คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Race02 ll ความเจ็บของติ่งครั้งที่2 {อัพ100%} ความผิดพลาดของติ่ง
กะอีแค่ปล้ำผู้ชายมันไม่ยากเกินความสามารถหรอก! ลุย!!
เมื่อสมองการมาแบบนั้น ฉันก็ไม่รอช้ารีบพาตัวเองเดินไปหยุดที่ข้างประตูรถทันที หลายครั้งแล้วที่ฉันกลืนน้ำลายลงเพื่อช่วยลดอาการตื่นเต้น ใจเย็นกาละแมร์ จำทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง ขืนชักยาหมดฤทธิ์จะพลาดเสียอปป้าให้ชะนีนางอื่นนะ!
รู้ไหมใจฉันน่ะเต้นแรงมากจนแทนจะหลุดออกมานอกอก
เพราะถึงจะบอกว่าเวลามีไม่มากและไม่อยากเสียอปป้าให้ใคร
พอเอาเข้าจริงฉันแทบจะไม่รู้วิธีทำให้ตัวเองเสียความบริสุทธิ์เลยสักนิด ที่มีอยู่ในหัวก็มีแต่ทฤษฏีจากหนังสือการ์ตูนและนิยายเท่านั้น
ฉันยืนทำใจอยู่ราวๆ 5 นาทีจนสามารถตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
เอื้อมมือจับบานประตูรถให้เปิดอ้าออกเพื่อเช็กดสภาพความเป็นไปของผู้ชายที่อยู่ภายใน
และใช่ เขากำลังนอนหลับอยู่จริงๆ
แถมยังหลับไม่รู้เรื่องทั้งที่ฉันเข้าประชิดตัวขนาดนี้แล้วด้วย
เพราะความมืดจากมุมอับบริเวณที่เขาจอดรถ ทำให้ฉันมองไม่เห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ได้ชัดเจนนัก
ยิ่งเขาเอนเบาะนอนราบลงไปด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้ฉันมองไม่เห็นเข้าไปใหญ่
แต่สิ่งที่ช่วยทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาคือวอร์อปป้าของฉันแบบไม่ผิดตัวแน่ก็คงเป็นเครื่องแต่งกายที่เขาสวมอยู่นั่นแหละ
กางเกงยีนส์ทรงขาเดฟสีดำขาดๆ กับเสื้อยืดสีดำสกรีนลายอะไรสักอย่าง
ไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็ชุดที่วอร์อปป้าแต่งมาวันนี้ทั้งนั้น
ดีล่ะ อย่าชักช้าให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เลย...
เมื่อคิดดีแล้ว ฉันจึงค่อยเบียดตัวแทรกเข้าไปภายในรถอย่างทุลักทุเล
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้น
ขืนมีคนมาเจอก่อนจะทำภารกิจสำเร็จ จะแย่เอา โชคดีที่เกิดมาตัวเล็ก
ทำให้พื้นที่ระหว่างคอนโซลหน้ารถและเบาะที่วอร์อปป้าใช้เอนนอนลงไปจึงเหลือที่วางเพียงพอให้ฉันได้แทรกกายเข้ามาได้สะดวก
หลังจากแทรกตัวเข้ามาท่ามกลางความอึดอัดและความมืดภายในรถได้สำเร็จ
สิ่งที่ฉันไม่ลืมอีกอย่างก็คือการทำลายหลักฐาน
จัดการดึงขาของเขาที่ห้อยลงไปด้านล่างให้กลับมาอยู่ในรถและปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ
ท่ามกลางความเงียบที่มีแต่สองเราหลังจากประตูรถปิดลง
ฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังรัวอยู่ตลอดเวลา สลับกับเสียงลมหายใจยามหลับใหลไม่ได้สติของบุคคลอันเป็นที่รัก
เอาล่ะ ตอนนี้ฉันก็เข้ามาอยู่ในรถกับเขาสองต่อสองแล้ว ก่อนจะเริ่มสละซิง
สิ่งที่ควรทำต่อไปในหน้านิยายส่วนใหญ่มันก็ต้องเริ่มจากการจูบ
ฉันกลั้นใจอย่างฮึดสู้! แม้ลึกๆ พอรู้ตัวว่ากำลังจะได้จูบกับวอร์อปป้าความฟินก็เริ่มประทับร่างจนหน้าแทบจะระเบิด แต่ก็อย่างที่บอกเวลามันเหลือน้อย ขืนมัวแต่เก้อเขินจะชวดโอกาสดีๆ ไปจนหมด
กึก!
ฉันค่อยขยับกายยืดตัวเคลื่อนขึ้นไปนั่งบนตักเขาอย่างทุลักทุเล
พื้นที่คับแคบภายในรถมันทำให้ฉันขยับตัวไม่ถนัดสักเท่าไหร่นัก
อีกทั้งความตื่นเต้นและความประหม่าก็เริ่มจะทำให้ฝ่ามือสองข้างชุ่มไปด้วยเหงื่อ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของผู้ชายยามที่ได้อยู่ใกล้เขาในระยะแนบชิดแบบนี้ มันทำให้ฉันใจเต้นโครมหนักกว่าที่เคยเป็น เพราะไม่รู้จะเอามือไม้ไปไว้ที่ไหน ส่วนที่ฉันคว้าจับลงไปจึงเป็นหัวเข็มขัดที่เขาใส่อยู่
“อยู่นิ่งๆ นะคะอปป้า หนูจะทำเบาๆ สัญญามันจะไม่เจ็บ...”
ฉันพึมพำบอกชายหนุ่มซึ่งหลับใหลไม่ได้สติท่ามกลางความมืดภายในรถแข่งคันหรู ขณะมือไม้พยายามเลิกเสื้อยืดเขาขึ้นอย่างรีบร้อน
นี่น่ะครั้งแรกในชีวิตเลยรู้ไหมที่ฉันต้องทำเรื่องน่าอายแบบนี้
ทั้งมือและใจมันสั่นไปหมด สั่นรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว
พานให้ต้องกลั้นหายใจบางช่วงเพื่อเรียกสติ
ยิ่งเมื่อเสื้อยืดถูกเลิกขึ้นสูงจนเห็นซิกแพกที่ซ่อนอยู่ภายในด้วยแล้ว กำเดานี่แทบจะทะลัก!
อดทนไว้กาละแมร์แกจะมาตายเพราะเฆ้นซิกแพกอปป้าใกล้ๆ
ไม่ได้! ถ้าคิดจะขัดขวางการมีเมียของอปป้า
ทางเดียวที่จะทำได้คือการต้องเอาตัวเข้าแลกนี่แหละ!
อาจเพราะฉันจะรีบร้อนไปหน่อยหรือไม่ก็คงมือหนัก
นั่นเลยทำให้ผู้ชายที่กำลังไม่ได้สติเริ่มมีการขยับเขยื้อนร่างกายนิดหน่อย
ต้องรีบช้อนตามองสีหน้าของเขาผ่านความมืด
แม้จะมองไม่ชัดนักแต่ฉันก็รับรู้ได้ถึงออร่าหล่อทิ่มเบ้าตาของเขาอยู่ดี ทว่า
ในตอนที่ตั้งใจจะละมือเปียกชุ่มข้างที่เหลือออกจากหัวเข็ม เสียงงึมงำลักษณะงัวเงียก็ดังขึ้น
“อื้อ...ตัวหนักฉิบ เขยิบลงไปดิ!” ชายตรงหน้าโบกมือปัดไปปัดมาก่อนหยุดและดันหัวฉันไว้
ซึ่งแน่นอนว่าเสียงและการกระทำของเขามันทำให้ฉันยอมหยุดมือลงทันที
ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะถึงเขาแต่งตัวเหมือนวอร์อปป้าเป๊ะๆ
แต่เสียงที่ได้ยินมันกลับไม่ใช่น่ะสิ!!
ความน่าตกใจกับผลตอบรับทางความรู้สึกที่ร่ำร้องว่า ‘ไม่ใช่’ ส่งผลให้รีบชักมือออกจากเรือนร่างและเครื่องแต่งกายของเขาทันที ทว่า ยังไม่ทันที่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้หรือหนีไปไหน วินาทีนรกแตกก็มาถึง เมื่อผู้ชายที่ฉันคิดว่าเป็นวอร์อปป้าจู่ๆ ก็ลืมตาโพลงพร้อมทั้งตะโกนขึ้นเสียงลั่นรถ
“เฮ้ยจะทำไรวะ!!”
ฟึ่บ!
เขาไม่ใช่แค่โวยวายแต่ยังรีบลุกพรวดพราดขึ้นมาจนหัวเราทั้งคู่เกือบเขกกัน มิหนำซ้ำยังไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้ฉันได้อ้าปากแก้ตัว
“คิดจะปล้นซิงฉันเหรอ!?”
น้ำเสียงเขาร้อนรนมาก คล้ายกับเจอผีก็ไม่ปราน
มือไม้สำรวจไปตามร่างกายตัวเองราวกับจะเช็กความปลอดภัย ส่วนปากก็พึมพำอย่างลนลาน
“เธอปล้ำฉันเหรอ!?” เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้
ฉันจึงแทรกเสียงตอบกลับไปอย่างหนักแน่นและหวังว่าเขาจะเลิกสติแตก ใจเย็นลงกว่านี้
“ยังไม่ได้ปล้ำ!” ทว่านั่นกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เมื่อเขาเอื้อมมือเปิดไฟภายในรถ จนทำให้เรามองเห็นหน้าของกันและกันชัดขึ้น
เขากัดฟันกรอดแถมยังไม่คลายความร้อนรน อีกทั้งยังตั้งคำถาม
“เธอจับปิกาจูฉันไปแล้วใช่ไหม!?” แสดงปฏิกิริยาด้วยการยกมือทาบอกคล้ายกับโดนฉันกระทำชำเราไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะกับคำถามสุดท้ายที่แทบจะทำให้ฉันกรี๊ดอัดหูเขามันเสียตอนนั้น
“เธอจับมันแรงหรือเปล่า!?”
“ก็บอกว่ายังไม่ได้ทำอะไร! ฟังบ้างสิ!!!” การที่เป็นเช่นนั้นมันเริ่มทำให้ฉันทนไม่ไหว จำต้องตะคอกสวนกลับไปอีกครั้งและหวังว่าเขาจะเลิกบ้า
สงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง แต่เปล่า
“ไม่ได้ทำได้ไง คร่อมซะขนาดนี้!” ไม่ใช่แค่เถียง แต่ชายแปลกหน้ายังใช้มือลูบคล้ำไปตามร่างกายตัวเองเองก่อนหยุดที่หัวเข็มขัดแล้ว
และละล่ำละลักคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ “ทะ ทำไมหัวเข็มขัดฉันเปียกงี้อ่ะ!?”
“...” พอถูกถามฉันจึงจะอ้าปากตอบ
แต่เหมือนจะไม่ทันเมื่อเขาตะคอกใส่หน้าประหนึ่งเหยื่อถูกข่มขืน
“เธอเลียมันใช่ไหม!
หนะ นี่เธอเลียอะไรไปแล้วบ้าง!?”
วอดเดอะ!
“ก็บอกยังไม่ได้ทำอะไรไง
พูดให้เข้าใจบ้างสิ”
“คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง
แล้วจะจับปิกาจูใครก็ได้งั้นเหรอ!?”
“นาย!”
“ยัยโจรปล้นซิง!”
พลั่ก!
ฉันหยุดคำปรามาสอีกฝ่ายด้วยการผลักอกชายแปลกหน้าให้ล้มลงไปนอนตามแนวราบของเบาะรถอีกครั้ง
และใช้จังหวะในตอนนั้นเอื้อมมือคว้าที่จับประตูเพื่อจะเปิดออกไป
วินาทีบอกเลยว่าไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือคีลนิดเสริมความงามแห่งไหน ก็ไม่สามารถช่วยซ่อมหรือเย็บหน้าฉันให้กับมาสนิทได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
ทว่าเขากลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
รีบลุกขึ้นพลางพุ่งคว้ามแขนฉันเอาไว้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังต่อว่า
“คิดจะปล้นซิงคนอื่นแล้วหนีงั้นเหรอ!?”
“นี่! ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ได้ทำอะไร!” ฉันว่าพลางสะบัดให้หลุดจากการจับกุม
“แล้วขึ้นมาบนรถฉันทำไม!?”
“ฉันคิดว่า...” เสียงของฉันขาดลงไปช่วงท้ายประโยค
นั่นเลยทำให้คนฟังเลิกคิ้วสูงมองฉันอย่างสงสัย ไม่สิ เหมือนจับพิรุธถึงจะถูก ไม่ได้นะกาละแมร์
ขืนหลุดปากพูดไปว่าตั้งใจจะมาปล้ำผู้ชายหมอนี่ต้องโวยวายหนักมาก
ยิ่งถ้าเขารู้ว่าฉันตั้งใจวางยาคนดังด้วยแล้ว คราวนี้แหละ หมดกันชื่อเสีย!
“ยังไง แก้ตัวไม่ได้ใช่ไหม?” เพราะเงียบไป เขาจึงพูดขึ้นเองด้วยถ้อยคำที่คล้ายกับจะยัดเยียดข้อหา ‘โจรปล้นซิง’ ไม่หยุด
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันยังไม่ได้...อ๊ะ!” แต่แล้วขณะที่กำลังจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง คนตัวใหญ่ตรงหน้ากลับรีบพุ่งมือดันหัวฉันให้เอนไปทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างแรง
คล้ายกับว่าสนใจอะไรบางอย่าง ถ้าหูฉันไม่ได้คิดไปเอง
เมื่อว่าจะได้ยินผู้คนด้านนอกกำลังนับถอยหลัง
‘3’
‘2’
‘1’
“ฉิบ!” เขาสบถเสียดังด้วยอาการร้อนรนเมื่อได้ยินเสียงนับถอยหลัง ก่อนจะเริ่มทำรุนแรงด้วยการผลักไสฉันให้ลงจากตักตัวเองไปยังที่นั่งด้านข้าง
พร้อมทั้งรีบปรับเบาะรถให้กลับมาสู้สภาวะปกติ
สถานการณ์ที่ดูร้อนรนและตื่นตกใจอะไรบางอย่าง
ทำฉันรีบฉวยโอกาสดึงที่จับบประตูหวังที่จะออกไป ทว่า
ประตูมันกลับถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่หนา จนต้องหันไปต่อว่า
“เปิดประตูรถเดี๋ยวนี้นะ
ฉันจะลง!”
“เรายังมีเรื่องต้องคุยกัน”
‘Readyyyyy’
“คุยอะไรอีก ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำอะไร!”
ทั้งที่ยืนกรานหนักแน่นขนาดนั้นแต่ว่าเขายังพูดแทรกขึ้นแบบไม่สนใจ
“ปล้นอะไรปล้นได้
แต่ปล้นซิงฉันนี่โทษหนักนะ” ไม่ใช่แค่พ่นคำขู่แบบไม่คิดจะฟังอะไรแต่เพียงเท่านั้น
แต่ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันหรูยังสตาร์ทเครื่องยนต์อีกทั้งยังเบิ้นเครื่องเสียงดังพลอยให้ฉันที่ไม่เคยนั่งรถแข่งมาก่อนในชีวิตรู้สึกสะเทือนไปทั่วทั้งกายคล้ายกับกำลังจะลงตับ
ด้วยความปากไวและความตกใจฉันจึงพลั้งปากถาม
“นายจะทำอะไร!” สิ้นคำถามรอยยิ้มร้ายกาจแถมยังเจ้าเล่ก์ก็ปรากฏขึ้นบนเสี้ยวหน้าของเขาทันที พร้อมคำตอบสั้นๆ ขณะที่เสียงของเครื่องยนต์กำลังคำรามดังลั่นพลอยรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นกว่าที่รู้สึกในตอนแรกนัก
“แข่งรถ”
“จะแข่งก็แข่งไปสิ แต่นายต้องปล่อยฉันลงเดี๋ยวหนะ....” เขาไม่รอให้ฉันได้พูดอะไรไปมากกว่านี้แต่กลับเหยียบคันเร่งเครื่องอย่างเต็มแรง เมื่อเสียงแว่วด้านนอกดังขึ้นว่า
‘Goooooo!!’ การที่เป็นเช่นนั้นมันเลยเปลี่ยนคำสั่งเสียงแข็งของฉันในตอนแรกให้กลายเป็นเสียงกรีดร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
“กรี๊ดดดดดด ปล่อยฉันลงไปปปปปปป!!!!!”
เคยนั่งๆ
อยู่แล้วรู้สึกเหมือนกำลังถูกโลกเหวี่ยงอย่างแรงแบบไร้ความปรานีไหม?
ฉันนี่แหละกำลังรู้สึกแบบนั้น
ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากตอนนั่งรถไฟเหาะตีลังกา แต่ว่า
สิ่งที่นั่งอยู่นั้นมันทั้งเร็วและแรงกว่ารถไฟเหาะ 10 เท่า ไม่สิ 100 เท่าต่างหาก!
กึก! เอี๊ยดดด!
ทั้งหมดนั่นมันจะไม่เกิดขึ้นกับชีวิตฉันเลยหากว่ารถแข่งคันหรูที่ฉันนั่งมาไม่ได้พุ่งทยานด้วยความเร็วราวกับไร้ลิมิตก่อนจะหักเลี้ยวกะทันหันหักหลบรถอีกคันที่จอดอยู่พุ่งสวนรถแข่งคันอื่นดริ๊ฟลงไปตามทางลาดชันเป็นวงกว้างของอาคารสูง 7 ชั้นจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดดังก้องอยู่ในรูหูราวกับไม่มีมีวันสิ้นสุด ในขณะที่ฉันได้แต่เบิกตากว้างกับภาพที่ตัดอน่างรวดเร็วนอกกระจกด้วยอาการช็อก!
นี่เป็นบทโทษของพระเจ้าลงโทษที่หนูตัดสินใจวางแผนครอบครองอปป้าใช่ไหมคะ!?
ถ้าใช่...ได้โปรดปรานีหนูเถอะ
หนูจะไม่ทำอีกแล้ว!
เอี๊ยดดดดด! กึก!
อีกครั้งที่ความคิดวอนขอต่อพระเจ้าถูกทำให้เงียบ
เมื่อรถทั้งคันถูกหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากทางลาดของลานจอดได้สำเร็จ เมื่อช่วงวินาทีระทึกขวัญสั่นประสาทชวนอ้วกจบลงไปฉันที่ยังช็อกต่อการขับรถพาดโผนแบบในหันก็รีบหันไปขึงตาพร้อมทั้งออกปากสั่งคนที่เป้นผู้ควบคุมรถทันที
“หยุด! หยุดก่อน!”
“หยุดบ้าอะไร ทางยังอีกตั้งไกล” เขาพึมพำยิ้มๆ
แถมยังมองทางตรงหน้าราวกับกำลังขับรถกินลมชมวิวอย่างชิว ท่าทางเข้าน่ะใช่
แต่ไม่ใช่กับหน้าปัดเข็มไมล์ดิจิตอลที่ตอนนี้พุ่งขึ้นเป็น 160 km/h ทั้งที่เรายังอยู่ในพื้นที่ของห้างสรรพสินค้า
“ฉะ ฉันจะลง... นายจะพาเราไปตาย!!”
“ไม่ตายหรอกน่า หุบปากแล้วนั่งดีๆ” เขาตะคอกสั่งอีกทั้งยังเพิ่มเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วของรถมากขึ้นกว่าเดิม
จนตอนนี้ จาก 160 มันได้เพิ่มความเร็วมาเป็น 170 km/h เพียงแค่ความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นมันก็ทำให้ฉันช็อกพออยู่แล้ว
แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้เลยเมื่อเขาเริ่มเร่งเครื่องอีกครั้งมุ่งสู่ถนนใหญ
ทั้งที่เบื้องหน้านั้นมีรถสิบล้อกำลังจะขับตัดหน้าผ่านไป
บรืนนน บรืนนน
“หนะ นั่นมันสิบล้อ สิบล้ออออ เบรกกกก!” ฉันตะคอกใส่เขาในอาการช็อก แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงตวาดกลับมา และทำท่าราวกับตั้งใจจะพุ่งชนรถสิบล้อตรงหน้า
“เงียบน่า!!!”
“ฉันบอกให้เบรกกกกกกกกกกกก” ฉันเหมือนนังบ้าเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟังเสียงสั่ง รีบโอบแขนทั้งสองข้างเกาะกับเบาะเอาไว้แน่นพร้อมทั้งหลับตาปี๋รับแรงกระแทกของรถที่นั่งมากับรถสิบล้อตรงหน้าอย่างไม่มีทางเลือก เสียงเบรกดังสนั่นไปทั่วพื้นที่และดังชัดเจนมากจนทำให้คนที่นั่งอยู่ภายในรถได้ยินไปด้วย
เอี๊ยดดดดดดด!!
เสียงดังกล่าวตามมาด้วยแรงเหวี่ยงอย่างรุนแรงพร้อมกลิ่นไหม้คละคลุ้งไปทั่วทั้งรถ ทำฉันที่พยายามเกาะรั้งตัวเองไว้กับเบาะกระแทกเข้ากับประตูอย่างเต็มแรง
ฟึ่บ! ตึงง!
ทุกอย่างมันไวมาก มากเสียจนไม่ทันได้สั่งเสียพ่อกับแม่หรือแม้แต่ศิลปินที่หลงรัก
และอดคิดไม่ได้ว่าว่าเราทั้งคู่ไม่รอดแน่ ทว่า ภายในไม่ถึง 5 นาทีดี
เสียงทุกอย่างกลับเงียบลงไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกอย่างสงบนิ่ง และเงียบ...
แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าลืมตามอง
กลัวว่าถ้าลืมตาไปแล้ว ฉันอาจจะกำลังเป็นวิญญาณ ยิ่งถ้าต้องหันไปเจอสภาพศพของตัวเองที่เละเพราะถูกบี้กับรถสิบล้อด้วยแล้ว
ฉันคงทำใจไม่ได้ TOT
สรุปแล้ว นี่ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ...
“เฮ้ย! ลืมตาได้แล้ว...” เสียงเข้มซึ่งฉันจำได้ว่ามันคือเสียงของชายแปลกหน้า
ทำฉันกลั้นใจลืมตาขึ้นทีละนิดอย่างนึกหวาดหวั่น พร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่าจังหวะกลองตอนเดินสวนสนามกีฬาม.ปลาย
ก่อนต้องพบว่าทุกอย่างยังอยู่ในสภาวะปกติ ไม่ได้มีการนองเลือด
ที่สำคัญฉันยังไม่ตาย!
ทันทีที่สายตากวาดมองสำรวจความปลอดภัยของตัวเองจนแน่ใจแล้วว่าไม่ตายชัวร์ๆ
สติที่หลุดไปจากเหตุการณ์ฉิวเฉียดก็ก็เริ่มส่งผลต่อร่างกาย พานให้สั่นเทิ้มไปเสียทุกส่วน
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติหันไปถามคนขับรถอยู่ดี
“มะ มันจบ....ละ
แล้วใช่ไหม?”
“ใครบอกเธอ?
นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้น…” แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคล้ายกับการถูกตบหน้ากลางมหาสมุทรแปซิฟิก
เพราะรู้ว่ามันยังไม่จบง่ายๆ ฉันจึงพยายามสูดอากาศหายใจเข้าลึกต่อสู้กับอาการสั่น
และเอ่ยขอชีวิตเขาอย่างน่าสงสาร
“ปะ ปล่อยฉันลงก่อนนะ
ขะ ขอร้อง...” ทว่า ฉันไม่ทันได้เอ่ยคำของจนสิ้นน้ำเสียงดี เสียงที่ตอบรับมากลับเป็นคำพูดสั้นๆ เหมือนไม่สนใจที่จะฟังคำขอจากฉันเลยแม้แต่นิดเดียว
“นั่งดีๆ ล่ะ ฉันจะซิ่งแล้ว”
“ดะ
เดี๋ยวววววววววววว!!”
บรืนนนน
ชายแปลกหน้าที่ดูจะหมกมุ่นกับการแข่งรถมากกว่าอะไรในโลกนี้
กระแทกฝ่าเท้าใส่คันเร่งอย่างเต็มเร่ง
ทำเอาความเร็วของรถที่ดูเหมือนจะช้าลงกว่าแรกเริ่มพุ่งขึ้นสูงอีกครั้งจนแรงดันภายในตัวรถกดตัวลำฉันให้แผ่นหลังเบียดลงกับเบาะไปเองแบบไม่สามารถบังคับได้
ฉันพยายามขยับตัวต่อสู้กับแรงดันภายในตัวรถกลอกตาสายตามองออกไปที่กระจกประตูเพื่อดูลาดเลาก่อนพบว่า
แสงไฟที่มักมองเห็นเป็นจุดเป็นดวงในเวลานี้กำลังลากยาวเป็นเส้นตรงราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
บอกถึงความเร็วของเครื่องยนต์ที่พาฉันทะยานไปบนท้องถนนได้ไม่ยาก
“หนะ
นี่นายนายขับรถเร็วเกินไปแล้วนะ” ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองบอกให้เขารู้ตัว
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบซึ่งถูกแทรกกลางไว้ด้วยเสียงของเครื่องยนต์แรงๆ
ขณะวิ่งอยู่บนท้องถนนไม่หยุด
เสียงของเครื่องยนต์รวมถึงแรงกดดันจากความแรงของตัวรถที่เพิ่มมากขึ้นทุกที
ทำฉันไม่กล้าขยับตัวได้มากกว่านี้
และภาวนาว่ามันคงจะลดลงหากว่าเขาพอใจที่จะหยุดเหยียบคันเร่ง ทว่า
บรืนน บรืนนน
สิ้นคำภาวนาในหัว
เสียงเบิ้นเครื่องยนต์ของรถคันข้างๆ กลับดังแทรกขึ้นจนรู้สึกได้ว่านคนขับจงใจ
เขาทำอยู่อย่างนั้นทั้งที่รถวิ่งคู่กันมาด้วยความเร็วในระดับพอๆ กัน
ซึ่งถ้ามองไม่ผิดดูเหมือนว่ารถคันดังกล่าวก็ถูกตกแต่งจนดูไม่ต่างจากรถที่ฉันกำลังนั่งอยู่เลยสักนิด
ลวดลาย
และเครื่องยนต์ ไม่บอกก็รู้ว่าถูกโมดิฟายมาเพื่อลงสู่สนาม
บรืนนนน
สิ้นเสียงเบิ้นเครื่องเหมือนการเจรจากันผ่านเครื่องยนต์ รถคันดังกล่าวเหยียบเร่งแซงปาดหน้าขึ้นไป
เสียงสบถแบบไม่ชอบใจเคล้าความกังวลก็ดังขึ้น
“DAMN!” เสียงดังกล่าวทำฉันหันขวับไปมองหน้าคนขับทันทีด้วยความตกใจ
ซึ่งเขาเองก็เหมือนจะรู้ตัวจึงได้ตวัดหางตามามองฉันวูบหนึ่งก่อนละไป แล้วออกคำสั่ง
“นั่งดีๆ”
“อะไร....นายจะทำอะไร
อ๊ะ!!”
บรืนนนน
อีกหนที่ความเร็วของรถกระชากฉันจนแผ่นหลังเบียดกระแทกลงกับเบาะอย่างแรง คราวนี้แรงกดดันในตัวรถดูเพิ่มมากยิ่งกว่าตอนแรกนัก ฉันพยายามขยับตัว แต่ดูมันยากเหลือเกิน เหมือนกับว่าร่างกายมีใครกับขึงติดไว้กับเบาะแบบนั้น
ทั้งที่ฉันกำลังตกอยู่ในช่วงวิฏฤตขยับตัวลำบาก
แต่เจ้าของรถกับเอ่ยปากชวนคุยขึ้นประหนึ่งว่ากำลังนั่งคุยกันชิวๆ ริมทะเล
“รู้ไหมว่าถนนหลวง
เขาจำกัดความเร็วเท่าไหร่?”
ฉันส่ายหน้าตอบอย่างอึกอัก
อย่างที่บอกแรงกดดันภายในรถมันทำให้ฉันขยับตัวไม่ถนัด!
“90 km/h ถ้าขับเร็วกว่านั้นจะถูกตำรวจจับ” พอได้คำตอบสายตาเข้ากรรมก็ดันเหลือบมองไปยังหน้าปัดบอกความเร็วอีกครั้ง
ก่อนต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเข็มดิจิตอลบอกความเร็วด้วยจำนวนตัวเลข 220km/h
และค่อยเปลี่ยนจำนวนไปเรื่อยๆ
เมื่อคนขับยังไม่หยุดกดเร่งคันเร่ง
240 km/h
260 km/h
“ชะ ช้าลงหน่อย...”
ฉันบอกเขาเสียงสั่น ส่วนหัวใจน่ะเหรอเหมือนหยุดเต้นไปนานแล้วล่ะ
“ช้าไม่ได้” คำตอบที่ได้กลับมา ทำฉันกลืนน้ำลายอย่างไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะเมื่อคนตัวใหญ่พ่นประโยคถัดมา
“พ่อตามมาข้างหลัง…”
บรืนน บรืนนน
280 km/h
พูดจบเข็มหน้าปัดบอกความเร็วดูจะค่อยๆ
เพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง และนั่นมาพร้อมกับแสงไฟสีแดงสลับตัดไปมาจากทางด้านหลัง
ก่อนตามมาด้วยเสียงไซเรนของรถตำรวจชวนกระตุกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า
อะไร
ยังไม่ทันได้ครอบครองอปป้าได้สมใจ นี่ฉันจะถูกจับเพราะไอ้หมอนี่ขับรถซิ่งงั้นเหรอ!?
“ระ เราจะถูกจับไหม!?”
ความกลัวถูกจับซึ่งมีมากกว่าสิ่งไหน
ทำฉันลืมตัวพลั้งปากถามเขาออกไปแบบไม่ทันคิด
“ยาก” แต่ดูเหมือนว่าคำตอบที่ได้กลับมาจะทำให้ชื้นใจนิดหน่อย
หากแต่ไม่ใช่กับการกระทำของเขาซึ่งดูขัดจากสิ่งที่ฉันได้ เมื่อจู่ๆ
ชายแปลกหน้ายอมผ่อนความเร็วของรถลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จนเข็มบอกความเร็วฮวบอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
รถทั้งคันชะลอช้าลงเรื่อยๆ
จนเสียงของไซเรนดังไล่หลังมาเกือบประชิด พร้อมด้วยเสียงก้องของการประกาศเรียกตัว
‘รถสีแดงไม่มีป้ายทะเบียนคันนั้น
นี่คือคำสั่งของตำรวจ ผมขอสั่งให้คุณหยุดรถลงซะ!’ หากแต่คำสั่งดังกล่าวทำให้ผู้สั่งกระตุกยิ้มคล้ายกับชอบใจ
ก่อนเอ่ยปากบอกฉันเสียงเรียบ
“เกาะดีๆ”
“หมายความว่าไง
ว้ายยย...”
กึก! เอี๊ยดดดดด!
เสียงหักพวงมาลัยดังขึ้นอย่างแรงทำเอาเสียงเบรกดังสนั่นไปทั่วนอกตัวรถ
เมื่อจู่ๆ ผู้ชายที่ดูจะชื่นชอบการแข่งรถยิ่งกว่าอะไร ตัดสินใจหักเลี้ยวพวงมาลัยกระชากตัวรถหมุนกลางถนนอย่างกระทัน
จนฉันที่ไม่ทันตั้งตะกระเด็นกระดอนกระแทกเข้ากับประตูและคอนโซลหน้ารถอย่างแรง
ตึงง!!
แม้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว ทว่า มันก็สร้างความหวาดหวั่นให้แก่คนซึ่งไม่เคยชินกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างฉันได้โดยไม่ยาก
โชคดีที่รถทั้งคันหยุดแล้วหยุดเลย ไม่ได้เคลื่อนไหว นั่นเลยทำฉันค่อยๆ
เงยหัวขึ้นจากบริเวณคอนโซลหน้ารถขึ้นอย่างช้าๆ
พลางใช้มือลูบหน้าผากตัวเองไปมาเพื่อลดความเจ็บ
แต่แล้ววินาทีที่ที่สายตาสามารถมองออกไปยังกระจกหน้ารถอีกครั้ง
ฉันกลับต้องเบิกตากว้างแทนการหันไปต่อว่าคนข้าง ราวกับว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะไม่มีวันสิ้นสุดลง
เมื่อรถทันคันกำลังจอดอยู่บนนถนนในลักษณะหันหน้าสวนเลนสวนกับรถหลายคันที่ขับสวนขึ้นไป
จิตใต้สำนึกฉันกรีดร้องหนักมากเมื่อภาพตรงหน้าคือรถของตำรวจที่ขับใกล้เข้ามาทุกขณะ
บรืนนน
“ฉันจะขับสวนขึ้นไป นั่งดีๆ”
“มะ ไม่จริง นายไม่ทำหรอก...”
“ทำแน่นอน...” เขาไม่ใช่แค่บอกแต่ยังเบิ้นเครื่องยนต์เตรียมพร้อมตลอดเวลาราวกับจะเตือนฉันว่าเขาจะทำสิ่งที่พูดแน่นอน ยิ่งได้เห็นเขาเบิ้นเครื่องเพื่ออุ่นเครื่อง หัวใจก็เหมือนกับจะหยุดเต้นขึ้นมาจริงๆ
บรืนน บรืนนน
“หนะ นายอย่าคิดอะไรบ้าๆ นะ!” ฉันตะคอกเขาปากเปิกสั่น อย่างน้อยก็หวังว่าเสียงหรือคำพูดจะทำให้เขาตัดสินใจหาทางหนีใหม่ๆได้
แต่ก็เหมือนเดิม เมื่อคนอย่างเขาคนนี้ไม่เคยฟังอะไรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
บรืนนน
“อย่างน้อยฉันก็มีเธอตายอยู่ข้างๆ จริงไหม?”
“มะ ไม่นะ นายต้องมะ....” เสียงคำรามของเครื่องยนต์ขึ้นเป็นหนสุดท้าย ก่อนที่รถทั้งคันจะถูกกระชากด้วยความเร็วรวดเร็วอย่างสุดแรง ราวกับจะท้าทายตำรวจเบื้องหน้า ซึ่งนั่นมาพร้อมกับเสียงคำรามอีกเสียงทันทีที่รถพุ่งทะยานไปด้านหน้าสวนกับรถที่ขับมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังร้องขอชีวิต
“กรี๊ดดดดด! ฉันยังไม่อยากตายย!”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
ความคิดเห็น