คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : HUNT01 l สั่งรักครั้งที่1 ตอน เทวดาฆาตกรตัวตลก {อัพ100%}
-JHAA
TALK-
วันเสาร์ที่ 14
กุมภาพันธ์ ปี 20xx
เวลา 08.15
นาฬิกา
‘พรุ่งนี้เจอกันที่ร้านกาแฟ A หน้าสวนสนุกนะ เดี๋ยวเอากระเป๋าไปให้’
เสื้อยืดสีดำสนิทไร้ลวดลายกับกางเกงยีนขาดเข่าสีเดียวกัน ถูกผมหยิบออกจากไม้แขวนเสื้อเพื่อสวมใส่อย่างบรรจง เฉกเช่นเดียวกับทรงผมที่ถูกหวีซี่ถี่หวีรวบให้ดูเป็นทรงอย่างประณีตและเบามือ
สายตาจดจ่อกับภาพใบหน้าของตัวเองซึ่งสะท้อนผ่านกระจกเงาที่เต็มไปด้วยรอยร้าวบานใหญ่ตรงหน้า
ก่อนต้องสะดุดตาเข้ากับรอยยิ้มเล็กๆ มุมปากของตัวเองที่สะท้อนกลับมาให้เห็น
ผมรู้สึกได้ทันที ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอารมณ์ดี...
หลังจากจัดแต่งทรงผมและเครื่องแต่งกายบนเนื้อตัวจนเรียบร้อย
เสื้อหนังกันลมสีดำสนิทจึงถูกหยิบมาสวมทับพร้อมกับรองเท้าคอมแบตคู่ใจ
และเมื่อเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อย ผมจึงไม่รอช้าที่จะพาตัวเองออกจากห้องพักหลังเก่า
อีกหนึ่งสิ่งสุดพิเศษที่ต้องทำก่อนออกจากห้องวันนี้ คือการหยิบน้ำหอมผู้ชาย ยกขึ้นฉีดพรมไปตามเสื้อผ้า ที่ทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะวันนี้คือวัน ‘วาเลนไทน์’ หรือทำตัวให้กับเข้าสถานการณ์บ้านเมือง
แต่ที่ทำเพราะวันนี้คือวันพิเศษสำหรับผมต่างหาก
อีกอย่างสีดำบนเครื่องแต่งกายน่ะ มันคือสีของการไว้ทุกข์...
บุหรี่มวนเล็กถูกจุดและหยิบขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก ทันทีที่ผมพาตัวเองออกจากห้องพักก้าวเท้าเดินลงไปตามขั้นบันไดอย่างช้าๆ ไม่รีบไม่ร้อนโดยใช้แขนขวาถนัดหนีบหมวกกันน็อกเต็มใบเอาไว้
ที่สำคัญการออกข้างนอกวันนี้
ผมก็ไม่ลืมสะพายกระเป๋าสีชมพูใบเล็กแบบผู้หญิงติดตัวออกมาด้วย
พร้อมกันนั้นโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าก็ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อใช้งานด้วยเช่นกัน
“กูกำลังออกไป” ผมพูดผ่านสาย ทันทีที่ที่การโทรออกมีการเชื่อมต่อ
[โอเค เดี๋ยวเจอกัน] เมื่อปลายสายตอบกลับมาแบบนั้นผมจึงไม่มีอะไรจะพูดอีก
รีบตัดสายและเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าหลังตามเดิม แต่ไม่ใช่กับเท้าที่เริ่มเร่งก้าวลงไปตามขั้นบันไดเร็วขึ้นด้วยความรีบร้อน
กึก...
และเมื่อเท้าแตะลงบริเวณพื้นห้องโถงชั้นล่าง
ทุกส่วนของร่างกายก็เป็นอันหยุดชะงักลง
ร่างกายเกิดการตอบโต้กับภาพที่ตาเห็นหน้าหอพักโดยอัตโนมัติ
รีบแทรกตัวเบียดชิดไปกับกำแพง ถึงอย่างนั้นลึกๆ มันก็ยังอดที่จะตามมองไม่ได้
มองภาพของหญิงสาวผมสีบลอนด์ทอง ยาวตรงประบ่า ซึ่งกำลังยืนรอรถโดยสารตรงฟุตบาธหน้าหอพัก
อันที่จริงเรามีโอกาสได้เจอหน้ากันมาก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง
เจออย่างใกล้ชิดที่สวนสนุกและหอพักแห่งนี้...
ทุกอย่างรอบตัวดูเงียบลงไปถนัดตา
เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองดังเป็นจังหวะเข้าออก
ที่น่ารำคาญและขัดใจจนรู้สึกหงุดหงิดก็คงไม่พ้นเสียงหัวใจซึ่งเต้นรัวและแรงจนอึดอัดไปหมด
“ฮัลโหล เธออยู่ไหน?” แค่ได้ยินเสียงของเธอซึ่งดังแว่วมาจากด้านนอก ร่างกายก็เหมือนจะทนไม่ไหว
ลมหายใจติดขัด จุกแน่นในอก จนรู้สึกทรมาน “...ฉันกำลังรอรถประจำทาง....กำลังจะแวะไปทำธุระ..”
ยิ่งได้ยินเสียงหวานของเธอพูดเฉื่อยช้าอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายมันก็เริ่มสั่นจนต้องกระแทกตัวเองแนบชิดใส่กำแพง พิงหัวนิ่งๆ เอาไว้ เพื่อระบายความรู้สึกในอกที่เหมือนจะปะทุอยู่ตลอดเวลาให้หยุดลง
แม้จะรู้ดีว่า สมองสามารถสั่งห้ามได้
แต่ร่างกายไม่รักดีนี้ มันก็ทนไม่ไหวเพราะเธออยู่ดี...
“อืม…แค่นี้ก่อนนะ
รถมาแล้ว…”
เมื่อสิ้นเสียงหวานๆ ร่างกายที่เคยนิ่งไปก็เริ่มขยับชะโงกหน้ามองภาพของเธอซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รถประจำทางหยุดจอดรับผู้โดยสารพอดี
เธอกำลังก้าวเท้าขึ้นรถประจำทางคันนั้นไป เพียงแค่มองลมหายใจที่เคยติดขัดก็เหมือนจะหยุดลงดื้อๆ
มองจนกระทั่งรถโดยสารประจำทางค่อยๆ ขับเลื่อนออกไป ทุกอย่างจึงเริ่มกลับมาเป็นปกติ
ทันทีที่บรรยากาศรอบตัวกลับคืนสู่ปกติ
เท้าสองข้างเองก็ไม่รอช้ารีบเร่งก้าวออกไปบริเวณจุดจอดมอเตอร์ไซค์หน้าหอพัก
ก่อนจัดการเตรียมตัว ทิ้งบุหรี่ที่ไม่ทันเสพสารนิโครตินให้หนำใจลงสู่พื้น
สวมหมวกกันน็อกที่เตรียมมา
ก่อนสตาร์ทรถและบิดเร่งเครื่องยนต์ขณะเล็กออกสู่ถนนใหญ่ตามหลังรถโดยสารคันดังกล่าวออกไป
เหตุผลที่ทุกอย่างดูรีบร้อนขึ้นนับตั้งแต่เธอคนนั้นขึ้นรถออกไปก็เพราะ
ผมไม่อยากไปสาย
นัดของเราสองคน
‘พรุ่งนี้เจอกันที่ร้านกาแฟ A นะ เดี๋ยวจะเอากระเป๋าไปให้’
บรืนนน
เสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
พร้อมกันนั้นก็ตามมาด้วยสายลมแรงๆที่พักปะทะเข้าใส่ร่ายกาย ยามบิดเร่งความเร็วไปบนถนนใหญ่เพื่อให้ทันและแซงรถประจำทางคันใหญ่ให้ได้
ช่วงวินาทีที่รถทั้งคันกำลังบิดสวนรถคันใหญ่ซ่อกแซ่กมุ่งไปบนถนนตรงหน้า
ผมไม่ได้เหลือบมองหาเธอบนรถคันใหญ่นั่นหรอก
แม้ไม่ได้เห็นแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเธออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากตัวผมเลย
กลิ่นของเธอยังหอมหวาน วนเวียนอยู่บริเวณปลายจมูกเสมอ ยิ่งรู้สึกมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งอยากขยี้เธอให้แหลกคามือมากเท่านั้น…
มากเสียจนทนไม่ไหว จำต้องสูดปากระบายความรู้สึกของตัวเองภายในหมวกกันน็อกอย่างห้ามไม่ไหว
“อ่าา ซี๊ดด....แฟน...”
เวลาต่อมา...
ผมใช้เวลาเกือบสิบนาทีบิดรถไปบนถนนด้วยความรู้สึกเหมือนนก
ล่องลอย ไร้หลักเกณฑ์หรือหลักฐานการมีตัวตน เมื่อมาถึงร้านที่เป็นเป้าหมาย
มอเตอร์ไซค์คันเก่งที่ใช้ขับมายังร้านกาแฟก็หยุดจอดลงบริเวณพื้นที่ว่างระหว่างตึกฝั่งตรงข้ามกับร้านกาแฟ
วันนี้เป็นวันหยุด
แถมยังเป็นวันนัดรวมตัวของบรรดาคู่รักหลากหลายวัย
แม้จะเป็นช่วงสายแต่พื้นที่ใกล้เคียงกับร้านกาแฟก็ค่อนข้างแน่นด้วยผู้คนที่ออกมาเที่ยวในวันหยุดพักผ่อน
ยิ่งสถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากบริเวณหน้าทางเข้าสวนสนุกชื่อดังด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัย
แม้จะรู้ว่าคนเยอะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปรอในร้านกาแฟตามอย่างผู้นัดที่ดีพึงจะทำ แต่เลือกนั่งรอเธออยู่บนเบาะรถในที่ที่ปราศจากผู้คน และคอยจับจ้องไปยังป้ายหน้าร้านกาแฟอย่างใจจดใจจ่อ
แค่คิดว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้บ้าง
มันก็กักกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่แล้ว
อ่า ให้ตายสิ...นี่ผมไม่เคยรู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
เกือบห้านาทีเห็นจะได้ล่ะมั้ง
ในที่สุดการรอคอยที่มีก็เป็นอันสิ้นสุดลง
เมื่อถนนตรงหน้าปรากฏภาพของรถประจำทางคันเดียวกับที่เธอคนนั้นโดยสารมาได้เคลื่อนเลยหน้าซอกแคบที่ผมจอดรถซุ่มรออยู่ไปนิดหน่อย
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ไม่รอช้า รีบกวาดขาลงจากรถทันที
ตึก... ตึก...
เท้าสองข้างเดินย่างก้าวไปบนพื้นอย่างเชื่องช้า
ไม่รีบไม่ร้อนและหยุดลงบริเวณปากทางเข้าซอกแคบ
สอดส่องสายตาหาใครอีกคนที่น่าจะอยู่บริเวณนั้นเช่นกันก่อนพบเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งมีคนขับแต่งกายและมีท่าทางแปลกๆ
ทั้งที่ดูไม่น่าไว้ใจ หากแต่บนหน้าผมกลับปรากฏรอยยิ้มบ่งบอกความชอบใจ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนวิถีสายตาไปอีกทางเพื่อเฝ้ามองเป้าหมาย และพบว่าบุคคลที่ผมเฝ้ารออยู่นั้น เวลานี้กำลังเตรียมตัวเพื่อที่จะข้ามถนน และตอนนั้นเอง...
บรื้นนนนน
เสียงคำรามของเครื่องยนต์ขนาดเล็กก็ดังขึ้น มันเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตัวเล็กก้าวเท้าพ้นจากฟุตบาธพอดิบพอดี
ปรี้นน ปรี้นนนน
เสียงบิดเร่งเครื่องสลับกับเสียงบีบแตรโดยได้เสียงฮือฮาด้วยความตกใจของคนรอบข้าง ทำเอาบรรยากาศรอบตัวผมเคลื่อนไหวช้าลงจนคล้ายจะหยุดนิ่ง รูม่านตาที่เบิกกว้างสามารถจับภาพนาทีวิกฤตได้อย่างเต็มสองตาชนิดที่ไม่สามารถหุบรอยยิ้มซึ่งคละคลุ้งไปด้วยความชอบใจระคนความสะใจบนใบหน้าลงได้
ทว่า วินาทีที่ร่างของคนตัวเล็กกำลังจะถูกรถมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้าชนตามอย่างที่ถูกเตรียมแผนมาอย่างดี ร่างกายมันกลับไม่ยอมหยุดนิ่งเหมือนบรรยากาศและความรู้สึก
ตึก! ตึก! ตึก!
เผลอก้าวเท้า กระโดดพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนด้วยฝีเท้าที่ว่องไวตรงปรี่เข้าหาร่างของหญิงผู้เคราะห์ร้ายซึ่งถูกมัจจุราชหมายตา คว้าร่างบางที่ดูตกใจปนช็อกกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเมาไว้ในอ้อมกอดได้อย่างทันท่วงที
ปรี้นนนนน
เสี้ยววินาทีที่รถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวผ่าน ร่างกายบางส่วนเหมือนกำลังถูกลงโทษให้ลิ้มรสความเจ็บปวด แต่เพราะกลิ่นหอมหวานภายใต้อ้อมกอดในยามนี้มันดึงดูดและมีเสน่ห์มากกว่าที่จะสนใจความเจ็บเหล่านั้น ที่แสดงออกไปหลังทุกอย่างเริ่มคืนสู่ความสงบ คือการผละตัวหญิงสาวในอ้อมกอดออกห่างตัวเล็กน้อย
แล้วเอ่ยปากต่อว่า
“เดินระวังๆ หน่อยสิ…”
คนตัวเล็กในอ้อมกอดช้อนตามองหน้าผมนิ่งๆ สิ่งที่สายตามองเห็นคือใบหน้าเรียวสวยและนัยน์ตากลมน่าหลงใหลหากแต่ฉายแววราวกับคนไร้ความรู้สึก
เธอดูไม่ได้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือแสดงอาการตัวสั่นเพราะหวาดกลัวกับวินาทีเฉียดตายเมื่อครู่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม เธอลดสายตาคู่สวยไปจากหน้า
หลุบมองฝ่ามือผมที่ยามนี้เริ่มแสดงอาการแสบนิดๆ
ก่อนทำเรื่องไม่คาดฝันด้วยการถือวิสาสะคว้ามือข้างแสดงอาการเจ็บขึ้นแล้วเอ่ยสั้นๆ
“นายเลือดออก...” เสียงราบเรียบและเย็นชา บนใบหน้าไม่ได้ปรากฏรอยยิ้มใดให้เห็น หากแต่รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงผ่านทางน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้พูด และเมื่อก้มมองไปยังบริเวณที่ปวดแสบจึงพบว่าบริเวณสันมือเวลานี้ปรากฏรอยเลือดกำลังซึมออกมา
คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นจากการช่วยเธอไม่ให้ถูกรถเฉี่ยวเมื่อครู่นั่นแหละ...
“อ่า...แถวนี้ไม่มีร้านขายยาด้วยสิ” ดังนั้นผมแสร้งทำเป็นพูดกลับไปอย่างไม่คิดอะไร พลางชักมือออกแล้วสะบัดไล่เลือดตรงสันมือให้เหือดหายไป
รู้สึกได้ตลอดเวลา ว่าทุกการกระทำของผมนั้นกำลังถูกเธอจ้อง
จนอดไม่ได้ที่จะมองตอบนัยน์ตาคู่สวยกลับไป
ซึ่งนั่นมาพร้อมกับกับคำแนะนำของฝ่ายตรงข้าม
“ใช้ปากอมแผลสิ เลือดจะได้หยุด”
“อมทำให้หน่อยได้ไหม?” ราวกับว่าร่างกายกำลังรอคอยคำพูดดังกล่าวของอีกฝ่าย ปากถึงได้ขยับถามออกไปเช่นนั้นอย่างทันควัน แม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องที่คนแปลกหน้าอย่างเราควรจะพูดใส่กันเลยสักนิด
ผมพยายามห้ามความต้องการของตัวเองแล้ว...
พยายามห้ามแล้ว
แต่ปากก็ไม่ยอมหยุดกล่าวความต้องการลึกๆ ที่มีออกไปอยู่ดี
“จริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยชอบอมเท่าไหร่ เพราะชอบลิ้นมากกว่า อะ...” คำพูดอย่างคนไม่ให้เกียรติกันจากปากผมถูกทำให้หยุดลงอย่างฉับพลัน เมื่อจังหวะเดียวกันนั้น มือข้างที่เป็นแผลถูกมือเล็กของใครอีกคนคว้าขึ้นสูงระดับริมฝีปาก ก่อนที่สายตาจะถูกสะกดให้จดจ้องกับภาพเบื้องหน้าราวกับถูกสะกด
ฟึ่บ...
“อะ...” ร่างกายและความต้องการภายใน ค่อยๆ ถูกจุดฉนวนให้ติดไฟ ขณะทุกสิ่งรอบกายเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงจนมองเห็นและรู้สึกทุกอย่างชัดมากขึ้น
และยิ่งชัดมากเข้าไปใหญ่
เมื่อเด็กสาวตรงหน้าประทับริมฝีปากอวบอิ่มของตนเองลงมายังสันมือก่อนเริ่มใช้ลิ้นอุ่นชื้นกวาดเลียไปตามบาดแผลอย่างเชื่องช้าเหมือนไม่รู้สึกรังเกียจราวกับกำลังตอบแทนพระคุณ
เธอทำ…
ทั้งที่สายตาของเรายังสบประสานกันอยู่เช่นนั้น
-FAN
TALK-
หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เฉียดเจ็บตัวโดยแลกกับการตอบแทนน้ำใจรักษาแผลเล็กน้อยช่วงสันมือให้ผู้มีพระคุณจนเสร็จ
เราทั้งคู่ก็พากันไปนั่งคุยกันบริเวณม้านั่งริมถนน
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุคคลที่นัดฉันวันนี้มันก็คือเขาที่เขามาช่วยชีวิตได้ทันเวลาพอดีนั่นไง
อีกเหตุผลที่ไม่เข้าไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟเหมือนอย่างที่ถูกนัดไว้ตอนแรกก็เพราะฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
กับการอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและมีเสียงพูดคุยจอแจรบกวนความคิดจนสร้างสร้างความรำคาญ
“ขอบคุณที่ช่วยทั้งเรื่องเมื่อกี้แล้วก็เรื่องกระเป๋า” ส่วนเรื่องที่เราทั้งคู่ใช้คุยกันก็คงไม่มีอะไรสำคัญนัก
นอกจากการแสดงน้ำใจและตอบแทนความช่วยเหลือ
เพราะพูดไม่เก่ง หัวข้อสนทนาในหัวจึงมีแค่นี้…
“ไม่เป็นไร คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ระวังตัวบ้างก็แล้วกัน”
“อือ” เขาเองก็ดูท่าเป็นคนพูดไม่เก่งเหมือนกัน
ทั้งที่เราทั้งคู่ก็นั่งพักกันมาได้ครู่สั้นๆแล้วแท้ๆ แต่บทสนทนายังคงมีอยู่เพียงเท่านั้น
ส่วนใหญ่คงเป็นการนั่งมองหน้าแบบคนไม่รู้จะคุยอะไรกันมากกว่า
ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่จู่ๆ
เขาที่ทำท่าเหมือนพูดไม่เก่งก็ดันชวนคุยขึ้นมา
“เธอยังเด็กอยู่เลย ชื่อแฟนใช่ไหม?” เมื่อถูกถามฉันจึงพยักหน้า
และนั่นเลยทำให้คนถามยิ้มแล้วกล่าวออกมาอีกหน “พี่ชื่อจ๋านะ”
“ชื่อนายเหมือนผู้หญิงเลย” ฉันบอกเขาอย่างไม่รู้สึกค้างคาอะไร
ในเมื่อข้าวของสำคัญอยู่ที่ตัวเขาทั้งคืน มันคงไม่แปลกนักหากเขารื้อค้น
เพื่อหาทางล่วงรู้ชื่อเสียงเรียงนามของผู้เป็นเจ้าของกระเป๋า
“งั้นเหรอ?” เขาย้อนยิ้มๆ ก่อนเบนสายตาหลบไปทางอื่นหลังจากนั่งสบตากันมาพักใหญ่ซ้ำยังกล่าวเสริม “ชื่อพี่ออกจะหวาน…”
และพอเงียบไป
พี่จ๋า(เรียกตาม)ที่เบนสายตาไปทางอื่นก็หันกลับมามองหน้าตามเดิมจากนั้นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขี้เล่นเชิงหมาหยอกไก่
“แฟน-จ๋า เหมาะสมกันจะตายว่าไหม?” ทว่าคำถามล้อหลอกดังกล่าวกลับไม่ได้มีการตบมุกหรือสาดลูกเล่นใดกลับไป
เมื่อจู่ๆ สมาร์ทโฟนของฉันดังขัดขึ้นจากภายในกระเป๋ากางเกงเสียก่อน
การที่เป็นเช่นนั้นเลยทำให้ความสนใจทั้งหมดที่เคยมีให้กับคนตัวใหญ่ตรงหน้า
ถูกปรับเปลี่ยนมายังมือที่ค่อยๆ หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นดู และพบว่าเบอร์ที่โทรเข้ามานั้นกำลังขึ้นโชว์ว่า
‘Darling’
วูบหนึ่งที่หางตาเลื่อนมองคนข้างกายเพื่อดูท่าทีต่างจากมือซึ่งยังกดรับสาย
ทำตัวเหมือนปกติ และพบว่าอีกฝ่ายซึ่งเคยใช้สายตาจดจ้องมาที่หน้าฉันมากกว่าการให้ความสนใจสิ่งต่างๆรอบตัว
เวลานี้ได้เลื่อนละปรายตามองออกไปยังทางเดินฝั่งตรงกันข้ามเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
“ฮัลโหล?” เหมือนอย่างฉันที่ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรในตัวเขาเหมือนกัน
[อยู่ไหน?]
“ถึงหลายวันแล้ว เพิ่งคิดจะโทรมาหรือไง?”
[ก็มันไม่ว่างนี่หว่า แล้วนี่อยู่ส่วนไหนของเมืองบ้านเกิดล่ะ] คำถามจากปลายสายทำฉันปรายตามองไปรอบตัว
ก่อนสะดุดเข้ากับชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่จากด้านหลังกำแพงสูงและนั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่าที่ที่ฉันกำลังนั่งมองอยู่นั้นมันคือ...
“หน้าสวนสนุก Dream Land” สถานที่ที่ฉันไม่อยากย่างกายเข้าใกล้มากที่สุด
[เธอเนี่ยนะอยู่ที่สวนสนุก?] หากแต่ว่าคำตอบที่กล่าวออกไปนั้นดันสร้างความประหลาดใจให้แก่คนในสายได้ไม่ยาก
[เซอร์ไพรส์แฮะ]
“เงียบไปเลยโจ” ฉันขัดน้ำเสียงประหลาดใจของปลายสายแบบไม่ต้องคิด
เพราะไม่ว่าเขาจะคิดอะไรอยู่ เชื่อเลยว่ามันผิด ส่วนชื่อของบุคคลที่ฉันกำลังพูดคุยอย่างเป็นกันเองอยู่นั้นคือ
‘โจ’ หรือ ‘โจนาธาน’
อดีตเพื่อนชายซึ่งเรามีโอกาสพบกันที่สถานบำบัดจิต
“ฉันแค่แวะ มาทำธุระ เดี๋ยวจะกลับแล้ว”
[ทำไมต้องรีบกลับ รออยู่ที่นั่นแหละ]
คำพูดของโจทำคนฟังเงียบไปอย่างไม่เข้าใจความหมาย
ในเมื่อเขากับฉันตอนนี้อยู่กันคนละซีกโลก แล้วทำไมฉันถึงต้องนั่งรอเขาอยู่ใกล้สถานที่ที่เกลียดนักเกลียดหนาด้วยล่ะ
ถูกไหม?
คำถามในใจผุดเข้ามาในหัวได้ไม่นาน
ก่อนถูกคลีคลายให้ความคืบแคลงจางลงเมื่อปลายสายกล่าวขึ้นอีกครั้ง
[เรายังไม่เคยเดทกันที่สวนสนุกเลยนี่ถูกไหม? รออยู่ที่สวนสนุกแล้วกัน
เดี๋ยวนั่งรถไปหา] เพียงถ้อยคำยืดยาวประโยคเดียวก็พอแล้วที่จะตอบโจทย์ข้อสงสัยในหัวว่าทำไมช่วงวันสองวันมานี่เขาถึงไม่ติดต่อมาบ้าง
เขากำลังเดินทางมาหาฉันที่นี่นั่นเอง...
โจนาธานไม่ได้รอให้ฉันพูดขัดความต้องการของตัวเองและเลือกวางสายไปทั้งๆอย่างนั้น
ทันทีที่สมาร์ทโฟนในมือถูดลดลงมาไว้บนตัก เสียงเข้มของชายหนุ่มอีกคนก็ดังแทรกขึ้นทันที
“แฟนโทรมาเหรอ?”
“อืม มีอะไรหรือเปล่า?” ขณะตอบสายตาก็เหมือนถูกแรงดึงดูดประหลาดเรียกร้องให้เหลือบมองสีหน้าคนข้างกายไปด้วย
ภาพที่เห็นคือเสี้ยวหน้าคมคายดูมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่กำลังปรากฏรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้เห็น
รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกว่าเขากำลังแสดงความยินดีและไม่พอใจไปพร้อมกัน
“แค่อิจฉาน่ะ” แม้กระทั่งตอนตอบรอยยิ้มดังกล่าวก็ไม่ได้หายไป
ซ้ำยังเพิ่มเติมกริยาทางสายตาราวกับต้องการบอกให้แน่ใจมากขึ้น ว่าเขากำลังรู้สึกเหมือนอย่างที่พูดจริงๆ
ทว่า ความรู้สึกดังกล่าวก็คงอยู่ได้ไม่นาน
เมื่อนัยน์ตาคมของเขาเลื่อนไปทางอื่นพร้อมทั้งหลุดเสียงหัวเราะในลำคอให้ได้ยิน “คนโสดมักอิจฉาคนมีคู่กันทั้งนั้น”
และนั่นดูเหมือนจะช่วยลดความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างบทสนทนาของเราทั้งคู่ไปด้วย
“โสดนานแค่ไหนแล้วล่ะ ถึงได้ขี้อิจฉา?”
เมื่อเจอช่องว่าง
ฉันก็ไม่รอช้าที่จะถามโดยแฝงการเหน็บผ่านคำพูดเพื่อเอาคืนความรู้สึกที่ได้รับจากเขาเมื่อครู่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาแทบจะทันทีราวกับรอคอยคำถามนี้มานาน
“6 ปี”
“เหมือนกันเลย
แต่ของฉันไม่ใช่เรื่องแฟนหรอกนะ…” ไม่รู้อะไรดลใจให้ปากขยับกล่าวออกไปเช่นนั้น
แม้ว่าจะพยายามบังคับให้ตัวเองหยุดก็ตาม แต่มันก็ยากเกินไป “แต่เป็นเรื่องที่ฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศมา
6 ปีต่างหาก”
“จริง?” เขาย้อนเสียงเรียบ
โดยครั้งนี้ใช้สายตามองย้อนกลับมายังฉันอีกครั้งเหมือนสนอกสนใจกับเรื่องที่เรากำลังคุยกัน
“ย้ายไปทำไมตั้ง 6 ปี?”
พอได้ยินคำถามนี้
มันเลยพอทำให้ฉันเริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกของคนรอจะฟังคำถามที่ตัวเองขึ้นมา
เมื่อปากรีบขยับตอบโต้อย่างทันควันไร้การลังเล
“ฉันเป็นบ้า
เลยถูกส่งตัวไปเข้ารับการรักษาอาการทางจิตให้หาย…” ซึ่งคำตอบที่ให้ไปก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องโกหกที่ไหน
“แล้วนายล่ะ 6 ปีที่ผ่านมาทำไมถึงโสด?”
สิ้นเสียงคำถามแววตาดุดันของชายหนุ่มตรงหน้าก็เริ่มทอเป็นประกายให้เห็น
รับรู้ได้ว่าเขาเองก็คงจะรอคำถามนี้ไม่ต่างจากฉันนัก
“อ๋อ พอดี ติดคุกน่ะ…”
To Be Continued...
ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น