คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : (รีไรท์) COMBAT01 l เหยียบครั้งที่1 ตอน เลือดร้อน {100%}
วันที่1
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 25xx
เวลา 11.45 นาฬิกา
วิทยาลัยเทคโนโลยี
K
“กินไรดีวะ?”
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของพวกเด็กปีหนึ่งแถวข้างๆ
ทำผมเหลือบมองด้วยหางตามองเล็กน้อย ก่อนเลื่อนสายตากลับไปที่แผ่นหลังของคนตรงหน้า เมื่อแถวที่ผมยืนต่ออยู่เริ่มขยับ
เวลาพักเที่ยงของสถาบันเทคโนโลยี
K เป็นช่วงเวลาที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับผม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ วันนี้ที่ผมดันท้องร้องเพราะความหิวจนแทบทนไม่ไหว จำต้องลงทุนยืนต่อคิวซื้อข้าวสักจานกระแทกปากแก้หิว
“ไอ้ดิน!” เสียงเข้มของไอ้ ‘อ้วน’ ดังทักขึ้นจนผมต้องเหลียวมองอย่างนึกสงสัย มันไม่ได้อ้วนเหมือนชื่อหรอก
มันค่อนข้างเป็นคนเซอร์ๆ ไม่ได้เซอร์อย่างเดียวแต่สกปรกด้วย ขณะเดียวกันผมก็ยังสังเกตเห็นไอ้ ‘คิม’ ที่เดินขนาบข้างมันมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีปัญหาทางบ้านพ่วงติดมาด้วย
“ว่า?”
“หนีพวกกูมาแดกข้าวนี่เอง
ถึงว่าหาตัวไม่เจอ”
“มีห่าไร
ไมต้องตามหากู?”
“ก็ไม่ได้มีห่าไรหรอกครับเพื่อน
ถามเป็นทางการเหลือเกิน” ไอ้คิมมันว่า
โดยมีไอ้อ้วนขำเสริมเหมือนเป็นเรื่องตลก
“เห็นเดินทำหน้าเครียดมา
กูก็นึกว่าเป็นห่าอะไรกัน”
“มึงเข้าใจคำว่าดึงหน้าป่ะวะ
เราเป็นรุ่นพี่ มันต้องหัดดึงหน้ากันบ้าง” ไอ้อ้วนมันว่า
“ไม่เห็นจำเป็น” ผมตัดบทพลางยกมือปิดปากหาว
ก่อนสังเกตเห็นว่าแถวมันได้ขยับไปข้างหน้าบ้างแล้ว
“ใครจะไปเหมือนมึงล่ะครับ พ่อคนเฟรนลี่ วันๆ ทำหน้าบึ้งเป็นตูดไอ้สัด” คราวนี้ไอ้อ้วนมันแขวะ แต่แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อผมไม่ได้สนใจคำเหน็บแนมของพวกมันสักเท่าไหร่ ไอ้ที่สนใจน่ะ มันคือแถวซื้อข้าวที่ค่อยๆ หดสั้นลงแล้วต่างหาก
ฟึ่บ!
“อ้าวเฮ้ย!” เสียงโวยวายด้านหน้าแถวทำผมและพวกไอ้คิมชำเลืองมองด้วยความสงสัย
ที่ตรงนั้น ไอ้เด็กปีหนึ่งที่ส่งเสียงดังน่ารำคาญก่อนหน้านี้
กำลังยืนขำกับเพื่อนของมันอย่างนึกสนุกฃ
ราวกับว่าการแทรกคิวของผู้ที่ยืนรอซื้อข้าวได้นั้นเป็นเรื่องประทับใจ
“เด็กปีหนึ่งปีนี้แม่งไม่มีมารยาท
ต่อคิวไม่เป็นหรือไงวะ” ไอ้อ้วนมันส่ายหัวบ่นแบบเอือมๆ
ซึ่งผมก็รู้สึกเห็นด้วยกับมันนะ
ถึงแม้ว่าสถาบันเทคโนโลยี K นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย กฎต่างๆ ในวิทยาลัยบ้างข้อเลยมักถูกเด็กนักเรียนหัวดื้อแหกคอกอยู่บ่อยๆ แต่กฎเกณฑ์บางอย่างที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน มันก็เป็นกรณียกเว้น เช่นการให้เกียรติรุ่นพี่ หรือการมีมารยาทในหารร่วมใช้สถานที่
ผมน่ะ... แม้ไม่ใช่คนดีนัก แต่ก็รักษากฎพวกนี้มาตลอดทุกปีการศึกษา ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ซึ่งผมก็โคตรจะไม่ชอบ หากต้องมีเด็กเห่อเข้าใหม่สักคน เข้ามาแล้วทำลายกฎที่รุ่นเก่าๆ สร้างไว้จนพัง
ตึก... ตึก...
“อ้าวไอ้ดิน!” หูน่ะ ได้ยินเสียงเรียกของพวกไอ้คิมนะ
แต่เท้าทั้งสองข้างมันพาตัวผมเดินออกมาจากแถวที่ใช้เวลาต่อคิวร่วมสิบนาทีออกมาแล้ว
ฟึ่บ!
ผัวะ!
“เชี่ยไรวะ?” ไอ้เด็กปีหนึ่งโวยวายเสียงดังทันที
ที่ผมบรรจงฟาดมือลงกลางกระบาลของมันพอดิบพอดี ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
มันหันมาทำตาลุกใส่ผม ก่อนจะพ่นคำพูดชวนของขึ้นออกมาว่า “ตบทำห่าไรมึง”
“ไปต่อแถว” ผมบอกเสียงนิ่ง
“เป็นพ่อกูอ่อ มาสั่งอ่ะ ?”
“ถ้าใช่ แล้วทำไม มึงไม่เรียกกูว่าพ่อล่ะ ?” สิ้นเสียงตอบซึ่งนิ่งไม่จากท่าที คนฟังก็เริ่มกัดฟันกรอด แสดงความไม่พอใจ ก่อนเริ่มง้างหมัดพุ่งเข้าใส่ โชว์พาวเวอร์ตามประสาเด็กเห่อออกมาอย่างเต็มที่
อาจเพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่
มันทำให้ร่างกายเรียนรู้ว่าควรจะตอบโต้หรือสนองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไรล่ะมั้ง หมัดของมันจึงเฉียดหน้าผมไปอย่างหวุดหวิด
ฟึ่บ!
เพราะอีกฝ่ายริเริ่มใช้กำลังก่อน ผมจึงไม่รอช้าที่จะซัดหมัดเข้าใส่หน้ามันอย่างไม่ยั้งแรง จนไอ้เด็กอวดดี เซถอยหลังกระแทกเข้ากับเคาน์เตอร์ร้านค้าอย่างเต็มแรง
ฟึ่บ! ผัวะ!
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหวนกลับมาโชว์พลังใส่ได้อีกเป็นหนที่สอง
ฝ่าเท้าข้างถนัดจึงพุ่งถีบอัดเข้าใส่หน้าท้องมันอีกครั้งแบบอัตโนมัติ จนผู้ถูกกระทำทรุดหมอบลงราบกับพื้นอย่างหมดท่า
และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไร้ทางสู้หรือต่อกรกลับมาได้อีก ถ้อยคำบอกกล่าวจึงถูกลั่นออกไป เพื่อบอกสถานะของจนเอง
“กูเป็นรุ่นพี่ หัดเคารพกูด้วย”
“อึก! มะ มึง…” ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย
มองสภาพน่าสังเวชของเด็กปากดีตรงหน้า ในท่ากอดอก
ขณะหูรับฟังคำขู่ที่ลอดผ่านปากคู่กรณีแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก “มะ มึงไม่ตายดีแน่...”
“แล้วยังไงอ่ะ มึงจะเหยียบกูคืนว่างั้น
?”
“กะ กูจะพาพี่กู
มาเหยียบมึง !”
“หึ !” ผมหลุดหัวเราะดังหึอย่างนึกสมเพชทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ
และอดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายแล้วผู้ที่อ่อนแอหรือพ่ายแพ้หลังการเข้าปะทะกัน ก็มันทำได้แค่นั้น
พ่นคำขู่
หมายหัว โดยหวังว่าคนฟังจะหวาดกลัว
เพื่อสั่งสอนให้ไอ้เด็กเวรนี่ได้รู้ว่า ผมไม่มีทางและไม่มีวันที่หวาดกลัวต่อน้ำลายที่มันพ่นข่มขู่ไว้ ฝ่าเท้าจึงถูกยกขึ้นอีกครั้ง ก่อนจงใจกระทืบเข้าใส่ผนังเคาน์เตอร์ที่มันพิงอยู่และยกคาทิ้งไว้ ทิ้งเพียงสายเท่านั้นในการมองกลับไป
ตึง!!
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะโต้กลับ
“พี่มึงใหญ่แค่ไหนก็พามา
ขืนชักช้า กูจะกลับมาเหยียบหน้ามึงซ้ำอีกรอบ”
“เฮ้ยๆ พอ
เดี๋ยวปกครองก็เรียกอีกหรอก” ไอ้อ้วนกับไอ้คิมเองก็เหมือนถูกตั้งเวลาเข้าห้ามไว้ได้พอดิบพอดี
หนึ่งในพวกมันรีบดึงรั้งแขนผมไว้ราวกับกลัวจะมีเรื่องกันรุนแรงมากไปกว่านี้
ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรรุนแรงมากไปกว่านี้หรอก
สำหรับเด็กกะโหลกกะลาแบบมันสั่งสอนแค่พอหอมปากหอมคอเท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว
แม้จะคิดแค่นั้น
แต่ผมก็ยังไม่วายยกนิ้วชี้หน้าขู่มันเป็นหนสุดท้ายขณะถูกไอ้อ้วนกับไอ้คิมลากออกไปอยู่ดี
หลังจากนั้นอีก 3 ชั่วโมง...
ตึง!!!
“ผมไม่รู้ว่าผมจะเอายังไงกับคุณดี
คุณพัศกร!”
เสียงตบโต๊ะดังลั่นไปทั่วห้องฝ่ายปกครอง
ส่วนผมได้แต่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ฟังเสียงบ่นโวยวายจาก(ไอ้) ‘ทัศน์’ หรือ ‘อาจารย์เอกทัศน์’ เหมือนอย่างเคยๆ
หลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นไปทั่ว
อันที่จริงก็ไม่ได้ตั้งใจฟังหรอก
ทำหูทวนลมเสียมากกว่า…
“คุณเป็นรุ่นพี่
ไปทำแบบนั้นใส่รุ่นน้องได้ยังไง !?”
“เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย” ผมเลยว่าเข้าให้เมื่อถูกถาม
“คุณกวนประสาทผมเหรอคุณพัศกร!”
“...” เนี่ย ก็เป็นกันซะแบบเนี่ย พอตอบก็ไม่พอใจ
“คุณเป็นรุ่นพี่
คุณควรทำตัวให้เด็กรุ่นหลังเคารพและนับถือ ไม่ใช่ลงไปต่อยตีกับรุ่นน้องแบบนั้น
ใช้ไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับคุณแล้ว!”
“งั้น’จารย์ก็ปล่อยผมกลับบ้านสิ บ่นมาตั้งนานแล้วไม่เมื่อยปากเหรอครับ ?” ผมบอก เพราะนี่มันก็ปาเข้าไปร่วมสามชั่วโมงแล้วหลังจากเหตุการณ์เมื่อช่วงพักกลางวัน
ที่ผมต้องมานั่งตากแอร์ฟังอาจารย์แกบ่นเรื่องเดิมๆ แบบนี้
ข้าวก็ไม่ได้กิน
ท้องก็หิว สุขใจแค่ไหนคิดดู…
“ผมจะปล่อยคุณไปได้ยังไง
อีกแค่เทอมเดียวคุณก็จะจบจากสถาบันนี้แล้ว หากคุณยังเป็นแบบนี้อยู่
ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กสถาบันเราจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ ฮะ!?”
“หูย ’จารย์ก็เรื่องเยอะเนอะ ผมไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย”
“ก็เพราะคุณคิดอะไรตื้นๆ
แบบนี้ไง คุณเคยคิดไหมคุณพัศกร ว่าทุกครั้งที่คุณก่อปัญหาทะเลาะวิวาท
มันเกิดผลกระทบอะไรบ้าง !?” นั่นไง แล้ว‘จารย์แม่งก็บ่นวนมาอีหรอบเดิมอีก “รู้บ้างหรือเปล่า หลังการทะเลาะวิวาทของพวกคุณแต่ละครั้ง
ผมต้องวิ่งวุ่นเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อดูอาการของเด็กคู่กรณี
ไหนจะต้องวิ่งวุ่นเข้าโรงพักเพื่อจัดการเรื่องของพวกคุณอีก
เฉียดตายมันก็เหมือนตายนะครับ หากเกิดพิการหรือเป็นอะไรขึ้นมา”
“แล้ว’จารย์จะเอายังไงกับผมอ่ะว่ามาเลย อยากกลับบ้านแล้วเนี่ย”
“คุณจะให้ผมเลือกใช่ไหมคุณพัศกร” แหนะ! มีย้อน
“ใช่ครับ
เอาไงก็เอากัน ตอนนี้ผมโคตรหิวข้าวเลย’จารย์”
“ถ้างั้นหลังจากนี้
หากคุณมีเรื่องวิวาทกับใคร ไม่ว่าจะในรั้วหรือนอกรั้ววิทยาลัย ผมจะเชิญผู้ปกครองคุยเพื่อทำเรื่องเชิญออก”
“เชิญออก ?!” ผมโพล่งเสียงย้อนแบบไม่เชื่อหู ต่างจากอาจารย์ที่พยักหน้ารับคำเพื่อยืนยัน “แต่’จารย์ อีกเทอมเดียวผมก็จะจบแล้วนะ
จะมาไล่ออกกลางครันได้ไงอ่ะ ?”
“ถ้าคุณไม่อยากถูกไล่ออกกลางครัน
คุณก็หยุดใช้ความรุนแรงข่มเหงรุ่นน้อง และคนอื่นๆ สิครับ”
“ไม่แฟร์เลยว่ะ’จารย์”
“ไม่แฟร์ได้อย่างไร
ในเมื่อคุณให้ผมเลือก ?” อาจารย์เอกทัศน์กล่าวขึ้นเสียงดุ
หากแต่ยังคงแววตาแบบเดิมสำหรับใช้มองนักเรียนในปกครอง “เอาเป็นว่า ผมเลือกตามนี้
ส่วนคุณ...ถ้าอยากกลับบ้าน ก็เชิญกลับได้เลย”
“เดี๋ยวดิ’จารย์!!!” เมื่อเห็นท่าไม่ดี
ผมเลยตั้งใจจะพูดประนีประนอม แต่ว่า
“กลับบ้านดีๆ
นะครับคุณพัศกร” อาจารย์หัวแข็งประจำฝ่ายคนนี้กลับไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
“จารย์!!” ไม่ฟัง แม้ว่าผมจะพยายามเรียกซ้ำๆ
เหมือนว่าแกจะจงใจกวนประสาท
ทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจ หลังจากที่ยื่นคำขาดให้ผมจนสำเร็จเสร็จสิ้น
ห่าเอ้ย! นั่งฟังมาสามชั่วโมงเพื่อ
สุดท้ายลงเอยด้วยการขู่กันว่าจะไล่ออกแบบนี้ก็ได้เหรอ !?
WTF!!!!
“สรุปเอกทัศน์จะไล่มึงออก?”
ผมพยักหน้ารับคำถามไอ้อ้วนอย่างนึกเซ็งๆ
หลังจากตัดสินใจเดินออกจากห้องปกครองในเวลาต่อมา
“เอกทัศน์นี่เขาเด็ดขาดจริงๆ” ไอ้คิมมันแซว
“เด็ดห่าอะไร
ถ้าไล่จริงขึ้นมานี่มีหวังกูโดนแม่กูด่าหูชา เผลอๆ สมองกูอาจเสื่อมเลยนะสัด” พอพูดมันก็อดลองคิดจำลองเหตุการณ์อย่างที่ปากพูดไม่ได้
บ้าฉิบ! แค่คิด ขนงี้ก็ลุกเกรียวแล้ว…
“มึงก็อย่าไป
Accident กับตีนใครเขาบ่อบๆ ดิ ไม่ยากหรอก” ไอ้อ้วนช่วยเสริม ต่างจากไอ้คิมที่ดูจะทับถม
“สิ้นสุดกันทีหัวหน้าสายไลเหยียบ
Combat ประจำ เทคโนฯ K”
“ห่านี่
ไม่ช่วยอย่าซ้ำ” ผมว่า
“อ้าวเพื่อน
ไม่อยากโดนไล่ออกมันก็ต้องหยุดพักกันบ้าง” ไอ้คิมมันพูดติดตลก
แต่ผมดันไม่รู้สึกตลกไปกับมันเลยสักนิด
“ครั้งนี้กูว่าไอ้คิมมันพูดถูก
มึงต้องหยุดว่ะ ไม่งั้นก็เรียนไม่จบ” ไอ้อ้วนตบไหล่ผมแปะๆ
อย่างให้กำลังใจ ส่วนผมทำได้เพียงแค่ถอนหายใจทิ้งหนักๆ ด้วยความเซ็งอย่างเดียวเท่านั้น
อันที่จริงผมก็ไม่ได้ชอบเรื่องการต่อยตีนักหรอก แรกๆ ผมก็แค่ตามๆ เขาไป พวกรุ่นพี่ให้ทำอะไรก็ทำ จนกระทั่งมาถึงจุดที่ผมเป็นฝ่ายเหยียบโจทก์ต่างสถาบันได้ด้วยตัวเอง
นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตผมก็เริ่มเปลี่ยนไป มีคนมากหน้าหลายตา จากหลายๆ สถาบัน ผลัดเปลี่ยนเวียนเข้ามาให้ซัดหน้าไม่เว้นแต่ละวัน
ซ้ำยังต้องยืนอยู่บนเส้นด้ายศักดิ์ศรีสถาบันที่ไม่รู้ว่ารับมาถือครองไว้ในมือตั้งเมื่อไหร่
รู้อีกที เรื่องการต่อยตีและฉายาCombat ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว
แต่เอาวะ
เพื่อกันไม่ให้ถูกแม่ด่า ไหนจะเพื่อใบจบการศึกษา ลองพักรบดูสักทีคงไม่ตายหรอกมั้ง…
“เออ ถ้าพวกมึงพูดแบบนั้น
กูก็จะลองดู...”
ตอนแรกน่ะ
ตั้งใจไว้แบบนั้นนั่นแหละ แต่แล้วความคิดกลับต้องเปลี่ยนไป
เมื่อจังหวะเดียวกันมีเสียงย้ำเท้าหนักของใครคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามายังจุดที่เราสามคนนั่งอยู่
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
“พี่ดินๆ !” เสียงดังกล่าวมาพร้อมเสียงเรียกซึ่งฟังดูตื่นตระหนก
ก่อนปรากฏร่างของเด็กรุ่นน้องร่วมสถาบันขึ้นตรงหน้าในอาการหอบเหนื่อย
พวกมันมากันสองคน
นั่นคือสิ่งที่ตาเห็น…
“ส่งเสียงดังทำไม เป็นเชี่ยไรมึง” ไอ้คิมเป็นคนเปิดประเด็น ถามออกไปโดยวางมาดให้สมเป็นรุ่นพี่ พานให้รุ่นน้องที่พากันวิ่งมาส่งข่าวรีบกล่าวขึ้นทันที
“พวกเพื่อนผมมันบอกว่าที่หน้าซอยวิ’ลัยอ่ะพี่ มีพวกช่างกล A จับกลุ่มกันอยู่
แถมยังกลุ่มใหญ่ด้วยนะพี่”
“เออพี่
ไม่รู้ว่าจริงไหมนะ เห็นเพื่อนมันมันพูดอีกว่าหนึ่งในนั้นอ่ะ มี Combat ของฝั่งนู้นร่วมแจมมาด้วย” โดยได้รุ่นน้องอีกคนกล่าวเสริมคำบอกเล่าของเพื่อนตัวเองด้วยอาการที่มีไม่ต่างกัน
วิทยาลัยช่างกล
A งั้นเหรอ?
นั่นมันสถาบันที่ไอ้ห่าเดียวเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอวะ?
“ขอบใจที่ส่งข่าว” ผมบอกเพียงแค่นั้น ขณะร่างกายตอบรับคำพูดบอกกล่าวจากเหล่ารุ่นน้องด้วยการลุกขึ้นจากม้านั่ง
พลางใช้มือจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าทีเข้า ทว่า จังหวะที่ท้าวเริ่มก้าวออกไป
เสียงร้องทักของหนึ่งในเพื่อนรักก็ดังทักขึ้น
“จะไปไหนวะไอ้ดิน?”
“ตึกช่างยนต์” ผมตอบส่งๆ ขณะเท้าสองข้างเดินเรียบไปตามทาง โดยมีเสียงฝีเท้าที่วิ่งจ้ำตามไล่หลังมา
ก่อนตามด้วยน้ำหนักจากกล้ามแขนของไอ้คิมที่พาดลงบนบ่า พร้อมคำถาม
“ไปเพื่อ?”
“หยิบประแจ” และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมตอบออกไป
ด้วยเพราะผมเรียนอยู่แผนกช่างยนต์ ซ้ำยังชื่นชอบและหลงใหลในเรื่องเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก ดังนั้นอุปกรณ์ติดตัวที่ขาดไม่ได้เวลาจะถล่มไอ้เวรหน้าไหนแต่ล่ะทีก็เลยต้องมีประแจยักษ์ติดมือไปด้วย
ไม่อย่างนั้น ชีวิตผมช่วงนั้นเหมือนมีอะไรขาดหายไป
“ไหนมึงว่าจะพักไง
เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอกไอ่ห่า” ไอ้อ้วนทักอย่างรู้ทัน
“มึงก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดิ” ผมยังคงค้านต่อคำเตือนของไอ้อ้วนกับไอ้คิมอยู่ดี
“ไม่รู้ไม่เห็นห่าไรไอ้ดิน
มึงจะตีกันหน้าซอยวิ’ลัยเนี่ยนะ?”
“ถ้าหน้าวิ’ลัยมันอันตราย กูก็จะลากมันแม่งไปตีที่อื่น”
“มึงเป็นเชี่ยอะไรกับไอ้
Combat อีกคนมากป่ะวะ ?” ไอ้อ้วนพูดอย่างเอือมระอา
ขณะผมกวาดขาขึ้นคร่อมรถประจำตำแหน่ง หลังจากเตรียมข้าวของทุกอย่างครบครัน
ผมเหลือบมองหน้าไอ้อ้วนเล็กน้อย
สลับกับมองหน้าไอ้คิมแบบตรงๆ อันที่จริงผมก็ถูกใจคำถามของไอ้อ้วนนะ
มันค่อนข้างตรงประเด็นดี
“มึงไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้วะอ้วน
?” ผมย้อนพลางสวมหมวกกันน็อกใบใหญ่ ทำราวกับไม่ได้สนใจเสียงห้ามปราม
“ก็แค่โจทก์ คู่อริ
แค่ฉายามันเหมือนมึง...” ไอ้อ้วนมันร่าย
“มันหล่อกว่ามึงอ่ะ” แถมยังตามมาด้วยมุกน่าขำของไอ้คิมอีก
ได้ฟังแบบนั้นผมเลยขัด
เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
“ไม่ใช่”
“แล้วเพราะ...”
“กูเกลียดขี้หน้าแม่ง” อีกครั้งที่ผมขัดเสียงขี้สงสัยน่ารำคาญของไอ้อ้วนและไอ้คิมลง
พลางกดกระจกหมวกกันน็อกลงพร้อมกับเสียงเบิ้ลเครื่องยนต์
ดังกระหึ่มดังไปทั่วพื้นที่จอดรถมอร์เตอร์ไซด์
เลือดในตัวตอนนี้มันโคตรร้อน
ยิ่งรู้ว่าบุคคลที่ผมกำลังจะได้พบเจอเป็นใครเครื่องมันก็เหมือนยิ่งฟิต
บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าผมยอมทุกอย่าง ต่อให้จะถูกด่าหรือโดนไล่ออก
แต่ถ้าหากมันแลกมาด้วยการได้เหยียบไอ้เดียวให้จมดินได้แล้วล่ะก็
ผมยอม!
To Be Continued....
ไม่ถนัดเม้นก็กดให้กำลังใจเราก็พอครับ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายครับผม
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ความคิดเห็น