ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #24 : กลรักอสุรา l บทที่๒๒ ตอน ความสัมพันธ์ {อัพ100%}

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2K
      229
      14 ก.พ. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *


    บทที่๒๒
    ตอน ความสัมพันธ์

    -ทับทิม กล่าว-

    หลายวันต่อมา

    นับจากคืนนั้น ที่ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับท่านอสุรา บางสิ่งที่เคยติดค้างก็เหมือนจะได้รับคำตอบที่เคยสงสัยกลับคืนมาบ้าง ไม่ว่าจะเรื่องในอดีตซึ่งอยู่นอกเหนือจากเนื้อหาที่เคยอ่าน หรือแม้แต่ความรู้สึกแปลกๆ ยามพูดคุยกับผู้หญิงซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเพื่อนสนิท

    ไม่ว่าจะเรื่องของกลิ่นดอกสร้อยทองบนเนื้อกายแม่นิมมานรดีที่เธอพูดได้เสมือนล่วงรู้แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่เคยถูกบันทึกไว้ ไหนจะคำพูดแปลกๆ หรือท่วงท่าการร่ายรำที่หน้าต้นไม้ในตอนนั้น

    แม่กรองขวัญ... แม่ทับทิมเองก็รู้จักนางมิใช่หรอกรึ ?’

    คุณกรองขวัญน่ะหรือเจ้าคะ คือแม่นิมมานรดี ?’

    เห็นทีแล้ว คงไม่ผิดแน่…’  ทั้งหมดนั่นก็เพราะ เธอคือผู้หญิงที่ท่านอสุราเฝ้ารอ ข้ามผ่านกาลเวลา เพื่อให้ได้พบกันอีกครั้งตามอย่างที่ถูกจารึกไว้ยังไงล่ะ

    ถึงหลายสิ่งจะเริ่มชัดเจนขึ้น แต่ก็ใช้ว่าความสงสัยที่เคยมีจะลดจางลงตามไปเสียที่ไหน เพราะฉันยังคงมีอีกหลายๆ คำถามที่ติดค้างอยู่ในใจ สืบเนื่องจากคืนก่อนที่ได้คุยกับท่านอสุรานั่นหล่ะ

    ถ้านับย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่ท่านอสุราปรากฏตัวตรงหน้า จำได้ว่าพื้นที่ตรงนั้น คุณกรองขวัญเองก็เคยใช้เป็นพื้นที่พูดคุยกับฉันเหมือนกัน หากว่ากลิ่นหอมของดอกสร้อยที่ท่านอสุรากล่าวถึงนั้นไม่ได้มาจากฉันแต่มาจากคุณกรองขวัญที่เพิ่งเดินจากออกไปในช่วงเดียวกันเท่านั้น มันก็คงไม่แปลกนัก หากจะเกิดเป็นเรื่องเข้าใจผิด

    แต่สิ่งที่มองเห็นผ่านภาพนิมิตในอดีตนั้น กลับแสดงให้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเนื้อหาจากพงศาวดารนี่สิ ไม่ว่าจะเรื่องของแม่จันทน์ผา แม่นิมมานรดี ท่านอสุรา หรือแม้แต่ชายชาวบ้านที่ชื่อวิรุฬคนนั้น

    ซ้ำคืนก่อนท่านอสุราเองก็ดันพูดออกมาแบบนั้น

    เหตุของการลงมาเยือนเมืองมนุษย์ ตัวพี่นั้นตระหนักดีว่าลงมาเพื่อการณ์ใด แม้นได้พบปะดวงใจที่พลัดพรากดั่งประสงค์ หากแต่จิตนึกคิดพี่นั้นไซร้กลับว้าวุ่นอยู่กับสิ่งอื่น เสมือนว่า แท้จริงแล้ว ผู้ที่พี่ประสงค์จักพบหน้ามิใช่ดวงใจอย่างที่มุ่งหวัง หากแต่เป็นเจ้าของเสียงหวานที่ดังก้องไกลไปถึงพระนคร…’ ต่อให้ถ้อยคำบ้าๆ ในตอนนั้นจะเป็นเพียงห้วงอารมณ์ของคนที่กำลังสับสนก็เถอะ แต่ในทุกๆ คำพูดของเขามันก็ชวนให้ก่อเกิดเป็นคำถามอยู่ดี

    จากที่ได้อ่านบทกลอนของพงศาวดารตำนานท้าวอสุเรนทร์วนมานับร้อยนับพันครั้ง ผู้หญิงที่ท่านอสุราเฝ้าร้องขอและรอคอยเพื่อจะกลับมาเจออีกครั้งคือแม่นิมมานรดีไม่ใช่หรือไง ถ้าแบบนั้นเสียงที่ดังไปสรวงทำไมจึงเป็นเสียงของฉันแทนที่จะเป็นคุณกรองขวัญล่ะ ?

    แล้วท่านเริ่มมีความรู้สึกอยากนึกถึงเรื่องของแม่จันทน์ผาตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?’

    นับจากวันที่ทหารวัง พบร่างแม่จันทน์ผาห้อยคอใต้ต้นมะกอกกระมัง…’ ไหนจะเรื่องที่ท่านอสุราจดจำภาพความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแม่จันทน์ผาไม่ได้นั่นอีก

    จะพอเป็นไปได้ไหมเจ้าคะ หากผู้ชายที่ชื่อวิรุฬคนนั้นจะใช้อาคมที่ตัวเองมี ทำอะไรบางอย่างใส่ท่านประมาณว่าที่ท่านจดจำเรื่องของแม่นิมมานรดีได้อย่างเดียวนั้น อาจจะเกิดจากฝีมือของผู้ชายคนนั้น’ แล้วถ้าหากช่วงเวลาในอดีตมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ตามอย่างที่ฉันสันนิฐานะล่ะ แม่นิมมานรดีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นด้วยหรือเปล่า

    แล้วเหตุใดไอ้วิรุฬจึงประสงค์ให้พี่จดจำเพียงแค่แม่นิมมานรดีเล่า…’  

    กะ ก็เขารักแม่จันทน์ผาไม่ใช่หรือเจ้าคะ ส่วนแม่นิมมานรดีก็อาจจะชอบท่าน...

    แม่ทับทิมจักกล่าวว่า แท้จริงแล้วแม่นิมมานรดีนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นนั้นรึ ?’ ซึ่งมันก็น่าตลกนะ ทั้งที่ภาพนิมิตฉายชัดถึงภาพลักษณ์ของแม่นิมมานรดีในมุมที่แตกต่างจากสิ่งที่ได้อ่านผ่านตัวอักษรแท้ๆ แต่ฉันกลับไม่กล้าที่จะพูดปรักปรำหรือใส่ร้ายเธอตามภาพที่มองเห็นยามอยู่ต่อหน้าท่านอสุรามันเสียอย่างนั้น

    มะ ไม่รู้เจ้าค่ะ ฉันก็แค่พูดตามสิ่งที่คิด…’ หรือมันคงจริงอย่างที่แม่จันทน์ผาบอกไว้ ว่าฉันควรจะหยุดตามหาเธอหรือคิดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว เพราะสุดท้ายคนนอกซึ่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้เพื่อบอกเล่าให้คนรุ่นหลังได้รับรู้อย่างเธอก็คงเป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบทั่วไปภายในพงศาวดารแต่เพียงเท่านั้น

    ทั้งที่มันควรจะจบตั้งแต่รับรู้ว่าผู้หญิงที่เขาตามหาคือใครแท้ๆ แต่ว่า

    ยามอยู่เมืองมนุษย์เช่นนี้ พี่นั้นยังไร้หลักและที่พักพิง จักเป็นไปได้หรือไม่หากพี่จักขออาศัยอยู่ร่วมชายคาเรือนหลังนี้เรื่อยไปจนกว่าจะถึงฤกษ์นิมิตหมายอันดีและลาจาก…’ พอเขาร้องขอออกมาแบบนั้น แล้วใครมันจะกล้าปฏิเสธลงล่ะ ซ้ำช่วงเวลาเดียวกัน เขตแดนก็ดันรู้สึกตัวตื่นขึ้นช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี พลอยให้บทสนทนาระหว่างฉันกับท่านอสุราจำต้องจบลงไว้เพียงเท่านั้น

    กึก

    ทับทิมจ๊ะ!” เสียงขานชื่อที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น ทำฉันสะดุ้งจากวังวนความคิด รีบเหลียวหลังมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัย ก่อนพบเข้ากับหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานกองถ่ายละคร กำลังชะโงกหน้ามองผ่านโถงประตูเข้ามา 

    ทันทีที่เราเห็นหน้ากันตรงๆ เธอก็พูดขึ้น

    เดี๋ยวพี่วานเช็กเครื่องแต่งกายนักแสดงอีกรอบได้หรือเปล่าจ๊ะ เดี๋ยวอีก 10 นาที พี่จะให้คนเข้ามาขนชุดไปห้องแต่งตัวพอดีว่าน้องเมรีจะเข้ามาเปลี่ยนชุดแล้วน่ะจ่ะ

    ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันเช็กให้อีกรอบนะคะ” สิ้นเสียงตอบกลับ ทีมงานคนดังกล่าวก็ขยับยิ้มส่งให้แทนคำขอบคุณ ก่อนผละออกจากโถงประตูห้องสำหรับจัดเตรียมเสื้อผ้าไป 

    คาดว่าคงออกไปรับหน้าตอนรับเพื่อนสาวของฉันที่ต้องเข้ามาเปลี่ยนชุดเป็นแน่ ส่วนฉันที่ถูกวานให้มาช่วยงานก็จำต้องย้ายร่างตัวเองไปยังโต๊ะและราวแขวนเสื้อผ้าเพื่อตรวจตราเครื่องแต่งกายนักแสดงเป็นหนสุดท้ายตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

    และใช่ค่ะ ตั้งแต่วันที่เมรีเพื่อนฉันประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาลจนพลอยให้กองถ่ายละครต้องหยุดพักไป วันนี้ก็เวียนมาครบหนึ่งอาทิตย์แล้วที่ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันมีโอกาสได้กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองตามอย่างที่ผู้กำกับละครร้องขอ ซึ่งมันก็นับเป็นเรื่องดี เพราะฉันจะใช้เวลาทั้งหมดที่มีไปกับงานมากกว่าจะมานั่งคิดเรื่องฟุ้งซ่านจนเกิดเป็นคำถามรกหัว

    อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับท่านอสุราตอนนี้มันก็ใช่จะเหมือนเดิมที่ได้เจอกันที่ไหน ถึงอย่างนั้นท่านอสุราก็ไม่เคยถือตัว เวลาต้องเจอหน้าหรือพูดคุยกัน  ซึ่งท่านอสุราเองก็ทำทุกสิ่งตามอย่างที่เคยร้องขอ เขาอยู่กับฉันเพื่อใช้บ้านเป็นที่พักกายในเมืองมนุษย์เท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าการอยู่ร่วมกันนั้น เราจะไม่ได้พูดคุยกันเสียที่ไหน

    เรายังพูดคุยหรือทักทายกันบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเหมือนก่อนนักหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ฉันนี่แหละที่มักเป็นฝ่ายตัดบทให้จบลง ทั้งนี้ก็เพื่อลดความสงสัยที่จะตามมาให้หยุดลงไปด้วย

    อีกอย่างท่านอสุราเองก็ได้พบกับคนที่รอคอยแล้วด้วย ต่อให้ในอดีตจะเคยเกิดอะไรขึ้นก็ตามที ฉันก็ไม่ควรเอาเรื่องเหล่านั้นเข้าไปขัดขวางจนชะตาลิขิตระหว่างคนทั้งคู่ตามพงศาวดารที่ฉันชื่นชอบเปลี่ยนไป ถูกไหม ?

    กึก...

    ทันทีที่ความคิดในหัวสิ้นสุดลง การเช็กเครื่องกายนักแสดงตามคำสั่งที่ได้รับมาก็เป็นอันสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน พร้อมเพรียงกับกำไลทองที่ถูกหยิบขึ้นมาวางทับบนผ้าถุงสีหมากเป็นชิ้นสุดท้าย ประจวบเหมาะกับเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังพอดิบพอดี

    ตึก… ตึก

    มาตรงเวลาเลยนะคะ เสร็จพอดีเลย...” ด้วยเพราะคิดว่าอาจเป็นพวกทีมงานเข้ามารับเสื้อผ้าไปให้นักแสดงในห้องแต่งตัวตามที่นัดไว้ ฉันจึงเป็นฝ่ายสงเสียงทักทายออกไป ทว่า เมื่อกลับหันหลังไปเจอเข้ากับผู้ที่เดินเข้ามาภายในห้องสำหรับจัดเตรียมเสื้อผ้า ทุกเสียงแซวที่ตั้งใจใช้หยอกล้อก็ไม่วายต้องเงียบงันลงเป็นหนที่สอง

    เพราะผู้ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเวลานี้นั้นดันไม่ใช่เหล่าทีมงานอย่างที่คิด แต่กับเป็นชายตัวสูงในชุดเครื่องทรงยักษ์ที่ฉันคุ้นหน้าเป็นอย่างดี ซึ่งการปรากฏตัวของเขาในสถานที่นี้ เวลานี้ มันก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าคุณกรองขวัญเอง ก็คงจะมาถึงสถานที่ถ่ายทำละครแล้วเช่นกัน

    กึก

     “กระทำสิ่งใดอยู่งั้นรึ แม่ทับทิม ?” คำถามแรกถูกเขาเอ่ยขึ้นทันทีที่เรามีโอกาสได้เจอหน้ากัน ซึ่งมันคือคำถามเดิมๆ ที่เขามักใช้พูดกับฉันในช่วง ๓-๔ วันนี้มานี้ราวกับไม่รู้จะพูดอะไร และไม่ใช่แค่ท่านอสุราเพียงฝ่ายเดียวหรอกที่มักใช้คำพูดเอ่ยทักทายตามประสาคนที่ไม่รู้จะคุยอะไร เพราะบ่อยครั้งฉันเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าจะคำถามหรือคำตอบ

    ทำงานน่ะสิเจ้าคะ…” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนับจากเหตุการณ์คืนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจึงลงเอยในสภาพแบบนี้ไปได้ อาจเพราะเราต่างคนต่างรู้อยู่เต็มอกล่ะมั้ง ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มันเลยทำให้ระหว่างเรามักถูกเว้นว่างด้วยสถานะที่เคยขีดกั้นไว้เมื่อครั้งอดีตถึงจะเว้นระยะห่างต่อกันไว้

    ฉันไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขา เหมือนที่เขาไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของฉัน

    ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือเจ้าคะ หรือว่าตามคุณกรองขวัญมา ?

    เมื่อครู่ ที่ลานแจ้งกลางสวน พวกพราหมณ์ส่งเสียงเรียกพระพี่ชายให้มาเยือนยังสถานที่แห่งนี้ พี่จึงต้องติดตามพระพี่ชายมาด้วย…” แต่ก็มีบางทีเหมือนกัน ที่ความอยากรู้ลึกๆ มันดันชนะการหักห้ามใจตนเอง แล้วเผลอเอ่ยถามไปอย่างไม่ตั้งใจ

    แล้วตอนนี้เรื่องของท่านกับคุณกรองขวัญเป็นยังไงบ้างเจ้าคะ ?”

    จำที่ฉันบอกได้ใช่ไหม ว่าทุกครั้งที่ท่านอสุราเริ่มพูดถึงเรื่องราวในอดีต ฉันมักจะเป็นฝ่ายตัดบทอยู่เสมอๆ และเช่นกันทุกครั้งที่ฉันเผลอเอ่ยถามถึงความคืบหน้าระหว่างเขากับคุณกรองขวัญ ท่านอสุราก็มักจะทำในสิ่งเดียวกัน ถ้าไม่ตัดบทไป ก็มักจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยไปเสียดื้อๆ 

    อย่างเช่นในตอนนี้ ตอนที่เขาเลือกเดินผ่าน ตรงไปยังโต๊ะสำหรับจัดวางเครื่องแต่งกาย ราวกับว่าสิ่งที่เขาให้ความสนใจเวลานี้คือข้าวของเครื่องใช้ซึ่งถูกจัดเรียงไว้บนโต๊ะมากกว่าจะเป็นการให้คำตอบแก่คู่สนทนาตรงหน้าอย่างฉัน

    และพูดบางอย่างซึ่งดูไม่ตรงกับคำตอบที่ต้องการเลยแม้แต่นิด

    เหตุใดประดับเหล่านี้ จึงถูกวางเกลื่อนกลาดเช่นนี้เล่าแม่ทับทิม…” เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบในสิ่งที่ถูกถาม ฉันเองก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะเร่งเร้าสิ่งที่อยากรู้เหมือนกัน ดังนั้นคำตอบเรียบง่ายอย่างสัตย์จริงจึงถูกใช้โต้กลับไปราวกับลืมว่าก่อนหน้านี้เคยตั้งคำถามใส่เขาไว้ว่าอะไร

    พอดี ฉันเตรียมชุดกับเครื่องประดับพวกนี้ไว้สำหรับใช้งานเจ้าค่ะ…” แม้จะเออออตามน้ำคำที่อีกฝ่ายเลี่ยงที่จะพูดคุย อย่างไรเสียมันอดก็ไม่ได้ที่จะแอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนตัวใหญ่อีกครั้งจากทางด้านหลัง ก่อนพบว่าท่านอสุราเวลานี้ยังคงให้ความสนใจกับเครื่องประดับซึ่งถูกวางเรียงรายไว้บนโต๊ะอย่างไรก็อย่างนั้น

    ชอบเครื่องประดับพวกนี้เหรอเจ้าคะ ?และนี่คงเป็นอีกครั้งที่ฉันเอ่ยถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมตอบกลับแต่โดยดี

    อืมประดับเหล่านี้งามตามิผิดเพี้ยนไปจากที่พี่ถือครองแม้แต่นิดได้ฟังแบบนั้น สายตาที่เคยจับจ้องไปยังเสี้ยวหน้าคมคาย จึงหันเหความสนใจไปยังเครื่องประดับบนโต๊ะโดยทันที ขณะปากยังคงพ่นวจีโต้ตอบกลับ

    ก็แค่ความสวยล่ะมั้งคะ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกัน เพราะมูลค่าของประดับพวกนี้ คงเทียบกับเครื่องประทับที่ท่านมีไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ

    เหตุใดแม่ทับทิมจึงกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อประดับเหล่านี้นั้นล้วนแต่มีคุณค่าทั้งสิ้น

    ก็เครื่องประดับที่ท่านเห็นน่ะ มันไม่ใช่ของจริงแต่เป็นของปลอมสำหรับใช้ในการทำงานยังไงล่ะเจ้าคะสังเกตได้ว่าตลอดเวลาที่อธิบายอยู่นั้น ท่านอสุรายังคงเคลื่อนมือสัมผัสไปยังเครื่องประดับชิ้นต่างๆ บนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ

    เขาไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา แต่เลือกที่จะจับสัมผัสเครื่องประดับชิ้นต่างๆขึ้นดูอย่างพินิจพิจารณา จนกระทั่งหยุดมือลงที่ปิ่นปักผมซึ่งถูกประดับด้วยอัญมณีสีแดงสด

     “แท้จริงแล้วประดับทุกชิ้นนั้น ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพียงแค่ต่างเหตุผลเท่านั้น…” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านอสุราก็กล่าวขึ้นอีกครั้งพลางถือวิสาสะหยิบจับเครื่องประดับที่เขาสนใจขึ้นไว้กับตัว

    พอเห็นเขาทำแบบนั้น สายตาที่เคยสนใจอยู่กับเครื่องประดับชิ้นอื่นก็เผลอมองตามการกระทำของคนตัวใหญ่โดยอัตโนมัติ ก่อนต้องเป็นฝ่ายสะดุ้งเมื่อพบว่านัยน์ตาคมที่เคยให้ความสนใจกับเครื่องประดับในมือตอนแรกนั้น เวลานี้กำลังเหลือบมองหน้ากันแบบตรงๆ

    อีกทั้งยังกล่าวขึ้น ทันทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสสบตากันอย่างไม่มีโอกาสหลีกเลี่ยง

    พี่มิเคยให้ค่าราคาประดับเหล่านี้เท่าไหร่นัก…” ซึ่งนั่นก็ตามมาด้วยการกระทำปุบปับของอีกฝ่ายแบบไม่ทันเตรียมใจ เมื่อท่านอสุราเคลื่อนมือเข้ามาหา แล้วใช้ปลายนิ้วเรียวจัดการกับปรอยผมบางส่วนที่ร่วงปรกหน้าไปทัดข้างหูให้อย่างเบามือขณะปากยังคงเอ่ยกล่าว เมื่อแท้จริงแล้ว ประดับทุกชิ้นมีค่า ยามอยู่ในมือผู้ถือครองที่เหมาะสม…”

    ลำพังแค่เพียงปลายนิ้วสัมผัสจากเขาที่เฉียดผิวแก้มไป มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ร่างกายเผลอสะท้านรับความรู้สึกที่ได้รับอย่างไม่สมควร แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้เลย เมื่อคนตัวใหญ่ใช้ช่วงเวลาเดียวกันนั้น บรรจงติดปิ่นปักผมประดับอัญมณีสีแดงชิ้นโตลงบนเรือนผมให้อย่างเบามือ

    อะ…” ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึก หรือนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่มองเห็น ทว่า วินาทีที่ประดับชิ้นดังกล่าวถูกเขาบรรจงติดให้บนเรือนผมเท่านั้น ทุกอย่างรอบตัวก็คล้ายกับหยุดเคลื่อนไหวและเงียบไปเสียดื้อๆ ร่างกายเหมือนถูกการกระทำดังกล่าวของเขาแช่แข็งให้ยืนนิ่งงับไม่ต่างจากหุ่นไม้ เช่นเดียวกับสายตาที่เหมือนกับถูกสะกดให้จับจ้องไปยังดวงหน้าคมคายของคนตัวสูงเบื้องหน้าราวกับต้องมนต์

    หะ หากทับทิมเม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจยะ ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้อึก…’ ซึ่งในขณะที่ทุกสิ่งหยุดนิ่งท่ามกลางความเงียบงัน เสียงในหัวกลับสะท้อนเสียงครวญในอดีตดังแทรกให้ได้ยินชัดขึ้นทุกวินาที ฮึกได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮือออ

    โดยเสียงดังกล่าวยังคงดังวนเวียนอยู่ในความคิดอยู่แบบนั้น จนกระทั่งมืออุ่นเบื้องหน้าถูกผู้เป็นเจ้าของลดห่างออกไปพร้อมคำชม

    ประดับผมทับทิมชิ้นนี้ เหมาะสมกับแม่ทับทิมดั่งที่พี่คาดไว้มิมีผิดสิ้นเสียง ร่างกายที่กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งก็เผลอแสดงการตอบรับต่อคำชมที่ได้มาด้วยการรีบผละตัวถอยทิ้งระยะห่างระหว่างเราไปนิดหน่อยอย่างไม่ต้องคิด แต่ก่อนจะทันได้พูดหรือทำอะไรไปมากกว่านี้ เสียงจอแจของเหล่าทีมงานที่พร้อมกันเข้ามาเอาเสื้อผ้าตามอย่างที่นัดแนะกันไว้ก็ดันแทรกขึ้นมาเสียงก่อน

    ตายแล้วน้องทับทิม ทำไมเอาประดับผมมาใส่เองแบบนั้นล่ะจ๊ะ !?” หูน่ะได้ยินเสียงของหนึ่งในทีมงามกองถ่ายทักขึ้นเชิงหยอกล้อ หากแต่สายตากลับไม่ได้ความสนใจกับเจ้าของเสียงดังกล่าวเลยแม้แต่นิด เพราะสิ่งที่ยังอยู่ในโฟกัสสายตาเวลานี้นั้น ยังคงเป็นผู้ที่นำเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวมาติดใส่ผมให้ต่างหาก

    ชุดพวกนี้เช็กหมดแล้วเนอะ งั้นเดี๋ยวพี่ขออนุญาตขนไปที่ห้องแต่งตัวเลยแล้วกันนะจ๊ะอีกหนที่เสียงของเหล่าทีมงานดังขึ้น ขณะพากันเดินผ่านร่างสูงใหญ่ของท่านอสุรามาหยุดยืนอยู่บริเวณหน้าโต๊ะสำหรับจัดเตรียมเสื้อผ้า ก่อนจะช่วยกันโยกย้ายข้าวของเครื่องใช้ย้ายไปยังห้องแต่งตัว

    และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนกลุ่มนั้นใช้เวลาช่วยกันขนย้ายเครื่องแต่งกายออกไปจากห้องจัดเตรียมตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกที ก็คงเป็นตอนที่ดวงหน้าคมคายของท่านอสุรากำลังปรากฏรอยยิ้มและเสียงถามไถ่

    หน้าพี่มีสิ่งใดเปรอะเปื้อนงั้นรึ ไยแม่ทับทิมจึงมองมิวางตาเช่นนั้นเล่า ?

    ปะ เปล่าเจ้าค่ะ!” และนั่นคงเป็นปฏิกิริยาตอบรับแรกของฉันหลังเริ่มคืนสติเมื่อถูกเขาถาม เช่นเดียวกับมือที่รีบเคลื่อนแตะไปเรือนผมของตัวเองที่เวลานี้มีเครื่องประดับสำหรับใช้ในการประดับแทรกไว้อย่างคนรีบร้อน ทว่า จังหวะที่ตัดสินใจจะดึงเครื่องประดับชิ้นดังกล่าวออก เสียงของท่านอสุราก็ไม่วายทำให้มือเผลอหยุดชะงักได้อยู่ดี

    คงไว้เช่นนั้นก็เข้าท่าดีไม่ใช่รึ จักรีบดึงออกทำไมเล่า ?เขาไม่ใช่แค่ทักท้วง แต่เลือกที่จะใช้ช่วงเวลาเดียวกันถือโอกาสจับมือฉันลงกลับคืนข้างตัวไปด้วย และนี่คงเป็นอีกครั้งแล้ว ที่ทุกส่วนของร่างกายถูกนัยน์ตาเดิมคู่นั้นแช่ไว้ให้ยืนนิ่ง

    เขาเหมือนลูกตุ้มเหล็กขนาดใหญ่ สำหรับพังทำลายกำแพงสูงที่ฉันพยายามสร้างขึ้นเพื่อหยุดทุกการรับรู้ของตัวเองให้ล้มครืนลงไม่เป็นท่า ทั้งที่ปกติฉันเป็นคนใจแข็งมากแท้ๆ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่รวมกับการมีสิ่งเหนือธรรมชาติตนนี้ยืนอยู่เบื้องหน้า

    ที่เป็นแบบนี้เพราะฉันชอบและรักพงศาวดารเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่านะ หรือเพราะว่าในอดีตฉันเองก็เคยเป็นตัวประกอบไม่สำคัญของพงศาวดารเรื่องนี้กัน

    หลายช่วงยามที่ผ่านมา…” อีกหนที่เสียงของท่านอสุราทำฉันเผลอเกร็งจัดไปเสียทุกส่วน แม้ว่าเรายังมองตากันอยู่ในท่าเดิม เหตุใดแม่ทับทิมจึงมิบอกกล่าวความพี่เช่นครั้งเก่าก่อนเล่า

    หมะ หมายความว่าไงเจ้าคะ…”

    ทุกคราแม่ทับทิมจักบอกกล่าวให้พี่รับรู้ มิว่าจะมาหรือไป ไฉนเลยยามนี้จึงเสียงบอกกล่าวเหล่านั้นจึงเลือนหายไปเสียเล่า ?ได้ฟังเพียงเท่านั้น ฉันก็รู้ได้โดยทันทีว่าคนตัวใหญ่กำลังหมายถึงเรื่องอะไร

    มันก็อย่างที่เขาว่า เพราะตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าพบผู้หญิงที่ตามหาและต้องจากไป ฉันก็เลือกที่จะเลิกอธิษฐานจิตบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเขา ไม่ว่าจะออกไปไหน หรือทำอะไรเหมือนอย่างทุกที

    ก็ท่านคงยุ่งนี่เจ้าคะ ฉันก็เลยคิดว่าไม่ต้องบอกอะไรเลยมันน่าจะดีกว่า ท่านจะได้ไม่ต้อง…” ทั้งที่ถูกถาม แต่ครั้นเมื่อเวลาให้คำตอบ เจ้าของคำถามกลับไม่รอฟังจนจบคำ

    ไยแม่ทับทิมจึงชอบคิดแทนพี่นัก…” ซ้ำยังขัดขึ้นเสียงดุ หากแต่บนใบหน้ายังคงปราศจากกริยาโกรธเกรี้ยวให้เห็น เช่นเดียวกับแววตาซึ่งยังล้นไว้ด้วยความอบอุ่นไม่เปลี่ยนไป มิรู้หรือว่าพี่รอการบอกกล่าวจากปากแม่ทับทิมเช่นนั้นทุกวี่วัน

    “…” อีกแล้ว เขากำลังพูดให้ฉันรู้สึกอีกแล้ว

    ต่อแต่นี้ไป แม้นข้างกายหาได้มีพี่อยู่เคียงกายดังเก่า จักเป็นไปได้หรือไม่ หากพี่จักขอฟังเสียงบอกกล่าวของแม่ทับทิมเช่นนี้เรื่อยไปมันบ้ามากๆ ที่เขาเลือกที่จะพูดแบบนี้กับฉัน ทั้งที่จริงแล้วคำพูดบ้าๆ พวกนี้น่ะ คนที่สมควรได้มันคือคุณกรองขวัญไม่ใช่หรือไง

    ท่านพูดแบบนี้มันจะดูไม่ดีนะเจ้าคะ…” เพราะรู้สึกแบบนั้น ฉันเลยต้องพูดออกไป เผื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันคิดว่าสิ่งที่พูดอยู่นั้นเป็นเรื่องไม่สมควร ในเมื่อตอนนี้ท่านได้เจอคนรักแล้ว แต่ยังพูดแบบนี้กับฉัน มันจะทำให้ท่านกลายเป็นยักษ์สองใจเอาได้นะเจ้าคะ...อะ

    แต่ก็เหมือนเคยเมื่อถ้อยคำที่หมายจะใช้สื่อสารให้คู่สนทนารับรู้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยได้จนจบคำ เพราะจังหวะเดียวกันนั้นผู้ฟังเลือกที่จะหยุดเสียงของฉันให้ขาดช่วงลงด้วยปลายนิ้วที่เขาถือวิสาสะไกลเกลี่ยปรอยผมส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ไปทัดข้างหู ขณะใช้สายตาคู่เดิมมองกวาดสำรวจไปทั่วดวงหน้าอย่างพินิจพิจารณา

    และกล่าวขึ้นเมื่อเขาทำทุกสิ่งจนเสร็จสมตามดั่งที่ตั้งใจ

    หากพี่เป็นเช่นนั้นจริงดังคำกล่าวเล่า แม่ทับทิมจักมีความคิดเห็นเช่นไร ?

    คำพูดของเขาฟังดูไม่ต่างจากคำพูดประชดประชันเท่าไหร่นัก แต่ขณะเดียวก็ซ่อนความรู้สึกบางอย่าง จนพลอยให้ผู้ได้ฟังรู้สึกตามไปด้วย แม้จะเผลอวูบไหวไปตามความรู้สึกที่แทรกผ่านถ้อยวาจา แต่ฉันก็ยังคงพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกัน อีกทั้งมันคงไม่ดีแน่ หากท่านอสุราจากพงศาวดารที่ฉันชื่นชอบจะเป็นดั่งคำประชดประชันตามอย่างที่กล่าวออกมา

    ถ้าท่านพูดแบบนี้ ฉันชกจริงๆ นะเจ้าคะ

    หากแม่ทับทิมหมายประทุษร้ายพี่จริงเช่นนั้นจริง แล้วไยจึงมิลงมือเสียบัดเดี๋ยวนี้เล่าอะ

    พลั่ก!

    ไม่ต้องให้เสียงท้าทายของอีกฝ่ายจบคำดี หมันเปล่าของฉันก็ถูกซัดเข้าใส่หน้าผู้พูดทันที แม้ว่าเรี่ยวแรงที่ใช้จะไม่มากพอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้คำพูดไม่คิดของเขาเงียบลงไปได้

    ฉันทำได้มากกว่านี้อีกนะเจ้าคะ บอกไว้ก่อน…” และหากนี่เรียกว่าการข่มขู่สิ่งเหนือธรรมชาติแล้วล่ะก็ ใช่ค่ะ ฉันกำลังทำแบบนั้นอยู่จริงๆ คราวหน้าคราวหลัง ท่านอย่าพูดอะไรแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    “…” ท่านอสุราไม่ตอบอะไร แต่เขาเลือกที่จะนิ่ง จนฉันต้องเป็นฝ่ายเติมเต็มช่องว่างคำพูดระหว่างเราด้วยตัวเอง

    ท่านไม่คิดหรือเจ้าคะ หากว่าคนรักของท่านมาได้ยินอะไรแบบนี้ เขาจะเสียใจมากแค่ไหน ท่านไม่รักแม่นิมมานรดีแล้วหรือเจ้าคะ ?

    หากพี่กล่าวว่า ยามนี้นั้นยังคงรักแม่นิมมานรดีมิเคยแปรเปลี่ยนไป…” หลังจากเอาแต่ยืนเงียบและถูกต่อว่าอยู่ครู่หนึ่ง คราวนี้ท่านอสุราจึงเริ่มมีปากมีเสียงโต้กลับมาบ้าง เขาไม่ใช่ย้อนเท่านั้น แต่ถือวิสาสะจับมือข้างที่ฉันเพิ่งใช้ซัดใส่อีกครั้งอย่างใจเย็น ราวกับไม่เกรงกลัวว่าจะถูกชกเป็นหนที่สอง ขณะปากเอ่ยถ้อยคำถาม แล้วแม่ทับทิมเล่า จักรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ?

    แถมคำถามของเขาในหนนี้มันก็ยากเหลือเกินที่จะให้คำตอบ และเพราะไม่ได้ตอบอะไรเขากลับไป มันเลยทำให้คนตัวใหญ่เริ่มได้ใจ ยิงคำถามออกมาซ้ำๆ ไม่ยอมหยุด

    จักปวดอุราหรือไม่ หากพี่นั้นกล่าวถึงแม่กรองขวัญให้แม่ทับทิมฟังในทุกช่วงเวลาที่พบหน้า จนอดคิดไม่ได้ว่า ทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องกรองขวัญแล้วเขาเลี่ยงที่จะพูดถึงนั้น เพราะอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรพวกนี้อยู่หรือเปล่า ?

    เพราะเอาเข้าจริงแล้ว หากต้องบอกว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้เลย มันก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก ในเมื่อหลายต่อหลายครั้งฉันเองก็รับรู้และรู้สึกในสิ่งที่เขาทำให้ ต่อให้หลายๆ สิ่งที่เคยเข้าใจจะบิดเบี้ยวไปจากที่เคยรับรู้มา สุดท้ายแล้วความชอบที่มีต่อท่านอสุราก็ไม่เคยลดลงตามอย่างคำประชดประชันที่กล่าวออกไปเลยสักครั้ง

    หากบอกเขาว่า ฉันเสียใจที่ต้องรับรู้เรื่องราวระหว่างเขากับคุณกรองขวัญ แล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อคนที่เขาเรอคอยมาตลอด ท้ายที่สุดแล้วก็คือคุณกรองขวัญหรือแม่นิมมานรดีอยู่ดี

    และมันคงไม่ดีนัก หากพงศาวดารที่ฉันชื่นชอบจะต้องผิดเพี้ยนมากกว่าที่เคยเป็น

    กึก

    อ้าวทับทิม มาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…” ทว่า สุดท้ายแล้วคำพูดมากมายที่อยู่ในหัว ก็ไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยหรือบอกกล่าวให้เจ้าของคำถามได้รับฟัง เมื่อช่วงเวลาเดียวกันนั้น เสียงทักแสนสุภาพสมเป็นผู้ใหญ่ดังแทรกขัดขึ้นมาเสียก่อน พานให้สายตาที่เคยจ้องมองหน้าคู่สนทนาในตอนแรกมีอันต้องเลื่อนลดไปยังต้นเสียงอย่างไม่อาจห้ามได้ ก่อนพบว่าบริเวณโถงประตูทางเข้าห้องจัดเตรียมเสื้อผ้านั้น กำลังปรากฏร่างของหญิงสาวกำลังยืนอยู่

    คาดว่าท่านอสุราเองก็คงมองเห็นผู้มาเยือนไม่ต่างกัน มือที่เขาเคยจับกุมข้อมือฉันไว้ จึงถูกลดละออกไปทันทีที่เจ้าของเสียงทักทายดังกล่าวเดินก้าวเท้าเข้ามายังพื้นที่ภายใน และตอนนั้นเอง ที่ฉันได้คำตอบจากสิ่งที่ถูกท่านอสุราถาม แถมคำตอบที่ว่านั่นมันก็ชัดมาก ยามที่มือซึ่งเคยถูกเขาจับกุมไว้ถูกปล่อยออกไป

    เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ทำไมไม่เห็นติดต่อเจ๊กลับมาเลยอีกหนที่เสียงหวานของผู้มาเยือนกล่าวขึ้นอย่างเป็นมิตร พร้อมเพรียงกับปลายรองเท้าส้นสูงที่ก้าวมาหยุดยืนตรงกลางระหว่างเรา

    สบายดีค่ะ แล้วคุณกรองขวัญละคะ ?

    สบายดีจ๊ะ พอเมรีหายป่วยแล้ว คาดว่าเจ๊ก็คงกลับมายุ่งๆ เรื่องตารางงานของเธออีกตลอดการพูดคุย สังเกตได้ว่าคุณกรองขวัญไม่ได้พุ่งเป้าสายตาไปทางอื่นเลยนอกจากฉัน แม้ว่าห่างออกไปเล็กน้อยยังคงมีร่างสุงของยักษ์หนุ่มยืนจ้องมองเธออยู่ใกล้ๆ ก็ตามแล้วนี่ทับทิมทำงานอยู่ในห้องนี้คนเดียวเหรอจ๊ะ ?

    มันจักดีได้เช่นไร ในเมื่อพี่นั้นไซร้เอาแต่หวนนึกถึงแต่เรื่องของแม่ทับทิมจนว้าวุ่นใจ ซ้ำยังมิสื่อสารบอกกล่าวสิ่งใดเฉกเช่นแม่ทับทิมกระทำต่อนางไม่ ซึ่งมันคงจะจริงอย่างที่ท่านอสุราไว้เมื่อคืนก่อน ว่าเขาไม่อาจสื่อสารความใดกับคุณกรองขวัญได้ แบบที่ทำกับฉัน หรือฉันทำกับเธอ

    ค่ะ ฉันรับหน้าที่ดูแลเรื่องความเหมาะสมเครื่องแต่งกายนักแสดงแค่คนเดียว

    เอ๊ะนั่น…” ทว่า พอสิ้นเสียงตอบจู่ๆ คุณกรองขวัญก็ส่งเสียงร้องทักขึ้น ซ้ำยังรีบพุ่งเข้าประชิดตัวกันอย่างรีบร้อน พลอยให้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก ซึ่งสิ่งที่ทำให้คุณกรองขวัญแสดงทีท่าตกใจเช่นนั้น ดูเหมือนจะเป็นปิ่นปักผมที่ท่านอสุรานำมาติดให้บนผมฉันนั่นหล่ะ ทำไมถึงเอาของแบบนี้มาใส่เล่นล่ะจ๊ะ เดี๋ยวคุณช้างก็ดุเอาหรอก

    คุณกรองขวัญถาม ซ้ำยังเป็นคนจัดการดึงประดับผมชิ้นดังกล่าวออกจากเรือนผมให้อย่างเบามือ แต่ว่าดึงออกแล้ว เธอก็ใช่จะวางเครื่องดับชิ้นดังกล่าวลงบนโต๊ะหรือกล่องเก็บอุปกรณ์แต่อย่างใด ตรงกันข้าม คุณกรองขวัญยังคงถือมันเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม ไม่ต่างจากแววตาที่เธอใช้มองไปยังของมีค่าในมือ

    พอเห็นแบบนั้นแล้วมันก็อดถามไม่ได้

    คุณกรองขวัญชอบปิ่นปักผมทับทิมเหรอคะ ?วูบหนึ่งที่ผู้ถูกถามเกิดอาการสะดุ้ง แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนตอบกลับเพียงวลีสั้นๆ

    จ๊ะ…” สังเกตได้ว่าบนใบหน้าสวยของเธอกำลังปรากฏรอยยิ้มให้เห็นยามจดจ้องไปยังเครื่องประดับในมือ เพราะเห็นเสี้ยวหน้าที่มีความสุขของเธอแบบนั้นแล้ว มันก็ที่จะชำเลืองลอบมองใครอีกคนข้างกายไม่ได้ และพบว่าท่านอสุราเองก็ยังคงยืนมองไปยังคุณกรองขวัญแบบไม่วางตาเช่นกัน

    เห็นแบบนั้นแล้วกลางอกมันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

    แปล๊บ

    รู้ไหม ที่จริงแล้วฉันมีอะไรที่อยากจะถามคุณกรองขวัญตั้งเยอะตั้งแยะ ยิ่งรู้ว่าเธอคือคนที่เป็นถึงตัวละครเอกจากพงศาวดารที่ลงมาเกิดใหม่ ลึกๆ มันก็มีความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือคนทั้งคู่ที่ไม่อาจสื่อสารกันได้ เพื่อให่พบเจอกันจริงๆ ตามประสงค์ของตัวละครที่ฉันหลงรักเสียที แต่ว่า ยิ่งมองเห็นแววตาใจดีในแบบที่เคยจากท่านอสุรากำลังหันเหความสนใจไปยังคนอื่นแล้ว ไอ้ห้วงอารมณ์คนมากน้ำใจที่เคยมีน่ะ มันก็คล้ายกับจะมีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่

    เพื่อปกป้องความรู้ของตัวเอง ไม่ให้ถลำลึกเฉกเช่นเรื่องราวในภาพนิมิตที่เคยเห็น

    เดี๋ยวฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ…” สิ่งที่ฉันเลือกทำตอนนั้นจึงเป็นการพาตัวเองออกไปจากสานการณ์น่าอึดอัดดังกล่าวโดยทันที ทว่า

    ฟึ่บ

    วินาทีที่เท้าเตรียมที่จะก้าวพาตัวเองออกจากพื้นที่ดังกล่าว บริเวณปลายแขนกลับรู้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วอุ่นของใครอีกคนสัมผัสเข้าอย่างแผ่วเบา จนเผลอชะงักงันไปชั่วขณะเช่นเดียวกับสายตาที่รีบตวัดมองไปยังเจ้าของการกระทำดังกล่าวอย่างห้ามไม่ได้ หากแต่การตอบสนองสัมผัสดังกล่าวลักษณะนั้น มันเลยทำให้ใครอีกคนซึ่งไม่อาจสัมผัสได้ถึงในสิ่งเดียวกันแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา ซ้ำยังถาม

    มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ? ไม่รู้เป็นเพราะเสียงทักท้วงของคุณกรองขวัญหรืออย่างไร นี่จึงเป็นอีกครั้งที่ท่านอสุรายอมปล่อยมือที่ใช้รั้งปลายแขนฉันออกทั้งๆ อย่างนั้น

    ปะ เปล่าค่ะ ขอตัวก่อนนะคะและเมื่อสบโอกาสเป็นหนที่สอง ฉันจึงไม่รอช้ารีบพาตัวเองก้มหน้าเดินไวออกจากสถานการณ์อึดอัดดังกล่าวโดยทันที

    ตึก ตึก

    ทันทีที่หลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดดังกล่าวมาได้ สองเท้าข้างก็รีบจ้ำเดินไปตรงไปตามทางเดินยาวรอบนอกตัวบ้านอย่างรีบเร่ง ซึ่งฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางเดินดังกล่าวนั้นมันจะพาฉันมุ่งตรงไปยังทิศทางใด 

    ครั้นจะเดินย้อนกลับทางเดิมเพื่อไปหาไวเกล ก็คาดว่าอีกฝ่ายคงจะวุ่นวายอยู่กับการช่วยเหล่าทีมงานจัดเตรียมสถานที่อยู่เป็นแน่ ด้วยเพราะไม่มีที่ที่อยากไปเป็นพิเศษ เท้าที่เร่งก้าวอยู่พักใหญ่จึงหยุดลงกลางทางเดินซึ่งทอดยาวไปยังเบื้องหน้า

    แล้วแม่ทับทิมเล่า จักรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ ? จักปวดอุราบ้างไม่ หากพี่นั้นกล่าวถึงแม่กรองขวัญให้แม่ทับทิมฟังในทุกช่วงเวลาที่พบหน้า แต่พอความคิดหวนนึกถึงคำถามของท่านอสุราในห้องจัดเตรียมเสื้อผ้าขึ้น ความรู้สึกที่คล้ายกับกำลังถูกไฟรนก็เริ่มบังเกิดขึ้นในอกอีกครั้ง จนต้องรีบใช้มือข้างถนัดขึ้นกุมอกซ้ายตัวเองโดยหวังแบบโง่ๆ ความรู้สึกเหล่านั้นจะหมดไป

    และไม่ปฏิเสธเลยว่า ฉันกำลังกลัว กลัวว่าความชื่นชอบและหลงใหลที่มีต่อใครสักคนผ่านตัวอักษร จะนำพาให้ห้วงความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นในชีวิตจริง เพราะฉันไม่อยากให้ตัวเองมีสภาพเหมือนกับแม่จันทน์ผาในอดีตที่เคยผ่านมา

    ครั้นจะผลักไสเรื่องราวในอดีตให้เลือนหายไปโดยทันทีทันใด มันก็คงไม่ง่ายเท่ากับการดีดนิ้วด้วยมนต์วิเศษนัก แล้วคนธรรมดาอย่างฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ ?

    ปี๊บ! ปี๊บ!

    ขณะที่พยายามคิดหาทางให้ตัวเองหลุดพ้นจากบ่วงความรู้สึกซึ่งดูเข้าค่ายกับแม่จันทน์ผาในอดีต เสียงแจ้งเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พลอยให้ทุกความคิด ณ ขณะนั้นมีอันต้องหยุดลง และเปลี่ยนความสนใจไปยังต้นเหตุของเสียง จนได้พบว่าคนที่ส่งข้อความเข้ามาได้อยู่ถูกเวลานั้นคือใคร

    เขตแดน : ทำงานอยู่หรือเปล่า ?

    เขตแดน : ให้ฉันเข้าไปรับไหม ?

    มันก็เหมือนที่ฉันบอกไปนั่นหล่ะ หลังจากหลายสิ่งในอดีตที่เลือนหายไปจากความทรงจำ เริ่มกลับมาเด่นชัดให้ได้พอรู้ที่มาที่ไป และฉันไม่โอเคเลยกับบางสิ่งบางเรื่องราวซึ่งยังคงติดค้างและไม่ได้คำตอบใด แต่ด้วยเพราะสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่รอบกายเวลานี้นั้น ดันเป็นเส้นเรื่องที่ฉันชื่นชอบและแอบภาวนาให้เกิดขึ้นจนมีแต่สุขสมหวัง

    หากผลีผลามกระทำทุกสิ่งตามใจตน บทสรุปของเรื่องราวที่ควรสวยงาม อาจพังพินาศลงก็เป็นได้

    ตามเวรตามกรรม ใช่ เหมือนที่ไวเกลบอกนั่นหล่ะ ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่าของตนเอง และหากว่านี่คือการใช้กรรมของฉันหรือแม่จันทน์ผาล่ะก็หวังว่าภพนี้คงเป็นชาติสุดท้ายที่เราทั้งคู่จะหมดเวรหมดกรรมต่อทุกสรรพสิ่งในอดีตเสียที

           เพราะแบบนั้นล่ะมั้ง สิ่งที่ฉันเลือกทำมากกว่าการเข้าไปขัดขวางเส้นทางกรรมในอดีตที่กำลังหวนเกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน จึงเป็นการก้มหน้าก้มตายอมรับสิ่งที่เกิด โดยเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว และอยู่กับสิ่งที่เป็นไปได้

    ทับทิม : เอาสิ ฉันกำลังหาเพื่อนกลับบ้านด้วยอยู่พอดี

    Talk1 ความสัมพันธ์แบบนี้ มันก็จะอึดอัดๆ หน่อย

    Talk2 เออ ถ้าพี่จะไม่รักเดียวแล้ว แต่จะเป็นยักษ์สองใจแม่ทับทิมจะว่าไง

    Talk3 เอาสิ มารับหน่อยยยยย 

    ปล. ช่วงนี้ที่หายไป เรายุ่งๆ กับงานศพคุณปู่เนอะ T__T ก็เลยหายหน้าหายตาไปเลย ตอนนี้เริ่มว่างขึ้นแล้วงับ จะกลับมาอัพต่อแล้วเนอะ

    ___________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

    ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T


    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือกดหัวใจให้เราก็ได้น้าา 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×