คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : SNAKE01 ll เป็นเมียงูครั้งที่1 {อัพ100%} ลิ้นของงู
Hunting you, I can smell you-alive
Your heart pounding in my head
Watching me, wanting me
จะตามล่าเธอ ฉันได้กลิ่นเธอที่ยังมีชีวิต
เสียงหัวใจเธอมันดังลั่นอยู่ในหัวของฉัน
กำลังมองดูฉัน กำลังอยากได้ฉัน...
ครืนน...
“โบอา
ลูกอย่าลืมเอาร่มไปโรงเรียนด้วยล่ะ”
เสียงของแม่ดังขึ้นจากในห้องครัว
หลังจากฉันเดินผ่านไป ฉันไม่ได้ตอบอะไรแค่เพียงทำตามคำพูดของแม่
คว้าร่มสีดำคันเล็กตัวมือก่อนเดินออกจากบ้านเพื่อไปเรียนตามปกติ
ครืนน ครืนนน
เช้าวันนี้ไม่สดใส
ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนและเสียงฟ้าร้องราวกับเป็นการเตือนว่าอีกไม่กี่นาที
ฝนจะเทลงมาอีกแล้ว ซึ่งฉันไม่ชอบมันเอาเสียเลย
ฉันรู้สึกดีที่บรรยากาศรอบตัวเย็นสบายเพราะสายฝน
แต่เมื่อใดที่ฝนเทลงมา ทั่วทุกพื้นที่จะชุ่มชื้นและชื้นแฉะ
และสิ่งที่มักปรากฏตัวหลังฝนตกนั้นก็คงไม่พ้นพวกสัตว์เลื้อยคลานน่าขยะแขยงอย่างพวกอสรพิษ
ต่อให้ไม่ชอบมากเท่าไหร่ก็ตามแต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ในเมื่อเมืองที่ฉันอาศัยมีฝนตกลงมาตลอดทั้งปี
ซ้ำร้ายบ้านที่อยู่อาศัยยังอยู่ในป่า
อีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันเกลียดวันฝนตกก็คือ
ฉันมักฝันถึงเรื่องน่ากลัวว่าตัวเองถูกงูนับสิบรุมรัด
เขาว่ากันว่าฝันเห็นงูรัดจะได้พบเนื้อคู่ แต่กับฉันไม่ใช่
มันเหมือนเป็นภาพหลอนตอกย้ำให้รู้ว่าทุกวันนี้ที่ต้องกลายเป็นที่รังเกียจของคนส่วนใหญ่มันก็เพราะสัตว์เลื้อนคลานพวกนั้นต่างหาก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ
ความฝันพวกนั้นมันเหมือนความจริงมาก
โดยเฉพาะกับสายตาของงูตัวใหญ่สีดำทมิฬในฝัน
และเสียงของมัน
‘เธอคือโบอา...ส่วนฉันคือไพธอน
พี่ชายของเธอ’
แปะ... แปะ...
ซ่า...
เดินก้าวเท้าออกจากบ้านได้ไม่เท่าไหร่
ฝนก็เริ่มเทลงมาราวกับจะแกล้งกัน ซึ่งมันไม่แปลกอะไร
เพราะทั้งชีวิตฉันก็ถูกแกล้งแบบนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว...
จากป่าสนไปยังโรงเรียนไฮสคูลรัฐชื่อดังในเมือง
ฉันใช้เวลาในการเดินกางร่มไปไม่ถึง 15 นาที เส้นทางในป่ามักมีความลับซุกซ่อนอยู่เสมอ
เพียงแค่เดินลัดเลาะนิดหน่อย
มันก็ทำให้เราไปโผล่ยังสถานที่ที่เราต้องการไปเหยียบได้แล้ว
“Hi! ได้ดูรายการโทรทัศน์เมื่อคืนหรือเปล่า?”
“ดูสิ มันตลกมากๆ
เลยนะ ฉันขำจนท้องแข็งไปหมด”
เสียงทักทายของเด็กในรั้วสถานศึกษาเดียวกันดังจอแจไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อเท้าก้าวเข้าสู่อาณาเขตของโรงเรียน พวกเขายืนกางร่มเพื่อรอกันและกัน
บ้างก็สวมเสื้อกันฝนสีสันสวยๆ
ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่มีบุคคลที่พร้อมจะเอ่ยปากทักและพูดคุยแก้เหงาเมื่อมาถึงยังที่แห่งนี้ เว้นฉัน...
ไม่มีคำทักทายดี ไม่มีคำพูดสวยหรูหรือการรอคอยเข้าห้องเรียนพร้อมกัน ที่โรงเรียนแห่งนี้ ‘ฉัน’ มีแค่ ‘ตัวฉัน’ เท่านั้นที่เป็นเพื่อน...
“โอ้วพระเจ้า
คุณบราวน์มาสักทีนะ!” แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครทักทายฉันเลยซะทีเดียว
ฉันเงยหน้ามองไปยังต้นเสียงและพบเข้ากับหญิงสาวผิวดำ
ฉันไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร รู้แค่ว่าเธอเรียนเกรด 12 เหมือนกันเพียงแต่คนละห้อง
แต่เป็นนักเรียนที่เก่งในเรื่องเอ็นเตอร์เทรนด์คนอื่น
“ทายสิว่าวันฝนตกคุณบราวน์พาใครมาคลานยั้วเยี้ยเต็มโรงเรียนของเรา”
เธอก็เป็นอีกคนที่ชอบแกล้งฉันไม่ต่างอะไรจากซานดร้า
ชอบตอกย้ำเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วและพวกเขามักรังเกียจสิ่งที่ติดตัวฉันมาอยู่เสมอ
“คุณบราวน์
คุณช่วยพาญาติคุณกลับไปหน่อยได้หรือเปล่า?” เธอบอกฉันพลางชี้หัวแม่โป้งไปด้านหลังตัวเอง
พลอยให้ต้องมองตามและพบว่าอาจารย์พละกำลังช่วยกันจับงูเหลือมตัวใหญ่ใส่ถุงหลายใบเพื่อเอาพวกมันไปทิ้ง
“แค่เธอตัวเดียวพวกเราก็ขยะแขยงกันมากพออยู่แล้ว” ขณะเดียวกันหูก็ได้ยินคำพูดแดกดันแสดงความรู้สึกของเธอด้วย “ขอร้องเถอะนะ บอกญาติเธอให้พวกเขากลับไปที อะ...”
ฟึ่บ!
ตึก... ตึก...
ฉันเบื่อที่จะฟังคำพูดพวกนั้น
จึงเลือกก้าวเท้าเดินเฉียดไหล่เธอไปไม่ได้ใส่ใจต่อคำพูด
แม้ว่าเสียงที่ตามมาคือถ้อยคำต่อว่า
“อะไรของเธอ
คิดว่าฉันอยากคุยด้วยมากหรือไง!?”
อย่างที่บอก ฉันไม่ได้สนใจคำพูดแดกดันเหล่านั้น
เพราะในหัวกำลังคิด ว่าทำไมนะ
ทำไมฝนถึงไม่หยุดสักที...
เวลาต่อมา...
ไม่นานช่วงเวลาน่าเบื่อช่วงเช้าเคลื่อนผ่านไป
ยามที่เวลาคราบโฮมรูมแรกมาถึง
ฉันนั่งอยู่ริมหน้าต่างหลังห้องเพียงลำพัง
โต๊ะเปล่ากับเก้าอี้ข้างกายถูกปล่อยให้ว่างมาแรมปีและมันคงจะวางอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งฉันจบการศึกษาไปจากที่นี่
“เอาล่ะ เงียบหน่อย” เสียงฝีเท้าหนักๆ ของคุณ ‘แมทสัน’ อาจารย์ประจำคลาสดังขึ้นก่อนตามมาด้วยเสียงวางแฟ้มการสอนลงบนโต๊ะหน้าห้อง
ทำเอาเสียงพูดคุยจอแจของพวกมนุษย์น่ารำคาญคนอื่นๆ ภายในห้องเงียบลง
ฉันไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณแมทสันพูดนัก
เพราะอย่างไรมันก็คือการสั่งงานหรือไม่การบอกให้ระวังเรื่องงูเงี้ยวเขี้ยวขออย่างเช่นทุกวัน
และเมื่อถึงตอนนั้นฉันก็จะถูกคนอื่นๆ
แกล้งราวกับว่าพวกเขามองเห็นฉันเป็นงูไม่ใช่มนุษย์ปกติ
การเลือกมองเม็ดฝนที่สาดกระทบหน้าต่างเลยเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่าสภาพแวดล้อมในห้องเรียน...
“วันนี้คลาสของเราจะมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่
2 คน ผมอยากให้พวกคุณช่วยเป็นมิตรกับเขาหน่อย...”
ฉันได้ยินสิ่งที่คุณแมทสันพูด
แต่เช่นเคยไม่ได้คิดจะพูดและไม่คิดจะสนใจนักเรียนใหม่ที่เขาพูดถึงด้วย ยังไงเสีย... ไม่นาน
พวกเขาก็ต้องถูกล้างสมองด้วยคำพูดคนอื่นๆ
แล้วมองฉันเป็นตัวประหลาดแบบเดียวกันไปหมด
“ครูส เธอร์แมนครับ
เพิ่งย้ายมาจากเมือง Lune town…” ฉันได้ยินเสียงฮือฮาและเสียงกระซิบกรี๊ดกร๊าดของเพื่อนร่วมคลาสผู้หญิงยามเสียงแนะนำตัวของเด็กใหม่ดังขึ้นและรับรู้ได้โดยไม่มองว่าคนแรกเป็นผู้ชาย
ตึก... ตึก...
ตึก...
และต่อมาหูก็ได้ยิน...
เสียงฝีเท้าหนักๆ
ของใครคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาและในทุกย่างก้าวของเขาฉันเหมือนยินเสียงของงูขู่ดังอยู่ในลำคอ
เสียงดังกล่าวใกล้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ก่อนตามมาด้วยเสียงทักท้วงของคุณแมทสัน
“อ้าวนั่น คุณ!” คราวนี้เสียงฮือฮาดังกล่าวดังมากขึ้นกว่าเดิมนัก
ราวกับว่าทุกคนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง
พานให้ต้องละสายตากลับไปยังหน้าคลาสเรียนด้วยความสงสัย
ตึก... ตึก... กึก...
วินาทีที่เบือนสายตากลับไป
สิ่งที่ได้เห็นกลับกลายเป็นชายแปลกหน้าตัวสูงราวๆ เกือบ 180
เซนติเมตรซึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะเรียนว่างเปล่า ด้านหน้าฉันพอดิบพอดี
เขาแต่งกายด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนขาเดฟขาดๆ
สีดำสนิททั้งตัว โดยสวมเสื้อหนังคลุมทับอีกชั้น
ดูกลมกลืนกับเรือนผมสีมะเดื่อซอยสั้นไล่ระดับเป็นทรง หากแต่ตัดกับนัยน์ตาสีน้ำข้าวขาวใสราวกับอัญมณี
ทันทีที่เรามีโอกาสได้สบสายตาต่อกัน
ริมฝีปากหยักลึกได้รูปก็กระตุกยิ้มคล้ายกับเป็นการทักทาย
ก่อนตามมาด้วยคำพูดเสียงเย็นเยือกและฟังดูเฉื่อย
“ขอนั่งด้วยนะ...โบอา”
เขาไม่ได้รอฉันเอ่ยปากตอบ
แต่ใช้มือดึงเก้าอี้ที่เว้นว่างอยู่เลื่อนออก
ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงท่ามกลางสายตาของคุณแมทสันและคนอื่นๆ ภายในห้อง
ที่สำคัญคนตัวสูงดูไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างเลยแม้แต่นิด
เพราะนัยน์ตาสีสวยเหมือนอัญมณีคู่นั้นเอาแต่จับจ้องมาที่หน้าราวกับเป็นสิ่งเดียวที่เขามองเห็น
“แฮ่มๆ... ผมว่าคุณลืมแนะนำตัวนะเด็กใหม่” แต่เมื่อเสียงของคุณแมทสันกระแอมขัดขึ้น
นัยน์ตาสีสวยคู่นั้นก็เบี่ยงกลับไปยังหน้าคลาสเรียนทันที
ตอนนี้ทุกเสียงภายในห้องเงียบลงราวกับว่ากำลังรอคอยการแนะนำตัวจากเขาแต่เพียงเท่านั้น
“ธอน เฮนเลย์…” เสียงเข้มหากแต่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดเอ่ยชื่อตัวเองเสียงเย็น
เขาทำเพียงเท่านั้นและเบือนสายตากลับมายังฉันอีกครั้งอย่างสนอกสนใจ
จนเกิดเป็นเสียงซุบซิบของเพื่อนร่วมห้อง
ฉันเกลียดการตกเป็นที่พูดถึงเลยเลือกเลื่อนสายตามองสายฝนนอกกระจกเพื่อปิดโสตประสาทการรับรู้ทั้งหมดลง แม้ว่าหูจะได้ยินเสียงคุณแมทสันกำลังจัดแจงบอกเด็กใหม่อีกคนให้หาที่นั่ง
แต่ขณะเดียวกันฉันก็ยังรู้สึกถึงการถูกมองจาก เฮนเลย์
นักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่เช่นกัน
รู้สึกแปลกยามมองตอบนัยน์ตาสีสวยคู่นั้น รู้สึกเหมือนฉันเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน
แต่พอนึกกลับนึกไม่ออก
ฟึ่บ...
“เฮือก!”
ตึง!
ฉันสะดุ้งเฮือกจากภวังค์ความคิด
รีบลุกพรวกจากที่นั่งจนเกิดเสียงดัง
เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างสัมผัสแตะบริเวณข้างแก้ม สายตาตวัดมองไปยังต้นต่อของความรู้สึกดังกล่าว
ก่อนพบว่ามันคือปลายนิ้วเย็นๆ
ของเฮนเลย์ที่พยายามเอื้อมเข้ามาหาพร้อมนัยน์ตาคู่เดิมและความรู้สึกแปลกๆ ซึ่งฉันกำลังถูกนัยน์ตาสีอัญมณีคู่สวยสะกดให้มองอยู่อย่างนั้น...
“เป็นอะไรไปคุณบราวน์” รู้สึกตัวอีกที หูก็ได้ยินเสียงของคุณแมทสันถามขึ้น ก่อนพบว่า
ตอนนี้ตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนในห้องกลางชั่วโมงเลข
ฉันเม้มปากลงเล็กน้อยอย่างนึกประหม่ารีบละสายตาไปจากเด็กใหม่ก่อนอย่างรีบร้อนและให้คำตอบคุณแมทสันกลับไป
“ปะ เปล่าค่ะ...” เพื่อเลี่ยงการตกเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้
ฉันเลยทิ้งตัวนั่งบนที่ของตัวเอง
หยิบหนังสือกับสมุดสำหรับวิชาที่กำลังเรียนขึ้นมากางเพื่อเตรียมจด แต่...
“ผมมันปรกหน้าน่ะ...” ตัวต้นเหตุของความตกใจดันพูดขึ้นหน้าตาเฉย
เสียงเฉื่อยชาเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิหนำซ้ำยังพยายามยื่นมือมาหาเป็นหนที่สอง
จนต้องเอี้ยวตัวหลบและพูดเบรกสิ่งที่เขาจะทำลง
“ขะ ขอบใจเฮนเลย์
ฉะ...ฉันจัดการเองได้” ว่าแล้วมือข้างถนัดก็รีบจัดแจงทัดผมเพ้าของตัวเองให้เรียบร้อย
ก่อนจับปากกาตั้งท่าจดสิ่งที่อยู่บนกระดานไวท์บอร์ดเบื้องหน้า
โดยเลี่ยงที่จะสนใจหรือผูกมิตรกับเขาอีก
แต่ใช่ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เขาหยุดวุ่นวายกับฉันลง...
“ธอน...” เฮนเลย์เอ่ยขึ้นเสียงเอื่อยติดกระซิบ จนต้องเหลือบมองเขาอีกครั้งจากทางหางตา และพบว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับฉันอยู่
“เรียกธอนสิ...โบอา”
“อ อื้อ...” ที่น่าตกใจก็คือเขารู้ชื่อฉันตั้งแต่แรกได้โดยไม่จำเป็นต้องปริปากถามสักคำ
ไม่สิ!
ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย
ก็ในเมื่อเรื่องราวตอนเกิดของฉันเป็นที่พูดถึงไปทั่วอยู่แล้ว แม้ไม่บอก เขาก็น่าจะรู้อยู่
พอรู้สึกแบบนี้
ลึกๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมา
ว่าเขาจะรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงฉันอย่างที่คนอื่นรู้สึกบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงยังกล้าคิดจะแตะตัวและยอมพูดคุยด้วย
ต่างจากคนอื่นๆ คิดแล้วมันก็อดแอบลอบมองเสี้ยวหน้าของเด็กใหม่ไม่ได้
และพบว่าตอนนี้เขาไม่ได้มองฉันอย่างตอนแรกอีกแล้ว
แต่กำลังหันมองไปรอบตัวราวกับสนอกสนใจ แต่ไม่นานหรอก...
“คุณเฮนเลย์!” เสียงของคุณแมทสันก็ดังขึ้นอีก ขัดบรรยากาศความเงียบในชั้น
พานให้ฉันซึ่งแอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนถูกเรียกรีบก้มหน้ามองหน้ากระดาษสมุดว่างเปล่าของตัวเองทันที
“คุณมองอะไรอยู่คุณเฮนเลย์?” ถึงกระนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเขายามถูกคุณแมทสันเรียก
ก่อนต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ในสิ่งที่คนถูกถามให้คำตอบออกมา
“มนุษย์...”
คำตอบเฉื่อยเฉยอย่างคนเถรตรงทำเอาเสียงหัวเราะของคนร่วมคลาสดังรวนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
จนคุณแมทสันต้องใช้แปรงลบกระดานเคาะไวท์บอร์ดแทนการสั่งให้ทุกคนเงียบ
ก่อนเอ่ยแทรกความเงียบด้วยเสียงดุดัน
“คุณยังไม่มีหนังสือเรียนใช่ไหมคุณเฮนเลย์”
คราวนี้คนถูกถามไม่ตอบ
เขาเอาแต่นั่งนิ่งจ้องตอบสายตากับคุณแมทสันกลับไป
ด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าเขากำลังยียวนกวนประสาท
มันเลยพลอยให้นักเรียนบางคนซึ่งเลือกจะมองมายังเขาหลุดหัวเราะอย่างสุดจะกลั้น
แหงล่ะ...
ก็คุณแมทสันน่ะ ทั้งดุ ทั้งเขี้ยว แถมยังเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัว
“คุณบราวน์
ถ้าคุณมีน้ำใจรบกวนคุณแบ่งปันหนังสือให้คุณเฮนเลย์ดูด้วยได้หรือเปล่า?”
“ค่ะ ได้ค่ะ!” สิ้นเสียงรับคำ
คนตัวใหญ่ที่เวลานี้ตกเป็นจุดสนใจก็รีบกระชับมือจับเก้าอี้กระเถิบเข้ามาใกล้ทันทีแบบไม่ต้องรอคำสั่ง
กึก...
เขาเข้ามาใกล้มากจนแขนของเราเบียดกัน
รู้สึกได้ว่าลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดใส่ข้างแก้มได้ชัดเจน
เมื่อตัดสินช้อนตาเหลือบมอง ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายรีบหลุบตาลงไปยังตำราเรียนเสียเอง
เพราะพบว่านี่เป็นหนที่สองแล้วที่ถูกนัยน์ตาสีสวยคู่นั้นมอง
แถมยังมองจากระยะที่ใกล้มาก...
ไม่ชินเลย...
ไม่ชินกับการถูกนัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองอย่างสนอกสนใจแบบนี้เลย...
ถึงจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็กใหม่อย่างเฮนเลย์ตลอดคาบเช้า
แต่เมื่อถึงเวลาพักกลางวันทุกอย่างก็สิ้นสุดลง นักเรียนคนอื่นๆ
ภายในห้องต่างพากันจับกลุ่มเก็บข้าวของของตนลุกออกจากที่นั่ง คงมีเพียงแค่ฉันที่ไม่ได้รีบได้ร้อนอะไรนัก
และเพราะความไม่รีบร้อนนี่แหละฉันจึงมักถูกแกล้งอยู่บ่อยๆ
“เฮนเลย์~” เสียงแหลมเล็กของซานดร้าเอ่ยดังทักขึ้น
เรียกความสนใจจากสายตาของผู้ถูกเรียกได้เป็นอย่างดี
เหมือนที่บอกซานดร้าเป็นสาวป๊อบ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกชมรมเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียน
ไม่แปลกอะไรที่เสน่ห์และความสวยของผู้หญิงผิวขาวผมบลอนด์รับนัยน์ตาสีอ่อนจะดึงดูดเพศตรงข้าม
“รู้ทางไปแคนทีนหรือยัง
ฉันพาไปเอามะ?” เธอใช้วิธีการพูดแบบเป็นกันเองในการเข้าหาผู้อื่น
ซึ่งมันมักได้ผลทุกครั้ง หากแต่คราวนี้ดันต่างไปเมื่อคนถูกถามไม่ตอบแต่กลับหันมาสะกิดฉันแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเฉื่อยเฉยเช่นเดิม
“รู้ทาง...ไปแคนทีนหรือเปล่า” ฉันทำหน้านิ่งเมื่อถูกเขาถามแบบนั้น ไม่ใช่เพราะรู้สึกตกใจที่ถูกถาม
แต่เพราะเสียงของเขายามเอ่ยออกมานั้น ฉันคล้ายกับได้ยินเสียงขู่ในลำคอคล้ายกับพวกอสรพิษรอดดังออกมาด้วยต่างหาก
แปลก
เพราะฝันบ้าๆเมื่อคืนแน่ๆ...
และเมื่อรู้สึกตัว
สายตาจึงรีบเลื่อนมองไปยังใบหน้าสวยๆ
ของใครอีกคนที่เวลานี้กำลังบึ้งตึงคล้ายกับไม่ชอบใจที่ถูกเมิน
ลำพังแค่การถูกหาเรื่องแกล้งแต่ละวันมันก็น่ารำคาญพอแล้วจึงไม่อยากมีปัญหากับซานดร้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นเลยตัดสินใจยัดข้าวของของตัวเองทั้งหมดลงเป้สะพายหลัง
ลุกออกจากที่นั่งอย่างรีบร้อน โดยไม่ลืมให้คำตอบเขากลับไปตามมารยาท
“ถะ
ถามคุณคอร์ชดูแล้วกัน ฉันไปก่อนนะ”
ฉันก็หอบข้าวหอบของของตัวเองเดินก้มหน้าไม่พูดไม่จากกับใคร ไปตามโถงทางเดิน สวนนักเรียนคนแล้วคนเล่า เพื่อพาตัวเองออกไปสู่พื้นที่ที่เงียบสงบ
สำหรับคนไม่มีเพื่อนสักคนตู้กดเครื่องดื่มกับขนมปังคือทางเลือกที่ดีที่สุดมากกว่าจะพาร่างกายซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับเข้าไปยังที่ที่คนพลุกพล่านอย่างแคนทีน
ช่วงพักกลางวันขอแค่มีน้ำแร่เย็นๆ
สักขวดกับขนมปังสักก้อนก็เพียงพอแล้ว...
ตึก... ตึก...
ฉันพาตัวเองเดินลัดเลาะมายังสนามบาสเก่าด้านหลังโรงเรียน
เพราะบริเวณนี้ค่อยข้างเงียบและไม่ค่อยมีผู้คนมาใช้บริการสนามบาสกลางแจ้งแห่งนี้เท่าไหร่
นักเรียนส่วนใหญ่แห่กันไปใช้สนามกีฬาในร่มที่เพิ่งสร้างใหม่กันหมด
ที่ตรงนี้เลยมักตกเป็นที่สำหรับคนไร้เพื่อนอย่างฉันใช้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
สายตากวาดมองหาที่นั่งดีๆและแห้งสักที
หากแต่สายตาดันสะดุดเข้ากับงูเหลือมสีอ่อนตัวเล็กซึ่งกำลังนอนขดตัวอยู่บนม้านั่งที่เป็นเป้าหมายเสียได้
แถมในหัวยังได้ยินเสียงของมัน...
‘Ssss…ไงโบอา
มานั่งด้วยกันสิ’ ฉันแสยะปากอย่างนึกขนลุกให้กับคำเชิญชวนดังกล่าว
มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่คนส่วนใหญ่รู้สึกต่อฉันนั่นแหละ
เพราะแบบนี้ไง
ฉันถึงได้ไม่ชอบวันฝนตก อีกอย่างต่อให้จะฟังสิ่งที่สัตว์พวกนี้พูดเข้าใจ
ก็ใช่ว่าอยากจะญาติดีกับพวกมันซะที่ไหน ยิ่งเมื่อคืนฝันเรื่องน่ากลัวด้วยแล้ว
ฉันก็ยิ่งอยากพาตัวเองหนีไปให้ไกล
เมื่อคิดแบบนั้นฉันจึงตัดสินใจหันหลังโดยยังคงปรายตาเหลือบมองไปยังงูเหลือมตัวเดิม
ซึ่งดูคล้ายว่ามันกำลังมองตอบสายตากลับมาเช่นกัน ทว่า
ความรีบร้อนทำฉันซึ่งไม่ทันระวังตัวหันไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างเต็มแรง
ฟึบ! ตุบ!
“ขอโทษ พอดีว่าฉัน...” ฉันรีบก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
แม้จะเดาได้ว่าเสียงที่ตอบรับกลับมาจะเป็นการต่อว่า แต่เหมือนว่าครั้งนี้ฉันคิดผิด
เมื่อคนตรงหน้าไม่ปริปากพูดแดกดันให้ได้ยินสักวลี กลับกัน
เขายังเป็นฝ่ายใช้มือเลื่อนมาจับไหล่ฉันพร้อมทั้งปัดฝุ่นบริเวณบ่าให้อย่างอ่อนโยนคล้ายกับเวลาแต่งตัวตุ๊กตา
ปฏิกิริยาตอบรับที่ต่างจากสิ่งที่เคยเจอ
ทำฉันรีบเงยหน้าขวับมองบุคคลตรงหน้าอย่างทันควัน
ก่อนต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาคือ
“เฮนเลย์...”
บอกตามตรง
ฉันไม่ได้ตกใจที่คนถูกชนเป็นเขา แต่ตกใจที่เห็นเขายืนอยู่ในระยะประชิดขนาดนี้
ทั้งที่ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครก้าวตามหลังมาแถวนี้เลยต่างหาก กลับกัน เจ้าของชื่อดันขยับยิ้มรับใจดี
นัยน์ตาคู่เดิมนั่นก็คล้ายกับมีมนต์สะกดให้นิ่งไปชั่วขณะ ยามเผลอสบตาทุกครั้ง
“เจอสักที...หาตัวตั้งนาน...” เขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปรอยผมยุ่งซึ่งตกลงมาปรกหน้าไปทัดข้างหูให้อย่างถือวิสาสะ
แววตาของเฮนเลย์ดูมีความสุขยามที่ได้ทำแบบนั้น
มันคือแววตาที่ฉันไม่เข้าใจความหมาย เขาไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ
ทำ ตรงกันข้าม
เหมือนเขาจงใจที่จะเข้าใกล้และพยายามแตะเนื้อต้องตัวฉันอยู่ตลอดเวลามากกว่า
“ผมสีสวย
ทำไมยุ่งแบบนี้ล่ะ โบอา...” อีกครั้งที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยขึ้น
พร้อมทั้งทำท่าจะเอื้อมมือมาแตะศีรษะฉันเป็นหนที่สอง
ฉันจึงเอี้ยวตัวหลบฝ่ามืออุ่นตรงหน้า พร้อมทั้งหาข้อแก้ตัวเพื่อไม่ให้สิ่งที่แสดงออกดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
ฟึ่บ!
“อ่า...ขอโทษนะ
พอดีฉันรีบ”
“...รีบไปไหน?” เสียงของเฮนเลย์เวลานี้ดังชัดกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนเสียอีก
เสียงเขายานเฉื่อยเหมือนคนใจเย็น แถมให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าความเย็นจากขวดน้ำแร่ที่ถืออยู่ในมือเสียอีก
“ฉันกำลังจะไปหาที่นั่งพักน่ะ
พอดีที่ประจำมันมีงูขดอยู่...” อีกแล้ว
พอสบเข้านัยน์ตาคู่สวยตรงหน้า ความรู้สึกแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นในอก
ใจฉันกำลังเต้นแรงไม่ใช่เพราะความหวั่นไหวกับรูปร่างหน้าตาของผู้ชายตรงหน้า
แต่ลักษณะอาการมันคือความรู้สึกเดียวกับที่เกิดในความฝัน
วินาทีที่ร่างกายถูกงูตัวน้อยใหญ่รุมบีบรัดร่างกายจนรู้สึกหายใจไม่ออกต่างหาก
เพื่อเลี่ยงอาการเหล่านั้นและหยุดนึกถึงฝันน่ากลัวนั่นลง
ฉันจึงรีบชิงหาทางปลีกตัวออกไปให้ห่างจากนัยน์ตาสีสวยคู่ดังกล่าว
“ขอตัวก่อนนะ...อะ” แต่เหมือนเฮนเลย์จะไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น
หมับ!
ทั้งที่น้ำเสียงฟังดูใจเย็นและเอื่อยเฉื่อย หากแต่ไม่ใช่กับร่างกายที่ขยับคว้าแขนฉันไว้อย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน บนดวงหน้าคมคายยังคงรอยยิ้มไว้ ส่วนสายตามองผ่านฉันไปยังเก้าอี้ด้านหลัง จ้องอยู่อย่างนั้นเพียงครู่สั้นๆ จึงยอมลดสายตากลับมายังฉันเป็นหนที่สองแล้วเอ่ยขึ้น
“ม้านั่ง...มันว่างนี่...” ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น
ฉันก็รีบเหลียวหลังขวับมองไปยังม้านั่งตัวที่ว่าทันทีด้วยความตกใจ
แล้วต้องพบว่างูเหลือมตัวเล็กซึ่งเคยขดอยู่บนนั้น ตอนนี้มันได้เลื้อยหายไปจากม้านั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ตะ
แต่เมื่อกี้งูตัวนั้นมัน...อะ” น้ำเสียงตกอกตกใจถูกทำให้เงียบลงเมื่อคนฟังเปลี่ยนมันเลื่อนมาใช้โอบกอดตัวฉันไว้เพียงวงแขนเดียว
และเริ่มก้าวเท้าลากดึงฉันให้เดินถอยหลังกลับไปยังเก้าอี้ตามแรง
“นี่จะทำอะไร ปล่อยนะ!” ฉันไม่เคยชินกับการอยู่ใกล้ชิดใคร
ไม่เคยแนบชิดกายกับผู้ชายคนไหนมาก่อนนอกจากพ่อ
ร่างกายจึงแสดงปฏิกิริยาต่อต้านการกระทำของอีกฝ่ายทันที
ทั้งที่เฮนเลย์ไม่ได้ตัวใหญ่มากเลยแท้ๆ
แต่พลังการกอดรัดตัวฉันจากวงแขนแกร่ง แน่นและรุนแรง
ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกในความฝันเลยสักนิด
“เฮนเลย์หยุดนะ!”
ฉันปรามเขา แต่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะสนใจ สุดท้ายเฮนเลย์ก็ลากพามายังม้านั่งตัวประจำจนได้
ฟึ่บ! ตุบ!
“เรียกธอนสิ...โบอา” มิหนำซ้ำเขายังพูดเหมือนไม่ได้ฟัง
ที่สำคัญสำเนียงการพูดที่มักจะลงท้ายด้วยชื่อฉันอย่างสนิทสนมนั่นก็ฟังดูคุ้นหู...
“โอเคธอน...” คำพูดซึ่งเหมือนใจเย็นกับทุกสิ่งทำฉันยกมือสองข้างขึ้นทั้งที่ยังถือขวดน้ำแร่และขนมปังไว้แสดงการยอมแพ้ “ฉันอยากไปจากตรงนี้ ขอฉันลุกออกไปหน่อยได้ไหม?”
“ไม่ได้...” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคนตอบ ซึ่งขัดกับน้ำเสียงเฉื่อยเฉย
ภาพลักษณะและการแสดงออก มันเริ่มทำให้ฉันตระหนักได้ว่า นี่อาจจะเป็นการแกล้งรูปแบบใหม่ตามประสาเด็กใหม่ก็ได้
บางทีซานดร้าอาจจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉันในช่วงที่เธออยู่กับเฮนเลย์สองต่อสอง
สุดท้ายทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด...
“นายต้องการอะไร?” ฉันขมวดคิ้วถามอย่างใจเย็น แม้ลึกๆจะรู้สึกไม่ชอบการถูกแกล้งแบบนี้เอาเสียเลยก็ตามที
แต่ก็ยังหวังว่าคำถามเมื่อครู่มันจะช่วยทำให้เขาหยุดแกล้งฉันตามคำยุคนอื่นสักที
แต่ก็เปล่า...
“พี่ต้องการ โบอา...”
เขาให้คำตอบตามสิ่งที่ถูกถามคล้ายจงใจยียวน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาจงใจรุกแกล้งหนักข้อขึ้น ด้วยการโน้มลำตัว
เคลื่อนใบหน้าหน้าลงมาหาอย่างรวดเร็ว
พลางทาบมือลงกับที่วางแขนของม้านั่งแทนหลักยึด
“อะ...”
กึก!
ระยะที่ใกล้กันจนเหลือระยะห่างแค่ลมหายใจ
ราวกับสะกดทุกอย่างรอบตัวให้เคลื่อนไหวช้าลง จากที่ว่าเห็นนัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นชัดอยู่แล้ว
คราวนี้ยิ่งชัดมากขึ้นไปอีก สายตาเหมือนถูกสะกดให้มองลึกเข้าในนัยน์ตาเรียวรีเบื้องหน้าอยู่อย่างนั้น
จนวูบหนึ่งที่ในหัวปรากฏภาพของงูตัวใหญ่สีดำในความฝันเจนชัดเข้ามาในความคิด
ภาพของงูตัวดังกล่าวกำลังใช้ลำตัวบีบรัดร่างกายฉันไว้ขณะที่มันใช้ลิ้นสองแฉกน่าขยะแขยงตวัดผ่านข้างแก้มไป เฉกเช่นเดียวกับตอนนี้...
“เฮือก!” ตอนที่เฮนเลย์กำลังกระทำแบบเดียวกับที่อสรพิษน่าตัวนั้นเคยทำ
หากแต่มันไม่ใช้ลิ้นสองแฉกของสัตว์เลือดเย็นแต่เป็นลิ้นนุ่มชื้นแฉะของสัตว์เลือดอุ่นอย่างเช่นมนุษย์
โดยเจ้าของเรียวลิ้นร้อนดังกล่าวได้ทิ้งเสียงกระซิบสั้นๆ
ข้างหูไว้เพียงแค่ว่า
“วันนี้กลับบ้านกับพี่นะ โบอา...”
To Be Continued...
^
รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
ความคิดเห็น