนเท่านั้น
แต่ถือวิสาสะจับมือข้างที่ฉันเพิ่งใช้ซัดใส่อีกครั้งอย่างใจเย็น ราวกับไม่เกรงกลัวว่าจะถูกชกเป็นหนที่สอง
ขณะปากเอ่ยถ้อยคำถาม “แล้วแม่ทับทิมเล่า
จักรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ?”
แถมคำถามของเขาในหนนี้มันก็ยากเหลือเกินที่จะให้คำตอบ
และเพราะไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป มันเลยทำให้คนตัวใหญ่เริ่มได้ใจ ยิงคำถามออกมาซ้ำๆ
ไม่ยอมหยุด
“จักปวดอุราหรือไม่
หากพี่นั้นกล่าวถึงแม่กรองขวัญให้แม่ทับทิมฟังในทุกช่วงเวลาที่พบหน้า” จนอดคิดไม่ได้ว่า
ทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องกรองขวัญแล้วเขาเลี่ยงที่จะพูดถึงนั้น
เพราะอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรพวกนี้อยู่หรือเปล่า ?
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว
หากต้องบอกว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้เลย มันก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก
ในเมื่อหลายต่อหลายครั้งฉันเองก็รับรู้และรู้สึกในสิ่งที่เขาทำให้ ต่อให้หลายๆ
สิ่งที่เคยเข้าใจจะบิดเบี้ยวไปจากที่เคยรับรู้มา
สุดท้ายแล้วความชอบที่มีต่อท่านอสุราก็ไม่เคยลดลงตามอย่างคำประชดประชันที่กล่าวออกไปเลยสักครั้ง
หากบอกเขาว่า
ฉันเสียใจที่ต้องรับรู้เรื่องราวระหว่างเขากับคุณกรองขวัญ แล้วมันยังไงล่ะ
ในเมื่อคนที่เขาเรอคอยมาตลอด
ท้ายที่สุดแล้วก็คือคุณกรองขวัญหรือแม่นิมมานรดีอยู่ดี
และมันคงไม่ดีนัก
หากพงศาวดารที่ฉันชื่นชอบจะต้องผิดเพี้ยนมากกว่าที่เคยเป็น…
กึก…
“อ้าวทับทิม
มาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…” ทว่า
สุดท้ายแล้วคำพูดมากมายที่อยู่ในหัว
ก็ไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยหรือบอกกล่าวให้เจ้าของคำถามได้รับฟัง
เมื่อช่วงเวลาเดียวกันนั้น เสียงทักแสนสุภาพสมเป็นผู้ใหญ่ดังแทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน
พานให้สายตาที่เคยจ้องมองหน้าคู่สนทนาในตอนแรกมีอันต้องเลื่อนลดไปยังต้นเสียงอย่างไม่อาจห้ามได้
ก่อนพบว่าบริเวณโถงประตูทางเข้าห้องจัดเตรียมเสื้อผ้านั้น
กำลังปรากฏร่างของหญิงสาวกำลังยืนอยู่
คาดว่าท่านอสุราเองก็คงมองเห็นผู้มาเยือนไม่ต่างกัน
มือที่เขาเคยจับกุมข้อมือฉันไว้ จึงถูกลดละออกไปทันทีที่เจ้าของเสียงทักทายดังกล่าวเดินก้าวเท้าเข้ามายังพื้นที่ภายใน
และตอนนั้นเอง ที่ฉันได้คำตอบจากสิ่งที่ถูกท่านอสุราถาม
แถมคำตอบที่ว่านั่นมันก็ชัดมาก ยามที่มือซึ่งเคยถูกเขาจับกุมไว้ถูกปล่อยออกไป
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ
ทำไมไม่เห็นติดต่อเจ๊กลับมาเลย” อีกหนที่เสียงหวานของผู้มาเยือนกล่าวขึ้นอย่างเป็นมิตร
พร้อมเพรียงกับปลายรองเท้าส้นสูงที่ก้าวมาหยุดยืนตรงกลางระหว่างเรา
“สบายดีค่ะ แล้วคุณกรองขวัญละคะ
?”
“สบายดีจ๊ะ
พอเมรีหายป่วยแล้ว คาดว่าเจ๊ก็คงกลับมายุ่งๆ เรื่องตารางงานของเธออีก” ตลอดการพูดคุย สังเกตได้ว่าคุณกรองขวัญไม่ได้พุ่งเป้าสายตาไปทางอื่นเลยนอกจากฉัน
แม้ว่าห่างออกไปเล็กน้อยยังคงมีร่างสุงของยักษ์หนุ่มยืนจ้องมองเธออยู่ใกล้ๆ ก็ตาม
“แล้วนี่ทับทิมทำงานอยู่ในห้องนี้คนเดียวเหรอจ๊ะ ?”
‘มันจักดีได้เช่นไร
ในเมื่อพี่นั้นไซร้เอาแต่หวนนึกถึงแต่เรื่องของแม่ทับทิมจนว้าวุ่นใจ
ซ้ำยังมิสื่อสารบอกกล่าวสิ่งใดเฉกเช่นแม่ทับทิมกระทำต่อนางไม่…’ ซึ่งมันคงจะจริงอย่างที่ท่านอสุราไว้เมื่อคืนก่อน
ว่าเขาไม่อาจสื่อสารความใดกับคุณกรองขวัญได้ แบบที่ทำกับฉัน หรือฉันทำกับเธอ
“ค่ะ
ฉันรับหน้าที่ดูแลเรื่องความเหมาะสมเครื่องแต่งกายนักแสดงแค่คนเดียว”
“เอ๊ะนั่น…” ทว่า พอสิ้นเสียงตอบจู่ๆ คุณกรองขวัญก็ส่งเสียงร้องทักขึ้น
ซ้ำยังรีบพุ่งเข้าประชิดตัวกันอย่างรีบร้อน พลอยให้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก
ซึ่งสิ่งที่ทำให้คุณกรองขวัญแสดงทีท่าตกใจเช่นนั้น
ดูเหมือนจะเป็นปิ่นปักผมที่ท่านอสุรานำมาติดให้บนผมฉันนั่นหล่ะ “ทำไมถึงเอาของแบบนี้มาใส่เล่นล่ะจ๊ะ เดี๋ยวคุณช้างก็ดุเอาหรอก”
คุณกรองขวัญถาม
ซ้ำยังเป็นคนจัดการดึงประดับผมชิ้นดังกล่าวออกจากเรือนผมให้อย่างเบามือ
แต่ว่าดึงออกแล้ว
เธอก็ใช่จะวางเครื่องดับชิ้นดังกล่าวลงบนโต๊ะหรือกล่องเก็บอุปกรณ์แต่อย่างใด
ตรงกันข้าม คุณกรองขวัญยังคงถือมันเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม
ไม่ต่างจากแววตาที่เธอใช้มองไปยังของมีค่าในมือ
พอเห็นแบบนั้นแล้วมันก็อดถามไม่ได้
“คุณกรองขวัญชอบปิ่นปักผมทับทิมเหรอคะ
?” วูบหนึ่งที่ผู้ถูกถามเกิดอาการสะดุ้ง
แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนตอบกลับเพียงวลีสั้นๆ
“จ๊ะ…” สังเกตได้ว่าบนใบหน้าสวยของเธอกำลังปรากฏรอยยิ้มให้เห็นยามจดจ้องไปยังเครื่องประดับในมือ
เพราะเห็นเสี้ยวหน้าที่มีความสุขของเธอแบบนั้นแล้ว
มันก็ที่จะชำเลืองลอบมองใครอีกคนข้างกายไม่ได้
และพบว่าท่านอสุราเองก็ยังคงยืนมองไปยังคุณกรองขวัญแบบไม่วางตาเช่นกัน
เห็นแบบนั้นแล้วกลางอกมันก็รู้สึกแปลกๆ
ขึ้นมา
แปล๊บ…
รู้ไหม
ที่จริงแล้วฉันมีอะไรที่อยากจะถามคุณกรองขวัญตั้งเยอะตั้งแยะ
ยิ่งรู้ว่าเธอคือคนที่เป็นถึงตัวละครเอกจากพงศาวดารที่ลงมาเกิดใหม่ ลึกๆ
มันก็มีความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือคนทั้งคู่ที่ไม่อาจสื่อสารกันได้
เพื่อให่พบเจอกันจริงๆ ตามประสงค์ของตัวละครที่ฉันหลงรักเสียที แต่ว่า
ยิ่งมองเห็นแววตาใจดีในแบบที่เคยจากท่านอสุรากำลังหันเหความสนใจไปยังคนอื่นแล้ว
ไอ้ห้วงอารมณ์คนมากน้ำใจที่เคยมีน่ะ มันก็คล้ายกับจะมีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่
เพื่อปกป้องความรู้ของตัวเอง
ไม่ให้ถลำลึกเฉกเช่นเรื่องราวในภาพนิมิตที่เคยเห็น
“เดี๋ยวฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ…”
สิ่งที่ฉันเลือกทำตอนนั้นจึงเป็นการพาตัวเองออกไปจากสานการณ์น่าอึดอัดดังกล่าวโดยทันที
ทว่า
ฟึ่บ…
วินาทีที่เท้าเตรียมที่จะก้าวพาตัวเองออกจากพื้นที่ดังกล่าว
บริเวณปลายแขนกลับรู้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วอุ่นของใครอีกคนสัมผัสเข้าอย่างแผ่วเบา
จนเผลอชะงักงันไปชั่วขณะเช่นเดียวกับสายตาที่รีบตวัดมองไปยังเจ้าของการกระทำดังกล่าวอย่างห้ามไม่ได้
หากแต่การตอบสนองสัมผัสดังกล่าวลักษณะนั้น
มันเลยทำให้ใครอีกคนซึ่งไม่อาจสัมผัสได้ถึงในสิ่งเดียวกันแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
ซ้ำยังถาม
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ
?” ไม่รู้เป็นเพราะเสียงทักท้วงของคุณกรองขวัญหรืออย่างไร
นี่จึงเป็นอีกครั้งที่ท่านอสุรายอมปล่อยมือที่ใช้รั้งปลายแขนฉันออกทั้งๆ อย่างนั้น
“ปะ เปล่าค่ะ
ขอตัวก่อนนะคะ” และเมื่อสบโอกาสเป็นหนที่สอง
ฉันจึงไม่รอช้ารีบพาตัวเองก้มหน้าเดินไวออกจากสถานการณ์อึดอัดดังกล่าวโดยทันที
ตึก… ตึก…
ทันทีที่หลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดดังกล่าวมาได้ สองเท้าข้างก็รีบจ้ำเดินไปตรงไปตามทางเดินยาวรอบนอกตัวบ้านอย่างรีบเร่ง ซึ่งฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางเดินดังกล่าวนั้นมันจะพาฉันมุ่งตรงไปยังทิศทางใด
ครั้นจะเดินย้อนกลับทางเดิมเพื่อไปหาไวเกล ก็คาดว่าอีกฝ่ายคงจะวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหล่าทีมงานจัดเตรียมสถานที่อยู่เป็นแน่
ด้วยเพราะไม่มีที่ที่อยากไปเป็นพิเศษ
เท้าที่เร่งก้าวอยู่พักใหญ่จึงหยุดลงกลางทางเดินซึ่งทอดยาวไปยังเบื้องหน้า
‘แล้วแม่ทับทิมเล่า
จักรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ? จักปวดอุราบ้างไม่
หากพี่นั้นกล่าวถึงแม่กรองขวัญให้แม่ทับทิมฟังในทุกช่วงเวลาที่พบหน้า’
แต่พอความคิดหวนนึกถึงคำถามของท่านอสุราในห้องจัดเตรียมเสื้อผ้าขึ้น
ความรู้สึกที่คล้ายกับกำลังถูกไฟรนก็เริ่มบังเกิดขึ้นในอกอีกครั้ง
จนต้องรีบใช้มือข้างถนัดขึ้นกุมอกซ้ายตัวเองโดยหวังแบบโง่ๆ
ความรู้สึกเหล่านั้นจะหมดไป
และไม่ปฏิเสธเลยว่า
ฉันกำลังกลัว กลัวว่าความชื่นชอบและหลงใหลที่มีต่อใครสักคนผ่านตัวอักษร จะนำพาให้ห้วงความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นในชีวิตจริง
เพราะฉันไม่อยากให้ตัวเองมีสภาพเหมือนกับแม่จันทน์ผาในอดีตที่เคยผ่านมา…
ครั้นจะผลักไสเรื่องราวในอดีตให้เลือนหายไปโดยทันทีทันใด
มันก็คงไม่ง่ายเท่ากับการดีดนิ้วด้วยมนต์วิเศษนัก แล้วคนธรรมดาอย่างฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ
?
ปี๊บ! ปี๊บ!
ขณะที่พยายามคิดหาทางให้ตัวเองหลุดพ้นจากบ่วงความรู้สึกซึ่งดูเข้าค่ายกับแม่จันทน์ผาในอดีต
เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พลอยให้ทุกความคิด ณ
ขณะนั้นมีอันต้องหยุดลง และเปลี่ยนความสนใจไปยังต้นเหตุของเสียง จนได้พบว่าคนที่ส่งข้อความเข้ามาได้อยู่ถูกเวลานั้นคือใคร
เขตแดน : ทำงานอยู่หรือเปล่า ?
เขตแดน : ให้ฉันเข้าไปรับไหม ?
มันก็เหมือนที่ฉันบอกไปนั่นหล่ะ
หลังจากหลายสิ่งในอดีตที่เลือนหายไปจากความทรงจำ เริ่มกลับมาเด่นชัดให้ได้พอรู้ที่มาที่ไป
และฉันไม่โอเคเลยกับบางสิ่งบางเรื่องราวซึ่งยังคงติดค้างและไม่ได้คำตอบใด แต่ด้วยเพราะสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่รอบกายเวลานี้นั้น
ดันเป็นเส้นเรื่องที่ฉันชื่นชอบและแอบภาวนาให้เกิดขึ้นจนมีแต่สุขสมหวัง
หากผลีผลามกระทำทุกสิ่งตามใจตน
บทสรุปของเรื่องราวที่ควรสวยงาม อาจพังพินาศลงก็เป็นได้
ตามเวรตามกรรม
ใช่ เหมือนที่ไวเกลบอกนั่นหล่ะ ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าของตนเอง
และหากว่านี่คือการใช้กรรมของฉันหรือแม่จันทน์ผาล่ะก็…หวังว่าภพนี้คงเป็นชาติสุดท้ายที่เราทั้งคู่จะหมดเวรหมดกรรมต่อทุกสรรพสิ่งในอดีตเสียที
เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง สิ่งที่ฉันเลือกทำมากกว่าการเข้าไปขัดขวางเส้นทางกรรมในอดีตที่กำลังหวนเกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน
จึงเป็นการก้มหน้าก้มตายอมรับสิ่งที่เกิด โดยเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว และอยู่กับสิ่งที่เป็นไปได้
ทับทิม : เอาสิ ฉันกำลังหาเพื่อนกลับบ้านด้วยอยู่พอดี
Talk1 ความสัมพันธ์แบบนี้ มันก็จะอึดอัดๆ หน่อย
Talk2 เออ ถ้าพี่จะไม่รักเดียวแล้ว แต่จะเป็นยักษ์สองใจแม่ทับทิมจะว่าไง
Talk3 เอาสิ มารับหน่อยยยยย
ปล. ช่วงนี้ที่หายไป เรายุ่งๆ กับงานศพคุณปู่เนอะ T__T ก็เลยหายหน้าหายตาไปเลย ตอนนี้เริ่มว่างขึ้นแล้วงับ จะกลับมาอัพต่อแล้วเนอะ
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น