คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : GOODIE30 ll เป็นโจรครั้งที่30 {อัพ100%} ระหว่างเรา
“อยากเจอไอ้ก็อตไม่ใช่เหรอ...ในเมื่อตอนนี้ยังเจอตัวเป็นๆไม่ได้ งั้นก็มาในที่ที่มันเคยมาก็พอ”
พอได้ฟังอ้ายกอล์ฟพูดแบบนั้น ฉันก็พูดอะไรไม่ออก ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและจริงใจจากผู้ชายคนนี้ผ่านคำพูดด้วยเช่นกัน
ฉันไม่เคยเข้าใจความคิดของอ้ายกอล์ฟเลยสักครั้ง ไม่รู้จริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่
บางทีเขาก็ดีกับฉันเหลือเกิน แต่บางคราวก็ร้ายกับฉันจนน่าใจหาย
ทั้งที่เขาคือคนที่เคยประกาศลั่นวาจาห้ามฉันเจอกับอ้ายก็อตแท้ๆ
แต่คำพูดของอ้ายกอล์ฟในตอนนี้กลับฟังเหมือนว่า หากฉันต้องการจะออกไปเจออ้ายก็อตจริงๆ
เขาก็คงไม่ว่าอะไร
อ่า...ให้ตายสิ!
ไม่เข้าใจเลย
ว่าตอนนี้ในหัวของเขาตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งคิดตามน้ำคำของคนใจร้าย
ในหัวก็ยิ่งตื่อไปหมด สิ่งที่ทำได้คือการเอนตัวลงนอนราบไปบนพื้นหญ้าและหวังให้ธรรมชาติช่วยระบายความรู้สึกอึดอัดแปลกๆระหว่างเราสองคนออกไปบ้าง
ท่ามกลางความร่มรื่นและร่มเย็น ถูกสีครามของท้องฟ้าและก้อนเมฆปกคลุกเบื้องบนออกเป็นวงกว้างขนาดใหญ่ การที่ได้เห็นภาพสวยๆตรงหน้าแบบนี้ มันเหมือนเป็นการช่วยผ่อนคลายความคิดให้เบาบางลงจนกระทั่งว่างเปล่า
ไม่แน่หรอก การที่อ้ายกอล์ฟพาฉันมาที่สวนแห่งนี้
อาจเป็นเพราะว่าเขาเองก็อยากให้ความร่มรื่นของสวนนี้ช่วยระบายความคิดหนักๆต่อภาระที่ต้องแบกรับไว้ให้เบาบางลงก็เป็นได้…
“อ้ายกอล์ฟคะ...” อีกหนที่ฉันเรียกชื่อเขาออกไปและถามเรื่องของเขา เผื่อว่ามันจะช่วยให้ฉันรู้หรือเข้าใจอะไรในตัวผู้ชายคนนี้มากขึ้น
“ครอบครัวของอ้ายกอล์ฟ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
“ต่างประเทศ...”
ตอนแรกฉันคิดว่าการถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้
คนตัวใหญ่จะไม่ยอมตอบเสียอีก แต่ตรงกันข้าม เขายอมตอบแถมยังตอบไวมากเสียด้วย
ต่างจากเวลาถามถึงเรื่องน้อยชายเขาโดยสิ้นเชิง
“แล้วทำไมอ้ายกอล์ฟถึงไม่ย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างประเทศล่ะคะ...หรือเพราะว่าอ้ายก็อต”
“อื้ม...”
อ่า...ที่เขาต้องอยู่ที่นี่ก็เพราะไม่มีคนคอยดูแลอ้ายก็อตสินะ
ท่าทางจะรักน้องชายตัวเองมากจริงๆ
“จะถามทำไมนักหนา?”
ทว่า คราวนี้พอฉันเงียบไป มันก็เป็นอ้ายกอล์ฟเองที่ตั้งคำถาม
พานให้ต้องพลิกหน้าหันไปทางที่เขานอนอยู่
ก่อนต้องตกใจ เมื่อพบว่าคนตัวใหญ่เองก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่
โดยที่ระยะห่างระหว่างใบหน้าของเราอยู่ไกลกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และดูเหมือนว่าคำถามที่เขาเอ่ยออกมานั้นคงไม่ได้ต้องการคำตอบสักเท่าไหร่
เพราะเมื่อวินาทีที่เรามีโอกาสได้นอนมองหน้ากันในระยะที่ใกล้ขนาดนี้
ทุกวลีพูดที่เขาถามหรือฉันต้องตอบ จึงคล้ายกับถูกสายลมเย็นๆของสวนแห่งนั้นพัดพาออกไปจนเหลือเพียงความเงียบ
นัยน์ตาสีอ่อนของผู้ชายตรงหน้าที่มองเห็นอยู่ยามนี้มันทำให้ฉันนึกถึงภาพของตัวเองในวันที่เกิดอุบัติเหตุ แววของเขาที่มองมาอย่างตกใจก่อนเปลี่ยนไปหลังสิ้นเสียงคำสัญญา มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนอย่างตอนนี้นั่นแหละ
ไม่อยากเชื่อเลย ว่าคนที่ฉันมั่นใจว่าเป็นรักแรกตอนวัยเด็ก ตอนนี้กำลังนอนมองตาอยู่ข้างๆแบบนี้
ทั้งที่ขึ้นชื่อเป็นรักแรกแท้ๆ แต่ว่าความสัมพันธ์ของเรากลับไม่เป็นแบบนั้น…
พอในหัวนึกถึงเรื่องเก่าๆระหว่างเราขึ้นมา
แทนที่ปากจะขยับตอบคำถามของเขาที่ค้างไว้ แต่ก็เปล่า
“อ้ายกอล์ฟไม่มีแฟนหรือคนรักบ้างเหรอคะ?”
กลับถามถึงแต่เรื่องที่จิตใต้สำนึกอยากรับรู้ออกไป
“ไม่มี” สองวลีสั้นๆที่เขาพ่นกลับมาคล้ายกับเป็นตัวทำคำถามในหัวให้หมดไป จนเหลือแต่เพียงความเงียบ ไม่ใช่ไม่อยากถาม แต่ไม่กล้าที่จะถามต่อแล้วต่างหาก ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แต่มันก็เป็นอ้ายกอล์ฟเองนั่นแหละที่กล่าวขึ้น “เพราะว่ายังรอ...”
เพียงแค่ถอยคำสั้นๆเท่านั้น จู่ๆกลับทำให้เอาหัวใจที่ห่างหายจากอาการหวั่นไหวมานานแสนนานเริ่มเกิดอาการขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกคงเหมือนกับวันแรกที่ฉันมีโอกาสได้พบเขาหลังเกิดอุบัติเหตุบนดอยนั่นล่ะ
ที่บ้าที่สุดก็คือพอได้สบประสานตากับเขาแบบนี้นานเท่าไหร่
ใจเจ้ากรรมก็ยิ่งเริ่มอัตราการเต้นรุนแรงขึ้นจนเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่คนตัวใหญ่เริ่มมีการเคลื่อนไหว
ขยับพลิกกายตะแคงข้างหันมามองแบบเต็มตัวแล้วเอ่ยปากขึ้น
“ขอแค่จำกันได้...ต่อให้เป็นแค่เงาก็ยอม”
เงาเหรอ...หมายถึงเรื่องที่เขาเป็นฝาแฝดของอ้ายก็อตอย่างงั้นเหรอ
กึก!
“อะ...” แต่แล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือก เมื่อคนตัวใหญ่จงใหญ่ขยับตัวอีกครั้ง และหยัดฝ่ามือลงกับพื้นหญ้าคร่อมตัวฉันไว้
ไม่ต้องบอก ก็พอรู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร เพราะก่อนหน้านี้เคยปฏิเสธและต่อต้านไปแล้วครั้งหนึ่งแต่เขาก็ยังทำมันสำเร็จอยู่ดี คราวนี้ฉันเลยเปลี่ยนวิธี
“อ๊ะ! อะ...อ้ายกลอ์ฟ!” ตะเบ็งเสียงเรียกชื่อเขาออกไป แสร้งทำหน้าทำตาตกอกตกใจ พร้อมกันนั้นก็ชี้นิ้วใส่เขาไปด้วย
“อะไร!?” และดูเหมือนจะได้ผล เมื่อคนตัวใหญ่เองก็ดูจะตอบรับปฏิกิริยาจากฉันกลับมาอย่างทันท่วงที
“หนะ...นั่น!” ยิ่งแสร้งทำเสียงเป็นตื่นตระหนกมาดเท่าไหร่ คนตัวใหญ่ก็ดูจะแปลกใจจนเขาต้องหันซ้ายหันขวา มองตามปลายนิ้วฉันอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
“อะไร?” ส่วนปากก็ตะคอกถามออกมาด้วยวลีเดิมๆ พร้อมกันนั้นอาการที่เขาแสดงออกก็บอกได้อย่างดี ว่าสิ่งที่อ้ายกอล์ฟสนใจอยู่ยามนี้ไม่ใช่ร่างกายฉันอีกต่อไปแล้ว
“อะไร? อะไร!?” คนเจ้าเล่ห์รีบผละตัวกลับไปอยู่ในท่านั่ง พลางรีบก้มมองสำรวจตามเนื้อตัวของตัวเองราวกับว่าเขากำลังตกใจต่อเสียงเสแสร้งของฉันอยู่จริงๆ จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับท่าทางที่ไม่สมเป็นเขาออกมาเสียงดัง
เมื่อสบโอกาสฉันจึงไม่รอช้า รีบดันกายให้ลุกกลับมาอยู่ในท่านั่งทันที อ้ายกอล์ฟที่เหมือนจะเริ่มรู้ตัวว่าถูกแกล้ง ตวัดหางตามองคล้ายกับไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่เสียงหัวเราะที่เปล่งออกมามันก็ดูยากเกินที่จะหยุด
“หัวเราะอะไร?” จนเมื่อเสียงเข้มบอกถึงความหงุดหงิดของอีกฝ่ายถามขึ้น ฉันจึงยอมตอบ
“กะ ก็สีผมของอ้ายกอล์ฟน่ะ...” ตอบทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ “สีเขียวเหมือนหญ้าเลย ฮ่าๆๆ”
“แค่เนี้ยะ!?” เขาย้อน
“อื้อ!” บอกไม่ได้หรอกว่าที่กำลังหัวเราะอยู่น่ะ ไม่ใช่สีผมของเขาที่เหมือนหญ้า แต่กำลังหัวเราะเพราะไม่คิดว่าคนที่เอาแต่ข่มขู่คนอื่นอย่างใจร้ายมาโดยตลอดแบบเขาน่ะ จะหลอกง่ายขนาดนี้
แต่ไม่นานนักหรอก เสียงหัวเราะที่เคยก็ถูกทำให้เงียบลง เมื่อคนตัวใหญ่เลื่อนมือเข้ามาหา ก่อนแตะมันลงบนหัวฉันอย่างแผ่วเบาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มใจดี ในแบบที่น้อยครั้งจะได้เห็น
แววตาของอ้ายกอล์ฟตอนนี้ก็เช่นกัน เขาไม่ได้มองฉันด้วยแววตาดุๆ เหมือนที่ผ่านมา หากแต่แววที่เขาเผยให้เห็นอยู่นั้นมันคือการมองมาอย่างเอ็นดู สัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนของฝ่ามือที่เขาใช้ยีไปมาบนหัวบอกถึงความอ่อนโยนที่ผู้ชายคนนี้พึ่งจะมีอยู่ในตัว
มันคือความอบอุ่นแบบเดียวกับที่ฉันได้รับจากเขาในตอนที่เราเจอกันเป็นครั้งแรก พอเห็นคนใจร้ายที่ตอนนี้เริ่มมีทีท่าเปลี่ยนไป มันก็เผลอยิ้มรับให้กับสีหน้าที่เขาแสดงออกไม่ได้
และดูเหมือนไม่ใช่แค่แววตาหรือสีหน้าเท่านั้น มันยังรวมไปถึงน้ำเสียงที่เขาใช้ด้วยเช่นกัน
“ขี้แกล้งเหมือนกันนะเราเนี่ย...” ทั้งที่มันคือการต่อว่าแท้ๆ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกแบบนั้น ที่ฟังดูโง่ก็คือ เสียงของเขาที่พ่นวาจาเมื่อครู่ออกมาฟังดูคุ้นหูและให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจเหมือนกับเสียงอ้ายก็อตที่เคยได้ยินผ่านสายอย่างน่าแปลก
ตลอดวันนั้นทั้งวันอ้ายกอล์ฟไม่ได้พาฉันมานั่งเปื่อยอยู่ที่สวนสาธารณะขนาดใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว แต่เขายังพาฉันเดินเที่ยวตลาดนัดขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากกันไปเล็กน้อย ที่นี่มีของขายเยอะมากไม่ว่าจะเสื้อผ้า ของประดับ อีกทั้งยังมีทั้งต้นไม้และสัตว์เลี้ยงให้เดินดูจนรู้สึกเพลินตา
ด้วยเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ ทำให้ตลาดนัดขนาดใหญ่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ด้วยความที่เป็นแบบนั้นมือของฉันจึงถูกมือหนากุมไว้แน่นตลอดการเดินดูของ มือที่เขาเคยใช้ทำร้ายฉันจนรู้สึกเจ็บปวด ขณะเดียวกันก็เป็นมือที่คอยช่วยเหลืออย่างอ่อนโยน
การออกมาเที่ยวและตื่นตาตื่นใจกับการเดินดุข้าวของต่างๆ มันแทบจะทำให้ฉันลืมใครอีกคนที่สำคัญมากในชีวิตไปเลย กว่าจะนึกถึงเขาคนนั้นขึ้นมาได้ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงเย็น
อ้ายกอล์ฟขับรถพาฉันกลับมายังหอพักได้อย่างปลอดภัย หลังจากใช้เวลาเดินเที่ยวจนรู้สึกเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แต่อย่างน้อยวันนี้มันก็เป็นวันดีๆ วันหนึ่งที่ทำให้คนที่เคยใจร้ายสามารถสงบศึกกับฉันได้เกือบทั้งวัน เพราะงั้น ทันทีที่เท้าของเราทั้งคู่หยุดลงที่หน้าห้องใครห้องมัน ฉันจึงไม่ลืมที่จะพูดแสดงความรู้สึกของตัวเอง
“วันนี้ขอบคุณมากๆนะคะ สนุกมากๆเลย” ทว่า สิ่งที่คนตัวใหญ่ตอบกลับมาดันไม่ใช่คำพูดตอบรับน้ำใจ แต่ฟังดูเหมือนคำถามมากกว่า
“ผมสีเขียวนี่...มันดูตลกขนาดนั้นเลยเหรอ?” ตอนพูดน่ะ อ้ายกอล์ฟใช้มือจับเส้นผมของตัวเองไปด้วย ราวกับว่าเขาจริงจังต่อคำถามที่เอ่ยออกมายังไงอย่างงั้น
“ไม่ตลกหรอกค่ะ หนูก็แค่แกล้งเฉยๆ”
“เหรอ?” ไม่ใช่แค่ช่วงตอนเราเดินเที่ยวด้วยกันเท่านั้นที่เขายอมพูดดีๆ ด้วย จนถึงตอนนี้อ้ายกอล์ฟก็ยังพูดดีอยู่ “แล้วสีไหนดีกว่ากันล่ะ?”
“คะ?”
“สีผมของพี่น่ะ...” คนตัวสูงจงใจเงียบเสียงลงพลางลดปลายนิ้วที่จับผมของตัวเองออกไปด้วย อีกทั้งยังเลื่อนสายตามองหยุดอยู่ที่หน้าฉันจากนั้นจึงพูดต่อ “ระหว่างสีเขียวกับสีที่เราเจอกันครั้งแรก”
คำถามของเขากำลังทำให้หัวใจฉันเกิดอาการแปลกๆขึ้นมาทั้งที่ไม่สมควร พานให้ต้องเงียบลงอย่างคนไม่รู้จะตอบอย่างไร
“ว่าไง สีไหนดีกว่ากัน?” จนกระทั่งเขาพูดเร่งเร้าเอาคำตอบออกมาเป็นหนที่สองนั่นแหละ ฉันจึงยอมตอบคำถามกลับไป
“หนะ หนูชอบสีธรรมชาติค่ะ”
คำตอบที่เขาเองน่าจะรู้ว่ามันหมายความอย่างไร
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต #ผู้ชายสายโจร
ความคิดเห็น