คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : กลรักอสุรา l บทที่๑๕ ตอน ชั่งใจ {อัพ100%}
ภาษาแปลกตาแต่มากล้นด้วยเสน่ห์ทำเอามือที่เกือบจะพลิกหน้ากระดาษหยุดนิ่งไป ก่อนเคลื่อนฝ่ามือและปลายนิ้วสัมผัสลงบนตัวอักษรที่ปรากฏต่อสายตาได้ราวกับมีแรงดึงดูด เช่นเดียวกับในหัวที่เริ่มประมวลถอดถ้อยคำแปลตัวหนังสือของแต่ละวรรคให้กลายมาเป็นภาษาที่เข้าใจได้โดยง่ายในยุคปัจจุบัน
อันดวงโกสุมปทุมมาลย์
ไร้ซึ่งกลิ่นหอมหวานดั่งบุปผา
มิหอมหวนเฉกเช่นเนื้อกานดา
พี่ต้องตาแรกรักปักดวงใจ
เรือลำเล็กวนว่ายเหนือธารา
วอนวายุนำพาห้วงความนัย
วานสายธารร้องบอกต่อดวงใจ
บุษยาพี่มอบให้ด้วยใจจริง
พอถอดความจากอักษรโบราณมาถึงตรงนี้
อาการชาก็เริ่มกัดกินไปทั่วหน้าอย่างไร้สาเหตุและที่มา ถึงอย่างนั้น
สายตาก็ไม่ยอมละลดจากตัวอักษรโบราณตรงหน้าอยู่ดี
บุษยาพี่มอบให้ด้วยใจจริงงั้นเหรอ…
‘เราหาได้เลือกบัวดอกนี้
เพื่อให้เจ้านำไปถวายพระพี่ชายเราไม่ หากเรามอบบัวดอกนี้ให้เจ้า
แม่นิมมานรดีจักชื่นชอบบัวดอกนี้มากขึ้นบ้างหรือไม่ ?…’ นอกจากอาการชาที่เริ่มกระจายกว้างจนเต็มพื้นที่บนใบหน้าแล้ว
ในหัวยังเผลอนึกถึงคำพูดซึ่งฟังดูสอดคล้องกับบทกลอนที่ได้อ่านตรงหน้าขึ้นมาจนอดคิดไม่ได้ว่า
บางทีสิ่งที่ปรากฏขึ้นในความฝันนั้นอาจจะเป็นเรื่องราวบางส่วนที่ยังไม่เคยถูกเผยแพร่ที่ไหนมาก่อนก็เป็นได้
“ดอกบัว…ใช่ บุษยาแปลว่าดอกบัว…” และเมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่เพิ่งอ่านสอดคล้องกับภาพความฝันจนปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวเดียวกันได้
สายตาที่เคยเพ่งความสนใจบนตัวอักษรโบราณจึงแปรเปลี่ยนทิศทางไปยังคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างเคียงกันโดยทันที
ทว่า วินาทีที่หันไปหาท่านอสุราตรงๆ สิ่งที่เคยเกิดเป็นคำถามในหัว
กลับไม่ได้ถูกกล่าวหรือถามไถ่ให้คลายความสงสัย เมื่อท่านอสุราซึ่งไม่รู้ว่ามองกันอยู่แบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เมื่อไหร่
แทรกเสียงถามขึ้นด้วยตัวเอง
“นั่นน่ะรึ
เหตุและผลที่แม่ทับทิมลงทุนลงแรงมายังสถานที่แห่งนี้เพื่อหมายจักพิสูจน์บางสิ่งในตัวพี่
?”
ในยามถูกเขาถามและสบประสานตาแบบตรงๆ อย่างนี้
ครั้นจะหลบเลี่ยงไปก่อน ดูท่าคงไม่สมควรเท่าไหร่นัก
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นให้บอกปัดคำถามคนตรงหน้าต่อไปได้
ฉันจึงตัดสินใจบอกเล่าความในใจที่คั่งค้างไว้จนหมดสิ้น
“เจ้าค่ะ… และนี่คือการพิสูจน์ของฉันเอง…” ซึ่งทันทีที่เริ่มขยับปากบอกกล่าวและอธิบายเหตุผล
เจ้าของคำถามอย่างท่านอสุราก็แสดงทีท่าตั้งอกตั้งใจโดยทันที “เพราะก่อนหน้าที่ท่านจะปรากฏตัวให้ฉันได้พบเห็น ฉันไม่เคยฝันถึงเรื่องราวแปลกประหลาดเลยสักครั้ง
แต่นั่นไม่ใช่กับตอนนี้…”
“…”
“ตอนที่เริ่มมองเห็นและฝันถึงเรื่องราวพวกนั้น
ฉันเคยคิดว่ามันอาจเกิดขึ้นจากฝีมือท่าน
ที่ตั้งใจจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำในภพชาติเก่าตามอย่างที่ว่าไว้ แต่ว่า
ยิ่งฝันเห็นภาพเหล่านั้นมากเท่าไหร่
ฉันก็ยิ่งรู้สึกไกลห่างจากการเป็นหญิงคนรักของท่านเหลือเกิน…” พอบอกเล่ามาถึงตรงนี้ คนตัวสูงซึ่งยืนในท่าดอกอกฟังอย่างตั้งใจ
ก็เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายปรับเปลี่ยนทีท่าของตัวเอง
เขาขยับตัวเข้ามาใกล้
พลางวางแขนข้างถนัดลงบนหน้าหนังสือที่ถูกกางเปิดออกบนแท่นวาง
สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือแววตาที่อีกฝ่ายใช้มอง
“เหตุประการใด ทำให้แม่ทับทิมนึกคิดเช่นนั้นเล่า ?”
“เพราะทุกครั้งที่ฝัน
ฉันไม่เคยได้อยู่เคียงข้างท่านในฐานะแม่นิมมานรดีเลยสักครั้งยังไงล่ะเจ้าคะ...”
สิ้นเสียงตอบ นัยน์ตาคมที่เคยมองกันแบบนิ่งๆ ก็เริ่มปรากฏความวูบไหวให้ได้เห็น
ซ้ำยังประกายอาการตกใจของผู้ฟังให้รู้สึก
คงเพราะ
ท่านอสุราคือตัวละครจากพงศาวดารที่ฉันปลาบปลื้มและชื่นชอบมากล่ะมั้ง
พอได้เห็นสีหน้าและแววตาของเขาที่กำลังแสดงออกไม่ต่างกับคนกำลังผิดหวังแบบนี้ มันเลยทำให้ฉันเลือกเป็นฝ่ายหลุบตาหลบนี้จากภาพสีหน้าดังกล่าวของเขาไปด้วยตัวเอง
ขณะปากยังคงพูดโดยหวังว่าจะช่วยลดสีหน้าและแววตาที่อีกฝ่ายแสดงออกให้จางลงได้บ้าง
“ตะ แต่ มันก็ไม่ได้แปลว่าในฝันฉันนั้นจะไม่ได้มีท่านอยู่เลยเสียทีเดียวนะเจ้าคะ…”
“หากแม่ทับทิมว่าเช่นนั้น แล้วทุกคราที่แม่ทับทิมมองเห็นพี่นั้น
เป็นเช่นไรงั้นรึ ?” ทั้งที่น้ำเสียงเขาก็ฟังดูนิ่มนวลเป็นปกติ
หากแต่คนที่ได้ฟังกลับรับรู้ถึงความกดดันได้อย่างน่าแปลก ความรู้สึกก็คงคล้ายกับว่า
ฉันกำลังจะต้องพูดเรื่องเดิมๆ
ที่อีกฝ่ายมันยืนกรานกลับด้วยความมั่นอกมั่นใจของตัวเองล่ะมั้ง
“ในฝัน ท่านคือน้องชายท้าวเจ้าเมืองนครยักษ์
ขณะที่ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มักปรากฏตัวต่อหน้าท่านพร้อมพานสีทองและดอกบัวในมือ
ทั้งที่ท่านเรียกฉันในฝันว่านิมมานรดี
แต่ว่าคนอื่นกลับเรียกฉันด้วยชื่อที่ต่างออกไป…” เสียงที่พยายามบอกเล่าภาพฝันขาดลงในช่วงท้ายประโยค
เช่นเดียวกับสายตาที่ไม่รู้ว่าอะไรดลจิตดลใจให้ช้อนสบประสานตากับคู่สนทนาอีกครั้ง
ก่อนเริ่มเติมเต็มประโยคที่ขาดไปให้สมบูรณ์อีกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้สบตา “เพราะคนพวกนั้นเรียกฉันว่าจันทน์ผา เจ้าค่ะ”
“…”
“…”
“…”
“…” ความเงียบภายในหอสมุดปกคลุมเราทั้งคู่แทบจะในทันทีที่ฉันบอกเล่าความฝันของตัวเองจนสิ้นคำ
ที่หลงเหลืออยู่ในเวลานั้น
มีเพียงแววตาของท่านอสุราเท่าที่ยังจับจ้องมาคล้ายกับกำลังคิดอะไร
ท่ามกลางบรรยากาศกดดันที่เริ่มเพิ่มขึ้นทุกขณะ
“แม่ทับทิมหมายจักพิสูจน์สิ่งใดกันแน่…” นับจากที่ทุกเสียงสนทนาระหว่างเราเงียบไป
เกือบหนึ่งนาทีตามความรู้สึกได้ล่ะมั้ง ท่านอสุราซึ่งยืนเงียบมาครู่หนึ่งจึงเปิดปากกล่าวคำถามขึ้นบ้างแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก
“พะ พิสูจน์เรื่องของท่านยังไงล่ะเจ้าคะ…” เหมือนกับเสียงของฉันในยามที่ต้องตอบคำถามของเขาไม่มีผิด “เรื่องของท่านกับแม่จันทน์ผา…”
แต่ใครจะคิดล่ะ ว่าวินาทีที่ตอบกลับไปแบบซื่อๆ เช่นนั้น มันจะทำให้ยักษ์หนุ่มซึ่งกำลังรับฟังเริ่มหัวเสีย
“แล้วเหตุใดแม่ทับทิมถึงมั่นหมายพิสูจน์ใจพี่ที่มีต่อแม่จันทน์ผา
ในเมื่อพี่นั้นไซร้หาได้เคยข้องเกี่ยวกับนางอัปสรรับใช้ในวังไม่!” ท่านอสุราส่งเสียงถามอย่างดุดัน อีกทั้งน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ถามไถ่นั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดในแบบไม่คิดมาก่อน
ซึ่งฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอะไรที่ทำให้ยักษ์ซึ่งมีภาพลักษณ์อบอุ่นใจดีแบบเขาเปลี่ยนสภาพอารมณ์ไปในทางตรงกันข้ามแบบนี้
เพราะความสงสัยของฉันงั้นเหรอ
หรือเพราะผู้หญิงที่ชื่อจันทน์ผากันแน่…
“พี่มีใจเดียว หมายมั่นมอบให้แก่นางอัปสรอันเป็นที่รักเพียงหนึ่ง มิใช่สอง…” ทั้งที่ควรรู้สึกหวาดกลัวกับท่าทางดุดันที่อีกฝ่ายแสดงออกแท้ๆ
แต่ยิ่งท่านอสุราละล่ำละลักคำพูดดูถูกดูแคลนเคล้ายืนกรานความรู้สึกตนเองที่มีต่อแม่จันทน์ผาออกมาเท่าไหร่
คนที่ฟังเช่นฉันก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากเท่านั้น “หากแม่ทับทิมระลึกหรือใคร่ครวญได้สักนิด
จักรู้ว่า เรามิอาจคว้านางสนมรับใฝ่ใต้บาทมาเชยชมได้ ดั่งที่ถูกกล่าวหาไม่!”
ฟึ่บ! พลั่ก!
รู้อีกที โทสะซึ่งก่อตัวขึ้นหลังจากรับฟังถ้อยคำยืดยาวบอกความรู้สึกของท่านอสุรา
ก็บันดาลให้มือทั้งสองข้างพุ่งเข้าผลักอกเจ้าของเสียงเกรี้ยวกราดตรงหน้าให้เงียบลง
ซ้ำยังเป็นฉันเสียเองที่เผลอแสดงกริยาไม่น่ารักใส่เขาคืนกลับไป
“ก็ดี! หากท่านพูดมาถึงขนาดนี้
ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ!”
ทั้งที่รู้ตัวทุกอย่างว่ากำลังพูดและแสดงทีท่าต่อหน้าเขาแบบไหน
แต่เหมือนว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่นั้นกลับไม่ใช่ตัวของตัวเอง “หากภาพฝันที่ฉันมองเห็น
คือเรื่องที่เกิดจากน้ำมือท่านเพื่อให้ฉันระลึกอดีตชาติของตัวเองได้แล้วจริงๆ
ล่ะก็ ท่านก็หายไปเถอะเจ้าค่ะ!”
ฉันกำลังรู้สึกเจ็บที่กลางอกอีกแล้วยามได้ยินถ้อยคำของท่านอสุรากล่าวถึงแม่จันทน์ผาแบบนั้น
มิหนำซ้ำทุกถ้อยคำทำลอดผ่านปากเวลานี้ ยังเต็มไปด้วยการประชดประชันในแบบที่ไม่เคยแสดงใส่ใครมาก่อน
“ท่านว่ามันไม่แปลกหรือเจ้าคะ
ว่าทำไมฉันถึงไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองคือนิมมานรดี…”
ท่านอสุราเองก็คงจะตกใจไม่ต่างกันนัก
เพราะเขาแสดงทุกความรู้สึกของตัวเองผ่านทางสีหน้าแววตาอยู่ตลอดเวลา
ขณะปล่อยฉันให้เป็นผู้พูด “ถ้าหากสิ่งที่ฉันเห็นในฝัน
คือการระลึกชาติได้อย่างแท้จริงตามดั่งประสงค์ของท่านแล้วล่ะก็… ตอนนี้ ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมเหมือนกัน…”
ทั้งที่ได้รับโอกาสพูดจากท่านอสุรามาโดยตลอด ทว่า
เสียงของฉันกลับไม่วายถูกทำให้เงียบลงในช่วงประโยคสุดท้าย
ฟึ่บ!
“ว่าฉันคงไม่ใช่แม่นิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ…อะ อื้อ” เมื่อเขาซึ่งเลือกเป็นผู้รับฟังมาเป็นเวลาพักใหญ่เลือกที่จะใช้ความรวดเร็วของฝ่ามือฉุดกระชากตัวฉันให้เข้าไปใกล้แล้วฉวยโอกาสในช่วงเวลาเดียวกันนั้น โน้มใบหน้า จรดริมฝีปากปิดทาบทับทุกเสียงให้เงียบลงและดังอื้ออึงอยู่ในลำคอเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะทันได้ตั้งตัวนั้น
ทำฉันรีบใช้สองมือผลักสลับกับทุบตีลงบนไหล่กว้างของอีกฝ่ายทันที
พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะสะบัดหน้าหลบหนี ทว่า ท่านอสุรากลับไม่ยอมให้ทำแบบนั้น
เมื่อเขาเลือกที่จะหยุดทุกการเคลื่อนไหวของฉันด้วยแรงกายที่ตนมี
หัวแม่โป้งและนิ้วชี้จากมือข้างที่เหลือถูกท่านอสุราเลื่อนขึ้นบีบล็อกใบหน้าบริเวณปลายคาง
ทั้งที่น้ำหนักจากปลายนิ้วไม่ได้รุนแรงนัก แต่มันก็มากพอจะตอกใบหน้าฉันให้หยุดนิ่ง
จนเขาสามารถบดเบียดน้ำหนักผิวปากลงมาได้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันฉันก็ยังรับรู้ถึงเรี่ยวแรงมหาศาลจากลำตัว
ยามที่อีกฝ่ายจงใจก้าวเข้ามาเบียดกายแนบชิดพลอยให้แผ่นหลังของผู้ถูกคุมขังเบียดนาบลงกับขอบแท่นวางหนังสืออย่างไร้ทางหลบหนี
กึก…
ริมฝีปากของท่านอสุราเวลานี้ร้อนจัด เช่นเดียวกับลิ้นร้อนที่ลากวนเวียนอยู่กลางรอยแยกระหว่างกลีบปากบนและล่าง
ก่อนสอดแทรกเข้ามาภายในอย่างจาบจ้วงกระหวัดรับความอุ่นร้อนชื้นแฉะภายใน คล้ายกับตั้งใจจะลงโทษที่ฉันขึ้นเสียงใส่ให้หมดลมหายใจไปอย่างไรก็อย่างนั้น
“อื้อ…” ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นอยู่ปากในโพรงปาก
คล้ายกับกำลังชำระโทสะในอกและความไม่เป็นตัวของตัวเองให้มอดลงอย่างช้าๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าในที่สุด
เช่นเดียวกับเรี่ยวแรงที่เคยใช้ต่อต้าน
ฝ่ามือที่เคยใช้ทุบตีไปตามเนื้อตัวท่านอสุรา บัดนี้ได้อ่อนแรงลงและเปลี่ยนเป็นกำจิกปลายเล็บลงบนไหล่กว้างแทนการหาหลักยึด
ลมหายใจที่เคยเป็นปกติเริ่มเรรวนผิดจังหวะ
ในทุกคราที่ลิ้นร้อนของเขากวาดเกี่ยวอยู่ภายใน
และฉันคิดว่าฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจ
คล้ายกับเจ้าของสัมผัสร้อนเบื้องหน้าจะรับรู้ถึงการตอบสนองที่อ่อนลง
นั่นเลยทำให้ริมฝีปากและลิ้นร้อนที่เคยลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวอย่างจาบจ้วง ค่อยๆ
ทุเลาความดุดันลง และยอมผละห่างออกไปในช่วงที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของฉันจะขาดลง
“แฮ่ก…”
เสียงหอบแผ่วๆ หลังถูกช่วงชิงลมหายใจดังขึ้นท่ามกลางพื้นที่อันเงียบสงบภายในหอสมุด
ซ้ำยังดังฟังชัดไม่ต่างจากเสียงเต้นของหัวใจที่เป็นอยู่
ถึงแม้สัมผัสเร่าร้อนนั่นจะถูกผละออกไปแล้วก็ตาม
แต่ก็ใช่ว่าท่านอสุราจะยอมลดถอยใบหน้าออกห่างไปเลยเสียที่ไหน เขายังคงเว้นระยะห่างระหว่างใบหน้าสองเราไว้ด้วยลมหายใจ
ระหว่างเราไม่มีคำพูดใดดังขึ้นหลังจากนั้น
มีเพียงแค่สายตาที่สบประสานต่อกันแทนการบอกความรู้สึกภายใน ขณะที่เจ้าของการกระทำจาบจ้วงอย่างฉวยโอกาส
ถือวิสาสะละปลายนิ้วที่เคยใช้บีบปลายคางกันการหลบหนี ไกล่เกลี่ยไล่ระดับสูงขึ้นไปตามแก้ม
ก่อนตัดสินใจวางทาบฝ่ามือตนเองประคองใบหน้าฉันให้เชิดขึ้นในมุมที่เหมาะสม
“พี่รอภพยามเคลื่อนผ่านเป็นหมื่นปี เหตุผลเดียวก็เพื่อหมายจักพบเจ้าของเสียง
ผู้เป็นเจ้าของดวงใจ…” ฉันได้ยินเสียงท่านอสุรากล่าวถ้อยบางอย่าง
หากแต่เหมือนสายตาดันฝ้าฟางมองภายใบหน้าของไม่ชัดนักทั้งอยู่ใกล้ “พี่คิดถึงแม่ทับทิมหมดทั้งหัวใจตลอดทุกช่วงเพลาที่พ้นผ่าน เพียงเท่านี้มิเพียงพอจักพิสูจน์หรือ
ว่าพี่รักเดียวใจเดียว”
เสียงของเขามันเต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้รู้สึกผิด
ขณะเดียวกันก็ยังคงความหนักแน่นของความรู้สึกเดิมของตนไว้ ไม่แปรเปลี่ยนไปเลย…
ฟึ่บ! พลั่ก!
และทันทีที่ถ้อยวาจาของท่านอสุราสิ้นสุดลง
ร่างกายก็ยังไม่วายแสดงการต่อต้านและปฏิเสธที่จะอยู่เคียงใกล้ โดยการพุ่งมือผลักอกเขาที่ไม่ทันตั้งตัวให้ถอยห่างออกไป
ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำด้วยอารมณ์โกรธอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครู่หรอกนะ
แต่ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างอื่นอยู่ต่างหาก…
-อสุรา กล่าว-
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เราได้ยินเสียงกระทบของฝีเท้า ขณะผู้เป็นเจ้าของค่อยๆ
ตีตนวิ่งหนีออกห่างไป ไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เกิดขึ้นยามนี้คือเรื่องสมควร
ในเมื่อเรานั้นพลาดผิด ซ้ำยังใช้อารมณ์กระทำเรื่องไม่สมควรแบบนั้นด้วยมือเราเอง เพราะรู้ตัวดีว่าผิด
หลังบอกความนัยที่มีจนจบคำ เราจึงยินยอมที่จะปล่อยหากคู่เจรจาไม่หยุดฟัง
ทั้งที่เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดนั่นไม่อาจทำให้เราถอยห่างไกลตัวแม่ทับทิมได้อย่างที่เป็นอยู่เพลานี้ก็ตามที
ตึก! ตึก! ตึก!
ทั้งที่เราคงความใจเย็นมาตราบชั่วลมหายใจ หากแต่เพียงได้ยินชื่อของนางอัปสรตนนั้น
ในอกมันก็เผลอระบายโทสะออกมาอย่างไม่ไหว
โดยเฉพาะเรื่องราวระหว่างเรากับนางสวรรค์ตนนั้นในอดีต
‘เจ้ามีนามว่า จันทน์ผางั้นรึ ?’ เราจำเสียงของตัวเองได้
เช่นเดียวกับที่จดจำทุกอิริยาบถของแม่จันทน์ผาได้
‘…เจ้าค่ะ หม่อมฉันชื่อจันทน์ผา’ จากนอกจิตใจที่บริสุทธิ์ขณะกล่าวถึงพันธุ์ไม้ในสวนแล้ว
อีกสิ่งที่เรานั้นติดตาติดใจ ไม่ต่างกัน คงไม่พ้นอ้อมกอดที่นางใช้กับเราอย่างไร้การครวญคิดถึงที่ต่ำที่สูง
‘หม่อมฉันคำนึกหาท่านอสุราอยู่ทุกเพลานะเจ้าคะ’
ฟึ่บ!
‘ออกห่างจากตัวเรา!’ เราจำเสียงของตัวเองที่ตะเบ็งสั่งนางด้วยความตกใจ
อีกทั้งยังจำแรงจากฝ่ามือที่ใช้ผละตัวแม่จันทน์ผาจนล้มลงกับใบหญ้าได้ ‘ไยเจ้าจึงมิรู้จักสงวนตัวสงวนตน กระทำกริยาไร้มารยาท หาได้รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อเราเช่นนี้ไม่!’
แม้ว่าเราจะจำทุกอย่างเมื่อคราวนั้นได้
แต่เราไม่อาจจดจำภาพสีหน้าของแม่จันทน์ผาในช่วงเพลานั้นได้เลยแม้เพียงนิด
ซ้ำสิ่งที่จดจำได้นั้น กลับมีเพียงแค่กริยาท่าทางเกรี้ยวกราด ไม่พอใจขณะชี้นิ้วไปยังผู้ผิด
เพื่อต่อว่าเท่านั้น
‘อย่ากระทำกริยาเช่นนี้ต่อเรา มิเช่นนั้นเราจักมิไว้หน้าเจ้าและดวงใจของเราอีก!’ เหตุและผลก็คงเพราะ เราไม่เคยคิดฝันกระมัง
ว่าน้องสาวของหญิงคนรักจะกล้ากระทำรุ่มร่ามใส่เราแบบไม่กลัวเกรงในช่วงฟ้ามืดอย่างไร้ความเกรงอกเกรงใจเช่นนั้น
แม้นว่าเราไม่ค่อยถือตัวต่อผู้ใดนัก
หากแต่กับสตรีหรือนางอัปสรตนอื่นๆ ถือเป็นเรื่องยกเว้น ยิ่งด้วยยามนั้นเรามีคู่ครองเป็นของตัวเองด้วยแล้ว
การวางตัวเพื่อออกห่างจากสตรีนางอื่นๆ
จึงเป็นเรื่องที่สมควรปฏิบัติและเคร่งครัดมากกว่าอะไร
แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์ในชั่วคืนยามนั้น จะมีผู้ล่วงรู้และมองเห็น
‘ท่ามรามสูร เห็นวี่แววแม่นิมมานรดีบ้างหรือไม่ เรามิเห็นวี่แววนางในสวน นับตั้งแต่ฟ้าสว่าง’
‘แม่นิมมานรดี ยามนี้ได้ขออนุญาตท่านท้าวอสุเรนทร์กลับสรวงน่ะขอรับ
ท่านอสุรา’
‘กลับสรวงงั้นรึ? ด้วยเหตุเร่งด่วนอันใด ไยจึงรีบร้อนนัก ไปมาหาได้บอกกล่าวเราไม่
?’
สีหน้าของท่านมหาอุปราชรามสูรยามถูกเราถามในครั้งนั้น
เต็มไปด้วยความลังเลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนั้นเราจึงออกปากเร่งออกไปอีกหน ‘ท่านพอจักรู้สาเหตุบ้างหรือไม่
ท่านรามสูร ?’
‘กระหม่อมทราบดีขอรับ…’
‘หากเช่นนั้นท่านรามสูรจงบอกกล่าวเราเสียสิ
จักอ้ำอึ้งเช่นนั้นให้ได้เรื่องอันใด?’
‘แม่นิมมานรดีนั้นกำลังน้อยอกน้อยใจซ้ำยังเศร้าโศกี
เหตุเพราะสารปากต่อปากที่กล่าวกันหนาหูว่า เมื่อก่อนรุ่งสาง มีพวกทหารในวังเดินตรวจตรา
แล้วพวกมันบังเอิญเห็นท่านกำลังกอดกลมเกลียวกับแม่จันทน์ผาอยู่ในสวนหลังวังน่ะขอรับ’
และทั้งหมดนั่นกระมัง คือเหตุผล ว่าสาเหตุใดเราจึงไม่ชอบพอและรู้สึกโกรธมันเสียทุกครั้ง ยามถูกพูดถึงหรือคาดคั้นถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนางอัปสรตนนั้น…
อย่างไรเสีย เราก็ไม่อาจโทษผู้ใดได้นอกจากตัวเราเอง ที่ไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์ร้อนในอก จนพลาดพลั้งกระทำรุนแรงเช่นนั้นใส่แม่ทับทิม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านางไม่อาจจดจำเรื่องราวเก่าก่อนครั้นเมื่อเคยมีลมหายใจได้ แม้นจะคิดเช่นนั้น แต่ว่า…
‘ในฝัน ท่านคือน้องชายท้าวเจ้าเมืองนครยักษ์ ขณะที่ฉันเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มักปรากฏตัวต่อหน้าท่านพร้อมพานสีทองและดอกบัวในมือ เพราะคนพวกนั้นเรียกฉันว่าจันทน์ผา เจ้าค่ะ’
เสียงของแม่ทับทิมขณะบอกเล่าความนิมิตฝันซึ่งแตกต่างจากภาพนิมิตที่เราหมายให้มองเห็น กลับทำให้กลางอุรารู้สึกแปรปรวนได้อย่างไร้เหตุ เราไม่อาจอธิบายได้ว่าอาการเช่นนี้ สมควรถูกเรียกเช่นไร รู้เพียงแค่ว่าในอกมันกำร้อนรุ่ม ร้อนรน และไม่อาจตีค่าความหมายจากความที่ได้รับฟังเป็นอื่นใดได้ นอกเสียจากเสียงขับไล่และถ้อยวจีบอกกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำของแม่ทับทิม
‘ถ้าหากสิ่งที่ฉันเห็นในฝัน คือการระลึกชาติได้อย่างแท้จริงตามดั่งประสงค์ของท่านแล้วล่ะก็… ตอนนี้ ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมเหมือนกัน ว่าฉันคงไม่ใช่แม่นิมมานรดีที่ท่านตามหาหรอกเจ้าค่ะ’
หากแม่ทับทิมนั้นไซร้ หาใช่ดวงใจที่เราเฝ้ารอจะพบเจออีกคราตามดังถ้อยวจี แล้วเหตุใดเล่า ตลอดมาเราจึงได้ยินเสียงนาง ดังก้องไกลถึงนครยักษ์เช่นนี้ทุกวี่วัน…
ยิ่งไตร่ตรองหาเหตุและผลมากเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่อาจหาคำตอบให้กับตนเองได้ จนไม่สามารถยืนนิงอยู่กับที่เพื่อปล่อยแม่ทับทิมไปได้ดั่งที่ตั้งมั่นไว้ในใจ
‘เพลานี้ฤกษ์ดีเช่นวันวาน เจ้ามิลงไปเก็บดอกบัวที่สระหรอกรึแม่นิมมานรดี ?’
เมื่อเวลานี้มีเพียงเรานั้นที่จดและจำทุกความทรงจำอดีตระหว่างเราได้อย่างแม่นยำ
‘อะ…หมะ หม่อมฉัน… มิได้ไปเจ้าค่ะ’ ไม่ว่าจะความรู้สึกตั้งมั่นแรกที่ตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหานางก่อนในช่วงย่ำรุ่ง เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างใจ
‘ไยจึงกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อเจ้าให้คำมั่นว่าจักยินยอมให้เราเดินทางเคียงคู่เพื่อตัดดอกบัวในสระไม่ใช่หรือ ?’
‘คะ คือ…หมะ หม่อมฉัน แท้จริงแล้วหาใช่นางสนมรับใช้ใต้พระบาทในวังไม่ แต่เป็นนางรำเอกคอยสร้างความเกษมสำราญให้แก่ท้าวนครยักษ์ เหตุที่โชคชะตานำพาท่านมาเจอหม่อมฉันที่สระบัวเมื่อวานซืน กะ ก็คงเพราะ…’ ซ้ำถ้อยคำที่นางเอ่ยบอกสถานะตนในย่ำรุ่งวานนั้น ก็เป็นอีกเรื่องที่สร้างความเปรมปรีดิ์ ราวกับคนบนสรวงจงใจเบิกทางให้พรหมลิขิตระหว่างเราดำเนินเป็นเส้นทางเดียวกัน ‘หม่อมฉัน…อาสารับหน้าที่ลงไปตัดดอกบัวในสระแทนแม่จันทน์ผา แฝดผู้น้องซึ่งกำลังป่วยหนักในช่วงเพลานั้นยังไงล่ะเจ้าคะ’
เมื่อจิตตั้งมั่นนึกหวนถึงถ้อยคำในวันวาน อิทธิฤทธิ์เพียงหยิบมือที่ถือครองไว้ ก็เริ่มบังเกิดขึ้นปิดเปลือกตาลง เพื่อหมายจะพาตัวเองติดตามดวงใจซึ่งกำลังโกรธจัด โดยหวังจะลองเจรจาอีกคราเมื่อมีโอกาสได้ยลหน้า ทว่า
กึก…
เสี้ยวเพลาที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่บังเกิดขึ้นตรงหน้ากลับเป็นสถานที่แปลกตาในแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนยามอยู่ที่นครยักษ์ รอบกายเราเต็มไปด้วยปุถุชนมากหน้าหลากตาเดินกันขวักไขว่ บนเส้นทางเดินขนาดเล็กซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยอัครสถานสูงเสียดฟ้านับสิบ
ทั้งที่เป็นเช่นนั้น หากแต่บริเวณที่เรายืนอยู่ กลับปราศจากวี่แววของแม่ทับทิมอย่างที่พยายามนึกถึง
ด้วยเพราะไม่คุ้นชินกลับสถานที่แปลกตา เราจึงพยายามกวาดตามองหาอรชรซึ่งเป็นที่หมายตาอีกครั้ง โดยไม่ลืมที่จะเดินเบียดฝ่ากลุ่มปุถุชนไปอย่างกลมกลืน ทว่า เดินเหยียบอยู่บนถนนเส้นเล็กได้เพียงไม่นานนัก เท้าสองข้างกลับต้องมีอันหยุดลง เมื่อกลิ่นหอมหวานของดอกสร้อยทองยามรุ่งอรุณลอยแตะปลายจมูก พลอยให้สายตารีบตวัดมองไปยังต้นเหตุของกลิ่นหอมหวานรีบร้อน ก่อนต้องรู้สึกผิดคาดกับสิ่งที่ตาเห็น
เพราะสิ่งซึ่งกำลังปรากฏต่อสายตาเราเบื้องหน้านั้น หาใช่แม่ทับทิมตามอย่างที่ปรารถนาไม่ แต่กลับเป็นภาพของนารีชนนางอื่นที่เราไม่คุ้นหน้าค่าตา ในเครื่องแต่งกายแสนแปลกตาหากแต่มีสีสันสุภาพ
กึก…
“คุณเมรีออกจากโรงพยาบาลหรือยังคะ คุณกรองขวัญ ?”
“ออกแล้วค่ะป้า นี่ขวัญว่าจะซื้อกาแฟไปฝากเมรีอยู่พอดี เอารสชาติเดิมนะคะ แต่แยกน้ำแข็งให้ด้วย…” ไม่รู้เลยว่า จิตนึกคิดกับร่างกายเราในเพลานี้เกิดอาเพศอันใด ถึงไม่อาจควบคุมให้เคลื่อนไหวและกระทำตามประสงค์ของตนเองต่อได้อย่างที่พึ่งจะทำ ซ้ำร้ายยังไม่อาจละลดสายตาไปจากภาพนารีชนตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
“ได้จ้า ยังไงป้าฝากบอกคุณเมรีด้วยนะคะ ว่าป้าชอบละครที่คุณเมรีเล่นมากๆ เลย”
ตึก… ตึก… ตึก…
“ได้จ้ะป้า…” นอกจากกลิ่นหอมหวานจากเนื้อนวลของหญิงแปลกหน้าจะชักจูงเราให้เดินเข้าได้ราวกับถูกสะกด ขณะเดียวกันหูก็ยังได้ยินเสียงหวานๆ ของนางชัดเจนยิ่งกว่าเสียงอื่นใด “เดี๋ยวฉันบอกเมรีให้นะจ๊ะ”
การตอบถ้อยกับนารีมีอายุของเธอในช่วงยามนั้น คล้ายมีมนต์เวทย์ ดลบันดาลให้เท้าที่เคยหยุดนิ่งไป เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
ตึก… ตึก…
“แล้วนี่ ป้าขายถึงกี่โมงจ๊ะ ?” ทั้งที่ร่างกายของเรากำลังเคลื่อนไหว มุ่งตรงดิ่งเข้าหานางอย่างไร้เหตุและผล หากแต่ทุกความรู้สึกคล้ายกับหยุดนิ่ง ราวกับว่ายามนี้มีเพียงร่างกายเราเท่านั้นที่กำลังขยับได้เป็นปกติ กว่าที่จิตนึกคิดจะกลับคืนกาย ก็เป็นตอนที่มือเอื้อมแตะลงบนไหล่เล็กของหญิงแปลกหน้าไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นกระมัง
ฟึ่บ…
“อ๊ะ…” เสียงอุทานอย่างตกอกตกใจของนาง ทำเราซึ่งพลั้งเผลอกระทำการอย่างไม่รู้ตัว รีบชักมือออกอย่างรีบร้อน ขณะใช้หัวคิดเรียบเรียงถ้อยคำในแบบที่มนุษย์มักใช้เอ่ยถ้อยต่อกัน เพื่อแสดงความรู้สึกผิด ทว่า ยังไม่ทันจะได้ทำสิ่งที่ตั้งใจ มันก็เป็นหญิงแปลกหน้าเสียเองที่กล่าวแทรกขึ้น
“ทำไมวันนี้ลมแรงจัง ป้าคิดเหมือนขวัญไหมคะ ?” หล่อนแทรกขึ้นเช่นนั้น ที่เหลียวหลังปรายตามายังเราซึ่งทิ้งระยะห่างจากนางไปเพียงแค่ช่วงแขน เช่นเดียวกับบรรยากาศรอบกายที่คล้ายกับเริ่มเวียนหมุนลงอย่างเชื่องช้า จนสามารถใช้ช่วงโอกาสในยามนั้น จดจำลายละเอียดบนใบหน้าสวยของนางได้อย่างเต็มที่ แม้นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นแค่ช่วงประเดี๋ยวประด๋าว ก่อนที่นางจะหันใบหน้ากลับไปหาคู่สนทนาของตนเองตามเดิม
“แรงหรือคะคุณกรองขวัญ ป้าว่าก็ปกติออกนะคะ”
“ไม่รู้สิคะ หรือว่าขวัญจะเป็นไข้ก็ไม่รู้ ถึงรู้สึกหนาวแปลกๆ” เจ้าหล่อนทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นเราที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังไปเพียงเล็กน้อย ต่างจากปุถุชนตนอื่น ที่ยังสามารถกล่าวถ้อยบอกเรา ครั้นเมื่อเดินชนแขนผ่านไปอย่างไม่ตั้งใจ
ตุบ!
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ พอดีฉันไม่ได้มองทาง”
“ครับ…” สิ้นเสียงรับคำสำเนียงแปลกลิ้นของเรา หญิงแปลกซึ่งเป็นเหตุต้องตาเราให้หยุดนิ่งก็รีบเหลียวหลังมองกลับมาอีกครั้ง หากไม่ได้นึกคิดไปเอง นัยน์ตาสวยคู่นั้นกำลังมองตรงทางเรา หากแต่เพลาเดียวกันนั้นก็เหมือนมองผ่านเลยไปยังสตรีที่เพิ่งกล่าวคำขอโทษเมื่อครู่ด้วยเช่นกัน
“เจ้ามองไม่เห็นเราหรอกรึ ?”
ความผิดแปลกจากบุคคลอื่นที่หญิงสาวแสดงให้เห็น ส่งผลให้ปากเผลอขยับถามอย่างลืมตัว หากแต่ถ้อยคำถามจากเรานั้นก็ไม่อาจได้ถ้อยคำตอบใดจากสตรีชนตรงหน้ากลับคืน และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้แน่ชัดมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า มือข้างถนัดจึงเคลื่อนแตะลงบนไหล่อรชรร่างเล็กตรงหน้าอีกครั้ง โดยหนนี้เราก็ไม่ลืมที่จะขานชื่อเรียกตาม
“แม่กรองขวัญ…”
Talk1 ท่านทำอะไรทับทิมอ่ะ!!!
Talk2 เขียนมาตั้งนาน เพิ่งจะมีฉากนี้กับเขาบ้างสักที ฮ่าาา
Talk3 มองไม่เห็นพี่หรือแม่กรองขวัญ
___________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น