คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : กลรักอสุรา l บทที่๑๗ ตอน ถึงคราวกรรม {อัพ100%}
“ไยจึงกลับเรือนช้านักเล่าแม่ทับทิม…” แถมน้ำเสียงของเขาที่ใช้ยังฟังดูเป็นปกติ
ไม่ได้แฝงไว้ด้วยความโกรธเคืองอย่างที่คิดไว้เสียด้วย
“ฉะ ฉันมีธุระน่ะเจ้าค่ะ เลยกลับช้า” เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แสดงความมาดร้ายใดให้รู้สึก
ฉันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเงียบ เผื่อว่า การได้เริ่มพูดคุยกันแบบนี้
มันอาจจะทำให้ฉันได้โอกาสหรือช่องทางสำหรับพูดคำขอโทษกลับคืนได้บ้าง
“เมื่อครู่ พี่เห็นแม่ทับทิมเดินทางเคียงคู่มากับผู้ใดงั้นรึ ไยจึงล่ำลากันเนินนานนัก”
“เขตแดนน่ะเจ้าค่ะ พอดีฉันบังเอิญเจอเขาระหว่างทาง ก็เลย…”
“แม่ทับทิมจึงไหว้วานอดีตคนรักให้มาส่งถึงเย้าถึงเรือนงั้นรึ ?” เสียงเข้มหากแต่นุ่มนวลแทรกขัดขึ้นอย่างรู้ทัน ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่ขณะพูดท่านอสุรายังละสายตาจากจอแก้ว
ปรายมองมายังฉันอีกด้วย
“เจ้าค่ะ…” อาจเพราะก่อนหน้านี้ เราสองคนเพิ่งมีปากเสียงใส่กันล่ะมั้ง
แม้จะได้พูดจาต่อกันเหมือนปกติ ถึงอย่างนั้น ลึกก็ยังคงรู้สึกผิดต่อกันอยู่ดี
พานให้เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน ร่างกายจึงเผลอหวาดเกร็งแบบนี้
“ท่านอสุราเจ้าคะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉันต้องขอโทษด้วยนะเจ้าคะ…”
พอรู้สึก นึกคิดได้แบบนั้น ฉันจึงไม่รอช้า รีบพนมมือยกขึ้นแนบอก
พร้อมเอ่ยบอกความรู้สึกของตัวเองในช่วงที่ยังมีโอกาสทันที “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าท่านแบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ
ฉันผิดเองที่พูดไม่คิด ทั้งๆ ที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของท่านเลย ขอโทษจริงๆ
นะเจ้าคะ อะ…”
ทว่า หลังพูด จังหวะที่ก้มหน้าลงไหว้จนปลายจมูกจรดกับหัวแม่โป้งมืออยู่นั้น
ฉันกลับต้องเป็นฝ่ายสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง เมื่อช่วงเวลาเดียวกันถูกสัมผัสอุ่นของใครอีกคนสัมผัสเข้าแบบบริเวณสันมือไม่ทันตั้งตัว
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้น ส่งผลให้ฉันช้อนตามองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ก่อนพบว่าร่างสูงใหญ่ของยักษ์หนุ่มซึ่งเคยนั่งอยู่บนโซฟาในตอนแรกนั้น บัดนี้ได้ยืนปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
พลางใช้มือข้างถนัดของตนรองรับการไหว้จากฉัน พร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจบนหน้า
“มิต้องเป็นกังวลไปหรอกแม่ทับทิม…” ขณะเอ่ยวจีตอบรับความรู้สึก
“พี่หาได้ขุ่นเคืองกริยาน้องเมื่อหลายเพลาก่อนไม่…”
ทั้งที่ทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยความเข้าใจ หากแต่สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาฉัน อีกทั้งยังดูขัดกับน้ำเสียงและรอยยิ้มใจดีบนหน้าเขายามนี้ คงมีเพียงแค่แววตาซึ่งดูคล้ายกับกำลังอีกฝ่ายกำลังซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
แม้แววตาท่านอสุรานั้นจะให้ความรู้สึกอบอุ่นยามถูกมองเหมือนทุกครั้ง
แต่ขณะเดียวก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอื่นเวลาที่ถูกจ้องมองด้วยเช่นกัน
มันคือแววตาสับสน ลังเล และไม่แน่ใจ…
“ความมิรู้ หาใช่เหตุของการตัดสินว่าผู้ใดผิดไม่ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่แม่ทับทิมต่อว่าพี่ไว้เมื่อครานั้น
จึงหาใช่เรื่องที่ควรเก็บมาขุ่นเคือง…” อีกครั้งที่ท่านอสุรากล่าวขึ้นท่ามกลางความแคลงใจในหัว
พลางลดมือที่เคยรองรับการไหว้ของฉันออกไป แล้วเปลี่ยนมาใช้มือจัดการทัดปรอยผมที่ร่วงมาปิดหน้าปิดตาให้อย่าถือโอกาส
ราวกับต้องยืนกรานความรู้สึกของตนเอง แต่ไม่ใช่ปากที่กำลังกล่าวบอกอย่างอย่าง “เฉกเช่นตัวพี่ยามนี้ ที่มิอาจหาญกล้าเปล่าประกาศวาจาบอกผู้ใด ว่าตนเองนั้นเอื้อนเอ่ยหรือกระทำทุกสิ่งได้อย่างถูกต้องทุกประการ…”
“…” บางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ
“เพราะแท้จริงแล้ว ผู้ที่พลาดผิดมาตั้งแต่ต้นอาจจักเป็นตัวพี่เองก็เป็นได้”
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่คำพูดของเขา ทำให้ระหว่างเราถูกความว่างเปล่าเข้าแทรกซึมจนเป็นเนื้อเดียวกัน
ที่ยังคงดังอยู่จนทำให้บรรยากาศภายในบ้านไม่เงียบลงจนเกินไป
คือเสียงบทสนทนาจากละครโทรทัศน์ในจอแก้วแต่เพียงเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเราจะไม่พูดอะไรกัน แต่ท่านอสุราก็ใช่จะทิ้งระยะห่างระหว่างเราออกไปเสียที่ไหน
เขายังคงหยุดยืนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ใช้เพียงสายตาเท่านั้นในการมองกวาดสำรวจไปทั่วใบหน้าเช่นเดียวกับที่เขาเคยทำเพราะความคิดถึง
ขณะใช้มือจัดการกับปรอยผมส่วนอื่นที่ปรกลงบนหน้า ทัดเก็บข้างหูให้อย่างเบามือ
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นฉันเสียเองที่ทนต่อความแคลงใจในอกไม่ไหว
จำต้องเอ่ยปากถามแทรกความเงียบระหว่างเราขึ้น
“ท่านตั้งใจจะบอกอะไรฉันกันแน่เจ้าคะ ?” ซึ่งมันได้ผล
เมื่อถามจบ มือท่านอสุราขณะกำลังวุ่นวายอยู่กับจัดการปรอยผมให้ฉันก็หยุดชะงักลงโดยทันที เช่นเดียวกับนัยน์ตาที่ค่อยๆ หลุบมองกลับลงมายังหน้าฉันอีกครั้ง
ในคราวนี้ท่านอสุรามีทีท่าลังเลนิดหน่อย
ยามเราต้องสบประสานตากัน แววตาที่เคยแสดงถึงอาการสับสนในตอนแรก ก็คล้ายกับจะยิ่งเจนชัดมากขึ้นทุกขณะ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เขาตัดสินใจเคลื่อนมือลงมาประคองใบหน้าฉันให้เงยขึ้นสบตา
“เมื่อครั้งที่เราโต้เถียงกันจนแม่ทับทิมหนีไป…”
ก่อนเริ่มเล่าบางอย่าง ซึ่งฟังดูคล้ายกับเป็นคำตอบที่ฉันสงสัย “พี่หมายจักถามไถ่และขอโทษ จึงออกตามหาแม่ทับทิม หวังเจรจาให้เข้าใจความ…พี่ตั้งจิตนึกคิด นึกถึงดวงใจเฉกเช่นทุกครั้ง หวังทำตามประสงค์ใจ แต่ครั้นเมื่อพี่ไปเยือนที่หมาย
ตรงนั้นกลับไร้วี่แววแม่ทับทิมอย่างที่ตั้งจิตตั้งใจไว้”
ไม่รู้ว่าเป็นมองเห็นแววตาที่ท่านอสุราแสดงออกขณะเล่าหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ
ทุกวจีที่ลอดผ่านริมฝีปากเขานั้น ถึงได้ขยับไหวใจผู้ฟังให้ได้สั่นและเกิดอาการหวามไปทั้งอกได้แบบนี้
โดยเฉพาะประโยคต่อมาก่อนจะขาดช่วงไปของเขา
“หากแต่… พี่กลับได้พบอรชรนางอื่น ซ้ำกลิ่นกายนางยังหอมหวนของกลิ่นดอกสร้อยทอง มิผิดเพี้ยนไปจากแม่ทับทิมตรงไหน”
ไม่รู้เลยว่าตอนที่ท่านอสุราเล่าจบนั้น ฉันกำลังแสดงสีหน้าออกไปเช่นไร
รู้แค่ว่า นอกจากอาการวาบหวามในอกที่เกิดขึ้นนั้น ทั่วหน้าก็ยังเริ่มเกิดอาการชายิบยามต้องรับสัมผัสจากเขาอีกด้วย
ต่อให้รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ท่านอสุราเล่า แต่ฉันก็ไม่ได้โง่เกินที่จะไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี
“หนะ นั่นหรือว่า คงจะเป็นแม่นิมมานรดีตัวจริงสินะเจ้าคะ…” ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา มีเพียงแววตาวูบไหวและสัมผัสจากหัวแม่โป้งมือที่อีกฝ่ายวนไปบนผิวแก้มเท่านั้นที่ยังคงอยู่ นั่นเลยทำให้ฉันจำต้องกล่าวขึ้นด้วยตัวเองเป็นหนที่สอง “เห็นไหมเจ้าคะ ฉันบอกท่านตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ยอมเชื่อฉันเอง”
โดยหนนี้นอกจากพูดแล้ว ฉันก็ไม่ลืมที่จะเบี่ยงหน้าออกจากมืออุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้อีกด้วย
ยอมรับว่าทุกเสียงที่ใช้พูดรวมถึงทุกกริยาที่แสดงออกต่อหน้าท่านอสุรานั้น ล้วนแล้วแต่ดูเป็นปกติทุกอย่าง เช่นเดียวกับการทิ้งระยะห่างระหว่างเราที่ไม่ได้จากกันกว่าเดิมเท่าไหร่นัก และใช่! ฉันทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง แต่ไม่ใช่กับความรู้สึกแปลกๆ ในอกที่แสดงต่อร่างกายในทางตรงกันข้าม
ที่เป็นแบบนี้อาจเพราะไม่ทันเตรียมตัวล่ะมั้ง ว่าสิ่งที่ต้องรับรู้หลังถึงบ้านจะเป็นเรื่องอะไรแบบนี้…
“ละ แล้วอย่างนี้ ท่านจะเอายังไงต่อละเจ้าคะ ?” นี่เป็นหนที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่ฉันเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นด้วยตัวเอง ทั้งที่อีกฝ่ายเอาแต่เงียบไม่ปริปากพูดอะไร
“บอกเล่าความจริงพี่เถิด แม่ทับทิม…” แต่แล้วในที่สุดหลังจากที่ท่านอสุราเงียบมาได้ครู่หนึ่ง เขาก็ยอมปริปากพูดขึ้นอีกครั้ง แม้สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวนั้นจะไม่ได้ตรงกับคำถามฉันเลยก็ตาม “ว่าสิ่งที่ยลเห็นในนิมิตทุกครั้งคราว ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโป้ปด”
“โป้ปดหรือเจ้าคะ ?” ฉันย้อนเมื่ออีกฝ่ายร้องขอแกมต่อว่าออกมาแบบนั้น
“ก็เรื่องที่แม่ทับทิมมองเห็นภพชาติเก่านั่นอย่างไรเล่า สิ่งที่แม่ทับทิมยลเห็นนั้น แท้จริงแล้วคือแม่นิมมานรดี มิใช่แม่จันทน์ผาเช่นที่มิ้งวาจาบอกพี่ไว้ ใช่หรือไม่ ?” เสียงนุ่มนวลของท่านอสุราเวลานี้ เต็มไปด้วยความสับสนแต่ปราศจากความดุดัน ไม่ผิดไปจากแววตาที่แสดงออกนัก
เดาว่าที่เป็นแบบนั้นคง เพราะการได้พบเข้ากับผู้หญิงคนอื่น ซึ่งมีความเหมือนและความน่าจะเป็นคนรักของตัวเอง ต่างจากที่ท่านเคยปักใจเชื่ออย่างหนักแน่นนั่นหล่ะ
“ไม่เจ้าค่ะ ฉันไม่ได้โกหก…”
รู้ไหม ท่ามกลางความสับสนของท่านอสุราตอนนี้ ฉันกำลังกลัวอะไรที่สุด
ฉันกลัวว่าเราจะเริ่มมีปากเสียงใส่กันเวลาต้องพูดถึงแม่จันทน์ผา เหมือนตอนที่อยู่หอสมุดเมื่อช่วงสายของวันนี้ยังไงล่ะ…
“หากฉันยืนกรานเหมือนเก่า ท่านคงจะไม่หัวเสียอีกใช่ไหมเจ้าคะ ?” เพราะกลัว ฉันจึงไม่ลืมที่จะเอ่ยดักไว้ก่อน เพื่อดูทีท่าคนฟังว่าอยู่ในอารมณ์ประมาณใด และเมื่อเห็นว่าท่านอสุรายังคงยืนนิ่งรับฟัง มันจึงเป็นคราวของฉันที่ต้องเอ่ยปากเล่าความที่พบเจอด้วยตัวเองบ้าง “อย่างที่บอกไปเจ้าค่ะ ทุกครั้งที่ฉันมองเห็นภาพในอดีตผ่านนิมิตฝัน ฉันไม่เคยมองเห็นนางสวรรค์ตนอื่นเลยนอกจากแม่จันทน์ผา…”
ไม่รู้ว่าทำไมขณะที่เริ่มเล่าเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์และความจริงให้ท่านอสุราฟังอยู่นั้น วูบหนึ่งในหัวกลับเผลอนึกถึงคำพูดของไวเกลในร้านกาแฟขึ้นมาเสียได้
‘ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าทำไมมนุษย์บางคนถึงสามารถระลึกอดีตชาติของตัวเองได้ แต่ฉันเชื่อว่า หากทุกชีวิตบนโลกนี้เกิดขึ้นจากแรงกรรมที่เคยก่อกันไว้ในภพชาติก่อน บางทีการจดจำเรื่องราวในอดีตได้นั้นก็อาจเป็นเวรกรรมรูปแบบหนึ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่ตอนเกิด…’
รูปแบบของเวรกรรม ใช่ ตอนนั้นไวเกลพูดไว้แบบนี้…
‘อาจเพราะคงเคยมีกรรมร่วมกันไว้ในภพชาติเก่า ชาตินี้เลยสามารถจดจำเรื่องราวของตัวเองได้ยังไงล่ะ’
‘ว่าแต่เจ้าเถิดนางอัปสร มีชื่อเสียงเรียงนามเช่นไรงั้นรึ ?’ นอกจากคำพูดของไวเกลแล้ว อีกเสียงซึ่งมักแว๊บผ่านเข้ามาในความคิด เห็นทีคงไม่พ้นเสียงถามไถ่ของท่านอสุราในความฝัน
‘หมะ หม่อมฉันมีนามว่า นิมมานรดีเจ้าค่ะ ท่านอสุรา’
จริงด้วยสิ...
ถ้าจำไม่ผิดในภาพนิมิตที่ท่านอสุราบันดาลให้เห็นนั้น รู้สึกว่าตอนแม่จันทน์ผาถูกถามชื่อ เธอดันบอกท่านอสุราไปว่าชื่อนิมมานรดีด้วยนี่นา มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าที่พอเธอทำแบบนั้นไปแล้ว ท่านอสุราจึงเข้าใจผิด คิดว่าเแม่นิมมานรดีตัวจริงคือคนที่เขาลงไปเก็บดอกบัวในตอนเช้าด้วยกันตอนนั้น
ถ้าการสันนิฐานของฉันถูกต้องและเป็นไปอย่างที่ไวเกลพูดไว้ งั้นก็หมายความว่ากรรมของแม่จันทน์ผาคือการพูดโกหกต่อท่านอสุราซึ่งเป็นองค์เหนืออย่างงั้นน่ะสิ ?
งั้นก็แปลว่าการที่ฉันพบเจอกับท่านอสุรา และสามารถระลึกหรือมองเห็นภาพของแม่จันทน์ผาในช่วงอดีตได้แบบนี้ อาจเป็นเพราะตัวตนในอดีตต้องการให้ฉันมองเห็นความผิดของตัวเองเพื่อจัดการแก้กรรมที่เคยก่อไว้ให้จบสิ้นอย่างนั้นเหรอ ?
ใช่! มันต้องใช่แบบนั้นแน่ๆ เพราะถึงจะพูดความจริงตอนนี้ อย่างไรเสีย คนที่ท่านอสุรารักและเสียน้ำตาให้ในวันพลัดพรากมันก็คือแม่นิมมานรดีตัวจริงอยู่ดี...
“แล้วก็…” พอคิดเอาเองได้แบบนั้น ประโยคบอกเล่าที่เหมือนจะจบลงในตอนแรก จึงถูกเอ่ยขึ้นเสริมความอีกครั้งในรูปแบบคำถามเตือนความจำ “ท่านจำได้หรือเปล่าเจ้าคะ ที่ฉันบอกว่า แม้ในนิมิตจะอยู่ห่างไกลจากท่าน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีท่านอยู่ในฝันเลยทีเดียว”
“…” ท่านอสุราพยักหน้าเล็กน้อยแทนการรับคำ สังเกตได้ว่าตลอดเวลาที่ฉันพูดถึงแม่จันทน์ผานั้น เขาดูใจเย็นลงกว่าตอนที่อยู่ในหอสมุดขึ้นเยอะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วหล่ะ ที่จะได้จัดการเรื่องค้างคาระหว่างเราลง
เพราะยิ่งเขากับฉันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเสียเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดคนรักของตัวเองมากเท่านั้น...
“ในฝันฉันเห็นท่านกับแม่จันทน์ผาพูดคุยกันอยู่ที่โถงทางเดิน บริเวณประตูวังเจ้าค่ะ เหมือนว่าแม่จันทน์ผาจะเดินชนท่านจนดอกบัวในพานร่วงเกลื่อนพื้น…” แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าขณะที่กำลังเล่าอยู่นั้น คนตัวใหญ่ซึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจฟังจะกล่าวแทรกขึ้นด้วยตัวเองออกมาแบบนั้น
“ในครั้งนั้น...พี่คือผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยนางสวรรค์ตนนั้นก้มเก็บดอกบัว”
แม้ว่าคำพูดผ่านน้ำเสียงของเขานั้นยังคงแฝงไว้ความลังเลและไม่แน่ใจก็ตามที
“ชะ ใช่ จะ เจ้าค่ะ…” ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยว่าควรจะตกใจอะไรก่อนกัน
ระหว่างเรื่องที่ท่านอสุรากล่าวแทรกอย่างรู้ทันคล้ายกับคนจำความได้แบบนั้น
กับความรู้สึกที่เริ่มแน่ชัดยิ่งกว่าเก่า ว่าสิ่งที่เห็นในฝันนั้นเคยเกิดขึ้นจริง
จริงแบบจริงๆๆ ของจริงๆ น่ะ!
และถึงแม้จะตกใจ กระนั้นแล้วปากยังก็ยังพยายามเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาจากนิมิตออกไปอยู่ดี
“หะ เหตุการณ์ในฝันครั้งนั้น จำได้ว่าท่านถามชื่อด้วย แต่ที่ฉันหรือแม่จันทน์ผาตอบกลับไปตอนนั้น
คือ…”
“นิมมานรดี” อีกหนที่ท่านอสุราแทรกเสียงขัดอย่างรู้ทันด้วยด้วยสี่วลีสั้นๆ
หากแต่นั้นกลับสามารถทำให้เสียงของผู้เล่าติดขัดและขาดหายไปได้แทบจะทันทีเช่นกัน พลอยให้ความเงียบรอบกาย
เข้าถาโถมแทรกกลางระหว่างเราทั้งคู่ได้อีกครั้ง ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่า
ในหัวของท่านอสุรายามนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อที่มองเห็นเวลานี้นั้นมีเพียงแววตาที่เขาใช่มองมาแบบนิ่งๆ
เท่านั้น
แต่ไม่นานนัก ท่าทีนิ่งงันที่คนตัวใหญ่กำลังแสดงออกก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป
กลายเป็นเสียงถอนใจอย่างคนคิดไม่ตก อีกทั้งยังกล่าวถามขึ้น
“แม่ทับทิมจักบอกว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่พี่เข้าใจอยู่นั้น
คือเรื่องผิดมาตลอดเช่นนั้นรึ ?”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นเจ้าค่ะ
ฉันเพียงแค่เล่าสิ่งที่เห็นให้ท่านฟังเท่านั้น…”
“หากเช่นนั้น นอกเหนือจากเห็นการณ์หน้าประตูวังเล่า แม่ทับทิมยลเห็นสิ่งใดอีก
?”
เราสองคนเวลานี้เหมือนกำลังเล่นเกมถามตอบ
“เรือพายกับดอกบัวเจ้าคะ…” ฉันคือผู้ตอบ
ส่วนท่านอสุราคือผู้ถาม
“แล้วสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นเล่า ?”
“สระบัวขนาดใหญ่ที่แม่จันทน์ผาลงไปเก็บดอกบัวถวายท่านท้าวอสุเรนทร์เจ้าค่ะ
แล้วก็ชายชาวบ้านคนหนึ่ง…” ตลอดเวลาที่เราถามตอบกันไปมานั้น
สังเกตได้ว่า ท่าทีนิ่งขรึมรวมถึงแววตาและสีหน้าลังเลที่ท่านอสุราเคยแสดงออกนั้น
ก็เริ่มค่อยๆ ทุเลาลงไปด้วยเช่นกัน
“ชาวบ้านงั้นรึ ?” รวมถึงน้ำเสียงที่เริ่มหนักแน่นขึ้น
ยามพูดถึงเรื่องราวในอดีต แน่นอนว่าพอพูดมาถึงเรื่องของชายชาวบ้านที่เคยตกเป็นข้อสงสัยในตัวเขตแดน
ฉันจึงไม่รอช้าที่จะบอกกล่าวโดยขณะเดียวกันก็หวังให้ความสงสัยที่เคยมีได้รับคำตอบ
“เจ้าค่ะ… ชายชาวบ้านคนนั้น ถ้าฉันจำไม่ผิด
รู้สึกว่าเขาจะชื่อว่าวิรุฬเจ้าค่ะ”
“ไอ้วิรุฬงั้นรึ ?” ท่านอสุราย้อนเพียงสั้นๆ
แต่ก็เท่านั้น เพราะเขาไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากฉัน
“ทำไมหรือเจ้าคะ ชายชาวบ้านคนนั้นเขามีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ?” รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ขอให้ฉันแสดงความเห็น
แต่ปากและความสงสัยกลับไม่ยอมหยุด
ยังคงรั้นที่จะถามเพื่อคลายความสงสัยให้ตัวเองอยู่ดี
และการแทรกถามขึ้นแบบนั้น นั่นเลยทำให้ฝ่ายถูกถามเหลือบมองกันอีกครั้งจากทางหางตา
ซึ่งนี่ก็เป็นหนที่สองแล้ว
ที่ท่านอสุราเผลอถ่ายถอนใจให้ได้เห็นด้วยท่าทางที่ดูเหมือนไม่อยากพูดถึง
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไปที่จะตอบคำถาม
“ไอ้วิรุฬมันคือมันคือพรานป่า เป็นจอมขมังเวทย์ ร่ำเรียนวิชาจากฤาษีตั้งแต่วัยเยาว์…”
ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ
ทุกวลีที่ท่านอสุรากำลังเล่าถึงชายที่ชื่อวิรุฬนั้น ล้วนแล้วแต่มีบางส่วนคล้ายคลึงกับที่ถอดความจากพงศาวดารได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
“มันหลงรักนางสวรรค์ตนหนึ่ง จึงเฝ้าหาทางลักลอบขึ้นสู่แดนสรวง”
“…” ลักลอบขึ้นแดนสรวงงั้นเหรอ
“มันฉุดนางสวรรค์ที่มันหมายตาลงกลับไปยังเมืองมนุษย์
ข่าวลือว่ามันปลุกปล้ำกระทำย่ำยีนางสวรรค์ที่หมายตาทำเมีย ทว่า จากนั้นไม่กี่ชั่วยาม
มันก็ยอมปล่อยนางสวรรค์อัปโชคตนนั้นกลับขึ้นแดนสรวง ที่พิลึกพิลั่นเห็นทีคงเป็นนางสวรรค์ตนนั้น”
“ทำไมหรือเจ้าคะ ?”
“ทั้งที่พรหมจรรย์ถูกพรากจนมิเหลือชิ้นดีและควรกลับคืนสู่สภาพปุถุชนธรรมดา
หากแต่นางกลับพาตนเองกลับคืนสู่สวรรค์ได้ราวกับว่าเนื้อกายมิเคยแปดเปื้อน…”
คนตัวใหญ่จงใจเงียบเสียงลงเล็กน้อย
และใช้ช่วงเวลาที่ความเงียบกำลังเบียดแทรกช่องว่างระหว่างคำพูด
มองลึกผ่านเข้ามาในตา
เขาทำแบบนั้นอยู่เพียงครู่สั้นๆ ก่อนเอ่ยกล่าวขึ้นเพื่อต่อเติมบทสนทนาที่ขาดช่วงไป
“นางสวรรค์ที่พี่กล่าวถึง มิใช่ผู้ใดไกลอื่น หากแต่เป็นแม่จันทน์ผา”
ฉันน่ะเหรอ…
“หากแต่ก่อนคืนวิปโยคเคลื่อนคล้อยมาถึง ข่าวลือว่าไอ้วิรุฬมันได้ทำการอัตวินิบาตกรรมบากท้องตัวมันเอง แล้วกระโจนลงสระบัว
เช่นเดียวกับแม่จันทน์ผาที่ตัดสินใจกระทำสิ่งเดียวกันใต้ต้นมะกอกนอกรั้ววังในชุดรำถวาย…”
พอฟังมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ในหัวก็เผลอนึกถึงคำพูดของเขตแดนขึ้นมา
‘อีกอย่างสมัยที่ใช้ชื่อนี้น่ะ
ฉันชอบนอนฝันเห็นเรื่องน่ากลัว ถึงตอนนี้จะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าฝันอะไรไว้บ้าง แต่ที่ยังรู้สึกอยู่เวลานึกถึงคือเลือดหรือบึงนี่แหละ เพราะฝันเวรๆ
เนี่ยสมัยเด็กฉันก็เลยกลัวน้ำไปเลย’ จนอดตกใจไม่ได้ว่า
บางทีสิ่งที่ฉันแอบเดาไว้อาจเป็นจริงและกำลังผูกโยงเรื่องทั้งหมดเข้าหากัน…
“จนถึงยามนี้ พี่ยังมิอาจหาเหตุผลให้กับตนเองได้
ว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นได้…” อีกหนที่เสียงของท่านอสุราดังแทรกเข้าสู่โสตประสาตการรับได้ยิน
จนพลอยให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งจากวังวนความคิด
ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะตกใจเสียงรำพันของเขาแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะฝ่ามือที่ท่านอสุราถือโอกาสเคลื่อนมาวางลงบนไหล่
ขณะเอ่ยกล่าวความรู้สึกของตัวเองผ่านประโยคหลังต่างหาก
“เช่นเดียวกับความพลาดผิดที่เกิดขึ้นระหว่างเรา”
ทั่วหน้าเริ่มชาอีกแล้วพอได้เขาพูดแบบนั้น
มันเหมือนกับว่าการเจอกันระหว่างเรานั้นคือข้อผิดพลาดใหญ่หลวง ซึ่งฉันเองก็ไม่คิดจะโต้แย้งอะไรหรอกนะ
เพราะสิ่งที่ท่านอสุราพูดอยู่นั้น มันคือความจริง
ในเมื่อฉันไม่ใช่คนรักของเขา เราสองคนก็ไม่ควรพบเจอกันตั้งแต่แรก
“แล้วนี่ ท่านจะไปเลยหรือเปล่าเจ้าคะ ?” เพราะรู้สึกแบบนั้น
ฉันจึงถาม เผื่อว่านี่จะเป็นการใช้โอกาสสำหรับการร่ำลา ทว่า ความตรงไปตรงมาของเขาก็ไม่วายให้รู้สึกเจ็บในอกอย่างไม่สมควรอยู่ดี…
“หากสิ่งที่แม่ทันทิมเล่าความมาทั้งหมด มิใช่เรื่องโป้ปด…เห็นทีคงต้องเป็นเช่นนั้น”
ทั้งที่รู้คำตอบดีแก่ใจ แต่ก็ยังไม่หยุดที่จะส่งเสียงถามคล้ายกับพยายามยื้อเวลา
“ถะ ถ้าท่านไปไปแล้ว ฉันจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?” สิ้นเสียง คนตัวใหญ่ก็ขยับยิ้มส่งให้เล็กน้อยพลางค่อยๆ เลื่อนมือจากบริเวณหัวไหล่ ขึ้นสัมผัสลงบนศีรษะอย่างแผ่วเบา
เขาไม่ตอบคำถามของฉัน แต่เลือกวางมือนิ่งไว้แบบนั้น
ที่บ้าและส่งผลกระทบกับความรู้สึกมากที่สุดก็คือทุกรอยยิ้มและแววตาที่เขามอบให้ฉันเวลานี้นั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากวันแรกๆ ที่เราพบกันเลยแม้แต่นิด
ไม่รู้ว่าท่านอสุราวางมืออยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่
แต่สำหรับฉันมันเนินนานพอที่จะจดจำทุกภาพและองค์ประกอบที่เกิดขึ้นตรงหน้าโดยไร้คำพูดจา ไม่ว่าจะแสงสีทองที่เริ่มทอประกายรอบกายเขา
แปรเปลี่ยนเสื้อเชิ้ตสีขาวแสนธรรมดาให้กลับกลายมาเป็นเครื่องทรงยักษ์สีขาวนวลตามเดิม
หรือแม้แต่ตอนที่ร่างทั้งร่างของเขา
ค่อยๆ เลือนรางและจางหายไปจากสายตา…
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น