คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : GOODIE23 ll เป็นโจรครั้งที่23 {อัพ100%} จริงจัง
หอพักรวม A
เวลา 22.40
นาฬิกา
(พริกดูนี่สิ!...เห็นสวนนี้หรือเปล่า ดอกไม้ที่สวนนี้สวยมากเลยว่าไหม..แต่ก็สู้ดอกบัวตองที่เหนือไม่ได้หรอกเนอะ...)
เสียงของอ้ายก็อตดังผ่านลำโพงของโน๊ตบุ๊กไปทั่วห้องพัก ส่วนฉันนั้นนั่งขัดสมาธิมองภาพเคลื่อนไหวของเขาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น
(พี่อยากให้พริกมาที่สวนนี้สักครั้งจังเลย..รู้ไหมว่าเพราะอะไร..แต่นแต้นนน...)
“คิกๆ..” ฉันหลุดหัวเราะเหมือนทุกครั้ง ยามที่นั่งดูภาพวิดีโอเก่าๆที่อ้ายก็อตส่งมาทางเมล์และต่อให้ต้องหลับตา
ฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ผู้ชายในภาพกำลังบิ้วให้คนที่ชมวีดิโออยู่รู้สึกตื่นเต้นมันคืออะไร
(น้องพริกเคยปั่นเป็ดไหมคะ...มันต้องเข้าไปนั่งข้างในนี้
แล้วก็ใช้เท้าปั่นๆๆๆไปบนน้ำ...เอาไว้ถ้าเราเจอกันเมื่อไหร่...) และเพราะดูซ้ำมาแล้วหลายรอบ
มันจึงไม่แปลกอะไรหากว่าฉันจะสามารถพูดตามผู้ชายที่ปรากฏอยู่ในคลิปวีดิโอตรงหน้าได้
“เรามาปั่นเป็ดตัวนี้ด้วยกันนะคะ...” ทันทีเสียงที่ว่าเอ่ยเสียงจากคลิปวีดิโอเงียบลงไปพร้อมๆกับภาพที่ฉายอยู่ พลอยให้ความเงียบปกคลุมภายในห้องพักอีกครั้ง
ฉันขยับตัวนิดหน่อย
ก่อนโน้มตัวหนุนหน้าลงกับเตียง
ตะแคงมองภาพหน้าจอที่ปรากฏเป็นสีดำพร้อมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ บนหน้า
ขณะเดียวกันในหัวก็กำลังคิดย้อนไปถึงตอนช่วงเวลาที่มีโอกาสได้พูดคุยกับอ้ายซี
‘หนูอยากเจออ้ายก็อต...อ้ายซีช่วยหนูได้ไหมคะ?’ ตอนนั้นน่ะ อ้ายซีดูจะตกใจนิดหน่อยกับเสียงร้องขอจากฉัน
แต่เพราะกลัวจริงๆ กลัวว่าคำขอจะไม่ได้รับการตอบรับ
ฉันจึงต้องพูดความในใจออกไปอีกครั้ง ‘หนูอยากเจออ้ายก็อตมากจริงๆ
แต่ว่า...’
‘ไอ้กอล์ฟไม่ให้ไปเจอใช่ไหม?’ แต่เขากลับพูดแทรกขึ้นมาแบบไม่คิดจะปิดบัง
ว่าความจริง นั่นทำให้รู้ว่าอ้ายกอล์ฟคงจะเล่าทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉันให้เขาฟัง
และถ้าเดาไม่ผิด คาดว่าอ้ายซีก็คงรู้เรื่องความสัมพันธ์ผิดพลาดระหว่างฉันกับอ้ายกอล์ฟแล้วเหมือนกัน
ด้วยคำพูดประโยคหลัง ‘อ่าไอ้หมอนั่น...ชักทำเกินไปแล้ว’
ทั้งที่เขาอาจจะเป็นอีกคนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆระหว่างฉันกับอ้ายกอล์ฟ แต่รู้ไหม ฉันกลับไม่รู้สึกระแวงหรือกลัวว่าอ้ายซีจะเอาเรื่องที่รู้ไปเล่าถึงหูอ้ายก็อตแบบที่ฉันระแวงอ้ายกอล์ฟเลยสักนิด
ด้วยเพราะเขาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งความคิดความอ่าน การวางตัวหรือแม้แต่การพูดจา รวมถึงการแสดงความจริงใจผ่านการตอบคำถามทุกข้อแบบไม่มีอาการลังเลหรือหลีกเลี่ยง
มันเลยทำให้ฉันรู้สึกไว้ใจผู้ชายที่ชื่อซีคนนี้ขึ้นมาได้อย่างน่าแปลก
‘เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปพริกไม่ต้องคิดมาก ใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะ...ถ้าไอ้กอล์ฟทำอะไรไม่ดีใส่อีก โทรมาบอกพี่ เดี๋ยวพี่จัดการเอง’
โดยเฉพาะกับคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่เราทั้งคู่จะแยกกัน
‘ส่วนเรื่องไอ้ก็อต...ถ้าพริกอยากเจอพี่ก็จะให้พริกได้เจอ’ ซึ่งการที่ฉันได้พบอ้ายซีเป็นการส่วนตัวแบบนี้ มันเหมือนกับเป็นการเติมเชื้อไฟความหวังในใจให้ส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
และมั่นใจว่าผู้ชายใจดีอย่างอ้ายซีจะไม่มีทางรับปากส่งๆอย่างเด็ดขาด...
พอคิดมาถึงตรงนี้
ในหัวก็ดันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
จำต้องรีบลุกขึ้นจากข้างเตียงเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความรีบร้อน
และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอ
บนหน้าจอสี่เหลี่ยมของโทรศัพท์ยังคงว่างเปล่าไร้ซึ่งสายโทรเข้าหรือข้อความ
แต่ว่าการที่มันโล่งจนน่าใจหายแบบนี้น่ะ
มันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแย่เหมือนที่ผ่านมาตลอดทั้งวันหรอกนะ ตรงกันข้ามเลยล่ะ...
ปลายนิ้วค่อยๆเลื่อนจิ้มเข้าโปรแกรมแชท
ก่อนเลื่อนไปยังรายชื่อของผู้ที่เป็นเป้าหมายและพิมพ์ข้อความลงไป
พริก :: ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
หายป่วยไวๆค่ะ สู้ๆ!
ฉันยิ้มนิดๆ
เมื่อข้อความที่พิมพ์ถูกกดส่งไป
และเพราะคิดว่าตอนนี้อ้ายก็อตอาจจะกำลังยุ่งหรือเพราะป่วยอยู่
ฉันจึงไม่ได้คิดที่จะรอการตอบกลับจากคู่แชท และเลือกวางโทรศัพท์มือถือไว้ตามเดิม
แต่ว่า...
ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงเตือนที่เงียบไปตลอดทั้งวันกลับดังขึ้น
พานให้ทุกส่วนหยุดชะงักไปชั่วขณะ
หัวใจที่เหมือนจะเต้นช้าลงเพราะความคิดถึงในยามนี้กลับเพิ่มอัตราการสูบฉีดรุนแรงขึ้น
ร่างกายเองก็เหมือนหลุดการควบคุม
รีบคว้าโทรศัพท์กลับขึ้นมาเปิดดูทันทีแบบไม่ต้องรอสมองสั่ง
อ้ายก็อต :: คิดถึงพริกจัง
เพียงข้อความสั้นๆที่ปรากฏต่อสายตาเท่านั้น
มันก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยบรรเทาความรู้สึกแย่ๆที่เคยผ่านมาให้หมดไป
ฉันกำลังยิ้มแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากร้องไห้ไปด้วย
ไม่ได้อยากร้องไห้เพราะเสียใจแต่อยากร้องไห้เพราะความดีใจต่างหาก...
อ้ายก็อต :: ยังไม่นอนอีกเหรอ พรุ่งนี้ไปมหา’ลัยไม่ใช่หรือไง
พริก :: เดี๋ยวหนูก็นอนแล้วค่ะ ขออีก 10 นาทีนะ
อ้ายก็อต :: ถ้ายังไม่นอน
งั้นคุยกับพี่ก่อนได้หรือเปล่า
อ้ายก็อต :: ไม่ได้คุยทั้งวัน คิดถึงจะแย่แล้ว
พริก :: หนูก็คิดถึงอ้ายก็อตเหมือนกันค่ะ...
ทว่า
ทันทีที่ส่งข้อถูกส่งกลับไป จู่ๆโทรศัพท์ในมือก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง บนหน้าจอปรากฏรายชื่อของบุคคลที่โทรเข้ามา
จนต้องรีบรับสายอย่างรีบร้อน
“เจ้า...” ฉันกลอกเสียงผ่านสายไปตามประสา
โดยพยายามเก็บอาการดีใจและตื่นเต้นที่มีเอาไว้ให้ลึกที่สุด
โดยขณะเดียวกันก็เงี่ยหูรอฟังเสียงตอบกลับจากปลายสายด้วยเช่นกัน
[…เสียงหวานเชียว]
แต่กว่าที่ปลายสายจะตอบกลับมาก็กินเวลาไปราวๆ 10 วินาทีเห็นจะได้ [...ทำอะไรอยู่คะ?]
เสียงของอ้ายก็อตวันนี้ฟังดูไม่สดชื่นเลยสักนิด
อีกทั้งเสียงบรรยากาศรอบตัวทางฝั่งเขาก็ค่อนข้างจะเงียบมาก
“หนูก็คุยโทรศัพท์กับอ้ายก็อตอยู่นี่ไง...”
จนอดถามถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปจากที่เคยรู้สึกยามต้องคุยกันผ่านสายไม่ได้
“อ้ายก็อตอยู่ที่ไหนคะ ทำไมเงียบจัง”
[พี่..ไม่ค่อยสบายค่ะ
อยู่ในห้องคนเดียว] อยู่ในห้องคนเดียวเหรอ ถึงว่าสิ...
“ช่วงนี้อ้ายก็อตป่วยบ่อยจังเลยนะคะ...ทำไมไม่ดูแลสุขภาพบ้าง”
ทว่า ครั้งนี้พอพูดจบปลายสายดันเงียบไป แต่ก็ครู่เดียวเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุยค้างเอาไว้
[พริก...ช่วยเดินออกมาที่ระเบียงหน่อยได้ไหมคะ?]
“ทะ ทำไมคะ?” ฉันย้อนอย่างไม่เข้าใจจนกระทั่งได้คำตอบแปลกๆกลับมา
[พี่อยาก...เห็นพริก..] เสียงเข้มที่ยามนี้ฟังดูอ่อนล้าและอ่อนแรง ทำฉันตาโตด้วยความแปลกใจ สายตารีบตวัดมองไปประตูกระจกทางฝั่งระเบียงด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันได้พูดหรือถามอะไร มันก็เป็นอ้ายก็อตนั่นแหละที่เอ่ยเร่ง [ออกมาเร็วๆสิ...]
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ปลายสายพูด
แต่น่าแปลกที่ร่างกายฉันกับแสดงการตอบรับเสียงเร่งดังกล่าวได้อย่างไร้การขัดขืน
เท้าสองข้างรีบก้าวเดินตรงไปยังประตูระเบียงก่อนเลื่อนเปิดออกจนสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองกรุงยามค่ำคืนได้อย่างถนัดตา
[เดินออกมาตรงขอบระเบียงสิคะ...] อีกหนที่เสียงเร่งดังลอดผ่านสายให้ได้ยิน หากแต่นั่นทำให้ฉันเกิดความลังเลเล็กน้อยที่จะปฏิบัติตาม
สายตาแอบชำเลืองมองข้ามไปยังระเบียงห้องข้างๆเพื่อเช็กความเรียบร้อย
ก่อนพบว่านอกจากระเบียงแล้วภายในห้องพักของผู้ชายใจร้ายคนนั้นก็ยังถูกปิดไฟจนมืด
บอกได้ชัดว่าผู้เป็นเจ้าของห้องคงยังไม่กลับมา
เมื่อรู้สึกว่าทางสะดวก
ฉันจึงไม่รอช้ารีบสาวเท้าตรงไปเกาะกับขอบระเบียงห้องพักทันที
โดยไม่ลืมที่จะบอกปลายสายไปด้วย
“หนูออกมายืนที่ระเบียงแล้วค่ะ”
[...เห็นแล้วค่ะ] ทว่า คำตอบจากปลายสายกลับทำให้ฉันเริ่มรู้สึกแปลกใจเป็นหนที่สอง จนอดกวาดตามองไปรอบตัวไม่ได้ เผื่อว่านี่อาจเป็นเซอร์ไพรส์ที่อ้ายซีจัดเตรียมไว้ให้ และยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่เมื่อปลายสายที่คล้ายกับเฝ้าจับตาดูฉันตลอดเวลาเอ่ยถามขึ้นเสียงติดตลกราวกับจะแกล้งกัน [พริกมองไม่เห็นพี่จริงๆเหรอ?...เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง...]
“มะ
ไม่เห็นค่ะ...อ้ายก็อตอยู่ไหนคะ อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ”
[พี่ไม่ได้แกล้งพริกสักหน่อย...พี่กำลังมองพริกอยู่จริงๆ...]
เขาแย้งเสียงต่อว่าของฉันซึ่งเต็มไปด้วยอาการตกใจและงุนงงให้เงียบลง
อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเสนอ [มองตรงมาข้างหน้าสิคะ]
เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อ้ายก็อตกำลังแกล้งหรือว่ากำลังพูดเรื่องจริงอยู่กันแน่
การแสดงออกของฉันตามคำสั่งที่อีกฝ่ายมอบให้จึงเต็มไปด้วยอาการลังเลและไม่เข้าใจ
ซึ่งสิ่งที่รออยู่ตรงหน้าคือตึกสูงและวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืน มันดูสวยแตกต่างจากที่บ้านเกิดฉันมากนัก
แต่ขณะเดียวความสวยของมันกลับทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกเหงา
ไม่รู้สึกอบอุ่นเหมือนตอนอยู่บ้านเกิด
“ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่คะ...”
อาจฟังดูโง่ที่พูดใส่เขากลับไปแบบนั้น
ถ้าหากว่านี่คือการแกล้งกันเล่น แต่เชื่อเถอะว่าที่สายตาฉันกำลังมองหาอย่างจริงจังท่ามกลางการล้อเล่นมันก็คือตัวเขาที่ซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในเมืองกรุงนั่นล่ะ
[พริกเห็นป้ายเครื่องหมายบวกสีแดงตรงหน้าไหมคะ?]
แต่ดูเหมือนว่าการมองหาของฉันจะไม่เสียเปล่าเมื่อปลายสายกล่าวออกในรูปแบบนั้น สายตารีบเลื่อนมองหาป้ายเครื่องหมายบวกสีแดงตามอย่างที่หูได้ยิน ก่อนหยุดลงที่ป้ายชื่อของโรงพยาบาลเอกชนAเบื้องหน้า ซึ่งฉันเคยพาตัวเองเข้าไปหาเขามาแล้วครั้งหนึ่ง
แม้ไม่มีคำเฉลยว่าตัวตนของอ้ายก็อตตอนนี้อยู่ที่ไหน
แต่จิตใต้สำนึกของฉันกลับรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าคนที่ฉันเฝ้ารอคอยที่จะพบหน้าต้องอยู่ที่นั่น
‘พักหลังมานี้
ไอ้ก็อตมันป่วย เข้าออกโรงพยาบาลบ่อย...’ ยิ่งวันนี้อ้ายซีพูดออกมาแบบนั้นด้วยแล้ว
ฉันก็ยิ่งเชื่อความรู้สึกของตัวเองเข้าไปใหญ่
“อ้ายก็อต...นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลนี้จริงๆเหรอคะ?” เพราะคิดได้แบบนั้น ปากจึงขยับถามออกไปตามอย่างที่สมองคิด ทว่า คราวนี้ปลายสายกลับไร้ซึ่งเสียงใดที่ใช้ตอบกลับมา ที่ฉันได้ยินตอนนี้มีแค่ความเงียบ จนต้องเรียกเขาอีกครั้ง เผื่อว่าสัญญาณการติดต่อระหว่างเรามันขาดหายจนเขาไม่ได้ยิน
“อ้ายก็อต...”
และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะหลังเสียงเรียก
ปลายสายก็เริ่มมีเสียงตอบรับกลับมา
[ฮึก...] หากแต่ว่าเสียงดังกล่าวดันเป็นเสียงกลั้นสะอื้นจนพานให้คนฟังรู้สึกใจคอไม่ดี
“อะ อ้ายก็อตเป็นอะหยัง!?”
[ปะ เป็นหวัด...นิดหน่อยค่ะ…ฮึก...ขอเวลาพี่..แป็บนะคะ] ซึ่งเขาก็ยอมตอบ หากแต่ฉันกลับรู้สึกว่าคำตอบที่ได้นั้นดูเหมือนพยายามปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้
บางอย่าง อย่างเช่นเสียงสะอื้นที่ได้ยินเมื่อครู่น่ะ
มันไม่ใช่เสียงของคนเป็นหวัดแต่เหมือนเสียงของคนที่กำลังพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเองเอาไว้ต่างหาก
พระเจ้าคะ...
ทั้งที่หนูอยากเจอเขาขนาดนี้
แต่ท่านกับบันดาลให้หนูทำได้แค่ยืนมองเขาที่กำลังป่วยจากที่ไกลๆ แถมในตอนที่เขากำลังร้องไห้ หนูก็ทำได้แค่ยืนฟังเสียงเขาท่ามกลางความเงียบเท่านั้นน่ะเหรอ
ท่านเนี่ย...ใจร้ายจังเลยนะคะ
[พริก...] หลังจากที่อ้ายก็อตเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆเขาก็เรียก เสียงของเขาฟังดูดีขึ้นกว่าในตอนแรก อาจเพราะเขาได้ใช้ช่วงเวลาขณะที่เราสองคนต่างเงียบ ระบายความอึดอัดบางอย่างที่มีออกไปบ้างแล้วก็ได้
[วันนี้พี่ซีโทรมาหาพี่...บอกว่ามันไปนั่งคุยกับพริกที่ร้านกาแฟมา...]
อ้ายซีบอกอ้ายก็อตแล้วงั้นเหรอ...
[มันบอกว่าพริกตัวจริงดูไม่ค่อยสดใสเลย
เหมือนป้าแก่ๆอมทุกข์ตลอดเวลา..] ฉันยู่ปากขมวดคิ้วดุๆใส่เจ้าของคำพูดโดยอัตโนมัติ
แม้จะรู้ว่าเขาอาจะมองไม่เห็นสีหน้าของฉันในตอนนี้จากทางฝั่งของโรงพยาบาลก็ตาม
พร้อมกันนั้นก็แย้ง
“หนูไม่เหมือนป้าเน้อ!”
[ฮ่ะๆ] และนี่คงเป็นครั้งแรกของการมาเมืองกรุงที่ฉันมีความสุขที่สุดที่ได้ยินเสียงอ้ายก็อตหัวเราะแบบนี้
“อ้ายก็อตขำอะหยัง? หนูพูดจริงเน้อ
ตั้งแต่มาถึงเมืองกรุง หนูก็เครียดมาตลอด”
[เครียดอะไรคะ
เรื่องที่เราไม่ได้เจอกันสักทีน่ะเหรอ?]
“อ้ายก็อตกะฮู้อยู่แก่ใจ๋ แล้วจะอู้ทำหยังก่อ?” ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก ถึงได้โวยวายใส่เขาผ่านสายแบบนั้น เพราะรู้ว่าการที่ฉันโวยวายเป็นภาษาบ้านเกิดของตัวเอง มันจะทำให้อ้ายก็อตมีอารมณ์ขันได้เสมอ
แต่ไม่ใช่กับตอนนี้ ตอนที่เขาพูดเหมือนรู้อะไรมา...
[ไอ้กอล์ฟนี่ก็จริงๆเลย
ทำไมชอบแกล้งพริกก็ไม่รู้ ตั้งแต่วันที่เรานัดเจอกันที่มหา’ลัยแล้ว
น่าโมโหชะมัด…] สิ่งที่ได้ยินทำฉันเงียบลง ได้แค่นิ่งและฟัง
[ทนหน่อยนะ ถึงมันจะชอบแกล้ง แต่มันก็เล่าให้พี่ฟังตลอดเลยนะคะว่าพริกเป็นยังไงบ้าง]
เล่าตลอดเลยงั้นเหรอ...
“ระ เหรอคะ?” วัวสันหลังหวะ...ไม่ว่าอย่างไรคำเปรียบเปรยนี้ก็เหมาะกับฉันจริงๆ “อะ...อ้ายกอล์ฟเล่าอะไรให้ฟังบ้างคะ?”
[ก็เรื่องทั่วๆไปน่ะ ไม่เรื่องที่พริกขาดเรียน ก็เรื่องที่พริกไปรับน้องที่มหา’ลัย...]
ตลอดเวลาที่ฟังอ้ายก็อตเล่า ใจฉันเต้นโครมครามด้วยอาการลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าทั้งหมดที่ได้ยินจะไม่มีเรื่องของความลับระหว่างฉันและอ้ายกอล์ฟเล็ดลอดออกจากปากเขาเลยก็ตาม
[ตอนนี้พี่ไม่สามารถดูแลพริกได้ใกล้เหมือนเมื่อก่อน พี่เลยมีแค่ไอ้กอล์ฟเท่านั้นแหละที่คอยเป็นหูเป็นตาให้…] ทุกครั้งไม่ว่าฉันจะไปไหนมาไหนแล้วต้องเจออ้ายกอล์ฟ เป็นเพราะเขาคอยเป็นหูเป็นตาให้อ้ายก็อตงั้นเหรอ...
[พริกต้องมีความสุขมากๆระหว่างที่พี่ไม่อยู่เข้าใจไหม
อย่าให้พี่ซีหรือไอ้กอล์ฟเอามาฟ้องอีกว่าเราเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์
ไม่งั้นพี่โกรธจริงๆด้วย] แต่แล้วการเล่าเรื่องจากปากอ้ายก็อตก็เริ่มเปลี่ยนไป
จนฟังดูคล้ายกับคำสั่ง [ส่วนเรื่องไอ้กอล์ฟน่ะ
ถ้ามันแกล้งอะไรพริกอีก พริกก็จัดการมันได้เลย]
ซึ่งขณะเดียวกันก็ตามมาด้วยคำสัญญา
[และถ้าวันไหนพี่พร้อม...พี่สัญญาว่าจะออกมาเจอพริก...]
“อ้ายก็อตอย่ามาขี้จุ๊...” ซึ่งฉันก็ไม่รอช้าที่จะประชดประชันเขากลับไปแบบไม่รอฟังให้จบ ด้วยคำพูดที่บอกถึงความน้อยใจ“เดี๋ยวเราก็คลาดกันอีก ไม่อ้ายกอล์ฟแกล้ง ก็อ้ายก็อตนั่นแหละที่หายตัว ทิ้งหนูไป...”
[ไม่ค่ะ...ครั้งนี้เราจะไม่คาดกัน]
แย้งกลับมาด้วยเสียงหนักแน่นและดูจริงจังไม่ต่างกัน
[พี่จะไม่ทำให้พริกรอเก้ออีก
พี่สัญญา...]
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต #ผู้ชายสายโจร
ความคิดเห็น