ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #17 : กลรักอสุรา l บทที่๑๕ ตอน ชั่งใจ {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.43K
      133
      24 ม.ค. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *




    บทที่๑๕
    ตอน ชั่งใจ


    ภาษาแปลกตาแต่มากล้นด้วยเสน่ห์ทำเอามือที่เกือบจะพลิกหน้ากระดาษหยุดนิ่งไป ก่อนเคลื่อนฝ่ามือและปลายนิ้วสัมผัสลงบนตัวอักษรที่ปรากฏต่อสายตาได้ราวกับมีแรงดึงดูด เช่นเดียวกับในหัวที่เริ่มประมวลถอดถ้อยคำแปลตัวหนังสือของแต่ละวรรคให้กลายมาเป็นภาษาที่เข้าใจได้โดยง่ายในยุคปัจจุบัน 

    อันดวงโกสุมปทุมมาลย์  ไร้ซึ่งกลิ่นหอมหวานดั่งบุปผา

    มิหอมหวนเฉกเช่นเนื้อกานดา พี่ต้องตาแรกรักปักดวงใจ

    เรือลำเล็กวนว่ายเหนือธารา วอนวายุนำพาห้วงความนัย

    วานสายธารร้องบอกต่อดวงใจ บุษยาพี่มอบให้ด้วยใจจริง

    พอถอดความจากอักษรโบราณมาถึงตรงนี้ อาการชาก็เริ่มกัดกินไปทั่วหน้าอย่างไร้สาเหตุและที่มา ถึงอย่างนั้น สายตาก็ไม่ยอมละลดจากตัวอักษรโบราณตรงหน้าอยู่ดี

    บุษยาพี่มอบให้ด้วยใจจริงงั้นเหรอ

    เราหาได้เลือกบัวดอกนี้ เพื่อให้เจ้านำไปถวายพระพี่ชายเราไม่ หากเรามอบบัวดอกนี้ให้เจ้า แม่นิมมานรดีจักชื่นชอบบัวดอกนี้มากขึ้นบ้างหรือไม่ ?…’ นอกจากอาการชาที่เริ่มกระจายกว้างจนเต็มพื้นที่บนใบหน้าแล้ว ในหัวยังเผลอนึกถึงคำพูดซึ่งฟังดูสอดคล้องกับบทกลอนที่ได้อ่านตรงหน้าขึ้นมาจนอดคิดไม่ได้ว่า บางทีสิ่งที่ปรากฏขึ้นในความฝันนั้นอาจจะเป็นเรื่องราวบางส่วนที่ยังไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนก็เป็นได้

    ดอกบัวใช่ บุษยาแปลว่าดอกบัว…” และเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เพิ่งอ่านสอดคล้องกับภาพความฝันจนปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวเดียวกันได้ สายตาที่เคยเพ่งความสนใจบนตัวอักษรโบราณจึงแปรเปลี่ยนทิศทางไปยังคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างเคียงกันโดยทันที ทว่า วินาทีที่หันไปหาท่านอสุราตรงๆ สิ่งที่เคยเกิดเป็นคำถามในหัว กลับไม่ได้ถูกกล่าวหรือถามไถ่ให้คลายความสงสัย เมื่อท่านอสุราซึ่งไม่รู้ว่ามองกันอยู่แบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เมื่อไหร่ แทรกเสียงถามขึ้นด้วยตัวเอง

    นั่นน่ะรึ เหตุและผลที่แม่ทับทิมลงทุนลงแรงมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อหมายจักพิสูจน์บางสิ่งในตัวพี่ ?

    ในยามถูกเขาถามและสบประสานตาแบบตรงๆ อย่างนี้ ครั้นจะหลบเลี่ยงไปก่อน ดูท่าคงไม่สมควรเท่าไหร่นัก เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นให้บอกปัดคำถามคนตรงหน้าต่อไปได้ ฉันจึงตัดสินใจบอกเล่าความในใจที่คั่งค้างไว้จนหมดสิ้น

    เจ้าค่ะและนี่คือการพิสูจน์ของฉันเอง…” ซึ่งทันทีที่เริ่มขยับปากบอกกล่าวและอธิบายเหตุผล เจ้าของคำถามอย่างท่านอสุราก็แสดงทีท่าตั้งอกตั้งใจโดยทันที เพราะก่อนหน้าที่ท่านจะปรากฏตัวให้ฉันได้พบเห็น ฉันไม่เคยฝันถึงเรื่องราวแปลกประหลาดเลยสักครั้ง แต่นั่นไม่ใช่กับตอนนี้…”

    “…”

    ตอนที่เริ่มมองเห็นและฝันถึงเรื่องราวพวกนั้น ฉันเคยคิดว่ามันอาจเกิดขึ้นจากฝีมือท่าน ที่ตั้งใจจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำในภพชาติเก่าตามอย่างที่ว่าไว้ แต่ว่า ยิ่งฝันเห็นภาพเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกไกลห่างจากการเป็นหญิงคนรักของท่านเหลือเกิน…” พอบอกเล่ามาถึงตรงนี้ คนตัวสูงซึ่งยืนในท่าดอกอกฟังอย่างตั้งใจ ก็เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายปรับเปลี่ยนทีท่าของตัวเอง

    เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ พลางวางแขนข้างถนัดลงบนหน้าหนังสือที่ถูกกางเปิดออกบนแท่นวาง สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือแววตาที่อีกฝ่ายใช้มอง

    เหตุประการใด ทำให้แม่ทับทิมนึกคิดเช่นนั้นเล่า ?

    เพราะทุกครั้งที่ฝัน ฉันไม่เคยได้อยู่เคียงข้างท่านในฐานะแม่นิมมานรดีเลยสักครั้งยังไงล่ะเจ้าคะ...” สิ้นเสียงตอบ นัยน์ตาคมที่เคยมองกันแบบนิ่งๆ ก็เริ่มปรากฏความวูบไหวให้ได้เห็น ซ้ำยังประกายอาการตกใจของผู้ฟังให้รู้สึก

    คงเพราะ ท่านอสุราคือตัวละครจากพงศาวดารที่ฉันปลาบปลื้มและชื่นชอบมากล่ะมั้ง พอได้เห็นสีหน้าและแววตาของเขาที่กำลังแสดงออกไม่ต่างกับคนกำลังผิดหวังแบบนี้  มันเลยทำให้ฉันเลือกเป็นฝ่ายหลุบตาหลบนี้จากภาพสีหน้าดังกล่าวของเขาไปด้วยตัวเอง ขณะปากยังคงพูดโดยหวังว่าจะช่วยลดสีหน้าและแววตาที่อีกฝ่ายแสดงออกให้จางลงได้บ้าง

    ตะ แต่ มันก็ไม่ได้แปลว่าในฝันฉันนั้นจะไม่ได้มีท่านอยู่เลยเสียทีเดียวนะเจ้าคะ…”

    หากแม่ทับทิมว่าเช่นนั้น แล้วทุกคราที่แม่ทับทิมมองเห็นพี่นั้น เป็นเช่นไรงั้นรึ ?ทั้งที่น้ำเสียงเขาก็ฟังดูนิ่มนวลเป็นปกติ หากแต่คนที่ได้ฟังกลับรับรู้ถึงความกดดันได้อย่างน่าแปลก  ความรู้สึกก็คงคล้ายกับว่า ฉันกำลังจะต้องพูดเรื่องเดิมๆ ที่อีกฝ่ายมันยืนกรานกลับด้วยความมั่นอกมั่นใจของตัวเองล่ะมั้ง

    ในฝัน ท่านคือน้องชายท้าวเจ้าเมืองนครยักษ์ ขณะที่ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มักปรากฏตัวต่อหน้าท่านพร้อมพานสีทองและดอกบัวในมือ ทั้งที่ท่านเรียกฉันในฝันว่านิมมานรดี แต่ว่าคนอื่นกลับเรียกฉันด้วยชื่อที่ต่างออกไป…” เสียงที่พยายามบอกเล่าภาพฝันขาดลงในช่วงท้ายประโยค เช่นเดียวกับสายตาที่ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจให้ช้อนสบประสานตากับคู่สนทนาอีกครั้ง ก่อนเริ่มเติมเต็มประโยคที่ขาดไปให้สมบูรณ์อีกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้สบตา “เพราะคนพวกนั้นเรียกฉันว่าจันทน์ผา เจ้าค่ะ

    “…”

    “…”

    “…”

    “…” ความเงียบภายในหอสมุดปกคลุมเราทั้งคู่แทบจะในทันทีที่ฉันบอกเล่าความฝันของตัวเองจนสิ้นคำ ที่หลงเหลืออยู่ในเวลานั้น มีเพียงแววตาของท่านอสุราเท่าที่ยังจับจ้องมาคล้ายกับกำลังคิดอะไร ท่ามกลางบรรยากาศกดดันที่เริ่มเพิ่มขึ้นทุกขณะ

    แม่ทับทิมหมายจักพิสูจน์สิ่งใดกันแน่…” นับจากที่ทุกเสียงสนทนาระหว่างเราเงียบไป เกือบหนึ่งนาทีตามความรู้สึกได้ล่ะมั้ง ท่านอสุราซึ่งยืนเงียบมาครู่หนึ่งจึงเปิดปากกล่าวคำถามขึ้นบ้างแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก

    “พะ พิสูจน์เรื่องของท่านยังไงล่ะเจ้าคะ…” เหมือนกับเสียงของฉันในยามที่ต้องตอบคำถามของเขาไม่มีผิด เรื่องของท่านกับแม่จันทน์ผา…” 

    แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าวินาทีที่ตอบกลับไปแบบซื่อๆ เช่นนั้น มันจะทำให้ยักษ์หนุ่มซึ่งกำลังรับฟังเริ่มหัวเสีย

    แล้วเหตุใดแม่ทับทิมถึงมั่นหมายพิสูจน์ใจพี่ที่มีต่อแม่จันทน์ผา ในเมื่อพี่นั้นไซร้หาได้เคยข้องเกี่ยวกับนางอัปสรรับใช้ในวังไม่!” ท่านอสุราส่งเสียงถามอย่างดุดัน อีกทั้งน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ถามไถ่นั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดในแบบไม่คิดมาก่อน ซึ่งฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอะไรที่ทำให้ยักษ์ซึ่งมีภาพลักษณ์อบอุ่นใจดีแบบเขาเปลี่ยนสภาพอารมณ์ไปในทางตรงกันข้ามแบบนี้

    เพราะความสงสัยของฉันงั้นเหรอ หรือเพราะผู้หญิงที่ชื่อจันทน์ผากันแน่

    พี่มีใจเดียว หมายมั่นมอบให้แก่นางอัปสรอันเป็นที่รักเพียงหนึ่ง มิใช่สอง…” ทั้งที่ควรรู้สึกหวาดกลัวกับท่าทางดุดันที่อีกฝ่ายแสดงออกแท้ๆ แต่ยิ่งท่านอสุราละล่ำละลักคำพูดดูถูกดูแคลนเคล้ายืนกรานความรู้สึกตนเองที่มีต่อแม่จันทน์ผาออกมาเท่าไหร่ คนที่ฟังเช่นฉันก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากเท่านั้น หากแม่ทับทิมระลึกหรือใคร่ครวญได้สักนิด จักรู้ว่า เรามิอาจคว้านางสนมรับใฝ่ใต้บาทมาเชยชมได้ ดั่งที่ถูกกล่าวหาไม่!”

    ฟึ่บ! พลั่ก!

    รู้อีกที โทสะซึ่งก่อตัวขึ้นหลังจากรับฟังถ้อยคำยืดยาวบอกความรู้สึกของท่านอสุรา ก็บันดาลให้มือทั้งสองข้างพุ่งเข้าผลักอกเจ้าของเสียงเกรี้ยวกราดตรงหน้าให้เงียบลง ซ้ำยังเป็นฉันเสียเองที่เผลอแสดงกริยาไม่น่ารักใส่เขาคืนกลับไป

    ก็ดี! หากท่านพูดมาถึงขนาดนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ!” ทั้งที่รู้ตัวทุกอย่างว่ากำลังพูดและแสดงทีท่าต่อหน้าเขาแบบไหน แต่เหมือนว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่นั้นกลับไม่ใช่ตัวของตัวเอง หากภาพฝันที่ฉันมองเห็น คือเรื่องที่เกิดจากน้ำมือท่านเพื่อให้ฉันระลึกอดีตชาติของตัวเองได้แล้วจริงๆ ล่ะก็ ท่านก็หายไปเถอะเจ้าค่ะ!”

    ฉันกำลังรู้สึกเจ็บที่กลางอกอีกแล้วยามได้ยินถ้อยคำของท่านอสุรากล่าวถึงแม่จันทน์ผาแบบนั้น มิหนำซ้ำทุกถ้อยคำทำลอดผ่านปากเวลานี้ ยังเต็มไปด้วยการประชดประชันในแบบที่ไม่เคยแสดงใส่ใครมาก่อน

    ท่านว่ามันไม่แปลกหรือเจ้าคะ ว่าทำไมฉันถึงไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองคือนิมมานรดี…” ท่านอสุราเองก็คงจะตกใจไม่ต่างกันนัก เพราะเขาแสดงทุกความรู้สึกของตัวเองผ่านทางสีหน้าแววตาอยู่ตลอดเวลา ขณะปล่อยฉันให้เป็นผู้พูด ถ้าหากสิ่งที่ฉันเห็นในฝัน คือการระลึกชาติได้อย่างแท้จริงตามดั่งประสงค์ของท่านแล้วล่ะก็ ตอนนี้ ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมเหมือนกัน…”

    ทั้งที่ได้รับโอกาสพูดจากท่านอสุรามาโดยตลอด ทว่า เสียงของฉันกลับไม่วายถูกทำให้เงียบลงในช่วงประโยคสุดท้าย

    ฟึ่บ!

    ว่าฉันคงไม่ใช่แม่นิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะอะ อื้อ” เมื่อเขาซึ่งเลือกเป็นผู้รับฟังมาเป็นเวลาพักใหญ่เลือกที่จะใช้ความรวดเร็วของฝ่ามือฉุดกระชากตัวฉันให้เข้าไปใกล้แล้วฉวยโอกาสในช่วงเวลาเดียวกันนั้น โน้มใบหน้า จรดริมฝีปากปิดทาบทับทุกเสียงให้เงียบลงและดังอื้ออึงอยู่ในลำคอเท่านั้น

    สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะทันได้ตั้งตัวนั้น ทำฉันรีบใช้สองมือผลักสลับกับทุบตีลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่ายทันที พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะสะบัดหน้าหลบหนี ทว่า ท่านอสุรากลับไม่ยอมให้ทำแบบนั้น เมื่อเขาเลือกที่จะหยุดทุกการเคลื่อนไหวของฉันด้วยแรงกายที่ตนมี

    หัวแม่โป้งและนิ้วชี้จากมือข้างที่เหลือถูกท่านอสุราเลื่อนขึ้นบีบล็อกใบหน้าบริเวณปลายคาง ทั้งที่น้ำหนักจากปลายนิ้วไม่ได้รุนแรงนัก แต่มันก็มากพอจะตอกใบหน้าฉันให้หยุดนิ่ง จนเขาสามารถบดเบียดน้ำหนักผิวปากลงมาได้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันฉันก็ยังรับรู้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลจากลำตัว ยามที่อีกฝ่ายจงใจก้าวเข้ามาเบียดกายแนบชิดพลอยให้แผ่นหลังของผู้ถูกคุมขังเบียดนาบลงกับขอบแท่นวางหนังสืออย่างไร้ทางหลบหนี

    กึก

    ริมฝีปากของท่านอสุราเวลานี้ร้อนจัด เช่นเดียวกับลิ้นร้อนที่ลากวนเวียนอยู่กลางรอยแยกระหว่างกลีบปากบนและล่าง ก่อนสอดแทรกเข้ามาภายในอย่างจาบจ้วงกระหวัดรับความอุ่นร้อนชื้นแฉะภายใน คล้ายกับตั้งใจจะลงโทษที่ฉันขึ้นเสียงใส่ให้หมดลมหายใจไปอย่างไรก็อย่างนั้น

    อื้อ…” ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นอยู่ปากในโพรงปาก คล้ายกับกำลังชำระโทสะในอกและความไม่เป็นตัวของตัวเองให้มอดลงอย่างช้าๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าในที่สุด เช่นเดียวกับเรี่ยวแรงที่เคยใช้ต่อต้าน

    ฝ่ามือที่เคยใช้ทุบตีไปตามเนื้อตัวท่านอสุรา บัดนี้ได้อ่อนแรงลงและเปลี่ยนเป็นกำจิกปลายเล็บลงบนไหล่กว้างแทนการหาหลักยึด ลมหายใจที่เคยเป็นปกติเริ่มเรรวนผิดจังหวะ ในทุกคราที่ลิ้นร้อนของเขากวาดเกี่ยวอยู่ภายใน และฉันคิดว่าฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจ

    คล้ายกับเจ้าของสัมผัสร้อนเบื้องหน้าจะรับรู้ถึงการตอบสนองที่อ่อนลง นั่นเลยทำให้ริมฝีปากและลิ้นร้อนที่เคยลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวอย่างจาบจ้วง ค่อยๆ ทุเลาความดุดันลง และยอมผละห่างออกไปในช่วงที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของฉันจะขาดลง

    แฮ่ก…”

    เสียงหอบแผ่วๆ หลังถูกช่วงชิงลมหายใจดังขึ้นท่ามกลางพื้นที่อันเงียบสงบภายในหอสมุด ซ้ำยังดังฟังชัดไม่ต่างจากเสียงเต้นของหัวใจที่เป็นอยู่ ถึงแม้สัมผัสเร่าร้อนนั่นจะถูกผละออกไปแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าท่านอสุราจะยอมลดถอยใบหน้าออกห่างไปเลยเสียที่ไหน เขายังคงเว้นระยะห่างระหว่างใบหน้าสองเราไว้ด้วยลมหายใจ

    ระหว่างเราไม่มีคำพูดใดดังขึ้นหลังจากนั้น มีเพียงแค่สายตาที่สบประสานต่อกันแทนการบอกความรู้สึกภายใน ขณะที่เจ้าของการกระทำจาบจ้วงอย่างฉวยโอกาส ถือวิสาสะละปลายนิ้วที่เคยใช้บีบปลายคางกันการหลบหนี ไกล่เกลี่ยไล่ระดับสูงขึ้นไปตามแก้ม ก่อนตัดสินใจวางทาบฝ่ามือตนเองประคองใบหน้าฉันให้เชิดขึ้นในมุมที่เหมาะสม

    พี่รอภพยามเคลื่อนผ่านเป็นหมื่นปี เหตุผลเดียวก็เพื่อหมายจักพบเจ้าของเสียง ผู้เป็นเจ้าของดวงใจ…” ฉันได้ยินเสียงท่านอสุรากล่าวถ้อยบางอย่าง หากแต่เหมือนสายตาดันฝ้าฟางมองภายใบหน้าของไม่ชัดนักทั้งอยู่ใกล้ พี่คิดถึงแม่ทับทิมหมดทั้งหัวใจตลอดทุกช่วงเพลาที่พ้นผ่าน เพียงเท่านี้มิเพียงพอจักพิสูจน์หรือ ว่าพี่รักเดียวใจเดียว

    เสียงของเขามันเต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้รู้สึกผิด ขณะเดียวกันก็ยังคงความหนักแน่นของความรู้สึกเดิมของตนไว้ ไม่แปรเปลี่ยนไปเลย

    ฟึ่บ! พลั่ก!

    และทันทีที่ถ้อยวาจาของท่านอสุราสิ้นสุดลง ร่างกายก็ยังไม่วายแสดงการต่อต้านและปฏิเสธที่จะอยู่เคียงใกล้ โดยการพุ่งมือผลักอกเขาที่ไม่ทันตั้งตัวให้ถอยห่างออกไป ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำด้วยอารมณ์โกรธอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครู่หรอกนะ

    แต่ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างอื่นอยู่ต่างหาก

     

    -อสุรา กล่าว-

    ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!

    เราได้ยินเสียงกระทบของฝีเท้า ขณะผู้เป็นเจ้าของค่อยๆ ตีตนวิ่งหนีออกห่างไป  ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เกิดขึ้นยามนี้คือเรื่องสมควร ในเมื่อเรานั้นพลาดผิด ซ้ำยังใช้อารมณ์กระทำเรื่องไม่สมควรแบบนั้นด้วยมือเราเอง เพราะรู้ตัวดีว่าผิด หลังบอกความนัยที่มีจนจบคำ เราจึงยินยอมที่จะปล่อยหากคู่เจรจาไม่หยุดฟัง ทั้งที่เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดนั่นไม่อาจทำให้เราถอยห่างไกลตัวแม่ทับทิมได้อย่างที่เป็นอยู่เพลานี้ก็ตามที

    ตึก! ตึก! ตึก!

    ทั้งที่เราคงความใจเย็นมาตราบชั่วลมหายใจ หากแต่เพียงได้ยินชื่อของนางอัปสรตนนั้น ในอกมันก็เผลอระบายโทสะออกมาอย่างไม่ไหว โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างเรากับนางสวรรค์ตนนั้นในอดีต

    เจ้ามีนามว่า จันทน์ผางั้นรึ ?เราจำเสียงของตัวเองได้ เช่นเดียวกับที่จดจำทุกอิริยาบถของแม่จันทน์ผาได้

    ‘…เจ้าค่ะ หม่อมฉันชื่อจันทน์ผาจากนอกจิตใจที่บริสุทธิ์ขณะกล่าวถึงพันธุ์ไม้ในสวนแล้ว อีกสิ่งที่เรานั้นติดตาติดใจ ไม่ต่างกัน คงไม่พ้นอ้อมกอดที่นางใช้กับเราอย่างไร้การครวญคิดถึงที่ต่ำที่สูง หม่อมฉันคำนึกหาท่านอสุราอยู่ทุกเพลานะเจ้าคะ

    ฟึ่บ!

    ออกห่างจากตัวเรา!’ เราจำเสียงของตัวเองที่ตะเบ็งสั่งนางด้วยความตกใจ อีกทั้งยังจำแรงจากฝ่ามือที่ใช้ผละตัวแม่จันทน์ผาจนล้มลงกับใบหญ้าได้ ไยเจ้าจึงมิรู้จักสงวนตัวสงวนตน กระทำกริยาไร้มารยาท หาได้รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อเราเช่นนี้ไม่!’

    แม้ว่าเราจะจำทุกอย่างเมื่อคราวนั้นได้ แต่เราไม่อาจจดจำภาพสีหน้าของแม่จันทน์ผาในช่วงเพลานั้นได้เลยแม้เพียงนิด ซ้ำสิ่งที่จดจำได้นั้น กลับมีเพียงแค่กริยาท่าทางเกรี้ยวกราด ไม่พอใจขณะชี้นิ้วไปยังผู้ผิด เพื่อต่อว่าเท่านั้น

    อย่ากระทำกริยาเช่นนี้ต่อเรา มิเช่นนั้นเราจักมิไว้หน้าเจ้าและดวงใจของเราอีก!’  เหตุและผลก็คงเพราะ เราไม่เคยคิดฝันกระมัง ว่าน้องสาวของหญิงคนรักจะกล้ากระทำรุ่มร่ามใส่เราแบบไม่กลัวเกรงในช่วงฟ้ามืดอย่างไร้ความเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น

    แม้นว่าเราไม่ค่อยถือตัวต่อผู้ใดนัก หากแต่กับสตรีหรือนางอัปสรตนอื่นๆ ถือเป็นเรื่องยกเว้น ยิ่งด้วยยามนั้นเรามีคู่ครองเป็นของตัวเองด้วยแล้ว การวางตัวเพื่อออกห่างจากสตรีนางอื่นๆ จึงเป็นเรื่องที่สมควรปฏิบัติและเคร่งครัดมากกว่าอะไร แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ในชั่วคืนยามนั้น จะมีผู้ล่วงรู้และมองเห็น

    ท่ามรามสูร เห็นวี่แววแม่นิมมานรดีบ้างหรือไม่ เรามิเห็นวี่แววนางในสวน นับตั้งแต่ฟ้าสว่าง

    แม่นิมมานรดี ยามนี้ได้ขออนุญาตท่านท้าวอสุเรนทร์กลับสรวงน่ะขอรับ ท่านอสุรา

    กลับสรวงงั้นรึ? ด้วยเหตุเร่งด่วนอันใด ไยจึงรีบร้อนนัก ไปมาหาได้บอกกล่าวเราไม่ ? สีหน้าของท่านมหาอุปราชรามสูรยามถูกเราถามในครั้งนั้น เต็มไปด้วยความลังเลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนั้นเราจึงออกปากเร่งออกไปอีกหน ท่านพอจักรู้สาเหตุบ้างหรือไม่ ท่านรามสูร ?

    กระหม่อมทราบดีขอรับ…’

    หากเช่นนั้นท่านรามสูรจงบอกกล่าวเราเสียสิ จักอ้ำอึ้งเช่นนั้นให้ได้เรื่องอันใด?’

    แม่นิมมานรดีนั้นกำลังน้อยอกน้อยใจซ้ำยังเศร้าโศกี เหตุเพราะสารปากต่อปากที่กล่าวกันหนาหูว่า เมื่อก่อนรุ่งสาง มีพวกทหารในวังเดินตรวจตรา แล้วพวกมันบังเอิญเห็นท่านกำลังกอดกลมเกลียวกับแม่จันทน์ผาอยู่ในสวนหลังวังน่ะขอรับ

    และทั้งหมดนั่นกระมัง คือเหตุผล ว่าสาเหตุใดเราจึงไม่ชอบพอและรู้สึกโกรธมันเสียทุกครั้ง ยามถูกพูดถึงหรือคาดคั้นถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนางอัปสรตนนั้น

    อย่างไรเสีย เราก็ไม่อาจโทษผู้ใดได้นอกจากตัวเราเอง ที่ไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์ร้อนในอก จนพลาดพลั้งกระทำรุนแรงเช่นนั้นใส่แม่ทับทิม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านางไม่อาจจดจำเรื่องราวเก่าก่อนครั้นเมื่อเคยมีลมหายใจได้ แม้นจะคิดเช่นนั้น แต่ว่า

    ในฝัน ท่านคือน้องชายท้าวเจ้าเมืองนครยักษ์ ขณะที่ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มักปรากฏตัวต่อหน้าท่านพร้อมพานสีทองและดอกบัวในมือ เพราะคนพวกนั้นเรียกฉันว่าจันทน์ผา เจ้าค่ะ

    เสียงของแม่ทับทิมขณะบอกเล่าความนิมิตฝันซึ่งแตกต่างจากภาพนิมิตที่เราหมายให้มองเห็น กลับทำให้กลางอุรารู้สึกแปรปรวนได้อย่างไร้เหตุ เราไม่อาจอธิบายได้ว่าอาการเช่นนี้ สมควรถูกเรียกเช่นไร รู้เพียงแค่ว่าในอกมันกำร้อนรุ่ม ร้อนรน และไม่อาจตีค่าความหมายจากความที่ได้รับฟังเป็นอื่นใดได้ นอกเสียจากเสียงขับไล่และถ้อยวจีบอกกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำของแม่ทับทิม

    ถ้าหากสิ่งที่ฉันเห็นในฝัน คือการระลึกชาติได้อย่างแท้จริงตามดั่งประสงค์ของท่านแล้วล่ะก็… ตอนนี้ ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมเหมือนกัน ว่าฉันคงไม่ใช่แม่นิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ

    หากแม่ทับทิมนั้นไซร้ หาใช่ดวงใจที่เราเฝ้ารอจะพบเจออีกคราตามดังถ้อยวจี แล้วเหตุใดเล่า ตลอดมาเราจึงได้ยินเสียงนาง ดังก้องไกลถึงนครยักษ์เช่นนี้ทุกวี่วัน

    ยิ่งไตร่ตรองหาเหตุและผลมากเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่อาจหาคำตอบให้กับตนเองได้ จนไม่สามารถยืนนิงอยู่กับที่เพื่อปล่อยแม่ทับทิมไปได้ดั่งที่ตั้งมั่นไว้ในใจ

    เพลานี้ฤกษ์ดีเช่นวันวาน เจ้ามิลงไปเก็บดอกบัวที่สระหรอกรึแม่นิมมานรดี ?

    เมื่อเวลานี้มีเพียงเรานั้นที่จดและจำทุกความทรงจำอดีตระหว่างเราได้อย่างแม่นยำ

    อะหมะ หม่อมฉัน มิได้ไปเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะความรู้สึกตั้งมั่นแรกที่ตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหานางก่อนในช่วงย่ำรุ่ง เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างใจ

    ไยจึงกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อเจ้าให้คำมั่นว่าจักยินยอมให้เราเดินทางเคียงคู่เพื่อตัดดอกบัวในสระไม่ใช่หรือ ?

    คะ คือหมะ หม่อมฉัน แท้จริงแล้วหาใช่นางสนมรับใช้ใต้พระบาทในวังไม่ แต่เป็นนางรำเอกคอยสร้างความเกษมสำราญให้แก่ท้าวนครยักษ์ เหตุที่โชคชะตานำพาท่านมาเจอหม่อมฉันที่สระบัวเมื่อวานซืน กะ ก็คงเพราะ…’ ซ้ำถ้อยคำที่นางเอ่ยบอกสถานะตนในย่ำรุ่งวานนั้น ก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างความเปรมปรีดิ์ ราวกับคนบนสรวงจงใจเบิกทางให้พรหมลิขิตระหว่างเราดำเนินเป็นเส้นทางเดียวกัน หม่อมฉันอาสารับหน้าที่ลงไปตัดดอกบัวในสระแทนแม่จันทน์ผา แฝดผู้น้องซึ่งกำลังป่วยหนักในช่วงเพลานั้นยังไงล่ะเจ้าคะ

    เมื่อจิตตั้งมั่นนึกหวนถึงถ้อยคำในวันวาน อิทธิฤทธิ์เพียงหยิบมือที่ถือครองไว้ ก็เริ่มบังเกิดขึ้นปิดเปลือกตาลง เพื่อหมายจะพาตัวเองติดตามดวงใจซึ่งกำลังโกรธจัด โดยหวังจะลองเจรจาอีกคราเมื่อมีโอกาสได้ยลหน้า ทว่า

    กึก

    เสี้ยวเพลาที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่บังเกิดขึ้นตรงหน้ากลับเป็นสถานที่แปลกตาในแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนยามอยู่ที่นครยักษ์ รอบกายเราเต็มไปด้วยปุถุชนมากหน้าหลากตาเดินกันขวักไขว่ บนเส้นทางเดินขนาดเล็กซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยอัครสถานสูงเสียดฟ้านับสิบ

    ทั้งที่เป็นเช่นนั้น หากแต่บริเวณที่เรายืนอยู่ กลับปราศจากวี่แววของแม่ทับทิมอย่างที่พยายามนึกถึง

    ด้วยเพราะไม่คุ้นชินกลับสถานที่แปลกตา เราจึงพยายามกวาดตามองหาอรชรซึ่งเป็นที่หมายตาอีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะเดินเบียดฝ่ากลุ่มปุถุชนไปอย่างกลมกลืน ทว่า เดินเหยียบอยู่บนถนนเส้นเล็กได้เพียงไม่นานนัก เท้าสองข้างกลับต้องมีอันหยุดลง เมื่อกลิ่นหอมหวานของดอกสร้อยทองยามรุ่งอรุณลอยแตะปลายจมูก พลอยให้สายตารีบตวัดมองไปยังต้นเหตุของกลิ่นหอมหวานรีบร้อน ก่อนต้องรู้สึกผิดคาดกับสิ่งที่ตาเห็น

    เพราะสิ่งซึ่งกำลังปรากฏต่อสายตาเราเบื้องหน้านั้น หาใช่แม่ทับทิมตามอย่างที่ปรารถนาไม่ แต่กลับเป็นภาพของนารีชนนางอื่นที่เราไม่คุ้นหน้าค่าตา ในเครื่องแต่งกายแสนแปลกตาหากแต่มีสีสันสุภาพ

    กึก

    คุณเมรีออกจากโรงพยาบาลหรือยังคะ คุณกรองขวัญ ?

    ออกแล้วค่ะป้า นี่ขวัญว่าจะซื้อกาแฟไปฝากเมรีอยู่พอดี เอารสชาติเดิมนะคะ แต่แยกน้ำแข็งให้ด้วย…” ไม่รู้เลยว่า จิตนึกคิดกับร่างกายเราในเพลานี้เกิดอาเพศอันใด ถึงไม่อาจควบคุมให้เคลื่อนไหวและกระทำตามประสงค์ของตนเองต่อได้อย่างที่พึ่งจะทำ ซ้ำร้ายยังไม่อาจละลดสายตาไปจากภาพนารีชนตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

    ได้จ้า ยังไงป้าฝากบอกคุณเมรีด้วยนะคะ ว่าป้าชอบละครที่คุณเมรีเล่นมากๆ เลย

    ตึก… ตึก… ตึก

    ได้จ้ะป้า…” นอกจากกลิ่นหอมหวานจากเนื้อนวลของหญิงแปลกหน้าจะชักจูงเราให้เดินเข้าได้ราวกับถูกสะกด ขณะเดียวกันหูก็ยังได้ยินเสียงหวานๆ ของนางชัดเจนยิ่งกว่าเสียงอื่นใด เดี๋ยวฉันบอกเมรีให้นะจ๊ะ

    การตอบถ้อยกับนารีมีอายุของเธอในช่วงยามนั้น คล้ายมีมนต์เวทย์ ดลบันดาลให้เท้าที่เคยหยุดนิ่งไป เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

    ตึก… ตึก

    แล้วนี่ ป้าขายถึงกี่โมงจ๊ะ ?” ทั้งที่ร่างกายของเรากำลังเคลื่อนไหว มุ่งตรงดิ่งเข้าหานางอย่างไร้เหตุและผล หากแต่ทุกความรู้สึกคล้ายกับหยุดนิ่ง ราวกับว่ายามนี้มีเพียงร่างกายเราเท่านั้นที่กำลังขยับได้เป็นปกติ กว่าที่จิตนึกคิดจะกลับคืนกาย ก็เป็นตอนที่มือเอื้อมแตะลงบนไหล่เล็กของหญิงแปลกหน้าไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นกระมัง

    ฟึ่บ

    อ๊ะ…” เสียงอุทานอย่างตกอกตกใจของนาง ทำเราซึ่งพลั้งเผลอกระทำการอย่างไม่รู้ตัว รีบชักมือออกอย่างรีบร้อน ขณะใช้หัวคิดเรียบเรียงถ้อยคำในแบบที่มนุษย์มักใช้เอ่ยถ้อยต่อกัน เพื่อแสดงความรู้สึกผิด ทว่า ยังไม่ทันจะได้ทำสิ่งที่ตั้งใจ มันก็เป็นหญิงแปลกหน้าเสียเองที่กล่าวแทรกขึ้น

    ทำไมวันนี้ลมแรงจัง ป้าคิดเหมือนขวัญไหมคะ ?” หล่อนแทรกขึ้นเช่นนั้น ที่เหลียวหลังปรายตามายังเราซึ่งทิ้งระยะห่างจากนางไปเพียงแค่ช่วงแขน เช่นเดียวกับบรรยากาศรอบกายที่คล้ายกับเริ่มเวียนหมุนลงอย่างเชื่องช้า จนสามารถใช้ช่วงโอกาสในยามนั้น จดจำลายละเอียดบนใบหน้าสวยของนางได้อย่างเต็มที่ แม้นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นแค่ช่วงประเดี๋ยวประด๋าว ก่อนที่นางจะหันใบหน้ากลับไปหาคู่สนทนาของตนเองตามเดิม

    แรงหรือคะคุณกรองขวัญ ป้าว่าก็ปกติออกนะคะ

    ไม่รู้สิคะ หรือว่าขวัญจะเป็นไข้ก็ไม่รู้ ถึงรู้สึกหนาวแปลกๆ เจ้าหล่อนทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นเราที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังไปเพียงเล็กน้อย ต่างจากปุถุชนตนอื่น ที่ยังสามารถกล่าวถ้อยบอกเรา ครั้นเมื่อเดินชนแขนผ่านไปอย่างไม่ตั้งใจ

    ตุบ!

    อ๊ะ ขอโทษค่ะ พอดีฉันไม่ได้มองทาง

    ครับ…” สิ้นเสียงรับคำสำเนียงแปลกลิ้นของเรา หญิงแปลกซึ่งเป็นเหตุต้องตาเราให้หยุดนิ่งก็รีบเหลียวหลังมองกลับมาอีกครั้ง หากไม่ได้นึกคิดไปเอง นัยน์ตาสวยคู่นั้นกำลังมองตรงทางเรา หากแต่เพลาเดียวกันนั้นก็เหมือนมองผ่านเลยไปยังสตรีที่เพิ่งกล่าวคำขอโทษเมื่อครู่ด้วยเช่นกัน

    เจ้ามองไม่เห็นเราหรอกรึ ?

    ความผิดแปลกจากบุคคลอื่นที่หญิงสาวแสดงให้เห็น ส่งผลให้ปากเผลอขยับถามอย่างลืมตัว หากแต่ถ้อยคำถามจากเรานั้นก็ไม่อาจได้ถ้อยคำตอบใดจากสตรีชนตรงหน้ากลับคืน และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้แน่ชัดมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า มือข้างถนัดจึงเคลื่อนแตะลงบนไหล่อรชรร่างเล็กตรงหน้าอีกครั้ง โดยหนนี้เราก็ไม่ลืมที่จะขานชื่อเรียกตาม

    แม่กรองขวัญ…” 


    Talk1 ท่านทำอะไรทับทิมอ่ะ!!!

    Talk2 เขียนมาตั้งนาน เพิ่งจะมีฉากนี้กับเขาบ้างสักที ฮ่าาา

    Talk3 มองไม่เห็นพี่หรือแม่กรองขวัญ

    ___________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

    ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T


    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×