คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : กลรักอสุรา l บทที่๑๘ ตอน หัวใจอสุรา {อัพ100%}
-อสุรา กล่าว-
เกือบลืมเลือนไปแล้วว่า ผ่านมากี่ร้อยหรือกี่หมื่นช่วงยามแล้ว ที่เราไม่ได้รู้สึกระบมไปทั่วอุราเช่นนี้…
‘แม่นิมมานรดี !’
นับจากเหตุสงครามสรวงที่พลัดพรากดวงใจให้หมดลมเมื่อครานั้นหรือ ?
‘หลับเสียเถิดดวงใจพี่...ฮึก
แม้นหากชาติภพนี้
เราสองจักมิได้เคียงรักกันดั่งคำมั่น...พี่ขอให้น้องจงอุบัติสิ้นเสียใหม่...เกิดชาติหน้าฉันใด
ขอให้เราต้องรักกัน สืบไปจากนี้… ทุกภพทุกชาติ...’
หากเช่นนั้น ในเมื่อความโศกเมื่อครั้งนั้นถูกสายลมของห้วงเพลาโบกพัดให้หลงเหลือเป็นเพียงภาพจำแสนเจ็บปวด
แล้วเหตุใดยามนี้อุราเราจึงรู้สึกปวดระบมไม่ต่างจากคืนวันที่เคลื่อนพ้นไปเช่นนี้เล่า…
กึก…
เราลืมตาขึ้นอีกครั้ง เมื่อฤทธาซึ่งถือครองไว้ในมือ นำพากายากลับคืนสู่ดินแดนอันสมควร
มือของเรายามนี้ยังคงยื่นค้างไปเบื้องหน้าซึ่งเดิมทีเคยมีศีรษะร่างเล็กของอรชรหยุดยืนสบตาอยู่ไม่ห่าง
หากแต่เวลานี้กลับว่างเปล่า
จนเผลอกำกระชับมือที่หยิบยื่นห่างตัวจนแน่นอย่างไม่อาจควบคุม
ร่างกายที่เคยแข็งแรงดี เวลานี้ก็คล้ายกับผู้ป่วยไข้ หมดสิ้นเรียวแรงลงอย่างไม่อาจทนฝืน
‘แล้วนี่
ท่านจะไปเลยหรือเปล่าเจ้าคะ ?’ ยิ่งได้ยินเสียงหวานคุ้นเคย ดังแว่ววนซ้ำในหูด้วยแล้ว
เรายิ่งคล้ายกับจะอ่อนแรงลงไปทุกขณะ
แม้นว่าสิ่งที่พึงกระทำที่สุดยามนี้ คือการตามหาและลงไปอยู่เคียงหญิงคนรักตามดั่งวาจาสัตย์ที่เคยประกาศไว้แท้ๆ
หากแต่ความเป็นจริง สถานที่เรานำพาตนเองกลับมากลับกลายเป็นพื้นที่ว่างใต้มะกอกต้นใหญ่นอกรั้ววังที่นางอัปสรตนหนึ่งเคยใช้ปลิดชีวาตัวเองจนหาไม่ไปเสียได้
‘ทุกครั้งที่ฉันมองเห็นภาพในอดีตผ่านนิมิตฝัน
ฉันไม่เคยมองเห็นนางสวรรค์ตนอื่นเลยนอกจากแม่จันทน์ผา…’ ยิ่งยลเห็นลำต้นขนาดใหญ่ของต้นมะกอกอยู่ห่างออกไปไม่ถึงเอื้อมมือ
จิตนึกคิดก็ยิ่งเอาแต่นึกหวนถึงเสียงหวานที่เราฝันใฝ่หมายได้ยินดังแทรกภวังค์
วนเวียนไม่ยอมหยุด ‘ยิ่งฝันเห็นภาพเหล่านั้นมากเท่าไหร่
ฉันก็ยิ่งรู้สึกไกลห่างจากการเป็นหญิงคนรักของท่านเหลือเกิน เพราะทุกครั้งที่ฝัน…ฉันไม่เคยได้อยู่เคียงข้างท่านในฐานะแม่นิมมานรดีเลยสักครั้งยังไงล่ะเจ้าคะ...’
เฉกเช่นความเจ็บปวดในอกซึ่งเริ่มทวีอาการให้รู้สึกมากขึ้นทุกๆ ขณะ ยิ่งหวนถึงเสียงหวานของแม่ทับทิมขณะเอ่ยเล่าความอย่างหนักแน่น
ปราศจากวี่แววของการพูดโป้ปดด้วยแล้ว
‘หากฉันยืนกรานเหมือนเก่า ท่านคงจะไม่หัวเสียอีกใช่ไหมเจ้าคะ ?’
เรายิ่งรู้สึกเจ็บและสับสนจนแทบทนไม่ไหว…
คงน่าหัวร่อพิลึก หากมีผู้ใดบังเอิญได้ยลยิน เสียงร้องของเรา ซึ่งเอ่ยวอนให้ทุกวลีที่แม่ทับทิมกำลังเล่าความนั้นในช่วงยามนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความเท็จ
‘บอกเล่าความจริงพี่เถิด แม่ทับทิม ว่าสิ่งที่ยลเห็นในนิมิตทุกครั้งคราว
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโป้ปด’ ทั้งที่คาดหวังไว้เช่นนั้น แต่ภาพที่ได้เห็น รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกลับยิ่งย้ำชัดความเป็นที่เป็นอยู่เพิ่มทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ว่านิมิตที่เราดลบันดาลให้แม่ทับทิมเห็นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของผู้อื่นทั้งสิ้น
ทว่า เพียงนิดเดียวที่ยังติดอยู่ในใจ
‘ในฝันฉันเห็นท่านกับแม่จันทน์ผาพูดคุยกันอยู่ที่โถงทางเดิน
บริเวณประตูวังเจ้าค่ะ
เหมือนว่าแม่จันทน์ผาจะเดินชนท่านจนดอกบัวในพานร่วงเกลื่อนพื้น…’ เห็นทีคงไม่พ้นเรื่องราวซึ่งฟังดูแตกต่างจากภาพจำหัวราวกับคนละเรื่องราวเท่านั้น
ความคิดทั้งหมดทั้งมวลในหัวหยุดลงไปชั่วครู่ พร้อมเพรียงกับมือซึ่งถูกเคลื่อนแนบฝ่ามือลงสนิทกับลำต้นมะกอก
ขณะแหงนขึ้นมองกิ่งก้านสาขาที่แตกกระจายออกไปเป็นกิ่งเล็กกิ่งน้อย ขณะลมหวนของช่วงอดีตที่เริ่มพัดผ่าน
ถึงใบหน้าสวยค่อนไปทางเรียบร้อย ที่สามารถสะกดสายตาให้จับจ้องทุกอากัปกิริยาอ่อนช้อยอ่อนหวานขณะเร่งรีบก้มเก็บดอกบัวในคืนวันเก่าๆ
‘ขะ ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านนายทหาร…’
‘เหตุใดจึงมองเหม่อหาได้มีสติดูทางเช่นนี้เล่า
นางอัปสร…’ เราเหมือนถูกต้องมนต์ด้วยกลิ่นกายหอมหวนของดอกสร้อยทองบนเนื้อเนียนนับตั้งแต่ช่วงยามแรกที่ได้ประสบพบเจอในระยะใกล้
โดยเฉพาะกริยาไม่ประสีประสาค่อนไปทางประหม่า หากแต่นอบน้อมยามอยู่ในสายตา
‘ขออภัยเจ้าค่ะท่านอสุรา
หม่อนฉันรีบเร่งจึงมิได้มองเส้นทางเบื้องหน้า กรุณาอย่างลงโทษหม่อมฉันเลยนะเจ้าคะ…’ นางอัปสรที่อยู่ในความรับรู้ของเราด้วยชื่อ นิมมานรดี มาโดยตลอด…
‘หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา’ ทั้งที่ดวงใจมีเพียงหนึ่ง
เป็นถึงนางรำเอกในนคร แล้วเหตุใดเล่าข้อเท็จจริงจากภาพนิมิตแม่ทับทิมจึงเป็นเช่นนั้น
กึก...
ไม่ทันได้ใคร่ครวญหาเหตุและผลตอบถ้อยความคาแคลงในอก เสียงย่างเท้าของใครผู้หนึ่ง ก็มีอันทำให้เราจำต้องหยุดความคิดลง ก่อนหันเหสายตาจากมะกอกต้นใหญ่ไปยังทิศทางของเสียง
“มากระทำสิ่งใดที่ใต้มะกอกต้นนี้งั้นรึอสุราน้องพี่ ?” เสียงเข้มแต่มากล้นไปด้วยอำนาจนานานับปวง ส่งผลให้รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าเราเฉกเช่นตามวิสัย ยามตกอยู่ในสายตาของพระเชษฐา
“มิมีเหตุอันใดหรอกท่านพี่ น้องเพียงแค่เผลอนึกหวนถึงคืนวันเก่าเพียงเท่านั้น”
พี่อสุเรนทร์ไม่ได้ตอบถ้อยวาจาใดกลับมา
แต่เลือกก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาหยุดเบื้องหน้า พลางแหงนขึ้นมองกิ่งก้านสาขาของต้นมะกอก
เช่นเดียวกับที่เราเพิ่งกระทำไปเมื่อครู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น
“ยามเห็นมะกอกต้นนี้ มันทำให้พี่หวนนึกถึงนางอัปสรในวัง…” ซ้ำคำพูดของผู้เป็นพี่ชายยังฟังคล้ายกับอ่านใจเราออก “มิรู้ว่ากรรมจากการอัตวินิบาตกรรมที่เคยก่อไว้เมื่อครานั้น จะปลดปล่อยนางไปอุบัติใหม่หรือยัง”
“…” เราไม่ได้เสนอความคิดเห็นใดเสริมต่อถ้อยคำของพี่ชาย แต่เลือกที่จะนิ่งเพื่อรับฟังตามนิสัย
“ถึงจักพูดเช่นนั้น หากแต่บางสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครานั้น
ก็มิวายให้พี่ต้องเก็บมาขบคิด”
“ขบคิดสิ่งใดงั้นหรือพี่ท่าน ?” เราถาม
เพราะหากพูดกันตามข้อเท็จจริง ผู้ที่มาเยือนใต้มะกอกต้นนี้เป็นผู้แรก หลังทหารส่งข่าวว่าพบแม่จันทน์ผาผูกคอตาย
มันคือพระพี่ชายเราซึ่งเป็นถึงท้าวเจ้าเมืองที่มุ่งมายังสถานที่แห่งนี้ก่อนผู้ใด
“หากพี่จำมิผิด รู้สึกว่านางอัปสรผู้นั้นจักสวมใส่ชุดนางรำ ผูกคออยู่ที่ใต้ต้นมะกอกต้นนี้…” ไม่ใช่แค่พระเชษฐาเราเท่านั้นที่ล่วงรู้รู้ถึงสภาพการตาย
เพราะเราเองก็รู้ล่วงไม่ต่างกัน แต่ว่า “หากแต่บางสิ่ง
ยังคงชวนให้รู้สึกผิดวิสัยยามยลเห็นร่างนางสวรรค์ตนนั้นอยู่ดี”
“บางสิ่งที่ท่านพี่ว่า คืออะไรอย่างนั้นรึ ?”
“เนื้อตัวกระมัง…เนื้อตัวนางอัปสรตนนั้นชุ่มโชกไปด้วยน้ำ
หากแต่เครื่องแต่งกายกลับมิได้ชุ่มโชกตามอย่างที่ควรจักเป็น…”
เนื้อกายแม่จันทน์ผา เปียกปอนด้วยน้ำงั้นรึ ?
“ว่าแต่น้องเถิด…” อีกหนที่เสียงของพี่อสุเรนทร์ทำเราสะดุ้งจากวังวนความคิดและปรายตามองหน้าผู้พี่อย่างเสียไม่ได้
“ยามนี้มิได้รู้สึกรังเกียจนางสวรรค์ตนนั้นแล้วงั้นรึ
ถึงได้ยอมเจรจาเรื่องของนางกับพี่เช่นนี้ได้ ?”
“ใครว่าน้องรังเกียจนางสวรรค์ตนนั้นกันเล่า น้องหาได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์แม่จันทน์ผาเฉกเช่นที่ผู้ใดคิดเสียเมื่อไหร่…”
เป็นดั่งวาจาที่เอ่ยแย้งพระผู้เป็นพี่ชาย
เราหาได้เคยรู้สึกเช่นนั้นต่อแม่จันทน์ผาไม่ เพียงแค่ว่า “น้องแค่มิต้องการให้ผู้ใดนำสารผิดเล่าอ้างต่อกัน
จนพลอยให้แม่นิมมานรดีเป็นกังวลใจแต่เพียงเท่านั้น”
ไม่มีถ้อยคำใดเอ่ยตอบกลับจากพี่อสุเรนทร์ นอกเสียแต่เพียงรอยยิ้ม
เช่นเดียวกับแววตาที่อีกฝ่ายจดจ้องมาอย่างเอ็นดูตามประสาพี่น้อง แต่เพื่อไม่ให้ผู้พี่ถามไถ่เรื่องส่วนองค์มากไปกว่านี้
นั่นจึงทำให้เราชิงแทรกถามขึ้น
“ว่าแต่ท่านพี่เถิด นี่มันก็หลายเพลามาแล้ว สงครามระหว่างท่านกับไอ้กุมภัณฑ์นั้นดำเนินลุล่วงไปเท่าใดแล้วรึ
?”
“ยามนี้ ไอ้กุมภัณฑ์มันยังหวนนึกอดีตชาติตนเองมิได้…” เสียงเข้มเอ่ยกลับโดยทันควัน ยามต้องพูดถึงยักษ์มารในอดีตที่เคยระรานแดนสรวง
“กระนั้นแล้วพี่ก็ใช่จะลดมือระรานชีวามันลงไม่”
ได้ยินน้ำคำหนักแน่นของพระเชษฐาคู่บุญ ลึกๆ เราก็อดรู้สึกอิจฉาเสียไม่ได้ ที่โชคชะตานำพาให้คู่เวรคู่กรรมลงมาประสบพบเจอกันดั่งคำสาปส่งในอดีต ทั้งที่เป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงมีเพียงเราผู้ที่ฟ้าดินไม่ยอมโอนอ่อน บันดาลประสงค์ให้ไม่ตรงกับที่ร้องขอ
‘แม้นหากชาติภพนี้ เราสองจักมิได้เคียงรักกันดั่งคำมั่น...พี่ขอให้น้องจงอุบัติสิ้นเสียใหม่...เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้เราต้องรักกัน สืบไปจากนี้… ทุกภพทุกชาติ...’
แต่แม้นเมื่อได้พบเจอหัวใจเรากลับนิ่งสนิทและมากล้นไปด้วยความสับสน
‘หะ หากท่านไปแล้ว ฉันจะลืมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?’ ซ้ำยังเจ็บระบมไปทั่วหัวใจ ยามได้ยินถ้อยคำถามเสมือนบอกลาจากนารีอื่นนอกเหนือจากดวงใจตัวเองที่ตามหาได้อย่างน่าไม่อายเช่นนี้
“ว่าแต่น้องเถิด
หลังพบประสบพักตร์แม่นิมมานรดีในครานี้ มีสิ่งใดคืบหน้าไปบ้างหรือไม่ ?” ไม่รู้กี่ครา ถ้อยคำถามของผู้เป็นพี่มักทำเราเผลอสะดุ้งเช่นนี้
“ยังเลยพี่ท่าน…”
นี่คงเป็นหนแรกนับแต่ครองลมหายใจมาจวบจนยามนี้ ที่เราเอ่ยถ้อยตอบคำถามพระผู้เป็นพี่ชายไม่เต็มเสียงนัก
กระนั้นแล้วเราก็ใช่จะโป้ปดพี่ชายเสียที่ไหน “น้องเพิ่งได้พบหน้า
หากแต่มิได้เริ่มกระทำอันใดให้แม่นิมมานรดีรู้ตนแม้เพียงนิด”
“ไยจึงชักช้าร่ำไร
มิเร่งรีบเข้าเล่า น้องมิรู้หรือว่าเพลาหาได้มีมากนัก”
ดั่งคำที่ท่านพี่อสุเรนทร์เอ่ย
เหจุที่เราสองตนพี่น้อง สามรถลงไปเยือนเมืองมนุษย์ได้นั้น
เป็นเพราะฤกษ์ยามและทวิภพที่เปิดออกเพื่อขับหมุนแรงกรรมและคำสาปส่งของพระผู้เป็นพี่ชายดั่งวาจาสัตย์ที่เคยเปล่าประกาศไว้
และหากเมื่อใดที่สงครามระหว่างพระพี่ชายและไอ้กุมภัณฑ์ในเมืองมนุษย์สงบสิ้นลง
ยามนี้เราเองก็จำต้องลาจากเมืองมนุษย์กลับขึ้นสู่นครยักษ์เช่นนี้
ไปจนกว่าจักถึงฤกษ์ยามครั้งใหม่เช่นกัน
“น้องทราบดี
หากท่านพี่กล่าวเช่นนั้น เห็นทีน้องคงต้องรีบเร่งเสียหน่อยกระมัง…” เราบอกพี่ชายเช่นนั้นด้วยเสียงติดหัวร่อ
พลอยให้คู่สนทนาแย้มยิ้มตามไปด้วย
เราไม่ได้ถามเอาความถึงเหตุและผลที่พี่อสุเรนทร์กลับสู่พื้นที่สรวงในยามนี้ต่อ
คงเพราะรู้ดีแก่ใจ ว่าหากพูดหรือถามไถ่สิ่งใดไปมากกว่า
ความเป็นห่วงของพี่ชายมักตกมาหยุดที่เราเสียทุกครั้ง
เพื่อเลี่ยงการถูกถามสารทุกข์สุขดิบที่ตัวเราเองไม่อาจตอบได้อย่างเต็มคำ
การเอ่ยกล่าวบอกลาตามมารยาทที่พึ่งจะทำจึงเกิดขึ้น
“เอาล่ะ
เห็นทีน้องคงต้องขอตัวก่อน นี่ก็เสียเพลาขึ้นมาพักอกพักใจบนสรวงนานไปแล้ว”
“โชคดีมีชัย…อสุรา” สิ้นเสียงอวยชัยจากผู้เป็นใหญ่ในนครยักษ์
เราจึงรีบยกมือขึ้นไหว้รับคำอวยพร ก่อนตัดสินใจร่ายมนต์เวทย์ที่ถือครองไว้ในมือ พาตนเองออกจากใต้ต้นมะกอกกลับคืนสู่เมืองมนุษย์ดั่งคำที่บอกกล่าวโดยทันที
ช่วงยามระหว่างแดนสรวงกับเมืองมนุษย์นั้น
ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เราใช้เวลาเพียงช่วงหยิบมือในการกลับคืนสู่สวรรค์ แต่ครั้นเมื่อหวนกลับลงมายังเมืองมนุษย์ ฟ้าที่ควรทอด้วยด้ายสีดำกลับสว่างไสวแม้นว่าตอนจากมาจะเป็นช่วงโพล้เพล้ก็ตามที
ที่น่ารำคาญใจจนเกิดเป็นคำถามต่อว่าในอก
คงไม่พ้นสถานที่แสนคุ้นตาอย่างเรือนพักแรมรูปร่างแปลกตาซึ่งกำลังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้านั่นกระมัง
หรืออาจเพราะความแคลงใจซึ่งยังฝังแน่นอยู่ในกมลความคิด แม้นรู้ว่าเพลาที่มีนั้นเหลือน้อยลงไปทุกขณะ
แต่เราก็ไม่วายจะออกตามหาหญิงสาวแปลกที่หน้าบังเอิญพบเจอเมื่อหลายเพลาก่อน
แต่กลับเลือกที่จะพาตนเองมายังเรือนแรมหลังเก่าของแม่ทับทิมเช่นนี้
“กลับมาแล้วหรือท่าน…”
เสียงหญิงวัยชราเอ่ยถามดังขึ้นจากภายใน
พลอยให้ผู้ถูกทักเช่นเราจำต้องลดสายตาจากภาพของเรือนรูปร่างแปลกตาไปยังต้นเสียง ก่อนพบเข้ากับตายายคู่หนึ่งกำลังยืนในท่ามือไขว้หลัง
มองผ่านออกมานอกรั้ว
ภาพที่เห็น
ส่งผลให้เราจำต้องยกมือขึ้นไหว้ขออนุญาต พร้อมกันก็ไม่ลืมที่จะให้คำตอบ
“หากเราต้องวนเวียนอยู่ภายในบ้านหลังนี้สักพัก
ท่านยาย ท่านตาคงมิขัดใช่หรือไม่ ?”
“ฉันจักไปขัดใจอะไรท่านได้เล่า
ในเมื่อท่านนั้นเป็นถึงคนของสรวง…ใช่ไหมจ๊ะตา” ชายชราผู้ถูกถามพยักพเยิดหน้าตามคำบอกกล่าวของหญิงแก่ ซ้ำยังเสริม
“หากท่านมีเรื่องที่ต้องกระทำกับแม่หนูเจ้าของพื้นที่ผืนนี้
ซ้ำท่านพระภูมิเองก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เราสองคนก็คงไม่กล้าว่ากล่าวท่านเช่นกัน…เข้ามาข้างในก่อนสิท่านอสุรา”
“ขอบใจท่านตา
ท่านยายและท่านพระภูมิที่เห็นอกเห็นใจเรา” ว่าจบเราจึงลดมือที่พนมไหว้แนบอกลง
ก่อนตัดสินใจย่างกรายเข้าสู่พื้นที่เรือนพักแรมหลังเก่าตามคำชวนโดยมีสายตาของสองตายายประจำเฝ้าจ้องมองอยู่ไม่ไกล
ทว่า ยังไม่ทันเดินก้าวไปถึงไหน มันก็เป็นเราเสียเองที่จำต้องหยุดฝีเท้าลง
เมื่อช่วงเพลาเดียวกัน ประตูเรือนได้ถูกผู้เป็นเจ้าของเปิดออกเสียก่อน
กึก
!
ภาพที่ได้เห็นคือภาพของแม่ทับทิม
ซึ่งมีสภาพการแต่งกายต่างจากเมื่อหลายเพลาก่อน ซ้ำอากัปกิริยายังดูรีบร้อน
มือของหนึ่งของนางกำลังถือบางสิ่งที่มีชื่อเรียกพิลึกอย่างโทรศัพท์มือถือ ยกแนบหู แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ที่ใช้ปกคลุมกายยามนี้
นั่นเลยทำให้นารีชนเบื้องหน้าไม่ทันสังเกตเห็นถึงตัวตนเราที่กำลังยืนเยื้องห่างออกไป
และการที่เป็นเช่นนั้น มันก็ทำให้เรามองทุกท้วงท่าและอาการของหญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ชัดเจนมากขึ้นโดยไร้ใครมาคอยขัด
“ค่ะ… ฉันกำลังจะออกจากบ้าน อีก ๑๕ นาทีฉันน่าจะถึงที่นัดค่ะ…” เสียงหวานของแม่ทับทิมซึ่งดูรีบร้อนไม่ต่างจากท่าทาง บอกให้รู้ชัด ถึงเหตุผลที่นางดูเร่งรีบถึงเพียงนี้เกิดจากเพราะเหตุใด
หากไม่ใช่เรื่องหน้าที่การงาน
คะเนว่าคงไม่มีเรื่องอื่นที่ทำให้แม่ทับทิมเร่งรีบได้เช่นนั้น
แต่ว่า
อาการรีบเร่งที่แม่ทับทิมแสดงให้เห็นต่อสายตานั้น จู่ๆ ก็มีอันหยุดชะงักลงไป
ขณะที่ใบหน้าสวยเหลียวมองหลังกลับเข้าไปภายในตัวบ้าน ก่อนตามมาด้วยเสียงอธิษฐานในแบบที่เคยได้ยินอยู่บ่อยครั้ง
‘ท่านอสุรา…’ ทว่า ในเช้าวันนี้
สิ่งที่เรารับรู้ได้จากคำอธิษฐานจิตของแม่ทับทิม มีเพียงแค่การเอ่ยขานชื่อเท่านั้น
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงยามเดียวกัน คือใบหน้าสวยที่หันเหทิศทางกลับมา
ขณะปากเอ่ยบอกกล่าวผ่านสิ่งที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือ
“ฟังอยู่ค่ะ… ได้ค่ะ…อีกสักพักเจอกันนะคะ” ก่อนก้าวเท้าเดินผ่านกายเราไปราวกับธาตุอากาศ
โดยไร้ซึ่งการบอกกล่าวผ่านคำอธิษฐานจิตเฉกเช่นทุกครั้ง
ในอกเริ่มรู้สึกปวดระบมขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเสียงบอกกล่าวในแบบที่เคยได้ยินทุกวี่วัน
หลงเหลือเพียงเสียงเรียกขานและขาดหายไป…
ตึก! ตึก! ตึก!
แม้นกมลความคิดจะคอยร้องเตือนให้เราเร่งรีบพาตัวเองไปหาหญิงสาวซึ่งคาดว่าเป็นดวงใจที่พลัดพรากอยู่ทุกช่วงเพลาก็ตามที
แต่เท้ากระทำสิ่งตรงกันข้าม ขยับก้าวตามหลังหญิงอื่นที่ไม่ใช่อดีตคนรักออกไปคล้ายกับไร้การควบคุม
ไม่รู้เลยว่า เช้าตรู่เช่นนี้ แม่ทับทิมหมายจะออกเดินทางไปหนแห่งใด
และต่อให้คาดคะเนไม่ได้ อย่างไรเสียเราก็ยังคงตามติดนางไปคล้ายเป็นดังเงา
ตึก… ตึก…
จำได้ว่าเมื่อครั้งที่แม่จันทน์ผายังไม่วายชีวา
เรารู้สึกและรับรู้ได้ถึงการถูกนัยน์ตาคู่สวยคู่นั้นคอยเฝ้ามองมาโดยตลอด
ไม่ว่าเราจะอยู่เพียงลำพังหรือเคียงข้างแม่นิมมานรดี เราไม่เคยสงสัยถึงแววตาคู่นั้นของแม่จันทน์ผาเลยสักคราว
นับจากที่ตวาดออกคำสั่งในสวนคืนนั้น
เพราะไม่เคยสนใจ
เราจึงไม่เคยรู้เลยว่า ตลอดช่วงเวลาที่ถูกสายตาคู่นั้นมองหานั้น ผู้เป็นเจ้าของสายจะมีความรู้สึกเช่นไร
ดูแล้วคงไม่ต่างจากเพลานี้นัก ทั้งที่เราเฝ้ามองอยู่ข้างกาย
หากแต่ผู้ถูกมองกลับไม่รู้สึก ไม่รับรู้หรือมองเห็นสิ่งที่เรากระทำอยู่เลยแม้เพียงนิด
‘แม่จันทน์ผาคงจะหลงใหลได้ปลื้มท่านท่านอสุรามากน่ะสิเจ้าคะ
ถึงได้คอยตามเฝ้าแอบมองเช่นนั้น’ พอนึกเปรียบเทียบกับตนเองเช่นนั้นแล้ว
ในหัวก็ดันเผลอนึกหวนถึงคำพูดของแม่นิมมานรดีขึ้นมา
‘เหตุใดแม่นิมมานรดีจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า…’
‘หม่อมฉันเป็นถึงพี่สาว
เหตุใดจึงดูไม่รู้ ว่าผู้น้องกำลังคิดต่อท่านเช่นไร มันน่าน้อยใจนักนะเจ้าคะ’
จนอดนึกหวนตามเสียงบอกกล่าวในภวังค์ไม่ได้ ว่าเหตุที่นำพาเราให้กระทำในสิ่งเดียวกันกับแม่จันทน์ผานั้น เกิดขึ้นสาเหตุอันใดกันแน่
ในเมื่อหัวใจยามนี้ ยังคงถูกหมายมั่นยกให้แก่นางสวรรค์เพียงตนเดียวไม่ได้แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
หลังลอบติดตามมาได้ช่วงเพลาหนึ่ง
ในที่สุดการเดินทางก็สิ้นสุดลง เมื่อแม่ทับทิมพาตัวเองลงจากม้าเหล็กรูปร่างแปลกตา
ตรงไปหยุดยืนยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกตกแต่งด้วยข้าวเครื่องใช้ไม่คุ้นตานัก
“มา 2
ท่านใช่ไหมคะ ? เชิญด้านในเลยค่ะ” อีกทั้งการมาเยือนของแม่ทับทิมในหนนี้กลับได้รับการต้อนรับจากสตรีผู้เป็นเจ้าของสถานที่อย่างสมเกียรติ
“มะ
ไม่ใช่ค่ะ ฉันมาคนเดียว… แต่ว่านัดกับเพื่อนไว้” เราเห็นอาการเลิกลักของแม่ทับทิม ขณะเอ่ยตอบ พลางเหลียวซ้ายแลขวา แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น
เมื่อคู่สนทนาผายมือเชื้อเชิญนางให้ย่างกรายเข้าสู่พื้นที่ด้านใน
“อ๋อ
ถ้าอย่างนั้นเชิญข้างในเลยค่ะ”
มันก็เหมือนกับที่แม่ทับทิมเคยบอกกล่าวไว้
ว่ายามนี้เมืองมนุษย์นั้นได้แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนดั่งเก่า ไม่ว่าจะอากัปกิริยาของผู้คนที่ดูเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา
สถานที่ที่มีรูปลักษณ์พิลึกพิลั่น หรือแม้แต่พาหนะสำหรับใช้เดินทาง
คงเพราะนับจากแดนสรวงปิดกั้น ตัดขาดจากเมืองมนุษย์มานานกระมัง
เราถึงไม่รู้สึกชินหูชินตายามต้องยืนปะปนอยู่กับปุถุชนหมู่มากในเมืองมนุษย์เสียที
อย่างไรเสีย
เมื่ออรชรร่างเล็กเดินนำพาเข้าสู่พื้นแปลกตา เราเองก็ใช่จะหยุดนิ่งลงเสียเมื่อไหร่
“ทับทิม! ทางนี้จ๊ะ”
เสียงขานเรียกของนารีชนนางหนึ่งซึ่งดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจภายใน
ทำเอาแม่ทับทิมรีบโบกไม้โบกมือโต้กลับราวกับเป็นการทักทาย ซ้ำไม่รอช้า
ยังรีบเร่งฝีเท้ามุ่งต้นไปยังต้นเหตุของเสียง
ที่ตรงนั้นเราได้พบกับหญิงสาวเจ้าของใบหน้าคุ้นเคย
กำลังคอยท่าอยู่บนม้านั่งรูปทรงแปลก บนดวงหน้าสวยของนางนั้นปรากฏรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรส่งให้กับผู้มาเยือนอย่างมีไมตรีจิต
มิหนำยังถามไถ่ความที่เรานั้นหาได้เข้าใจ
“รถติดมากไหมจ๊ะ
วันนี้…”
“นิดหน่อยค่ะ…”
ไม่รู้เลยว่า ช่วงเพลาเช่นนี้ เราควรรู้สึกเช่นไร
เมื่อภาพของนารีทั้งสองซึ่งเราเองก็คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
กำลังเริ่มบทเจรจาต่อกันตามประสาผู้รู้จัก
และหากว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนเราไม่ได้ยลรูปโฉมนางมาก่อนแม้เพียงสักนิดล่ะก็
ยามนี้เราคงไม่ต้องรู้สึกอึดอัดเช่นนี้ก็เป็นได้ “ว่าแต่ที่ฉันนัดคุณกรองขวัญมาวันนี้
เป็นการรบกวนหรือเปล่าคะ ?”
“ไม่เลยจ้ะ
อย่าคิดมาก…ช่วงนี้เมรีต้องพักผ่อนร่างกายด้วย
ตารางงานเลยไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่”
น่าแปลกนัก
ทั้งที่ตลอดหลายหมื่นช่วงยามที่เคลื่อนผ่านไปนั้น เราเฝ้ารอคอย
ร้องขอที่จะพบยลหน้าดวงใจผู้เป็นที่รักอีกสักหนแท้ๆ หากแต่ว่าความรู้สึก
นึกคิดยามมองจ้องอดีตคนรักในชาติภพเก่าเวลานี้กลับนิ่งสนิท
ราวกับว่าทั้งเราเป็นคนแปลกหน้า ทว่า ความรู้สึกเหล่านั้น กลับไม่ใช่กับแม่ทับทิม
ผู้ซึ่งไม่เคยมีสิ่งเกี่ยวพันธ์ต่อเราทางใจเลยแม้เพียงสักนิด
“ว่าแต่ทับทิมเถอะ
นัดเจ๊มาเจอวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ ?” อีกหนที่เสียงถามไถ่ของแม่กรองขวัญเอ่ยดังแทรกความเงียบในอก
จำต้องลดละสายตาจากใบหน้าของแม่ทับทิมไปยังเจ้าของเสียงอีกหน
เพื่อพินิจพิจารณารูปโฉมเป็นหนที่สอง
“เมรีช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ
เธอดีขึ้นแล้วใช่ไหม ?”
“ดีขึ้นเยอะแล้วจ่ะ…อะไรกัน นัดเจ๊มาเพื่อจะถามอาการเมรีแค่นี้น่ะเหรอ ?” คงเพราะด้วยระยะห่างเพียงเอื้อมมือกระมัง
เราจึงสามารถจับใจความการเจรจาของคนทั้งคู่ได้อย่างถนัดหู
“ไม่ใช่แค่เรื่องเมรีหรอกค่ะ
ฉันมีเรื่องอื่นอยากถามคุณกรองขวัญด้วย”
“เรื่องอะไรหรือจ๊ะ
ลองถามมาสิ ถ้าเจ๊ตอบได้จะตอบนะ”
“คุณกรองขวัญจำวันที่ฉันเข้าไปรับชุดนางรำที่ห้องได้หรือเปล่าคะ…”
และดูท่าว่า สิ่งที่แม่ทับทิมเอ่ยถามนั้น
ล้วนแล้วแต่จะเกี่ยวข้องอดีตชาติของตนเองทั้งสิ้น “ตอนนั้นคุณกรองขวัญพูดถึงดอกสร้อยทองขึ้นมาน่ะค่ะ”
“จำได้จ๊ะ
มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ?”
“พอดี… ฉันรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาน่ะค่ะ เลยลองไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมดู จนได้รู้ว่าจริงๆ
แล้วแม่นิมมานรดีนั้นมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง…” แม่ทับทิมว่าขึ้นเช่นนั้นและเงียบลงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
หากแต่นั่นกลับเป็นจังหวะเดียวกับกับที่คู่สนทนาของตนวางประสานมือลงบนโต๊ะรูปทรงแปลกเบื้องหน้าพอดิบพอดี
และภาพที่ปรากฏต่อสายเวลานี้มันก็ทำให้ภาพวันวานเผลอย้อนกลับเข้าสู่กมลความคิดอย่างไม่อาจหักห้าม
เมื่อภาพของนางสวรรค์เจ้าของดวงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกัน
ปรากฏซ้อนทับขึ้นระหว่างช่วงเจรจาของคนทั้งคู่
“คุณกรองขวัญ
พอจะทราบรายละเอียดเรื่องนี้บ้างหรือเปล่าคะ ?” แม้นว่าเสียงของแม่ทับทิมในยามนี้กำลังเอ่ยถามด้วยถ้อยคำอื่น
หากแต่เสียงที่อยู่ในภวังค์ กลับกลายเป็นถ้อยคำอื่น
‘บรรจงร้อยเรียงทีละดอกเช่นนั้น
ถูกแล้วจ้ะพี่…’
“ทำไมจู่ๆ
ทับทิมถึงเอาเรื่องพวกนี้มาถามเจ๊ละจ๊ะ ?” เช่นเดียวกับเสียงคู่เจรจาที่แม้นจะถามไถ่ด้วยใจความอื่น
หากแต่เสียงซึ่งดังก้องอยู่ในความคิดนั้น หาได้ตรงต่อสิ่งที่กำลังเกิดไม่
‘โอ๊ย… ไม่เอาแล้วจันทน์ผา เข็มทิ่มนิ้วพี่จนปวดระบมไปหมด’
หากจำไม่ผิด
รู้สึกว่าภาพของนางอัปสรขณะช่วยกันบรรจงร้อยมาลัยนั้น
จะเกิดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นขบวนแห่ไม่กี่คืน แม้นยามนั้นเราจะไม่ได้สนใจภาพของนางสวรรค์สองตนมากนัก
แต่ภาพการบรรจงเรียงร้อยมาลัยของทั้งคู่นั้น
ยังคงติดตรึงเป็นภาพวิจิตรงดงามในความรู้สึกของเราอยู่เสมอๆ
แต่แล้วภาพสวยงามซึ่งกำลังซ้อนทับนารีชนตรงหน้า
ก็ไม่อาจคงอยู่ตอกย้ำความเป็นจริงได้นานนัก เมื่อเสียงของแม่ทับทิมกล่าวขึ้น
“พอดีฉันติดใจเรื่องที่คุณกรองขวัญเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้น่ะค่ะ
ทั้งเรื่องกลิ่นกายของแม่นิมมานรดีหรือแม้แต่ท่าร่ายรำ
เลยคิดว่าบางทีคุณกรองขวัญอาจจะพอรู้อะไรๆ มาบ้าง…”
“ถ้างั้นทับทิมอยากรู้อะไรล่ะจ๊ะ
ลองถามมาสิ ?”
“ฉันอยากรู้เรื่องราวของแม่จันทน์ผาน่ะค่ะ
คุณกรองขวัญพอจะรู้ประวัติหรือเรื่องของเธอบ้างหรือเปล่า ?” ครั้นเมื่อสิ้นเสียงใครรู้ของแม่ทับทิมในหนนี้
มันก็เป็นเราเสียเองที่ลมหายใจเริ่มรวนจนติดขัด ไม่รู้ด้วยสาเหตุอันใด
แม่ทับทิมถึงอยากตามหาเรื่องราวของตนเองในภพอดีตเช่นนี้ แต่ช่วงเพลาเดียวกันนั้น
ความสงสัยของแม่ทับทิมนั้น
ก็คล้ายกับเป็นหนึ่งตัวแทนของความแคลงใจอกเราด้วยเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่เรายังรู้สึกแคลงใจนั้น
ก็ไม่พ้นเรื่องที่แม่ทับทิมเคยเล่าไว้ ซึ่งดูไม่ตรงหลากหลายประการที่เราประสบพบเจอหรือเข้าใจนั่นอย่างไรเล่า…
“จ้ะอย่างที่ทับทิมได้ข้อมูลมานั่นหล่ะ
แม่จันทน์ผาเธอเป็นน้องสาวของนิมมานรดี สองคนนี้เคยเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา
แต่ถูกให้ขึ้นไปรับใช้บนสวรรค์เพราะท่วงท่าร่ายรำที่ดูโดดเด่นจนถูกอกถูกใจเหล่าเทวาบนสวรรค์…”
สังเกตได้ว่าบนใบหน้าของแม่กรองขวัญยามเล่าความนั้นประดับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
เช่นเดียวกับสายตาที่คอยจับจ้องดวงหน้าคู่สนทนาอยู่ทุกช่วงเพลาบอกกล่าว “แต่ด้วยความที่นิมมานรดีเป็นพี่ เธอจึงถูกแต่งตั้งตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าของนางรำทั้งหมดบนสวรรค์”
“แล้วเรื่องเก็บดอกบัวละคะ
?” ทว่า ทันทีที่ถ้อยคำถามซึ่งเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ดังลอกผ่านริมฝีปากของผู้ฟัง รอยยิ้มบนหน้าแม่กรองขวัญค่อยๆ จางลงจนเห็นได้ชัด
แม้นจะเป็นเช่นนั้น
แต่ก็ใช่ว่าแม่กรองขวัญจะไม่เอ่ยตอบถ้อยกลับแม่ทับทิมเสียที่ไหน
“เอ…เท่าที่เจ๊ศึกษามารู้สึกว่า
แม่นิมมานรดีจะอาสาลงไปเก็บดอกบัวในสระแทนน้องสาวนะจ๊ะ
และนั่นล่ะมั้งเลยทำให้เธอได้กลายเป็นคนรักของท่านอสุรา” ซึ่งทุกถ้อยคำของแม่กรองขวัญนั้นกลับให้ความรู้สึกแตกต่างจากแม่ทับทิมโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเหตุและผล หรือภาพจำในความคิด
ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ฟังดูสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกัน
ทว่า
ถ้อยคำประโยคดังกล่าวก็ไม่วายถูกแม่ทับทิมส่งเสียงขัดขึ้นอย่างหนักแน่นอยู่ดี
“แต่ว่า
ที่ฉันฝันน่ะค่ะ ผู้ที่ลงไปเก็บดอกบัวจนได้พบเข้าท่านอสุรา
มันก็คือแม่จันทน์ผาเองไม่ใช่หรือคะ ?”
ดวงหน้าสวยแสดงอาการขัดใจเล็กน้อยหลังถูกแย้ง
แม้นว่ากริยาบนหน้าเช่นนั้นจะเกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวเดียว
แต่เราก็ยังทันสังเกตเห็น
“ฝันหรือจ๊ะ
?” เช่นเดียวกับน้ำเสียงอ่อนหวานของแม่กรอบขวัญซึ่งฟังดูแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
“ค่ะ
มันอาจจะฟังดูเหมือนฉันบ้านะคะ แต่ว่าช่วงนี้ฉันฝันเห็นภาพแปลกๆ…” นี่คงเป็นอีกครั้งที่ความแคลงใจประเดประดังเข้าใส่จนเกิดเป็นคำถามให้ขบคิด
ว่าเหตุใดแม่ทับทิมจริงยืนกรานภาพนิมิตตนเองหนักแน่นเช่นนั้น “เมื่อวานฉันลองไปหาข้อมูลและได้ลองถอดภาษาโบราณจากบันทึกพงศาวดารท้าวอสุเรนทร์มา
เนื้อความภายในก็ได้บันทึกไว้เหมือนกันนะคะ
ว่ามีช่วงหนึ่งที่ท่านอสุราลงไปเก็บดอกบัวในสระกับแม่จันทน์ผา แล้วก็…”
“แล้วก็อะไรจ๊ะ
?”
“คะ
คนทั้งคู่เหมือนจะตกหลุมรักกันน่ะค่ะ” สิ้นเสียงบอกกล่าวอย่างไม่เต็มคำของแม่ทับทิม
ผู้ที่เกิดอาการร้อนวูบในอกกลับกลายเป็นตัวเราเสียเอง
‘หากเรามอบบัวดอกนี้ให้เจ้า
แม่นิมมานรดีจักชื่นชอบบัวดอกนี้มากขึ้นบ้างหรือไม่ ?’
เมื่อภาพสีหน้าและแววตาขณะใช้เล่าเรื่องในอดีตของแม่ทับทิมนั้น
ได้ถูกแสดงผ่านดวงหน้า ไม่ผิดเพี้ยนไปจากใบหน้าสะสวยของนางอัปสรบนเรือพายที่เราเข้าใจว่าเป็นแม่นิมมานรดีอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
‘หะ หามิได้เจ้าค่ะ ท่านอสุรา…’
มือข้างถนัดเผลอเลื่อนขึ้นกุมขมับอย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อภาพย้อนในวันวานค่อยประเดประดังเข้าสู่กมลความคิดเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ
ไม่ว่าจะเป็นภาพของเราซึ่งเลื่อนมือขึ้นประคองใบหน้าสวยของนางอัปสรบนเรือพาย ขณะเอ่ยถ้อยคำร้องขอ
‘บัวในสระแห่งนี้ งดงามไม่ต่างจากผู้เด็ดดอมดม…จักเป็นไปได้หรือไม่ หากเราจักขอติดตามแม่นิมมานรดี
ลงมายลความงามดอกบัวที่สระแห่งนี้อีกสักครา’
‘จะ เจ้าค่ะ
หากท่านประสงค์เช่นนั้น หม่อมฉันคงมิอาจขัด…อะ’ หรือแม้แต่… ริมฝีปากที่กำลังบรรจงจุมพิตลงกลางหน้าผากหลังสิ้นเสียงตอบรับแทนการบอกความรู้สึกที่มี
“ไม่มีทางหรอกจ๊ะ
เพราะเท่าที่เจ๊รู้มามีแต่เพียงแม่จันทน์ผาเท่านั้นนั่นหล่ะ
ที่ตกหลุมรักท่านอสุราข้างเดียวแบบไม่เกรงใจพี่สาวของตัวเอง” นี่เป็นหนที่เท่าไหร่แล้วไม่อาจรู้ได้ ที่เราเผลอสะดุ้งจากห้วงอดีตกลับคืนสู่ช่วงเพลาปัจจุบันด้วยเสียงพูดคุยหนักแน่นแบบไม่มีใครยอมใครของสองนารีเบื้องหน้า
“ถ้าหากท่านอสุราตกหลุมรักแม่จันทน์ผาจริงๆ
อย่างน้อยมันก็ควรจะมีบันทึกแจกจ่ายหรือถูกใส่ไว้ในแบบการเรียนการสอนบ้างสิจริงไหมจ๊ะ
?”
“…”
“เจ๊ว่าบางที...สิ่งที่ทับทิมถอดความมาน่ะ
อาจจะผิดไปจากความเป็นจริงทั้งหมดก็ได้นะจ๊ะ”
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น