คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : กลรักอสุรา l บทที่๐๔ ตอน หวนรำลึก {อัพ100%}
เวลาต่อมา…
เวลา ๑๓.๑๕ นาฬิกา
ความกลัว มักหลบซ่อนอยู่ในทุกๆ
ที่เพื่อให้ผู้คนโดยรอบได้รู้สึกถึง หากใครคนนั้นมีความกล้าสักหน่อย
เขาก็จะสามารถก้าวผ่านความกลัวที่พร้อมจะกระโจนออกจากที่ซ่อนไปได้
ราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น ทว่า กลับกัน
หากใครคนนั้นขี้ขลาดและมีกล้าไม่มากพอที่จะต่อสู้และก้าวผ่านความกลัวพวกนั้น
เขาก็มักจะลงเอยแบบฉัน
ที่พ่ายแพ้ต่อความหวาดกลัว เอาแต่นอนขด
ซุกตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มผืนหน้าในวันที่อากาศร้อนจัดอยู่ร่วมสี่ชั่วโมง…
โชคดีที่ดันเกิดมาเป็นคนสู้งาน ทำให้เมื่อใกล้ถึงเวลาที่คุณกรองขวัญนัดหมาย
ความกล้าเล็กๆ
จึงส่งผลให้ฉันรีบลุกออกจากที่นอน จัดการอาบน้ำแต่งตัวและพาตัวเองออกจากบ้านหลังเก่าแสนอบอุ่นที่ยามนี้คละเคล้าไปด้วยเรื่องพิศวงแสนน่ากลัวออกมาได้ในที่สุด
ไม่อยากลับบ้านเลย...
นั่นคือความคิดแรกเมื่อหลุดพ้นออกจากรั้วบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว
สำหรับคนที่ยังไม่มีงานประจำเป็นหลักแหล่งจนมีเงินทองใช้สอยได้ตามใจชอบ สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“เฮ้อ…” ลมหายใจแผ่วๆ ตามประสาของคนขี้ขลาดซ้ำยังหมดทางหนี ถูกพ่นทิ้งอย่างไม่นึกเสียดาย
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเส้นทางที่คุณกรองขวัญส่งโลเคชั่นสถานที่ที่นัดพบให้ดูไปพลางขณะนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถแท็กซี่
เกือบยี่สิบนาทีได้ล่ะมั้ง
ที่ฉันต้องนั่งสูดกลิ่นใบเตยอยู่บนเบาะหลัง ไปจนถึงสถานที่ที่เป็นที่นัดพบ
ทันทีที่รถเลี้ยวเข้ามาจอดบนลานกว้างหน้าคอนโดมิเนียมหรู
ฉันก็รีบจัดแจงจ่ายค่าโดยสารและพาตัวเองลงจากรถทันที แต่ก่อนจะถือวิสาสะบุ่มบ่ามเดินเข้าไปในตัวอาคาร
ฉันก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความหาเจ้าของการนัดหมายอย่างมีมารยาทด้วยเช่นกัน
ทับทิม : ทับทิมถึงแล้วนะคะคุณกรองขวัญ
คุณกรองขวัญ :
จ้า เข้ามาได้เลยนะ เจ๊บอกผู้ดูแลตึกไว้แล้ว
คุณกรองขวัญ : ชั้น ๙ ห้อง ๙๐๑๓ นะจ๊ะ
เมื่อได้รับข้อความตอบกลับ
ฉันจึงไม่รอช้ารีบก้าวเท้าตรงไปยังประตูทางเข้า
ที่เวลานี้มีใครคนหนึ่งกำลังคอยอยู่ตามอย่างที่คุณกรองขวัญบอกไว้
ป้าแม่บ้านดูแลตึกยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเราเจอหน้ากัน
ก่อนจัดการใช้คีย์การ์ดในมือเปิดประตูให้โดยไม่ต้องร้องบอก ด้วยการมาที่ง่ายดายขนาดนี้
ทำให้ฉันไม่ต้องทนเสียเวลามากนัก รีบจ้ำเท้าตรงไปยังลิฟต์และกดเลขชั้นของสถานที่นัดพบทันที
ปี๊บ! ปี๊บ!
เสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้นภายในพื้นที่แคบ
ทำฉันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้งโดยคาดหวังว่าอาจมาจากคุณกรองขวัญ
เผื่อเธอต้องการอะไรเพิ่มเติม แต่เหมือนว่าฉันจะคิดผิด
แดน :
มาทำอะไรที่นี่อ่ะ?
เพราะข้อความดังกล่าวดันถูกส่งมาจากผู้ชายที่ฉันไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดยังไงล่ะ
ที่ตลกก็คือ
ฉันไม่เคยลบเบอร์เขาออกจากเครื่องเลยนับตั้งแต่ที่เราเลิกกันไป
มีเพียงข้อความแชทเก่าๆ เท่านั้นที่ถูกลบ เพราะฉันไม่อยากเห็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกแย่เวลานึกถึง
นั่นเลยทำให้ข้อความที่เขตแดนส่งมาครั้งนี้ จึงเป็นข้อความแรกอีกครั้ง
นับจากที่เราขาดการติดต่อกัน
เนื่องด้วยทุกอย่างมันเป็นอดีตไปหมดแล้ว
การที่เขาส่งข้อความมาหา จึงไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรใส่ใจหรือรู้สึกยินดีขนาดนั้น ข้อความถามไถ่ดังกล่าวจึงถูกปิดลง
พร้อมๆ กับลิฟต์ที่เคลื่อนมาหยุดยังชั้นเก้าพอดิบพอดี
เจ็บแล้วจำ นั่นหล่ะมั้งคือนิสัยของผู้หญิงส่วนใหญ่…
ทันทีประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็รีบพาตัวเองก้าวตรงไปตามโถงทางเดินเบื้องหน้าตรงไปยังสถานที่นัดพบแบบไม่รีรอ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมกวาดตามองหาเลขห้องเป้าหมายไปด้วย จนกระทั่งพาตัวเองมาหยุดยังหน้าประตูห้องหมายเลข ๙๐๑๓ ได้ในที่สุด
แม้ลึกๆ
จะรู้สึกประหม่ากับการมาห้องของผู้จัดการดาราแบบเป็นส่วนตัวมากเท่าไหร่ก็ตาม
ถึงอย่างนั้นหน้าที่ก็ต้องมาก่อนเสมอ
การเคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องจึงเป็นสิ่งที่ฉันเลือกทำเมื่อมาถึง
ก๊อกๆ
“คุณกรองขวัญคะ ทับทิมเองค่ะ”
“จ้า เข้ามาสิ ประตูไม่ได้ล็อก” และทันทีที่ได้ยินเสียงอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของห้อง
ฉันก็ไม่รอช้ารีบบิดด้ามจับประตูเปิดเข้าไปภายในทันที
กึก… แอ้ด…
สิ่งที่รอคอยอยู่อยู่ด้านหลังบานประตู
คือห้องโถงขนาดใหญ่สมกับเป็นที่พักอาศัยของคนโดฯ ชื่อดังของพวกคนดังใจกลางเมือง ดูหรูหรามีสไตล์
อีกทั้งข้าวของก็ยังถูกจัดไว้เป็นที่เป็นทาง เป็นระเบียบสมเป็นห้องพักของผู้หญิง
ต่างจากห้องนอนฉันที่รกไม่ต่างจากรังหนู
อีกสิ่งที่ทำให้ห้องพักของคุณกรองขวัญดูน่าอยู่ดูเหมือนจะเป็นกองหนังสือวรรณคดีและตำนานโบราณเล่มเก่าบอกสไตล์และความชอบของผู้เป็นเจ้าของห้องที่มีไม่ต่างจากกันเท่าไหร่นัก
ซ้ำบรรยากาศภายในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ
ในแบบที่หาไม่ได้ในห้องนอนของตัวเอง
“ตรงต่อเวลาจริงๆ เลยนะทับทิมเนี่ย…” ทว่า ฉันก็ไม่มีโอกาสได้กวาดตาชื่นชมข้าวของและเครื่องประดับภายในห้องคุณกรองขวัญได้นานนัก เมื่อเสียงเจ้าของห้องดังทักขึ้น จำต้องละสายตาไปยังต้นเสียงและต้องพบว่าเธอกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยแก้วน้ำดื่มเย็นๆ “มาถึงเหนื่อยๆ ทานน้ำก่อนสิจ๊ะ”
“ขอบคุณนะคะ” คุณกรองขวัญยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเห็นว่าแขกของตนเองยินดีรับสินน้ำใจอย่างว่างง่าย และกล่าวขึ้นเมื่อเธอรู้สึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
“รอตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊เข้าไปหยิบชุดนางรำมาให้”
ฉันไม่ได้ตอบแต่เลือกที่พยักหน้าในอาการประหม่าขณะยกแก้วน้ำในมือขึ้นจิบตามมารยาท แต่ไม่ใช่กับสายตาซึ่งยังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของห้องซึ่งปลีกตัวเดินหายเข้าไปภายในห้องข้างๆ อย่างไม่วางตา
ด้วยเพราะตลอดมา ฉันเอาแต่แต่ขลุกอยู่กับความชอบของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พอได้พบว่าคุณกรองขวัญเองก็ดูจะสนใจอะไรที่คล้ายกันแบบนี้ มันเลยอดไม่ได้ที่จะเผลอละสายตาจากคนตัวระดับเท่าๆ กัน ปรายตากลับไปยังกองหนังสือโบราณบนโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้าอกครั้งอย่างกับถูกดึงดูด
“คุณกรองขวัญชอบอ่านพวกตำนานกับวรรณคดีด้วยหรือคะ ?” อีกทั้งยังถือโอกาสถามเจ้าของกองหนังสือเหล่านี้ไปด้วย
หลังสิ้นเสียง ผู้ถูกถามก็ส่งเสียงโต้กลับมาทันทีเช่นกัน
“ใช่จ้ะ ทับทิมก็ชอบเหมือนกันหรือจ๊ะ ?” ทว่า คำถามของคุณกรองขวัญนั้น
ไม่ได้รับการตอบกลับจากฉันแต่อย่างใด เพราะเวลาเดียวกันนั้น สายตาดันสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนา
ซึ่งถูกตีพิมพ์มาแล้วหลายสิบครั้งถูกวางปะปนไว้กับกองหนังสือเรื่องอื่นแบบไม่ตั้งใจ
หนังสือเล่มดังกล่าว คือเรื่องราวของตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่ฉันชื่นชอบ
การมองลักษณะรูปเล่มเพียงปราดเดียว ฉันรู้ได้ทันทีว่าเล่มที่คุณกรองขวัญมี
ถูกตีพิมพ์ครั้งที่เท่าไหร่ และด้วยเพราะฉันเงียบไม่ได้ให้คำตอบเจ้าของห้องกลับไปล่ะมั้ง
นั่นเลยทำให้เธอส่งเสียงทักขึ้นเป็นหนที่สอง
ด้วยคำถามที่ซึ่งมีใจความไม่ต่างไปจากคำถามแรกนัก
“สนใจตำนานท้าวอสุเรนทร์เหมือนกันหรือจ๊ะทับทิม”
เสียงของคุณกรองขวัญหนนี้ ทำฉันสะดุ้ง จำต้องละสายตาจากรูปเล่มบนโต๊ะหนังสือ เหลียวไปยังต้นเสียงอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ ก่อนพบว่าคุณกรองขวัญที่หายเข้าไปในห้องข้างๆ เวลานี้ได้เดินกลับออกมาพร้อมกับชุดนางรำในมือเสียแล้ว
“ถ้าสนใจตำนานท้าวอสุเรนทร์
อยากจะยืมกลับไปอ่านที่บ้านก็ได้นะ เจ๊อนุญาต”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะคุณกรองขวัญ ที่บ้านฉันเองก็มีเหมือนกัน”
“ตายจริง คอเดียวกันเลยนะเราสองคนเนี่ย…” เธอพูดติดตลกคล้ายกับชอบอกชอบใจ
พร้อมกันนั้นก็เดินเลยผ่านฉันไปยังโต๊ะหนังสือแล้วกล่าวขึ้น “โชคร้ายตรงที่ เจ๊ไม่ทันพวกเล่มที่ตีพิมพ์ช่วงแรกๆ เลยได้เล่มนี้มาแทน
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้เล่มแรกที่ตีพิมพ์มาครอบครองไว้เหมือนกันนะ”
“ฉันมีนะคะเล่มแรก ซื้อมาจากร้านมือสองน่ะค่ะ ถ้าคุณกรองขวัญอยากอ่าน
ถ้าวันไหนว่าง ฉันจะเอามาให้ยืมอ่านนะคะ” มันคงเหมือนกับถูกชะตาล่ะมั้ง
เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เจอคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน
นั่นเลยทำให้อดที่จะเสนอกึ่งละล่ำละลักความชอบที่มีเหมือนกันให้แก่คนที่พลาดโอกาสไม่ได้
“ตายจริง ทำไมใจดีจัง…” คุณกรองขวัญเองก็ดูไม่ได้ปฏิเสธอย่างเสียมารยาท
ซ้ำยังตอบกลับมาอย่างขี้เล่น “แต่ไม่เป็นหรอกนะ
ทับทิมเก็บเล่มแรกไว้เถอะจ๊ะ”
“…”
“เพราะไม่ว่าเนื้อหาของแต่ละครั้งที่ตีพิมพ์จะถูกรีไรท์จนภาษาสละสลวยแค่ไหน สุดท้ายแล้วเรื่องราวตำนานท้าวอสุเรนทร์ก็ไม่ได้มีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนหรือผิดเพี้ยนไปจากความจริงจนเกินงามอยู่ดี”
ผลจากการรับฟัง มันก็ยิ่งชี้ชัดเข้าไปใหญ่ ว่าคุณกรองขวัญเองก็คงชอบตำนานท้าวอสุเรนทร์เอามากๆ แม้ฉันจะมีแทบทุกเล่มของทุกครั้งที่ตีพิมพ์ แต่ก็ปฏิเสธสิ่งที่คนตัวระดับเท่าๆ กันตรงหน้าพูดไม่ได้จริงๆ
“จริงค่ะ ต่อให้จะเปลี่ยนภาษาไปกี่มือ
สุดท้ายเนื้อหาและเหตุการณ์ในตำนานก็คงเหมือนเดิมอยู่ดี” พอฉันว่าจบ
คนฟังก็เอียงหน้าหันมาส่งยิ้มให้เล็กน้อย และถามกลับมาสั้นๆ
ราวกับว่ามันคือคำถามปกติหลังผู้ซึ่งอ่านตำนานท้าวอสุเรนทร์จบมักใช้ถามไถ่กัน
“แล้วทับทิม ชอบใครมากที่สุดในตำนานพงศาวดารบทนี้ล่ะจ๊ะ”
และแน่นอนว่า
คำตอบเดียวในใจที่ไม่เคยเปลี่ยนไป แม่จะเจอเรื่องบ้าๆ เกิดขึ้นจนแทบหัวโกร๋น ก็คงไม่พ้นชื่อเรียกไม่สั้นไม่ยาว
ซึ่งทำให้ผู้ตอบรู้สึกอิ่มเอมใจและหวาดหวั่นได้ในคราวเดียวอย่างเช่น
“ฉันชอบท่านอสุราค่ะ” สิ้นเสียงตอบ รอยยิ้มบนหน้าคนฟังก็หุบลงโดยพลัน หากแต่กริยาบนหน้าเช่นนั้นของคุณกรองขวัญนั้น ก็แสดงออกให้เห็นเพียงครู่สั้นๆ เท่านั้น ก่อนบนใบหน้าสวยของเธอจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง
และกล่าวขึ้น
“เหมือนกันเลยจ้ะ…”
รู้ไหม ฉันไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่คุณกรองขวัญคือเรื่องแปลกอะไร แต่มองว่ามันคือเรื่องปกติของผู้ซึ่งชื่นชอบหรือหลงรักอะไรมากๆ ไม่ต่างจากการหลงใหลได้ปลื้มหรือชื่นชอบไอดอล ศิลปินเลยสักนิด เพราะคิดเชิงนั้น มันก็เลยเผลอหลุดยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ
ทั้งที่มันควรเป็นเรื่องปกติระหว่างคนที่มีความชอบคล้ายกันแท้ๆ ทว่า ทันทีที่คุณกรองขวัญเริ่มพูดบางสิ่งขึ้นมาหลังจากนั้น ผู้ซึ่งต้องรู้สึกแปลกๆ ในอกหลังรับฟัง กลับกลายเป็นฉันเสียเอง
“ทับทิมได้กลิ่นหอมในห้องนี้ใช่ไหมจ๊ะ…เขาว่ามันเป็นกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นดอกสร้อยที่สุดนะรู้ไหม?”
‘กลิ่นกายเจ้า...หอมหวานดั่งดอกสร้อยทองรุ่งอรุณมิแปรเปลี่ยน…’
เมื่อในหัวดันมีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาให้ได้ยินในจังหวะเดียวกัน มันคือคำบอกกล่าวของชายแปลกหน้าคนนั้น ที่ไม่สามารถหาข้อเท็จจริงใดได้จากตำราทุกเล่มที่มี
‘ดอกสร้อยทอง
กลิ่นหอมหวานเฉกเช่นเนื้อตัวเจ้ายามนี้ หวนให้เราคำนึงถึง…การหวนคำนึงหาที่มีมากล้นดวงใจ
พาให้พี่มาพบเจ้าในยามนี้ แม่ทับทิม’
“ทะ ทำไมคุณกรองขวัญถึงเลือกใช้กลิ่นที่คล้ายกับดอกสร้อยทองล่ะคะ?” สิ้นเสียงถาม คนฟังกลับยิ่งขยับยิ้มกว้างกว่าที่เป็น วูบหนึ่งที่นัยน์ตาคู่สวยของเธอหรี่ลง เพ่งมองมายังฉัน แต่ท้ายที่สุดก็ก็ยอมให้คำตอบกลับมาอยู่ดี
“เพราะเขาว่ากันว่า… ดอกสร้อยทอง มีกลิ่นหอมแบบเดียวกับกลิ่นกายของนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรายังไงล่ะจ๊ะ”
เวลา ๑๖.๑๕ นาฬิกา
“ไม่มี!”
ฟึ่บ!
“เล่มนี้ก็ไม่มี!”
ภายในบ้านอันแสนอบอุ่นที่เคยเงียบสงบ
เวลานี้กำลังเปลี่ยนไปด้วยเสียงโวยวายและเสียงกระทบกระทั้งจากกองหนังสือ
ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ฉันลากสังขารกลับมาบ้านตัวเอง
หลังจัดการส่งคืนชุดนางรำแทนคุณกรองขวัญจนเสร็จสิ้น
หนังสือบอกเล่าตำนานท้าวอสุเรนทร์จำนวนเท่ากับครั้งที่ตีพิมพ์ และวรรณกรรมอื่นๆ ซึ่งใช้เนื้อหาอ้างอิงจากพงศาวดารเดียวกันมาผูกโยงเรื่องอีกหลายสิบเล่ม ถูกฉันรื้อลงมาจากชั้นวางเพื่อหาข้อมูลบางอย่างซึ่งยังสร้างความแคลงใจมาตลอดจนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความสังสัยเหล่านั้น มันได้หลุดผ่านปากคุณกรองขวัญเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกคาใจก็คงไม่พ้นไม้พันธุ์อย่างดอกสร้อยทอง
ที่ไม่ว่าจะพยายามทบทวนเนื้อหาที่เคยอ่านผ่านเท่าไหร่ ในหัวกลับไม่เห็นจำได้ว่า เคยมีชื่อของพันธุ์ไม้ชนิดนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มใด เว้นเสียแต่ดอกพิกุลทองที่พระอิศวรมอบให้แก่ท้าวอสุเรนทร์เป็นของรางวัลที่ยกทัพนำศึกจนแดนสรวงปลอดภัยก็เท่านั้น
“ทำไมไม่มีล่ะ !?” แม้ว่าจะพยายามคร่ำเคร่งจดจ่อสายตาไปยังตัวอักษรซึ่งถูกร้อยเรียงเป็นบทกลอนสักกี่สิบ กี่ร้อยบรรทัด สิ่งที่ฉันได้คืนมา ก็ยังคงเดิม
เพราะไม่ว่าหน้าไหนๆ
ก็ดูจะไม่ชื่อของพันธุ์ไม้นี้ปรากฏไว้ที่กลอนบทใด
ทั้งที่ไม่มีเขียนบันทึกไว้ในหนังสือสักเล่ม
แล้วทำไมคุณกรองขวัญถึงได้พูดสอดคล้องกับคำพูดของผู้ชายประหลาดคนนั้นได้แบบนั้นล่ะ…
พอความคิดมาหยุดอยู่ตรงนี้ อาการร้อนรนขณะพยายามค้นหาข้อมูลจากกองหนังสือนับยี่สิบเล่มก็มีอันต้องสะดุดลงก่อนเริ่มเปลี่ยนไป
เช่นเดียวกับสายตาซึ่งเผลอชำเลืองมองขึ้นไปยังรูปปั้นยักษ์ขนาดเล็กบนชั้นวางแบบไม่ตั้งใจ
“อึก” เพียงแค่มองเท่านั้น
น้ำลายในช่องปากก็เริ่มจับตัวเป็นก้อน จนเริ่มกลืนลงคออลำบากขึ้นมาเสียดื้อๆ มิหนำซ้ำขณะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดพวกนั้น ในหัวก็ดันปรากฏภาพเหตุการณ์เกินกว่าจะทำใจเชื่อ
หวนกลับมาให้รู้สึกอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น
รวมถึงการมาของชายแปลกหน้าในเครื่องทรงยักษ์ซึ่งอ้างตนว่าคือท่านอสุรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเคารพและกราบไหว้
‘พี่ตามหาเจ้าแทบพลิกธรณี
นางอัปสร...ไฉนเจ้าจึงหนีมานั่งหลบตาพี่อยู่ตรงนี้เล่า ?’
เสียงของเขานุ่มละมุน และยังคงดังติดหู
เช่นเดียวกับแววตาอบอุ่นใจดีในแบบที่ฉันไม่เคยพบเจอ
‘นิ่งเถิดแม่ทับทิม อย่าเพิ่งเสียขวัญไปไย เรามิได้มาร้ายโปรดฟังถ้อยเราเสียหน่อย…’
ไหนจะอุปนิสัยซึ่งดูใจเย็นและพร้อมจะชี้แจงเหตุผลได้อย่างสุขุมสมเป็นผู้ใหญ่
ที่บ่งบอกว่าเป็นอุปลักษณะนิสัยของท่านอสุราที่ฉันชื่นชอบทั้งสิ้นนั่นอีก...
แต่ก่อนที่ฉันจะสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะเรื่องแปลกๆ ชวนพิศวงมากไปกว่านี้ การตบหน้าตัวเองหนึ่งที่เบาๆ เพื่อตั้งสติ และหันเหความสนใจทั้งหมดกลับมายังกองหนังสือตรงหน้าจึงเกิดขึ้น
ทว่า...
จังหวะที่กำลังจะเริ่มตั้งต้นไล่สายตามองกวาดตัวอักษรอยู่นั้น
ความเงียบรอบตัวที่เกิดขึ้นมาได้ระยะสั้นๆ ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเข้มของใครคนหนึ่ง
“กำลังศึกษาสิ่งใดอยู่งั้นหรือ เหตุใดตำรับตำราถึงได้มากมายเช่นนี้เล่า
แม่ทับทิม” สำเนียงแปลกหากแต่มีเอกลักษณ์ทำเอาร่างกายทุกส่วนนิ่งลงอย่างฉับพลัน
แม้สายตายังจดจ่ออยู่บนหน้าหนังสือ
แต่ความรู้สึกกลับรับรู้ได้ถึงการมาของสิ่งเหนือธรรมชาติได้โดยไม่ต้องมอง
กึก…
“ตำรับตำราในมือเจ้ากล่าวถึงสิ่งใดงั้นรึ
พี่ขอศึกษาเคียงเจ้าด้วยได้หรือไม่ ?”
น้ำลายอึกใหญ่ขยักลงคออย่างไร้เสียง แต่นั่นไม่ใช่กับมือที่รีบยื่นหนังสือในซึ่งเปิดค้างไว้ ยื่นส่งไปยังต้นเสียงแบบไม่มอง ลึกๆ ยังคงภาวนาว่าบางทีมันอาจเป็นเพียงอาการหูแว่วเท่านั้น ซึ่งมันควรเป็นแบบนั้น หากหนังสือที่ถูกยื่นออกไปอย่างอัตโนมัตินั้น ไม่ได้ถูกมือของใครอีกคนรับออกไปจากมือ
อาจเพราะเดิมทีฉันเป็นคนที่ชอบเรื่องอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว ซ้ำยังถูกปลูกฝังและเชื่อเป็นอย่างมากว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาทิเช่นยักษ์นั้น มีอยู่จริง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเวลานี้ข้างกายไม่ได้มีฉันอยู่เพียงลำพัง อีกทั้งเพื่อพิสูจน์ว่าฉันยังไม่ได้เป็นบ้า ความกล้าเล็กน้อยจึงถูกงัดออกมาใช้ ด้วยการเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงจากทางหางตาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็นหนสุดท้ายเพื่อพิสูจน์
แล้วฉันก็ได้เห็นเขาจริงๆ
ผู้ชายคนเดิมในชุดเครื่องทรงยักษ์สีสะอาดตาที่ควรเป็นเพียงภาพความฝันและมโนนิมิต
ชายแปลกหน้าซึ่งอ้างตัวว่าเป็นท่านอสุรา
กำลังยืนถือหนังสือที่ฉันส่งไปให้
สังเกตได้ว่าใบหน้าคมคายสมชายกำลังปรากฏรอยย่นจากการขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ไม่นานนัก
เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกลอบมอง จู่ๆ
ถึงได้ละสายตาจากหนังสือปรายมองมาอย่างรวดเร็วจนคนแอบมองไม่ทันได้หลบสายตา
วินาทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสได้สบตาต่อกัน รอยยิ้มเล็กๆ
หากแต่ดูใจดีและเป็นมิตรก็ปรากฏขึ้นบนหน้าเขาทันที ซึ่งมันก็เป็นฉันเสียเองที่เริ่มเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา
“ตำราเล่มนี้ กล่าวถึงสิ่งใดงั้นรึ แม่ทับทิม…”
แม้จะไม่เป็นตัวของตัวเองและยังคงรู้สึกหวาดหวั่นต่อเรื่องราวประหลาดตรงหน้ามากแค่ไหน
แต่นั่นไม่ใช่กับปากที่เริ่มบดถ้อยคำหลังถูกถามตามมารยาทที่ควรจะปฏิบัติอยู่ดี
“เขียนถึงท่านท้าวอสุเรนทร์เจ้าค่ะ” ซึ่งการโต้กลับไปแบบนั้น
ก็คงทำให้คนฟังชอบใจถึงได้ขยับยิ้มกว้างมากกว่าเก่า ซ้ำยังกล่าวขึ้นอย่างเข้าใจราวกับจะยืนกรานที่มาและสถานะของตัวเองขณะหลุดตามองหนังสือในมืออย่างสนอกสนใจ
“กล่าวถึงพระเชษฐาเรางั้นรึ ?”
ช่วงที่มีโอกาสได้มองใบหน้าคมคายของคู่สนทนา สมองก็พยายามนึกถึงองค์ประกอบโดยรวมของสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกบันทึกไว้ไปด้วย และไม่ว่าจะมองอย่างไร ชายหนุ่มคนนี้ก็มีรูปลักษณ์และเครื่องต่างกายเหมือนกับท่านอสุราไปเสียทุกส่วนราวกับหลุดออกมาจากตำนานจริงๆ
ยิ่งในหัวนึกถึงภาพใบหน้าน่ากลัวที่มาพร้อมคมเขี้ยวมุมปากซึ่งบอกสถานะของการเป็นยักษ์ด้วยแล้ว
ฉันก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ ว่าสิ่งที่ต้องเจออยู่เวลานี้นั้นคือเรื่องจริง…
“เฮือก…” มองภาพของยักษ์หนุ่มข้างกายได้ไม่นาน
คนที่ต้องสะดุ้งไปทั่วทั้งทรวงกลับกลายเป็นฉันอีกครั้ง เมื่อท่านอสุรา
(เรียกตามความคิด) ลดความสนใจจากหนังสือในมือมายังหน้าฉันแล้วเอ่ยถ้อยคำถาม
“มีสิ่งใดเปื้อนหน้าพี่งั้นรึแม่ทับทิม ?”
ร่างกายแสดงการตอบรับต่อคำถามดังกล่าวด้วยการส่ายหน้าน้อยๆ
หากแต่นั่นกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้คนตัวใหญ่ข้างกาย
ลดหนังสือในมือวางลงบนกองหนังสือซึ่งถูกวางเรียงเป็นชั้น
แล้วเปลี่ยนมาใช้มือข้างเดียวกันเอื้อมแตะปลายนิ้วลงบนแก้มอย่างถือโอกาส ก่อนตามาด้วยคำถาม
“เหตุใดยามนี้ ใบหน้าสวยของแม่ทับทิมจึงดูเหนื่อยอ่อนระคนกังวลเช่นนี้เล่า
?” อาจเพราะจิตสำนึกที่เอาแต่ร่ำร้องและไม่อาจยอมรับกับสิ่งที่ตาเห็นล่ะมั้ง
ฉันจึงเป็นฝ่ายผละไปหน้าออกจากสัมผัสอุ่นที่เขามอบให้ด้วยตัวเอง
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะขยับตัวถอย ทิ้งระยะห่างระหว่างเราไว้
ไม่รู้หรอก ว่าตอนทำแบบนั้นใส่
ท่านอสุราจะแสดงสีหน้าอย่างไร รู้แค่ว่าฉันยังรู้สึกหวาดระแวงกับภาพน่ากลัวที่เขาแสดงออกให้รับเห็นถึงตัวตนจริงอย่างไรก็อย่างนั้น
แม้จิตใต้สำนึกยังคงหวาดกลัวแต่ไม่อาจเชื่อต่อสิ่งที่มองเห็น
แต่ท้ายที่สุดแล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาผ่านตาเปล่าอยู่ดี ก่อนพบว่า
ผู้ซึ่งถูกปฏิเสธจากมอบสัมผัสไม่ได้แสดงสีหน้าไม่ชอบใจแต่อย่างใด
แต่ดันยิ้มด้วยรอยยิ้มซึ่งอบอวลไปด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างคนใจเย็น
เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เขาใช้ถาม
เมื่อเราสบตากัน
“ยังกลัวพี่อยู่รึ แม่ทับทิม” ฉันไม่ได้ตอบ แต่เลือกพยักหน้าหงึกหงักส่งกลับไปตามความรู้สึก ซึ่งมันก็ทำให้ผู้ซึ่งคอยท่าการตอบรับ ขยับยิ้มรับแทบทันทีอย่างเข้าใจ
“แม่ทับทิมมิต้องกลัวไปไย พี่หาได้มาร้ายไม่…” ท่านอสุราบอกแบบนั้น
โดยยังคงยืนนิ่งในท่าเดิม
ไม่ได้ทำเรื่องน่าตกใจ หรือฉวยโอกาสสัมผัสเนื้อตัวกันเหมือนเช่นที่ผ่านมา “ดั่งเช่นที่แจ้งไว้เมื่อช่วงเพลาที่มา ยามนี้พี่มาหาเจ้าเพราะความคิดถึง”
เพราะคำพูดของเขาให้ความรู้สึกและความหมายซ้ำเดิม
จนคล้ายกับว่านั่นคือเหตุผลเดียวที่้ป็นฉนวนให้เรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นรอบตัว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความปากไวจึงลั่นคำถามกลับไปอย่างไม่รีรอ แน่นอนว่าหนนี้
สำเนียงที่ใช้นั้น
คือสำเนียงเดียวกับที่เฝ้าพูดวอนขอต่อหน้ารูปปั้นยักษ์ตามความเคยชิน
“ทะ ทำไมถึงเป็นฉันล่ะเจ้าคะ ?”
หากนับจากความเชื่อที่ถูกปลูกฝังอยู่ในหัว และจากการศึกษาชีวประวัติของท่านอสุราผ่านพงศาวดารที่ฉันเข้าใจ ในตำนานกล่าวไว้ว่า เขาสูญเสียหญิงคนรักจากน้ำมือท่านกุมภัณฑ์ตั้งแต่ตอนก่อนเกิดสงครามปราบยักษ์มารของ้ทาวอสุเรนทร์
แต่ที่ไม่เข้าใจและยากจะเข้าใจก็คือ
การปรากฏตัวของท่านซึ่งอยู่นอกเหนือจากที่ถูกบันทึกไว้ในตำนานเท่านั้น...
“พี่เคยสั่งเสียในยามต้องสูญสิ้นต่อหน้าดวงใจ ว่าชาติก่อน พี่นั้นหาได้มีโอกาสเคียงคู่ ดวงใจตามดั่งประสงค์และคำสัตย์ หากชาติหน้าฉันใด ครั้นดวงใจอุบัติใหม่ พี่จักกลับมาคู่เคียงดูแลมิให้ไกลห่าง…”
แต่ก็ไม่คิดหรอก ว่าคราวนี้คำบอกเล่าด้วยสำเนียงโบราณที่ได้จากเขา จะฟังดูชัดเจนกว่าที่ผ่านมาขนาดนี้ ซ้ำยังสอดคล้องกับเนื้อหาบางส่วนที่เคยอ่านผ่านตา
“และเมื่อฤกษ์ยามงามดี ทวิภพเปิดเฉกเช่นหนนี้...พี่จึงมีโอกาสได้ตามติดพระพี่ชาย ลงมาตามหาดวงใจที่หล่นหาย”
นอกจากจะสอดคล้องกับเนื้อในที่เขียนเล่าไว้ในตำนานแล้ว
พอลองมาทบทวนคำพูดทั้งหมดของเขาดีๆ
‘พี่เฝ้ามอง รอคอยคืนและวันให้เคลื่อนผ่านไปด้วยความห่วงหา หวังได้พบ ยลหน้าคราตาแม่ทับทิมสักครั้งให้สมดั่งความคิดถึง เพราะเหตุนี้ ยามนี้เราจึงอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าแม่ทับทิมยังไงเล่า…’
ทุกอย่างก็คล้ายกับจะยิ่งชัดเจนไปหมด…
‘เหตุใดจึงกล่าวหาว่าเรามิรู้จักเจ้าเล่า แม่นิมมานรดี?’
วินาทีที่ความคิดหยุดลงตรงชื่อของนางสวรรค์ในตำนานที่ชื่นชอบ เสียงของใครอีกคนก็ดังแทรกผ่านความคิดให้ได้ยิน
‘ทับทิมได้กลิ่นหอมในห้องนี้ใช่ไหมจ๊ะ…เขาว่ามันเป็นกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นดอกสร้อยที่สุดนะรู้ไหม ?’
‘ทะ ทำไมคุณกรองขวัญถึงเลือกใช้กลิ่นที่คล้ายกับดอกสร้อยทองล่ะคะ ?’
‘เพราะเขาว่ากันว่า… ดอกสร้อยทอง
มีกลิ่นเดียวกับกลิ่นกายของนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรายังไงล่ะจ๊ะ’
“แม่ทับทิม…” ทว่า ไม่นานเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป ด้วยเสียงเข้มนุ่มลึกของใครอีกคนดังแทรกผ่านภวังค์และสามารถฉุดกระชากฉันให้กลับคืนสู่โลกความจริงที่เป็นเหมือนความฝันอีกครั้ง
ชายหนุ่มซึ่งอ้างตนว่าเป็นท่านอสุรายังยืนอยู่ตรงนั้น
ตรงกองหนังสือซึ่งถูกวางทิ้งไว้
นัยน์ตาคมหากแต่อบอุ่นและอ่อนโยนของเขากำลังปรายมองมาราวกับเป็นห่วงที่เห็นว่าฉันนิ่งไป แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร มันก็เป็นฉันนั่นแหละทีละล่ำละลักแทรกความเงียบระหว่างเราขึ้น
“ถะ ถ้าท่านคือท่านอสุราจริงๆ ฉะ…ฉันว่าท่านคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ”
“เหตุใดแม่ทับทิมจึงกล่าวความเช่นนั้น ?”
“ก็เรื่องแม่หญิงนิมมานรดีน่ะสิเจ้าคะ…” พอต้องพูดเข้าเรื่องเข้าราวที่เคยอ่านผ่านตาแล้ว
มิแถมยังต้องพูดกับสิ่งเหนือธรรมชาติตรงหน้าด้วยแล้ว จากที่ทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว
ตอนนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ “หะ
หากท่านติดตามพี่ชายลงมาตามคำสาปส่งของท่านท้าวอสุเรนทร์ที่ในตำนานว่าไว้จริง ฉันเกรงว่า…ฉะ
ฉันคงไม่ใช้แม่หญิงนิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ”
พูดจบ คนฟังก็นิ่งลงไปเล็กน้อย เขาไม่ได้แสดงสีหน้าบอกความรู้สึกใด เช่นเดียวกับรอยยิ้มบนหน้า ที่ยามนี้หุบลงจนค่อนไปทางเรียบเฉย พลันเปลี่ยนสถานการณ์ที่เคยเป็น ให้อึดอัดลงอย่างรู้สึกได้ชัด
แต่ก่อนที่สถานการณ์ระหว่างเราจะแย่ลงไปกว่านี้ มันก็เป็นฉันอีกนั่นหล่ะ
ที่เลือกจะพาตัวเองหลบหนีสิ่งเร้นลับตรงหน้าไป
“ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะเจ้าคะ…” ทว่า ฉันกลับไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ต้องการได้สมใจนัก
ฟึ่บ…
“อะ…” ในช่วงที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสดังกล่าวด้วยการเหลียวหลังกลับไป ภาพรอบตัวคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าลงจนคล้ายกับกำลังจะหยุดเคลื่อนไหว หลงเหลือเพียงตัวฉันเท่านั้นที่กำลังขยับเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าของฝ่ามืออย่างเชื่องช้า
เหตุอัศจรรย์เกิดแทบจะทันที เมื่อข้าวของเครื่องใช้ภายในเริ่มบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง เหมือนๆ กับพื้นบ้านซึ่งเคยถูกปูด้วยกระเบื้องเคลือบ ยามนี้กลับค่อยๆ ถูกกลืนกินด้วยพื้นหญ้าสีเขียวขจีอย่างช้าๆ ก่อนจะแผ่กระจายจนเต็มพื้นที่
แม้สายตายังคงจดจ่ออยู่ที่นัยน์ตาคมคู่เดิมก็ตาม
แต่กระนั้นแล้วฉันกลับรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือความหมาย
เมื่อกำแพงปูนและฝาผนังค่อยเลือนรางจางหายไปก่อนมีต้นไม้น้อยใหญ่เจริญเติบโตแทรกเข้ามาแทนที่ราวกับใช้เวทมนต์ นอกจากนั้นแล้วฉันกลับรับรู้สึกถึงแสงแดดอ่อนๆ และสายลมแผ่วๆ ที่ผ่านเข้าหาตัวได้อย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย
แต่แล้วไม่นาน ช่วงเวลาพิศวงก็มีอันต้องหยุดลง ก่อนพบว่าบริเวณฝ่ามือที่เคยถูกมืออุ่นของใครอีกคนประกบไว้นั้น ยามนี้กลับว่างเปล่า ซ้ำยื่นออกไปเบื้องหน้าดังกล่าวโดยปราศจากผู้ใดหรือใครจับกุมไว้
ที่น่าตกใจกว่าการพบเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กราบไว้มาทั้งชีวิตก็คงเป็น
พื้นที่ภายในบ้านที่ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่แปลกตา ภายในสวนสวยกว้างขวางในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับหลุดออกมาจากละครพื้นบ้าน
นอกจากสวยสวยที่สามารถสะกดสายตาให้กวาดมองแล้ว ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ฉันยังมองเห็นกำแพงสูงสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความวิจิตรแถมยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก
สเน่ห์แบบไทยๆ ในแบบที่หาไม่ได้จากยุคสมัยปัจจุบันกำลังทำให้ฉันที่หลงใหลเรื่องเหล่านี้เหมือนต้องมนต์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ชนิดที่ถอนตัวไม่ขึ้น....
ทว่า แม้ที่นี่จะดูสวยและแปลกตาจนยากที่จะหาคำใดมาเอ่ยเปรียบ กระนั้นแล้ว สำหรับคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเหลือธรรมชาติ เหล่านี้ชนิดที่ไม่ทันตั้งตัวรับ
ก็ใช่ว่ามีอารมณ์ร่วมหรือมัวแต่ชื่นชมศิลปะสถานสวยๆ รอบตัวได้นานเสียเมื่อไหร่
ขณะที่สติกำลังเตลิดจวนเจียนจะช็อกและไม่สามารถปะติดปะต่อสถานการณ์ตรงหน้าได้สนิทนัก ช่วงเวลาเดียวกัน หูกลับได้ยินเสียงหวานของเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งดังแว่วขึ้นมาให้ได้ยิน
เสียงดังกล่าวมาจากดนตรีเครื่องสาย จำพวกซอ...
ซ้ำยังผู้บรรเลงเครื่องดนตรีดังกล่าว ยังสามารถเล่นได้อย่างอ่อนหวาน จนร่างกายเผลอตอบสนองเสียงเครื่องดนตรีที่ได้ยินด้วยการเริ่มก้าวเท้าเหยียบย่างไปบนพื้นหญ้าตรงไปทางต้นเสียงอย่างเชื่องช้าที่ละก้าวสองก้าวแบบระแวดระวัง
ขณะเดินตามเสียงหวานเสนาะหูของทำนองเครื่องสายแล้ว สายตาก็ยังทำหน้าที่ของมัน
กวาดสำรวจพื้นที่โดยรอบภายในสวนสวยไม่หยุดเช่นกัน
ทว่า เดินก้าวย่างผ่านพุ่มไม้ป่าและพันธุ์ไม้หายากซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกความจริงมาได้ไม่ทันเท่าไหร่
เท้าซึ่งเคยเดินเป็นจังหวะเชื่องช้าแต่ต่อเนื่องก็มีอันต้องหยุดลงอีกครั้ง
กึก...
เมื่อภาพตรงหน้ากำลังปรากฏภาพของยักษ์หนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีนวลแสนคุ้นตา กำลังนั่งประทับบนแคร่ใต้ต้นไทรใหญ่ในท่าพับเพียบ ขณะบรรเลงเพลงจากซอด้วงในมืออย่างชำนาญการ โดยมีหมู่มวลชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ในชุดทรงยักษ์สีน้ำตาลไหม้หากไร้เครื่องประดับนั่งหมอบกราบ รับฟังเสียงหวานๆ ของเครื่องดนตรีอยู่เบื้องหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ที่ดึงดูดสายตาได้ไม่แพ้กับภาพยักษ์หนุ่มซึ่งกำลังเล่นเครื่องดนตรี
ดูท่าแล้วคงไม่พ้นยักษ์หนุ่มอีกสองตนซึ่งนั่งชมชิดไม่ห่าง
หนึ่งคือชายหนุ่มซึ่งดูมียศถาบรรดาศักดิ์เหนือกว่าผู้ใด ในชุดเครื่องทรงยักษ์สีเขียวสดพร้อมด้วยประดับกายแบบไม่ตกบกพร่อง
ส่วนอีกตนก็คงเป็นยักษ์หนุ่มซึ่งนั่งขนาบข้างในระยะใกล้ชิดบ่งบอกถึงสถานะที่ดูเหนือกว่าชายฉกรรจ์ตนอื่นๆ หากแต่เป้นรองยักษ์หนุ่มข้างกายตน
ที่บ้าก็คือ การได้มองเห็นภาพเบื้องหน้าเพียงปราดเดียวเท่านั้น ฉันกลับรับรู้ได้ทันที ว่าทุกชีวิตตรงหน้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วยังสามารถชื่อของยักษ์ทุกตนตรงหน้าได้อย่างไม่กลัวผิดพลาดอีกด้วย
เหตุผลน่ะเหรอ ก็คงเพราะภาพสถานการณ์ตรงหน้านั้น ฉันได้อ่านมันผ่านบทกลอนมาแล้วไม่รู้กี่พันรอบแล้วน่ะสิ...
“เฮือก!” ทว่า การยืนแอบลักลอบชมภาพสวยงามเหนือจินตนาการก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้นานนัก เมื่อผู้บรรเลงเครื่องสายในมือ จู่ๆ ก็หยุดมือลง จากนั้นก็เคลื่อนสายตาจากปลายนิ้วตนเอง มองตรงมายังจุดที่ฉันกำลังลอบมองอยู่
การถูกจับได้เช่นนั้นส่งผลให้ร่างกายเหมือนถูกตอกติดให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยมนต์สะกดประหลาดที่ยักษ์หนุ่มส่งผ่านมาจากทางสายตาและรอยยิ้มคุ้นเคยบนหน้า พร้อมกับจิตใต้สำนึกที่เริ่มร้องตะโกนต่อสู่กับความคิดในหัว ว่าชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีขาวที่ฉันได้เห็นตนนั้นน่ะ เขาคือท่านอสุราจริงๆ
“แม่ทับทิม…” ต่อให้สิ่งที่ตาเห็นจะเริ่มสอดคล้องกับความคิดและเนื้อหาในตำนานที่ศึกษามาบ้างแล้วก็ตาม
ถึงอย่างนั้น ในยามที่ถูกเขาเปล่งเสียงเรียก
ทุกส่วนของร่างกายก็มันอันต้องแข็งทื่อมันไปเสียทุกที ทั้งที่อยากจะหนีใจจะขาด
“มาหาพี่สิ แม่ทับทิม…” แต่ไม่ใช่กับหู
ซึ่งยังได้ยินเสียงเรียกหาจากยักษ์ตนเดิม
“แม่ทับทิม…” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า
ทั้งที่เสียงของท่านอสุราดังก้องไกลมาถึงจุดที่ฉันแอบลอบมองอยู่ ทว่า
กลับไม่ทำให้ชายฉกรรจ์ในคราบยักษ์ตนอื่นๆ เหลียวหลังมองตามอย่างที่ควรเป็นสักนิด
ทำไมล่ะ ทำไมพวกเขาถึงไม่หันตามเสียงเรียกของท่านอสุรา
“…ทิม”
“…” แต่แล้วในช่วงที่เรียกเงียบลง คนที่ต้องสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ
จนสายตาหลุดจากภาพของยักษ์หนุ่มตรงหน้ามันดันเป็นฉันเสียเอง
“ทับทิม!”
เหตุก็เพราะเสียงขานชื่อซึ่งดังขึ้นหลังจากนั้นมันได้เปลี่ยนน้ำเสียงไป ก่อนตามมาด้วยเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นถี่ๆ
ไล่เลี่ยกัน
ปิ้งป่อง!
ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง!
จังหวะการกดกริ่งซึ่งดังรัวราวกับจะบอกอารมณ์ของผู้กระทำ ทำฉันสะดุ้งลืมตาขึ้นด้วยความตกใจที่ยังไม่ลดจางลง ก่อนต้องพบว่า ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ฉันเผลอหลับไปท่ามกลางกองหนังสือซึ่งถูกเปิดค้างไว้กระจัดกระจายตรงหน้า
คำถามแรกหลังสติสัมปัญชัญญะกลับคืนสู่ความจริง ขณะกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ตัวบ้านด้วยอาการที่ไม่ลดหย่อนจากสิ่งที่ตาเคยเห็นและรู้สึกเวลานี้ คงมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น
ทะ ทั้งหมดนี่ ฉันฝันไปเองงั้นเหรอ...
Talk1 เหมือนกันเลยจ้าาาาา
Talk2 แม่ทับทิมไม่ได้กลัวหรอกเจ้าค่ะ แต่นางกำลังหลอนประสาท 55555
Talk3 เอ๊ะ หรือเป็นเพียงแค่ความฝันน้าาาา
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ความคิดเห็น