คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : กลรักอสุรา l บทที่๒๐ ตอน ความนัย (๒) {อัพ100%}
‘มิทัดเทียมเท่าความเชื่อใจหรอกเจ้าคะ...’
สิ้นวจีตอบกลับจากตัวตนซึ่งคาดว่าเป็นฉันในอดีต
ความเจ็บปวดซึ่งหายขาดไปช่วงหนึ่งกลับเริ่มบังเกิดขึ้นตามเนื้อกายอีกครั้ง ซ้ำร้ายยังเกิดเรื่องน่าตกใจเมื่อบนผิวกายตามบริเวณแขนและขาเริ่มผุดรอยแผลจากจากถูกเฆี่ยนตีปรากฏให้เห็น
แถมร่องรอยที่เริ่มปรากฏตามเนื้อตัวเวลานี้นั้น
ยังดูเหมือนบาดแผลบนตัวแม่จันทน์ผาไม่มีผิด
‘อะ…’ ยิ่งรอยแผลเหล่านี้ผุดขึ้นบนเนื้อตัวมากเท่าไหร่ อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็ยิ่งสำแดงอาการให้รู้สึกรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น จนร่างทั้งเริ่มรับต่อความเจ็บแสบทั้งหมดไม่ไหว จำต้องใช้มือทั้งสองข้างโอบกอดรอบกายไปตามสัญชาตญาณเพื่อให้เนื้อกายหลุดพ้นจากความเจ็บที่ได้รับลงบ้าง
ทว่า การตอบรับความเจ็บปวดอันไร้ที่มาในสภาพแบบนั้น
นอกจากไม่ช่วยให้ความรู้สึกหยุดทำงานแล้ว ทุกความเจ็บที่กำลังส่งผ่านกายก็คล้ายกับจะเริ่มแสดงตนเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นทุกที
เพียะ!
ฉันได้ยินเสียงหวดฟาดของบางสิ่งบางอย่างแว่วดังขึ้นท่ามกลางพื้นที่เงียบสงบ
ทั้งที่เป็นเพียงเสียง หากแต่ร่างกายกลับสะดุ้งเกร็งตามเสียงที่ได้ยิน
เช่นเดียวกับอาการเจ็บแสบที่เกิดขึ้นบนผิวเนื้อเสมือนว่าบางสิ่งบางอย่างที่รับรู้ได้นั้นกำลังเกิดขึ้นจริงกับตัวฉันไม่มีผิด
เจ็บ
แสบไปหมดทั้งตัว…
เพียะ!
ไม่รู้กี่ครั้งต่อครั้งที่ร่างกายต้องเกร็งจัดรับความเจ็บปวดจากสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่แบบนั้น รู้เพียงว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้นั้นมันช่างทรมาน ซ้ำยังหนักหน่วงเกินกว่าที่ร่างกายจะทนต้านทานไหว
แต่ก่อนที่ความเจ็บแสบตามเนื้อตัวจะส่งผลให้สติและความอดทนที่มีอยู่ขาดหายไป
ความมืดที่เคยกลืนกินเราทั้งคู่ไว้ภายใต้ความเหน็บหนาว ก็เริ่มเกิดแปรเปลี่ยนไปเป็นสถานที่แสนแปลกตาให้ได้เห็นอีกครั้ง
ภายในสถานที่ดังกล่าว คือห้องโถงกว้างขนาดใหญ่แสนอลังการภายในวังเฉกเช่นที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วหนหนึ่ง
บนพื้นที่ภายในห้องโถงพระโรงครั้งนี้
ไม่ได้มีแค่ฉันกำลังยืนอยู่กอดตัวอยู่เองอยู่
หากแต่เต็มไปด้วยเหล่าชายรูปร่างกำยำในชุดเครื่องทรงสีน้ำตาลไหม้
สวมหมวกทรงประพาสสีเดียวกับเครื่องทรง
หากแต่ในมือของพวกเขาไม่ได้กำอาวุธไว้อย่างที่ควรจะเป็น โดยพื้นที่รอบนอกยังคงปรากฏร่างของเหล่านางสวรรค์ที่ฉันมองเห็นก่อนนี้ยืนสงบเสงี่ยม
สายตาของพวกเธอเหล่านั้นกำลังมุ่งจับจ้องร่างบอบช้ำของหญิงสาวสภาพอิดโรย ท่ามกลางวงล้อมเหล่าทหารยักษ์ด้วยอาการหวาดเกรง
อีกสิ่งที่ดูโดดเด่นกว่าผู้ใดในกลุ่มฝูงชนเหล่านั้น
เห็นทีคงไม่พ้นหญิงสาวอีกคน ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าซิ่นเช่นเดียวกับนางสวรรค์ตนอื่นๆ
หากแต่ดูสะดุดตาด้วยประดับบนเนื้อกายบ่งบอกศักดินา
เธอเองก็กำลังจับจ้องสายตาไปยังเป้าหมายเดียวกับคนอื่นๆ ทว่า บนหน้าสวยกลับไร้ซึ่งความสลดหรือหวาดเกรงเช่นเดียวกับผู้อื่น
เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวยของเธอนั้น มันคือรอยยิ้มเล็กๆ มุมปากถึงจะถูก
เธอคือแม่นิมมานรดี
ฉันจำไม่ผิดแน่…
เพียะ!
อีกหนที่เสียงหวดหนักๆ
ดังกระทบกับเนื้อหนังดังขึ้นจนฉันเผลอสะดุ้งตามแต่เตรียมเกร็งไปทั้งกายเพื่อหวังให้ความเจ็บปวดที่จะตามลดจางลง
ทว่า อาการเหล่านั้นที่คิดว่าจะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อครั้งยืนอยู่ท่ามกลางพื้นที่มืด
นั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวฉันเหมือนตอนแรกอีกแล้ว แต่ไม่ใช่กับหญิงสาวอีกคนที่เป็นฝ่ายกรีดร้องขึ้นอย่างน่าสังเวช
เพียะ!
‘ฮึก…ฮืออออ…’ ฉันได้ยินยินเสียงครวญเจ็บปวดปานจะขาดใจของเธอ ถูกเหล่าทหารหวดไม้หวายลงตามเนื้อกายอย่างไม่ยั้งแรง
จนผิวพรรณผุดผ่องเต็มไปด้วยรอยแผลและเลือดสีสดที่กำลังซึมไหล ยิ่งด้วยเห็นใบหน้าสวยของผู้ถูกกระทำที่กำลังแสดงสีหน้าเหยเกบอกความรู้สึก
ซ้ำยังอาบไปด้วยน้ำตาด้วยแล้ว ฉันยิ่งทนไม่ไหว
ซึ่งฉันคงจะไม่รู้สึกอะไรเลย
หากการกระทำป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับแม่จันทน์ผา
และถ้าให้เดา ไอ้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามเนื้อตัวก่อนหน้านี้
น่าจะเป็นความรู้สึกของแม่จันทน์ผาในเวลานี้เช่นกัน
พอคิดไปแบบนั้น
ฉันก็อดทนต่อภาพที่ได้เห็นไม่ไหว
จำต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดหรือช่วยเธอให้หลุดออกจากพื้นที่ความเจ็บปวดตรงหน้าเสียที
ทว่า ฉันก็ไม่อาจทำตามประสงค์ของตัวเองได้
เมื่อขาทั้งสองข้างเวลานี้เหมือนกำลังถูกตอกติดให้หยุดนิ่งอยู่กับที่จนไม่สามารถขยับเคลื่อนกายได้เช่นปกติ
เพียะ!
‘ฮืออออ…’ ราวกับว่าเจ้าของความทรงจำอันน่าเจ็บปวดนี้
หมายให้ฉันรับรู้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น
มากกว่าจะเข้าไปให้การช่วยเหลืออย่างไรอย่างนั้น
เพราะนอกจากเสียงกรีดร้องอย่างทุกทรมานยามถูกเฆี่ยนตีของแม่จันทน์ผาแล้ว
ฉันก็ยังได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของหนึ่งในทหารซึ่งเป็นผู้ลงมือตวาดถามเสียงดัง
‘นางสวรรค์ เจ้าลักประดับผมไปจากที่ประทับส่วนพระองค์ไปใช่หรือไม่
!?’ ทั้งที่เขาถาม หากแต่สิ่งที่ผู้ถูกถามใช้ตอบนั้นกลับมีเพียงเสียงสะอื้น
ไร้ซึ่งวาจาใดตามอย่างที่ผู้ตั้งคำถามต้องการ
และนั่นจึงทำให้ไม้หวายในมือถูกฟาดฟันลงบนแผ่นหลังของเธออีกหนราวกับต้องการเร่งเร้า
เพียะ!
คงเพราะเราคือกันและกันล่ะมั้ง
แม้ว่าจะไม่ได้ตกเป็นผู้ถูกกระทำ
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรับรู้ความรู้สึกของแม่จันทน์ผาได้เป็นอย่างดี
ว่าเธอในตอนนี้กำลังรู้สึกเช่นไร อีกทั้งนอกจากรับรู้ความรู้สึกจนต้องเผลอใช้มือลูบไปตามแขนของตัวเองแล้ว
ทนอีกนิดเถิดหนาจันทน์ผา อีกไม่กี่เพลา ท่านอสุราจักมาแล้ว…
อีกสิ่งที่ฉันได้ยินชัดเจนไม่ต่างจากการรับรู้ความรู้สึกทางกายของอีกฝ่ายได้นั้น
ก็คงเป็นเสียงร่ำร้องของจิตนึกคิดของแม่จันทน์ผาซึ่งก้องดังไปทั่วห้องโถงกว้างไม่แพ้เสียงตวาดกร้าวและเสียงหวดไม้กระทบกับผิวกายของเธอจากน้ำมือของเหล่าทหารที่ไม่ได้รับคำตอบนั่นหล่ะ
เพียะ! เพียะ!
หากแต่ความเจ็บปวดแสนสาหัสในแบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งเกินกว่าจะรับไหว
ไม่นาน ก็ส่งผลให้ผู้ถูกลงหวายหมดสิ้นเรี่ยวแรง ฟุบกายหมอบลงแน่นิ่งกับพื้นทั้งน้ำตา
แม้จะเป็นเช่นนั้นทว่า
เสียงตวาดดังของเหล่าทหารยักษ์และผู้ลงมือกระทำก็ใช่หยุดตามลงเสียที่ไหน
เพียะ!
‘เหตุใดเจ้าจึงกล้าริลักข้าวของของผู้เป็นนาย
หาได้กลัวความผิดเล่านางจันทน์ผา !’
เช่นเดียวกับเสียงเรียกในจิตใจของผู้ถูกลงมือ
ทนอีกนิดเถิดหนาร่างกาย อีกเพียงนิดเท่านั้น…
และฉันไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์บ้าๆ นี่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
นอกจากความเจ็บปวดที่แม่จันทน์ผาแสดงให้เห็นผ่านสีหน้าและร่ำไห้แล้ว
ฉันแทบมองไม่เห็นสิ่งอื่นอีกเลย
กึก! ตึง!
แต่แล้วในตอนที่หวายกำลังจะถูกหวดลงใส่กลางแผ่นหลังของผู้ถูกจับผิดอีกครั้ง
ตอนนั้นเองที่เสียงร้องในก้นบึ้งจิตใจของแม่จันทน์ผาเหมือนจะประสบผล
เมื่อประตูภายในห้องโถงห้องนั้นถูกกระชากเปิดออก ซึ่งการที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว มันพลอยให้ทุกการกระทำที่กำลังเคลื่อนไหวภายในห้องนั้นหยุดชะงักลง
เช่นเดียวกับสายตานับสิบคู่ที่พร้อมใจกับเหลียวมองไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว ทั้งหมดนั่น
รวมถึงฉันที่ดูผิดแผกแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน…
ที่ด้านหน้าของบานประตูซึ่งถูกกระชากให้เปิดออก
ปรากฏร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มในชุดเครื่องทรงสีนวลแสนคุ้นตาปรากฏกายให้เห็น ขณะเดินย่างกรายเข้ามาพื้นที่ภายในที่ยามเงียบเสียงลง จนเหลือเพียงแต่เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนเท่านั้นที่ยังดังอยู่
การมาของท่านอสุราในช่วงเวลานี้
พานให้ทุกชีวิตที่เคยยืนมุงดูการลงหวายเบื้องหน้า พากันรีบคุกเข่าลงหมอบกราบการมาบนพื้นอย่างนอบน้อม
เว้นเพียงนางสวรรค์อีกตนซึ่งยังคงยืนนิ่งในท่วงท่าเดิม
และจับจ้องทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องด้วยสีหน้าและแววตานิ่งสนิทต่างจากสีหน้าและรอยยิ้มในตอนแรก
‘ได้ความจากปากนางเช่นไรบ้าง
?’ หากแต่ฉันก็ไม่อาจยืนมองภาพของแม่นิมมานรดีได้นานนัก
เมื่อเสียงเข้มของท่านอสุราเอ่ยถามขึ้น พลอยให้ต้องเบนทิศทางการมองเห็นกลับไปยังร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้
‘นางมิยอมปริปากเอ่ยถ้อยสิ่งใดเลยขอรับท่านอสุรา’
สังเกตได้ว่า
สีหน้าของท่านอสุราหลังได้รับคำตอบจากทหารดูไม่ค่อยสู้ดีนัก
ทั้งที่แม่นิมมานรดียืนอยู่ในระยะที่ไม่ห่างตัวเท่าไหร่
หากแต่สิ่งที่นัยน์ตาคมคู่นั้นเลือกที่จะปรายมองนั้นกลับกลายเป็นร่างเล็กซึ่งกำลังนอนหอบหายใจรวยรินอยู่บนพื้นเสียมากกว่า
มิหนำซ้ำยังเลือกที่จะเดินแทรกเหล่าทหารยักษ์มุ่งตรงไปหาเธอทั้งๆ อย่างนั้น
ซ้ำยังเอ่ยเรียกอย่างไม่ได้แสดงความรังเกียจเดียดฉันท์
‘แม่จันทน์ผา…’ เสียงของเขายังฟังนุ่มละมุนหูเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกซ้ำยังฟังแตกต่างจากน้ำเสียงยามเอ่ยถามเหล่าทหารอย่างสิ้นเชิง
ที่บ้าก็คือใจฉันกำลังสั่นเพราะเสียงขานชื่อแบบนั้นของเขา
‘ทะ ท่าน…ท่านอสุรา…อึก…’ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก
แต่ฉันก็ไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรและเกิดขึ้นเพราะอะไร
โดยเฉพาะคำพูดของแม่จันทน์ผาซึ่งฟังคล้ายกับเป็นการรับสารภาพ ‘หม่อมฉันทำเองเจ้าคะ...อึก...หมะ หม่อมฉันฉกฉวยประดับชิ้นนี้มาด้วยมือหม่อมฉันเอง...’
คำสารภาพที่เธอเลือกไว้แล้วว่าต้องการจะบอกกล่าวกับผู้ใดมากที่สุด…
‘หะ หากทับทิม…เม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ…ยะ
ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้…อึก…’ ทั้งที่สถานการณ์ทั้งหมดลงเอยแบบนั้น
แต่คำพูดของแม่จันทน์ผากลับแฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่าง
แม่จันทน์ผาไม่ใช่เพียงแค่พูด
แต่เธอยังทำเรื่องอันไม่สมควร ใช้มืออีกข้างที่ยังเหลือเรี่ยวแรงพุ่งเข้าคว้ากับชายหน้าเครื่องทรงบนตัวท่านอสุราไว้แน่น
ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปเสียก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยจบ
‘ฮึก…ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา
ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮือออ’
แต่เพราะพฤติกรรมดังกล่าว
อาจเป็นเรื่องไม่สมควรที่จะปฏิบัติต่อผู้เป็นนายล่ะมั้ง
ทันทีที่สิ้นเสียงร่างของเธอจึงเหล่านายทหารช่วยกันฉุดกระชากตัวให้ถอยห่างจากองค์เหนือหัวที่พวกตนจงรักภักดี
ก่อนตามมาด้วยการลงหวายฟาดเข้าที่กลางลำตัวราวกับเป็นการลงโทษ
เพียะ!
‘หะ ให้อภัยหม่อมฉันเถอะนะเจ้าคะ…อึก หม่อมฉันผิดไปแล้ว ฮืออออ’ จากการหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสี่ที
จนทั่วห้องยามนี้เริ่มดังระงมไปด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับเสียงร่ำไห้
เพียะ! เพียะ!
‘ท่านอสุรา…ฮึก…’ ท่ามกลางเสียงหวีดร้องปานหัวใจสลายของแม่จันทน์ผา
วูบหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็นสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวดของท่านอสุราที่เผลอแสดงออกขณะกำมือของตนลงแน่นจนสั่น
‘ฮืออ…ท่านอสุราเจ้าขา ให้อภัยหม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ ฮืออ’
แต่ก็แค่นั้น เพราะสิ่งที่ท่านอสุรากระทำท่ามกลางเสียงร้องเรียกหาระคนเจ็บปวด
มีแค่การยืนจับจ้องร่างของผู้ถูกเฆี่ยนตีด้วยหวายในอาการนิ่งงันแต่เพียงเท่านั้น เกือบครู่หนึ่งได้ล่ะมั้งที่เขายืนมองภาพของแม่จันทน์ผาขณะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี
ก่อนตัดสินใจเบือนสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันหลังกลับไปทางประตูที่เดินเข้ามา
ซ้ำยังเอ่ยปากสั่งเป็นหนสุดท้าย
ก่อนจะตัดสินใจเดินทิ้งความเจ็บปวดของนางสวรรค์ที่ได้มองเห็นออกจากห้องโถงไป
‘ลงโทษนางเสียให้เข็ดหลาบ จักได้มิมีผู้ใดนครกล้ากระทำเป็นเยี่ยงอย่าง’
สิ้นเสียงกังวานสั่ง ภาพของเหล่านายทหารรูปร่างกำยำ รวมถึงนางฟ้านางสวรรค์หลากหลายตนเบื้องหน้าก็ค่อยๆ อันตรธานหายไปทีละคนสองคน เช่นเดียวภาพบรรยากาศรอบตัวที่ค่อยจางลงกลับคืนสู่ความดำมืดอีกครั้ง
ด้วยเหตุนั้นสายตาที่เคยมองเห็นทุกสิ่งรอบตัว จึงถูกปรับโฟกัสใหม่ หันเหทิศทางไปจากร่างเล็กซึ่งตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
แม่จันทน์ผายังคงนอนหมอบแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยท่วงท่าเดียวกับตอนที่ถูกลงหวายเข้าใส่ตามเนื้อกาย ซึ่งนั่นรวมไปถึงเสียงสะอื้นไห้ ที่ราวกับว่าความเจ็บที่ได้เห็นเมื่อครู่ ยังคงติดตรึงอยู่บนเนื้อตัวเธอไม่เคยจางหาย
‘หากยามนั้น จดจำกันได้แม้แต่เพียงสักนิด…ฮึก…’ หากแต่เสียงคร่ำครวญบอกความต้องการของเธอก็ไม่วายถูกเสียงของฉันถามขัดคั่น
‘เธอทำแบบที่ถูกกล่าวหาจริงๆ
น่ะเหรอจันทน์ผา…’ และการส่งเสียงถามแทรกออกเช่นนั้น
มันก็ทำให้ผู้ที่ได้ยินหยุดเสียงสะอื้นของตนลงไปชั่วขณะหนึ่ง
แม่จันทน์ผาที่ฉันมองเห็นไม่พูดอะไรตอบกลับมา
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะไม่ได้ให้คำตอบเสียที่ไหน
เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงตอบรับกลับมา คือการพยักหน้าน้อยๆ
ในลักษณะนาบหน้าติดลงกับพื้น
‘ทำไมล่ะ…เพราะเขาจำเธอไม่ได้เลยงั้นเหรอถึงต้องขโมยของอะไรนั่นมาน่ะ !?’ อีกหนและอีกหนที่ฉันส่งเสียงแบบไม่นับจำนวนคำถาม ‘ทำไมเขาถึงจำเธอไม่ได้เลยล่ะ ในเมื่อท่านอสุราน่ะ
เขาจำเรื่องที่ลงไปเก็บดอกบัวกับเธอได้ไม่ใช่หรือไง!’
หากแต่หลาบคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
กลับไม่ได้รับการตอบกลับใดกับมาไม่ว่าจะทางกายหรือวจี
‘จันทน์ผา! ทำไมล่ะ!?’
ทั้งที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังถามไม่ยอมหยุด
‘ตอบสิ เธอรู้อะไรมาใช่ไหม จันทน์ผา! ’ สิ้นเสียงเรียกชื่อตัวตนของตัวเองในอดีต สิ่งที่บังเกิดขึ้นตรงหน้าแบบไม่ทันให้เตรียมตัวเตรียมใจกลับกลายเป็นแสงสว่างจ้าที่สาดส่องเข้ามา
ทั้งที่ในตอนแรกรู้สึกอย่างหลบหนีออกไปจากความดำมืดเบื้องหน้าแท้ๆ ทว่า เมื่อแสงสว่างสีทองปรากฏขึ้น ฉันกลับเลือกที่จะพุ่งตัวเข้าหาหญิงสาวสาวเบื้องหน้า มากกว่าที่จะปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อหวังจะอยู่ต่ออีกสักนิด เพื่อไถ่ถามหาคำตอบที่ยังติดค้างอยู่ในใจ ทว่า…
แม้จะสามารถคว้าข้อมือเรียวขนาดพอๆกันของอีกฝ่ายเอาไว้ได้
แต่เรี่ยวแรงสำหรับใช้ฝืนต่อปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่อาจเทียมทานได้ไหว
เพราะเมื่อทันทีที่แสงสีทองสาดส่องลงมายังเราทั้งคู่
ร่างกายฉันก็คล้ายกับถูกเรี่ยวแรงมหาศาลเหวี่ยง
พลอยให้มือที่เธอกุมข้อมือแม่จันทน์ผาหลุดออกจนเราทั้งคู่มีอันต้องแยกจากกันในที่สุด
ภาพสุดท้ายก่อนที่แสงสีทองจะกลืนกินความมืดหมดให้เลือนหายไปนั้น
คือภาพใบหน้าเศร้าสร้อยของตัวฉันเอง หากแต่อยู่ในสภาพเดียวกันกลับแม่จันทน์ผา
พร้อมเสียงหวานแสนเศร้าก่อนที่ร่างทั้งร่างจะเริ่มทิ้งดิ่งลงจากความสูงที่ไม่ทราบระดับ
‘สิ้นหวังแล้วเจ้าค่ะ... มิต้องตามหาฉันแล้วนะเจ้าคะ…’
นี่คงเป็นอีกครั้ง ที่ทุกสิ่งรอบตัวนิ่งสนิทไปหลังจากถูกแสงสีทองเคลื่อนเข้ากลืนกินทุกสิ่งจนสว่างวาบไปทั่วทุกอณู ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่หูกลับยังได้ยินเสียงของเครื่องสายจำพวกซอ แว่วผ่านเข้ามาให้ได้ยินอยู่ดี หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกแตกต่างจากภาพเหตุการณ์สุดแสนระทึกที่ได้เผชิญมา ก็คงเป็นเป็นเปลือกตาหนักๆ ของฉัน ซึ่งกำลังปรือขึ้นและพาตัวเองกลับสู่โลกความจริง
สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าหลังเปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้ง
คือเพดานสีหมองภายในห้องสี่เหลี่ยมแสนคุ้นตาภายในบ้านซึ่งถูกปิดไฟ ไม่ใช่ภายเหตุการณ์วุ่นวายภายในร้านอาหารอย่างที่ควรจะเป็น
และฉันจำไม่ได้ว่าทำไมตัวเองถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้ ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้มันเสียทุกครั้ง หลังภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาให้ระลึกถึง
มันเหมือนว่าทุกครั้งฉันต้องหลับลึกและฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้น
ซึ่งในทุกครั้งที่หลุดออกมาได้ ก็มักจะมีความรู้สึกหรือเศษเสี้ยวบางอย่างติดตัวมาด้วยเสมอๆ
ซึ่งนั่นรวมไปถึงคำถามในใจที่เพิ่มขึ้นมากกว่าจะลดลง…
โดยเฉพาะกับคำพูดแปลกๆนั่น
‘สิ้นหวังแล้วเจ้าค่ะ
มิต้องตามหาฉันแล้วนะเจ้าคะ…’
แม้หลายสิ่ง
หลายสถานการณ์ที่ได้มองเห็นยังคงติดอยู่ในความคิดกับความรู้สึกจนเกิดเป็นหลายๆ
คำถาม แต่เพราะเสียงซอที่แว่วให้ได้ยินอยู่นั้น คงดังอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ฉันควรทำคือการขยับลุกตัวขึ้นจากความนิ่มของเตียงนอน
ทว่า มันกลับเป็นฉันเสียเองที่ต้องรู้สึกตกใจ เมื่อพบว่ามือข้างถนัดที่ตั้งท่าจะยกขึ้นดึงผ้าห่มผืนหนาซึ่งปิดทับร่างกายให้หลุดออกดันถูกมือของใครคนหนึ่งกุมเอาไว้จากทางข้างเตียงแน่น
กึก…
ใครคนนั้นแต่งกายด้วยชุดตามแบบสมัยนิยมเช่นเดียวกับที่เคยเห็นในร้านอาหาร
แสงไฟเพียงเล็กน้อยที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเข้ามา
ทำให้ฉันมองเห็นเสี้ยวหน้ายามหลับของเขาได้ แม้ไม่ชัดนักแต่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
อีกสิ่งที่หันเหสายตาให้เหลือบมองได้นอกเหนือจากเสี้ยวหน้าของเขายามฟุบหลับนั้น
ก็คงเป็นสมาร์ทโฟนราคาแพงที่จู่ๆ ก็สว่างวาบขึ้น
พร้อมด้วยข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างต่อเนื่อง
ผู้จัดการ : เขตแดนคุณหายไปไหน
ผู้จัดการ : นี่มันเกินเวลางานแล้วนะครับ
ผู้จัดการ : เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่าครับคุณเขตแดน
และใช่…
เขาคนนี้ที่กำลังกุมมือฉันขณะหน้าฟุบหน้าหลับอยู่ข้างเตียงคือเขตแดน
แม้จะหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขตแดนถึงมานอนหลับอยู่ข้างเตียงได้แบบนี้
ถึงอย่างนั้นพอได้มองเสี้ยวหน้าของเขายามหลับในระยะใกล้ๆ แบบนี้
มันพลอยทำให้นึกหวนเรื่องราวระหว่างเราในอดีตขึ้นมา
ทุกครั้ง
ฉันเอาแต่พยายามหนีและเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าเขามาโดยตลอดนับตั้งแต่เราเลิกกัน
อย่างไรแล้วฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่เราไม่ได้พบหน้า
ฉันยังคงนึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ที่ต้องทำงานเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้
นอกจากเรื่องฐานะทางบ้านที่ประสบปัญหาแล้ว
เขานี่แหละก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันทำงานไม่ยอมหยุดพักเพื่อคิดอื่นเหมือนกัน
แต่แล้วจังหวะที่ร่างกายเผลอคล้อยตามห้วงความคิดในอดีต
จนเผลอใช้มือข้างที่เหลือแตะสัมผัสลงบนโครงหน้าของอีกฝ่ายอยู่นั้น
เสียงหวานของซอที่เคยดังแว่วให้ได้ยินก็ขาดหายไป
หากแต่นั่นดันตามมาด้วยเสียงถามไถ่แสนคุ้นหู
“ตื่นแล้วงั้นรึ
แม่ทับทิม…” และการถูกทักแบบนั้น มันก็ทำให้ปลายนิ้วที่เคยเคลื่อนสัมผัสไปตามโครงหน้าเขตแดนมีอันต้องหยุดชะงักลงทันที
พร้อมกับสายตาที่รีบช้อนมองขึ้นไปยังเจ้าของเสียงทักโดยอัตโนมัติ
ท่านอสุราไม่ใช่แค่ทักเอ่ยทักเท่านั้น
แต่เขายังเลือกที่จะก้าวเท้าเดินเข้ามาภายในห้องพร้อมด้วยซอซึ่งทำจากงาช้างสีขาวสะอาดตาในแบบที่ฉันเคยเห็นในภาพฝัน
และการเห็นเขาเดินเข้ามาหานั้น มันก็ทำให้ฉันได้คำตอบในทันที
ว่าใครคือผู้เป็นเจ้าของเสียงซอที่ได้ยินเมื่อครู่
“บุรุษชนตนนี้ อยู่เฝ้าเคียงชิดใกล้แม่ทับทิมเช่นนี้นับตั้งกลับมาถึงเรือน
อย่าลืมขอบใจเขาเสียหล่ะ...” อีกหนที่ท่านอสุรากล่าวขึ้นเมื่อก้าวพาตัวเองมาหยุดขนาดข้างกับเขตแดนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นในสภาพฟุบหน้าแนบลงกับเตียง
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไรก็ตามที ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ฉันเลือกที่จะใช้โต้ตอบคำพูดดังกล่าวกลับเป็นประโยคอื่น
“ฝีมือท่านอีกแล้วใช่ไหมเจ้าคะ
ที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้…”
ตอนถามน่ะ
ฉันไม่ได้มองหน้าเขาหรอกนะ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม แต่ไม่ใช่กับหู
ที่ยังรอคอยฟังการตอบกลับมาของท่านอสุราอย่างใจจดใจจ่อ
“ใช่
ทั้งหมดนั่นเกิดจากน้ำมือเราทั้งหมดทั้งสิ้น…” ฉันเม้มปากลงแน่นเมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น
ขณะเดียวกันในหัวก็พยายามนึกหาคำถามดีๆ เพื่อใช้โต้ตอบกลับไปด้วยเช่นกัน แต่ว่า
มันก็เป็นท่านอสุรานั่นหล่ะที่เอ่ยแทรกขึ้นด้วยเองเสียก่อน “แม่ทับทิมเห็นใช่หรือไม่
ภาพของตนเองเมื่อครั้งอดีต ?”
มันเลยพลอยให้คำถามที่เตรียมไว้มากมาย
ลดเหลือเพียงสองวลีสั้นๆ
“เจ้าค่ะ…” แต่ก็ไม่ทันได้ขานรับคำจนสิ้นเสียงเสียงดีนัก มันก็เป็นอีกครั้งที่ฉันต้องสะดุ้ง
เมื่อเจ้าของคำถาม เลือกที่จะทิ้งตัวลงนั่งบริเวณปลายขาทั้งที่ยังถือเครื่องดนตรีไทยไว้ในมือ
ขณะใช้ฝ่ามือข้างที่เหลือของตนเอง วางทาบลงสัมผัสขาฉันผ่านผ้าห่มผืนหนาอย่างถือโอกาส
การกระทำแบบนั้นส่งผลให้ฉันเผลอช้อนตามองหน้าเจ้าของสัมผัสดังกล่าวแบบไม่ตั้งใจ
ก่อนพบว่าท่านอสุราเองก็กำลังมองจ้องกลับมาเช่นกัน และวินาทีที่เราสบตาต่อกันนั้น
รอยยิ้มเล็กๆ หากแต่ไม่ได้แฝงไว้ด้วยความสุขก็บังเกิดขึ้นบนใบหน้าเขา พร้อมคำถามสั้นๆ
“แปลกรึ หากพี่แตะเนื้อต้องตัวแม่ทับทิมเช่นนี้
แม้นจักรู้ดีว่าแม่ทับทิมหาใช่คนรักพี่ดั่งที่ปักใจเมื่อคราแรก…” แต่ว่าคำถามของเขาก็ใช่จะต้องการคำตอบจากฉันเสียที่ไหน “หากแม่ทับทิมรู้สึกเช่นนั้น เห็นทีพี่เองก็คงรู้สึกมิต่างกัน”
“…” และมันน่าตลกที่เขายังแทนตัวใส่ฉันว่าพี่ทุกคำ เหมือนกับช่วงเวลาที่เขาใช้แทนตัวกับแม่นิมมานรดี ถึงจะบอกแบบนั้นก็เถอะ แต่ขณะเดียวกันมันก็ยังรู้สึกจุกในอกอย่างไม่อาจหาเหตุผลเช่นกัน
“ความรู้สึกเช่นนี้
หาได้เกิดขึ้นกับพี่เพียงแค่ชั่วยามนี้หรอกหนา หากแต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหนหนึ่ง
ครั้งเมื่อในนครมีการลงโทษต่อผู้ผู้ประพฤติผิด…”
ลงโทษผู้ประพฤติผิดงั้นเหรอ…
“ในครานั้น พี่มิอาจปล่อยผ่าน ผ่อนผันโทษทัณฑ์ของผู้กระทำผิดได้ เนื้อนวลของผู้ผิดยามนั้นจึงเต็มไปด้วยบาดแผล และตามมาด้วยพิษไข้หลังถูกสำเร็จจนสิ้นสติ…” ครู่หนึ่งที่ท่านอสุราเงียบเสียงลง ซ้ำยังเป็นฝ่ายหลุบตาหลบไปด้วยตัวเอง สีหน้าของเขายามนี้ถูกฉาบไว้ด้วยความลังเลของคนซึ่งรู้สึกผิด ราวกับสิ่งที่กำลังบอกเล่าอยู่นั้นเป็นเรื่องไม่สมควร
เขาใช้เวลาเงียบไปครู่หนึ่งได้ล่ะมั้ง ถึงได้ยอมเลื่อนสายตากลับมามองหน้ากันอีกครั้ง แล้วกล่าวในสิ่งที่ที่ยังค้างค้างอยู่ในอก
“แม่ทับทิมว่า มันน่าขันหรือไม่ หากผู้ที่แอบลอบอยู่เฝ้าไข้คนผิดในยามนั้น
คือตัวพี่เอง”
“ทะ ท่านหมายถึง แม่จันทน์ผาหรือเปล่าเจ้าคะ ?” แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าคนที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของตนเองกับนางอัปสรรับใช้ในวังอย่างหัวชนฝาเช่นเขา จะตอบกลับมาแบบนี้
“แล้วสิ่งที่แม่ทับทิมมองเห็นในนิมิตเล่า มิใช่ภาพของแม่จันทน์ผาหรอกรึ ?”
ถึงอีกฝ่าย จะไม่ได้ตอบกลับมาแบบตรงๆ
กระนั้นแล้วสิ่งที่ได้มา มันก็ชัดมากพอสำหรับคำตอบที่ฉันต้องการ ซึ่งในทางกลับกันพอได้รับการคำตอบเช่นนั้น
ผู้ที่เริ่มทำตัวไม่ถูกหลังจากนั้นกลับกลายเป็นฉันเสียเอง
“ทะ ท่านพบเจอแม่นิมมานรดีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ…”
จนเผลอเป็นฝ่ายตั้งคำถามด้วยตัวเองขึ้นเป็นหนที่สอง “แล้วทำไม...ถึงยังให้ฉันมองเห็นภาพในอดีตของแม่จันทน์ผาอยู่อีกล่ะ”
เช่นเดียวกับผู้ถูกถามซึ่งแสดงอาการลังเลผ่านสีหน้าให้ได้เห็น พร้อมๆ กับน้ำหนักมือที่เพิ่มมากขึ้นขณะขาทิ้งมันลงบนผ้าห่นมาสู่ขาฉัน รวมถึงคำพูดอุบอิบ
ไม่เต็มเสียงสมเป็นเขาสักเท่าไหร่
“พะ เพราะถ้อยคำของแม่ทับทิมระหว่างเจรจาเมื่อครานั้น มันชวนให้พี่นึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างไรเล่า…”
คำพูดของฉันอย่างนั้นเหรอ…
ไม่รู้ว่าตอนที่ได้ฟังคำตอบจากปากเขาในลักษณะนั้น
ฉันนั้นเผลอแสดงสีหน้าออกไปรูปแบบไหน มันเลยทำให้คนตัวใหญ่ซึ่งกำลังจ้องมองกันผ่านความมืดภายในห้อง
กล่าวขึ้นด้วยตัวเองเป็นหนที่สอง
“เพราะฉัน…ชอบท่านอสุรามากๆ ยังไงล่ะคะ…” และด้วยคำพูดบ้าๆ ที่ถูกเรียบเรียงผ่านเสียงของเขา
มันก็เล่นเอาผู้ที่ได้ฟังเกิดอาการร้อนวูบไปทั่วทั้งหน้าได้แทบทันที จนพานให้พูดอะไรต่อไม่ถูก ครั้นจะปฏิเสธก็คงทำไม่ได้ ในเมื่อประโยคๆ
บ้าที่ท่านอสุราพูดน่ะ
‘ว่าแต่วันนี้ทับทิมดูแปลกๆ ไปนะจ๊ะ ทำไมอยู่ๆ
ถึงอยากรู้เรื่องอะไรพวกนี้ขนาดนั้นล่ะ ?’
ฉันเป็นคนพูดมันออกมาด้วยตัวเองทั้งนั้น…
‘เพราะฉันชอบท่านอสุรามากๆ
ยังไงล่ะคะ…’
“ตลอดหลายหมื่นชั่วยามที่พ้นผ่านมา
ยังคงมีบางสิ่งติดอยู่ในกมลความคิดมิคลายลงไปตามเพลาที่เวียนผ่าน พี่ยังคงนึกหวนถึงแว่วเสียงหวานของนางอัปสรตนอื่นนอกเหนือจากคนรัก…” อีกหนที่ท่านอสุรากล่าวขึ้นหลังจากเงียบไปครูหนึ่ง ดึงฉันให้สะดุ้งจากภวังค์ความคิด เหลือบมองหน้าผู้พูดอีกครั้ง
แม้ทั่วหน้ายังไม่คลายอาการร้อนวูบลงเลยก็ตาม “กระนั้นแล้ว ความรู้สึกดังกล่าวก็มิอาจเกินเลยไปกว่าห้วงความคิด
พี่ยังคงปักใจ หลงรักแก้วตาดวงใจที่ใฝ่หาเพียงนางเดียวตลอดมา”
“ถะ ถ้าอย่างนั้น… อะไรที่ยังติดอยู่ในความคิดท่านหลังได้ยินฉันพูดประโยคนั้นหรือเจ้าคะ ?”
“แม่จันทน์ผา”
และนั่นดูเหมือนคือคำตอบของทุกสิ่งที่ฉันสงสัย แม้ว่าคำตอบเพียงไม่กี่วลีของท่านอสุรานั้น
จะชัดเจนสำหรับทุกอย่างที่ฉันสงสัยตลอดการพูดคุยและรับฟังในครั้งนี้ก็ตาม ถึงอย่างนั้นภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ได้เห็นภาพนิมิตมานั้น
มันก็อดไม่ได้ที่จะพูดดักคอ
และแฝงไว้ด้วยการประชดประชัน...
“บางทีท่านอาจจะรู้สึกผิดที่เคยทำเรื่องไม่ดีกับเธอไว้ก็ได้ ถึงได้ยังรู้สึกแบบนี้...”
“ทำเรื่องมิดีงั้นรึ
?” เขาย้อนด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เจ้าค่ะ… ภาพนิมิตที่ท่านดลบันดาลให้ฉันเห็นน่ะ
ทั้งหมดนั่นมันรวบรวมความเจ็บปวดของแม่จันทน์ผาไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น
ฉันไม่เคยรู้สึกถึงความสุขที่ออกมาจากตัวเธอเลยแม้แต่นิด…” พอฉันเริ่มเป็นฝ่ายพูดบ้าง
คนฟังก็เริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
ไม่ว่าจะสีหน้าที่ดูคล้ายกับกำลังรู้สึกผิด
หรือแม้แต่ฝ่ามือที่เขาเคยวางทับลงมาผ้าห่ม “โดยเฉพาะกับช่วงเวลาที่เธอถูกพวกเหล่าทหารเฆี่ยนตี แม้จะยอมรับสารภาพ”
“…”
“ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น
แต่ทุกอย่างที่ฉันเคยรับรู้มา มันเหมือนกับผิดเพี้ยนไปหมด
ไม่ว่าจะเรื่องราวของตัวท่านกับหญิงคนรัก หรือแม้แต่อุปนิสัยของท่านที่ฉัน…”
พอพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ
เสียงที่เคยดังเป็นปกติก็ขาดหายลงดื้อๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ราวกับว่าสิ่งที่ต้องพูดหลังจากนี้เป็นเรื่องยากเย็นที่จะหลุดผ่านปากอย่างไรก็อย่างนั้น
“อุปนิสัยพี่งั้นรึ ?”
แต่เมื่อถูกย้อนด้วยคำเสมือนกดดัน ท้ายที่สุดแล้วคำพูดยากๆ
ที่ว่านั่น จึงยอมหลุดลอดผ่านปากจนได้
“เจ้าค่ะ...อะ อุปนิสัยของท่านที่ฉันเคยชอบน่ะ…” และการพูดออกไปแบบนั้น
มันจึงให้ช่องว่างระหว่างเราเกิดเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ทั้งที่บทสนทนาระหว่างเราควรจะจบลงไปทั้งๆ
อย่างนั้น แต่ความรู้สึกลึกๆ ก็ยังไม่วายให้สมองสั่งปากขยับ
เอ่ยความรู้สึกแทนตัวฉันอีกคนเพื่อย้ำความรู้สึกหลังได้พบเจอเหตุการณ์ในอดีตอยู่ดี
“ท่านใจดำ…กับแม่จันทน์ผามากๆ เลย
รู้ตัวหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
“หากแม่ทับทิมกล่าวถึงเรื่องโทษทัณฑ์ที่มิได้ถูกผ่อนผันตามคำสารภาพผู้ผิด
พี่เองก็เองขอน้อบรับคำปรามาสนั่นด้วยใจ”
“…” ทำไมล่ะ ทั้งที่เลือกจะต่อว่าเองแท้ๆ แต่พอต้องมาได้ยินเสียงตอบรับแบบไร้ข้อแก้ตัวของเขา คนรู้สึกจุกเสียเองกลับกลายเป็นฉันเสียได้!
มิหนำซ้ำเรื่องที่เรากำลังคุยกันอยู่ขณะนี้มันก็ให้ความรู้สึกค่อนข้างแปลก
เหตุผลก็คงเพราะ หัวข้อสนทนาระหว่างเรามันดันตรงกับภาพจากนิมิต เสมือนอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่า ฉันได้ไปพบกับอะไรมาบ้าง...
“ประดับผมทับทิมชิ้นนั้น
ถูกมั่นหมายยกให้แก่หญิงผู้เป็นรักแรกพบสบตาในคืนก่อนวันอภิเษกมาถึง
หากแต่กลับถูกคนในขโมย หมายครอบครองเป็นเจ้าของ เช่นนี้แล้วหากพี่มิลงโทษให้เข็ดหลาบ
ผู้อื่นคงมิแคล้วกระทำเป็นเยี่ยงอย่างเป็นแน่…”
“มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ
ที่ประดับชิ้นนั้นจะถูกขโมย!” ในเมื่อสถานการณ์และบทสนทนาระหว่างเราลงเอยในรูปแบบนี้
ฉันคิดว่ามันคงไม่ผิดอะไร
หากคำพูดที่ใช้ตอบเขากลับไปนั้นจะเป็นการพูดเข้าข้างผู้ที่น่าสงสารในภาพที่นิมิตที่ได้เห็น
‘หะ หากทับทิม…เม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ…ยะ ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้…อึก…ฮึก…ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ
ฮือออ’ ยิ่งด้วยเสียงร่ำไห้อันน่าสังเวชของแม่จันทน์ผาดังแว่วขึ้นในหัวด้วยแล้ว
ปากก็ยิ่งไม่ยอมหยุดขยับลงง่ายๆ
“ในเมื่อผู้หญิงที่ท่านต้องพบสบตาจนเกิดเป็นความรักน่ะ
มันคือแม่จันทน์ผาไม่ใช่แม่นิมมานรดี” รู้ตัวอีกทีช่องว่างระหว่างคำพูดของเราก็ถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศของความเงียบไปเสียแล้ว
กึก…
ไม่รู้ว่าว่าเมื่อครู่ฉันพูดเสียงดังเกินไปหรือเปล่า
นั่นเลยทำให้ใครอีกคนซึ่งกำลังนั่งฟุบหน้าหลับอยู่ข้างเตียงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับผ่านฝ่ามือที่กำกระชับมือฉันจนแน่นขึ้นกว่าเคย
จนต้องรีบลดสายตามองไปยังใครคนนั้นอย่างเสียไม่ได้ ก่อนพบว่าเขตแดนในตอนนี้นั้น ยังคงฟุบหน้าหลับสนิทในท่วงท่าเดิม
เว้นเพียงแต่มือเท่านั้นที่ขยับ ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากละเมอ
“แท้จริงแล้ว แม่จันทน์ผาเองก็เคยกล่าวไว้เช่นนั้น…” หากแต่ความสนใจที่มีต่อเขตแดน
ก็ไม่อาจคงอยู่ได้นาน เมื่อท่านอสุรากล่าวแทรกผ่านความเงียบขึ้นอีกครั้ง “หากว่าแม่จันทน์ผาคือแก้วตาดวงใจที่พี่พบรัก ไฉนเลยที่ผ่านมาพี่จึงไม่รู้สึกถึงเรื่องราวพรรค์นั้นแม้แต่เพียงสักนิด”
นั่นสิทำไมล่ะ…
ถ้าหากคนที่ท่านอสุราเจอจนเกิดเป็นความรักนั้นคือแม่จันทน์ผา แล้วทำไมเมื่อได้พบกันอีกท่านถึงจำไม่ได้ว่านางอัปสรที่อยู่บนเรือพายในสระด้วยกันตอนนั้นคือใคร
เป็นเพราะแม่จันทน์ผาโกหกว่าตัวเองคือนิมมานรดีงั้นเหรอ เรื่องราวมันถึงได้ลุกลามใหญ่ขนาดนี้ ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะแต่ว่า...
ลำพังแค่เพียงลมปาก หากต้องพบหน้าค่าตากันบ่อยครั้ง ท้ายที่สุดแล้วท่านอสุราก็ควรต้องรับรู้ได้สิ ว่าจริงๆ แล้วผู้ที่ท่านพบเจอที่สระบัวคือใคร ต่อให้แม่นิมมานรดีกับแม่จันทน์ผาจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันก็ตามที
‘จำฉัน…ได้หรือเปล่า เจ้าคะ…’ แถมทุกครั้ง ในภาพนิมิตแม่จันทน์ผาเองก็เอาแต่เอ่ยกล่าวให้ได้ยินแต่ประโยคพวกนั้น
‘หากยามนั้น จดจำกันได้แม้แต่เพียงสักนิด…ฮึก…’
ทำไมล่ะ หรือเพราะเธอก็รู้ว่าท่านอสุราจดจำตัวเองไม่ได้เหมือนกัน...
‘หากมิเถียงและเอาแต่เฝ้ารอคอย มิว่าชาตินี้หรือชาติไหน ปรารถนาในอกก็คงมิประสบผลจริงหรือไม่เจ้าคะ…’ จริงด้วยสิ ตอนที่แม่จันทน์ผาเถียงกับพี่สาวในภาพนิมิต เธอเคยพูดเอาไว้แบบนี้นี่นา
แล้วก็ตอนนั้นอีก...
‘ทนอีกนิดเถิดหนาจันทน์ผา อีกไม่กี่เพลา
ท่านอสุราจักมาแล้ว…’ ตอนที่เสียงในอกของแม่จันทร์ผาดังแว่วให้ฉันรับรู้ถึงความปรารถนาของตัวเองขณะถูกลงโทษให้ยอมปริปากรับสารภาพ
ทั้งที่เจ็บปวดจนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทนฝืน
แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บความจริงไว้เพื่อเฝ้ารอ ‘ทนอีกนิดเถิดหนาร่างกาย
อีกเพียงนิดเท่านั้น…’
‘ทะ ท่าน…ท่านอสุรา…อึก…หม่อมฉันทำเองเจ้าคะ...อึก...หมะ
หม่อมฉันฉกฉวยประดับชิ้นนี้มาด้วยมือหม่อมฉันเอง...’
รอที่จะได้สารภาพทุกความจริงให้แก่ท่านอสุราได้รับรู้
‘หะ หากทับทิม…เม็ดงามควรค่าแก่ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ…ยะ ยามต้องรักแรกพบดั่งวาจาที่ท่านลั่นวาจาไว้…อึก…ฮึก…ได้โปรดเถอะนะเจ้าคะท่านอสุรา ได้โปรดยกปิ่นปักผมทับทิมชิ้นนี้ให้หม่อมฉันเถอะเจ้าค่ะ
ฮือออ’ หรือว่าแท้จริงแล้ว
เหตุผลที่เธอตัดสินใจขโมยเครื่องประดับชิ้นนั้น ก็เพียงเพื่อได้พูดในสิ่งที่ตัวเองเฝ้ารอคอยมาโดยตลอด
‘พี่นิมมานรดีเจ้าขา… น้องเพียงหมายบอกกล่าวความจริงต่อองค์เหนือหัวแต่เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถิดนะเจ้าคะ…’ แต่เพราะคำสารภาพและความปรารถนาทั้งหมดที่ตั้งใจไว้ มันดันส่งไปไม่ถึงคนฟังดั่งอย่างที่หวังไว้
แม่จันทน์ผาถึงได้พูดเหมือนกับคนถอดใจออกมานั้น
‘สิ้นหวังแล้วเจ้าค่ะ มิต้องตามหาฉันแล้วนะเจ้าคะ…’
-เขตแดน กล่าว-
ผมเป็นคนพูดเก่ง…
พูดได้ทุกเรื่องและสามารถสะกดคนฟังให้สนใจได้นับตั้งแต่วลีแรกจวบจนพยางค์สุดท้าย
ความสามารถในการชักจูงใจคนฟังให้คล้อยตามนั้น เรียกว่าเก่งเป็นระดับต้นๆ
พวกเขาเชื่อผมทุกคำพูด ไม่ว่าสิ่งที่เพิ่งหลุดผ่านปากนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก
‘มะ เมื่อก่อนนายเคยชื่อวิรุฬเหรอ ?’
‘เออ ทำไมอ่ะ ชื่อเก่าฉันมันตลกเหรอ ?’ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นรวมถึง เรื่องของเรา ‘ฉันโคตรไม่ชอบชื่อเก่าเลยรู้ไหม
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน…อีกอย่างสมัยที่ใช้ชื่อนี้น่ะ
ฉันชอบนอนฝันเห็นเรื่องน่ากลัว’
‘เรื่องน่ากลัวเหรอ
?’
‘เออดิ…ถึงตอนนี้จะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าฝันอะไรไว้บ้าง
แต่ที่ยังรู้สึกอยู่เวลานึกถึงคือเลือดหรือบึงนี่แหละ เพราะฝันเวรๆ
เนี่ยสมัยเด็กฉันก็เลยกลัวน้ำไปเลย…’
ไม่ว่าจะตอนนี้ ตอนสมัยเรียน…
‘ผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ มีตั้งเยอะทำไมมึงถึงอยากพนันกับกูเพราะผู้หญิงคนนั้นวะแดน
?’
‘ทับทิมน่ะเหรอ?’
‘เออ เด็กปีหนึ่งหนึ่งคณะเราแม่งก็เฉิ่มไม่แพ้กัน
ไม่ไม่เลือกน้องคนนั้นแทนวะ จะได้ไม่ต้องเดินข้ามตึกคณะ’
‘กูแค่…อยากเอาคืนมั้ง’
‘เอาคืนอะไรวะ เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ ?’
หรือแม้แต่เรื่องราวในอดีตระหว่างเรา…
‘ไอ้วิรุฬผู้นี้ทำงานมาเหน็ดเหนื่อย พอจักมีน้ำสักขันให้พี่ดื่มแก้กระหายบ้างหรือไม่จ๊ะ แม่จันทร์ผา ?’
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น