ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #5 : กลรักอสุรา l บทที่๐๔ ตอน หวนรำลึก {อัพ100%}

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 61


    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *



    บทที่ ๐๔
    ตอน หวนรำลึก

    เวลาต่อมา

    เวลา ๑๓.๑๕ นาฬิกา

    ความกลัว มักหลบซ่อนอยู่ในทุกๆ ที่เพื่อให้ผู้คนโดยรอบได้รู้สึกถึง หากใครคนนั้นมีความกล้าสักหน่อย เขาก็จะสามารถก้าวผ่านความกลัวที่พร้อมจะกระโจนออกจากที่ซ่อนไปได้ ราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น ทว่า กลับกัน หากใครคนนั้นขี้ขลาดและมีกล้าไม่มากพอที่จะต่อสู้และก้าวผ่านความกลัวพวกนั้น เขาก็มักจะลงเอยแบบฉัน

    ที่พ่ายแพ้ต่อความหวาดกลัว เอาแต่นอนขด ซุกตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มผืนหน้าในวันที่อากาศร้อนจัดอยู่ร่วมสี่ชั่วโมง

    โชคดีที่ดันเกิดมาเป็นคนสู้งาน  ทำให้เมื่อใกล้ถึงเวลาที่คุณกรองขวัญนัดหมาย ความกล้าเล็กๆ จึงส่งผลให้ฉันรีบลุกออกจากที่นอน จัดการอาบน้ำแต่งตัวและพาตัวเองออกจากบ้านหลังเก่าแสนอบอุ่นที่ยามนี้คละเคล้าไปด้วยเรื่องพิศวงแสนน่ากลัวออกมาได้ในที่สุด

    ไม่อยากลับบ้านเลย... 

    นั่นคือความคิดแรกเมื่อหลุดพ้นออกจากรั้วบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่มีงานประจำเป็นหลักแหล่งจนมีเงินทองใช้สอยได้ตามใจชอบ สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น

    เฮ้อ…” ลมหายใจแผ่วๆ ตามประสาของคนขี้ขลาดซ้ำยังหมดทางหนี ถูกพ่นทิ้งอย่างไม่นึกเสียดาย พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเส้นทางที่คุณกรองขวัญส่งโลเคชั่นสถานที่ที่นัดพบให้ดูไปพลางขณะนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถแท็กซี่

    เกือบยี่สิบนาทีได้ล่ะมั้ง ที่ฉันต้องนั่งสูดกลิ่นใบเตยอยู่บนเบาะหลัง ไปจนถึงสถานที่ที่เป็นที่นัดพบ ทันทีที่รถเลี้ยวเข้ามาจอดบนลานกว้างหน้าคอนโดมิเนียมหรู ฉันก็รีบจัดแจงจ่ายค่าโดยสารและพาตัวเองลงจากรถทันที แต่ก่อนจะถือวิสาสะบุ่มบ่ามเดินเข้าไปในตัวอาคาร ฉันก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความหาเจ้าของการนัดหมายอย่างมีมารยาทด้วยเช่นกัน

    ทับทิม : ทับทิมถึงแล้วนะคะคุณกรองขวัญ

    คุณกรองขวัญ : จ้า เข้ามาได้เลยนะ เจ๊บอกผู้ดูแลตึกไว้แล้ว

    คุณกรองขวัญ : ชั้น ๙ ห้อง ๙๐๑๓ นะจ๊ะ

    เมื่อได้รับข้อความตอบกลับ ฉันจึงไม่รอช้ารีบก้าวเท้าตรงไปยังประตูทางเข้า ที่เวลานี้มีใครคนหนึ่งกำลังคอยอยู่ตามอย่างที่คุณกรองขวัญบอกไว้

    ป้าแม่บ้านดูแลตึกยิ้มให้เล็กน้อยเมื่อเราเจอหน้ากัน ก่อนจัดการใช้คีย์การ์ดในมือเปิดประตูให้โดยไม่ต้องร้องบอก ด้วยการมาที่ง่ายดายขนาดนี้ ทำให้ฉันไม่ต้องทนเสียเวลามากนัก รีบจ้ำเท้าตรงไปยังลิฟต์และกดเลขชั้นของสถานที่นัดพบทันที

    ปี๊บ! ปี๊บ!

    เสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้นภายในพื้นที่แคบ ทำฉันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้งโดยคาดหวังว่าอาจมาจากคุณกรองขวัญ เผื่อเธอต้องการอะไรเพิ่มเติม แต่เหมือนว่าฉันจะคิดผิด

    แดน : มาทำอะไรที่นี่อ่ะ?

    เพราะข้อความดังกล่าวดันถูกส่งมาจากผู้ชายที่ฉันไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดยังไงล่ะ

    ที่ตลกก็คือ ฉันไม่เคยลบเบอร์เขาออกจากเครื่องเลยนับตั้งแต่ที่เราเลิกกันไป มีเพียงข้อความแชทเก่าๆ เท่านั้นที่ถูกลบ เพราะฉันไม่อยากเห็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกแย่เวลานึกถึง นั่นเลยทำให้ข้อความที่เขตแดนส่งมาครั้งนี้ จึงเป็นข้อความแรกอีกครั้ง นับจากที่เราขาดการติดต่อกัน

    เนื่องด้วยทุกอย่างมันเป็นอดีตไปหมดแล้ว การที่เขาส่งข้อความมาหา จึงไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรใส่ใจหรือรู้สึกยินดีขนาดนั้น ข้อความถามไถ่ดังกล่าวจึงถูกปิดลง พร้อมๆ กับลิฟต์ที่เคลื่อนมาหยุดยังชั้นเก้าพอดิบพอดี

    เจ็บแล้วจำ นั่นหล่ะมั้งคือนิสัยของผู้หญิงส่วนใหญ่

    ทันทีประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็รีบพาตัวเองก้าวตรงไปตามโถงทางเดินเบื้องหน้าตรงไปยังสถานที่นัดพบแบบไม่รีรอ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมกวาดตามองหาเลขห้องเป้าหมายไปด้วย จนกระทั่งพาตัวเองมาหยุดยังหน้าประตูห้องหมายเลข ๙๐๑๓ ได้ในที่สุด

    แม้ลึกๆ จะรู้สึกประหม่ากับการมาห้องของผู้จัดการดาราแบบเป็นส่วนตัวมากเท่าไหร่ก็ตาม ถึงอย่างนั้นหน้าที่ก็ต้องมาก่อนเสมอ การเคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องจึงเป็นสิ่งที่ฉันเลือกทำเมื่อมาถึง

    ก๊อกๆ

    คุณกรองขวัญคะ ทับทิมเองค่ะ

    จ้า เข้ามาสิ ประตูไม่ได้ล็อกและทันทีที่ได้ยินเสียงอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของห้อง ฉันก็ไม่รอช้ารีบบิดด้ามจับประตูเปิดเข้าไปภายในทันที

    กึก แอ้ด

    สิ่งที่รอคอยอยู่อยู่ด้านหลังบานประตู คือห้องโถงขนาดใหญ่สมกับเป็นที่พักอาศัยของคนโดฯ ชื่อดังของพวกคนดังใจกลางเมือง ดูหรูหรามีสไตล์ อีกทั้งข้าวของก็ยังถูกจัดไว้เป็นที่เป็นทาง เป็นระเบียบสมเป็นห้องพักของผู้หญิง ต่างจากห้องนอนฉันที่รกไม่ต่างจากรังหนูลิบลับ

    อีกสิ่งที่ทำให้ห้องพักของคุณกรองขวัญดูน่าอยู่ดูเหมือนจะเป็นกองหนังสือวรรณคดีและตำนานโบราณเล่มเก่าบอกสไตล์และความชอบของผู้เป็นเจ้าของห้องที่มีไม่ต่างจากกันเท่าไหร่นัก ซ้ำบรรยากาศภายในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ ในแบบที่หาไม่ได้ในห้องนอนของตัวเอง

    ตรงต่อเวลาจริงๆ เลยนะทับทิมเนี่ย…” ทว่า ฉันก็ไม่มีโอกาสได้กวาดตาชื่นชมข้าวของและเครื่องประดับภายในห้องคุณกรองขวัญได้นานนัก เมื่อเสียงเจ้าของห้องดังทักขึ้น จำต้องละสายตาไปยังต้นเสียงและต้องพบว่าเธอกำลังเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยแก้วน้ำดื่มเย็นๆ “มาถึงเหนื่อยๆ ทานน้ำก่อนสิจ๊ะ

    แน่นอน ว่าฉันไม่ได้มารยาทที่จะปฏิเสธน้ำใจของเธอแต่อย่างใด แต่รีบรับแก้วน้ำดื่มจากเธอมาไว้กับตัว 

    ขอบคุณนะคะ” คุณกรองขวัญยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเห็นว่าแขกของตนเองยินดีรับสินน้ำใจอย่างว่างง่าย และกล่าวขึ้นเมื่อเธอรู้สึกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี

    รอตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊เข้าไปหยิบชุดนางรำมาให้” 

    ฉันไม่ได้ตอบแต่เลือกที่พยักหน้าในอาการประหม่าขณะยกแก้วน้ำในมือขึ้นจิบตามมารยาท แต่ไม่ใช่กับสายตาซึ่งยังคงจับจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของห้องซึ่งปลีกตัวเดินหายเข้าไปภายในห้องข้างๆ อย่างไม่วางตา

    ด้วยเพราะตลอดมา ฉันเอาแต่แต่ขลุกอยู่กับความชอบของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พอได้พบว่าคุณกรองขวัญเองก็ดูจะสนใจอะไรที่คล้ายกันแบบนี้ มันเลยอดไม่ได้ที่จะเผลอละสายตาจากคนตัวระดับเท่าๆ กัน ปรายตากลับไปยังกองหนังสือโบราณบนโต๊ะตัวใหญ่ตรงหน้าอกครั้งอย่างกับถูกดึงดูด

    คุณกรองขวัญชอบอ่านพวกตำนานกับวรรณคดีด้วยหรือคะ ?อีกทั้งยังถือโอกาสถามเจ้าของกองหนังสือเหล่านี้ไปด้วย

    หลังสิ้นเสียง ผู้ถูกถามก็ส่งเสียงโต้กลับมาทันทีเช่นกัน

    ใช่จ้ะ ทับทิมก็ชอบเหมือนกันหรือจ๊ะ ?ทว่า คำถามของคุณกรองขวัญนั้น ไม่ได้รับการตอบกลับจากฉันแต่อย่างใด เพราะเวลาเดียวกันนั้น สายตาดันสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนา ซึ่งถูกตีพิมพ์มาแล้วหลายสิบครั้งถูกวางปะปนไว้กับกองหนังสือเรื่องอื่นแบบไม่ตั้งใจ

    หนังสือเล่มดังกล่าว คือเรื่องราวของตำนานท้าวอสุเรนทร์ที่ฉันชื่นชอบ การมองลักษณะรูปเล่มเพียงปราดเดียว ฉันรู้ได้ทันทีว่าเล่มที่คุณกรองขวัญมี ถูกตีพิมพ์ครั้งที่เท่าไหร่ และด้วยเพราะฉันเงียบไม่ได้ให้คำตอบเจ้าของห้องกลับไปล่ะมั้ง นั่นเลยทำให้เธอส่งเสียงทักขึ้นเป็นหนที่สอง ด้วยคำถามที่ซึ่งมีใจความไม่ต่างไปจากคำถามแรกนัก

    สนใจตำนานท้าวอสุเรนทร์เหมือนกันหรือจ๊ะทับทิม” 

    เสียงของคุณกรองขวัญหนนี้ ทำฉันสะดุ้ง จำต้องละสายตาจากรูปเล่มบนโต๊ะหนังสือ เหลียวไปยังต้นเสียงอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ ก่อนพบว่าคุณกรองขวัญที่หายเข้าไปในห้องข้างๆ เวลานี้ได้เดินกลับออกมาพร้อมกับชุดนางรำในมือเสียแล้ว 

    ถ้าสนใจตำนานท้าวอสุเรนทร์ อยากจะยืมกลับไปอ่านที่บ้านก็ได้นะ เจ๊อนุญาต

    มะ ไม่เป็นไรค่ะคุณกรองขวัญ ที่บ้านฉันเองก็มีเหมือนกัน

    ตายจริง คอเดียวกันเลยนะเราสองคนเนี่ย…” เธอพูดติดตลกคล้ายกับชอบอกชอบใจ พร้อมกันนั้นก็เดินเลยผ่านฉันไปยังโต๊ะหนังสือแล้วกล่าวขึ้น โชคร้ายตรงที่ เจ๊ไม่ทันพวกเล่มที่ตีพิมพ์ช่วงแรกๆ เลยได้เล่มนี้มาแทน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้เล่มแรกที่ตีพิมพ์มาครอบครองไว้เหมือนกันนะ

    ฉันมีนะคะเล่มแรก ซื้อมาจากร้านมือสองน่ะค่ะ ถ้าคุณกรองขวัญอยากอ่าน ถ้าวันไหนว่าง ฉันจะเอามาให้ยืมอ่านนะคะมันคงเหมือนกับถูกชะตาล่ะมั้ง เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เจอคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน นั่นเลยทำให้อดที่จะเสนอกึ่งละล่ำละลักความชอบที่มีเหมือนกันให้แก่คนที่พลาดโอกาสไม่ได้

    ตายจริง ทำไมใจดีจัง…” คุณกรองขวัญเองก็ดูไม่ได้ปฏิเสธอย่างเสียมารยาท ซ้ำยังตอบกลับมาอย่างขี้เล่น แต่ไม่เป็นหรอกนะ ทับทิมเก็บเล่มแรกไว้เถอะจ๊ะ

    “…”

    “เพราะไม่ว่าเนื้อหาของแต่ละครั้งที่ตีพิมพ์จะถูกรีไรท์จนภาษาสละสลวยแค่ไหน  สุดท้ายแล้วเรื่องราวตำนานท้าวอสุเรนทร์ก็ไม่ได้มีเนื้อหาที่คลาดเคลื่อนหรือผิดเพี้ยนไปจากความจริงจนเกินงามอยู่ดี 

    ผลจากการรับฟัง มันก็ยิ่งชี้ชัดเข้าไปใหญ่ ว่าคุณกรองขวัญเองก็คงชอบตำนานท้าวอสุเรนทร์เอามากๆ แม้ฉันจะมีแทบทุกเล่มของทุกครั้งที่ตีพิมพ์ แต่ก็ปฏิเสธสิ่งที่คนตัวระดับเท่าๆ กันตรงหน้าพูดไม่ได้จริงๆ

    จริงค่ะ ต่อให้จะเปลี่ยนภาษาไปกี่มือ สุดท้ายเนื้อหาและเหตุการณ์ในตำนานก็คงเหมือนเดิมอยู่ดี พอฉันว่าจบ คนฟังก็เอียงหน้าหันมาส่งยิ้มให้เล็กน้อย และถามกลับมาสั้นๆ ราวกับว่ามันคือคำถามปกติหลังผู้ซึ่งอ่านตำนานท้าวอสุเรนทร์จบมักใช้ถามไถ่กัน

    แล้วทับทิม ชอบใครมากที่สุดในตำนานพงศาวดารบทนี้ล่ะจ๊ะ

    และแน่นอนว่า คำตอบเดียวในใจที่ไม่เคยเปลี่ยนไป แม่จะเจอเรื่องบ้าๆ เกิดขึ้นจนแทบหัวโกร๋น ก็คงไม่พ้นชื่อเรียกไม่สั้นไม่ยาว ซึ่งทำให้ผู้ตอบรู้สึกอิ่มเอมใจและหวาดหวั่นได้ในคราวเดียวอย่างเช่น

    ฉันชอบท่านอสุราค่ะสิ้นเสียงตอบ รอยยิ้มบนหน้าคนฟังก็หุบลงโดยพลัน หากแต่กริยาบนหน้าเช่นนั้นของคุณกรองขวัญนั้น ก็แสดงออกให้เห็นเพียงครู่สั้นๆ เท่านั้น ก่อนบนใบหน้าสวยของเธอจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง

    และกล่าวขึ้น

    เหมือนกันเลยจ้ะ…”

    รู้ไหม ฉันไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่คุณกรองขวัญคือเรื่องแปลกอะไร แต่มองว่ามันคือเรื่องปกติของผู้ซึ่งชื่นชอบหรือหลงรักอะไรมากๆ ไม่ต่างจากการหลงใหลได้ปลื้มหรือชื่นชอบไอดอล ศิลปินเลยสักนิด เพราะคิดเชิงนั้น มันก็เลยเผลอหลุดยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ 

    ทั้งที่มันควรเป็นเรื่องปกติระหว่างคนที่มีความชอบคล้ายกันแท้ๆ ทว่า ทันทีที่คุณกรองขวัญเริ่มพูดบางสิ่งขึ้นมาหลังจากนั้น ผู้ซึ่งต้องรู้สึกแปลกๆ ในอกหลังรับฟัง กลับกลายเป็นฉันเสียเอง

    ทับทิมได้กลิ่นหอมในห้องนี้ใช่ไหมจ๊ะเขาว่ามันเป็นกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นดอกสร้อยที่สุดนะรู้ไหม?

    กลิ่นกายเจ้า...หอมหวานดั่งดอกสร้อยทองรุ่งอรุณมิแปรเปลี่ยน…’ 

    เมื่อในหัวดันมีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาให้ได้ยินในจังหวะเดียวกัน มันคือคำบอกกล่าวของชายแปลกหน้าคนนั้น ที่ไม่สามารถหาข้อเท็จจริงใดได้จากตำราทุกเล่มที่มี

    ดอกสร้อยทอง กลิ่นหอมหวานเฉกเช่นเนื้อตัวเจ้ายามนี้ หวนให้เราคำนึงถึงการหวนคำนึงหาที่มีมากล้นดวงใจ พาให้พี่มาพบเจ้าในยามนี้ แม่ทับทิม

    ทะ ทำไมคุณกรองขวัญถึงเลือกใช้กลิ่นที่คล้ายกับดอกสร้อยทองล่ะคะ?สิ้นเสียงถาม คนฟังกลับยิ่งขยับยิ้มกว้างกว่าที่เป็น วูบหนึ่งที่นัยน์ตาคู่สวยของเธอหรี่ลง เพ่งมองมายังฉัน แต่ท้ายที่สุดก็ก็ยอมให้คำตอบกลับมาอยู่ดี

    เพราะเขาว่ากันว่า ดอกสร้อยทอง มีกลิ่นหอมแบบเดียวกับกลิ่นกายของนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรายังไงล่ะจ๊ะ

     


    เวลา ๑๖.๑๕ นาฬิกา

    ไม่มี!”

    ฟึ่บ!

    เล่มนี้ก็ไม่มี!”

    ภายในบ้านอันแสนอบอุ่นที่เคยเงียบสงบ เวลานี้กำลังเปลี่ยนไปด้วยเสียงโวยวายและเสียงกระทบกระทั้งจากกองหนังสือ ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ฉันลากสังขารกลับมาบ้านตัวเอง หลังจัดการส่งคืนชุดนางรำแทนคุณกรองขวัญจนเสร็จสิ้น

    หนังสือบอกเล่าตำนานท้าวอสุเรนทร์จำนวนเท่ากับครั้งที่ตีพิมพ์ และวรรณกรรมอื่นๆ ซึ่งใช้เนื้อหาอ้างอิงจากพงศาวดารเดียวกันมาผูกโยงเรื่องอีกหลายสิบเล่ม ถูกฉันรื้อลงมาจากชั้นวางเพื่อหาข้อมูลบางอย่างซึ่งยังสร้างความแคลงใจมาตลอดจนถึงตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความสังสัยเหล่านั้น มันได้หลุดผ่านปากคุณกรองขวัญเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

    สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกคาใจก็คงไม่พ้นไม้พันธุ์อย่างดอกสร้อยทอง ที่ไม่ว่าจะพยายามทบทวนเนื้อหาที่เคยอ่านผ่านเท่าไหร่ ในหัวกลับไม่เห็นจำได้ว่า เคยมีชื่อของพันธุ์ไม้ชนิดนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มใด เว้นเสียแต่ดอกพิกุลทองที่พระอิศวรมอบให้แก่ท้าวอสุเรนทร์เป็นของรางวัลที่ยกทัพนำศึกจนแดนสรวงปลอดภัยก็เท่านั้น

    ทำไมไม่มีล่ะ !?” แม้ว่าจะพยายามคร่ำเคร่งจดจ่อสายตาไปยังตัวอักษรซึ่งถูกร้อยเรียงเป็นบทกลอนสักกี่สิบ กี่ร้อยบรรทัด สิ่งที่ฉันได้คืนมา ก็ยังคงเดิม

    เพราะไม่ว่าหน้าไหนๆ ก็ดูจะไม่ชื่อของพันธุ์ไม้นี้ปรากฏไว้ที่กลอนบทใด

    ทั้งที่ไม่มีเขียนบันทึกไว้ในหนังสือสักเล่ม แล้วทำไมคุณกรองขวัญถึงได้พูดสอดคล้องกับคำพูดของผู้ชายประหลาดคนนั้นได้แบบนั้นล่ะ

    พอความคิดมาหยุดอยู่ตรงนี้ อาการร้อนรนขณะพยายามค้นหาข้อมูลจากกองหนังสือนับยี่สิบเล่มก็มีอันต้องสะดุดลงก่อนเริ่มเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับสายตาซึ่งเผลอชำเลืองมองขึ้นไปยังรูปปั้นยักษ์ขนาดเล็กบนชั้นวางแบบไม่ตั้งใจ

    อึก เพียงแค่มองเท่านั้น น้ำลายในช่องปากก็เริ่มจับตัวเป็นก้อน จนเริ่มกลืนลงคออลำบากขึ้นมาเสียดื้อๆ มิหนำซ้ำขณะกลืนน้ำลายเหนียวหนืดพวกนั้น ในหัวก็ดันปรากฏภาพเหตุการณ์เกินกว่าจะทำใจเชื่อ หวนกลับมาให้รู้สึกอย่างต่อเนื่อง

    นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เรื่องราวประหลาดเกิดขึ้น รวมถึงการมาของชายแปลกหน้าในเครื่องทรงยักษ์ซึ่งอ้างตนว่าคือท่านอสุรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเคารพและกราบไหว้

    พี่ตามหาเจ้าแทบพลิกธรณี นางอัปสร...ไฉนเจ้าจึงหนีมานั่งหลบตาพี่อยู่ตรงนี้เล่า ?’ เสียงของเขานุ่มละมุน และยังคงดังติดหู เช่นเดียวกับแววตาอบอุ่นใจดีในแบบที่ฉันไม่เคยพบเจอ

    นิ่งเถิดแม่ทับทิม อย่าเพิ่งเสียขวัญไปไย เรามิได้มาร้ายโปรดฟังถ้อยเราเสียหน่อย…’ ไหนจะอุปนิสัยซึ่งดูใจเย็นและพร้อมจะชี้แจงเหตุผลได้อย่างสุขุมสมเป็นผู้ใหญ่ ที่บ่งบอกว่าเป็นอุปลักษณะนิสัยของท่านอสุราที่ฉันชื่นชอบทั้งสิ้นนั่นอีก...

    แต่ก่อนที่ฉันจะสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะเรื่องแปลกๆ ชวนพิศวงมากไปกว่านี้ การตบหน้าตัวเองหนึ่งที่เบาๆ เพื่อตั้งสติ และหันเหความสนใจทั้งหมดกลับมายังกองหนังสือตรงหน้าจึงเกิดขึ้น 

    ทว่า... 

    จังหวะที่กำลังจะเริ่มตั้งต้นไล่สายตามองกวาดตัวอักษรอยู่นั้น ความเงียบรอบตัวที่เกิดขึ้นมาได้ระยะสั้นๆ ก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเข้มของใครคนหนึ่ง

    กำลังศึกษาสิ่งใดอยู่งั้นหรือ เหตุใดตำรับตำราถึงได้มากมายเช่นนี้เล่า แม่ทับทิม สำเนียงแปลกหากแต่มีเอกลักษณ์ทำเอาร่างกายทุกส่วนนิ่งลงอย่างฉับพลัน แม้สายตายังจดจ่ออยู่บนหน้าหนังสือ แต่ความรู้สึกกลับรับรู้ได้ถึงการมาของสิ่งเหนือธรรมชาติได้โดยไม่ต้องมอง

    กึก

    ตำรับตำราในมือเจ้ากล่าวถึงสิ่งใดงั้นรึ พี่ขอศึกษาเคียงเจ้าด้วยได้หรือไม่ ?

    น้ำลายอึกใหญ่ขยักลงคออย่างไร้เสียง แต่นั่นไม่ใช่กับมือที่รีบยื่นหนังสือในซึ่งเปิดค้างไว้ ยื่นส่งไปยังต้นเสียงแบบไม่มอง ลึกๆ ยังคงภาวนาว่าบางทีมันอาจเป็นเพียงอาการหูแว่วเท่านั้น ซึ่งมันควรเป็นแบบนั้น หากหนังสือที่ถูกยื่นออกไปอย่างอัตโนมัตินั้น ไม่ได้ถูกมือของใครอีกคนรับออกไปจากมือ

    อาจเพราะเดิมทีฉันเป็นคนที่ชอบเรื่องอะไรทำนองนี้อยู่แล้ว ซ้ำยังถูกปลูกฝังและเชื่อเป็นอย่างมากว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อาทิเช่นยักษ์นั้น มีอยู่จริง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเวลานี้ข้างกายไม่ได้มีฉันอยู่เพียงลำพัง อีกทั้งเพื่อพิสูจน์ว่าฉันยังไม่ได้เป็นบ้า ความกล้าเล็กน้อยจึงถูกงัดออกมาใช้ ด้วยการเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงจากทางหางตาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็นหนสุดท้ายเพื่อพิสูจน์

    แล้วฉันก็ได้เห็นเขาจริงๆ ผู้ชายคนเดิมในชุดเครื่องทรงยักษ์สีสะอาดตาที่ควรเป็นเพียงภาพความฝันและมโนนิมิต 

    ชายแปลกหน้าซึ่งอ้างตัวว่าเป็นท่านอสุรา กำลังยืนถือหนังสือที่ฉันส่งไปให้ สังเกตได้ว่าใบหน้าคมคายสมชายกำลังปรากฏรอยย่นจากการขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ไม่นานนัก เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกลอบมอง จู่ๆ ถึงได้ละสายตาจากหนังสือปรายมองมาอย่างรวดเร็วจนคนแอบมองไม่ทันได้หลบสายตา

    วินาทีที่เราทั้งคู่มีโอกาสได้สบตาต่อกัน รอยยิ้มเล็กๆ หากแต่ดูใจดีและเป็นมิตรก็ปรากฏขึ้นบนหน้าเขาทันที ซึ่งมันก็เป็นฉันเสียเองที่เริ่มเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

    ตำราเล่มนี้ กล่าวถึงสิ่งใดงั้นรึ แม่ทับทิม…”

    แม้จะไม่เป็นตัวของตัวเองและยังคงรู้สึกหวาดหวั่นต่อเรื่องราวประหลาดตรงหน้ามากแค่ไหน แต่นั่นไม่ใช่กับปากที่เริ่มบดถ้อยคำหลังถูกถามตามมารยาทที่ควรจะปฏิบัติอยู่ดี

    เขียนถึงท่านท้าวอสุเรนทร์เจ้าค่ะ ซึ่งการโต้กลับไปแบบนั้น ก็คงทำให้คนฟังชอบใจถึงได้ขยับยิ้มกว้างมากกว่าเก่า ซ้ำยังกล่าวขึ้นอย่างเข้าใจราวกับจะยืนกรานที่มาและสถานะของตัวเองขณะหลุดตามองหนังสือในมืออย่างสนอกสนใจ

    กล่าวถึงพระเชษฐาเรางั้นรึ ?” 

    ช่วงที่มีโอกาสได้มองใบหน้าคมคายของคู่สนทนา สมองก็พยายามนึกถึงองค์ประกอบโดยรวมของสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกบันทึกไว้ไปด้วย และไม่ว่าจะมองอย่างไร ชายหนุ่มคนนี้ก็มีรูปลักษณ์และเครื่องต่างกายเหมือนกับท่านอสุราไปเสียทุกส่วนราวกับหลุดออกมาจากตำนานจริงๆ 

    ยิ่งในหัวนึกถึงภาพใบหน้าน่ากลัวที่มาพร้อมคมเขี้ยวมุมปากซึ่งบอกสถานะของการเป็นยักษ์ด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งไม่อยากเชื่อ ว่าสิ่งที่ต้องเจออยู่เวลานี้นั้นคือเรื่องจริง

    เฮือก…” มองภาพของยักษ์หนุ่มข้างกายได้ไม่นาน คนที่ต้องสะดุ้งไปทั่วทั้งทรวงกลับกลายเป็นฉันอีกครั้ง เมื่อท่านอสุรา (เรียกตามความคิด) ลดความสนใจจากหนังสือในมือมายังหน้าฉันแล้วเอ่ยถ้อยคำถาม

    มีสิ่งใดเปื้อนหน้าพี่งั้นรึแม่ทับทิม ?” 

    ร่างกายแสดงการตอบรับต่อคำถามดังกล่าวด้วยการส่ายหน้าน้อยๆ หากแต่นั่นกลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้คนตัวใหญ่ข้างกาย ลดหนังสือในมือวางลงบนกองหนังสือซึ่งถูกวางเรียงเป็นชั้น แล้วเปลี่ยนมาใช้มือข้างเดียวกันเอื้อมแตะปลายนิ้วลงบนแก้มอย่างถือโอกาส ก่อนตามาด้วยคำถาม

    เหตุใดยามนี้ ใบหน้าสวยของแม่ทับทิมจึงดูเหนื่อยอ่อนระคนกังวลเช่นนี้เล่า ? อาจเพราะจิตสำนึกที่เอาแต่ร่ำร้องและไม่อาจยอมรับกับสิ่งที่ตาเห็นล่ะมั้ง ฉันจึงเป็นฝ่ายผละไปหน้าออกจากสัมผัสอุ่นที่เขามอบให้ด้วยตัวเอง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะขยับตัวถอย ทิ้งระยะห่างระหว่างเราไว้

    ไม่รู้หรอก ว่าตอนทำแบบนั้นใส่ ท่านอสุราจะแสดงสีหน้าอย่างไร รู้แค่ว่าฉันยังรู้สึกหวาดระแวงกับภาพน่ากลัวที่เขาแสดงออกให้รับเห็นถึงตัวตนจริงอย่างไรก็อย่างนั้น

    แม้จิตใต้สำนึกยังคงหวาดกลัวแต่ไม่อาจเชื่อต่อสิ่งที่มองเห็น แต่ท้ายที่สุดแล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาผ่านตาเปล่าอยู่ดี ก่อนพบว่า ผู้ซึ่งถูกปฏิเสธจากมอบสัมผัสไม่ได้แสดงสีหน้าไม่ชอบใจแต่อย่างใด แต่ดันยิ้มด้วยรอยยิ้มซึ่งอบอวลไปด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างคนใจเย็น

    เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เขาใช้ถาม เมื่อเราสบตากัน

    ยังกลัวพี่อยู่รึ แม่ทับทิม” ฉันไม่ได้ตอบ แต่เลือกพยักหน้าหงึกหงักส่งกลับไปตามความรู้สึก ซึ่งมันก็ทำให้ผู้ซึ่งคอยท่าการตอบรับ ขยับยิ้มรับแทบทันทีอย่างเข้าใจ

    แม่ทับทิมมิต้องกลัวไปไย พี่หาได้มาร้ายไม่…” ท่านอสุราบอกแบบนั้น โดยยังคงยืนนิ่งในท่าเดิม ไม่ได้ทำเรื่องน่าตกใจ หรือฉวยโอกาสสัมผัสเนื้อตัวกันเหมือนเช่นที่ผ่านมา ดั่งเช่นที่แจ้งไว้เมื่อช่วงเพลาที่มา ยามนี้พี่มาหาเจ้าเพราะความคิดถึง

    เพราะคำพูดของเขาให้ความรู้สึกและความหมายซ้ำเดิม จนคล้ายกับว่านั่นคือเหตุผลเดียวที่้ป็นฉนวนให้เรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นรอบตัว เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความปากไวจึงลั่นคำถามกลับไปอย่างไม่รีรอ แน่นอนว่าหนนี้ สำเนียงที่ใช้นั้น คือสำเนียงเดียวกับที่เฝ้าพูดวอนขอต่อหน้ารูปปั้นยักษ์ตามความเคยชิน

    ทะ ทำไมถึงเป็นฉันล่ะเจ้าคะ ?

    หากนับจากความเชื่อที่ถูกปลูกฝังอยู่ในหัว และจากการศึกษาชีวประวัติของท่านอสุราผ่านพงศาวดารที่ฉันเข้าใจ ในตำนานกล่าวไว้ว่า เขาสูญเสียหญิงคนรักจากน้ำมือท่านกุมภัณฑ์ตั้งแต่ตอนก่อนเกิดสงครามปราบยักษ์มารของ้ทาวอสุเรนทร์ 

    แต่ที่ไม่เข้าใจและยากจะเข้าใจก็คือ การปรากฏตัวของท่านซึ่งอยู่นอกเหนือจากที่ถูกบันทึกไว้ในตำนานเท่านั้น...

    พี่เคยสั่งเสียในยามต้องสูญสิ้นต่อหน้าดวงใจ ว่าชาติก่อน พี่นั้นหาได้มีโอกาสเคียงคู่ ดวงใจตามดั่งประสงค์และคำสัตย์ หากชาติหน้าฉันใด ครั้นดวงใจอุบัติใหม่ พี่จักกลับมาคู่เคียงดูแลมิให้ไกลห่าง…” 

    แต่ก็ไม่คิดหรอก ว่าคราวนี้คำบอกเล่าด้วยสำเนียงโบราณที่ได้จากเขา จะฟังดูชัดเจนกว่าที่ผ่านมาขนาดนี้ ซ้ำยังสอดคล้องกับเนื้อหาบางส่วนที่เคยอ่านผ่านตา 

    และเมื่อฤกษ์ยามงามดี ทวิภพเปิดเฉกเช่นหนนี้...พี่จึงมีโอกาสได้ตามติดพระพี่ชาย ลงมาตามหาดวงใจที่หล่นหาย

    นอกจากจะสอดคล้องกับเนื้อในที่เขียนเล่าไว้ในตำนานแล้ว พอลองมาทบทวนคำพูดทั้งหมดของเขาดีๆ

    พี่เฝ้ามอง รอคอยคืนและวันให้เคลื่อนผ่านไปด้วยความห่วงหา หวังได้พบ ยลหน้าคราตาแม่ทับทิมสักครั้งให้สมดั่งความคิดถึง เพราะเหตุนี้ ยามนี้เราจึงอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าแม่ทับทิมยังไงเล่า…’

    ทุกอย่างก็คล้ายกับจะยิ่งชัดเจนไปหมด

    เหตุใดจึงกล่าวหาว่าเรามิรู้จักเจ้าเล่า แม่นิมมานรดี?’

    วินาทีที่ความคิดหยุดลงตรงชื่อของนางสวรรค์ในตำนานที่ชื่นชอบ เสียงของใครอีกคนก็ดังแทรกผ่านความคิดให้ได้ยิน

    ทับทิมได้กลิ่นหอมในห้องนี้ใช่ไหมจ๊ะเขาว่ามันเป็นกลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นดอกสร้อยที่สุดนะรู้ไหม ?’ สลับดังกับเสียงของตัวฉันเอง

    ทะ ทำไมคุณกรองขวัญถึงเลือกใช้กลิ่นที่คล้ายกับดอกสร้อยทองล่ะคะ ? 

    เพราะเขาว่ากันว่า ดอกสร้อยทอง มีกลิ่นเดียวกับกลิ่นกายของนิมมานรดีคนรักของท่านอสุรายังไงล่ะจ๊ะ

    แม่ทับทิม…” ทว่า ไม่นานเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป ด้วยเสียงเข้มนุ่มลึกของใครอีกคนดังแทรกผ่านภวังค์และสามารถฉุดกระชากฉันให้กลับคืนสู่โลกความจริงที่เป็นเหมือนความฝันอีกครั้ง

    ชายหนุ่มซึ่งอ้างตนว่าเป็นท่านอสุรายังยืนอยู่ตรงนั้น ตรงกองหนังสือซึ่งถูกวางทิ้งไว้ นัยน์ตาคมหากแต่อบอุ่นและอ่อนโยนของเขากำลังปรายมองมาราวกับเป็นห่วงที่เห็นว่าฉันนิ่งไป แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร มันก็เป็นฉันนั่นแหละทีละล่ำละลักแทรกความเงียบระหว่างเราขึ้น

    ถะ ถ้าท่านคือท่านอสุราจริงๆ ฉะฉันว่าท่านคงต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ” แต่คำพูดบอกกล่าวก็ไม่วายถูกน้ำเสียงใจเย็นของถามขัดอยู่ดี

    เหตุใดแม่ทับทิมจึงกล่าวความเช่นนั้น ?” 

    ก็เรื่องแม่หญิงนิมมานรดีน่ะสิเจ้าคะ…” พอต้องพูดเข้าเรื่องเข้าราวที่เคยอ่านผ่านตาแล้ว มิแถมยังต้องพูดกับสิ่งเหนือธรรมชาติตรงหน้าด้วยแล้ว จากที่ทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ หะ หากท่านติดตามพี่ชายลงมาตามคำสาปส่งของท่านท้าวอสุเรนทร์ที่ในตำนานว่าไว้จริง ฉันเกรงว่าฉะ ฉันคงไม่ใช้แม่หญิงนิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ

    พูดจบ คนฟังก็นิ่งลงไปเล็กน้อย เขาไม่ได้แสดงสีหน้าบอกความรู้สึกใด เช่นเดียวกับรอยยิ้มบนหน้า ที่ยามนี้หุบลงจนค่อนไปทางเรียบเฉย พลันเปลี่ยนสถานการณ์ที่เคยเป็น ให้อึดอัดลงอย่างรู้สึกได้ชัด 

    แต่ก่อนที่สถานการณ์ระหว่างเราจะแย่ลงไปกว่านี้ มันก็เป็นฉันอีกนั่นหล่ะ ที่เลือกจะพาตัวเองหลบหนีสิ่งเร้นลับตรงหน้าไป พร้อมกันก็ไม่ลืมที่จะบอกกล่าวตามมารยาทที่ดี

    ฉะ ฉันขอตัวก่อนนะเจ้าคะ…”  ทว่า ฉันกลับไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ต้องการได้สมใจนัก 

    ฟึ่บ

    เมื่อจู่ๆ ยักษ์หนุ่มตรงหน้าพุ่งมือไวเข้าคว้าข้อมือไว้ก่อนเลื่อนขยับกุมประกบฝ่ามือเข้าหาจนแนบสนิท แปรเปลี่ยนบางสิ่งที่เคยมีภายในบ้านให้ผิดเพี้ยนไป 

    อะ…” ในช่วงที่ร่างกายตอบสนองสัมผัสดังกล่าวด้วยการเหลียวหลังกลับไป ภาพรอบตัวคล้ายกับเคลื่อนไหวช้าลงจนคล้ายกับกำลังจะหยุดเคลื่อนไหว หลงเหลือเพียงตัวฉันเท่านั้นที่กำลังขยับเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าของฝ่ามืออย่างเชื่องช้า 

    เหตุอัศจรรย์เกิดแทบจะทันที เมื่อข้าวของเครื่องใช้ภายในเริ่มบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง เหมือนๆ กับพื้นบ้านซึ่งเคยถูกปูด้วยกระเบื้องเคลือบ ยามนี้กลับค่อยๆ ถูกกลืนกินด้วยพื้นหญ้าสีเขียวขจีอย่างช้าๆ ก่อนจะแผ่กระจายจนเต็มพื้นที่ 

    แม้สายตายังคงจดจ่ออยู่ที่นัยน์ตาคมคู่เดิมก็ตาม แต่กระนั้นแล้วฉันกลับรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือความหมาย เมื่อกำแพงปูนและฝาผนังค่อยเลือนรางจางหายไปก่อนมีต้นไม้น้อยใหญ่เจริญเติบโตแทรกเข้ามาแทนที่ราวกับใช้เวทมนต์ นอกจากนั้นแล้วฉันกลับรับรู้สึกถึงแสงแดดอ่อนๆ และสายลมแผ่วๆ ที่ผ่านเข้าหาตัวได้อย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

    แต่แล้วไม่นาน ช่วงเวลาพิศวงก็มีอันต้องหยุดลง ก่อนพบว่าบริเวณฝ่ามือที่เคยถูกมืออุ่นของใครอีกคนประกบไว้นั้น ยามนี้กลับว่างเปล่า ซ้ำยื่นออกไปเบื้องหน้าดังกล่าวโดยปราศจากผู้ใดหรือใครจับกุมไว้ 

    ที่น่าตกใจกว่าการพบเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กราบไว้มาทั้งชีวิตก็คงเป็น พื้นที่ภายในบ้านที่ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่แปลกตา ภายในสวนสวยกว้างขวางในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราวกับหลุดออกมาจากละครพื้นบ้าน

    นอกจากสวยสวยที่สามารถสะกดสายตาให้กวาดมองแล้ว ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย ฉันยังมองเห็นกำแพงสูงสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความวิจิตรแถมยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก 

    สเน่ห์แบบไทยๆ ในแบบที่หาไม่ได้จากยุคสมัยปัจจุบันกำลังทำให้ฉันที่หลงใหลเรื่องเหล่านี้เหมือนต้องมนต์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ชนิดที่ถอนตัวไม่ขึ้น.... 

    ทว่า  แม้ที่นี่จะดูสวยและแปลกตาจนยากที่จะหาคำใดมาเอ่ยเปรียบ กระนั้นแล้ว  สำหรับคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเหลือธรรมชาติ เหล่านี้ชนิดที่ไม่ทันตั้งตัวรับ ก็ใช่ว่ามีอารมณ์ร่วมหรือมัวแต่ชื่นชมศิลปะสถานสวยๆ รอบตัวได้นานเสียเมื่อไหร่

    ขณะที่สติกำลังเตลิดจวนเจียนจะช็อกและไม่สามารถปะติดปะต่อสถานการณ์ตรงหน้าได้สนิทนัก ช่วงเวลาเดียวกัน หูกลับได้ยินเสียงหวานของเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งดังแว่วขึ้นมาให้ได้ยิน

    เสียงดังกล่าวมาจากดนตรีเครื่องสาย จำพวกซอ...

    ซ้ำยังผู้บรรเลงเครื่องดนตรีดังกล่าว ยังสามารถเล่นได้อย่างอ่อนหวาน จนร่างกายเผลอตอบสนองเสียงเครื่องดนตรีที่ได้ยินด้วยการเริ่มก้าวเท้าเหยียบย่างไปบนพื้นหญ้าตรงไปทางต้นเสียงอย่างเชื่องช้าที่ละก้าวสองก้าวแบบระแวดระวัง 

    ขณะเดินตามเสียงหวานเสนาะหูของทำนองเครื่องสายแล้ว สายตาก็ยังทำหน้าที่ของมัน กวาดสำรวจพื้นที่โดยรอบภายในสวนสวยไม่หยุดเช่นกัน

    ทว่า เดินก้าวย่างผ่านพุ่มไม้ป่าและพันธุ์ไม้หายากซึ่งไม่ควรมีอยู่ในโลกความจริงมาได้ไม่ทันเท่าไหร่ เท้าซึ่งเคยเดินเป็นจังหวะเชื่องช้าแต่ต่อเนื่องก็มีอันต้องหยุดลงอีกครั้ง

    กึก...

    เมื่อภาพตรงหน้ากำลังปรากฏภาพของยักษ์หนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีนวลแสนคุ้นตา กำลังนั่งประทับบนแคร่ใต้ต้นไทรใหญ่ในท่าพับเพียบ ขณะบรรเลงเพลงจากซอด้วงในมืออย่างชำนาญการ โดยมีหมู่มวลชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ในชุดทรงยักษ์สีน้ำตาลไหม้หากไร้เครื่องประดับนั่งหมอบกราบ รับฟังเสียงหวานๆ ของเครื่องดนตรีอยู่เบื้องหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

    ที่ดึงดูดสายตาได้ไม่แพ้กับภาพยักษ์หนุ่มซึ่งกำลังเล่นเครื่องดนตรี ดูท่าแล้วคงไม่พ้นยักษ์หนุ่มอีกสองตนซึ่งนั่งชมชิดไม่ห่าง หนึ่งคือชายหนุ่มซึ่งดูมียศถาบรรดาศักดิ์เหนือกว่าผู้ใด ในชุดเครื่องทรงยักษ์สีเขียวสดพร้อมด้วยประดับกายแบบไม่ตกบกพร่อง ส่วนอีกตนก็คงเป็นยักษ์หนุ่มซึ่งนั่งขนาบข้างในระยะใกล้ชิดบ่งบอกถึงสถานะที่ดูเหนือกว่าชายฉกรรจ์ตนอื่นๆ หากแต่เป้นรองยักษ์หนุ่มข้างกายตน

    ที่บ้าก็คือ การได้มองเห็นภาพเบื้องหน้าเพียงปราดเดียวเท่านั้น ฉันกลับรับรู้ได้ทันที ว่าทุกชีวิตตรงหน้านั้นล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วยังสามารถชื่อของยักษ์ทุกตนตรงหน้าได้อย่างไม่กลัวผิดพลาดอีกด้วย

    เหตุผลน่ะเหรอ ก็คงเพราะภาพสถานการณ์ตรงหน้านั้น ฉันได้อ่านมันผ่านบทกลอนมาแล้วไม่รู้กี่พันรอบแล้วน่ะสิ...

    เฮือก!” ทว่า การยืนแอบลักลอบชมภาพสวยงามเหนือจินตนาการก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้นานนัก เมื่อผู้บรรเลงเครื่องสายในมือ จู่ๆ ก็หยุดมือลง จากนั้นก็เคลื่อนสายตาจากปลายนิ้วตนเอง มองตรงมายังจุดที่ฉันกำลังลอบมองอยู่ 

    การถูกจับได้เช่นนั้นส่งผลให้ร่างกายเหมือนถูกตอกติดให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยมนต์สะกดประหลาดที่ยักษ์หนุ่มส่งผ่านมาจากทางสายตาและรอยยิ้มคุ้นเคยบนหน้า พร้อมกับจิตใต้สำนึกที่เริ่มร้องตะโกนต่อสู่กับความคิดในหัว ว่าชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์สีขาวที่ฉันได้เห็นตนนั้นน่ะ เขาคือท่านอสุราจริงๆ

    แม่ทับทิม…” ต่อให้สิ่งที่ตาเห็นจะเริ่มสอดคล้องกับความคิดและเนื้อหาในตำนานที่ศึกษามาบ้างแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้น ในยามที่ถูกเขาเปล่งเสียงเรียก ทุกส่วนของร่างกายก็มันอันต้องแข็งทื่อมันไปเสียทุกที ทั้งที่อยากจะหนีใจจะขาด

    มาหาพี่สิ แม่ทับทิม…” แต่ไม่ใช่กับหู ซึ่งยังได้ยินเสียงเรียกหาจากยักษ์ตนเดิม

    แม่ทับทิม…” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ทั้งที่เสียงของท่านอสุราดังก้องไกลมาถึงจุดที่ฉันแอบลอบมองอยู่ ทว่า กลับไม่ทำให้ชายฉกรรจ์ในคราบยักษ์ตนอื่นๆ เหลียวหลังมองตามอย่างที่ควรเป็นสักนิด

    ทำไมล่ะ ทำไมพวกเขาถึงไม่หันตามเสียงเรียกของท่านอสุรา

    “…ทิม

    “…” แต่แล้วในช่วงที่เรียกเงียบลง คนที่ต้องสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ จนสายตาหลุดจากภาพของยักษ์หนุ่มตรงหน้ามันดันเป็นฉันเสียเอง

    ทับทิม!” เหตุก็เพราะเสียงขานชื่อซึ่งดังขึ้นหลังจากนั้นมันได้เปลี่ยนน้ำเสียงไป ก่อนตามมาด้วยเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นถี่ๆ ไล่เลี่ยกัน

    ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง! ปิ้งป่อง!

    จังหวะการกดกริ่งซึ่งดังรัวราวกับจะบอกอารมณ์ของผู้กระทำ ทำฉันสะดุ้งลืมตาขึ้นด้วยความตกใจที่ยังไม่ลดจางลง ก่อนต้องพบว่า ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่ฉันเผลอหลับไปท่ามกลางกองหนังสือซึ่งถูกเปิดค้างไว้กระจัดกระจายตรงหน้า

    คำถามแรกหลังสติสัมปัญชัญญะกลับคืนสู่ความจริง ขณะกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ตัวบ้านด้วยอาการที่ไม่ลดหย่อนจากสิ่งที่ตาเคยเห็นและรู้สึกเวลานี้ คงมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้น

    ทะ ทั้งหมดนี่ ฉันฝันไปเองงั้นเหรอ... 


    Talk1  เหมือนกันเลยจ้าาาาา

    Talk2 แม่ทับทิมไม่ได้กลัวหรอกเจ้าค่ะ แต่นางกำลังหลอนประสาท 55555

    Talk3 เอ๊ะ หรือเป็นเพียงแค่ความฝันน้าาาา

    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

       
    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า

       

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×