ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อสุเรนทร์วิวาทรัก | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #2 : อสุเรนทร์วิวาทรัก l บทที่๐๑ ตอน อสุเรนทร์ปะทะหงส์ฟ้า {อัพ100%}

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.พ. 61


    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *






    เมื่อนั้น  ท้าวอสุเรนทร์เรืองศรี

    ฟังถ้อยวจีแสนดาลเดือด กระทืบบาตรหมายเชือดให้สมหมาย

    ชาติที่แล้วดัสกรชีวาวาย  ชาตินี้ไซร้คงมลายไม่ต่างกัน

    ว่าแล้วจึงลั่นวาจาประกาศไป  เหวยไอ้กุมภัณฑ์นับวันยิ่งผยอง

    ไม่ไตร่ตรองดูตัวชั่วหนักหนา อุบัติใหม่ไร้ฤทธิ์เดชเรืองเดชา

    ยังปากกล้าไม่สำนึกระลึกกรรม



    เป็นแค่พวก Extar ยักษ์ประกอบฉาก อย่าเยอะค่ะ พี่ไม่ชอบ!”

    ใครจะรู้ ว่าทันทีเอ่ยประโยคแสดงอารมณ์ของตัวเองจนจบ สิ่งที่ตามมาจะเป็นการกระทืบเท้าหนักๆ จนพื้นที่บริเวณที่เราทั้งคู่ยืนอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ โดยฉันเองก็สามารถรู้สึกได้ 

    หากแต่แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวก็ตกอยู่ในความรู้สึกได้ไม่นาน เมื่อคนตัวใหญ่กว่าตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดบอกอารมณ์ที่มีไม่ต่างกันออกมาดังลั่น

    สามหาว!” 

    สิ้นเสียงตะคอกดุดันแกมต่อว่า ปากฉันก็เริ่มกระตุกประหนึ่งสันนิบาตกิน แม้จะพยายามปั้นหน้ายิ้มให้สมเป็นนางเอกชื่อดังตามอย่างที่เจ๊ขวัญบอกไว้ ตอนนี้ดูเหมือนมันจะทำยากเสียเหลือเกิน

    เพราะรู้อารมณ์ตัวเองดีและเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันระหว่างดาราตัวประกอบกับนางเอกสมัยนิยม ฉันจึงเลือกที่จะข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้เป็นหนสุดท้ายแล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น

    นี่...ขอทีเถอะ ถ้าไม่ช่วยก็อย่ากวนประสาท ฉันต้องรีบไปแต่งตัวแต่งหน้าเข้าพิธี...” พูดจบฉันก็ไม่ได้รอให้เขาต่อปากต่อคำต่อแต่อย่างใด แต่เลือกที่จะเป็นฝ่ายเดินสวนเขาออกไปยังเส้นทางซึ่งเป็นเป้าหมาย

    แต่ดูท่าว่าชายแปลกหน้าจะไม่ยอมให้ทำแบบนั้นโดยง่าย เมื่อเขายังคงลั่นวาจาแปลกๆออกมาไม่หยุด

    ไอ้กุมภัณฑ์ มึงมันขลาดนัก!” โดยเฉพาะถ้อยคำหยาบคายโบร๊าณโบราณซึ่งทำเท้าสองข้างของฉันหยุดได้โดยชะงักราวกับถูกตอกไว้ กักขฬะแลน่าสมเพช กูสังเวชสังวรณ์ใจมึงนักหนา ไอ้อัปรีย์ชาติ!”

    สิ้นสุดคำต่อว่า ความอดทนที่พยายามสร้างมาก็เหมือนถูกพังลงไปด้วยเช่นกัน 

    สติที่ขาดผึ่งดึงฉันออกจากภาพลักษณ์ที่นางเอกชื่อดังพึงจะมี ตัดสินใจหันกลับไปจ้องสู้ตกับชายแปลกหน้าอย่างไร้การลังเลเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าฉันตอนนี้กำลังไม่พอใจมากแค่ไหน ก่อนต้องรู้สึกโกรธมากกว่าเก่า เมื่อพบว่าบนใบหน้าคมคายไม่ได้มีทีท่าสำนึก ซ้ำร้ายยังปรากฏรอยยิ้มเหยียดเยาะคล้ายกับสะใจ

    เห็นดังนั้น ไวกว่าจะทันต้องคิด มือข้างถนัดก็ง้างขึ้นสูงก่อนก่อนพุ่งหมัดเข้าซัดหน้าเจ้าของคำพูดจาไม่ให้เกียรติเพศแม่อย่างเต็มแรงเพื่อหมายจะสั่งสอน ทว่า 

    กึก!

    วินาทีที่หมัดเน้นๆกำลังจะพุ่งเข้ากระแทกใบหน้าเข้านั้น จู่ๆร่างทั้งร่างกลับเริ่มเสียการควบคุมอย่างไม่ทราบเหตุผล หมัดมือและแขนที่ถูกส่งออกไปนั้นคล้ายกับถูกแช่แข็งไว้ให้อยู่ในท่านั้น ครั้นจะขยับก็ดูท่าจะยากไปหมด ซึ่งนั่นไม่ใช่กับอีกฝ่ายซึ่งยังคงเคลื่อนไหวร่างกายได้เป็นอย่างปกติ

    คนตัวใหญ่เลื่อนมือขึ้นข้างหนึ่งมาหยุดตรงหน้ากำมือฉันอย่างช้าๆ โดยทิ้งระยะห่างไว้ชนิดที่ไม่ให้ถูกเนื้อตัว ก่อนจะวาดมือออกอย่างแรง ทั้งที่สัมผัสของฝ่ามือเขาไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวฉันสักนิด แต่การกระทำดังกล่าวกลับเกิดแรงมหาศาล ชนิดที่สามารถผลักตัวฉันให้กระเด็นถอยห่างออกจากเขาอย่างรุนแรง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

    ฟึ่บ! ตุบ!

    อ๊ะ...ฉันครวญออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บ พลางใช้มือลูบสะโพกตัวเองไปมาเบาๆ เพื่อลดอาการปวด จากการล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกองกับพื้น

    กึก...

    แต่แล้ว เสียงฝีเท้าซึ่งก้าวเดินมาหยุดตรงหน้า ทำความสนใจให้หลุดพ้นจากอาการเจ็บปวดสะโพกของตัวเอง รีบตวัดตามองไปยังต้นเสียงแบบไม่ชอบใจนัก ก่อนพบว่าเจ้าของเหตุอัศจรรย์เมื่อครู่กำลังยืนยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าอยู่ตรงหน้า

    เขาดูไม่ได้รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำเลยแม้แต่น้อย...

    มึงรู้รสกรรมที่ก่อไว้แต่ชาติปางก่อนหรือยัง ไอ้กุมภัณฑ์?” อีกทั้งยังลั่นวาจาถาม

    หยุดพูดบ้าๆเดี๋ยวนี้นะ ถ้ายังไม่หยุดฉันจะฟ้อง!!” พอได้ฟังคำพูดที่ไม่เข้าใจ อีกทั้งยังต่อกรอะไรกับชายแปลกหน้าคนนี้กลับไม่ได้ สิ่งที่ทำได้จึงมีแค่การตะเบ็งเสียงข่มขู่เท่านั้น นายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใครฉันนะเป็นถึง...

    ตึง!

    อุเหม่! ไอ้ระยำนี่! ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ยอมให้ฉันพูดได้จนจบประโยคเช่นกัน ชายแปลกหน้ากระทืบเท้าหนึ่งทีพลางชี้หน้า คล้ายกับระบายความเกรี้ยวกราดผ่านการกระทำซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากน้ำเสียงของเขานัก

    ไฉนจึงคิดว่ากู ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม!?” ไม่รู้เป็นเพราะน้ำเสียงกับท่าทางซึ่งโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลาที่เขามักแสดงออกให้เห็นหรือเปล่า มันเลยทำให้ฉันไม่กล้าพูดอะไรแทรก นอกจากนั่งกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ระรานร้อนไปทั่วธรณิน เหยียบย้ำฟ้าดินไม่เกรงใจ ไม่ใช่มึงหรืออย่างไรเล่าไอ้กุมภัณฑ์!”

    กุมภัณฑ์! ใช่ เขาเรียกฉันด้วยชื่อนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันแล้ว...

    แถมท่าทางเขาก็ดูโกรธจัด ราวกับกุมภัณฑ์บ้าบออะไรนั่นเคยไปฆ่าใครตายเสียด้วยสิ ไม่ใช่แค่ท่าทางกับคำพูดแปลกๆหากแต่ฟังดูจริงจังนั่นแต่เพียงอย่างเดียว สีหน้าที่ดูนิ่งสนิทกับแววตายามที่เขาจ้องมองนั้นก็ให้ความรู้ไม่ต่างกันเท่าไหร่

    ที่น่าขนลุกและน่ากลัวมากกว่าอาการทางจิตที่คนตัวใหญ่ตรงหน้าเป็น คงไม่พ้นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เขาใช้ก่อนหน้านี้นั่นแหละ ทั้งที่ไม่ได้สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกันแม้แต่นิด แต่เขากลับสามารถใช้เรี่ยวแรงมหาศาลขนาดนั้นผลักฉันปลิวได้เหมือนกระดาษนั่นล่ะ...

    ฉันว่านายกำลังเข้าใจผิด...ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวใดดลใจสั่งให้เอ่ยขัดออกไปแบบนั้น ฉันไม่ได้ชื่อกุมภัณฑ์...แต่ชื่อเมรีต่างหาก!”

    กูมิสนว่าภพนี้ มึงมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร!” แต่ก็ใช่ว่าเขาจะฟังที่ไหน มิหนำซ้ำยังพูดเรื่องบางที่ฉันไม่เข้าใจและไม่มีทางเข้าใจออกมายืดยาว ปรารถนากู คือการทำศึก ปลิดชีวามึงให้วอดวาย สมดั่งสัตย์วาจาที่ประกาศไว้

    ซ้ำร้ายยังเขาจับคันธนูสีทองอร่ามในมือยกขึ้น แล้วหันปีกธนูมุ่งเป้าตรงมายังจุดที่ฉันนั่งพับอยู่ การกระทำดังกล่าวทำเอาคนที่เห็นต้องเบิกตากว้างมากกว่าครั้งไหนๆ 

    ไม่ใช่เพราะตกใจท่าทางที่พร้อมจะทำร้ายกันตามอย่างที่เขาลั่นวาจาไว้ หากแต่เป็นการกระทำสุดอัศจรรย์จากฝ่ามือเปล่าของเขา ขณะเลื่อนผ่านปีกธนูผ่านไปยังสายธนูด้านหลังจนปรากฏเห็นเป็นลูกธนูสีทองสวยต่างหาก

    เป็นเวทมนต์เหรอ!? 

    บ้าน่า! เรื่องแบบนั้นจะไปมีจริงได้ยังไงเล่า!!

    เหตุอัศจรรย์ซึ่งคล้ายกับเป็นการเล่นมายากล ทำฉันเริ่มนึกหวาดขึ้นมาอย่างหาเหตุผลไม่ได้ เผลอถดตัวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อหลบหนี ทว่า

    ตึง!!

    เฮือก!” เพียงแค่การกระทืบเท้าหนักๆหนึ่งทีของเขาเท่านั้น มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันหยุดชะงักกายลงโดยฉับพลันเป็นที่สอง อีกทั้งยังเริ่มแน่ชัดแล้วว่า แรงไหวเบาๆของพื้นดินมันเกิดขึ้นจากการกระทืบเท้าของเขาจริงๆ

    บัดนี้พื้นทวิภพเปิด ถือเป็นมงคลฤกษ์...หูยังคงได้ยินคำพูดคำจาแปลกๆ จากปากชายแปลกหน้าท่าทางน่ากลัวไม่หยุด เฉกเช่นเดียวกับสมองที่พยายามคิดทบทวนเรื่องที่กำลังเกิดอยู่เบื้องหน้า

    ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร จะเป็นคนสติดีหรือคนบ้า ที่ฉันสนที่สุดในตอนนี้ก็คือ ทำยังไงก็ได้เพื่อหยุดเรื่องบ้าๆ นี่ลงโดยเร็วที่สุด เอาวะ! ตายเป็นตาย บ้าไม่บ้าเดี๋ยวได้รู้กันคราวนี้นี่แหละ!

    เพราะคิดได้แบบนั้น วินาทีเดียวกับเสียงประกาศก้องเอาจริงเอาจริงของชายตัวใหญ่ดังขึ้น ฉันก็ไม่รอช้า รีบดันตัวลุกขึ้นจากพื้น ก่อนตัดสินใจพุ่งตัวเข้าใส่เป้าหมายเบื้องหน้าทันที พร้อมกันนั้นมือข้างถนัดก็ไม่ลืมที่จะปัดป้องอาวุธในมือเขาให้หันเหไปยังทิศทางอื่นด้วย

    ถึงคราที่ชีวิตมึงจักมลายสิ้นแล้ว...ไอ้กุมภัณฑ์!...อะ” 

    ฟึ่บ! ตึง!!

    ทันทีที่สามารถเข้าประชิดแล้วใช้มือปัดคันธนูเขาออกได้จนสำเร็จ มันก็ดันเป็นฉันเสียเอง ที่ต้องเสียการทรงตัว เมื่อลูกธนูสีทองในมือเขาร่วงหล่นลงพื้นจนแผ่นดินสะเทือน พร้อมกันนั้นบริเวณฝ่ามือตรงส่วนที่สัมผัสเข้ากับคันธนูเมื่อครู่ ยังรู้สึกแสบร้อนราวกับโดนไฟลวก

    จำต้องตวัดหางตามองตัวต้นเหตุอีกครั้ง ซึ่งเดาใดได้เลยว่าเขาคงจะยิ้มกริ่มด้วยความสะใจแกมเยาะเย้ยใส่ฉันอยู่แน่ๆ

    แต่ก็เปล่า...

    เพราะร่างสูงซึ่งเคยยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยเครื่องทรงยักษ์บัดนี้กลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอง ราวกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นมาก่อน

    อะไรกัน หายไปเหรอ...

    เขาหายตัวไปเหมือนอย่างในหนังในละครจริงๆน่ะเหรอ!?

    ขณะกำลังยืนอึ้ง ตกใจและงงกับภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันได้ จังหวะเดียวกันนั้นกลับมีเสียงแจ๋นของใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมฝีเท้าหนักๆ ราวกับคนรีบร้อนดังขึ้นเสียงก่อน

    คุณเมรี! มายืนทำอะไรตรงนี้คะ ช่างแต่งหน้ารอกันแย่แล้ว!” จำต้องหันไปมอง ก่อนพบว่าเธอน่าจะเป็นหนึ่งในพวกของทีมงานกองถ่ายละครเรื่องดวงหทัยยักษ์จากลายเสื้อสกรีนสีขาวที่สวมอยู่ มานี่ค่ะ เดี๋ยวพิธีก็จะเริ่มแล้วนะคะ!”

    อาจเพราะฉันยังอยู่ในอาการที่ยังช็อกกับภาพปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติก่อนหน้านี้อยู่ล่ะมั้ง นั่นจึงทำให้ร่างกายยอมโอนเอนไปตามแรงดึงจากมือของทีมงานอย่างว่างง่ายราวกับหุ่น

     

    -ท้าวอสุเรนทร์ กล่าว-

    ยามนี้ไอ้ยักษ์กุมภัณฑ์รูปโฉมเปลี่ยน ดูสวยราวกับนางสวรรค์ น้องจำรูปเดิมของมันแทบมิได้...” เสียงเข้มของอนุชาเพียงตนเดียวที่เรามีกล่าวขึ้น ขณะทอดตามองร่างจำแลงของอริ ถูกนารีชนพาตัวออกไป เห็นทีแล้ว ไอ้กุมภัณฑ์ มันคงจำชาติภพเดิมทีของมันมิได้ แล้วต่อแต่นี้ไป...ท่านพี่จักทำอย่างไรต่อไปเล่า?

    พี่มิมีวันเสียคำสัตย์ที่ประกาศไว้ต่อหน้าพระอิศวรบนศิวโลกเป็นแน่แท้ น้องจงเชื่อคำพี่เถิด หากดอกธนูยังมิปักกลางอุราไอ้ยักษ์อัปรีย์...

    “…”

    ศึกครานี้..พี่จะมิมีวันหยุด!” ว่าจบ เราจึงเหลือบมองเสี้ยวหน้าผู้น้องเล็กน้อย ก่อนพบว่าบัดนี้ น้องชายเรากำลังแย้มยิ้มจนอดถามไม่ได้ มงคลฤกษ์เช่นนี้ แล้วตัวน้องเล่า...ต้องตาสิ่งที่ปรารถนาแล้วรึ?

    สิ้นวาจา อนุชาคู่บุญนั้นไม่ได้คำตอบกลับมา หากแต่บนดวงหน้ากำลังแย้มกว้างอย่างปรีดา ด้วยเหตุนั้นถึงไม่ได้คำตอบ แต่เราก็พอล่วงรู้ได้ผ่านกริยาของดวงตาอยู่ดี

    ตัวเรานั้นมีนามว่า อสุเรนทร์ เป็นเจ้าเมืองนครยักษ์จากแดนสรวง

    ยามนี้ถือเป็นฤกษ์มงคลของทวิภพ ที่ผ่านการเฝ้านับวันรอคืนมาร่วมหลายหมื่นปี  ด้วยเพียงเจตจำนงเดียวที่เรารักษาสัตย์ไว้อย่างมั่นหมายตั้งแต่ได้ประกาศไป นั่นคือ การทำลายชีวิตชาติภพใหม่ของกุมภัณฑ์ ยักษ์มารที่ถูกสาปส่งลงมาเกิด

    ในยามเป็นยักษ์ทำตัวชั่วช้า ย่ำยี รานร้อนจนร้อนรุ่มไปทั่วแผ่นดิน พังทำลายชีวีราวกับเป็นเรื่องขบขัน โดยเฉพาะกับการที่มันย่ำยีดวงใจ หญิงคนรักของน้องชายคู่บุญจนวอดวาย 

    ด้วยเหตุนี้ เราจักไม่มีทางให้อภัยต่อการกระทำต่ำช้าของมันเป็นแน่ ในเมื่อยามมีฤทธิ์เดช โอหัง ระรานชีวิตปุถุชนธรรมดาได้ใจดำ ฉะนั้นเราจักให้มันลิ้มรสเวรกรรมเช่นนั้นดูเสียบ้าง

    ภพนี้รูปกายของมัน สวยดุจนางฟ้านางสวรรค์ หากแต่จิตใจข้างในอาจจะต่ำตมคงสันดานเดิมไว้ย่อมเป็นได้

    ใครจักไปล่วงรู้...

    (เทพยดาในรอบจักรวาลทั้งหลาย จงมาประชุมกันในสถานที่นี้...)

    ท่านพี่...ท่านพี่ยลเสียงเรียกของพวกพราหมณ์เหมือนน้องหรือไม่?ขณะนั่งพักกายอยู่คราวใหญ่ หลังลงมายลเยือนภพมนุษย์ อสุรา น้องชายคู่บุญของเราก็กล่าวขึ้น 

    ด้วยเหตุนั้น เราจึงหลับตาลง เงี่ยหูอย่างตั้งใจ

    (ข้าพเจ้าขออัญเชิญหมู่เทพยดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ในฉกามาพจรสวรรค์ อีกทั้งคนธรรพ์ ครุฑ นาคา อีกทั้งเทพเจ้าซึ่งสิงสถิตอยู่ในสถานที่ใดๆ อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์เรืองไกรศรแดนสรวงนครยักษา...)

    พวกมนุษย์...กำลังอัญเชิญท่านพี่งั้นรึ ด้วยเหตุใดกันเล่า?ด้วยชื่อที่ถูกกำหนดตามเสียงเรียก ทำเอาอสุราไม่ยอมที่จะหยุดซักไล่เลียงด้วยความสงสัย ซึ่งเราเองก็ได้มองตอบนัยน์ตาเจ้าสงสัยของผู้น้องกลับไป อย่างไม่รู้จะหาอะไรมากล่าว

    เหตุเพราะเสียงเรียกดังกล่าวมีชื่อเรียกเราปะปนมากับเสียงแว่ว หากยืดยาดคงดูเป็นการเสียนิสัยมิใช่น้อย 

    ด้วยประการฉะนี้ เราจึงไม่รอรี รีบลุกจากที่พัก ย่างกรายมุ่งไปหาแหล่งกำเนิดเสียงโดยไวว่อง โดยมีน้องชายคอยติดตามไม่แคล้วคาด ก่อนพบว่าห่างออกมา  ณ.บริเวณลานกว้างหน้าพระพุทธองค์ปูนปั้นยักษ์ ยามนี้เกลื่อนไปด้วยปุถุชนแต่งกายสะอาดตากำลังรวมประชุม

    (เทพยาดาฟ้าดิน อีกทั้งท้าวอสุเรนทร์และหมู่ยักษาล้นบารมี เมื่อมาถึงแล้วจงรับเครื่องเซ่น ทั้งของคาวและของหวาน หมากพลู น้ำชาและน้ำจัณฑ์...) ช่วงเวลาเดียวกับเสียงเชื้อเชิญสิ้นสุดลง เท้าของเราก็เดินผ่านปุตุชนมากหน้าก่อนหยุดลงข้างพราหมณ์เมืองมนุษย์ชุดขาวผู้เรียก

    เบื้องหน้ามีสำรับกับข้าวกับปลาวางคอยท่าเอาไว้อย่างตระการตา อีกทั้งน้ำร้อนน้ำชาและน้ำจัณฑ์ มีบายศรีจัดวางสำหรับต้อนรับเราราวเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่โต จนอดครุ่นคิดพินิจพิจารณาไม่ได้ว่า เหตุใด มนุษย์เหล่านี้จึงได้เตรียมการอย่างโอ่อ่า ดั่งล่วงรู้ถึงการมาเยือนเมืองมนุษย์ของเราได้เช่นนี้

    เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องสายเครื่องใหญ่ซึ่งดังคลออยู่ไม่ห่างจากสำรับกับข้าวกับปลา ทำเรารู้สึกพึงพอใจ ยินยอมน้อมรับคำเชิญ ด้วยการย่อตัวลงนั่งในท่าตั้งชันขาเพื่อสดับฟังเพลงแสนหวานที่เหล่ามนุษย์จัดหาไว้ให้ โดยมีน้องชายทิ้งกายนั่งลงเคียงคู่

    อนึ่ง เพราะเราเป็นยักษ์ มีความสามารถในการอิ่มทิพย์ได้ไม่ต่างจากเทวดาตนอื่น อาหารในเมืองมนุษย์จึงไม่จำเป็นหรือต้องตาต้องใจเราเสียเท่าไหร่ 

    อย่างไรเสีย เราก็ไม่ได้เสียมารยาทที่จะปฏิเสธรสชาติน้ำจัณฑ์ของแดนมนุษย์หรอกนะ

    นั่งจิบน้ำจัณฑ์ไปได้ไม่กี่เพลา บริเวณพื้นที่กว้างก็ปรากฏนางฟ้านางสวรรค์พาการออกมาร่ายรำตามทำนองเพลงอย่างอ่อนช้อยสมเป็นการงานเฉลิมฉลองการมาของเราอย่างสมเกียรติ ทว่า เราก็ยินดีปรีดาอยู่ได้ชั่วประเดี๋ยวเดียว เมื่อนางสวรรค์ตนสุดท้ายก้าวเท้าร่ายรำมาหยุดอยู่เบื้องหน้าห่างจากพื้นที่นั่งของเราไปเพียงไม่กี่คืบ

    ใบหน้าของนาง ดูสวยสง่ากว่านางไหนๆที่กำลังฟ้อนรำอยู่โดยรอบ...

    เราต้องเสน่ห์นางราวกับถูกร่ายมนต์ ตั้งแต่เรือนผมดำดกที่มวยเกล้าสูงประดับด้วยปิ่นทอง ใบหน้าโครงสวย นัยน์ตาโตส่องประกาย หรือกระทั่งริมฝีปากแดงรูปกระจับ หรือแม้แต่ความอ่อนหวาน อ่อนช้อยของมือไม้ขณะร่ายรำไปตามเสียงจากเครื่องสายเครื่องใหญ่ 

    ทุกส่วนของนางต้องตาเราจนไม่สามารถลดตามองไปทางอื่น...

    ท่านพี่...ท่านเห็นเหมือนน้องหรือไม่?” หากแต่เสน่ห์ที่มากล้นของนาง ก็ไม่อาจล่อลวงตาเราให้จ้องมองด้วยความเสน่หาได้นานนัก ยิ่งด้วยน้องชายคู่บารมีเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเพราะสิ่งที่ยลด้วยตาเปล่าด้วยแล้ว นางสวรรค์ตนนี้...มิใช่ไอ้กุมภัณฑ์หรอกรึ?

    เราก็ยิ่งฟื้นคืนสติได้ว่องไวขึ้น...

    ซึ่งยามนั้นดันเป็นจังหวะเดียวกับเสียงของผู้เชื้อเชิญเอ่ยขึ้น พานต้องหันไปขึงตามอง

    (หวังว่าท่านท้าวอสุเรนทร์จะอิ่มเอมกับการแสดงของนางรำและกับข้าวกับปลาที่กองถ่ายทุกคนมอบให้ หากท่านเปรมปรีกับสำรับและการแสดงแล้ว ท่านจงช่วยบันดาลทุกอย่างให้แคล้วคาด ปลอดภัย ดำเนินไปในทิศทางที่ดีด้วยเถิด...สาธุ สาธุ สาธุ!) ได้ยลยินเพียงเท่านั้น โทสะและความโกรธแค้นที่สั่งสมผ่านกาลเวลามาร่วมหลายหมื่นปีก็อุบัติขึ้น

    ตึง!

    จอกน้ำจัณฑ์ในมือถูกวางกระแทกลงคืนสู่ที่เดิม ก่อนที่งานเฉลิมฉลองต้อนรับจะถูกเราพังพินาศลงภายในพริบตา ด้วยสองมือที่พุ่งเข้าล้มโต๊ะสำหรับจัดเลี้ยงลง จนพังพินาศให้สมหมายในอารมณ์ โดยไม่ลืมประกาศก้องอย่างเกรี้ยวกราดและหนักแน่น

    กูมิกิน!!!”


    Talk1 มีความดุดันแล้วเกรี้ยวกราดและอาละวาดหนักมากเมื่อเห็นหน้าโจกท์ 
    ตอนแรกยังเปรมปรีอยู่เลยมิใช่หรือท่าน!? เจอเมรีเข้าไปถึงขั้นไม่กินกันเลยทีเดียว 55555
    ปล.หากเจอคำไหนหรือประโยคได้เราใช้ไม่ถูกต้อง 
    สามารเม้นบอกไว้เป็นความรู้ได้นะงับ จะขอบคุณมากๆเลย ฮ่าา
    #ยักษ์ไทยหล่อมากฝากบอกต่อด้วย อิอิ

    _____________________________________________________________ 

    ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%

    1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย

       
    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า

       

    ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%

    1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย

    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าคุณอสุเรนทร์โลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือโหวตข้างล่างเต็ม100นะเออ 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×