คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : กลรักอสุรา l บทที่๑๓ ตอน นอกจากชื่อฉัน {อัพ100%}
‘สุขสบายดี
ทั้งฉันและพี่นิมมานรดีเจ้าค่ะ…’
ยิ่งลอบฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่มากเท่าไหร่
ความสงสัยมากมายก็ยิ่งประดังประเดเข้าสู่กมลความคิดให้นึกทบทวนถึงเนื้อหาที่เขียนบอกเล่าไว้ในพงศาวดาร
ก่อนตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตามองเห็นอยู่เวลานี้นั้น
ล้วนแล้วอยู่นอกเหนือจากที่เคยอ่านผ่านตาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องของแม่จันทน์ผาหรือแม้แต่เรื่องที่เธอน้องสาวของแม่นิมมานรดี
จนอดคิดไม่ได้ว่า
สิ่งที่ตากำลังมองเห็นนั้น
บางทีอาจเป็นเพียงภาพหลอนที่ถูกต่อยอดขึ้นเองด้วยจินตนาการเท่านั้น…
แม้จะรู้สึกสงสัยมากเท่าไหร่ก็ตาม
แต่บทสนทนาที่เริ่มดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนั้น กลับไม่อาจลดความสงสัยที่เพิ่มทวีขึ้นในแต่ละวินาทีลงได้เลย
กว่าจะหลุดออกจากวังวนความสงสัยได้
ก็คงเป็นตอนที่เสียงโวยวายระหว่างคนทั้งคู่ดังขึ้น พร้อมเพรียงกับเสียงกระทบพื้นของพานทองสีสวย
พานให้ต้องเหลือบมองเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามได้
ฟึ่บ! เกร้ง!
‘หากรีบเร่งเช่นนั้น
เจ้าก็พาพี่ไปเก็บดอกบัวเสียด้วยกัน มิได้หรอกหรือจ๊ะนางอัปสร ?’ ซ้ำร้ายคำพูดของชายหนุ่มยังคุ้นหูและไม่แตกต่างจากเสียงแว่วที่ได้ยินหัวก่อนหน้านี้สักนิด
‘ฉันหาใช่หญิงชาวบ้านเหมือนท่านวิรุฬแล้วนะเจ้าคะ
หากกระทำเช่นนั้น จักดูมิดีมิงาม มิถูกมิควรนะ…อะ’ เสียงปรามของแม่จันทน์ผาไม่อาจห้ามให้ชายหนุ่มหยุดความต้องการของตัวเองลงเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงออกแรงฉุดยื้อเธอให้เดินตามไป ซ้ำยังยอกย้อนกลับแบบไม่กลัวความผิด
‘ช่างเรื่องถูกผิดมันประไร
ในเมื่อยามนี้ พี่ได้พบเจ้าแล้ว แม่จันทน์ผามิคิดถึงพี่บ้างหรอกรึ ?’
‘ปล่อยฉันเถิดนะเจ้าคะ
หากชักช้าเกินการกว่านี้ เห็นทีฉันคงมิแคล้วถูกท่านท้าวอสุเรนทร์ลงโทษเป็นแน่’
ภาพที่เห็นเวลานี้
ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากช่วงเวลาที่ฉันถูกท่านอสุราและเขตแดนฉุดกระชากตรงไหน
ที่น่าประหลาดใจก็คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้านั้น
ดันตรงกลับเสี้ยวความคิดในช่วงเวลานั้นจนน่าตกใจ
‘น่านะ
แค่ชั่วครู่เดียวเอง มิเป็นไรหรอก’
‘มิได้เจ้าค่ะ ปล่อยฉันเถิดนะเจ้าคะ !’
ฟึ่บ!
ครืนนนน...
ท่ามกลางสถานการณ์ฉุดรั้งกันไปกันมากระหว่างชายชาวบ้านและนางสวรรค์
ช่วงฉับพลัน ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสกลับเริ่มมืดครึ้มลงราวกับกำลังจะเกิดพายุฝน
ซึ่งสภาพท้องฟ้าที่ไม่ต่างจากเหตุการณ์ในวันเมื่อครานั้น ก็นำพามาด้วยเรื่องราวแสนคุ้นตา
เมื่อแรงสั่นสะเทือนของพื้นดินบังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงราวกับแผ่นดินจะแยกออกจากกัน
ตึง!!
เรื่องอัศจรรย์ที่ปรากฏขึ้นหลังจากแรงสั่นไหวยุติลง
คือร่างสูงของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์พร้อมแรงสั่นไหวเล็กๆ ในทุกฝีเท้าที่เขาย่างเหยียบลงพื้น
จากมุมที่ฉันแอบลักลอบมองอยู่นั้น แม้จะเห็นทุกสิ่งจากทางด้านหลัง ถึงกระนั้นมันก็มากพอแล้วที่จะมองออกว่าเขาคนนั้นคือใคร
‘ทะ ท่านอสุรา!’ เสียงขานชื่อสั่นเคล้าอาการหวาดกลัวอย่างขีดสุด
ดังขึ้นผ่านปากชายชาวบ้าน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ปล่อยมือยกมือพนมกลางอกเพื่อกราบไหว้
ร่างทั้งร่างของกลับถูกลมหวนลูกใหญ่จากการวาดมือของอสุราหนุ่มโถมเข้าใส่จนกระเด็นกระแทกแผ่นหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ
ก็เสียก่อน
ตึง! ตุบ!
‘อึก…’
‘มึงเป็นเพียงมนุษย์
เหตุใดจึงริอาจแตะน้องนางฟ้านางสวรรค์หาได้เกรงกลัวความผิดไม่…’ เสียงของท่านอสุราในครานั้นฟังดูดุดันเกินกว่าที่ฉันเคยได้ยิน
เช่นเดียวกับแววตาซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างจากน้ำเสียง
ไม่ปฏิเสธว่าทีท่าของท่านอสุราในตอนนั้นดูน่ากลัวและน่าเกรงขาม
ยิ่งบนใบหน้าคมคายที่เคยมองเห็นนั้นปรากฏคมเขี้ยวฟันบอกสถานะตนด้วยแล้ว
ฉันยิ่งไม่แปลกใจว่าทำไมชายชาวบ้านคนนั้นถึงได้ดูหวาดเกรงเขาถึงขนาดนี้
ด้วยเพราะความน่าเกรงขาม และสถานะที่ต่างกันราวกับฟ้าและดิน ทำเอาผู้ถูกต่อว่ารีบยกมือพนมขึ้นเหนือหัวด้วยอาการไม่คลายความหวาดกลัวลง แม้ว่าร่างกายตนเองจะบอบช้ำจากการถูกลงโทษเมื่อครู่
กระนั้นแล้ว ทีท่าดุดันของท่านอสุราก็ใช่จะอยู่ได้นาน
เมื่อเห็นว่าชายชาวบ้านเริ่มสำนึกและหวาดกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่ได้รับ
สิ่งที่ท่านอสุราทำจึงเป็นเพียงการกล่าวถ้อยด้วยโทนเสียงเดิม
‘ไสหัวไป การมาเยือนสระบัวระหว่างเราและนางสวรรค์
หาใช่กงการที่มึงควรยุ่งเกี่ยวไม่!’
สิ้นเสียงขับไล่ ชาวบ้านหนุ่มก็รีบกระเสือกกระสนพาตนเองหลบหนีไปจากหน้าพระพักตร์ของยักษ์หนุ่มและนางสวรรค์ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีโดยทันที พลอยให้บรรยากาศซึ่งเคยวุ่นวายบริเวณสระบัวเงียบกลับมาสงบเงียบดั่งที่ควรเป็น
แต่นั่นไม่ใช่กับความคิดของฉันที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบเงียบลงตามบรรยากาศโดยรอบ
จากที่ในหัวเคยขบคิดทบทวนหลากสิ่งอยู่แล้ว พอมีท่านอสุรามาผสมโรงด้วย
ในหัวยิ่งทำงานหนักเข้าไปใหญ่
หากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่มโนภาพที่คิดต่อยอดไปเอง
แต่คือส่วนหนึ่งของพงศาวดารที่เคยอ่านแล้วล่ะ หากฉันปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ผิดล่ะก็… ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นตอนนี้นั้น
น่าจะเป็นช่วงที่ทั้งสามภพยังไม่ถูกปิดกั้นออกจากกัน นั่นแปลว่าบางทีสระบัวที่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาในเวลานี้นั้น
น่าจะเป็นส่วนหนึ่งบนพื้นแผ่นดินของภพมนุษย์ในแบบที่ฉันเข้าใจ
‘เจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่นางอัปสร
?’
หลังจากชายหนุ่มชาวบ้านวิ่งเตลิดคล้อยหลังออกไป
เสียงดุดันที่เคยประกาศกร้าวในคราแรกของท่านอสุรานั้นก็ได้ปรับเปลี่ยนไป
เมื่อเขาเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ซึ่งคำถามของเขามันก็ทำให้นางอัปสรหรือแม่จันทน์ผาที่ฉันเข้าใจ
รีบทรุดตัวลงนั่งในท่าพับเพียบ พนมมือแนบอกโดยทันทีเช่นกัน
‘หะ หามิได้เจ้าค่ะท่านอสุรา
หม่อมฉันมิได้เจ็บปวดตรงไหนแม้เพียงนิดเจ้าค่ะ’
‘หากเป็นเช่นนั้นก็ดี
ดูท่าแล้วการส่งนางสวรรค์ลงมาเยือนภพมนุษย์เพียงลำพังหาใช่เรื่องที่ดีไม่…’
สังเกตได้ว่าตลอดที่ท่านอสุราบอกกล่าวกับแม่จันทน์ผานั้น
เขาคอยเหลียวมองหลังตามเส้นทางที่ชายชาวบ้านวิ่งออกไปเป็นระยะๆ ‘เห็นทีเราควรบอกกล่าวท่านพี่
เรื่องการมาลงเยือนเมืองมนุษย์ของนางสวรรค์ จักได้ไม่เกิดเรื่องเมื่อครู่ต่อนางอัปสรตนไหนอีก’
ถึงไม่เห็นหน้า
แต่จากน้ำเสียงฉันก็พอรับรู้ได้ว่า
ว่าท่านอสุราดูจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของนางสวรรค์ซึ่งอยู่ในการปกครองของนครยักษ์เอาเสียมากๆ
แต่อย่างไรเสียคำบอกกล่าวของเขาก็ไม่วายถูกเสียงอ่อนหวานของนางสวรรค์ชี้แจงกลับ
‘บุรุษเมื่อครู่นั้น หาใช่ผู้ร้ายหรอกเจ้าค่ะท่านอสุรา
ท่านวิรุฬเป็นคนในหมู่บ้านที่ฉันเคยพำนักอาศัยเมื่อครั้นยังเยาว์…’ สิ้นเสียงอธิบาย
ท่านอสุรากลับไม่ได้เอ่ยถ้อยต่อความใดแก่คู่สนทนา เขาเลือกที่จะจะรับฟังเงียบๆ และหยิบยื่นน้ำใจของตนเอง
ส่งมือเข้าหานางสวรรค์ตรงหน้าอย่างไม่ถือตัว
‘ลุกเถิดแม่นิมมานรดี
จักได้รีบทำการทำงานของเจ้าให้สำเร็จลุล่วง ก่อนมื้ออาหารของพระชายพี่เราจะมาถึง’
ที่น่าแปลกก็คือ ทั้งที่ชายชาวบ้านคนนั้นเรียกเธอว่าจันทน์ผาแท้ๆ
แต่ท่านอสุรากลับเอ่ยเรียกขานหาเธอด้วยชื่ออื่นเสียได้
‘หมะ
หม่อมฉันเป็นเพียงนางอัปสรคอยรับใช้ให้แก่นครยักษ์ หาได้อาจหาญจักยืนเทียบตนเสมอท่านหรอกเจ้าคะ…อะ…’ เสียงปฏิเสธแสนอ่อนน้อมของหญิงสาวถูกเอ่ยขึ้นอย่างถ่อมตัว
ถึงอย่างนั้นเสียงปฏิเสธก็ใช่จะถูกเอื้อนเอ่ยจนสิ้นเสียงที่ไหน
เมื่อยักษ์หนุ่มยังคงยืนกรานน้ำใจที่หยิบยื่นให้ไปอย่างหนักแน่น และใช้โอกาสในช่วงนั้นพุ่งเข้าคว้าข้อมือหญิงสาว
ฉุดดึงให้เจ้าหล่อนลุกขึ้นตามดั่งประสงค์ของตนเอง
ฟึ่บ!
‘ยามนี้เจ้าอยู่กับเพียงเราเพียงสองต่อสอง หาได้ต้องกลัวเกรงสายตาผู้ใดไม่’ เมื่อกระทำตามประสงค์ของตนเองได้เป็นผลสำเร็จ ท่านอสุราก็ไม่ลืมที่จะให้เหตุผล ‘เราคืออนุชาท้าวนครยักษ์ หากเจ้ามิฟังความเรา แล้วเจ้าจักฟังความผู้ใดเล่า แม่นิมมานรดี…’
แม้เหตุผลที่เขาบอกกล่าวนั้นจะฟังค่อนไปทางแต่ใจ แต่ขณะเดียวกัน ถ้อยคำเหล่านั้นก็สามารถทำให้ผู้ฟังยอมจำนน ทำตามคำสั่งได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
‘จะ เจ้าค่ะท่านอสุรา…’ และถึงเธอจะหลีกเลี่ยงคำกล่าวอ้างของท่านอสุราไม่สำเร็จ อย่างไรเสีย หญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะเว้นระยะห่างของตนและผู้เหนือกว่าด้วยระยะที่เหมาะสม ตลอดการชักเท้าเดินตามหลังเรียบไปบนทางดินข้างสระบัวอยู่ดี
แต่แล้วในช่วงเวลาที่ฉันตัดสินใจขยับตัวก้าวตามหลังคนทั้งคู่ไปนั้น ภาพทุกภาพที่ปรากฏต่อสายตากลับนี้เริ่มบิดเบี้ยวอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ เลือนหายไป จนแปรเปลี่ยนเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ฉันก็ยังได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งคู่อยู่ดี
‘เจ้าลงมาเก็บดอกบัวที่สระแห่งนี้เพียงลำพังทุกคราวเลยรึ ?’
มันคือเสียงของท่านอสุราซึ่งดังสลับกับเสียงของแม่จันทน์ผา
‘จะ เจ้าค่ะ… สมัยหนึ่งฉันมักมาพายเรือเล่นกับพี่ชายที่สระบัวแห่งนี้ จึงรับรู้ว่าดอกบัวสดที่สวยที่สุดสำหรับท่านท้าวอสุเรนทร์นั้นอยู่หนแห่งใด’ สัมผัสได้ว่าบทสนทนาของคนทั้งคู่ค่อนข้างเป็นกันเอง แต่ขณะเดียวกันก็ยังแฝงไว้ด้วยความถ่อมตนและการรู้จักวางตัวอยู่ดีจากผู้ต่ำต้อยกว่า
‘หากเช่นนั้น เจ้าช่วยสอนวิธีเก็บดอกบัวให้เราได้ยลเห็นเป็นบุญตาสักคราได้หรือไม่ ?’
‘หม่อมฉันเกรงว่า หากกระทำเช่นนั้นจะเป็นการมิไว้หน้าท่านอสุราเสียเองนะเจ้าคะ’
‘เหวย! เจ้าก็คิดเสียว่าเราเป็นชนยักษ์ไร้ยศถาเสียสิ มิต้องเกรงอกเกรงใจ เราหาได้ถือตัวยามอยู่เคียงเจ้าไม่…’ ทว่า เพียงไม่นานบทสนทนาซึ่งเต็มไปด้วยการวางตัวระหว่างคนทั้งคู่ กลับเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซ้ำยังมีเสียงหัวเราะคิกคักดังแทรกขึ้นภายในบทสนทนาให้รู้สึก
เสียงหัวเราะที่เริ่มอบอวลไปด้วยความเป็นกันเองและความสุข...
เช่นเดียวกับความมืดที่เคยปกคลุมรอบกาย ที่ยามนี้เริ่มปรากฏเป็นภาพขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง หากแต่ในคราวนี้สถานที่รอบตัวกลับเปลี่ยนไป ฉันกำลังนั่งอยู่บนเรือพายขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
เบื้องหน้าคือท่านอสุราขณะจับไม้พายวักวนน้ำให้เรือที่เรานั่งมาด้วยกันนั้นขับเคลื่อนไปข้างหน้า ที่ต่างออกไปจากที่ควรจะเป็น คงเป็นตัวฉันเองที่เวลานี้กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขา ในมือบรรจงถือฐานพานซึ่งถูกจัดวางดอกบัวตูมบางส่วนเอาไว้อย่างเรียบร้อย และไม่ได้สวมใส่ชุดมาสคอตหมีอย่างเคย
ฟึ่บ!
‘ดอกนี้รึ แม่นิมมานรดี?’ แต่แล้วตอนนั้นเองที่จู่ๆ ท่านอสุรากลับเลือกที่จะปล่อยไม้พายลง พลางเอื้อมมือเอื้อมไม้ไปยังบัวดอกหนึ่งใกล้มือ พานให้เรือไม้เริ่มสั่นโคลงเคลงพร้อมเสียงหวีดร้องเคล้าความตกอกตกใจของผู้ที่โดยสารมาด้วย
‘ระ ระวังหน่อยสิเจ้าคะ หากเรือล่มขึ้นมา จักแย่เอานะเจ้าคะ’ เสียงที่ตอบกลับมาหลังจากการถูกต่อว่า มีเพียงเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของท่านอสุราแต่เพียงเท่านั้น
‘หรือจักใช่ดอกนี้…’ เขาหัวเราะโดยยังคงพยายามเอื้อมแตะดอกบัวซึ่งอยู่ใกล้มือมากที่สุด
‘หาใช่ดอกนั้นเจ้าค่ะ...’
‘แล้วดอกนี้เล่า ใกล้เคียงแล้วหรือไม่ แม่นิมมานรดี ?’ อีกสิ่งที่ฉันค้นพบนับตั้งแต่ภาพเหตุการณ์ในเรือพายบังเกิดขึ้น ก็คงเป็นเรื่องเสียงของแม่จันทน์ผาที่เริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงของฉัน
ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ปากกลับไม่ได้ขยับตามการเอ่ยถ้อยที่ได้ยินเลยแม้นิด…
‘มิใกล้เคียงเลยเจ้าค่ะ ท่านอสุรา…’ นอกจากปากจะไม่ขยับแล้ว ร่างกายเอง ก็ยังเริ่มเคลื่อนไหวไปเองราวกับเสียการควบคุม คล้ายกับฉันไม่ใช่ฉันอย่างไรก็อย่างนั้น
ไม่ว่าจะการขยับทาบมือลงกับพื้นเรือหรือการชี้นิ้วไปยังดอกบัวที่เป็นเป้าหมาย ทั้งที่ทุกอย่างคล้ายกับอยู่เหนือการควบคุม ถึงอย่างนั้นฉันกลับสามารถเข้าใจความคิดและความรู้สึกของที่เป็นอยู่ในเวลานี้ได้อย่างชัดเจน
‘กระเถิบไปนิดสิเจ้าคะ ดอกตูมใกล้เคียงมือท่านนั่นหล่ะเจ้าค่ะ’
ฟึ่บ!
ทว่า ท่านอสุราก็ใช่จะฟังคำแนะนำแล้วยอมทำตามวจีบอกกล่าวแต่อย่างใด เมื่อกริชขนาดเหมาะมือถูกเขาใช้มันตัดเข้ากับสายบัวดอกหนึ่ง สังเกตได้ว่าใบหน้าคมคายของท่านอสุราเวลานี้ไม่ได้ปรากฏคมเขี้ยวยักษ์ให้ได้เห็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่กลับเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแสดงถึงความพึงพอใจที่เข้ามาแทนที่ ซึ่งนั่นตามมาด้วยเสียงของฉันที่เอ่ยเมื่อได้เห็นดอกบัวสดในมือคู่สนทนา
‘บัวดอกนี้ใกล้แย้มบานเต็มแก่แล้ว ขืนตัดไป มิทันไรคงสะพรั่นหาได้งามตาเช่นดอกตูมเหล่านี้ไม่…’
แม้ถ้อยคำที่ดังขึ้นหลังจากดอกบัวถูกตัดขึ้นจากสระ จะฟังคล้ายกับเป็นการสั่งสอนนายของตนเอง กระนั้นแล้วชายหนุ่มกลับไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ เพราะท่านอสุรากำลังแย้มยิ้มขณะใช้นัยน์ตาคมมองจ้องมา ซ้ำยังทำเรื่องน่าตกใจ เมื่อเขาเคลื่อนเข้าคว้ามือข้างหนึ่งของฉันที่ใช้ประคองประคองพานทองไปกุมไว้อย่างถือโอกาส
ซ้ำยังกล่าวขึ้น
‘เราหาได้เลือกบัวดอกนี้ เพื่อให้เจ้านำไปถวายพระพี่ชายเราไม่…’ ท่านอสุราบอกแบบนั้น โดยบนหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม ครู่หนึ่งที่เขาหลุบตามองไปยังดอกบัวในมือตนเอง ก่อนหยิบยื่นมันใส่มือฉันที่ถูกเขาจับไว้อย่างเบามือ พร้อมทั้งถามขึ้น เมื่อนัยน์ตาคู่เดิมเคลื่อนสบประสานกันแบบตรงๆ ‘หากเรามอบบัวดอกนี้ให้เจ้า แม่นิมมานรดีจักชื่นชอบบัวดอกนี้มากขึ้นบ้างหรือไม่ ?’
ตึก… ตึก… ตึก… ตัก…
หัวใจฉันเริ่มทำงานหนักอีกครั้งหลังเสียงไถ่ถามของยักษ์หนุ่มตรงหน้าเงียบลง ร่างทั้งร่างเผลอขยับเอียงหน้าหลบเลี่ยงสายตาคู่นั้นเล็กน้อยพร้อมความเห่อร้อนที่แผ่ไปทั่วใบหน้าอย่างไร้การบังคับ ขณะเดียวกันดอกบัวที่ได้รับมานั้นก็ใช่ว่าจะถูกส่งคืนผู้ให้กลับไปแต่อย่างใด แต่กลับถูกกำกระชับแน่นด้วยความรู้สึกหวั่นไหวทั้งหมดที่มีไว้แนบอก...
‘หะ หามิได้เจ้าค่ะ ท่านอสุรา…’ ก่อนที่ความรู้สึกเหล่านั้นจะระเบิดให้รู้สึกเพิ่มทวีขึ้น ในยามที่ร่างทั้งร่างเผลอสะดุ้ง เมื่อถูกสัมผัสปลายนิ้วของผู้เป็นนายเอื้อมแตะลงบริเวณบนผิวแก้ม พร้อมด้วยแรงแผ่วเบาหากแต่มากพอจะบีบบังคับใบหน้าให้เหลียวกลับไปสบตากับเขาตรงๆ เป็นหนที่สอง
‘บัวในสระแห่งนี้ งดงามไม่ต่างจากผู้เด็ดดอมดม…’ โดยเฉพาะกับคำพูดร้องขอ ที่ตามมาหลังจากนั้น ‘จักเป็นไปได้หรือไม่ หากเราจักขอติดตามแม่นิมมานรดี ลงมายลความงามดอกบัวที่สระแห่งนี้อีกสักครา’
ทว่าในหนนี้ วินาทีที่เสียงร้องขอสิ้นสุดลง ร่างกายที่คล้ายกับไร้การควบคุมก็เริ่มเบาหวิว ก่อนลอยเคว้งคว้างขึ้นสู่กลางกลางอากาศ ขณะที่สายตายังคงมองเห็นภาพของยักษ์หนุ่มและนางสวรรค์ในเรือพ่ายจากที่สูง
ฉันพยายามไขว่คว้ามือท่ามกลางชั้นบรรยากาศอย่างสะเปะสะปะเพื่อหวังหาหลักยึด โดยภาวนาให้เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นสงบลงเสียที ทว่า คำร้องขออาจไม่ส่งถึง เพราะร่างทั้งร่างยังถูกแรงดึงดูดประหลาดเหวี่ยงกายให้ลอยสูงขึ้นสู่นภากว้างอย่างต่อเนื่อง จนภาพของสระบัวที่เคยมองเห็น เริ่มห่างไกลออกไปจนลิบตา
แต่ก่อนที่ฉันจะลอยสูงขึ้นจนไม่อาจมองเห็นทุกสิ่งเบื้องล่างได้อย่างที่เคย วินาทีนั้นบรรยากาศรอบกายรวมถึงแรงลมที่เคยปะทะตามเนื้อการกลับหยุดลงอย่างฉับพลัน วูบหนึ่งที่ร่างกายเหมือนตกอยู่ในสภาวะสูญญากาศ ให้ลอยเคว้างคว้างไร้หลักยึด ก่อนค่อยๆ ทิ้งดิ่งลงสู่พื้นดินอีกครั้งตามแรงโน้มถ่วงด้วยความรวดเร็วเทียบเท่ากับการเล่นรถไฟเหาะ
ฟึ่บ!
ตูมมมมม!
ไม่รู้จะเรียกเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายที่สิ่งซึ่งรอคอยอยู่เบื้องล่างหลังจากการร่วงหล่นคือสระน้ำขนาดใหญ่ที่เคยเห็น หากแต่ว่าความรุนแรงของการกระทบกระแทกระหว่างแผ่นหลังและผิวน้ำกลับไม่ได้เกิดอาการเจ็บปวดใดให้รู้สึก แม้ว่าร่างทั้งร่างจะค่อยๆ ถูกมวลน้ำโอบอุ้มและดำดิ่งลงสู่ก้นสระก็ตาม
“อึก…” ท่ามกลางพื้นที่หนาวเย็นใต้บาดาลกับอากาศหายใจที่กักเก็บไว้เพียงน้อยนิด ฉันยังคงพยายามที่จะเอาตัวรอดจากความตาย รีบใช้สองมือแหวกว่ายมวลน้ำขึ้นสู่พื้นผิวอีกครั้ง
ทว่า ช่วงที่พยายามตีขา ถีบตัวเองขึ้นสู่พื้นผิวน้ำอยู่นั้น…
ฟึ่บ! หมับ!
บริเวณปลายขากลับถูกบางสิ่งบางอย่างคว้าเข้าไว้แบบไม่ทันให้ตั้งตัว ความตกใจส่งผลให้มือสองข้างที่เคยใช้แหวกว่ายหยุดลงโดยชะงัก เช่นเดียวกับสายตาที่รีบเหลียวขวับผ่านความหนาแน่นใต้น้ำมองไปยังเจ้าของสัมผัสดังกล่าวอย่างทันควัน
แล้วมันก็เป็นฉันเองที่ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างขีดสุด เมื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ในความมืดใต้น้ำอันหนาวเหน็บนั้น คือมือขาวซีดของหญิงสาวเจ้าของดวงหน้าสวยแสนคุ้นตา ซึ่งตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกเฆี่ยนตีจนปรากฏเป็นรอยแดงและเลือดสีสดซึมแผ่กระจายขึ้นสู่มวลน้ำ
ใบหน้าของเธอดูเศร้าสร้อย หากแต่นัยน์ตาคู่สวยกลับจ้องมองหน้ากันตาเขม็ง ถึงเรือนผมสีดำขลับของเธอจะกระจายแผ่เป็นวงกว้างตามสสารใต้น้ำ แต่ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้งนัยน์ตา จมูก หรือแม้ริมฝีปากของเธอนั้น ฉันเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ทั้งบนบกและบนเรือพาย
แม่จันทน์ผา ใช่! เธอคือแม่จันทน์ผาไม่ผิดแน่
“อื้อ…” แม้จะรับรู้ว่าหล่อนเป็นใคร หากแต่ความกลัวกลับผลักดันให้ฉันพยายามสะบัดดิ้นให้ตัวเองหลุดพ้นจากการจับกุม
ฟึ่บ!
ไม่ใช่แค่ความกลัวแต่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ฉันตัดสินใจแหวกว่ายหลบหนี แต่รวมถึงอากาศที่เหลืออยู่เวลานี้เช่นกัน ทว่า ยิ่งพยายามดิ้นรนให้มือขาวซีดหลุดมากเท่าไหร่ แม่จันทน์ผาซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากศพผิวขาวซีดก็ยิ่งบีบกระชับฝ่ามือรัดปลายขาฉันแน่นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ซ้ำยังออกแรงดึงราวกับต้องการให้ฉันจมดิ่งไปพร้อมกับร่างของเธออีกด้วย…
กึก…
และสุดท้ายเรี่ยวแรงที่เคยใช้หลบหนีและยื้อลมหายใจของตัวเอง ก็ไม่อาจสู่เรี่ยวแรงที่ผีสาวใต้น้ำมีได้ เช่นเดียวกับลมหายใจ
“อะ อึก…” วินาทีที่ปากเผยอออก มวลน้ำหนาแน่นที่โอบอุ้มร่างทั้งร่างไว้ก็พรั่งพรูเข้าสู่ทุกรูทวารที่เปิดออก เรี่ยวแรงที่อ่อนลงในทีแรก บัดนี้แน่นิ่งลง
ฉันหายใจไม่ออกและรับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่ว่า ช่วงเวลาที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะหมดลงไปกับอาการสำลักน้ำอยู่นั้น หูกลับไม่วายได้ยินบางสิ่ง
‘จำฉัน…’
ถ้อยคำวลีสั้นๆ หากแต่ให้ความรู้สึกเย็นเยือกไม่ต่างจากความเย็นใต้น้ำ ฉันจำเสียงดังกล่าวได้ แม้ไม่ต้องมองหาที่มา ขณะเดียวกันในความเย็นเยือกของน้ำเสียงที่แว่วต่อเนื่องไม่หยุด ฉันยังรู้สึกถึงความโศกเศร้าและเสียงสะอื้นที่แทรกผ่านให้ได้ยินด้วยเช่นกัน
‘จำฉัน…ได้หรือเปล่า เจ้าคะ…ฮึก’
ครั้นจะเหลียวมองหาเจ้าของเสียง เรี่ยวแรงที่มีในตอนนั้นมันก็อ่อนลงจนอาการชาแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง ซ้ำความเย็นใต้น้ำก็เหมือนจะแช่แข็งทุกส่วนให้แน่นิ่ง ที่ทำได้คือการปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงสู่ก้นสระในลักษณะเหมือนคนตาย
‘นอกจากชื่อหม่อมฉันแล้ว ยังพอจักระลึกเรื่องราวอื่นระหว่างเราได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ…’ ขณะที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายถูกพ่นออกมา แลกรับมวลน้ำจนเกิดอาการสำลักจนเกือบจะขาดใจอยู่นั้น หูยังคงได้ยินเสียงคร่ำครวญและถามหาของผีแม่จันทน์ผาดังแว่วอยู่ในหัวไม่หยุด ‘หม่อมฉันชื่อจันทน์ผา เจ้าค่ะ…ท่านอสุรา’
วินาทีที่เสียงโหยหวนเย็นเยือกเคล้าความโศกเศร้าเอ่ยถ้อยบอกกล่าวจนสิ้นคำ
ลมหายใจที่เคยมีก็เหมือนจะหยุดตามลงไป
ไม่รู้ว่าฉันนอนนิ่งอยู่ท่ามกลางหนาวเย็นอันเงียบสงบนั่นนานแค่ไหน
รู้อีกทีร่างกายที่เหมือนได้ตายจากไปแล้วนั้น เริ่มกลับมามีรู้สึกอีกครั้ง
เมื่อแสงรำไรสีทองสาดส่องผ่านความมืดเข้ากระทบเนื้อกาย
ส่งผลให้มือข้างถนัดเริ่มขยับเขยื้อน เอื้อมคว้าขึ้นสู่แสงสีทองเบื้องหน้าในสภาพโรยแรงอย่างคนไม่เข้าใจในการกระทำของตัวเอง
ซึ่งการกระทำเช่นนั้นก็ส่งผลให้แสงสีทองตรงหน้าเริ่มสว่างวาบอย่างน่าอัศจรรย์ และกลืนกินทุกพื้นที่ที่จนขาวโพลนไปหมด
หากแต่นั่นก็ตามมาด้วยเสียงเรียกของท่านอสุรา…
“แม่ทับทิม…” และเสียงเรียกของเขาในหนนี้ มันก็ชักเริ่มทำให้ไม่แน่ใจแล้วว่า เสียงที่ได้ยินอยู่นั้นเกิดขึ้นในโลกมโนนิมิตหรือโลกของความจริงกันแน่
“ได้ยินพี่ขานเรียกหรือไม่ แม่ทับทิม…”
แม้ไม่แน่ใจ ถึงอย่างนั้นเปลือกตาหนักๆ
ก็ยังคงปรือขึ้นตามเสียงเรียกขานอยู่ดี แสงสว่างจ้าที่สะท้อนกลับเข้าสู่รูม่านตา
ทำฉันหยีตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับแสง และเมื่อตัดสินใจลืมตาขึ้นอีกครั้ง
สิ่งที่พบกลับกลายเป็นพื้นที่เล็กๆ บนเตียงนอนภายในบ้านของฉันเอง
ไม่ใช่ภาพของห้างสรรพสินค้าที่หลงเหลืออยู่ในเศษเสี้ยวความจำ
โดยมีร่างสูงใหญ่ของท่านอสุรายืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อย
ความตกใจซึ่งยังหลงเหลือจากภาพฝัน ทำเอาร่างทั้งร่างตอบสนองสิ่งที่ปรากฏในสายตาด้วยการสะดุ้งตัวโยน
รีบกำกระชับผ้าห่มผืนหน้า ถดตัวถอยหนีจากร่างสูงใหญ่ข้างเตียงอย่างไม่ต้องคิด
พร้อมเสียงทวนเย็นเยือกในความฝันซึ่งฝังติดจนเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่จำได้ยามต้องเห็นหน้าท่านอสุราในระยะแบบนี้
‘นอกจากชื่อหม่อมฉันแล้ว
ยังพอจักระลึกเรื่องราวอื่นระหว่างเราได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ… หม่อมฉันชื่อจันทน์ผา
เจ้าค่ะ…ท่านอสุรา’
และอาการที่เผลอแสดงออกไปแบบไม่ตั้งใจ
มันก็ทำให้ผู้ที่ได้เห็นแสดงสีหน้าแปลกใจได้ไม่ยาก
ท่านอสุราทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างเปล่าของเตียงนอน พลางเอื้อมมือแตะลงบนแขนอย่างแผ่วเบา
อีกทั้งยังเอ่ยถาม
“เหตุใดจึงแสดงกริยาหวาดระแวงใส่พี่เช่นนั้นเล่าแม่ทับทิม…” ทั้งที่ถูกถาม แต่ปากกลับไม่ยอมขยับดั่งใจ ไม่รู้เพราะหลายสิ่ง
หลายอย่างที่วนเวียนอยู่ในหัวหลังภาพฝันน่ากลัวหรือเปล่าที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้
และด้วยความที่ฉันไม่พูดหรือเอ่ยถ้อยคำตอบใดกลับไป
นั่นจึงทำให้ท่านอสุรากล่าวแทรกขึ้นด้วยตัวท่านเสียเอง “ให้อภัยพี่เถิด
แม่ทับทิม…”
ซึ่งสิ่งที่เขาพูดอยู่นั้นฟังเหมือนเป็นคำขอโทษ
“อุราพี่ร้อนจัดราวกับถูกเพลิงลุกโหม
ยามยลเห็นแม่ทับทิมอยู่เคียงข้างชายอื่น…” หากแต่คำขอโทษของเขาไม่ได้ฟังดูสอดคล้องกับภาพฝันเท่าไหร่
แต่เหมือนกำลังพูดถึงเหตุการณ์ภายในห้างสรรพสินค้าเสียมากกว่า “ซ้ำไอ้บุรุษตนนั้นยังปากพล่อย ต่อว่าอย่างมิไว้หน้า
ด้วยเหตุนั้นเราจึงจำต้องลงโทษ”
และสิ่งที่ท่านอสุรากำลังพูดนั้น
มันก็ทำให้ฉันนึกถึงภาพของเขตแดนในสภาพคล้ายคนขาดอากาศหายใจขึ้นมา
“ให้อภัยพี่เถิด พี่พลาดผิดไปแล้ว…” พอฟังมาถึงตรงนี้
ฉันก็พอปะติดปะต่อเหตุการณ์บางส่วนขึ้นมาได้ แม้ว่าความทรงจำบางส่วนหลังจากนั้นจะหายไป
และถูกเปลี่ยนเป็นภาพฝันร้ายเข้ามาแทนที่ก็ตาม
และเพราะแบบนั้น ความคิดฉันจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือความเข้าใจในเหตุผลและทุกการกระทำที่ท่านอสุราพลั้งเผลอกระทำลงไป
ขณะเดียวกันส่วนที่สองกลับกลายเป็นความไม่เข้าใจ
ที่ไม่อาจปะติดปะต่อความทรงจำบางส่วนที่ขาดหายของตนเองไปได้
“ขะ เขตแดน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง…”
ถึงกระนั้นความคิดในส่วนที่เข้าอกเข้าใจก็ยังส่งผลให้ปากขยับไถ่ถาม แม้ลึกๆ ยังเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจที่มาพร้อมอาการหวาดกลัว
“มันมิเป็นไรมากหรอก แม่ทับทิมมิต้องกังวลไปไย…” สิ้นเสียงตอบกลับคล้ายกับรู้สึกผิด
เสียงแว่วของโทรทัศน์ก็ดังขึ้นจากบริเวณห้องรับรองทันที
ราวกับจะช่วยย้ำคำพูดของยักษ์หนุ่มอีกแรง
(พ่อเขตแดนของคุณพี่ป่วยกะทันหันด้วยโรคกล่องเสียงอักเสบค่ะคุณน้อง
แต่สปีริทและความหล่อใสที่เจ้าตัวมี ก็ยังทำให้คุณเขตแดนเข้าร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท
OCC เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ได้อย่างลื่นไหลล่ะ…)
(ตายแล้ว คุณพี่! มีภาพไหมคะ น้องอยากเห็น…)
(ถ้าคุณน้องอยากเห็น
งั้นเราไปดูภาพบรรยากาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้ากันดีกว่าค่ะ…)
ท่ามกลางความเงียบช่องว่างระหว่างคำพูดของสองเรา
ที่มีเพียงเสียงรายงานข่าวจากจอแก้วดังแว่วให้ได้ยิน สังเกตได้ว่าท่านอสุรา
เอาแต่จับจ้องมองหน้าฉันไม่ละลด ละถึงแม้จะได้รับข่าวคราวเช่นนั้น
แต่ความสงสัยและความไม่เข้าใจในหัว
ก็ไม่วายพลอยให้ปากขยับรัวคำถามเพื่อแก้ความสงสัย
“ละ แล้วงานฉันล่ะเจ้าคะ…ทะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่…”
สิ้นเสียง ผู้ถามก็สำแดงฤทธิ์เดชใช้อิทธิฤทธิ์ที่ตนมี
บันดานซองสีขาวบริสุทธิ์ให้ปรากฏขึ้นในมืออีกข้าง ก่อนจัดการยื่นมันส่งมาให้
“หากแม่ทับทิมหมายถึงเบี้ยค่าแรง ทั้งหมดนั่นอยู่ที่นี่แล้ว…” ร่างกายเผลอตอบรับเรื่องอัศจรรย์ตรงหน้าด้วยการเคลื่อนมือรับซองขาวซึ่งภายในบรรจุไปด้วยค่าแรงทั้งหมดที่ทำไปมาไว้กับตัว
แม้ลึกๆ จะจำไม่ได้ว่าฉันทำงานเหล่านั้นเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตาม…
ระหว่างที่กำลังจัดแจงเปิดซองค่าแรงเพื่อนับจำนวนเงินที่ได้รับให้หายคาใจอยู่นั้น
หูก็ยังคงได้ยินเสียงเข้มของท่านอสุราบอกกล่าวอย่างต่อเนื่อง
“พี่เป็นผู้พาเจ้ากลับมายังเรือนหลังนี้ด้วยตนเอง
อาจเพราะฤทธาที่ถือครองมีไม่มากนักเทียบเท่าพี่ชาย จึงแผลงฤทธิ์ส่งผลให้แม่ทับทิม
เป็นลมเป็นแล้งระหว่างเดินทาง…” ได้ยินเขาพูดแบบนั้น
สายตาที่เคยสนใจเม็ดเงินในมือก็เผลอเคลื่อนขึ้นช้อนมองสีหน้าผู้พูดทันทีแบบไม่อาจห้ามได้
และการจ้องมองหน้าเขากลับไปตรงๆ แบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงยักษ์
แสดงทีท่าและอากัปกิริยาบนหน้าอย่างคนรู้สึกให้เห็นมากกว่ายิ่งกว่าเก่า ซ้ำยังกล่าวขึ้นราวกับจะใช้เป็นข้อต่อรอง
“หากแม่ทับทิมให้อภัยพี่แม้เพียงนิด พี่ขอให้คำมั่น
ว่านับจากนี้ไปยามอยู่เคียงใกล้แม่ทับทิมเช่นนี้ พี่จักมิพลั้งพลาดกระทำสิ่งใดเกินเลยขนบประเพณีที่เหล่าปุถุชนพึ่งจะทำ…”
“ทะ ท่านหมายความว่ายังไงเจ้าคะ อะ…”
อีกหนที่เรื่องอัศจรรย์บังเกิดขึ้นอีกหนแบบไม่ทันได้ถามจบ เมื่อตามเหนือศีรษะของท่านอสุราปรากฏประกายแสงสีทองให้ได้เห็นต่อสายตา
ก่อนที่แสงดังกล่าวจะค่อยๆ
กระจายวงกว้างลงต่ำมาตามเนื้อกายเขาตั้งแต่ส่วนหัวจนถึงปลายเท้า
แปรเปลี่ยนชุดเครื่องทรงยักษ์และประดับล้ำค่าให้เลือนหายไปกลายเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตาและกางเกงสแล็คสีดำสนิทแบบที่คนปกติพึ่งจะสวมใส่กันให้ได้เห็น
และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั่นก็เกิดขึ้น
ทั้งที่เขายังวางมือไว้บนแขนฉัน…
“หากยามนี้แม่ทับทิมเป็นเพียงชน หาใช่นางอัปสรดังภพชาติเก่า
พี่เองก็จักขอเป็นชนอยู่คู่เคียงแม่ทับทิมเช่นนี้จนกว่าเศษห้วงคำนึงในอดีตจะย้อนความดวงใจให้กลับมาหวนนึกถึง…”
ไม่ปฏิเสธว่าทุกสิ่งที่ท่านอสุรากำลังพูดหรือกระทำให้เห็นนั้น
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลือที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้รู้สึกได้เหมือนอย่างทุกที
ทว่า ในครั้งนี้ ขณะที่เขาพูดความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ฉันกลับได้ยินเสียงอื่นดังแทรกเข้ามาด้วย
‘จำฉัน…ได้หรือเปล่า เจ้าคะ…ฮึก’ มันคือเสียงสะอื้นถามอย่างเศร้าสร้อยแสนเยือนและแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
และการที่มีเสียงดังกล่าวแทรกเข้ามาให้ได้ยินนั้น
มันเลยเป็นอีกครั้งที่ฉันเผลอตอบสนองต่อคำพูดของผู้ชายตรงหน้าด้วยการเคลื่อนแขนของตัวเองให้หลุดออกจากมืออุ่นที่อีกฝ่ายวางทับไว้
ฟึ่บ!
“อะ…” ทั้งที่คิดว่าการทำเช่นนั้น
จะทำให้เสียงในหัวยอมเงียบสงบลง แต่เปล่าเลย
‘หม่อมฉันชื่อจันทน์ผา เจ้าค่ะ…ท่านอสุรา’
ฉันกลับได้ยินเสียงของแม่จันทน์ผาดังในหัวมากขึ้น
จำต้องปล่อยเงินค่าแรงในมือลง แล้วเคลื่อนขึ้นกุมขมับของตัวเอง
“มีสิ่งใดงั้นหรือแม่ทับทิม ?” และเมื่อเสียงของท่านอสุราดังแทรกถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เสียงในหัวก็คล้ายจะเปลี่ยนเป็นการตะโกนร้องถาม
‘นอกจากชื่อหม่อมฉันแล้ว
ยังพอจักระลึกเรื่องราวอื่นระหว่างเราได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ…’
“มะ แม่จันทน์ผา…” ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็อดไม่ไหว
จำต้องโพล่งชื่อของผีสาวตนนั้นขึ้นพร้อมคำถาม โดยหวังลึกๆ
ว่าเสียงของเธอจะเงียบลงไปสักที “ทะ
ท่านจำอะไรเกี่ยวกับแม่จันทน์ผาได้บ้างหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
ไม่ใช่แค่การโพล่งถามเท่านั้นที่ฉันทำ แต่สายตาและทุกๆ
ความสนใจที่มีต่อสิ่งรอบตัว
ยามนี้มันก็ได้พุ่งเป้าไปยังยักษ์หนุ่มตรงหน้าด้วยเช่นกัน
สีหน้าของท่านอสุราเวลานี้ยังคงฉาบไว้ด้วยความเรียบเฉย
แต่ขณะเดียวกันแววตาที่สะท้อนกลับมาก็เต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ
ทั้งที่ฉันเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องในอดีตที่ไม่เกี่ยวข้อง ทว่า
ความรู้สึกยามเมื่อเห็นสีหน้าของท่านอสุราซึ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกใดต่อหญิงสาวเจ้าของชื่อจันทน์ผา
ในอกมันกลับเกิดอาการจุกแน่นและปวดหนึบขึ้นมาอย่างคุมไม่ไหว
‘หากเรามอบบัวดอกนี้ให้เจ้า
แม่นิมมานรดีจักชื่นชอบบัวดอกนี้มากขึ้นบ้างหรือไม่ ?’
และฉันรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้…
“แม่จันทน์ผา…นางเป็นน้องสาวฝาแฝดของแม่นิมมานรดีครั้นเมื่ออดีตชาติ…” ทว่า วินาทีที่ท่านอสุราเริ่มเอื้อยวจี ตอบถ้อยคำถามที่เผลอโพล่งออกไปเมื่อ
อาการปวดหนึบในอกก็คล้ายกับจะบรรเทาลง “แม่จันทน์ผามีหน้าที่จัดพานพุ่ม
และดอกไม้นานาพันธุ์ ถวายต่อหน้าพระเชษฐาพี่ ในทุกมื้ออาหาร”
ทั้งที่ในอกของฉันรู้สึกเจ็บปวดอย่างไร้เหตุและที่มา
แต่ท่านอสุรากลับไม่ได้แสดงทีท่าหรืออาการเฉกเช่นเดียวกันให้เห็น
ซ้ำบนหน้าคมคายยังปรากฏรอยยิ้มบอกถึงความดีอกดีใจ ไม่ต่างจากคำถาม
“ถามหาน้องสาวตนเองได้เช่นนี้ หมายความว่าแม่ทับทิมระลึกเรื่องราวในอดีตได้แล้วงั้นรึ ?” แต่แล้ว รอยยิ้มดังกล่าวบนหน้าเขาก็คงอยู่ไม่นานนัก เมื่อคำถามดังลอดผ่านปากของฉันขึ้นเป็นหนที่สอง
“แล้วท่าน…เคยหลงรักผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่นิมมานรดีบ้างหรือเปล่าเจ้าคะ ?”
Talk1 แอบเป็นยักษ์เอาแต่ใจนิดๆ นะท่านเนี่ย อิอิ
Talk2 ฉากใต้น้ำนี่ ตอนเขียนก็แอบหลอน แอบกลัวๆ อยู่เหมือนกันนะ 55555
Talk3 เอออ ท่านเคยรักผู้หญิงคนอื่นนอกจากนิมมานรดีบ้างไหมล่ะเจ้าคะะะะ
_____________________________________________________________
ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา
ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T
ความคิดเห็น