คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : กลรักอสุรา l บทที่๐๖ ตอน แฟนเก่า {อัพ100%}
“พี่จักรื้อฟื้นเศษเสี้ยวทรงจำสองเรา…นับจากแรกพบสบตา เกี้ยวพาราสี จวบจนพลัดพราก…”
ไม่รู้ว่าร่างทั้งร่างถูกคำพูดอบอุ่นและสายตาของเขาสะกดไว้ในท่านั้นนานเท่าไหร่ รู้อีกทีร่างกายซึ่งเคยถูกแช่แข็งด้วยคำพูดโบร่ำโบราณจากยักษ์หนุ่มตรงหน้าก็เริ่มกลับมาขยับได้อีกครั้ง พร้อมเพรียงกับเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือที่ดังแทรกความเงียบภายในตัวบ้าน
Rrrrrr
ท่านอสุราค่อยๆ ผละมือทั้งสองข้างออกจากหน้าฉันอย่างเชื่องช้า เช่นเดียวกับฉันที่รีบผละตัวถอยห่างจากเขาทันทีเมื่อมีโอกาส จากที่ไม่กล้ามองสบตากับเขาเพราะอาการกลัว เวลานี้กลับเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นความรู้สึกอื่น
ทั่วหน้าเริ่มร้อนจัดเมื่อภาพเหตุการณ์ตามจีบหญิงของรักซึ่งเคยอ่านผ่านตา ลอยแทรกผ่านเข้ามาในความคิด
และไม่ปฏิเสธเลยว่าฉันกำลังรู้สึกอายที่ถูกเขาเข้าใกล้และประกาศไว้แบบนั้น
เพื่อสลัดความเขินอายที่มี ฉันจึงตัดสินใจลุกขึ้น จากนั้นก็ก้าวเดินไว เดินปลีกตัวออกห่างเขาโดยอาศัยเรียกเสียงเข้าเป็นเหตุผล
ทว่า หลังจากจะพาตัวเองออกห่างท่านอสุราไปได้นิดหน่อยแล้วก็ตามที สุดท้ายน้ำเสียงและแววตาที่เขาแสดงออกยามพูดความต้องการของตัวเองเมื่อครู่ ก็ไม่วายเรียกฉันให้เหลียวกลับไปมองอีกครั้งอยู่ดี
แต่แล้ว วินาทีที่เหลียวหลังกลับไปยังพื้นที่บริเวณมุมชั้นวางหนังสือ
ฉันกลับต้องพบกับเรื่องน่าเหลือเชื่ออีกครั้ง
เมื่อชายหนุ่มซึ่งมีองค์ประกอบทุกอย่างละม้ายคล้ายมนุษย์ปกติทั่วไป
ได้สำแดงอิทธิ์ฤทธิ์บังเกิดต่อสายตาด้วยการก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนค่อยๆ อันตรธานตัวหายไปต่อหน้าต่อตา ตรงบริเวณที่ฉันวางรูปปั้นสำหรับบูชาของท่านอสุราเอาไว้…
ที่บ้าก็คือ ทุกครั้งที่เราเผลอสบตาฉันก็มักจะเห็นรอยยิ้มเล็กบนหน้าที่เขาส่งมาให้เสมอๆ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เขาเขากำลังหายตัวไปต่อหน้าแบบนั้น
ครั้นจะตกใจกับภาพที่เหมือนเหมือนอย่างเคยๆ
ก็ดูจะมีเวลาไม่มากนัก เพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังไม่ยอมหยุดเวลานี้ อาจจะเป็นงานของที่ใดที่หนึ่งซึ่งฉันได้โยนใบสมัครทิ้งไว้กำลังโทรติดต่อเข้ามาก็ได้ ดังนั้นเมื่อคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาได้
ฉันก็รีบกดรับสายทันที โดยไม่ลืมที่ภาวนาในใจเหมือนอย่างทุกครั้งตามความเคยชินซึ่งมากล้นไปด้วยความหวัง
เจ้าประคู๊ณณณ ขอให้เป็นสายของงานโทรเข้ามาด้วยเถิดดด
เพี้ยง!
“สวัสดีค่ะ ทับทิมพูดค่ะ”
[สวัสดีครับคุณทับทิม ผมชื่อช้างนะครับ เป็นผู้กำกับละคร คุณคงพอจะรู้จักมาบ้างใช่ไหมครับ…]
เสียงเข้มจากปลายสายตอบกลับแทบจะทันทีที่ฉันกรอกเสียงผ่านสายจนจบคำ
ซ้ำยังเสียงแนะนำตัวของเขายังทำให้คนฟังรู้สึกตกใจยิ่งกว่ารู้ตัวว่าถูกหวย [พอดีว่าอีก 2 วัน
ทางกองถ่ายจะเริ่มเปิดกล้องถ่ายบทละครเรื่องดวงหทัยยักษ์ซีนแรก
ผมจะขอรบกวนคุณทับทิมให้ช่วยสักหน่อยได้ไหมครับ ?]
แน่ล่ะ ในเมื่อคนที่ฉันกำลังพูดสายอยู่ด้วยตอนนี้เป็นถึงผู้กำกับละครชื่อดังเชียวนะ !
[พอดีผู้จัดการน้องเมรีแนะนำผมมาว่า คุณทับทิมชอบและศึกษาเรื่องของตำนานท้าวอสุเรนทร์มาเยอะมาก
ผมเองเลยจะขอคำปรึกษาสักหน่อยได้หรือเปล่าครับ ?]
“ดะ ได้สิคะ !” แล้วแบบนี้ฉันจะพลาดเรื่องดีๆ ด้วยการปฏิเสธเขาได้อย่างไรล่ะ
[พอดีตัวบทละครน่ะครับ ค่อนข้างอิงกับตำนานท้าวอสุเรนทร์ แต่จะย้อนเล่าเรื่องไปช่วงสมัยรัชกาลที่
๕ และยุคปัจจุบันน่ะครับ โดยจะแทรกฉากแบบละครพื้นบ้านเข้าร่วมด้วย แต่ว่า ทางตัวผมแม้จะอ่านผ่านตามาบ้างแล้ว
แต่ก็ไม่แน่ใจเรื่องข้อมูลที่ถูกต้องเท่าไหร่ อาทิเช่น อาวุธของท้าวอสุเรนทร์อะไรเทือกนี้น่ะครับ…ไม่ทราบว่า คุณทับทิมพอจะมีอะไรดีๆ แนะนำผมบ้างหรือเปล่าครับ]
“ได้สิคะ หากเป็นเรื่องอาวุธ ในหนังสือแต่ละเล่มนั้นจะกล่าวแต่ต่างกันออกไปในแต่ละครั้งที่ตีพิมพ์ค่ะ…”
จริงอยู่ที่ฉันคลุกคลีกับเรื่องตำนานท้าวอสุเรนทร์จนแทบจะเป็นวรรณกรรมพงศาวดารเล่มเดียวที่อ่านเกินพันรอบ แต่มันก็อย่างที่พี่ช้างผู้กำกับบอก ข้อมูลแต่เล่มนั้นบางส่วนกลับเขียนบอกไว้ต่างกัน ในแต่ละครั้งที่รูปเล่มมีการตีพิมพ์และปรับเปลี่ยนภาษาให้ทันยุคทันสมัยขึ้น
“หากเป็นอาวุธช่วงเล่มที่ตีพิมพ์ใหม่ช่วงหลังๆ มักจะบอกไว้ว่า
ท่านท้าวอสุเรนทร์ใช้กริชปราบยักษ์มารค่ะ แต่ว่า
จะมีอยู่ไม่กี่เล่มที่เขียนต่างออกไป ทั้งหอกบ้าง ธนูบ้าง…”
ด้วยเหตุนั้น ขณะบอกกล่าวให้ปลายสายทราบข้อมูล ฉันเองก็รีบพาตัวเองกลับมายังกองหนังสือซึ่งถูกวางกองทิ้งไว้
ก่อนทิ้งตัวลง
โดยไม่ลืมหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมเพื่อกันอาการปวดตาเวลาจ้องตัวหนังสือนานๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เผื่อข้อมูลที่แม่นยำ…
“เล่มที่ถูกตีพิมพ์ครั้งที่ ๕ ล่ะมั้งคะที่กล่าวไว้ท่านท้าวอสุเรนทร์ใช้หอก…” พอพูดมาถึงตรงนี้ มือก็เอื้อมดึงหนังสือแสนโปรดซึ่งถูกตีพิมพ์ครั้งที่ ๕
ออกจากกองเพื่อเช็กความแม่นยำในสิ่งที่เพิ่งพูดผ่านสาย แต่ก่อนจะทันได้เปิดไปยังหน้าเนื้อหาที่ต้องการ
จู่ๆ หนังสือเล่มหนาจากหนึ่งในบรรดากองหนังสือทั้งหมดกลับร่วงลงมาตรงหน้า
ความตกใจส่งผลให้สายตาตวัดมองไปยังหน้าหนังสือที่ร่วงลงมาเปิดค้างอย่างไม่อาจหักห้าม
ก่อนพบว่าเล่มการกล่าวเป็นการตีพิมพ์ครั้งที่ ๑
แต่ก่อนจะทันได้แตะต้องหนังสือหรือพูดอะไรให้ปลายสายได้รับฟังช่วงเวลาเดียวกันนั้นกลับมีเสียงทุ้มต่ำแต่เย็นเยือกของใครคนหนึ่งดังแว่วผ่านหูให้ได้ยินเสียก่อน
“ท่านพี่อสุเรนทร์หาได้กำกริชหรือหอกปราบไอ้กุมภัณฑ์ไม่ หากแต่ใช้คันศรและดอกธนูต่างหากเล่า…” แม้มาแต่เสียง แต่เพียงเท่านั้นฉันกลับรับรู้ได้ว่าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงของใคร
สงสัยเพราะเจอเรื่องแปลกๆ ติดต่อกันล่ะมั้ง ฉันถึงไม่ได้รู้สึกตกใจหรือหวาดกลัวได้เท่ากับครั้งแรก มิหนำซ้ำเสียงที่ได้ยินดังผ่านลม ก็สอดคล้องกับเนื้อหาภายในเล่ม ซึ่งเป็นเพียงเล่มเดียวที่กล่าวถึงอาวุธของท้าวอสุเรนทร์ว่าเป็นคันธนู
[คุณทับทิมครับ ยังอยู่ในสายหรือเปล่า ?] ไม่รู้เพราะฉันเงียบนานเกินไปหรือเปล่า
พี่ช้างซึ่งรอฟังคำแนะนำผ่านสายถึงได้ส่งเสียงทักขึ้น
พานให้สะดุ้งจนต้องรีบตอบกลับทันที
“อยู่ค่ะคุณช้าง
เอาเป็นว่าทับทิมแนะนำให้คุณช้างลองอิงจากตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกจะดีกว่านะคะ
เพราะตามหลักดั่งเดิมในหนังสือกล่าวไว้ว่าท้าวอสุเรนทร์ท่านได้ธนูทองจากพระอิศวรไว้ปราบมารน่ะค่ะ
อีกอย่างหนังสือเล่มแรกที่ตีพิมพ์ ก็เป็นเพียงเล่มเดียวที่ถอดแบบกลอนทั้งหมดจากตำนานเล่มจริงในหอสมุดแห่งชาติด้วย,,,”
[อ๋อ งั้นหรือครับ ?] พี่ช้างตอบรับแค่นั้นและเงียบลงไปอยู่ครู่สั้นๆ
ก่อนจะส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง [ดีเลย เล่มแรกใช่ไหมครับ ถ้ายังไงผมจะให้คนลองไปหามาดูเพื่อเป็นความรู้ก่อนเปิดกล้องนะครับ]
อันที่จริงตอนแรกน่ะ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากนะ
ที่มีผู้กำกับละครโทรมาขอคำปรึกษาแบบนี้ แต่พอคุยจนมาถึงจุดที่ใกล้จะวางสายโดยที่ฉันยังไม่ได้งานเสริมงานพิเศษอะไรทำเพิ่มนอกจากเป็นแค่ที่ปรึกษา
มันก็พานเฟลเสียดื้อๆ
แต่ว่าช่วงเวลาที่ฉันกำลังรู้สึกหมดหวังกับการได้รับหมอบงานที่มั่นคง
หูก็ได้ยินมันอีก เสียงของท่านอสุราที่คล้ายตั้งใจจะช่วยเป่าปัดและให้กำลังใจ
“แย้มยิ้มเสียหน่อยสิดวงใจพี่ ฤกษ์ยามนี้ น้องหวังสิ่งใดไว้จักมิมีวันคลาดแคล้ว…” ก่อนต้องรู้สึกประหลาดใจ เมื่อปลายสายเริ่มกล่าวคำพูดขึ้นแทบจะทันทีที่เสียงเสียงของท่านอสุราเงียบลง
[คุณทับทิมครับ หากไม่เป็นการรบกวนเกินไป จะเป็นไปได้ไหม หากผมต้องให้คุณช่วยเป็นที่ปรึกษาแบบนี้ไปจนกว่าจะปิดกล้อง แน่นอนว่า มีค่าตอบแทนให้นะครับ]
“คุณช้างพูดจริงหรือคะ ?” มันเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ได้หลังจากการภาวนาและขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอกย้ำให้รู้ว่าทุกวลีที่ท่านอสุรากระซิบผ่านลมนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกต้องทุกประการตามอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ
[ครับ ผมพูดจริง เพราะผมน่ะ...ประทับใจตั้งแต่เรื่องชุดนางรำที่น้องเมรีใส่วันบวงสรวงแล้วล่ะ
คุณดูใส่ใจรายละเอียดของชุดมาก จนน้องเมรีดูโดดเด่นราวกับเป็นนางรำลงมาจากสวงสวรรค์จริงๆ ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะดีมากหากได้คุณทับทิมเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องการแต่งกาย
เครื่องทรงต่างๆ ของตัวละครในกองถ่ายเพิ่มน่ะครับ]
“ระ เรื่องนั้น ดิฉันยินดีมากๆ เลยค่ะ”
[ดีครับ ถ้าอย่างไรแล้ว
หากคุณทับทิมมีเพื่อนหรือลูกมือที่พอจะช่วยชี้แนะเรื่องสถานที่ถ่ายทำหรือฉากสวยๆ ก็สามารถแนะนำผมได้นะครับ
ผมอยากให้ละครเรื่องนี้ออกมาดีที่สุด]
“อ้อค่ะ ได้สิคะ ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เปิดบริษัทรับหา จัดและออกสถานที่อยู่พอดี
ถ้ายังไง เดี๋ยวฉันจะติดต่อประสานงานให้นะคะ”
[ยินดีมากๆ เลยครับ
ขอบคุณนะครับคุณทับทิม ถ้าไม่เป็นการเสียเวลา วันเปิดกล้องผมอยากให้คุณทับทิมกับเพื่อนมายังสถานที่ถ่ายทำด้วย
ไม่ทราบจะสะดวกหรือเปล่าครับ ?]
“ค่ะ สะดวกค่ะ”
[ดีเลยครับ เราจะได้พูดคุยกันเรื่องตำนานท้าวอสุเรนทร์เพิ่มเติมด้วย ถ้าอย่างไรแล้ว เดี๋ยวผมจะส่งโลเคชั่นสถานที่ถ่ายทำให้อีกครั้งนะครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่คุณทับทิมให้มาด้วย...]
ตลอดเวลาที่หูได้ยินเสียงขอบคุณจากปลายสาย
หัวใจฉันก็ยิ่งเต้นผิดจังหวะด้วยความตื่นเต้นและดีใจไม่ยอมหยุด
อาจเพราะว่านี่คงเป็นโอกาสเพียงไม่ถึงห้าเปอร์เซ็ตน์ล่ะมั้ง
ที่ใครสักคนจะได้รับทั้งคำชมและงานพร้อมกันกันจากบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงแบบนี้
พอยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งรู้ดีใจจนเนื้อตัวเต้น
อยากเร่งวันเร่งคืนให้ถึงวันเปิดกล้องถ่ายทำละครโดยไวเสียเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการคุยงานกับผู้กำกับละครชื่อดังนานเท่าไหร่
รู้แค่ว่าตลอดเวลาที่สนทนากับเขานั้น มันทำให้ฉันแทบจะลืมไปหมดสิ้น
ว่าก่อนหน้านี้เคยประสบพบเจอเรื่องราวประหลาดมามากน้อยแค่ไหน
บ้างานจนลืมแทบทุกสิ่ง...
คือคำที่เพื่อนมันชอบพูดใส่ฉัน และแม้จะถูกตราหน้าจากเพื่อนฝูงแบบนั้น
แต่ฉันก็ใช่ว่าจะแคร์หรือรู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด
ในเมื่อการจมอยู่กับกองงานและสิ่งที่ชอบมันทำให้ฉันได้ใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปได้อย่างคุ้มค่า
แถมยังมีความสุขจนไม่ต้องมีเวลานึกถึงเรื่องแย่ๆ ที่เคยผ่านเข้ามา
แบบนี้น่ะ มันไม่เรียกว่าดีหรือยังไง ?
หลังจากใช้เวลาพูดคุยกับพี่ช้างพักใหญ่ จนตกลงงานกันเสร็จครบถ้วนกระบวนความ
ทันทีที่โทรศัพท์มือถือถูกลดลงจากหู สิ่งแรกที่ฉันมันทำเป็นอย่างแรกเมื่อสิ่งที่คิดสมดั่งปรารถนาคือการหลับตาลง
แล้วกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เช่ามาบูชา
ขอบคุณนะเจ้าคะ ท่านอสุรา…
อาจเพราะว่ามันคือเรื่องเคยชินซึ่งทำจนเคยตัว
ฉันจึงลืมคิดไปเสียถนัดว่า บางอย่างที่เคยเป็นปกติสุขรอบตัวเวลานี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว
กว่าจะรู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังเผชิญโชคกับเรื่องราวประหลาดเหนือความคาดหมายก็คงเป็นตอนที่ลืมตาขึ้น
แล้วพบว่าเบื้องหน้ามีร่างสูงใหญ่ของผู้ชายในชุดเครื่องทรงยักษ์กำลังยืนจ้องมองในท่ากอดพร้อมรอยยิ้ม
ซ้ำยังเอ่ยถามราวกับได้ยินเสียงในหัว
“จักขอบคุณพี่ไปไยเล่า แม่ทับทิม….” ภาพและเสียงทักท้วงจากร่างสูงตรงหน้าทำฉันสะอึกไปเล็กน้อย
แม้ลึกๆ ยังคงกลัวและรู้สึกไม่ชินกับการมาที่ไม่ต่างจากพวกผีในละคร
ถึงอย่างนั้นแล้วปากก็ไม่วายขยับว่ากล่าว ขณะสองมือยกขึ้นพนมกลางอก
“ขอบคุณสำหรับเรื่องงานนะเจ้าคะ ท่านอสุรา…”
แม้เรื่องประหลาดตรงหน้าจะมีลักษณะการมาและการปรากฏกายไม่ต่างจากภูตผี
แต่สิ่งที่ทำให้เขาอยู่เหนือกว่าผีสางน่ากลัวพวกนั้น
ก็คงไม่พ้นเครื่องแต่งกายซึ่งบอกประวัติและที่มา รวมถึงชั้นวรรณะที่อีกฝ่ายเป็น
“เรื่องนั้นหาได้ต้องขอบใจเราไม่...ความมานะพากเพียร พยายาม อีกทั้งยังมั่นคง ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือสิ่งที่แม่ทับทิมพึ่งจักได้ครอบตามประสงค์ที่ปรารถนา”
โดยเฉพาะกับคำพูดที่เขาใช้ ที่บอกชัดว่าเขารับรู้ทุกๆ
เสียงของฉันที่ร้องขอต่อเขามาโดยตลอด…
ฉันควรจะรู้สึกอย่างไรดีล่ะ
เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เช่ามาบูชากำลังตอบรับคำพูดของฉันด้วยตัวจริง เสียงจริงแบบไร้แสตนอินอย่างนี้!
“ละ แล้วนี่ท่านจะปรากฏตัวให้ฉันมองเห็นแบบนี้ ไปอีกนานเท่าไหร่หรือเจ้าคะ ?” เพราะฉันคือมนุษย์ธรรมดาที่ไร้พลังวิเศษที่ แต่ดันต้องมาพบเจอเรื่องราวในแบบที่คนปกติไม่อาจมีโอกาสสัมผัส
หากว่ามันคือเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ว่าฉันต้องพบเจอ
การชวนเขาพูดคุยด้วยเพื่อกระชับความเป็นกันเองให้มากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ควรทำ
ไม่ใช่เพราะอยากสนิทชิดเชื้อ
หรือยกระดับตัวเองให้บารมีสูงเสมอเทียบเคียง แต่เป็นเพราะ
ฉันต้องการให้ตัวเองรู้สึกชินกับการต้องเจอเรื่องพวกนี้โดยไวต่างหาก
“ถามทำไมงั้นรึ ?”
“ฉันก็แค่อยากทราบเจ้าค่ะ จะได้ปรับตัวได้ทัน...”
“พี่ยังมิได้หาฤกษ์ยามเพื่อลาจากหรอกแม่ทับทิม…” ส่วนนั่นคงเป็นคำตอบของท่านอสุรา
“ด้วยเหตุนั้นแล้ว จักเป็นไปได้หรือไม่
หากพี่จักขอพำนักอาศัยอยู่ร่วมเรือนเดียวกับน้องต่อไปเช่นนี้สักระยะ”
คำขอของเขาทำฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างห้ามไม่ได้ ครั้นจะปฏิเสธ
แต่พอได้เผลอสบตาเข้ากับเขาตรงๆ ทุกเสียงที่ควรมีกลับเหือดแห้งหายไปเสียอย่างนั้น จนเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ยักษ์หนุ่มตรงหน้ากล่าวถ้อยไม่หยุด
“จนกว่าจักถึงฤกษ์ยามต้องจากลา พี่ขอให้คำมั่น จักมิสร้างความเดือดร้อนต่อใดแม่ทับทิมให้เป็นกังวล เว้นเสียแต่…”
“อะ…” ขณะในหัวกำลังคิดตามสิ่งที่ได้ยินอยู่นั้น จู่ๆ ท่านอสุราซึ่งเงียบเสียงไปก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้โต๊ะหนังสือจนชิด ก่อนใช้สองมือที่ท่านมีทาบลงกับกองหนังสือซึ่งมีระดับสูงต่ำไม่เท่ากันแทนหลักยึด จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมาใกล้โดยทิ้งระยะระหว่างใบหน้าของเราไว้พอประมาน ซ้ำยังชิงแทรกขึ้น ต่อเติมประโยคหลังที่ขาดหาย
“ยามต้องช่วยดวงใจระลึกถึงเรื่องราวในภพชาติเก่าแต่เพียงเท่านั้น”
คำพูดของท่านอสุราในหนนี้
ทำเอาคนฟังเกิดอาการแปรป่วนในอกที่ต่างออกไปจากตอนแรก
มันไม่ใช่การสั่นไหวเพราะรู้สึกตกใจหรือหวาดกลัวเหมือนทุกที
แต่เรียกว่าเป็นความรู้สึกไหวหวั่นจากการกระทำปุบปับที่ฉันไม่เคยได้รับจากใครนับตั้งแต่เลิกกับเขตแดนถึงจะถูก
ยิ่งด้วยก่อนหน้านี้ เขาประกาศไว้อย่างมั่นอกมั่นใจ
ว่าฉันคือคนรักของเขาในอดีตชาติด้วยแล้ว พอได้ยินคำพูดที่คล้ายกับว่าอีกฝ่ายจะช่วยให้ฉันนึกเรื่องซึ่งถูกเขียนบันทึกไว้ในวรรณกรรมโบราณออก
‘พี่จักรื้อฟื้นเศษเสี้ยวทรงจำสองเรา นับจากแรกพบสบตา
เกี้ยวพาราสี จวบจนพลัดพราก…’ ฉันก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าไม่เป็นตัวของตัวเอง
จำต้องออกปากห้าม
“พะ พอเลยนะเจ้าคะ ห้ามท่านพูดแบบนั้นอีก”
“เหตุใดทำไมพี่ถึงกล่าวถ้อยเช่นนี้ไม่ได้
?” แต่ว่า พอถูกเขายอกย้อนกับมาแบบนั้นแล้ว
คนที่หมดคำจะพูดดันเป็นฉันเสียเอง และเพราะว่าหาเหตุผลดีๆ ให้เจ้าของคำถามไม่ได้
หนทางเดียวของผู้หญิงขี้ขลาดยามต้องเจอปัญหาไม่เป็นเรื่อง จึงเป็นการเดินหนีไป
“มะ ไม่คุยแล้วเจ้าค่ะ ขะ...ขอตัวก่อนนะนะเจ้าคะ…”
แน่นอนว่า ทุกเสียงและทุกคำพูดที่ใช้ ล้วนแล้วแต่แสร้งแสดงออกให้อีกฝ่ายมองเห็นว่าผู้ที่เคยตกอยู่ในอาการหวาดกลัว
ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อคำพูดที่เขามอบให้นัก ก่อนพาตัวเองหลบออกจากโต๊ะหนังสือภายในห้องรับรอง
เดินหนีเข้าห้องถัดไป
ตึก... ตึก...
ขณะที่ความรู้สึกๆ ดันเผลอไผลหวั่นไหวไปกับน้ำคำและทีท่าที่ยักษ์หนุ่มใช้ กระนั้นแล้วความรู้สึกบางส่วนก็ยังคงรู้สึกคัดค้านต่อสิ่งที่เขาพยายามสื่อสารอยู่ดี จนอดคิดไม่ได้ว่า
หากการพบเจอระหว่างเราเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันจะดีกว่าหรือเปล่า
ถ้าฉันคนนี้จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อช่วยเขาตามหาหญิงคนรัก
ตามดั่งหวังที่เขาอยากให้เป็นแทนการตอบแทนหลายล้านคำที่ฉันเคยร้องขอและอ่อนต่อหน้ารูปปั้นของท่านอสุรา
‘ว่าแล้วอสุราจึงเอ่ยถาม
ถึงฤกษ์ยามต้องจากลากันแล้วฤา
มิเอ่ยร่ำคำลาหรือโบกมือ
มิเห็นส่งข่าวลือว่าจักไป
ฤาชาตินี้เรานั้นมิคู่เคียง
แก้วกานดาจงสดับฟังเสียงขอ
อุบัติใหม่กี่ภพชาติพี่จักรอ
จักคอยเฝ้าพะนอไม่แคล้วไกล
เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เราคู่กัน’ จริงด้วยสิ
ในบทก่อนเข้าสงครามปราบยักษ์มาร
ท่านอสุราเองก็ได้ร้องขอให้คนรักลงมาเกิดใหม่เหมือนกันนี่นา
ต่อให้เขาจะมีอิทธิฤทธิ์น้อยกว่าท้าวอสุเรนทร์ผู้เป็นพี่ชายก็ตาม แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิฤทธิ์ต่างจากคนปกติทั่วไปอยู่ดี คำร้องขอของเขามันคงไม่ต่างจากการสาปส่งของท้าวอสุเรนทร์ในตำนานนักหรอกมั้ง
และถ้าหากเขาติดตามท่านท้าวอสุเรนทร์ลงมายังเมืองมนุษย์เพื่อปราบยักษ์ตามอย่างที่ในตำนานเกริ่นไว้ล่ะก็
บางทีการเกิดใหม่ของแม่นิมานรดีที่เขาร้องขอไว้ตามอย่างที่ตำนานกล่าว ก็น่าจะมีคราวเคราะห์ที่ไม่ต่างกันนัก
ฟุ่บ!
กึก...
“จักหนีหน้าพี่ไปหนใดอีกเล่า
แม่ทับทิม…”
คงเพราะในหัวเอาแต่คิดอะไรๆ
เพลินมากไปหน่อย กว่าจะรู้ตัวว่า
การเดินหนีสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ
เหมือนกับการเดินหนีคนสามัญชนธรรมดา ก็คงเป็นตอนที่เสียงของท่านอสุรากล่าวทักขึ้น
ขณะปรากฏกายยืนขวางทางเดินในท่ากอดอกเบื้องหน้านั่นหล่ะ
“ไยมิหยุดเจรจากับพี่เสียก่อน”
“อะ อะไรของท่านเนี่ย ไหนว่าจะไม่สร้างความลำบากใจให้ฉันยังไงล่ะเจ้าค่ะ…ตามทำไมอยู่ได้” ฉันบอกเขาแต่ก็ลดระดับเสียงในช่วงประโยคสุดท้ายลง จนมีแค่ตัวเองที่ได้ยิน
ทั้งที่ถูกต่อว่า แต่คนฟังก็ใช่จะแสดงอาการไม่พอใจแต่ใด เช่นเดิม เขายิ้ม ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่บอกถึงความสุข
“แม่ทับทิมก็เลิกหนีพี่เสียทีสิ…” แต่ไม่ใช่กับคำพูดที่บอกอารมณ์เจ้าของประโยคด้วยความรู้สึกอื่น “ทีกับไอ้บุรุษชนตนนั้น พี่มิเห็นแม่ทับทิมจักปฏิเสธหรือตีตนออกห่างมันตรงไหน…”
จากที่ได้ยิน คาดว่าเขาคงหมายถึงเขตแดน
พอจับใจความได้แบบนั้น ฉันจึงแย้ง
“ใครบอกท่าน ว่าฉันอยากอยู่ใกล้ผู้ชายชายคนนั้นกัน
?”
“พี่เห็นอยู่คาตา แม่ทับทิมจักเถียงให้ได้เหตุอันใด...นับจากที่วัดอารามหลวง จวบจนหน้าเรือนเมื่อครู่ ไฉนน้องจึงมิถือเนื้อถือตัวเฉกเช่นยามอยู่เคียงพี่”
หากเป็นการพูดคุยระหว่างคนที่กำลังคบหากัน
สิ่งที่ท่านอสุราและฉันทำใส่กันมันดูไม่ต่างจากการโต้เถียงสักนิด ติดอยู่ตรงที่ว่า
คู่สนทนาของฉันนั้นกลับไม่ได้ใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดผ่านน้ำเสียงอย่างที่พึงจะเป็นเลยแม้แต่นิดนี่สิ
เขายังคงพูดเสียงเฉื่อยบ่งบอกความใจเย็นที่ตนมี
แม้ว่าทุกวลีจะบ่งบอกถึงความคิดและความรู้สึกของผู้พูดซึ่งต่างจากน้ำเสียงที่ใช้ก็ตามสิ้นเชิง ผิดกับฉันที่พอต้องต่อปากต่อคำกับใครสักคนที่ไม่ยอมฟังเสียงอธิบาย
ก็มักจะเริ่มใส่อารมณ์มากขึ้น
“ไหนท่านบอกว่าเสียงฉันดังไปถึงที่ที่ท่านอยู่ยังไงล่ะเจ้า…”
ไม่รู้ว่าขณะพูด ฉันใส่อารมณ์มากเกินควรหรือเปล่า ในหนนี้ท่านอสุราจึงเงียบและทำหน้าที่ของผู้ฟังที่ดีมันเสียอย่างนั้น “แล้วทำไมเรื่องแค่นี้ ท่านถึงดูไม่ออกว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ฉันไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด
?”
และพอได้เอ่ยถามจนจบคำตามความต้องการ คู่สนทนาซึ่งคล้ายกับรอคอยจังหวะมาตลอดก็กล่าวแทรกขึ้น
“แฟนเก่า…” สองวลีสั้นๆ กับสีหน้าคิดไม่ตกของท่านอสุรา เป็นเหมือนสายลมเย็นๆ
ที่พัดพาเอาความร้อนในอกระหว่างตอบโต้ให้นิ่งสงบโดยทันควัน “สิ่งใด
คือแฟนเก่างั้นรึ แม่ทับทิม ?”
โดยเฉพาะกับคำถามประโยคหลังที่เล่นเอาผู้ที่ได้ฟังเกือบหลุดขำ
“พี่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินสองถ้อยวจีนี้
หากแต่พี่ได้เข้าใจความหมายของมันไม่”
การมาของท่านอสุราในช่วงแรกน่ากลัว น่ะใช่…
แต่ขณะเดียวกัน ท่ามกลางความน่ากลัวก็ยังมีเรื่องน่าขบขันปะปนอยู่ด้วย ซึ่งฉันไม่แปลกใจนัก หากว่าเขาซึ่งมาจากที่อื่นซึ่งแตกต่างจากโลกยุคสมัยปัจจุบัน จะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า แฟนเก่า ในแบบผู้คนส่วนใหญ่ใช้เรียกอดีตคนรักของตัวเองแบบนั้น
และเพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกมันแย่เท่าไหร่ ที่ต้องอธิบายสถานะของตัวเองกับเขตแดนให้เขาได้ฟัง แถมอารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้านี้ มันก็ไม่ได้รุนแรงมากพอจะต้องต่อปากหรือต่อว่าเขาให้เรื่องยืดยาว ดังนั้นจึงไม่ผิดอะไร หากฉันจะอธิบายบางอย่างของโลกปัจจุบันให้ยักษ์เช่นเขาเข้าใจขึ้นมาบ้าง
“แฟนเก่าก็หมายถึง อดีตคนรักยังไงล่ะเจ้าคะ…”
“…” แน่นอนว่าท่านอสุราเองก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับรู้ ซ้ำยังตั้งใจฟังเอาเสียมากๆ ด้วย
“แต่เราเลิกกันไปหลายปีแล้วเจ้าค่ะ
เพราะฉันจับได้ว่าเขาไม่ได้รักฉันจริง แถมยังมีผู้หญิงคนใหม่ เพราะงั้นฉันเลยไม่มีเรื่องจำเป็นที่ต้องอยากกลับไปใกล้ชิดเขาอีก”
ยักษ์หนุ่มในชุดเครื่องทรงสีขาวนวลไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาหลังสิ้นเสียงอธิบาย เขาเลือกที่จะยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น อีกทั้งบนใบหน้าคมคายดูดีก็ไม่ได้ปรากฏรอยยิ้มให้เห็นเหมือนทุกครั้ง
“คราวนี้ท่านก็เลิกคิดได้แล้วนะเจ้าคะ ว่าฉันอยากเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้น…อะ”
ฟึ่บ...
ทว่า ในหนนี้
การทำลายความเงียบระหว่างเรากลับไม่ประสบผลนัก เมื่อจู่ๆ
ท่านอสุรายื่นมือเข้ามาหาก่อนถือวิสาสะแตะลงบนผิวแก้มอย่างเบามือพลอยให้ทุกเสียงที่เคยดังลอดผ่านปากมีอันขาดช่วงลง
ในช่วงที่เราสองคนมีโอกาสสบตากันตรงๆ ในระยะใกล้ เขาก็เริ่มบรรจงใช้หัวแม่โป้งมือปาดลงบริเวณใต้ขอบตาให้อย่างนิ่มนวล ก่อนหยุดสัมผัสดังกล่าวไว้บริเวณหางตา โดยปล่อยให้ระหว่างเราถูกทุกความเงียบเข้าแทรกซึมไปทั่วทุกอณูอย่างเชื่องช้า โดยไม่พูดหรืออธิบายเหตุผลใด จนกระทั่งเมื่อเขารู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่กระทำอยู่ ถึงได้เคลื่อนมือออกไป
และกล่าวขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มเดิมๆ ซึ่งหายจากบนใบหน้าไปชั่วขณะหนึ่ง
“พี่จักมิถือโทษ หากในชั่วยามที่ผ่านมา น้องจักมีชายอื่นเข้ามาทดแทนที่…” และพูดบางสิ่งขึ้น “ขอเพียงยามนี้ แม่ทับทิมมิต้องอาดูรโศกา เฉกเช่นหลายชั่วยามที่ผ่านพ้นมา พี่ก็พึงพอใจแล้ว”
ราวกับว่า นอกจากเสียงร้องขอเรื่องโชคลาภและเรื่องการงานของฉันแล้ว เขายังได้ยินเสียงร้องไห้ที่เจ็บจนจะขาดใจในช่วงเวลาที่ผ่านมาของฉันด้วยเช่นกัน
“พี่อยู่ตรงนี้แล้วแม่ทับทิม พี่ขอให้คำมั่นว่านับจากนี้เป็นต้นไป จักมิมีวันใดที่แม่ทับทิมต้องเสียน้ำตาด้วยความอาลับโศกเศร้าอีก...”
ท่านอสุราไม่ได้พูดเปล่า แต่เขายังเลือกที่จะทำมากกว่าการให้กำลังใจ เช่นการเคลื่อนวงแขนเข้ามาหาหมายจะสวมกอด ทว่า
ปี๊บ! ปี๊บ!
สุดท้ายเขาก็ไม่มีโอกาสเข้าประชิดตัวฉันได้อย่างที่ใจคิด เมื่อจู่ๆ เสียงเตือนข้อความดันแทรกขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน พานให้สายตาที่เคยมองนัยน์ตาคมของคู่สนทนา รีบหลุบลงมองหน้าจอโดยอัตโนมัติเพราะคิดว่าอาจเป็นคุณช้างส่งโลเคชั่นสถานที่นัดหมายมาให้
การกระทำดังกล่าวมาพร้อมกับคำถามแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ของท่านอสุรา
“หน่ะ นั่นเสียงอะไรงั้นรึ แม่ทับทิม ?” พอเงยมองหน้าคนถาม จึงพบว่ายักษ์หนุ่มตรงหน้าเวลานี้ กำลังแสดงทีท่าประหม่า และใช้มือของตนเองเกาท้ายทอยแก้เก้อราวกับกำลังเคอะเขินอะไรอยู่
หรือเพราะที่ฉันฉันเมินกอดของเขาเมื่อกี้กันนะ ?
“เสียงเตือนข้อความจากโทรศัพท์มือถือน่ะเจ้าค่ะ…” ฉันตอบ แม้จะรู้สึกแปลกใจต่อท่าทีและน้ำเสียงที่แปลกไปของยักษ์ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมใช้นิ้วจิ้มเปิดข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอขึ้นอ่านไปด้วย
“โทรศัพท์มือถืองั้นรึ เหตุใดข้าวของสิ่งนี้จึงมีหน้าตาละม้ายคล้ายกระดานชนวนนัก…” หูน่ะ ได้ยินเสียงของท่านอสุรากำลังพูดเปรียบเทียบบางอย่าง
แต่ไม่ใช่กับสายตาที่กำลังถูกข้อความบนหน้าจอสะกดให้จับจ้อง
เขตแดน :
ข้อความก่อนหน้านี้ ไม่ตอบไม่เป็นไร
เขตแดน : แต่หลังจากนี้ไป ช่วยตอบข้อความฉันเหมือนเดิมด้วยนะ
แม้ใจความที่เขตแดนส่งมาหานั้น ให้ความรู้สึกร้องขอ
แต่ฉันก็ใช่จะตอบข้อความกลับตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเสียที่ไหน
และยังคงทำเหมือนเดิม ด้วยการลดโทรศัพท์มือถือในมือลงทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่า
เสียงเตือนข้อความก็ไม่วายดังขึ้นรัวขึ้นติดๆ กัน จำต้องรีบยกกลับขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้
และเมื่อเปิดอ่านข้อความ คราวนี้สิ่งที่รอคอยอยู่บนหน้าจอนั้น
กลับไม่ใช่ข้อความจากเขตแดนเหมือนตอนแรกอีกแล้ว เพราะคราวนี้ เขาส่งข้อความเข้ามาแบบไฟล์เสียง
เขตแดน : [เป็นโรคอะไรวะทับทิม ทำไมอ่านแล้วชอบไม่ตอบ...หรือเป็นเพราะไอ้ลิเกที่อยู่กับเธอวันนี้?]
เขตแดน : [ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ลิเกที่อยู่ที่บ้านเธอวันนี้เป็นใคร…แต่ในเมื่อเธอบอกว่าเขาไม่ใช่แฟน…เพราะงั้นฉันก็ยังถือว่ามีสิทธิ์อยู่…]
ตลอดเวลาที่เสียงของเขตแดนดังแทรกผ่านลำโพงโทรศัพท์
วูบหนึ่งที่สายตาเผลอเหลือบมองคนตัวใหญ่อีกคนข้างกายอย่างไม่ได้ตั้งใจ และได้พบว่าท่านอสุราขณะนั้น กำลังขมวดคิ้วย่นชิดเข้าหากัน แสดงสีหน้าคล้ายกับคิดอะไรอยู่ แต่พอคิดจะปิดหน้าจอข้อความลง
ข้อความเสียงจากเขตแดนก็ถูกส่งเข้ามาอีก
ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าสองข้อความแรก
เขตแดน : [ฉันอยากเริ่มต้นใหม่กับเธอจริงๆ นะทับทิม ให้โอกาสฉันได้กลับตัวได้ไหม
ให้ฉันจีบเธอใหม่ก็ได้... สัญญาว่าฉันจะใช้ทุกความจริงใจเข้าหาเธอ]
“กลับตัวงั้นรึ ?” หลังจากฟังมาครู่หนึ่ง
สุดท้ายสีหน้าครุ่นคิดของท่านอสุราก็ถูกเอ่ยออกมาเป็นคำถามในที่สุด “กระดานชนวนวิปลาสนี่ กำลังกล่าวถ้อยถึงสิ่งใดกัน เหตุใดจึงอยากกลับตัว มันทำผิดติดโทษประการใดไว้งั้นรึ แม่ทับทิม ?”
“คนที่อยากกลับตัวน่ะ ไม่ใช่กระดานชนวนหรอกเจ้าค่ะ...” เมื่อถูกถามฉันจึงจำต้องตอบ
“แต่เสียงที่ท่านได้ยินอยู่น่ะ คือเสียงเขตแดน แฟนเก่าของฉันเอง”
“แม่ทับทิมกำลังหมายถึงอดีตชายคนรักที่เลิกรากันไปนั่นน่ะรึ?” เขาย้อน
“เจ้าค่ะ ส่วนกระดานชนวนที่ท่านพูดถึงน่ะ คือสิ่งที่มนุษย์ใช้พูดคุยสื่อสารกัน เวลาเราอยู่คนละพื้นที่...เรียกว่าโทรศัพท์มือถือน่ะเจ้าค่ะ” ท่านอสุราไม่ได้ต่อความใด เขาทำเพียงพยักหน้าน้อยๆ ขณะรับฟัง
แต่ไม่นานนัก ก็ถามขึ้นอีก
“หากแม่ทับทิมกล่าวเช่นนั้น ก็หมายความว่า เสียงที่พี่ยินคือเสียงอดีตชายคนรักของแม่ทับทิม
ซึ่งหมายจักขอโอกาสกลับใจ คืนกลับมาครองรักกับแม่ทับทิมเหมือนดังเก่า
ใช่รึไม่?” แถมยังเป็นประโยคคำถามที่ยืดยาวอย่างสุดๆ
“เจ้าค่ะ… ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ถึงได้อยากกลับมาคืนดี…” ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังให้คำตอบตามมารยาทอยู่ดี
ขณะใช้มือจัดการปิดโปรแกรมสนทนาระหว่างเขตแดนลง “เขาคงคิดว่าการจีบฉันด้วยคำหวานเหมือนเมื่อก่อนคงจะได้ผลล่ะมั้งเจ้าคะ”
“จีบงั้นรึ ?” คนฟังย้อน
“เจ้าค่ะ จีบก็คล้ายๆ กับการเกี้ยวพาราสีนั่นหล่ะเจ้าค่ะ แต่ว่ามันเป็นคำที่คนในยุคสมัยนี้ใช้กันน่ะท่าน อะ…” แต่พอครั้นให้คำตอบแกมอธิบาย
ยักษ์หนุ่มช่างสงสัยแถมยังเป็นฝ่ายตั้งประเด็นคำถามขึ้นมา กลับทำเรื่องเสียมารยาท
อันตรธานตัวหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งๆ อย่างนั้น
พลอยให้บรรยากาศภายในบ้านซึ่งเคยมีเสียงการพูดคุยกับระหว่างเรา เงียบลงทันตา
“ท่านอสุรา...” แม้ว่าฉันจะพยายามส่งเสียงเรียกหาเขาด้วยตัวเองก็ตาม
อะไรของเขานะ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไปแบบนี้
ไหนว่าท่านเป็นยักษ์ยังไงละ
ทำไมชอบแว๊บไปแว๊บมาเหมือนผีแบบนี้ก็ไม่รู้!
คนเขายิ่งกลัวๆ อยู่
บรื้ออออ…
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น