คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Addict21 ll ยกที่ยี่สิบเอ็ด {อัพ100%}
‘มาค่ะ พี่จะพาไปบินสารภาพผิด!’
“พะ พี่เกมส์หมายถึงอะไรคะ
หนูไม่เข้าใจ…” ฉันพยายามแย้งเขาออกไปแต่ พี่เกมส์ดันไม่ฟัง
เขาหันมายิ้มให้แล้วพูดขัดขณะกวาดขาขึ้นไปนั่งตั้งท่าเตรียมตัวบนรถ
“พี่อยากเห็นคนไทยบินได้ค่ะ!”
เขาปล่อยให้ฉันอึ้งกิมกี่กับคำพูดแปลกๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถเขาหรอกนะ เพราะช่วงวันสองวันมานี้ ต่อให้จะรู้สึกกลัวกับการกระทำห่ามๆ ของเขาก็จริง แต่กลับกันการที่ได้อยู่กับกิจกรรมหลุดโลกพรรค์นั้น มันก็ทำให้ฉันสบายใจ...
วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน เพราะไม่มีเสียงเบิ้ลเครื่องยนต์ของรถคันอื่นๆ ตามหลังให้รำคาญใจ พี่เซินไม่ได้โชว์การขับรถผาดโผน
เพราะเวลานี้มีแค่ฉัน พี่เกมส์เท่านั้น
มีแค่เรา…
คนตัวใหญ่บิดเร่งความเร็วรถไปบนถนนหลวง ยิ่งเวลาผ่านไปท้องฟ้าที่เคยเป็นสีอ่อนของพระอาทิตย์ก็มืดลง ถึงอย่างงั้นพี่เกมส์ก็ยังคงขับรถด้วยความเร็วระดับเดิมไปบนถนนทอดยาว ราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
เขาบิดรถพาฉันออกห่างจากหอพักและตัวเมืองมาไกลมากขึ้น จนกระทั่งบรรยากาศสองข้างทางมีเพียงป่ามืดๆ ขนาบข้างถนนสี่เลนโล่งๆ ที่นานๆ ทีจะมีรถสักคันขับสวนไป
เพราะบรรยากาศที่น่ากลัว มันก็เลยทำให้ฉันเป็นกังวล จนต้องเอ่ยปากถามเขาออกไปในที่สุด
“เราจะไปไหนกันคะ?”
“บินไงคะ” คำตอบสั้นๆ
ผ่านหมวกกันน็อกใบใหญ่ ทำฉันที่ได้ยินย่นคิ้วด้วยความแปลกใจ อีกแล้ว เขาชอบพูดอะไรที่ฉันไม่เข้าใจแบบนี้อยู่เสมอๆ
เลย “น้องกานต์พร้อมจะบินหรือยัง?”
“บิน? บิน แบบที่นกบินน่ะเหรอคะ?” อาจฟังดูตลก แต่ว่าฉันถามออกไปแบบนั้นจริงๆ
แล้วรู้ไหมเขาตอบกลับมาว่ายังไง
“ใช่ค่ะ...” ไม่ใช่แค่คำตอบสั้นห้วน
แต่พี่เกมส์ยังตบเกียร์บิดเร่งความเร็วเครื่องยนต์ขนาดเล็กให้เร็วขึ้นกว่าเก่า
จนฉันต้องกอดเอวเข้าเอาไว้เพราะกลัวหล่น
“น้องกานต์ ลองหลับตาลงนะคะ…”
เสียงของพี่เกมส์ในคราวนี้ฟังชัดกว่าครั้งแรกนัก “จากนั้นก็กางแขนออกไปกว้างๆ”
“ทำแบบนั้นมันอันตรายนะคะ!” ฉันแย้งขัดเมื่อได้ฟัง
“ไม่หรอกค่ะ อยู่กับพี่น้องกานต์จะปลอดภัย...” หัวใจฉันวูบสั่นเมื่อได้ฟังถ้อยคำประโยคนั้น
โดยเฉพาะกับคำพูดประโยคต่อมา “คิดซะว่าถนนเส้นนี้คือท้องฟ้า
ส่วนน้องกานต์คือนก สายลมคือก้อนเมฆ…”
“…” เขาต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
ถึงมโนอะไรได้เป็นฉากๆ แบบนี้ ฉันคิดแบบนั้นในตอนแรก
แต่ไม่ใช่หลังจากที่เขาพูดประโยคหนึ่งออกมา
“ตอนนี้น้องกานต์กำลังอยู่ในโลกอีกใบของพี่
ถ้าอยากพูดอะไร ก็พูดได้เลย… ทุกคนกำลังรับฟังอยู่”
‘อยากรู้จักโลกอีกใบของพี่ไหมละคะ
พี่จะพาไป…’
‘พี่น่ะแบ่งโลกนี้เป็นสองฝั่ง
โลกความจริงและโลกที่พี่สร้างเอง…’
โลกอีกใบของเขาอย่างงั้นเหรอ…
“ลองดูสิคะ…” คำเชิญชวนแสนหอมหวาน ทำฉันที่คิดไม่ตกตัดสินใจหลับตาลง
ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เราทั้งคู่กำลังทำอยู่
มันก็แค่การขับรถเล่นธรรมดาๆ แต่เพียงแค่ฉันลองหลับตาลง
และปล่อยมือออกจากเอวตามอย่างที่พี่เกมส์ว่าเท่านั้นทุกอย่างรอบตัวที่เคยรู้สึกมันก็เปลี่ยนไป
แม้จะหวาดกลัวเพราะความเร็วของเครื่องยนต์ที่เร็วขึ้นทุกวินาทีจนร่างกายฉันก็เริ่มรู้สึกถึงแรงลมเย็นที่ปะทะเข้ามาได้อย่างชัดเจนก็ตาม แต่ว่าในตอนนี้ฉันกลับรู้สึกอย่างอื่นไปด้วยเช่นกัน
ลมไม่ได้โหมแรงเหมือนกับเมื่อวานทั้งที่รถไม่ได้เคลื่อนตัวช้าลง แต่มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเย็นสบายมากกว่า คล้ายกับว่าลมแรงๆ
พวกนั้นกำลังโอบอุ้มร่างกายฉันเอาไว้ไม่มีผิด
ฉันไม่รู้หรอกว่า ฉันกำลังบ้าตามเขาหรือเปล่า แต่วินาทีที่แขนทั้งสองข้างๆ ค่อยๆ เคลื่อนกางออกไปจนสุด บวกกับสภาพแวดล้อมและสายลมรอบตัวในความมืดที่ได้รับ
มันเหมือนกับว่าเขากำลังพาฉันบินอยู่บนท้องฟ้าจริงๆ
บรืนน บรืนนน
ยิ่งเขาบิดเร่งความเร็วมากเท่าไหร่
ฉันก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายด้วยสายลมแรงๆ ที่พัดผ่านตัวมากเท่านั้น
อ่า… โลกอีกใบของเขาทำไมมันถึงได้สงบแบบนี้ล่ะ
“กูไม่ได้แย่งแฟนมึง!!! วู้!” ฉันสะดุ้งเฮือกจากภวังค์และเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
เมื่อจู่ๆ พี่เกมส์ซึ่งกำลังบังคับแฮนด์รถตะโกนออกมาเสียงดังลั่น และเหมือนว่าเขาจะรู้ตัว
คนตัวใหญ่จึงมองฉันผ่านกระจกข้างส่องหลัง แม้ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา
แต่จากแววตาไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่
“พี่จะบ้าเหรอคะ ตะโกนทำไม!?”
ฉันโพล่งเสียงถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ และอดคิดต่อว่าเขาในใจไม่ได้
ว่าเขาต้องไม่เต็มแน่ๆ แต่
“ระบายค่ะ พี่เชื่อว่าถ้าลมพวกนี้สามารถทำให้เราสบายใจได้
นั่นแปลว่าลมพวกนั้นก็จะพัดความรู้สึกแย่ๆ ในใจเราได้เหมือนกัน” เขาดันตอบกลับมาแบบนี้
“…” พัดความรู้สึกแย่ๆ งั้นเหรอ…
“น้องกานต์ลองตะโกนเรื่องที่อึดอัดสุดๆ ออกไปดูสิคะ”
ตะโกนเรื่องที่อึดอัดงั้นเหรอ…
จะบ้าหรือไง เรื่องแบบนั้นใครมันจะไปกล้าทำ
นี่มันบนถนนนะ
ทั้งที่คิด อย่างงั้นแต่ว่า…
‘อยู่กับพี่น้องกานต์จะปลอดภัย…’ ความคิดและจิตใจกลับเชื่อมั่นต่อคำพูดของพี่เกมส์ได้อย่างน่าแปลก
อากาศดีๆ บนถนนที่ปลอดรถยนต์ถูกฉันสูดรับเข้าปอดจนลึก ก่อนจะทำในเรื่องที่ฉันเองไม่คิดว่าจะกล้าทำมาก่อนในชีวิต
“ฉันไม่ได้แย่งแฟนเจ๊นะเว้ย!!!”
ใช่! ฉันกำลังทำแบบเดียวกับที่พี่เกมส์ทำ
“วู้!! ดังอีกคะ
ขอแบบจัดหนักจัดเต็ม ตะโกนให้สุดเสียง!” ยิ่งเจอลูกยุ
ฉันก็ยิ่งบังคับตัวเองไม่ได้ ราวกับว่าสิ่งที่กำลังทำเป็นเรื่องสนุก
“คิดว่าความรู้สึกบ้าๆ
พวกนี้จะทำร้ายฉันได้เหรอ ไม่มีทางซะหรอก!!”
“วู้!!
สตรองงงง!!”
“ฉันจะไม่เสียใจให้กับเรื่องบ้าๆ
แบบนี้หรอก ยัยบ้า! อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ฉันไม่แคร์!!” พอได้ตะโกนออกไป
ไอ้ที่เคยอึดอัดและจุกอยู่ในอกมันก็คล้ายกับจะเบาบางลงไปด้วย
ด้วยความที่มันเป็นแบบนั้นฉันก็เลย…
“ฉันสตรองพอโว้ยยย!!” ทำให้ฉันตะโกนระบายความรู้สึกของตัวเองไม่หยุด
ต่อให้ถนนอีกฟากจะมีรถขับสวนไปก็ตาม
“วู้! ได้ยินไหมว่าน้องกานต์สตรองอ่ะ!!”
และทุกครั้งที่ตะโกนออกไปจนสุดเสียง
พี่เกมส์ก็จะคอยตะโกนย้ำคำพูดของฉันอีกครั้งเสมอ
“ฉันเข้มแข็งกว่าที่เธอคิดเยอะ
เรื่องแค่นี้มันไม่ทำให้ฉันตายหรอก!!”
“วู้! น้องกานต์ของพี่เกมส์สตรองโว้ยย!!”
เสียงของพี่เกมส์ที่คอยตะโกนเสริมคล้ายกับเป็นแบล๊กชั้นดีที่คอยดันหลังฉันเอาไว้ ไม่ให้เจ็บปวดและโศกเศร้าไปกับสิ่งที่เกิด ทั้งที่ฉันในตอนนี้ น่าจะนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ และปล่อยเวลาให้ผ่านไปพร้อมกับคราบน้ำตาแท้ๆ
ทว่า ในตอนนี้ฉันกลับหัวเราะออกมาได้คล้ายกับคนที่มีความสุขสุดๆ ในชีวิต
ทุกอย่างที่เราทั้งคู่กำลังทำ
มันคือความสนุกในแบบที่ฉันไม่เคยได้เจอก่อน ทั้งบ้าบิ่น ไร้สาระ และมโนอย่างสุดๆ
ที่สำคัญฉันแทบจะลืมไปเสียสนิทใจว่า วันนี้น่ะมันคือวันครบรอบ 7 ปี ของฉันกับพี่นัท…
“กูจะปกป้องเขาเอง มึงได้ยินป่ะ!!”
พอฉันเงียบไป คราวนี้มันก็เป็นตาของพี่เกมส์
ที่เริ่มตะโกนเสียงดังผ่านหมวกกันน็อกใบโตดังแทรกความคิดในหัว
“มึงได้ยินป่ะนัท ว่ากูดูแลเขาได้!!” เสียงของเขาหนักแน่นและชัดเจน จนพลอยรู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้ฟัง โดยเฉพาะกับคำพูดประโยคสุดท้าย
เขาไม่ได้ตะโกนมันออกไปหรอก แต่เหมือนว่าเขากำลังพูดกับฉันมากกว่า
“ตอนนี้พี่คิดว่า… พี่คงไม่ได้ชอบน้องกานต์แค่ 6 ปีแล้วล่ะค่ะ…”
ตึก ตัก... ตึก ตัก...
“ขอบคุณนะคะ ที่อยู่ให้ชอบมาถึง 7 ปี”
และพอได้ยินคำพูดประโยคนั้น ฉันเองก็หลุดยิ้มออกมา และไม่ได้คิดจะปฏิเสธคำพูดดังกล่าวของเขาแบบทุกทีที่ผ่านมา
แต่เลือกที่จะตอบรับน้ำใจเขากลับไปเพียงสั้นๆ ว่า
“ค่ะ”
จริงอยู่ว่าสิ่งที่พี่เกมส์สอนฉันตลอดทั้งวัน รวมไปถึงเรื่องที่เราแกล้งบ้าทำกันตอนกลางคืนจะช่วยให้ฉันดีขึ้นก็จริง แต่ก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ เมื่อต้องกลับมาอยู่คนเดียว ฉันก็กลายเป็นคนหงอยเหงาและโศกเศร้าเหมือนเดิม เพราะความรู้สึกยังคงยึดติดกับสิ่งเดิมๆ เรื่องเดิมๆ
ก็พอรู้นะว่าเรื่องทั้งหมดมันต้องใช้เวลา ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาที่เขาว่ากันนั้น
มันต้องใช้นานแค่ไหนถึงจะรักษาความรู้สึกทั้งหมดให้หายเป็นปกติได้แบบเดิม
สิ่งเดียวที่ฉันรู้ก็คือและควรท่องจำให้ขึ้นใจ ก็คือฉันควรจะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แม้จะบอกตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้ายหัวใจมันก็เหมือนจะตั้งรับกับความรู้สึกแย่ๆ ที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหว แต่ถึงอย่างงั้น...
ในทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะล้มลงเพราะความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด
กึก!
ตรงหน้าฉันก็มักจะปรากฏร่างของผู้ชายอีกคนพร้อมด้วยรอยยิ้มใจดี นัยน์ตาคมที่เข้าใช้มองมาที่ฉันไม่ได้ส่อแววสมเพชเวทนาหรือรู้สึกรังเกียจในสิ่งที่ฉันเป็น กลับกันทุกครั้งที่เราเจอกัน เขามักจะแสดงความจริงใจของตัวเองออกมาให้เห็น พร้อมด้วยคำถามสั้นๆ
“วันนี้เราไปบินกันอีกสักรอบไหมคะ?”
พี่เกมส์ยังคงทำสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้ นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ได้อย่างไม่มีขาด และฉันไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีของเขาได้เลย
เพราะมีเขากับพวกน้องๆ ความรู้สึกและความคิดของฉันจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป ความโศกเศร้า ความเสียใจที่เคยมีถูกเติมเต็มด้วยเสียงหัวเราะ และเรื่องใหม่ๆ ในโลกอีกใบที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
โลกที่ทั้งบ้า
โลกที่ไร้แก่นสาร
โลกที่มีแต่ความบ้าบิ่นและอันตราย
โลกอีกใบที่เป็นโลกของพี่เกมส์
ทุกอย่างที่ว่าคือเรื่องที่ฉันเคยมองว่ามันไร้สาระ แต่ว่ายิ่งรู้จัก ยิ่งสัมผัส ยิ่งเข้าไปมีส่วนร่วมกับมันแล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า บางเรื่องที่คนอื่นมองว่ามันไร้ประโยชน์และไร้สาระ
บางทีมันก็อาจมีค่าและสามารถช่วยเยียวยาความรู้สึกของใครบางคนได้เช่นกัน
ไม่ใช่แค่ความคิดและความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าความใกล้ชิดกับความสนิทสนมระหว่างฉันกับพี่เกมส์ก็เช่นกัน ฉันไม่กล้าพูดหรอกว่าเราสนิทกันมากแค่ไหน
เพียงแค่รู้ว่าทุกครั้งที่มีฉันก็มักจะต้องมีเขาคอยอยู่ข้างๆ เสมอเท่านั้นก็พอ...
3 เดือนต่อมา...
@มหาวิทยาลัยเอกชนR
ตึก! ตึก! ตึก!
ตึก!
“ตามมันไป!”
เสียงฝีเท้านับสิบคู่กำลังวิ่งไล่หลังตามมาอย่างติดๆ
พร้อมกับน้ำเสียงต่อว่าและด่าทอต่างๆ นานา
“แฮ่กๆ ...”
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
“โดนคนเกลียดกันทั้งมหาวิทยาลัยขนาดนี้
ยังจะกล้ามากันอีกนะมึง!”
“ไอ้พวกหน้าด้านเอ้ย!”
ตึก! ตึก! ตึก!
ตึก!
ถึงจะถูกด่าทอไล่หลังรุนแรงแค่ไหน แต่เท้าทั้งสองคู่ยังคงวิ่งควบกันเป็นจังหวะพร้อมด้วยแรงหอบหายใจเพื่อลดอาการเหน็ดเหนื่อย
ทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้ตกอยู่ในช่วงคับขันแท้ๆ แต่ใบหน้าของฉันกลับยังยิ้มร่าต่างจากครั้งแรกที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
ทว่าในครั้งนี้ความรู้สึกของฉันมันต่างออกไป
แม้จะเหนื่อยกับไอ้สิ่งที่กำลังเป็นหรือทำอยู่ แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าการถูกวิ่งไล่แบบนี้ คือเกมวิ่งไล่จับแบบที่เด็กตัวเล็กๆ ชอบเล่นกันเกมหนึ่งงมากกว่า เพราะว่าฉันไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลและกำลังรู้สึกสนุกไปกับการหลบหนียังไงล่ะ
ไม่ใช่แค่ยิ้มเท่านั้นนะ แต่ว่าเราทั้งคู่กำลังวิ่งพลางหัวเราะไปด้วยกันอย่างสนุกสนานต่างหาก
แม้เวลาผ่านเลยมาหลายเดือนแล้ว แต่ความเกลียดชังของคนบางกลุ่มยังคงอยู่ และการถูกไล่ล่าเพื่อกลั่นแกล้งยังคงไม่ซาลงไปตามอย่างที่คิดไว้นัก แต่ก็ถือว่าเบาจากในช่วงแรก
ตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ ฉันอาจจะไม่ค่อยชินนักนัก แต่สำหรับคนที่ดื้อรั้นอยากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแบบฉันแล้ว
สิ่งที่เราทั้งคู่ต้องเผชิญจึงดูกลายเป็นเรื่องปกติเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่ง
ฉันไม่ได้รู้สึกแย่กับการถูกตามตัวแบบนี้อีกแล้วล่ะ
แต่เริ่มมีความคิดแบบพี่เกมส์เมื่อก่อน เพียงแค่มองว่ามันสนุก ทุกๆ อย่างรอบตัวก็ดูจะโอเคขึ้นตามเช่นกัน
“ทางนี้ค่ะ!” พี่เกมส์จับมือฉันเอาไว้แน่น ดึงตัวฉันให้วิ่งเลี้ยวไปทางสวนหย่อมที่น่าจะปลอดคนที่สุด
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
“อ๊ะ!” เพราะว่าวิ่งมานาน เลยทำให้ขาข้างหนึ่งของฉันมันก็ดันอ่อนแรงไปเสียเฉยๆ
พานให้เสียหลักล้มลงกับพื้นหญ้าในสวนหย่อมแบบไม่ตั้งใจ
ฟึ่บ!
ทว่า ร่างของฉันที่กำลังจะล้มลงกระแทกกับพื้นหญ้านั้นกลับถูกอ้อมกอดอุ่นของคนตัวใหญ่คว้าเอาไว้แน่น พลอยให้เราทั้งคู่ล้มตึงลงบนพื้นสนามหญ้าพร้อมกัน
โชคดีที่ตัวฉันถูกอ้อมกอดแกร่งปกป้องเอาไว้
ทำให้คนที่ได้รับแรงกระแทกดังกล่าวดันเป็นพี่เกมส์เสียเอง
ตุบ!
“อูยยย…
เจ็บฉิบ!” เขาครวญเสียงอ่อน พลางปล่อยตัวฉันเป็นอิสระทันที
เมื่อรู้สึกว่าเราทั้งคู่ปลอดภัย ส่วนฉันก็รีบกระเถิบตัวออกห่างแล้วนั่งในท่าคุกเข่าบนพื้นสวนย่อมมองเขาอย่างห่วงๆ
พอเห็นเขาเป็นแบบนั้นมันก็เลยอดต่อว่าไม่ได้
“แล้วพี่จะมารับหนูไว้ทำไมเล่า!”
“ฮ่าๆ ” พี่เกมส์หัวเราะเบาๆ คล้ายกับคนมีความสุข ขณะยังนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าอย่างงั้น ขณะปากก็พูดไป “สายแท็งค์ ถ้าไม่ปกป้องสายฮีล แล้วจะให้ไปปกป้องใครล่ะคะ?”
ฉันขยับยิ้มเมื่อได้ฟังแบบนั้น
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3 เดือนก่อน
บอกเลยว่าฉันคงง่อยต่อคำพูดที่เขาเอ่ยออกมาแน่ๆ
แต่ไม่ใช่กับในตอนนี้ที่ฉันเริ่มมองเห็นโลกมากขึ้น เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ
เข้ามาในชีวิต จนเข้าใจความหมายที่เขาพูดอย่างถ่องแท้
อีกทั้งตอนนี้ ฉันยังกล้าที่จะพูดขอบคุณผู้ชายตรงหน้าด้วยรอยยิ้มจริงใจ
ไม่ใช่การประชดประชันอย่างที่ผ่านมา
“ขอบคุณนะคะคุณสายแท็งค์ ที่คอยปกป้องหนู…อ๊ะ!”
ฟึ่บ!
ไม่ทันสิ้นเสียงดี ร่างสูงใหญ่ที่นอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้า จู่ๆ ก็ใช้มือหยัดตัวลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พี่เกมส์นั่งในท่าเหยียดขาตรงยาว ระดับสายของเขาอยู่ในระนาบเดียวกับฉันที่นั่งคุกเข้าหันหน้าหาเขาอย่างพอดิบพอดี
ฝ่ามือแกร่งของเขาเอื้อมแตะข้างแก้มของฉันอย่างถือวิสาสะ รอยยิ้มใจดีเล็กๆ เปื้อนบนใบหน้าหล่อทะเล้น ซึ่งนั่นมาพร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณ... เป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมคะ?” นัยน์ตาเรียวรีซึ่งเต็มไปด้วยความจริงใจและการร้องขอของพี่เกมส์สะกดสายตาของฉันให้สบประสานสายตาอยู่แบบนั้นราวกับมีมนต์สะกด
“อะไรคะ ถ้าเล่นเกมหนูก็ไปกับพี่ตลอดนั่นแหละ... อะ”
กึก...
เสียงของฉันถูกทำให้เงียบลงโดยฉับพลันอีกครั้ง เมื่อคนตัวใหญ่ตรงหน้าขยับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ พลันให้หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะแบบห้ามไม่ได้ แต่ถึงอย่างงั้น ฉันก็ไม่ยักจะขยับตัวหนีเหมือนเมื่อก่อน
ตึก ตัก... ตึก ตัก... ตึก ตัก... ตึก ตัก...
ต่อให้เขาจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนปลายจมูกของเราชิดกันแล้วก็ตาม ฉันก็ไม่ได้คิดจะขยับตัวหนี ลมหายใจอุ่นๆ ของเขากำลังปั่นป่วนความคิดฉันขณะที่แววตาของเราสบประสานกันอย่างตรงๆ
และอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ริมฝีปากของเราทั้งคู่ก็จะจรดกัน
ทว่า
ฟึ่บ!
“พี่เกมส์อย่ามาฉวยโอกาสสิคะ!” ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้จนฉันเสียการควบคุมไปมากกว่านี้
ฉันจึงเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปก่อน
พลางใช้มือผลักอกเขาจนล้มลงไปนอนนาบกับพื้นหญ้าเป็นหนที่สอง
“เฮ้ย!เสียงน้องคนนั้นอยู่แถวนี้นี่หว่า!” เสียงโวยวายของนักศึกษาด้านนอกทำฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
หมับ!
แต่แล้วในตอนนั้นพี่เกมส์ที่ไวกว่าก็พุ่งตะครุบตัวฉันให้หมอบลงกับพื้นโดยมีร่างกายของเขาคร่อมกายฉันเอาไว้
โดยใช้พุ่มไม้แนวยาวตลอดแนวเป็นตัวช่วยกำบังทั้งคู่อีกแรง
“ไปไหนแล้ววะ
เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆ อยู่เลย”
ตึก! ตึก! ตึก!
ตึก!
เสียงตะโกนกับเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มนั้นวิ่งห่างออกไปไกลเรื่อยๆ
แต่นั่นไม่ใช่กับระยะห่างของเราสองคนที่เหมือนจะเริ่มแนบชิดกันมากขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านมา เพียงแค่มองกันด้วยสายตาเท่านั้น ฉันก็เหมือนจะเข้าใจเขาทุกอย่าง
ฉันหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย พลางยกมือขึ้นดันหน้าพี่เกมส์ที่จงใจแกล้งโน้มเข้ามาหาให้ออกห่าง ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังจงใจแกล้งฉันไม่หยุด
“พี่เกมส์... หยุดนะ” ฉันพยายามปรามเขาเสียงติดกระซิบ
“นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้หรือคะ จุ๊บๆ”
“พี่เกมส์! หยุดนะน่าเกลียด!”
ความรู้สึกน่ารำคาญและรังเกียจในสิ่งที่เขาทำในตอนนี้มันได้มลายหายไปหมดแล้ว ฉันรู้ตัวว่ามีความสุขและสบายใจมากแค่ไหนที่ได้อยู่ใกล้เขาแบบนี้
และเรื่องทั้งหมดอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันก็สอนให้ฉันรู้ว่า
‘เมื่อเวลาผ่านไป... ความเจ็บปวดจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำ’
-NUTCHA TALK-
“นัท
มึงเป็นห่าไรเนี่ย ช่วงนี้มึงจัดตัวละครทีมในเกมกากว่ะ”
“…”
“นี่ถ้าสมมุติไอ้เกมอยู่ทีมเราแม่งฉลุยแล้ว”
ชีวิตของผมคล้ายกับจะเปลี่ยนไป อะไรที่เคยดีก็ดูเหมือนไม่ดี
ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ทุกคนยังเรียกผมว่า ‘ไอ้คนดี’ อยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“งั้นกูกลับคณะแล้วนะ
เบื่อว่ะ” ว่าแล้วผมก็ปัดความรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองในเกมออนไลน์ชื่อดัง
เดินออกจากที่นั่ง ตรงไปจุดคิดเงินทันที
ตอนนี้ไม่ว่าจะเกมไหน
เกมอะไร สำหรับผมแล้วทุกๆ เกมมันน่าเบื่อไปหมด ไม่ใช่เกมหรอกที่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อจนอยากเลิกเล่น
แต่มันรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบกายที่เปลี่ยนไปด้วย นับตั้งแต่วันนั้น
นี่มันก็ผ่านมา 3 เดือนแล้วสินะ…
To Be Continued...
ครึ่งแรกฟินกันไปก่อนระดับเบาๆ รอเจอครึ่งหลังจะจัดให้ฟินตัวแตกเลยนะบอกเลย ฮิๆ
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต
#รักติดเกม
#ฟิคแฟนติดเกม
#ฟิคเมียหลวงได้เมียน้อย
ความคิดเห็น