ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOLICON ¼ ll เสพติดเด็ก

    ลำดับตอนที่ #2 : LOLI01 ll ติดเด็กครั้งที่1 {อัพ100%} พี่รักเด็ก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4K
      25
      9 ต.ค. 60


    EP01



    เช้าวันจันทร์ เวลา 06.50 นาฬิกา

    “Tiara!(เทียร์ร่า!)

    “Just a minute, Nick… (ขอเวลาเดี๋ยวนิค...)” ฉันตอบเสียงเร่งเร่าของเด็กชายวัยสิบสองขวบกลับไป พลางรื้อหาข้าวของที่ต้องใช้งานในวันนี้ไปด้วย คอเอียงแนบกับโทรศัพท์ฟังสิ่งที่ปลายสายพูด

    [เสียงนิคเหรอครับหมวดเทียร์]

    อ่าฮะใช่ มีอะไรหรือเปล่า?”

    [ไม่มีอะไรครับ ฮ่ะๆ ผมกำลังจะเอากาแฟไปให้หมวดที่หน้าอพาร์ทเม้นต์นะครับ]

    อ่าๆ โอเคงั้นวางสายก่อนนะ” ฉันไม่ได้รอฟังปลายตอบกลับ ทันทีที่พูดจบฉันก็ตัดสายทิ้งทันที ซึ่งนั่นมาพร้อมกับเสียงเร่งเร้าของเด็กชายคนเดิมที่โผล่หน้าเข้ามาภายในห้องนอนแล้วส่งเสียงเรียก

    “Tiara! Hurry up! Hurry up! (เทียร์ร่าเร็วหน่อยเร็วหน่อย!)” จังหวะเดียวกันนั้น กระดาษวาดรูปวิชาศิปะที่ฉันกำลังหาอยู่ก็ถูกหยิบค้นเจอเข้าจนได้หลังจากที่นั่งหามาเกือบๆ 5 นาที

    เทียร์วาดรูปห่วยแตกจัง” สำเนียงการพูดจายียวนกวนประสาทแบบเด็กๆ ทำฉันเงยมองเจ้าของคำพูดตาขวางอย่างนึกหมั่นไส้ และต่อว่ากลับไป

    นายวาดสวยตายนักแหละ!”

    นิคหัวเราะในลำคออย่างทะเล้น ก่อนพูดวลีสั้นๆ ฟังแล้วเจ็บจี๊ดไปถึงก้นบึ้งหัวใจ

    ยัยเตี้ยเทียร์ร่า!” มิหนำซ้ำยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อย่างไม่รู้กาละเทศะ แต่พอจะอ้าปากว่าเขาก็รีบวิ่งแจ้นหนีออกจากหน้าประตูห้องนอนไปแบบดื้อๆ ได้แต่นั่งกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ

    นิค’ คือลูกชายของญาติห่างๆพ่อฉันเอง แต่ด้วยทางบ้านของนิคติดปัญหาต้องย้ายและเดินทางกันอยู่บ่อยๆ พวกเขาเลยไหว้วาน จ้างฉันให้ช่วยดูแลนิค โดยส่งนิคให้มาเรียนต่อที่นี่แทนที่จะต้องย้ายโรงเรียนไปมา

    ถ้าพูดกันตามตรง นิคควรเป็นหลานฉันถึงจะถูก แต่ว่าเด็กแก่แดดแก่ลมนั่นกลับไม่ยอมนับถือฉันเป็นน้า แม้แต่พี่ หมอนั่นก็ยังไม่คิดจะเรียก เหตุผลก็คงเป็นเพราะฉันมีสภาพตัวเล็ก แถมยังมีความสูงแค่ 152 เซนติเมตรเท่านั้น เมื่อเทียบกับนิคในวัยเพียงสิบสองปี เขามีความสูงไปแล้วถึง 172 เซนติเมตร

    มีคนเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่พ่อก็สูง แม่ก็สูง แต่ฉันดันเกิดมาตัวเล็กเหมือนคนแคระแบบนี้ สาเหตุก็เพราะตอนแม่ตั้งท้องฉัน แม่ดันประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย ทำให้ต้องคลอดฉันก่อนกำหนดในช่วง 6 เดือน แม่บอกว่าฉันมีน้ำหนักน้อยมาก แถมยังต้องอยู่ในตู้อบตลอด 3 เดือนหลังจากนั้น นั่นแหละมั้งจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างกายฉันมันถึงได้หยุดการเจริญเติบโตอยู่เพียงแค่นี้

    ความจริงแล้ว ฉันมีชื่อเรียกกันตามประสาคนรู้จักว่า ‘เทียร์’ เทียร์ร่า โจนส์ ฉันทำงานเป็นตำรวจอยู่ที่กรมตำรวจนครบาลซึ่งเวลานี้กำลังจับมือกับกรมสืบสวนคดีพิเศษ OCC ทำให้ฉันถูกตั้งโค้ดเนมสั้นๆ ว่า ‘เทียน’ เพื่อความแนบเนียนในการสืบคดี พวกเขาเปลี่ยนแปลงเอกสารประวัติของฉันใหม่ทั้งหมด จากหญิงสาวอายุ 27 ปี นางสาวเทียร์ร่า โจนส์ ให้กลายมาเป็น ด.ญ. ธีรนันท์ บุญนำพา หรือน้องเทียน

    อ่า ให้ตายสิคิดแล้วก็อยากจะกลอกตา เบ้ปากใส่ชื่อใหม่ของตัวเองวันละหลายล้านหน

    เทียร์ ฉันนำไปที่โรงเรียนก่อนนะ!” นิคส่งเสียงบอกอย่างรีบร้อนทันทีที่เราสองพี่น้องพากันเดินออกจากหอพัก ก่อนจะโบกไม้โบกมือ วิ่งนำหน้าตรงไปยังโรงเรียนประถมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักเท่าไหร่นัก

    อย่าวิ่งสินิค เดี๋ยวก็ล้มหรอก!”

    และถึงแม้ประวัติทั้งหมดที่บอกความเป็นฉันจะถูกบิดเบือนไปจนไม่เหลือหญิงสาวที่ชื่อ เทียร์ร่า โจนส์ บนโลกนี้แล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังคงเป็นฉัน ยังทำหน้าที่ตามสายอาชีพที่รักและคอยเป็นหูเป็นตา เป็นผู้ปกครองให้นิคอยู่ดี

    อ้อลืมบอกไปนิคเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่เขารู้แค่ในส่วนที่ควรรู้ นิคเป็นเด็กฉลาดที่รู้ว่าควรทำอย่างไรเวลาที่เราต้องนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน

    ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือ คอยจับตาความผิดปกติบริเวณโรงเรียนประถมที่เหยื่อรายใหม่กำลังเรียนอยู่เท่านั้น อย่างที่บอกช่วงนี้ข่าวเด็กหายและการลักพาตัวเด็กผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดไม่เว้นในแต่ละวัน ผลพวงมาจากการที่ตำรวจทำงานผิดพลาด จับตัวฆาตกรที่ลักพาตัวดาราเด็กไม่ได้จนกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์กรใหญ่อย่าง OCC ถึงต้องเข้ามาจับมือกับตำรวจเพื่อช่วยตามสืบหาตัวคนร้ายโดยใช้ฉันที่ดูจะเหมาะกับงานนี้ที่สุดเป็นตัวล่อ

    ยิ่งล่าสุดฆาตกรก็ดูคล้ายกับได้ใจกับการปั่นหัวตำรวจให้หมุนเป็นลูกข่าง ท้าทายอำนาจสันติบาลด้วยการส่งจดหมายขู่ว่ามันกำลังเล็งเหยื่อรายใหม่เป็นเด็กผู้หญิงชั้นวัยประถมที่กำลังเรียนอยู่ที่เดียวกับฉันด้วยแล้ว การสอดส่องของตำรวจยิ่งต้องเข้มงวดมากยิ่งกว่าเก่า

    กึก...

    ดูเหมือนคดีจะไม่ค่อยคืบหน้าเลยนะครับผู้หมวดเทียร์” เสียงเข้มสุภาพเอ่ยทักขึ้นจากทางเบื้องหลัง จำต้องละสายตาจากแผ่นหลังของนิคเหลียวมองเจ้าของเสียงกลับไปด้วยความรู้สึกเซ็งกะตาย “นี่ครับกาแฟที่คุณสั่ง

    ขอบใจนะหมวดยู” ฉันรับกาแฟแก้วเล็กจาก ‘หมวดยู’ มาไว้กับตัวพร้อมด้วยรอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้า

    รีบๆ ดื่มให้หมดแล้วเข้าเรียนนะครับ เดี๋ยวคุณจะไม่ทันเคารพธงชาติ ฮ่าๆ ฉันถลึงตาใส่คนตัวสูงกว่าในชุดสูทสีสุภาพพลางเงื้อไม้เงื้อมือเตรียมฟาดใส่เหมือนอย่างทุกทีตามประสาคนสนิทกัน เพราะนับตั้งแต่เป็นตำรวจมา ฉันก็ถูกจับคู่ในทำคดีต่างๆกับหมวดยูมาโดยตลอด เรียกว่าที่ไหนมีฉันที่นั่นต้องมีหมวดยูนั่นล่ะ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรา มันก็คือเพื่อนร่วมงานที่ดีนั่นแหละ แม้ว่าใครต่อใครจะมองออกว่าหมวดยูรู้สึกอย่างไรกับฉันก็ตาม

    นายก็รีบๆไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวก็สายพอดี

    ครับๆ รู้แล้ว จะไปทำงานเดี๋ยวนี้แหละครับ” ว่าแล้วหมวดยูก็ตะเบะมือใส่ฉันหนึ่งที ก่อนจะหันกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของตัวเองซึ่งจอดห่างจากบริเวณหน้าหอพักไม่มากนัก ซึ่งฉันก็ได้ยิ้มรับมองอีกฝ่ายจนกระทั่งเขาสตาร์ทเครื่องแรงๆ แล้วบิดเลี้ยวออกไป

    เมื่อรู้สึกเป็นส่วนตัวแก้วกาแฟร้อนๆ ในมือขึ้นจึงถูกยกขึ้นเฉียดใกล้กับปลายจมูก ทว่า ตอนที่กำลังจะยกมันขึ้นดื่มเพื่อทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ทว่า ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งทักขึ้น เสียงเขาฟังดูไม่คุ้นหูเท่าไหร่...

    เฮ้ยเฮ้ยเป็นเด็กเป็นเล็ก เขาห้ามกินกาแฟไม่รู้เหรอ?”

    ฉันสะดุ้งเมื่อถูกทักเช่นนั้น จำต้องเหลียวมองไปยังเจ้าของเสียงอย่างเสียไม่ได้ ก่อนพบเข้ากับชายตัวสูงแต่งกายด้วยชุดนักศึกษาติดเข็มตราของมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่งกำลังเดินออกจากอพาร์ทเม้นต์เดียวกันกับที่ฉันพักอยู่

    แถมเขายังเดินตรงดิ่งมาทางฉันเสียด้วย

    กึก!

    ฉันเงยมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัย โดยที่ในมือยังคงประคองแก้วกาแฟเอาไว้อย่างมั่นและเมื่อได้ลองพินิจพิจารณาหน้าตากับลวดลายตามเนื้อตัวอีกฝ่ายดีๆ แล้ว ฉันก็ค้นพบว่าเขาคือผู้ชายคนเดียวกับที่พยายามพาตัวฉันออกจากเขตพื้นที่โรงเรียนเมื่อวาน

    ทันทีที่เรามีโอกาสได้มองหน้ากันตรงๆ ชายคนดังกล่าวก็เอ่ยขึ้นเป็นหนที่สอง

    เป็นเด็กกินกาแฟมากมันไม่ดี...” เขาไม่พูดเปล่า แต่ยังถือวิสาสะฉวยแก้วกาแฟไปจากมือดื้อๆ เปิดฝาแล้วเทน้ำที่อยู่ข้างในทิ้งแบบไม่เห็นค่า

    อ๊ะ! กาแฟของหนู!” ส่วนปากเขาก็ยังขยับแบบไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้มีปากมีเสียงไปมากกว่านี้ มิหนำซ้ำยังยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนพวกสิบแปดมงกุฏ

    ถ้าอยากกิน มากินพี่ดีกว่ารับลองจะติดใจ

    ความติดกาแฟขนาดหนักมันทำให้ฉันถลึงตาใส่เขาบ่งบอกความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าฉันไม่พอใจมากแค่ไหนที่เขาเทเครื่องดื่มอันมีค่ารับยามเช้าของฉันทิ้งอย่างนี้

    ไหนจะคำพูดส่อความวิตถารได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายนั่นอีก ทุกอย่างที่คนตรงหน้าแสดงออกมันทำให้ฉันหงุดหงิดและไม่คิดจะอยู่เสวนาด้วย รีบสะบัดหน้าเชิดเดินหนีทันทีแบบไม่ต้องไตร่ตรอง ทว่า...

    จะไปไหนยัยจิ๋ว!?”

    หมับ!

    ชายแปลกกลับฉวยมือไวคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อด้านหลังรั้งฉันไว้ไม่ให้หนีไปไหน ดูแล้วไม่ต่างจากเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนเลยสักนิด ส่วยฉันก็ทำได้แค่ดิ้นสะบัดตัวให้หลุดจากการถูกจับแบบที่สภาวะเด็กประถมทั่วไปควรจะทำเมื่อเจอสถานการณ์คับขัน

    ปล่อยหนูนะ!”

    ปล่อยอะไรเล่า เมื่อวันศุกร์ก่อคดีไรวะ ลืมแล้วไง?!” คำพูดของเขากำลังช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ฉันคิดอยู่ในหัวมันไม่ได้ผิดเพี้ยนตรงไหนเลยแม้แต่นิด “ไหนล่ะ คำขอโทษ?”

    คุณครูสอนว่าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า!ส่วนนั่นคงเป็นคำตอบ ต่อให้รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “ปล่อยหนูซี่!”

    พี่ชื่ออสุรา ชื่นเล่นธูป...” นั่นคือสิ่งที่ฉันได้รับหลังจากเอ่ยถ้อยคำสแตนดาดให้สมกับวัยออกไป เหมือนมันคือการแนะนำตัว “เรียนวิศวะเครื่องกลปี3 มหา'ลัยเอกชน A อายุ 22 ปี

    การที่จู่ๆชายแปลกหน้า ไม่สิ ธูป(เรียกตาม) แนะนำตัวให้รู้จักเช่นนั้นมันพลอยให้ร่างกายทุกส่วนยอมหยุดชะงักลงแล้วเปลี่ยนเป็นเหลียวมองเขาแทนด้วยความงงงวย

    ตอนนั้นเองก็ก็ไอ้เห็นนัยน์ตาคมของอีกฝ่ายกำลังเขม้นมอง แววตาของเขาดูนิ่ง ดูไม่เป็นมิตร แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนเขากำลังซ่อนอะไรไว้ภายในแววตาคู่นั้น

    ยินดีที่รู้จักครับ!” คำถามคือเขาบ้าหรือไงถึงได้มาแนะนำตัวกับเด็กแบบนี้!? “ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้ว คุยต่อได้แล้วใช่ไหม?”

    ไม่ค่ะ! หนูต้องรีบไปโรงเรียน!ฉันปฏิเสธเสียงแข็งและหวังว่าเขาจะยอมปล่อยสักที แต่ก็เปล่า

    พี่ก็ต้องไปมหา'ลัยเหมือนกัน ดังนั้น...นอกจากจะไม่ยอมปล่อยแล้ว ยังชวนคุยไม่หยุด “บอกชื่อให้รู้จักหน่อย

    ไม่ค่ะ” อีกหนที่ต้องพูดคำเดิมๆพลางสะบัดตัวดิ้นไม่หยุด แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยแน่แล้ว ฉันจึงงัดไม้ตายแบบเด็กๆออกมาขู่ “ปล่อยหนูได้แล้ว ไม่งั้นหนูจะไปฟ้องคุณตำรวจ!”

    ก็เอาสิ...ก่อนได้รับวาจาอวดเบ่งน่าหมั่นไส้ตอบกลับมา “คิดว่ากลัวไง?”

    อ๋อเหรอ ไม่กลัวตำรวจซะด้วย

    หนูจะฟ้องคุณตำรวจว่าพี่เป็นพวกโรคจิตวิตถาร!

    ฟ้องเลย ถ้าตำรวจหน้าไหนกล้าจับพี่...

    และตบท้ายด้วยวาจาท้าทายประหนึ่งเป็นลูกคนใหญ่คนโต

    ก็ให้มันเข้ามา แถวนี้พี่ใหญ่!

    สิ้นเสียงอวดอ้างอำนาจ ฉันก็หลุดเสียงหัวเราะดังหึในลำคออย่างห้ามไม่ได้ ตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้งซึ่งคราวนี้ดูเหมือนว่าคนตัวสูงจะยอมปล่อยมือออกจากปกคอเสื้อแบบไม่ต้องออกปากสั่งเช่นกัน ฉันเปลี่ยนท่ายืนมองเขาในท่ากอด ขณะริมฝีปากเหยียดยิ้มนิดๆ พร้อมคำถามง่ายๆ

    “Really? (จริงอ่ะเหรอ?)” ทว่า พอลั่นวลีสั้นๆ ดังกล่าวออกไป คนตัวสูงก็แสดงสีหน้าเปลี่ยนไป การที่เขาแสดงออกให้เห็นเช่นนั้นมันเหมือนเป็นการเรียกสติและตอกย้ำถึงหน้าที่ที่ต้องทำของตัวเองขึ้นมา

    จำต้องเป็นฝ่ายส่งเสียงออกไปอีกครั้งพลางชี้มือชี้ไม้แบบเด็กๆ เพื่อไม่ให้หลุดภาพลักษณ์วัยใสของตัวเองให้คนนอกรู้สึกผิดสังเกต

    โอ๊ะนั่นคุณตำรวจขา โจรอยู่ตรงนี้ค่า!” จบประโยคชายตัวใหญ่ก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกดูขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูน่ากลัว รีบหันขวับมองหลังทันทีด้วยอาการตกใจ เมื่อสบโอกาสฉันก็ทำมันอีกครั้งเหมือนอย่างครั้งแรกที่ฉันได้พบเขานั่นล่ะ

    ตึก! ตึก! ตึก!

    เฮ้ย! จะไปไหน?!” เท้าสองข้างรีบวิ่งจ้ำไววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ฟังเสียงเรียกใดๆที่ดังไล่หลัง โดยเส้นทางที่ฉันใช้พาตัวเองปลีกตัวหนีออกมานั้นมันก็คือทางเดียวกับที่ต้องใช้เดินไปโรงเรียนนั่นแหละ

    ตึกตึกตึก!

    บ้าเอ้ยกาแฟก็ไม่ได้กิน นี่ฉันยังต้องมาวิ่งอีกเหรอ!?

    นับว่าเป็นโชคดีของฉันที่วิ่เพียงไม่นานนักฉันก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ชุมชนได้สำเร็จ ไม่ใช่เพราะวิ่งเร็วอะไรหรอก แต่เพราะเวลาตอนนี้มันเพิ่งจะ 7 โมงเช้าและเป็นชั่วโมงเร่งด่วนต่างหาก ทำให้บริเวณถนนเต็มไปด้วยเหล่าพ่อค้าแม่ริมฟุตบาธ บรรดาผู้ปกครองที่พากันมาส่งบุตรหลาน รวมถึงเด็กๆ ที่ทยอยกันมาโรงเรียน

    เมื่อรู้สึกว่าตัวเองหนีรอดจากนักศึกษาท่าทางประหลาดคนดังกล่าวมาได้เป็นที่เรียบร้อย มันก็อดเหลียวหลังมองหาบุคคลที่ฉันพาตัวเองหนีมาเพื่อเช็กให้แน่ใจอีกครั้งไม่ได้ และเมื่อมั่นใจว่ารอดออกมาได้แน่นอนแล้ว มือข้างถนัดจึงลดลงไปยังกระเป๋ากางเกงเอี้ยมเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวขึ้นมา กดโทรหาใครคนหนึ่งทันที

    ไม่ต้องใช้เวลารอนาน ปลายสายก็รับเหมือนกับสแตนบายรออยู่ตลอด 24 ชั่วโมง

    [ครับหมวดเทียร์?]

    ฉันมีเรื่องให้นายทำนิดหน่อยหมวดยู

    [เกี่ยวกับคดีเหรอครับ?]

    มันก็ไม่เชิง...” ฉันพูดยิ้มๆ พลางก้าวเท้าเดินไปตามทางฟุตบาธแบบไม่รีบร้อน ส่วนปากก็ว่า “ฉันอยากให้นายช่วยเช็กประวัติคนคนหนึ่งให้หน่อย มีปากกากับกระดาษอยู่แถวนั้นหรือเปล่า?”

    [มะ มีครับ]

    นายอสุรา นามสกุลไม่ทราบ ชื่อเล่นธูป อายุ 22 ปี เรียนมหาลัยเอกชน A ปี3 วิศวะเครื่องกล...” ฉันเงียบลงครู่หนึ่งสำหรับเว้นช่วงหายใจและทิ้งช่วงให้ปลายสายจัดการจดสิ่งที่ฉันต้องการใส่กระดาษให้เรียบร้อย และเมื่อรู้สึกว่านานพอจึงค่อยพูดขึ้นเองอีกครั้ง 

    ฝากนายเช็กประวัติผู้ชายคนนี้ทีว่าเคยมีคดีลวนลามหรือเข้าข่ายผู้ต้องสงสัยคดีเด็กหรือเปล่า

    [ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้!]

    ฝากด้วยนะหมวดยู...เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยอาการเสียวสันหลังวาบอย่างห้ามไมได้ เมื่อขณะเดียวกันนั้นสัญชาตญาณระวังภัยรับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งของใครบางคนกำลังจ้องมองมาจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งรอบกาย

    ขวับ!

    ร่างกายตอบรับอาการและความรู้สึกเหล่านั้นด้วยการตวัดหางตามองไปยังที่มาของสายตาคู่ดังกล่าว  ก่อนกลอกตากวาดมองไปรอบๆ ตัว โดยที่เท้ายังคงก้าวไปบนทางเดินเท้าอย่างเชื่องช้า ไม่รีบร้อนและดูเป็นปกติที่สุด

    [เกิดอะไรขึ้นเหรอครับหมวดเทียร์!?] เสียงหวั่นวิตก ร้อนรนจากปลายดังแทรกขึ้นพลอยให้ต้องหยุดสายตาไปยังเส้นทางตรงหน้าก่อนจะให้คำตอบ

    มะ...ไม่มีอะไร อย่าลืมที่ฉันสั่งล่ะหมวดยู

    [ครับเดี๋ยวตอนพักกลางวัน ผมจะรีบโทรไปรายงานอีกทีครับ!]

    ขอบใจมาก...” เราต่อสายหากันด้วยเรื่องแค่นั้น เมื่อจบสายของเราจึงตัดจากกัน

    เหลือทิ้งไว้แค่ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ที่ดูเหมือนจะเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมาขึ้นทุกวัน เมื่อรู้สึกแบบนั้นริมฝีปากกระตุกยิ้มขึ้นอีกหนคล้ายกับชอบใจ มือพลางลดโทรศัพท์มือถือเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเอี้ยมอีกครั้ง หน้าเชิดมองทางตรงหน้ายิ้มรับกับเรื่องที่ทุกวันฉันได้ภาวนาให้มันมาถึงโดยไว

    รีบๆโผล่หางออกมาไวๆสิเจ้างั่ง ฉันอยากกลับไปชีวิตปกติเต็มแก่แล้ว!

     

    เวลา 11.25 นาฬิกา

    ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ห้อง A

    เทียน วันเสาร์นี้ว่างหรือเปล่า

    เสียงหวานใสแบบเด็กไร้การเสแสร้งแกล้งทำ ทำฉันหยุดมือที่กำลังขีดๆเขี่ยๆภาพบนกระดาษกลางชั่วโมงศิลปะลง เงยมองเจ้าของคำถามด้วยความสงสัย

    ตอบสิ ว่างหรือเปล่า?”

    ก็ว่างนะ โบฟางมีอะไรเหรอ?” เด็กคนนี้มีชื่อว่า 'โบฟาง' เป็นเด็กประถมซึ่งมีใบหน้าสวยแบบเด็กๆ จนได้รับตำแหน่งคนสวยประจำป.6 ห้อง A

    ที่สำคัญเธอยังเป็นดาราเด็กที่มีชื่อเสียงซึ่งฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลความปลอดภัยของเธอ หลังจากตกเป็นเหยื่อรายต่อมาที่ฆาตกรประกาศขู่ผ่านทางจดหมายมายังสถานีตำรวจ

    เราอยากชวนเทียนไปเดินห้างเปิดใหม่วันเสาร์นี้ ที่นั่นน่ะมีชั้นโรงหนังกับสวนน้ำด้วยนะรู้หรือเปล่า

    จริงอ่ะเหรอ!?” ฉันแสร้งทำเสียงตื่นเต้นไปตามสถานการณ์ที่ควรจะเป็น แม้ว่าฉันเคยไปเที่ยวสวนน้ำบนห้างตอนช่วงสมัยเรียนม.ปลายจนเบื่อแล้วก็ตาม

    ใช่ เทียนเคยไปเดินห้างคนเดียวบ้างยัง?”

    ยังเลย อยากลองไปบ้างสักครั้งจังเลยบางทีการต้องเสแสร้งแบบนี้บ่อยๆมันก็ทำให้รู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่เลยแฮะ!

    งั้นวันเสาร์มาเจอกันหน้าโรงเรียนตกลงไหม?” โบฟางเอียงคอเล็กน้อยคล้ายกับรอคำตอบ 

    ทว่า ไม่นานนัยน์ตากลมคู่สวยของเธอนั้นก็เลื่อนมองไปยังกลุ่มนักเรียนชายที่ดูจะสนุกกับการปั้นดินน้ำมันซึ่งนี่คงเป็นผลพลอยได้ที่โบฟางจะได้รับหลังจากฉันยินยอมตอบตกลงไปเที่ยวกับเธอวันหยุดหน้า

    ชวนนิคไปด้วยนะเทียน ไปกันเยอะๆสนุกดีและนิคหลานชายฉันนั่นไงที่เป็นผลพลอยได้ของโบฟาง

    โอเคจ้ะ ถ้ายังไงฉันจะลองชวนนิคให้นะ

    จริงนะ!? เทียนน่ารักที่สุดเลยยย~”

    เมื่อก่อนตอนสมัยฉันเรียกประถมจริงๆ สิ่งที่พวกพวกเราทำกันคือการเขี่ยไพ่ กระโดดยาง ส่วนเรื่องรักๆใคร่ๆอะไรพวกนั้น แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็น ต่างจากสมัยนี้ที่ทุกอย่างดูรวดเร็วไปหมดจนบางทีก็ตามแทบไม่ทัน

    เรื่องการคบกันมันไม่ได้ถูกแบ่งเป็นถูกหรือผิด เหมาะหรือไม่เหมาะ แต่ถูกจัดว่าสมควรหรือไม่สมควรมากกว่า

    ฉันเป็นพวกหัวโบราณต่างจากพ่อกับแม่ที่หัวสมัยนิยม พวกท่านเอียนตำรวจและอยากอยู่ให้ห่างเข้าไว้ด่วยเหตุผลบางประการ แต่ฉันกลับเลือกที่จะเรียนในโรงเรียนตำรวจเพื่อประกอบอาชีพที่ตัวเองรัก

    ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้อีกแล้วล่ะว่า จะมีอาชีพไหนอีกที่เป็นได้ทั้งข้าราชการและคอยให้บริการประชาชนไปด้วยพร้อมกันได้อย่างอาชีพตำรวจอีกแล้ว

    ครืดด ครืดดด

    แรงสั่นเบาๆภายในกระเป๋ากางเกงชุดเอี้ยม ทำฉันละสายตาจากหน้าโบฟางมายังโทรศัพท์มือถือส่วนตัว และชำเลืองมองดูรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ‘หมวดยู

    เวลานี้ฉันเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิ์พิเศษเหนือใครต่อให้สิ่งที่ทำอยู่จะเป็นเรื่องระหว่างตำรวจกับองค์กรรัฐขนาดใหญ่ก็ตาม อย่างไรเสียฉันก็ต้องรอถึงตอนที่กริ่งบอกเวลาพักเที่ยงดัง ถึงจะสามารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งานได้เหมือนเวลาปกติ

    เวลา 11.50 นาฬิกา

    [นายอสุราที่หมวดให้ผมเช็กประวัติ ยังไม่เคยก่อคดีร้ายแรงอะไรมาก่อนนะครับ มีแค่เรื่องทะเลาะวิวาทต่อยตีกันก็เท่านั้นที่ถูกบันทึกไว้...] ฉันย่นคิ้วชิดกันเป็นปมตลอดการนั่งฟังหมวดยูรายงานประวัติของเป้าหมาย และคงเพราะฉันเงียบไปล่ะมั้งปลายสายจึงพูดขึ้น [ผู้ชายคนนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวเด็กหรอกมั้งครับผู้หมวดเทียร์ อีกอย่างเด็กผู้ชายคนนี้ก็ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย...]

    นั่นสินะ...

    [ผมว่าหมวดคงจะหมกมุ่นเรื่องคดีมากเกินไป ถึงได้เครียดแบบนี้ คุณน่ะพักบ้างเถอะครับ]

    รู้แล้วน่า ฉันก็คิดว่าอยากพักอยู่บ้างเหมือนกัน ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยเช็กมาให้แล้วกัน...” ถึงปากจะเออ ออตามหมวดยูก็ตามแต่ลึกๆในอกและความคิดกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม ฉันยังรู้สึกแปลกๆกับท่าทาง ท่าทีที่ผู้ชายคนนั้นแสดงออกให้เห็นอยู่ดี ท่าทางตามตื้อและถ้อยคำนานาพรรณสำหรับใช้หลอกล่อเหยื่อที่เป็นเด็ก หากว่านายอสุราคนนั้นไม่ใช่หนึ่งในผู้ต้องหา

    ถ้าอย่างงั้นเขาต้องการอะไรจากเด็กประถมอย่างฉันกันล่ะ?

    อันที่จริงแล้วไอ้ที่สงสัยในหัวเมื่อตอนช่วงพักเที่ยงมันก็ไม่ได้สำคัญต่อฉันสักเท่าไหร่นักหรอก เพราะคาดว่าน่าจะเป็นแบบที่หมวดยูว่า เขาไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับคดีที่ฉันกำลังทำอยู่ ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่...

    เมื่อช่วงเวลาหลังเลิกเรียนมาถึง ฉันก็ได้ต้องกับเขาที่หน้าโรงเรียนอยู่ดี

    “…”

    ...

    นายอสุราที่ฉันเจอตอนหลังเลิกเรียนวันนี้ ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาแบบเมื่อเช้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีดำทึบ ตั้งแต่หมวกแก๊ปสวมหัวสีดำ เสื้อคลุมแขนยาว กางเกงยีนส์ขาดเซอร์ และรองเท้าผ้าใบและเช่นเคยที่มือยังถือของซึ่งดูขัดและไม่เข้ากับรูปลักษณ์อย่างตุ๊กตาหมีไม่ต่างจากเมื่อวาน

    เฮ้ย!” เมื่อนัยน์ตาคมกริบเหลือบมาเจอเข้ากับฉัน เขาก็เริ่มเคลื่อนไหว เดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหาทันที แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้อยู่เฉยรอให้เขาประชิดตัวได้เหมือนอย่างทุกที แต่รีบจ้ำเท้าเดินไวเฟดตัวหนีออกให้ห่างเขาแทบจะทันทีด้วยเช่นกัน

    เฮ้ยน้อง! เดี๋ยว!” หูสองข้างได้ยินเสียงเรียกดุๆของเขาจากทางด้านหลัง

    ตึก! ตึก! ตึก!

    สลับกับเสียงการทิ้งน้ำหนักเท้าของตัวเองในแต่ละก้าวที่จ้ำหนี แต่ว่าครั้งนี้มันดันไม่ลงเอยเหมือนทุกครั้งไป คล้ายกับการเล่นหมากรุกนั่นแหละ เมื่อสู้ไม่ได้ก็คู่ต่อสู้ก็เลยใช้วิธีขี้โกงอย่างล้มกระดานตรงหน้าทิ้งซะ

    ตึก! ตึก! ตึก!

    กึก! ฟึ่บ!

    อะ...” นัยน์ตาสองข้างเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อจังหวะการก้าวเท้าไวถูกทำให้เสียจังหวะด้วยมือของใครอีกคนซึ่งจู่โจมมาจากทางด้านหลัง ไวกว่าที่จะทันได้สะบัดตัวหลบหรือตั้งหลักมือข้างของชายแปลกหน้าก็พุ่งรวบตัวยกร่างฉันขึ้นสูงจนเท้าสองข้างไม่แตะพื้น

    มันบ้ามากที่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เกรงกลัวหรือแยแสสายตาของผู้คนรอบข้างที่อยู่ในเหตุการณ์ แถมยังกระทำการอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฏหมายบ้านเมือง

    เวรเอ้ยนี่มันหยามหน้าตำรวจมากเกินไปแล้วนะ!

    ปล่อยหนูนะ อ๊ะ!” เขาไม่สนเสียงร้องหรือแม้แต่แรงดิ้นขลุกขลักที่ฉันใช้ต่อต้าน กลับกันเหมือนนั่นยิ่งผลักดันให้เขาทำมากกว่านั้นด้วยการยกฉันแบกพาดบ่าทำราวกับเป็นตุ๊กตา ซ้ำร้ายยังเอ่ยขึ้นขณะก้าวเท้าแบกฉันเดินผ่านสายตาผู้คนไปแบบไม่สนใจอีกว่า

    ไม่ต้องกลัว พี่รักเด็ก...

    To Be Continued...


    ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%

    1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย

    ติดแท็กในทวิต #อสุรากินเด็ก

    ll Character ll












    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่รูปโลด

    ^

     รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน 
     ส่งฟีดแบ็กทางทวิต เพจ คอมเม้น
     หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×