คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Race18 ll ความเจ็บของติ่งครั้งที่18 {อัพ100%} เป็นแฟนกันนะติ่ง
สายตากวาดมองไปยังกลุ่มแฟนคลับที่กำลังนั่งรอพบกับศิลปินด้วยความประหม่า
บ้างก็มองมาทางฉันแล้วซุบซิบ บ้างก็หยิบกล้องขึ้นถ่ายรูปวอร์อปป้าไม่ได้สนใจ
บ้างก็ยังส่งเสียงกรี๊ดอยู่อย่างนั้น แถมแฟนคลับกลุ่มนั้นบางคนฉันรู้จักพวกเธอดี
เพราะมีโอกาสเจอกันตามงานต่างๆ อีกทั้งยังเคยพูดคุยกับในเว็ปอยู่บ่อยครั้ง
“ขอสัมภาษณ์หน่อยได้ไหมครับ” เสียงของนักข่าวแย่งกันรุมสัมภาษณ์วอร์อปป้าทันทีที่พวกเขามีโอกาสได้เข้าใกล้
แต่มันก็ไม่ได้ใกล้พอเมื่อการ์ดประจำตึกช่วยกันกองทัพนักข่าวเอาไว้
“คุณวอร์จะอยู่ที่ประเทศไทยกี่วันครับ?
เห็นบอกMvตัวใหม่นี่กำลังถ่ายทำในไทยด้วยจริงหรือเปล่าครับ?”
“จริงครับ” วอร์อปป้าตอบนักข่าวกลับไปด้วยรอยยิ้ม
มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบกให้กับแฟนคลับบางส่วนอย่างเป็นกันเอง
ขณะมืออีกข้างจับแขนของฉันเอาไว้แน่น
“เขาลือกันว่านางเอก Mv
ที่ร่วมแสดงในครั้งนี้ ถูกเปลี่ยนตัวกะทันหัน
ทั้งหมดเพราะฝีมือของคุณวอร์ใช่ไหมคะ?”
“ครับใช่” วอร์อปป้าขยับยิ้มใจดี เหลียวมองฉันซึ่งทำตัวไม่ถูกข้างๆ เล็กน้อย
แล้วพูดออกมาอีกครั้ง “ผมเป็นคนเปลี่ยนแผนทั้งหมดเอง”
“นางเอก Mv ตัวใหม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนี้หรือเปล่าคะ?” พอได้ยินคำถามจากปากนักข่าวอย่างงั้น
ฉันก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เพราะถ้าหากวอร์อปป้าตอบออกไป
มันไม่ใช่แค่นักข่าวที่ได้ยิน แต่รวมไปถึงแฟนคลับกลุ่มนี้ด้วย
‘ถ้าเราจะกลบข่าวแอนตี้
เราควรจะสร้างข่าวใหม่ทับข่าวเก่า...’
แม้จะรู้ว่าวอร์อปป้าตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้อยู่แล้วก็ตาม
‘พี่จะสร้างข่าวระหว่างเรา
จากนั้นพี่จะลองให้แมร์มาเป็นนางเอกในมิวสิควีดิโอตัวใหม่ดีไหมคะ?’
“ครับ น้องแมร์คือนางเอกมิวสิควีดิโอตัวใหม่ที่ผมเลือก” ฉันเม้มปากลงเล็กน้อย
ไม่กล้าที่จะสบสายตามองตอบสายตาของบรรดาแฟนคลับที่มองมาอย่างสนอกสนใจ เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนพวกนั้นจะรู้สึกยังไง
เมื่อได้ฟังคำตอบจากของวอร์อปป้าแบบนี้
พวกเขาอาจจะรู้สึกเฉยๆ
พวกเขาอาจจะร่วมดีใจที่ถูกเลือก
หรือไม่
พวกเขาอาจจะหมั่นไส้มากยิ่งขึ้นกว่าเก่า
บรืนนน บรืนนน…
และตอนนั้นเองที่ฉันได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์รถดังมาจากข้างตึก
พอหันไปก็พบว่าที่ตรงนั้นมีรถแข่งสีแดงสดกำลังหยุดจอดนิ่งๆขวางทาง แสงไฟจากตัวอาคารโดยรอบ
ทำให้พอยังมองเห็นว่ากระจกรถฝั่งข้างคนขับถูกเปิดเลื่อนลงช้าๆ
จนสามารถมองเห็นบุคคลที่นั่งอยู่ภายในได้ชัดเจน
เพราะระยะห่างจากตรงที่รถจอดนั้นไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่
อีกทั้งรถแข่งสีแดงสดทั้งคันแบบนั้นมันก็มีอยู่แค่คันเดียวที่ฉันเคยเห็น
เพียงแค่นั้นในอกก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา แม้จะมองไม่เห็นคนที่อยู่ในรถชัดนัก
แต่ความรู้สึกก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังมองมา และพอรู้ตัวว่าถูกเขามอง
ฉันจึงจำต้องละสายตาหลบไปทางอื่นแบบห้ามไม่ได้
‘มึงก็ชอบเขาไม่ใช่เหรอ?’ ทั้งที่เลี่ยงที่จะมองแล้ว แต่ในหัวก็ดันไม่หยุดเสียงของเขาตอนพูดคุยในสตูดิโออยู่ดี
‘ไม่อ่ะ ไม่เคยชอบ’
ให้ตายซี่ กาละแมร์!เขาจะพูดถึงใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อยไม่ใช่หรือไงล่ะ!
“ทำไมคุณวอร์ถึงตัดสินใจเลือกเด็กคนนั้นมาร่วมงานแทนนักแสดงคนเก่าล่ะคะ?
จากที่ทราบมาเด็กคนนี้เคยถูกแฟนคลับวง SWAG ต่อต้านและกระแสแอนตี้ด้วยไม่ใช่เหรอ”
คำถามต่อมาของนักข่าว
ทำฉันเงยหน้ามองพวกเธอเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ให้ตายสิ
ตอนนี้ในหัวกำลังตีกันยุ่งไปหมด เหมือนมีใครเทเรื่องราวแย่ๆ
หลายเรื่องเข้าใส่ฉันพร้อมกัน
ฉันเหลือบมองหน้าวอร์อปป้าเล็กน้อย
ก่อนพบว่าเขาเองก็กำลังมองกลับมาแบบเดียวกับที่ฉันมักเห็นผ่านภาพโปสเตอร์หรือในจอบ่อยๆ
แววตาอบอุ่นใจดีของเขา เหมือนกำลังจะบอกฉันว่าไม่เป็นไรและยังพยักหน้าเบาๆ
เหมือนเป็นการให้กำลังใจอีกแรง ก่อนละสายตาหันไปเผชิญกับนักข่าวอีกครั้ง
พร้อมด้วยคำตอบ
“ที่ผมเลือกเด็กคนนี้มาร่วมงานแทนนักแสดงคนเก่า…”
ตึก ตัก… ตึก ตัก…
“นั่นก็เป็นเพราะว่าเด็กผู้หญิงคนนี้
เป็นคนสำคัญของผมครับ” เสียงฮือฮาของกลุ่มแฟนคลับเงียบลงทันที
ที่เหลือตอนนี้ก็คงเป็นเสียงรัวชัตเตอร์และเสียงแย่งกันสัมภาษณ์ของบรรดานักข่าวเท่านั้น
แล้วก็…
บรืนน บรืนนน
เสียงเบิ้นเร่งเครื่องยนต์ของรถแข่งสีแดงสดที่ขับเคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว...
แต่ขณะเดียวกันเสียงของนักข่าวและเสียงของชัตเตอร์ที่รัวอัดอยู่เบื้องหน้า
ไม่สามารถทำให้ฉันมองตามไปท้ายรถแข่งสีแดงคันดังกล่าวได้ตลอดไป
แม้จะรู้ว่าเจ้าของรถคันนั้นเป็นใคร แต่สิ่งที่ฉันต้องทำในตอนนี้คือการยืนแสร้งยิ้มเพื่อสร้างสถานการณ์ในแบบที่วอร์อปป้าอยากให้เป็น
รู้ไหม? ฉันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือใจสั่นกับคำตอบที่วอร์อปป้าให้สัมภาษณ์เลยสักนิด
กลับกันฉันดันรู้สึกเฉยๆ ทั้งที่เรื่องที่เกิดขึ้นคือความฝันสูงสุดที่อยากอยากให้เกิดในโลกความจริง
แต่ตอนนี้มันดันต่างออกไป…
เวลา 22.15 นาฬิกา
วอร์อปป้าขับรถของตัวเองพาฉันมาจอดเยื้องๆ
กับหน้าทางเข้าบ้านพักนิดหน่อย โดยที่คืนนี้เขาเองก็อาสาที่จะไปส่งกระถินที่บ้านด้วยเช่นกัน
“ฝันดีนะ
พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น” คำพูดร่ำลาของวอร์อปป้าทำฉันยิ้มตอบรับอย่างมีความหวัง
พลางโบกมือเล็กน้อยให้กระถินซึ่งนั่งนิ่งมองฉันอยู่บนเบาะหลังคล้ายกับเกร็งๆ
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ
ฝันดีนะกระถิน”
“ฝันดีแมร์
พรุ่งนี้เจอกัน” กระถินพูดยิ้มๆ
โดยมีวอร์อปป้ากล่าวเสริมขึ้นอีกแรง
“พรุ่งนี้อย่าไปที่กองถ่ายเรตนักล่ะ
ดูแผนที่ให้ดีๆ ด้วย”
“ค่า!” หลังจากร่ำลากันได้ครู่ใหญ่ๆ วอร์อปป้าก็เลี้ยวรถขับออกไป
ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนนิ่งมองไฟท้ายสีแดงขับห่างไกลออกไปแต่เพียงเท่านั้น และเมื่อสถานการณ์บริเวณนั้นสงบลง
ลมหายใจหนักๆก็ถูกพ่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์ที่ดับไปขึ้นมาดูสภาพและพยายามกดปิดเครื่องอีกครั้ง
แต่มันก็เหมือนเดิม
เพราะน้ำเข้าโทรศัพท์ก็เลยเปิดหน้าจอไม่ได้ จนตอนนี้ไม่รู้เลยว่ากระแสแอนตี้ของฉันในโลกโซเชียลกำลังดำเนินไปทางไหน
ระหว่างคิด เท้าก็เริ่มก้าวเดินไปบนฟุตบาธหน้าบ้านพักด้วยเช่นกัน
สงสัยพรุ่งนี้ก่อนไปกองถ่าย
ฉันควรจะแวะเอาโทรศัพท์ส่งร้านซ่อมจริงๆ นั่นแหละ เมื่อคิดได้แบบนั้น
ฉันจึงจัดการเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าสะพายอีกครั้ง
กึก…
แต่แล้วจังหวะเดียวกันนั้นเอง
เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น แถมยังดังใกล้เข้ามาทุกวินาทีจนต้องเงยมองเจ้าของเสียงเดิมท่ามกลางความมืดด้วยความสงสัย
แสงไฟสีนวลบริเวณหน้าบ้านพักตอนนี้ ทำให้มองเห็นหน้าเจ้าของเสียงฝีเท้าดังกล่าว
แม้จะไม่ชัดนัก แต่ก็พอทำให้รู้ว่าเขาเป็นใคร และดูจะชัดมากเข้าไปใหญ่เมื่อเขาคนนั้นหยุดเท้าลงตรงหน้า
ด้วยระยะห่างออกไปเพียงแค่เอื้อมมือ
เขาในตอนนี้ใส่ชุดลำลองปกติทั่วไป
ไม่ใช่ชุดสูทแบบที่ฉันเห็นเมื่อวาน
และมันก็เป็นชุดเดียวกับตอนที่ฉันเห็นเขาคุยกับวอร์อปป้าที่สตูดิโอด้วย
เทวินทร์...
“กลับมาแล้วเหรอ?”
เทวินทร์เอ่ยปากทัก แต่ฉันกลับเลือกที่จะไม่มองเขาแต่ทำเป็นก้มหยิบกุญแจออกจากกระเป๋าจัดการกับแม่กุญแจที่ล็อกรั้วออกด้านนอกเอาไว้
ทั้งที่การทำเช่นนี้ก็ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ
แต่คืนนี้พอมีเขายืนมองอยู่ใกล้ๆ
มือไม้มันก็สั่น จนจับผิดจับถูกไปหมด
“ขอคุยด้วยเดี๋ยวสิ…”
“มีไร ฉันรีบ” ฉันถามส่งๆ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่สามารถปลดล็อกกุญแจรั้วได้สำเร็จพอดิบพอดี
“ฉันอยากพูดเรื่องที่คุยกับวอร์ที่สตูดิโอ” พอได้ฟังแค่นั้น ปากก็ขยับเองตามใจชอบ เหมือนคนปฏิเสธที่จะฟัง
“มันไม่เกี่ยวกับฉันนี่
ทำไมต้องพูดเรื่องนี้กับฉันด้วยล่ะ”
“ฉันกลัวเธอเข้าใจผิด” ส่วนเขาก็ยังพูดเสียงนิ่ง
“เข้าใจผิดอะไรไม่มีหรอก
จะคิดอะไรมากมายล่ะ...” วินาทีนั้นฉันรู้ตัวดีว่ากำลังพูดประชดประชันเขาอยู่
แถมยังไม่คิดจะฟังอะไรทั้งนั้น
กลับกันความรู้สึกที่เริ่มจะสงบลงกลับเริ่มเร่งอัตรารุนแรงเฉกเช่นเดียวกับช่วงเวลาให้สัมภาษณ์ที่สตูดิโอ
“กลับไปได้แล้ว นี่มันดึกแล้ว ฉันเหนื่อย...”
ขณะพูดสายตาก็เลื่อนมองใบหน้าหล่อทะเล้นซึ่งกำลังมองกลับมาด้วยแววตานิ่งงัน
ทั้งที่ถูกไล่แต่เขาก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพื่อหยุดความรู้สึกแปลกๆในอกลง
ฉันจึงตัดสินใจผลักประตูรัวเพื่อจะพาตัวเองเข้าไปข้างใน แต่
ฟึ่บ!
เทวินทร์กลับพุ่งคว้าข้อมือฉันเอาไว้แน่น
ตามมาด้วยแรงกระชากรั้งเบาๆ หยุดทุกการเคลื่อนไหวทั้งหมดของฉันให้นิ่งลง
จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งตะคอก
“เต้าหู้
ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าในหัวสมองกลวงๆ ของเธอตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่” ฉันไม่ได้หันไปมองเขา
แต่รู้สึกถึงแรงบีบรัดบริเวณข้อมือที่แน่นากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับอารมณ์และน้ำเสียง
ขณะหูยังเงี่ยฟัง “ฉันมารอเธอเป็นชั่วโมง
เพื่อที่จะคุยด้วย แต่เธอทำเหมือนไม่อยากคุย ทำแบบนี้แม่งเสียมารยาท!”
“ก็ฉันไม่มีอะไรจะคุย…” ฉันพยายามคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ ตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงใจเย็น
ไม่แสดงความรู้สึก แต่ไม่ใช่กับเทวินทร์ที่เริ่มพูดจาเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนฉันหมดความอดทน
“ก็ฉันมีเรื่องจะคุยไง
เลิกทำตัวเสียมารยาทแล้วหันมาคุยกัน เดี๋ยวนี้!”
“ก็เรื่องที่นายจะอธิบาย
ฉันไม่ได้อยากรู้ อีกอย่างนายไม่ใช่พ่อฉัน อย่ามาสั่ง!!”
พอขึ้นเสียงใส่บ้าง
คนตัวใหญ่ก็เงียบเสียงลงทันที เหมือนเปิดโอกาสให้ฉันได้พูดต่อไป
“ฉันไม่ได้อยากรู้
ว่านายจะคุยอะไรกับวอร์อปป้า มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลย…นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร
คิดว่าฉันอยากจะรับรู้เรื่องของนายมากขนาดนั้นเชียวหรือไง!”
ฟึ่บ!
“เออ!!” เทวินทร์กระแทกเสียงตอบลั่น พลางสะบัดปล่อยมือฉันออกอย่างแรง
การกระทำดังกล่าวทำให้ฉันรู้สึกช็อกนิดหน่อย เพราะไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้มาก่อน
พานให้ต้องหันขวับจับจ้องการกระทำของเทวินทร์แบบไม่อาจห้ามได้ทั้งที่เพิ่งพูดปฏิเสธไป
ก่อนพบว่าผู้ชายคนนี้กำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างสุดๆ
เขาพ่นลมหายใจทิ้งคล้ายเอือมระอาในสิ่งที่เป็นอยู่
แถมยังเบือนสายตาไปอีกทางขณะปากยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับโกรธเคือง
“ถ้าไม่อยากรู้
ฉันจะไม่พูดอีก!! ถ้าไม่อยากให้อธิบาย ฉันจะไม่อธิบาย!”
คำพูดคำจาที่ดูใส่อารมณ์เสียเต็มประดาของเขา
มันทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะต่อว่าเขากลับไป
“เออ!! ฉันไม่อยากรู้ ถ้านายไม่มีอะไรแล้ว ก็กลับไปสักทีสิ!”
“เออ!!!” เขาตะคอกย้อนกลับมาด้วยเสียงที่ดังกว่า
และตวัดสายตากลับมามองฉันแบบไม่สบอารมณ์
“ฉันจะไม่ถามเธออีกว่าเธอรู้สึกยังไง
ไม่ต้องไล่ขนาดนี้ก็ได้มั้ง เพราะฉันกลับแน่!”
“เออ!!!” ฉันสะบัดเชิดหน้าหันกลับเข้าบ้านแบบไม่สนใจหลังจากสิ้นเสียง
เพราะรู้ตัวดีว่า
ถ้ายังต่อปากต่อคำกับเขาด้วยโทนเสียงแบบนี้
มีหวังว่าเราสองคนต้องทะเลาะกับรุนแรงไปมากกว่านี้แน่ๆ ดังนั้น
ฉันก็เลยตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปในบ้านพัก แต่มันก็เป็นอีกครั้งที่เทวินทร์ไม่ยอมให้ฉันหนีเข้าบ้านได้ตามใจชอบ…
ฟึ่บ!
เขาพุ่งมือกระชากแขนฉันอย่างรุนแรง
การกระทำของของเทวินทร์รอบนี้ ทำฉันเสียการทรงตัวไปตามแรงดังกล่าวหันหน้ากลับไปเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น
พร้อมๆ กับอ้อมกอดอุ่นที่พุ่งเข้ารวบกายฉันเข้าไปกอดแน่นไว้แนบอกอย่างรวดเร็วแบบไม่ให้ตั้งตัว
“ปล่อยนะ!” ฉันปรามเขาพลางดิ้นขลุกขลักเพื่อให้เขาปล่อย
แต่ยิ่งทำแบบนั้นเทวินทร์ก็ยิ่งกอดรัดรอบตัวฉันแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แถมยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าในตอนแรกราวกับทวนประโยคที่เขาพูดค้างไว้ก่อนหน้านี้
“บอกแล้วไงว่าฉันไปแน่...” คำพูดประโยคนั้นสร้างความงุนงงและสับสนให้ฉันเป็นอย่างมาก
เดาไม่ถูกเลยว่าสิ่งที่เขาพูดและการกระทำที่เป็นอยู่ มันหมายถึงอะไรจนกระทั่งเขาเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา “แต่หลังจากฟังเธอตอบคำถามที่ฉันถามค้างไว้จบ”
คำถามที่เขาถามค้างไว้เหรอ...
“อ่านหรือยัง ที่ส่งไปให้?”
เขาถามขณะมองฉันที่นิ่งไปเพราะคำถาม สีหน้าของเขาตอนนี้นิ่งมาก
ไม่ได้ส่อแววทะเล้นเหมือนทุกที แต่ไม่นานหรอก พอเราสบตากันเขาก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเป็นหนที่สอง
“เป็นแฟนกับฉันได้หรือเปล่า?”
คำขอสั้นๆ ของเทวินทร์ทำฉันพูดอะไรไม่ออก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรดลใจให้เขาถามออกมาเช่นนั้น รู้แค่ว่าอ้อมกอดของเขามันอบอุ่นและรัดมากขึ้นทุกขณะหากว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
รวมไปถึงคำขอเมื่อกี้เองก็เช่นกัน
ซึ่งฟังแล้วให้ความรู้สึกว่าเขาจริงใจมากแค่ไหน
“ถ้าเธอไม่ฟังอะไรเลย
ฉันก็คงปล่อยไปไม่ได้เหมือนกัน…” คำพูดเดิมๆ
ถูกเขากล่าวซ้ำออกมาราวกับจะย้ำว่าให้ฉันเข้าใจว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไร พร้อมกันนั้นอ้อมกอดที่เคยรัดแน่นเพื่อกันการดิ้นหลบหนีก็ค่อยๆ
คลายออก
เทวินทร์ยอมปล่อยฉันเป็นอิสระแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
แต่เปลี่ยนเป็นใช้เพียงฝ่ามือเดียวยกขึ้นสัมผัสข้างแก้มฉันอย่างอ่อนโยน
“เป็นแฟนฉันนะ…”
นัยน์ตาคมฉายแววความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของให้เห็นได้ชัดเจน
ที่บ้าสุดๆ ก็คือ ใจฉันดันเต้นรุนแรงไปกับคำขอและการกระทำแบบนั้น
จนถึงขั้นไม่สามารถขยับปากขยับลิ้นพูดตอบโต้เขากลับไปได้เลย
“เอ้าตอบดิ
เป็นได้ไหมเนี่ยแฟนอ่ะ?” หูน่ะได้ยินคำถามของเขานะ
ร่างกายก็รู้สึกถึงแต่ความอบอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่าย
เพียงแค่ตอนนี้ฉันไม่สามารถขยับร่างกายหนีได้แม้ว่าเขาไม่ได้ใช้แรงบีบบังคับเอาไว้ก็ตาม
แถมลิ้นกับปากก็ยังแข็ง หลายๆคำพูดที่คิดจะใช้ด่าทอและต่อว่าเหมือนจุกอยู่ที่คอ
“เฮือก!” เพราะฉันไม่ได้ตอบล่ะมั้ง เทวินทร์จึงแสดงนิสัยเดิมๆ
ของตัวเองออกมาให้เห็น โน้มหน้าเข้ามาใกล้จนฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะหยุดเมื่อหน้าผากของเราจรดชิดกัน
และนิ่งค้างไว้แบบนั้น
“เฮ้ย... ฉันชอบเธอจริงๆนะ
ฟังรู้เรื่องป่ะ?” คำถามของเขาน่ะออกแนวค่อนไปทางหาเรื่อง
แต่ไม่ใช่กับนัยน์ตาของเขาที่มองลึกเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆบนหน้า
และเมื่อไม่ตอบเขาก็ทำมันอีก งัดนิสัยเดิมๆ ของตัวเองออกมาใช้ไม่หยุด ด้วยการขยับใบหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่ตอบจูบนะ” เขาขู่เสียงติดกระซิบพลางลดมือซึ่งแตะอยู่ข้างแก้มลดลงมาจับอยู่ที่บริเวณหัวไหล่
ก่อนจะขู่ซ้ำ “จะจูบจริงๆแล้วนะ...”
เมื่อรู้สึกได้ว่าเขาเอาจริงแน่
ฉันจึงตัดสินใจเฮือกใจโพล่งเสียงแย้งออกไป ทว่า
“ถอยออกไปเลย...อื้อ”
เสียงปฏิเสธที่ถูกส่งออกไปนั้น เดียวเป็นจังหวะเดียวกับที่ริมฝีปากอุ่นของคนตัวใหญ่จรดทาบทับลงมาอย่างอ่อนโยน
เทวินทร์ไม่ได้ทำอะไรที่รุนแรงเลย
ทุกอย่างอ่อนนุ่มและเบาบาง
จนให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเอาปุยนุ่นถูไถอยู่บริเวณริมฝีปากเสียมากกว่า
รสสัมผัสของจูบมันเนิ่นนาน และบ่อยครั้งที่ร่างกายตอบสนองรสจูบดังกล่าวกลับไปบ้าง
ไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งที่ตอนนี้ฉันควรผละตัวหนีจากสัมผัสน่าอายและฉวยโอกาสของเขาไป
ทว่า ร่างกายมันกลับไม่เชื่อฟังตามความคิด เอาแต่นิ่ง พร้อมกับสัมผัสอ่อนนุ่มฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างไม่เข้าใจตัวเอง
รู้แค่ว่าสิ่งที่เทวินทร์พูดและกำลังทำในตอนนี้
ทำหัวใจฉันเต้นรุนแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก
รุนแรงยิ่งกว่าการยืนอยู่ต่อหน้ากล้องและบรรดาผู้สื่อข่าวเสียอีก แถมยังปัดทุกบทสนทนาที่ได้ฟังเขาพูดกับพี่ชายตัวเองออกไปจากหัวจนหมด
เวลาเพียงไม่นาน
ริมฝีปากอุ่นก็ค่อยๆ ถูกผละออกไป แต่ฉันยังรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ
ที่เป่ารดลงมาของคนตัวสูงตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
และหูก็ได้ยินเสียงเฉียดกระซิบของเขาเช่นกัน
“ถือว่าตอนนี้เราเป็นของกันและกันแล้วนะ…”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
ความคิดเห็น