คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : FEEL00 l เริ่มต้นพาล ตอน Slenderman {อัพ100%}
EP00
Remember, Who you are
นึกสิ คุณเป็นใคร?
เวลา 23.15 นาฬิกา
ตึก... ตึก...
ตึก...
ค่ำคืนที่อากาศลดต่ำลงจนหนาว
ภายในตรอกแคบๆระหว่างช่วงตึกยังคงมีเสียงฝีเท้าของหนักๆของใครบางคนดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้า
ไม่รีบร้อน ราวกับต้องการท้าทายอุณหภูมิในยามดึกสงัด
กึก...
แต่แล้วจังหวะการเดินและเสียงย่างก้าวซึ่งเคยดังก้องอยู่ภายในซอยแคบก็มีอันชะงักลง
เมื่อเจ้าของจังหวะการก้าวเท้า ถูกมิจฉาชีพกลุ่มหนึ่งพากันกรูเข้ามาขวางเส้นทางแคบๆ
ในลักษณะล้อมหน้าล้อมหลัง
“เฮ้! น้องชาย...” หนึ่งในพวกแก๊งมิจฉาชีพส่งเสียงทัก “จะไปไหนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้วะ?”
ทักด้วยคำถามค่อนไปทางเอาเรื่องโดยมีสมาชิกร่วมกระบวนการเสริมพลางใช้มือจับแตะไปตามเสื้อนอก
เช็กมูลค่าจากป้ายยี่ห้อบริเวณปกหลัง
“พวกพี่อยากกินเหล้าว่ะ
แต่ตังไม่มี น้องพอจะมีให้พวกพี่ยืมป่ะ?”
“ผะ ผม...ไม่มีฮะ” ริมฝีปากบางเฉียบแถมสั่นของชายหนุ่มขยับตอบคำถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ด้วยสำเนียงการพูดเฉกเช่นเด็กชายตัวน้อย หากแต่น้ำเสียงหวาดกลัวดังกล่าวนั้นดูขัดแย้งต่อสภาพร่างกายและท่าทางที่นิ่งงันเป็นหุ่นราวกับไร้ความรู้สึก
“อะไรวะ
แต่งตัวดีขนาดนี้จะไม่มีเงินให้พวกพี่เลยเหรอ?” อีกครั้งที่หนึ่งในพวกกลุ่มโจรเอ่ยปากถาม
พลางกวาดสายตาสำรวจไปยังเครื่องแต่งกายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ยามนี้แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและสวมทับด้วยสูทนอกสีดำดูมีราคา
เข้ากับกางเกงสแลคสีเดียวกันอีกครั้ง
ฟึ่บ! หมับ!
แต่เหมือนว่าพวกสารเลวไม่ได้ต้องการคำตอบของคำถามเมื่อครู่สักเท่าไหร่
เมื่อจังหวะเดียวกันนั้นหนึ่งในพวกมันซึ่งยืนประกบอยู่เบื้องหลังพุ่งเข้าจัดการรวบตัวชายหนุ่มซึ่งตกเป็นเหยื่ออย่างรวดเร็วราวกับกันทางไม่ให้เหยื่อขัดขืน
การกระทำที่ปุบปับและไร้มารยาท
เลยทำให้ชายเคราะห์ร้ายเอ่ยปากต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่นิ่งไร้อาการใดเฉกเช่นอย่างที่ควรจะเป็น
“พวกเอ็งนี่มันไร้มารยาทจริงๆ...” เสียงของเขา แววตารวมไปถึงสำเนียงการพูดคราวนี้เริ่มต่างไปจากครั้งแรก
ปรับเปลี่ยนจากสำเนียงพูดแบบเด็กๆ ให้กลายเป็นสำเนียงของคนมีอายุ
ก่อนเปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นสำเนียงของคนเลือดร้อนและพร้อมจะสู้หากพวกชั่วเริ่มก่อน
“พวกมึงอยากตายหรือไง?”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับจากคำถามของคนที่ไม่แสดงสีหน้าหรืออาการใดให้ได้เห็นนอกจากน้ำเสียงและวิธีการพูด
พวกมันหัวเราะเยาะคล้ายกับกำลังตลกวิธีการพูดที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนถึงสามครั้งสามคราในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเริ่มแสดงเจตจำนงของตัวเองด้วยการควักมีดพกสั้นออกจากกระเป๋าหลังกางเกง
และพ่นวาจาข่มขู่
“กูก็ไม่รู้นะว่าระหว่างพวกกูกับคนบ้าแบบมึงใครจะตายก่อน
แต่ถ้ามึงไม่อยากเจ็บ ส่งของมีค่าของมึงมาให้หมด” ทว่า
หลังสิ้นเสียงขู่เคล้าการออกคำสั่ง พวกเดนสังคมกลับต้องเป็นฝ่ายผงะ
เพราะแทนที่เหยื่อที่พวกมันหมายตาจะแสดงอาการหวาดกลัว กลับกลายเป็นตรงข้าม หลุดหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอราวกับชอบใจอะไร
“หึๆ...”
ก่อนค่อยๆปรับเปลี่ยนน้ำเสียงที่หนักและดังขึ้น
“ฮ่ะๆ”
มากขึ้น
มากขึ้น และมากขึ้นจนเหมือนคนเสียสติ...
“HA HA HA HA HA HA”
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทำเอาพวกมันรีบผละตัวออกจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย หันมองหน้ากันเล็กน้อยด้วยอาการเลิกลักด้วยความตกใจ ซึ่งนั่นคงเป็นครั้งแรกที่พวกมันบังเอิญได้พบเหยื่อที่ดูประหลาดและน่าขนลุกไปในคราวเดียวกัน
อย่างชายตัวสูงในชุดสูทสีดำสนิท ใบหน้าฉาบไว้ด้วยความนิ่งไร้อารมณ์ บุคคลที่ผู้คนกล่าวขานว่าเป็น ‘เทวดาไร้หน้า’
ชายวิตถารไร้ใบหน้าและตัวตนที่ชัดเจน...
“Ha..Ha..งั้นเรามาดูกัน...” และในยามที่เสียงพูดและเสียงหัวเราะอย่างคนคลุ้มคลั่งของเทวดาสิ้นสุดลง นั่นอาจเป็นเสียงสุดท้ายที่เดนมนุษย์ทั้งสามคนได้ฟังก่อนลมหายใจของพวกมันจะแผ่วลงไป
กึก...
“ระหว่างพวกมึงกับคนบ้าอย่างกู...ใครจะตายก่อนกัน”
เฉกเช่นเดียวกับที่เหยื่อรายอื่นๆในเมืองเคยพบเจอ...
-MAER TALK-
เวลา 00.10
นาฬิกา
“เดี๋ยวสิคนสวย! เงินน่ะไม่อยากได้แล้วเหรอ!?”
ฉันได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนตะโกนถามไล่หลัง
ขณะทิ้งน้ำหนังผ่านส้นสูงก้าวเดินไวจากมาแบบไม่คิดจะหันกลับไปมอง
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ฉันกำลังหนีเขาอยู่
ตึก! ตึก! ตึก!
ขณะเท้าก้าวเดินไปบนพื้นฟุตบาธ
ริมฝีปากสีสดก็บดเบียดเข้าหากันอย่างนึกโมโห
ยิ่งในหัวนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฉันถูกพาเข้าไปในสถานบันเทิงแสนอโคจรด้วยแล้ว
ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดตัวเองที่โง่เสียเต็มประดาจนไม่สามารถจับทางพวกคนชั่วได้
‘เมียร์’ คือชื่อฉัน เกิดและเติบโตอยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์
เพียบพร้อมไปด้วยเงินทอง ฐานะและหน้าตาทางสังคม
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาเวลานี้กลับกลายเป็นเพียงแค่ภาพอดีต เมื่อบริษัทที่พ่อเป็นเจ้าของและบริหารธุรกิจอยู่ล้มละลายเพราะพิษจากช่วงฟองสบู่แตก
จากที่เคยอยู่สุขสบายมาตลอดทั้งชีวิต
ฉันจึงต้องเปลี่ยนเป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งต้องพยายามดิ้นรนทำทุกทางเพื่อหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงทองและส่งตัวเองเรียนให้จบโดยไม่ต้องพึ่งเงินพ่อแม่
งานอะไรที่ทำแล้วได้เงินดี
ฉันมักจะรับหมด
ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ทำแล้วได้เงินดีแบบนั้นก็คงไม่พ้นงานที่ต้องโชว์เรืองร่าง
ส่วนเว้า ส่วนโค้งของร่างกาย
แม้จะไม่ชอบแต่มันก็เป็นทางเดียวที่จะทำให้ฉันสามารถหาเงินได้มากพอต่อการถ่ายงานหนึ่งครั้ง
แต่ก็ใช่ว่างานปกติทั่วไปฉันจะไม่ทำที่ไหน ยังมีงานพิเศษอีกหลากหลายงานที่ทำ
ไม่ว่าพนักงานมินิมาร์ท รับจ้างขายของ หรือแม้แต่แม่บ้านชั่วคราว
คนร้อนเงินน่ะ
อะไรที่ทำแล้วได้เงินฉันรับหมด เว้นก็แค่เรื่องเดียว คือเงินต้องเอาตัวเข้าแลก
แม้ว่าจะมีงานพิเศษมากมายรองรับแต่เงินที่ได้มานั้นมันก็แทบไม่พอจะใช้ในแต่ละเดือนอยู่ดี
ยิ่งตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยและออกมาพักอยู่ห้องเช่าเพียงลำพังด้วยแล้ว
การเงินก็ยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลัง
แถมงานถ่ายแบบเซ็กซี่ก็ใช่ว่าจะมีมาทุกวันเมื่อไหร่ และใช่! ตอนนี้ฉันกำลังร้อนเงิน
ร้อนมากจนถึงขั้นเกือบถูกพวกเดนสังคมหลอกมาทำงานที่สถานบันเทิงอโคจร
ยิ่งด้วยรับงานถ่ายแบบเซ็กซี่
นั่นเลยทำให้คนส่วนใหญ่มองฉันเป็นผู้หญิงแรงๆ ง่ายๆ ขายเซ็กซี่
บางคนเข้าใจผิดไปใหญ่ถึงเคยลือกันว่าฉันขายร่างกายตัวเองแลกเงินด้วยราคาสูงพอๆกับนางแบบชื่อดังเลยก็มี
ด้วยชื่อเสียงแย่ๆ ที่ใครต่อใครพูดถึงในแง่ลบ เลยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนคบเท่าไหร่
แต่ไม่เป็นไร
ฉันไม่ได้แคร์ คนพวกนั้นไม่ได้หาเงินเลี้ยงฉันนี่ถูกไหม?
ถึงจะบอกว่าไม่แคร์ก็เถอะ
แต่ชื่อเสียงแย่ๆ จากขี้ปากคนก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีชีวิตที่ดีเท่าไหร่นัก
ยิ่งด้วยนิตยสารที่ฉันรับถ่ายแบบนั้นเป็นนิตยสารเฉพาะกลุ่ม ทำให้ผู้คนที่ติดตามและรู้จักเข้าใจว่าฉันเป็นแบเดียวกับข่าวลือไปกันหมด
พวกเขามักคิดว่าร่างกายฉันเป็นสิ่งที่น่าลิ้มลองและค้นหา
บ้างก็คิดว่าร่างกายฉันสามารถซื้อได้ด้วยเงิน
ยิ่งพักหลังทุกอย่างยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้น
เมื่อคนเลวกินพื้นที่บนโลกใบนี้มากกว่าคนดีโดยมีสันดานอบอวลไปด้วยตัณหาและราคะจนเกินพอดี
ตึก... ตึก...
เสียงฝีเท้าแปลกๆ
ดังขึ้นหลังจากฉันเดินออกห่างจากสถาบันเทิงเฉพาะทางออกมาได้พักหนึ่งเพื่อหารถแท็กซี่สักคันพาตัวเองกลับที่พัก
อาจเพราะเวลานี้ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วเลยทำให้บริเวณโดนรอบยังไม่ค่อยมีคนหรือรถพลุ่กพล่านมากนัก
ตึก… ตึก… ตึก…
ฉันไม่กล้าหันมองเจ้าของเสียงฝีเท้าด้านหลังด้วยความที่เป็นผู้หญิง
แถมตอนนี้ก็แต่งตัวไม่เรียบร้อนนัก
สิ่งที่ทำคือการก้มหน้าก้มตาเดินไปบนฟุตบาธและกวาดสายตามองหารถโดยสารสักคันเท่านั้น
ตึก... ตึก...
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมาหยุดลงได้เลย
เพราะเหตุนั้นเอง
ฉันจึงเริ่มเปลี่ยนจากการก้าวเดินธรรมดามาเป็นการก้าวเท้าที่ไวขึ้นจนค่อนไปทางวิ่ง
ตึก... ตึก! ตึก! ตึก!
แต่แล้วเรื่องแย่ๆ
ก็เกิดขึ้นกับฉันอีก เหมือนอย่างทุกครั้ง เมื่อจู่ๆ
เบื้องหน้ามีร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งเดินสวนพรวดพราดมาจากทางด้านหลัง ดักหน้า
ยืนขวางทางเอาไว้พร้อมคำทักทาย
“งานขายตัวในอาบอบนวดเลิกแล้วเหรอจ๊ะ?”
คำถามไม่ให้เกียรติดังกล่าวดูท่าจะไม่ต้องการคำตอบเท่าไหร่นัก
เมื่อสารเลวด้านหลังพุ่งมือเข้ารวบตัวฉันที่ถูกไล่ต้อนเข้าไว้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
ฟึ่บ!
“อะ ปล่อยนะ!” ร่างกายตอบสนองการถูกจู่โจมทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
รีบสะบัดตัวด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี จนสามารถหลุดเป็นอิสระอีกครั้ง
หากแต่นั่นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
เมื่อเดนมนุษย์สองคนต่างหัวเราะในลำคอคล้ายกับชอบใจอีกทั้งยังใช้คำพูดหยาบโลนเช่นเดียวกับสายตามองสำรวจไปทั่วร่างกายอย่างจาบจ้วง
“โอ้โห! ตัวจริงนมใหญ่กว่าในนิตยสารอีกนะเนี่ย...” ไม่พูดเปล่ามันยังใช้ลิ้นเลียขอบปากตัวเองอย่างหื่นกระหาย
ยิ่งด้วยแววตาน่ารังเกียจของพวกมันทอเป็นประกายราวกับพบเยอะเหยื่อที่ถูกใจด้วยแล้ว
ฉันที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในที่เปลี่ยวไร้ผู้คนจึงไม่รอช้า
รีบพาตัวเองก้าวเท้าวิ่งหนีเข้าไปตรอกแคบซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุดอย่างไม่คิดชีวิต
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
“แฮ่ก...อย่าตามมานะ!” ทุกฝีเท้าที่วิ่ง
ดังด้วยเสียงห้ามปรามที่รู้ดีว่าไม่ได้ช่วยให้คนเลวยอมหยุดเดินตามไล่หลังลงเลย
นอกจากไม่หยุดแล้วพวกเขายังเป็นฝ่ายออกคำสั่ง
“หยุดวิ่งเถอะคนสวย
อยู่คุยกับพวกพี่ก่อนดีกว่านะ”
เสียงของพวกมันฟังดูใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
จนอดไม่ได้ที่จะวิ่งไปพลางเหลียวหลังมองดูสถานการณ์ และมันก็เป็นอย่างที่คิด
พวกสารเลวยามนี้ได้เปลี่ยนจากการก้าวเดินตามธรรมดาเป็นการวิ่งไล่หลังจนตอนนี้ระยะห่างระหว่างเราก็ถูกทำให้หดสั้นลงเต็มที
“พี่บอกให้หยุดไง!!” เสียงตะเบ็งสั่งดังกระโชกขึ้นจากทางด้านหลังวินาทีเดียวกันตอนเหลียวกลับไปมองทาง
เสียงสั่งดังกล่าวมาพร้อมกับเรี่ยวแรงมหาศาลของผู้ชายพุ่งเข้ารวบรัดกอดกายจากทางด้านหลัง
มันแน่นและรุนแรงกว่าในตอนแรงมากนัก
ที่แย่ไปกว่าเดิมก็คือ
ครั้งนี้ผู้ชายท่าทางน่ากลัวช่วยกันจับฉันลากเข้าไปหลังหลบหลังถังขยะใบใหญ่ราวกับต้องการซ่อนเร้นจากสายตาหากมีใครสักอาศัยทางแคบแห่งนี้ในการเดินทาง
“ปล่อยย! ช่วยด้วยย!” แม้จะตกอยู่ในช่วงวิกฤต ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ยอมให้พวกคนเลวทำอะไรกับร่างกายได้มากกว่านี้
ปากยังคงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
แม้จะรู้ว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะมีใครสักคนได้ยินเป็นศูนย์ก็ตามที
“มึงหาอะไรอุดปากแม่งไว้ดิ!”
“ปล่อย ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย...อึก” เศษผ้าขนหนูถูกคนชั่วยัดเข้าใส่ปาก
ปิดทุกเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวและการขอความช่วยเหลือให้เงียบลง
พร้อมกันนั้นมันก็รีบกดกายฉันกระแทกลงกับผนังกำแพงอิฐอย่างแรงไปในคราวเดียวกัน
ข้อมือสองข้างถูกรวบขึ้นด้วยฝ่ายมือหยาบกร้าน
กดขึงเอาไว้แน่นและบีบรัดแรงขึ้นทุกขณะ
“อื้อ!” รับรู้ได้ว่าสวะสังคมสองตัวกำลังสนุกสนานกับการเชยชมเรืองร่างผ่านเสื้อผ้าน้อยชิ้นตามประสาเด็กเที่ยว
ก่อนต้องสะดุ้งเฮือกไปทั้งกายเมื่อหนึ่งในพวกมันใช้ปลายนิ้วลากผ่านแอ่งสะดือลงต่ำไปยังขอบกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่
“เชี่ย
ผิวโคตรขาวเลยว่ะ”
“อึก!” และเป็นอีกครั้งที่ร่างกายสะดุ้งเกร็งเมื่อพวกสารเลวเริ่มเล่นสนุกมากกว่านั้น
ละเลงลิ้นร้อนชื้นลงบนผิวอย่างตะกละตะกามและหื่นกระหาย
สัมผัสน่ารังเกียจของมนุษย์จิตใจต่ำ ทำฉันที่ไม่สามารถสู้เรี่ยวแรงของพวกมันสองคนได้ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวอย่างจับจิต
น้ำใสๆ คลอเต็มสองกรอบตาอย่างห้ามไม่ได้
ได้แค่เพียงภาวนาต่อพระเจ้าบนสวรรค์ ว่าช่วยลูกเถอะ ช่วยลูกเหมือนทุกครั้งที่เกิดเรื่องแย่ๆ ส่งเทวดาสักตนลงมาโปรดให้คนชั่วพวกนี้ได้รู้สำนึกบ้างเถิด...
สิ้นเสียงอ้อนวอนต่อผู้เป็นเจ้า สัมผัสน่าขนลุกและน่ารังเกียจของพวกมารสังก็หยุดชะงักลง แต่พวกมันก็ไม่ได้ปล่อยเหยื่อให้หยุดมือหรอกนะ ที่เห็นผ่านสายตาตอนนี้คือภาพของคนชั่วทั้งสองที่คนหนึ่งนั่งยองจนระดับใบหน้าอยู่บริเวณขอบเอว กับอีกคนที่เป็นฝ่ายใช้มือกดตรึงขังกายฉันไว้ กำลังหันมองไปยังอีกฟากของซอยที่มืดสลัว
ที่ตรงนั้นมีใครบางคนกำลังเดินอยู่...
ตึก... ตึก...
แต่ด้วยเพราะบริเวณโดยรอบมันมืดและมีแสงสว่างน้อยนิด ภาพที่เห็นจึงดูคล้ายกับเงาของชายตัวสูงกำลังเดินตรงเข้ามาลักษณะคล้ายกับคนมีอาการชักกระตุก ราวกับร่างกายเขากำลังถูกสายเชิดหุ่น ชักใยจากเบื้องบนอยู่ไม่มีผิด มิหนำซ้ำเขาคนนั้นยังเดินตรงมายังจุดที่พวกเดนมนุษย์กำลังทำเรื่องเลวๆอยู่ด้วย
ท่าทางการเดินน่าขนลุก ทำเอาหนึ่งในพวกคนชั่วตะโกนถามออกไป
ให้เดาพวกเขาคงมีอาการและความรู้สึกคล้ายกับฉันตอนนี้นี่แหละ
“ใครวะ!?” หากแต่เสียงตะโกนถาม กลับไม่ได้รับคำตอบ
เมื่อเสียงที่ลอดผ่านความมืดกลับมาดันเป็นเสียงหัวเราะ
“HA… HA…” ซึ่งจังหวะเดียวกันนั้น ด้านนอกตรอกแคบได้บังเอิญมีรถใหญ่ขับผ่านไปจนพลอยให้แสงจากไฟหน้ารถคันดังกล่าว สอดผ่านเข้ามาภายใน
แม้จะชั่วขณะเดียว
แต่ในช่วงเวลานั้นเลยทำให้ทั้งสามสายตาสามารถมองเห็นเจ้าของเสียงหัวเราะได้อย่างเต็มตามากขึ้น เขาตัวสูง แต่งกายด้วยชุดสูทสีดำสนิทจนกลืนกินกับความมืด หากแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในดันโชกไปด้วยของเหลวสีสด
เหมือนกับมือของเขาที่ตอนนี้กำลังลากครูดเลือดสดๆไปบนผนังกำแพง...
ภาพของชายท่าทางน่าขนลุกและลักษณะท่าทางน่ากลัวซึ่งมีเสียงหัวเราะดังในลำคอให้ได้ยินสลับกับเสียงก้าวเดิน
ทำเอาพวกสารเลวที่ได้เห็นภาพดังกล่าวเผลอปล่อยฉันที่พวกมันเล่นสนุกเมื่อครู่ออกอย่างรวดเร็วด้วยอาการตื่นตกใจ
ตึก... ตึก...
“ฮ่ะ...ฮ่ะ...” แม้กระนั้นเสียงหัวเราะและเสียงก้าวเท้าไม่เป็นจังหวะก็ยังคงอยู่
ด้วยเพราะบรรยากาศภายในตรอกแคบแห่งนี้ไม่ค่อยดีนัก ทั้งมืดสลัว
อีกทั้งสภาพอากาศในยามนี้ก็ค่อนข้างหนาวเย็นกว่าทุกคืน
“เชี่ยเอ้ย! ไปเถอะ!” ภาพของชายท่าทางหน้ากลัวบวกด้วยเลือดกับลักษณะท่าทางประหลาดยามเคลื่อนไหว
เลยทำให้เดนมนุษย์ทั้งคู่ ตัดสินใจทิ้งเหยื่อที่เคยหมายตา หนีเอาชีวิตรอด
ปล่อยทิ้งฉันให้ตกเป็นเหยื่อรายใหม่ของบุรุษในชุดสูทดำอีกครั้งเพียงลำพัง
ระยะที่ใกล้เข้ามา
ใกล้เข้ามามากขึ้น ของบุรุษท่าทางประหลาดค่อยๆลดลงระยะห่างลงทุกขณะ
ลำพังเพียงแค่เห็นเขาจากแสงไฟหน้ารถที่สอดเข้ามาเพียงชั่วแว๊บเดียว มันก็ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวได้มากพออยู่แล้ว
แต่ความรู้สึกดังกล่าวมันเทียบไม่ได้เลย เมื่อรองเท้าคัทชูหัวมนเงาวับของเขาเคลื่อนมาหยุดลงเบื้องหน้า
กึก…
“อยะ
อย่าทำอะไรฉันเลยนะ…” เพราะไม่ทันได้หนี
สิ่งเดียวที่ทำได้คือการเบือนหน้าหลบสิ่งแปลกประหลาดเบื้องหน้า หลับตาปี๋อย่างคนไม่กล้าที่จะมอง
โดยพายามร้องขอความเห็นใจไปพลาง
ท่ามกลางอากาศที่อุณหภูมิลดจนรู้สึกถึงความชื่นภายในมวลอากาศ
ฉันได้กลิ่นคาวเลือดลอยเตะจมูก
แม้ไม่ได้รุนแรงแต่แค่นั้นมันก็เพียงพอทำให้รู้ว่าชายท่าทางประหลาดเนื้อตัวโชกเลือดกำลังเคลื่อนกายเข้ามาใกล้
มากขึ้น
มากขึ้นและมากขึ้น...
“เฮือก!” แต่แล้วร่างทั้งร่างก็ถูกทำให้สะดุ้งเฮือกท่ามกลางความรู้สึกกดดันและน่าหวั่นใจ
บริเวณแก้มถูกฝ่ามือเย็นเฉียบไร้ความอบอุ่นราวกับไม่มีเลือดเนื้อสัมผัสลงมาอย่างแผ่วเบา
นอกจากมือเขาจะเย็นแล้วฉันรู้สึกถึงความเหนอะและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจากมือข้างนั้นด้วยเช่นกัน
ทั้งที่หวาดกลัว
แต่ว่าเสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางทุกๆ ความรู้สึกกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
“เจ็บตรงไหน...หรือเปล่าครับคุณ?”
เสียงเข้มนุ่มละมุน
ฟังดูเป็นมิตรแสนสุภาพ แตกต่างจากคำพูดจาของเดนมนุษย์สองคนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
ทำฉันตัดสินใจลืมตาขึ้นช้าๆ เหลือบมองไปยังใบหน้าเจ้าของคำถามด้วยอาการหวาดหวั่น
ก่อนต้องพบเข้าใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่ตามโครงหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
เฉกเช่นเดียวกับเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวในและมือที่เขาใช้จับแก้มฉันอยู่ตอนนี้
“มะ
ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ...” ทั้งที่หวาดกลัวแต่สมองยังใจดีสู้เสือ
สั่งให้ปากขยับตอบคำถามเขากลับไป
ขณะสายตายังคงกวาดสำรวจไปทั่วใบหน้าคมคายคล้ายกับคุ้นเคย
ตั้งแต่คิ้วเข้ม
นัยน์ตาเรียวรีคมกริบ จมูกโด่งเป็นสันหรือแม้ริมฝีปากหยักลึกน่าหลงใหล ก่อนต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า
เมื่อชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าดูดี เริ่มเอ่ยถ้อยคำขับไล่ด้วยน้ำเสียง
สำเนียงการพูดที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนภายในประโยคยืดยาวเพียงประโยคเดียว
“พี่สาวควรไปจากตรงนี้นะฮะ...”
พูดแบบเด็กผู้ชาย
“ที่ตรงนี้ไม่เหมาะที่ผู้หญิงอย่างเอ็งจะอยู่…”
พูดแบบคนมีอายุ
“คุณกลับไปบ้าน
จิบชาหรือไม่ก็อ่านหนังสือดีๆสักเล่ม...”
พูดแบบคนเหนียมอายดูคงแก่เรียน
“ทำสิ...”
พูดแบบคนเย็นชา
ขี้เบื่อ
“พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!?
ลุกเด่!!”
พูดแบบวัยรุ่นเลือดร้อนร้อนมาดนักเลง
“อย่าให้เรือนร่างเซ็กซี่ ทำฉันเผลอละเลงความคาวลงบนตัวเธอเลยคนดี...”
พูดแบบคนหื่นกระหาย
“เพราะฉันอาจเชือดคอเธอทันทีที่น้ำรักในตัวถูกปลดปล่อยจนเสร็จ” และพูดแบบฆาตกรจิตวิตถาร ซึ่งดูรับและเข้ากับเครื่องแต่งกายอาบเลือดในเวลานี้มากกว่าอะไร
เขาพูดทุกสำเนียง ทุกเสียงด้วยเพียงสีหน้าเดียว เรียบเฉย ไร้อารมณ์เหมือนปูนปั้นและไม่แสดงความรู้สึกใดผ่านแววตา ราวกับไม่ใช่มนุษย์ที่มีจิตใจ เหมือนอย่างที่ใครต่อใครขนานนามเขาว่าเป็น
เทวดาไร้หน้า...
To Be Continued...
ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น