คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Shockwave01 ll ปราบชะนีครั้งที่1 {อัพ100%}
3 วันต่อมา...
@Paradise’s
Pub
เวลา 21.40 น.
ฉันกำลังตกเป็นเป้าสายตาและถูกลวนลามทางสายตา
นับตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่โดยสาร
จนกระทั่งเดินมาหยุดนั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่หน้าบาร์น้ำของผับชื่อดัง เพียงแค่ขยับกายเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่าก็สามารถทำให้หนุ่มๆ
แถวนั้นน้ำลายแตกฟองได้แล้ว
และการที่ฉันแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดมาเที่ยวคนเดียวดึกๆ
แบบนี้ก็ไม่ใช่เพื่อมาล่อเสือล่อตะเข้ หรือเพื่อยั่วน้ำลายใครหรอกนะ แต่ฉันก็มีเหตุผลส่วนตัว…
ย้อนกลับไป 4 ชั่วโมงก่อน...
“แย่งแฟนคนอื่นได้เนี่ย มันน่าภูมิใจนักหรือไง!?” สถานการณ์ชุลมุนในตอนนั้น ฉันแผดเสียงตะคอกใส่หน้าวายร้ายตรงหน้าพลางเงื้อมมือตบเข้าใส่เธอฉาดใหญ่
เพียะ!
“ตอบสิ!” ส่วนปากก็เร่งเร้าเอาคำตอบ
“ปล่อยฉันนะ นังบ้า!”
เสียงหวีดร้องอย่างคนคลุ้มคลั่งของหญิงสาวรูปร่างพอๆ
กันกับฉันดังขึ้น ขณะมือไม้ของเธอตีสะเปะสะปะไปมา หน้าตาเธอดูสวยแต่ไม่ใช่กับตอนนี้ตอนที่ใบหน้าเรียวรูปไข่ของเธอจะเต็มไปด้วยเลือดซิบๆ
เพราะถูกลูกตบของฉันเข้าไป
“มันเรื่องอะไรของแกด้วยไม่ทราบ!” หล่อนจิกผมฉันทึ้งลงกับพื้นเพื่อพยายามพลิกตัวเองให้กลับมาเป็นฝ่ายเหนือกว่า
การกระทำแบบนั้นของหล่อนทำฉันพลาดท่า ถูกฝ่ามือของเธอตบเข้าใส่หน้าอย่างเต็มแรง
เพียะ!
เพราะเคยผ่านช่วงเวลาทำนองนี้กับผู้หญิงที่ชอบยุ่งกับแฟนชาวบ้านมาเยอะ
ประสบการณ์จึงสอนให้ฉันรู้ว่าควรจะจะพลิกสถานการณ์อย่างไร
เมื่อตบไม่ได้ผล
แผนสุดท้ายก็เลยต้องใช้กำลังให้เหมือนๆ ที่พวกผู้ชายชอบทำกัน พอคิดแบบนั้น มือข้างหนึ่งจึงพุ่งเข้าจิกเรือนผมยาวสลวยของศัตรูตรงหน้าเอาไว้แน่น
ขณะที่มือข้างถนัดกำหมัดไว้แน่น ไวกว่าความคิด
เพื่อยุติสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี่ลงฉันจึงตัดสินใจพุ่งหมัดพุ่งเข้าใส่ดั้งอีกฝ่ายแบบเต็มแรง
ผลัก!
ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล
เมื่อเธอยอมปล่อยมือที่จับทึ้งผมฉันออกไป รีบใช้สองมือขึ้นอังจมูกตัวเองที่ตอนนี้ปรากฏคราบของเลือดกำเดาจากแรงกระแทกเมื่อครู่
แถมยังหวีดเสียงแหลมสูงออกมาด้วยอาการตกใจ
“ละ เลือด!
กรี๊ดดดดดด แก... แกทำบ้าอะไร!!” ในช่วงเวลาที่ร่างกายเป็นอิสระ
ฉันก็ไม่รอช้ารีบหยัดกายลุกกลับขึ้นมายืนเป็นหนที่สอง
ยอมรับว่าการมีเรื่องกับหล่อนในวันนี้ค่อยข้างเสียหายไปเยอะพอดู
มุมปาก ต้นแขน ข้างแก้มฉันเต็มไปด้วยรอยแดงและรอยขีดข่วนของเล็บ แต่รวมๆ
แล้วฉันก็ถือว่าโอเคที่ได้เห็นอีกฝ่ายหยุดบ้าคลั่ง และสงบลงได้ด้วยเลือดกำเดานั่น
“เอาเวลาแย่งแฟนชาวบ้านไปทำดั้งใหม่ซะนะ”
ฉันเหยียดยิ้มก่อนโน้มตัวก้มลงเก็บแว่นกันแดดสีทึบคู่ใจที่ตกอยู่บนพื้นนับตั้งแต่วินาทีที่เริ่มเข้าปะทะด้วยระยะองศาที่เหมาะสม
จากนั้นก็เลื่อนขึ้นสวมแบบเชิดๆ
“ไปเถอะหม่อน เคลียร์แล้ว” คำพูดประโยคต่อมาถูกเอ่ยขึ้น เมื่อฉันหันไปสบตาเข้าเพื่อนสาวคนสนิทซึ่งยืนถือกระเป๋าสะพายให้ในระยะใกล้ๆ แน่นอนว่าเธอไม่ปฏิเสธคำชวนของฉันรีบก้าวเท้าเดินเร็วตามหลังฉันที่เดินปัดปลายผมยาวรวบไปไว้ด้านหลังในฐานะของผู้ชนะ
เพื่อนสาวคนที่ว่าเธอชื่อ ‘ใบหม่อน’ นางเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง เรารู้จักกันตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะแบบนั้นเราทั้งคู่เลยค่อนข้างสนิทกัน
“เธอไม่น่าไปทำเขาแบบนั้นเลย เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด...”
“ผู้หญิงมักง่ายก็ควรจะถูกสั่งสอนแบบนี้นี่แหละ”
ฉันก็ว่าไปตามท้องเรื่อง
มันก็จริงอย่างที่เธอว่านั่นแหละ เรื่องที่ฉันตบกับผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นมันไม่ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด แต่ที่ฉันต้องลงทุนลงแรงลงมือจัดการยัยนั่นด้วยตัวเองก็เพราะ ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเพื่อนของฉันร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนบ้า
ตั้งแต่รู้จักกับใบหม่อนมา ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนโชคไม่ดีเรื่องความรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คบกับใครก็ไม่นาน คบไม่นานไม่เท่าไหร่แทบยังถูกแย่งแฟนบ่อยยิ่งกว่าอะไรดี ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าใบหม่อนไม่สวยหรอกนะ แต่เธอไม่รู้จักแต่งตัวมากกว่า การที่เพื่อนเป็นแบบนั้นมันเลยส่งผลมาถึงฉันที่ต้องเป็นฝ่ายลงไม้ลงมือจัดการด้วยตัวเอง เพราะฉันยึดคติที่ว่า ถ้าคิดจะทำอะไรมันก็ต้องทำให้สุด
เพราะแบบนั้นในช่วงดึกของวันเดียวกันฉันก็เลยต้องมานั่งแก่วอยู่ที่ผับดังแห่งนี้คนเดียวยังไงล่ะ!
และการที่ฉันชอบหยิบยื่นมือเข้าไปช่วยใบหม่อนอยู่บ่อยๆ
มันก็เลยทำให้มีทั้งคนรักและคนเกลียดเคล้ากันไป
เข้าข่ายที่ว่าเป็นดอกไม้ในสายตาผู้ชาย แต่เป็นอสูรกายในหมู่ผู้หญิงนั่นแหละ แต่แล้วยังไง ใครสนล่ะ สำหรับฉันแค่มีหม่อนเป็นเพื่อนแบบนี้มันก็พอแล้วล่ะ
พอต้องทนนั่งแก่วอยู่คนเดียวนานๆ
มันก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เดิมทีฉันก็ไม่ใช่สาวเที่ยวกลางคืน
หลงแสงสีเสียงดนตรีอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฉันไว้ใจและเชื่อถือที่สุดแบบพี่อาร์ม
จึงตกเป็นเป้าหมายแรกที่ฉันจะโทรหาในช่วงเวลาน่าเบื่อแบบนี้
“ฮัลโหลพี่อาร์มขา อยู่ไหนอ่ะ?”
พอปลายสายรับ ฉันก็รีบยิงคำถามใส่ทันที
[อยู่ใกล้ๆ นี่แหละค่ะ] พอได้ฟังเสียงจากปลายสาย ร่างกายก็ตอบรับคำพูดเขาด้วยการหันซ้ายแลขวาทันที
นอกจากคำตอบที่บ่งบอกว่าเขาอยู่ใกล้ฉันแล้ว
เสียงเพลงที่ดังขึ้นในสายสอดคล้องกับกับที่หูได้ยินในระยะเวลาปัจจุบันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน
“อยู่ตรงไหนอ่าคะ
หนูอยู่ตรงบาร์น้ำเนี่ย” ฉันพยายามตะเบ็งเสียงบอกคนในสาย
พลางใช้มืออีกข้างอุดหูเพื่อรอฟังเสียงตอบรับกลับมาให้ถนัด
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเงียบไป ฉันเลยต้องเรียกเขาอีกครั้ง “พี่อาร์มคะ
พี่อาร์มได้ยินหนูไหม?”
กึก!
เสียงวางกระแทกก้นแก้วทำฉันซึ่งกำลังสนใจเสียงตอบรับจากปลายสายเหลือบมองด้วยความสงสัย
ก่อนต้องเบิกตากว้างเมื่อเจอเข้ากับสายตาและรอยยิ้มเหยียดๆ ของบุคคลที่ฉันไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุดในชีวิต
โดยเฉพาะกับปากคอและคำพูดของเขาซึ่งฟังแล้วเหมือนถูกหาเรื่องตลอดเวลา
“ร้องหาผู้ชง[1]เป็นชะนีเลยนะหล่อน!”
พี่โซ่ยิ้มเยาะ ก่อนสะบัดหน้าหันเข้าบาร์น้ำ เมื่อฉันเริ่มจิกตาจิกปากมอง
เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางในท่าทางสบายๆ ส่วนมืออีกข้างก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นโชว์ตรงหน้า ขณะอ้าปากพูดไปด้วย
“บังเอิญจังนะที่มาเที่ยวที่เดียวกัน
แต่ขอโทษนะ... ยกนี้พี่ Win” มันก็คงจะเป็นอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ
รอบนี้เขาชนะ เพราะสิ่งของที่เขาจงใจหยิบขึ้นโชว์ให้ฉันเห็นมันคือโทรศัพท์ของพี่อาร์ม
“วันนี้อาร์มเขาอยากใช้เวลาส่วนตัวกับพี่น่ะ เราก็เลยมากันแค่ 2 คน...”
“อ๋อเหรอคะ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”
ฉันทำเป็นเมินคำสั่งดังกล่าว
สะบัดหน้าหันเข้าบาร์น้ำแบบเดียวกับที่เขาทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“นี่ชะนี
หล่อนน่าจะรู้ตัวได้แล้วนะว่าอาร์มเขาไม่เอาอ่ะ” พี่โซ่พูดข่มพลางยกแก้วเหล้าในมือขึ้นจิบในท่าทางบ่งบอกจริตอย่างสุดๆ
“เขาแค่มาเที่ยวกับพี่ก่อนหนู ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เอาหนูนี่คะ พี่โซ่อย่ามโน”
“หล่อนสิอย่ามโน นก[2]ตั้งนานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“แล้วยังไงล่ะคะ ถึงพี่อาร์มเขาไม่เอาหนู
แล้วพี่คิดว่าเขาจะเอาคนแบบพี่หรือไง?” คราวนี้ฉันจงใจตอกกลับด้วยด้วยคำถามแรงๆ
เพราะอดหมั่นไส้กับคำพูดมั่นอกมั่นใจของเขาไม่ไหว ทว่า พี่โซ่ดันย้อนถามกลับมา
“งั้นพี่ถามอะไรเราหน่อย” เขาเว้นช่วงพูดเล็กน้อยให้ค้างคาใจ
จนต้องเหลือบมองจากทางหางตา ก่อนพบว่า เขากำลังเท้าคางหันมองฉันแบบตรงๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนตามมาด้วยคำถาม “หล่อนเคย 'ยิ้ม[3]' กับอาร์มแมะ?”
พอได้ฟังคำถามของเขา ฉันก็กระตุกยิ้มกว้าง พยายามยิ้มสวยๆ
เหมือนนางเอกในละคร
“ยิ้มค่ะ เรายิ้มให้กันแบบนี้ทุกวัน” ฉันจงใจเน้นคำตอบของตัวเอง
แกล้งยื่นหน้ายื่นตาเข้าใส่เขาพลางเกร็งรอยยิ้มหวานๆ เอาไว้ให้คงเดิม
ทว่า คนตัวสูงดันส่ายหน้า เขาใช้ปลายนิ้วดันหน้าผากฉันให้หยุด
ก่อนถือวิสาสะลดมือลงต่ำคว้ามือฉันไปกุมเอาไว้แน่น
จากนั้นก็ทำเรื่องไม่คาดฝันด้วยการ ฝืนมือฉันให้เลื่อนไปแตะเป้ากางเกงของตัวเอง
จากนั้นก็พ่นคำพูดสั้นๆ
“หมายถึงยิ้มตรงนี้อ่ะจ้ะชะนี...”
O_O Whattttttttt!
พรึ่บ!
“พี่โซ่ทำบ้าอะไรคะ!?” ฉันรีบสะบัดมือออกห่างจากจุดลับของพี่โซ่แบบไม่ต้องสงสัย
แม้วินาทีนั้น สติจะถูกทำให้เตลิดด้วยความไม่รู้จักอายของเขาก็ตาม
“หึ! คราวนี้ก็ถอยจากอาร์มได้แล้วนะ
เพราะระหว่างแฟนเก่าแบบพี่กับชะนีอย่างเธอมันเทียบกันไม่ติดหรอก” ฉันกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจ ฉันไม่ใช่เด็กอายุสิบขวดที่จะโง่จนไม่เข้าใจความหมาย
ถึงอย่างงั้นพี่โซ่ก็ไม่ยอมหยุดพูดจาข่มเหงให้ตัวเองดูเหนือกว่าอยู่ดี “ถ่านไฟเก่า แค่พ่นลมเบาๆ ก็ติดพรึบพรับแล้ว รู้ยัง?”
“ถ้าไฟลุกพรึบพรับขึ้นมาเมื่อไหร่
เดี๋ยวหนูนี่แหละจะสาดน้ำดับไฟเอง รู้ยัง?”
“คิดว่าดับง่ายเหรอครับ?” เขาย้อน
“แล้วพี่คิดว่าการกลับมารีเทิร์นกันมันง่ายไหมล่ะคะ?”
เขาพยายามเล่นสงครามประสาทกับฉัน ฉันสัมผัสได้!
“ง่ายไม่ง่าย ถ้าได้ยิ้มกันเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้ โน๊ะ”
“ถ้าจะพูดแต่เรื่องทุเรศแบบนั้น
หนูว่าพี่เงียบไปเถอะค่ะ เสนียดหู” ใช่! เรื่องทุเรศทุรังแบบนั้นน่ะ ฉันไม่อยากฟังหรอก
ไม่อยากจะคิดภาพหรือจินตนาการถึงด้วยซ้ำ
“อะเค๊!
ไม่อยากฟังงั้นพี่ไปก็ได้…” พี่โซ่หัวเราะดังหึในลำคอ
เมื่อได้ข่มอย่างสมใจ เขาขยับตัวลุกจากที่นั่ง โดยไม่ลืมคว้าแก้วเหล้าติดตัวไปด้วย
ไม่ใช่แค่นั้น แต่ยังมีน้ำใจเอ่ยปากชวน “ถ้าเปลี่ยว
ก็เลี้ยวไปที่โต๊ะพี่กับอาร์มได้นะ”
“ไม่ไปหรอกค่ะ!” คนอะไร! ข่มกันไว้ยังมีกระจิตกระใจมาชักชวน คิดจะโชว์เหนือต่อหน้าให้ฉันรู้สึกเป็น
กขค. ล่ะสิ!
เจ็บใจนัก! ถ้าไม่ติดว่าต้องมาจัดการกับเรื่องที่ค้างเอาไว้ล่ะก็
สาบานได้เลยว่าฉันจะลากอีพี่โซ่ไปตบหลังร้าน!
เพื่อระบายความหงุดหงิดที่ไม่สามารถเอาคืนอะไรเกย์วิปริตนั่นกลับไปได้
ฉันจึงหันมาดื่มเหล้าย้อมใจ จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่คนชอบดื่มเหล้าหรอก
แต่งานนี้ขอซัดสักแก้วสองแก้วให้หายหัวร้อนหน่อยเถอะ!
สายตาเหลือบมองป้ายรายการเครื่องดื่มตัวใหญ่ๆ
ตรงหน้า ฉันพยายามหรี่ตามองตัวหนังสือภาษาอังกฤษไล่เรียงทีละชื่อ
เอาเข้าจริงฉันก็ไม่รู้หรอกว่าถ้าสั่งมาแล้วหน้าตามันจะออกมาเป็นแบบไหน
สัญชาตญาณบอกได้แค่เพียงว่าไอ้พวกที่ขึ้นต้นว่า Vodka มันคือเหล้าแน่นอน
แก้วเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“Vodka Redbull แก้วหนึ่งค่ะ!”
ฉันยกมือตะโกนสั่งเสมือนว่าเชี่ยวชาญ หารู้ไม่ว่านี่น่ะครั้งแรกเลยแหละ
พนักงานบาร์น้ำแสนซื่อเองก็คงดูไม่ออก
เพราะการแต่งตัวที่เปรี้ยวจี๊ดและมีรสนิยม เขาจึงได้แต่ทำหน้าเขินๆ
ก่อนหันไปจัดแจงเมนูเครื่องดื่มตามที่ฉันต้องการ
ฉันอาศัยช่วงเวลานั่งรอเครื่องดื่ม
กวาดตามองไปรอบตัวซึ่งแน่นไปด้วยนักเที่ยวกลางคืนทั้งชายและหญิง
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อมองหาบุคคลที่เป็นเป้าหมายอย่างเช่นผู้ชายที่เฉดหัวเพื่อนรักฉันทิ้งอย่างไม่ใยดี
เพราะรู้ข่าวมาว่าผู้ชายนิสัยเสียคนนั้นชอบมาหาเศษหาเลยผู้หญิงที่คลับแห่งนี้
ทั้งที่พยายามมองหาผู้ชายเลวๆ คนนั้น
แต่สายตาก็ดันบังเอิญหันไปเจอกับโต๊ะหนึ่งประกอบด้วยผู้ชาย 3 คน
ประกอบไปด้วยพี่อาร์ม พี่โซ่ และผู้ชายอีกคนที่ฉันไม่รู้จัก แถมดูเหมือนว่าอีพี่โซ่
นางมารร้ายคนนั้นกำลังมองฉันอยู่ด้วยสิ สายตาของเขาที่มองมาตอนนี้น่ะ จิกยิ่งกว่าอะไรดี
มิหนำซ้ำยังทำเป็นโอบหล่งโอบไหล่พี่อาร์มโชว์อีก
ถึงว่าสิ ทำไมเขาถึงเดินมาฉันถูก ที่แท้ก็นั่งมองอยู่ตรงนั้นนี่เอง
โอ๊ย! เกลียดดดดด โจทก์ที่ต้องการตัวก็ไม่เจอ
นี่ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่กันนะ!
“Vodka Redbull ได้แล้วครับ”
เพื่อดับไฟร้อน ไฟหมั่นไส้ และ (ถ่าน) ไฟเก่า
ทันทีที่เครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ฉันก็ไม่รอช้ารีบคว้าแก้วยกกระดกอึกๆ ขึ้นย้อมใจทันที
รสชาติแปลกๆ ของแอลกอฮอล์ที่กระเดือกลงคอ
ทำฉันขนลุกซู่ซ่าได้อย่างบอกไม่ถูก
ความเปรี้ยวและความขมของเครื่องดื่มทำฉันเกือบหลุดพะอืดพะอม กว่าจะกระเดือกได้หนที่สองก็ต้องใช้เวลาพักคออยู่ครู่สั้นๆ
ไม่รู้เพราะฉันไม่เคยชินกับเหล้าผสมแรงๆ แบบนี้หรือเปล่า เพียงแค่ดื่มไปครึ่งแก้ว ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าโลกมันเริ่มจะเหวี่ยงไปมา ยิ่งประสมโรงกับแสงสีเสียงด้วยแล้ว ร่างกายฉันยิ่งเหมือนลอยคว้างได้เลยด้วยซ้ำ พูดถึงแล้วไอ้เหล้าแก้วนี้มันก็อร่อยดีเหมือนกันนะ แรกๆ ก็ไม่อร่อยหรอก พอกินไปนานๆ ดันรู้สึกหวานซะได้ คิกๆ~
แต่พอกินมากไปก็ชักจะเริ่มปวดท้องเบาขึ้นมา
เพราะงั้นฉันก็เลยคลำหาเศษเงินวางลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนกระเถิบตัวลงจากที่นั่ง วินาทีที่เท้าแตะพื้นโลกที่ว่าเหวี่ยงไปมาก็ยิ่งดูหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิม
ฉันแทบทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็ยังฝืนพยายามก้าวเท้าประครองตัวตรงไปที่ห้องน้ำอยู่ดี
โลกทั้งใบเหมือนกับกำลังยืนอยู่บนเรือบนน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก
โครงเครงไปมา ไร้หลักและจุดยืนที่เหมาะสม
และไอ้ความไม่เหมือนเดิมของร่างกายนี่แหละ ที่ทำให้ฉันเซเข้าไปชนกับใครคนหนึ่งหนึ่งเข้าแบบไม่ตั้งใจ
พอเงยดู
ฉันก็พบว่าหน้าของเขาลอยซ้อนกันเหมือนภาพเบลอ ฉันพยายามหรี่ตาลง
ปรับความคมชัดของภาพตรงหน้า ที่เห็นก็คือเขากำลังยิ้ม
แมปากเขาก็กำลังขยับพูดอะไรบางอย่างที่ฉันฟังไม่ชัด
“นางฟ้าเซลงมาจากสวรรค์ว่ะ”
เขาพูดอะไร… ทำไมฉันถึงฟังไม่รู้เรื่องล่ะ
“ขอโทษนะคะ ฉ้านจะไปห้องน้ำ”
ฉันผลักอกเขาออกห่างตัวเล็กน้อย
เพื่อที่จะได้ไปสถานที่ที่เป็นเป้าหมาย ทว่า ผู้ชายตรงหน้าดันคว้าแขนเอาไว้
พร้อมทั้งพูดอะไรบางอย่างออกมา
“เดี๋ยวพาไปอ่ะ
เดินคนเดียวไหวเหรอ? เดี๋ยวพาไปไหมอ่ะ?”
“ม่ายเป็นไร ฉันเดินไปด้าย”
ฉันพยายามรวบรวมสติบิดแขนให้หลุด พูดจาตอบโต้เขาออกไป
“เฮ้ยนี่มันเพื่อนน้องใบหม่อนป่ะวะ”
หูฉันได้ยินชื่อของใบหม่อนดังชัดมาก
จนต้องเหลือบมองเจ้าของเสียงพูดดังกล่าวและพบว่าเขาคือผู้ชายที่ฉันตั้งใจจะมาสั่งสอน
แต่บ้าเอ้ย! เวลาแบบนี้ดันไม่สมประกอบซะได้
สติเอ้ย! รีบๆ กลับมาไวๆ สิลูก!
“เธอดูเผ็ดกว่าหม่อนอีกนะเนี่ย
สนใจมาลองคบกับเราป่ะ?” แม้ว่าจะจับใจความได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่เพียงแค่สมองรับรู้ว่าเขาคือผู้ชายสารเลวที่ทิ้งเพื่อนฉันไป ฉันก็ทนไม่ไหว
ร่างกายตอบสนองคำถามดังกล่าวด้วยการหวดมือข้างหนึ่งใส่เขาแบบเต็มแรง
ตุบ!
แต่เรี่ยวแรงในตอนนี้มันดันไม่ได้ดังใจเอาเสียเลย
ทั้งที่จะทุบแต่เหมือนฉันกำลังอ่อยเหยื่อพุ่งเข้าไปกอดเขาเสียมากกว่า
“หูยย เอาจริงปะเนี่ย
มันจะเร็วไปมั้ง ฮ่าๆ” หูฉันได้ยินแค่เสียงหัวเราะของพวกคนเลวดังก้องอยู่ในหู
มันดังพอกับเสียงดนตรีจังหวะอัดบีทสนุกๆ เลยก็ได้ และฉันไม่พอใจมาก
“พวกเลว” จนต้องสบถออกไปแทนการลงไม้ลงมือ
มือผลักอกคนน่าขยะแขยงให้ออกห่างก่อนกล่าวเสริมออกไปอีก “หน้าตัวเมีย”
“พูดไรของเธอวะ!? ด่าใคร!?” เขาโวยวายขึ้นจังหวะเดียวกับที่ฉันสะบัดตัวเดินเซถอยหลังไปตั้งหลังในท่ากอดอก
“ไม่รู้ตัวเหรอว่าฉ้านว่าใคร
จะได้หยิบกระจกห้ายส่อง~” ฉันเหยียดยิ้มทั้งๆ ที่สมองว่าง
เพ่งสายมองใบหน้าซ้อนทับของผู้ชายตรงหน้าสองคนที่เริ่มเรียงรายเป็นสิบ
“หนอย ยัยนี่แม่งปากดี!” ฉันเห็นปากพวกเขาขยับนะ แต่หูน่ะฟังไม่รู้เรื่องหรอก รู้อีกทีฉันก็เห็นว่าผู้ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจ พุ่งตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เพราะสติที่ไร้การควบคุม สมองเลยไม่ทันได้สั่งการให้ร่างกายตอบสนองการพุ่งเข้าหาของผู้ชายสองคนนั้นด้วยการหลบ ทว่า
ฟึ่บ!
ชั่วขณะเดียวกันนั้นร่างกายฉันถูกมือของใครอีกคนกระชากให้ถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็วแทบจะทันที
เพราะร่างการเสียการควบคุมฉันจึงเซเข้าไปซบแนบเข้าแผ่นอกกว้างของใครคนหนึ่งอย่างพอดิบพอดี
กลิ่นหอมอ่อนๆ
ของน้ำหอมผู้ชายกลิ่นเดียวกับของพี่อาร์ม
ทำฉันเงยหน้ามองเจ้าของฝ่ามือและแผ่นอกกว้างดังกล่าว ก่อนพบเข้ากับสายตาคมเข้ม
จ้องเขม้นมองไปที่ผู้ชายสารเลวตรงหน้า
ตอนแรกก็แอบคิดว่าเขาจะเป็นพี่อาร์ม
แต่มันกลับไม่ใช่ เพราะคนเขาคนนี้ดันเป็นพี่โซ่
“ทำร้ายชะนีแบบเนี่ย
ไม่สมเป็นผู้ชงเลยนะตัวเอง”
“ยุ่งไรด้วยวะ!” เสียงตวาดดังแข่งกับเสียงเพลง ฉันไม่รู้หรอกว่ารอบตัวของเราเป้นยังไง ภาพทุกอย่างมันหมุนและตัดไปไวจนเหมือนจะหายใจตามไม่ทัน
“ใครบอกตัวเหรอว่าเค้าเป็นตุ๊ด?” ที่รู้สึกตอนนี้คือพี่โซ่กำลังผละตัวออกห่างจากฉันไป ฉันพยายามปรับโฟกัสสายตามองเขา และเห็นว่าเขากำลังเดินเข้าไปเผชิญกับผู้ชายสองคนนั้น ทว่า ยังไม่ทันมีใครพูดอะไรออกมามันก็เป็นพี่โซ่นั่นแหละที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ผัวะ!
เขาพุ่งหมัดซัดหน้าหนึ่งในคนที่พูดจาหาเรื่องคล้ายกับเหยียดเพศ จนอีกฝ่ายครวญซี๊ดออกมาเสียงดัง ภาพตรงหน้ามันคล้ายกับเริ่มเลืองลางลงเรื่อยๆ สมองฉันคล้ายกับกำลังถูก Shut down หูมันอื้อจนไม่ได้ยินเสียงของพี่โซ่ที่ประกาศก้องออกไปหลังจากนั้น
“แต่กูเป็น...”
To Be Continued...
[1]ผู้ชง ภาษาตุ๊ดหรือกะเทย แปลว่า ผู้ชาย ย่อมาจาก ผู้ชงผู้ชาย
[2] นก คำศัพท์ของตุ๊ดหรือกะเทย เป็นคำกิริยา แปลว่า แห้ว ผู้ชายหลุดมือ อดแดก Cr.บันทึกของตุ๊ด
[3] ยิ้ม ในภาษาตุ๊ดหรือกระเทย แปลว่า การมีเพศสัมพันธ์กัน Cr.บันทึกของตุ๊ด
พี่โซ่นี่ยังไงดี เพศไหนดี อะไรยังไงดี
จงเติมคำในช่องวางที่ขาดหายไป....
555555555555555555
ความคิดเห็น