คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : GOODIE09 ll เป็นโจรครั้งที่9 {อัพ100%} ไปกับโจร
“ซี” ชื่อนี้คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ถึงจะคิดอย่างงั้นก็เถอะ
แต่พอได้กวาดตาสำรวจไปทั่วโครงหน้าหล่อตี๋ของเจ้าของชื่อแล้ว
ฉันกลับจำไม่ได้ว่าเราเคยพบกันมาก่อน
“ยินดีที่ได้ป๊ะตั๋วเน้อ…”
“จะ เจ้า…” ไม่ออก นึกไม่ออกเลยว่าเราเคยรู้จักกันตอนไหน แต่ทำไมเขาถึงรู้ชื่อฉันล่ะ?
กึก…
“อ้าวไงมึง…” ขณะที่ฉันคิดหัวแทบแตกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้ชายตรงหน้า
กลับมีเสียงหนึ่งเอ่ยคำทักทายขึ้นเสียงทะเล้น
ร่างกายตอบสนองเสียงทักทายดังกล่าวด้วยการหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนพบว่าคนนิสัยเสียที่ฉันเพิ่งหนีจากมานั้น
กำลังเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาหา
“พี่รู้จักยัยนี่ยัง?” พอเขาเดินมาหยุดระหว่างเราสองคน อ้ายกอล์ฟก็ถามขึ้นอีก
“รู้แล้ว
นี่ใช่ไหมคนที่มึงเล่าให้กูฟัง”
“แม่นแท้~” ท่าทางของอ้ายกอล์ฟดูต่างจากตอนที่อยู่กับฉัน แม้ว่าบางทีอ้ายกอล์ฟจะทำท่าทางที่ดูขัดกับภาพลักษณ์ของตัวเองก็ตาม
แต่เวลานี้ ตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ชายชื่อซี เขาดูเป็นอีกคน ดูเป็นผู้ชายขี้เล่น
ทะเล้น ไม่ใช่ผู้ชายท่าทางน่ากลัวเหมือนก่อนหน้านี้เลยสักนิด
“พี่ดูเข้ากับชุดนักศึกษาเพรียวๆมากเลยอ่ะ
เหมือนย้อนกลับไปตอนวัยชะมดชะม้อยเลยนะ” ยิ่งได้เห็น
ฉันยิ่งเรียงระดับเหตุการณ์ไม่ถูก แต่พอได้มองเวลาที่พวกเขาคุยกันแบบสนิทสนมแล้ว
จู่ๆ ในหัวมันก็แว๊บคำพูดหนึ่งขึ้นมา
‘ว่าไงพี่ซี…อืม…ผมอยู่ที่ห้อง แล้วพี่ล่ะ….ว่างไหมผมมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี’ ตอนนั้นไง ตอนที่อ้ายกอล์ฟรับสายใครสักคนที่ระเบียงเมื่อคืน
ใช่แล้ว! ต้องใช่แน่ๆ
ผู้ชายคนนี้คือคนที่เขาคุยด้วยเมื่อคืนแน่ๆ
หมับ!
ฉันสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบรัดที่ข้อมืออย่างถือวิสาสะ
จำต้องเลื่อนสายตามองเจ้าของมือดังกล่าวด้วยความสงสัยนั่นมาพร้อมกับคำพูดของอ้ายกอล์ฟที่เขาใช้พูดกับคนตัวสูงตรงหน้าแถมยังดูนอบน้อมกว่าปกติที่เคยได้เห็น
“พี่รอผมตรงนี้แป๊บ ผมขอพาเด็กไปส่งที่คณะก่อน”
“ไวๆ” อ้ายกอล์ฟตอบรับคำพูดของผู้ชายชื่อซีด้วยการพยักพเยิดหน้า
ไม่ใช่แค่นั้นแต่เขายังดึงมือฉันให้เดินไปตามแรงคล้ายกับรีบร้อนอีกต่างหาก
“อ้ายกอล์ฟปล่อยหนูนะ
หนูไปเองได้!” หลังจากเดินคล้อยหลังจากอ้ายซี(เรียกตาม)ไปได้ไม่เท่าไหร่
ฉันก็เริ่มแสดงการต่อต้าน พยายามบิดข้อมือตัวเองให้หลุดเป็นอิสระ
แต่ยิ่งบิดหนีอ้ายกอล์ฟก็ยิ่งกำกระชับแน่นมากขึ้น
“อย่าดื้อน่า” เขาพูดเพียงแค่นั้นโดยยังดึงฉันให้เดินตามหลังอยู่แบบนั้น
ไม่สนใจว่าฉันจะพยายามปฏิเสธการช่วยเหลือจากเขามากเท่าไหร่
ที่แย่ก็คือฉันกำลังรู้สึกแปลกๆ
กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอ้ายกอล์ฟหรืออ้ายซีที่พูดเหมือนรู้เรื่องของฉัน
หรือแม้แต่อ้ายก็อตที่จู่ๆ ก็ปิดเครื่องไปทั้งที่บอกว่าจะมาเจอ
ทำไมล่ะ…ความรู้สึกแปลกๆแบบนี้มันคืออะไร
หน้าตึกมนุษย์ศาสตร์
“น้องคนไหนยังไม่ได้ป้ายชื่อบอกพี่ด้วยนะคะ
อย่าให้ต้องเป็นแกะดำคนเดียวนะ!” เสียงตะโกนของรุ่นพี่เคล้าดังด้วยเสียงตีกลองเป็นจังหวะสนุกๆ
พานให้บรรยากาศหน้าตึกคณะดูครึกครื้น
อ้ายกอล์ฟหันซ้ายหันขวา
คล้ายกับมองหาใครสักคนที่เขารู้จัก
และตอนนั้นเองมีตรงหน้ามีหญิงสาวตัวเล็กน่ารักเดินแทรกกลุ่มนักศึกษาใหม่ออกมา
“กอล์ฟ มาหาแอลเหรอ?” เธอถามพลางกวาดตามองหน้าอ้ายกอล์ฟสลับกับฉันไปมา
“อืม” ส่วนนี่น่ะเป็นคำตอบของอ้ายกอล์ฟ ซึ่งเหมือนกับไม่ค่อยสนใจหล่อนนัก
“แอลกำลังดูน้องนักศึกษาใหม่น่ะ
แล้วนี่…”
“สวัสดีค่ะ” ฉันรีบสะบัดข้อมืออย่างไว เพื่อยกขึ้นไหว้ผู้หญิงตรงหน้า จนเธอที่กำลังมองมายิ้ม
แล้วกล่าวทัก “เธอที่อยู่ในห้องของกอล์ฟเมื่อวานนี้นี่”
“ค่ะ ชื่อพริกนะคะ!” ฉันก้มหัวทำความเคารพแบบรีบร้อนไปตามนิสัยจนเธอหลุดหัวเราะ
“พี่ชื่อชมพูจ้ะ ป่ะ… เดี๋ยวพี่พาไปลงชื่อข้างในนะ” เธอแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง
และทำท่าจะเอื้อมมือจับแขนฉัน ทว่า
ฟึ่บ!
คนตัวสุงที่ยืนอยู่ด้วยกันกลับปัดมือเธอออกอย่างแรง
พร้อมทั้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฟังดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด
“ใครใช้ให้แตะยัยนี่?” แน่นอนว่าการกระทำแบบนั้นทำเอาคนฟังหน้าเสียไปโดยปริยาย
“อย่าสะเหล่อ” อีกครั้งที่อ้ายกอล์ฟต่อว่าเธอ
ก่อนเป็นฝ่ายคว้ามือฉันฉุดดึงเดินแทรกกลุ่มนักศึกษาเข้าไปในซุ้มหน้าคณะนิเทศฯ
โดยไม่พูดอะไรต่อ การกระทำที่ดูเสียมารยาทแบบนั้นทำฉันอดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังมองพี่ชมพูด้วยความเป็นห่วง
แต่รู้อะไรไหม พี่ชมพูไม่ได้มองตามเราทั้งคู่กลับมา แต่เธอยืนนิ่งิยู่ในท่าเดิมหลังจากถูกอ้ายกอล์ฟปัดมือออกไป
“แอล” เสียงขานชื่อสั้นๆ ทำฉันละสายตาจากพี่ชมพูหันกลับมามองเหตุการณ์ตรงหน้า
และต้องพบว่าผู้หญิงชื่อแอลที่เคยเข้ามาโวยวายให้ห้องอ้ายกอล์ฟเมื่อวาน
กำลังยืนกอดอกมองมายังเราทั้งคู่ตาขวาง
“ถ้าคิดจะมาง้อ
บอกเลยว่าไม่ต้อง” เธอยังดูเย่อหยิ่งเป็นนางพญาเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกันไม่มีผิด
“อย่าสำคัญตัวเอง” แต่แล้วคำพูดเธอก็ถูกหักล้างด้วยคำพูดห่ามๆ ของอ้ายกอล์ฟได้เสมอ “ฉันเอากระเหรี่ยงมาฝากเข้าคณะ”
“อะไรนะ!?” พี่แอล(เรียกตาม)ย้อนเสียงแหลม พร้อมทั้งเพ่งสายตามาที่ฉัน “เขาอนุญาตให้กะเหรี่ยงเข้าเรียนด้วยเหรอ!?”
“แล้วยังไง
กะเหรี่ยงไม่ใช่คนหรือไงวะ?”
อะไรกัน
คำก็กะเหรี่ยง สองคำก็กะเหรี่ยง มันน่านัก!
“หนะ
หนูไม่ใช่กะเหรี่ยงสักหน่อย!” วินาทีนั้นฉันเหมือนกับคนลืมตัว
มัวเมากับคำว่ากะเหรี่ยงจนเผลอตะโกนเสียงดัง รู้ตัวอีกที
เสียงกลองจังหวะสนุกซึ่งทำให้บรรยากาศคึกคักก็เงียบไป และพบว่ายามนี้ทุกสายตาของนักศึกษาใหม่รวมไปถึงรุ่นพี่ในคณะกำลังจับจ้องสายตามายังฉันเป็นตาเดียวกัน
“เอ่อ…” ฉันเหมือนคนสติรวน ทำตัวไม่ถูก แต่แล้วในตอนนั้นเอง ที่จู่ๆ
คนตัวสูงท่าทางน่ากลัวแถมยังใจร้ายดันหลุดหัวเราะออกมาท่ามกลางความเงียบและสายตาของคนอื่น
อ้ายกอล์ฟลดมือข้างหนึ่งกุมท้องตัวเองราวกับว่าเจอเรื่องอะไรที่ตลกนักหนา
พลางเอื้อมมืออีกข้างแตะหัวฉันแล้วยีเบาๆ ราวกับเอ็นดู
ขณะปากเอ่ยพูดน้ำเสียงติดตลกในมุมมองที่ฉันไม่เคยเห็น
“ฮ่าๆ กะเหรี่ยงนี่… มันน่ารักจริงๆ” เขากำลังชมฉัน… ต่อหน้าคนอื่นงั้นเหรอ?
“พอเลย ถอยไป!” พี่แอลซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นวีนเสียงขึ้น พลางใช้มือผลักอ้ายกอล์ฟให้ถอยห่างจากฉันไปและเป็นฝ่ายดึงฉันให้เดินไปยังจุดลงทะเบียน
ข้อมือฉันรับรู้ถึงความเจ็บจากการถูกบีบรัด
มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความหงุดหงิดอย่างเต็มเปี่ยม
ถึงอย่างงั้นพี่แอลก็ยังไม่ปล่อยฉันจนกระทั่งหล่อนพามาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะลงทะเบียน
“ขอชื่อจริงกับภาควิชาที่จะเรียนด้วย!” เธอหันมาแว้ดเสียงใส่ฉันแบบไม่ค่อยพอใจนัก
“พรประภา สำลี
ภาควิชานิเทศศาสตร์ค่ะ!” แน่นอนว่าฉันก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของรุ่นน้องที่ดีด้วยการตะโกนบอกชื่อภาควิชาเรียนของตัวเองออกไปเสียงดัง
พี่แอลหันมาเขม่นใส่ฉันเล็กน้อย
ก่อนหันไปจัดการกับรายชื่อ และจัดการป้ายแขวนคอให้
ไม่รู้ว่าเธอแค้นอะไรฉันหรือเปล่า เพราะชื่อที่เขียนอยู่บนป้ายนั้นมันดันเป็น ‘N’ กะเหรี่ยง’
“พี่คะ นี่มันไม่ใช่ชื่อหนู…” ฉันพยายามอธิบายแต่เธอกลับแสดงท่าไม่พอใจ แล้วย้อนออกมาว่า
“ก็พี่ชอบชื่อนี้”
“-_-” โค๊ะ! สาวเมืองกรุงนี่เขาใจ้ยากขนาด!
“ว่าแต่
สรุปแล้วน้องไม่ใช่แม่บ้าน?” อีกครั้งที่พี่แอลถามขึ้น
ทางอยากรู้แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนจะหาเรื่องไปด้วย
“ค่ะ
ไม่ใช่ทั้งแม่บ้านแล้วก็ไม่ใช่กะเหรี่ยง” ฉันพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“เป็นเมียเก็บกอล์ฟเหรอ?” แต่พอเจอคำถามนี้เข้าไป ฉันก็ถึงกลับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
วัวสันหลังหวะน่ะ
อาการมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
“เอ้า! ว่าไงตอบสิ!” เพราะฉันไม่ตอบพี่แอลก็เลยพูดเร่ง
“ปะ… เปล่าค่ะ”
“ไม่ใช่แล้วทำไมเมื่อวานถึงเข้าไปอยู่ในห้องกอล์ฟ?” ฮืออ นี่ฉันมาเรียนหรือมาให้รุ่นพี่สอบสวนกันแน่เนี่ย! “เอ้าตอบสิ อ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละ!”
ฉันสะดุ้งอีกคนเมื่อถูกเร่งเร้า
มองจากแววตาของพี่แอลแล้ว บอกได้เลยว่ามันเต็มไปด้วยการจับผิด
ท่าทางเธอคงจะรักอ้ายกอล์ฟเอาเสียมากๆ
“หนูเป็นแฟนของน้องอ้ายกอล์ฟค่ะ” เพราะงั้นฉันก็เลยพูดความจริงออกไป เพราะยังไงซะ สิ่งที่ฉันพูดนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องโกหกสักหน่อย
“น้องชายของกอล์ฟเหรอ?” เธอถามย้อน แสดงสีหน้าแปลกใจ ส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับรัวๆ
ก่อนต้องชะงักเมื่อได้ฟังคำถามต่อมา “น้องกอล์ฟคนไหน?”
“กะ...ก็น้องอ้ายกอล์ฟที่ชื่อก็อตน่ะค่ะ…” พี่แอลนิ่งไปเล็กน้อยหลังจากฉันพูดจบ เธอขมวดคิ้วชิดกันเป็นปมอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับกำลังคิดตาม
“ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องน้องชายของกอล์ฟเลยนะ…” ก่อนจะพูดเรื่องน่าตกใจออกมาให้ได้ยิน “ตั้งแต่รู้จักกอล์ฟมา
เขามักจะอยู่ใต้ต้นมะขามคนเดียวมาตลอดนั่นแหละ”
“…” อยู่คนเดียวตลอดงั้นเหรอ?
“ขอโทษนะ
แต่ก็อตที่เธอพูดถึงอะไรนั่น ฉันไม่เคยรู้จัก”
ไม่รู้จักงั้นเหรอ…
“งั้นก็แปลว่าอ้ายก็อตเขาไม่ได้เรียนที่นี่ใช่ไหมคะ?” ความแปลกใจส่งผลให้ฉันถามออกไปแบบนั้น
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ
ทำไมไม่ถามกอล์ฟดูล่ะ ไหนหล่อนบอกก็อตอะไรนั่นเป็นน้องชายเขาไม่ใช่เหรอ?”
“…”
“กับฉันน่ะ เขายังไม่เคยยิ้มให้แบบนั้นเลย
ไม่สิ! ต้องพูดว่ากับคนทั้งโลกต่างหาก! แล้วนับประสาอะไรกับชีวประวัติผู้ชายคนนั้นกันล่ะ!” เธอรัวคำพูดคล้ายกับน้อยอกน้อยใจ
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บใจอย่างชัดเจน “โอ๊ยยย
พูดแล้วหงุดหงิด ไปได้แล้ว ไปรวมกลุ่มกับพวกเด็กใหม่เลย!”
ไม่รู้ว่าเพราะพี่แอลพาลฉันหรือเปล่า
เธอถึงได้ออกปากไล่ฉันให้ไปนั่งรวมกับพวกนักศึกษาใหม่แทนที่จะให้คำตอบสิ่งที่ค้างคามากกว่านี้
ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้อยากสุงสิงอะไรกับเธอมากนัก
เลยเลือกที่จะทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ฉันอาศัยจังหวะในตอนที่เดินเข้าไปร่วมกลุ่มมองหาอ้ายกอล์ฟที่น่าจะอยู่แถวนั้นอีกครั้ง
ก่อนพบว่าเขากำลังยืนมองฉันจากด้านนอกของซุ้มคณะจริงๆ
อ้ายกอล์ฟกำลังยิ้ม
สีหน้าดูโล่งอกโล่งใจแถมยังแสดงท่าทางด้วยการยกมือขึ้นระดับหน้าอกแล้วกระดิกนิ้วให้คล้ายกับจะโบกมือ
แต่ก็แค่ครู่เดียว เพียงแค่คาดสายตาจากกันเท่านั้น เขาก็หันหลังเดินออกไปแล้ว
‘กับฉันน่ะ
เขายังไม่เคยยิ้มให้เลย ไม่สิ! ต้องพูดว่ากับคนทั้งโลกต่างหาก!’
ไหนพี่แอลบอกว่า เขาเป็นคนยิ้มยากยังไงล่ะ…
ตลอดวันนี้ทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ายิงยาวไปถึงเกือบเย็น
ฉันต้องเข้าร่วมกิจกรรมของคณะ ในชื่อ ‘วันแรกพบ’ หลักๆ
ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอก นอกจากฟังรุ่นพี่ชี้แจงเรื่องต่างๆ
ที่จะต้องทำร่วมกันในวันต่อๆ ไป รวมไปถึงได้รู้จักเพื่อนใหม่
ทุกอย่างดูไปได้สวยตลอดทั้งวัน
เพราะการเข้าร่วมกิจกรรมทำให้ฉันไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดคิดไปเลยซะทีเดียวหรอกนะ ในช่วงเวลาพักหรือมีเวลาเหลือฉันก็พยายามโทรติดต่ออ้ายก็อตอยู่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่ตอบกลับมาก็เป็นเครื่องตอบรับอัตโนมัติเช่นเดิม และมันก็เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งเวลากิจกรรมในวันแรกหมดลง…
“พริก กลับยังไงอ่ะ!?” แนนเพื่อนคนแรกที่ฉันรู้จักวันนี้เอ่ยปากทักขึ้น ในขณะที่เราทั้งคู่พากันเดินออกจากตึกคณะ
“เดี๋ยวเราเดินกลับอ่ะ
หอเราอยู่ตรงนี้เองแล้วแนนล่ะ?”
“เดี๋ยวปะป๋ามารับอ่ะ
งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“อื้อ!” ฉันรับปากเพื่อนใหม่เสียงแจ๋ว แต่ในขณะที่แนนกำลังจะเดินออกไปนั้น จู่ๆ
คงนึกอะไรได้ล่ะมั้ง ถึงได้เดินย้อนกลับมา
“พริก เราลืมขอ Line กับเบอร์ไว้อ่ะ ขอหน่อยสิ” แนนพูดพลางยื่นโทรศัพท์มาให้
และนั่นคงเป็นการสานสัมพันธ์มิตรภาพแรกในรั้วมหาวิทยาลัยนี้ของฉัน
แน่นอนว่าฉันไม่ปฏิเสธ รีบรับโทรศัพท์มือถือแนนมากดบันทึกเบอร์ส่วนตัวให้ทันที
“ขอบใจจ๊ะ
พรุ่งนี้เจอกันนะ!” เธอทิ้งท้ายอีกครั้งก่อนรีบวิ่งปลีกตัวออกไปคนละทางกับที่ฉันจะเดินไป
หลังจากแนนคล้อยหลังไปได้ไม่เท่าไหร่
ฉันก็ต้องถอนหายใจทิ้งด้วยความโล่งอก
ตอนแรกก็แอบคิดว่าการมาเรียนที่นี่จะหาเพื่อนคบด้วยยากซะแล้ว โชคดีที่ได้เจอคนแบบแนน
ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเพื่อน พอรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังราบรื่นฉันก็อดยิ้มเล็กยิ้มน้อยไม่ได้
แต่พอวูบหนึ่งในหัวคิดเรื่องของอ้ายก็อตขึ้นมา
ฉันก็อดหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าผ้าเพื่อกดโทรหาเขาอีกครั้งไม่ได้ หลังจากพยายามโทรหาเขาตลอดทั้งวันไม่ติด
แต่ในตอนนี้มันกลับต่างออกไป
[ฮัลโหล?] ฉันพยายามเงี่ยหูฟังเสียงจากปลายสายเพื่อพินิจพิจารณาน้ำเสียง
ก่อนพบว่าเสียงของอ้ายก็อตตอนนี้ดูเป็นปกติเหมือนเคย
“ทำไมวันนี้อ้ายก็อตปิดเครื่องทั้งวัน
พริกติดต่ออ้ายก็อตไม่ได้เลยฮู้ก่อ?” ฉันยิงคำถามแรกออกไปแบบไม่ต้องสงสัย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้ามันพานให้ค้างคาใจไปหมด
[อ๋อพอดีพี่ไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ
ก็เลยปิดเครื่องนอนพักนิดหน่อย]
“แต่พี่ปิดเครื่องตั้งแต่ตอนที่เราคลาดกันเมื่อเช้าเลยนะคะ”
[ตอนนั้นแบตหมดมั้งคะ] พอได้ฟังเขาพูดแบบนั้นฉันก็รู้จะพูดอะไรต่อ จนปลายสายต้องกล่าวถามออกมาเอง [น้องพริกอยู่ไหนคะเนี่ย?]
“พริกเพิ่งเลิกกิจกรรมเจ้า
อ้ายก็อตล่ะยะอะหยังอยู่?”
[พี่กลับมานอนพักที่บ้านตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ] ทำไมล่ะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคำพูดของอ้ายก็อตมันแปลกๆ
โดยเฉพาะกับคำพูดของพี่แอล
‘ขอโทษนะ
แต่ก็อตที่เธอพูดถึงอะไรนั่น ฉันไม่เคยรู้จัก’
“เอ่อ…อะ อ้ายก็อต” พอในหัวนึกถึงคำพูดนั้นขึ้นมา
ปากก็เลยขยับไปเอง
[จ๋าว่าไง?]
“อ้ายก็อตไม่ได้เรียนที่เดียวกับพริกก่อ?” ลิ้นเสียงถามปลายสายก็เงียบไป แถมยังเงียบนานจนผิดปกติ
อะไรกันน่ะความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกปิดบังอะไรอยู่
“อ้ายก็อต ตั๋วฟังน้องอยู่ก่อ?…”
จำต้องถามซ้ำ
[พริก… ขอโทษนะพี่ขอทำธุระแป๊บหนึ่ง เอาไว้ค่ำๆ พี่จะโทรหานะ]
“ดะ เดี๋ยวอ้ายก็อต!
...ตู๊ดดดดดดดด” ยังพูดไม่ทันขาดคำ
ปลายสายก็ตัดสายทิ้งไปแบบไม่รอฟังสิ่งที่ฉันพยายามจะบอก การที่เป็นแบบนั้นมันทำให้ฉันร้อนอกร้อนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
และอดคิดตามไม่ได้ว่าการที่รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แบบนี้
มันเป็นเพราะบางทีอ้ายก็อตอาจจะกำลังแอบมีคนอื่นอยู่ก็ได้
บรื้นน บรื้นนน
ระหว่างที่กำลังยืนใบ้กินเพราะความสับสนอยู่นั้น
เบื้องหลังกลับมีเสียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กดังขึ้น พอหันไปมองถึงได้พบว่าเป็นคนที่ฉันรู้จักดี
เขาบิดรถคู่กายของตัวเองมาหยุดจอดลงข้างกายฉันพร้อมด้วยเรือนผมสีเขียวเข็ดฟันดูโดดเด่นกว่าใคร
“จะกลับเลยป่ะ?”
และนี่คงเป็นคำถามแรกที่ฉันได้รับจากอ้ายกอล์ฟหลังจากที่ไม่เห็นหน้าทั้งวัน
“พี่รู้ได้ยังไงว่าหนูอยู่ตรงนี้” ส่วนฉันไม่ได้ตอบเขากลับไปตรงคำถามหรอก
“แอบมองอยู่
ไม่รู้ตัวไง?” แต่เขาก็ยังยอกย้อนออกมาได้อยู่ดี “ขึ้นรถ ไปหาไรกินกัน หิว”
“ไม่ไปค่ะ
หนูจะกลับห้อง!” ฉันปฏิเสธเสียงแข็ง
ก่อนจะรีบก้มหน้าเดินไหวปลีกตัวออกมา ถึงอย่างงั้นอ้ายกอล์ฟก็ไม่หยุดตามตื้อ
ยังคงบิดรถชะลอความเร็วขนาบข้างฉันต่อไปโดยใช้คำพูดเจ้าเล่ห์เพื่อใช้เปลี่ยนความคิดคนฟังไปด้วย
“จากตรงนี้ออกไปนอกมหาวิทยาลัยมันไกลนะ” นี่เขาจะตื้อให้ฉันขึ้นรถให้ได้เลยใช่ไหม?!
“พี่ไม่มีหมวกกันน็อกนี่คะ
หนูไม่ไปด้วยหรอก”
“อย่าลีลาดิ
เดี๋ยวได้เจ็บตัวหรอก!” ครั้นจะปฏิเสธเขาเป็นหนที่สาม
ในหัวก็ดันคิดถึงคำพูดของพี่แอลขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน
‘ทำไมไม่ถามกอล์ฟดูล่ะ
ไหนหล่อนบอกก็อตอะไรนั่นเป็นน้องชายเขาไม่ใช่เหรอ?’ หรือว่าฉันควรจะถามเขาดีนะแล้วถ้าถามแล้วอ้ายกอล์ฟไม่บอกล่ะ
ในเมื่อเขาเกลียดน้องชายตัวเองขนาดนั้น…
ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องลองวัดกันดูสักตั้ง
ถ้าไม่กล้าวันนี้ก็คงไม่คลายความสงสัยแน่ๆ!
พอคิดได้เช่นนั้น
ปากก็เริ่มขยับพูดโดยอ้างอิงสิ่งที่อยู่ในหัวเพื่อใช้เป็นข้อเสนอ
“งั้นถ้าหนูยอมไปด้วย
อ้ายกอล์ฟต้องตอบคำถามที่หนูสงสัย ตกลงไหมคะ?”
การกล่าวออกไปเช่นนั้น ทำเอาคนฟังเลิกคิ้วมองฉันท่าทางแปลกใจ
เขาเบือนหน้าหลบไปอีกทางพลางพ่นลมหายใจออกมาคล้ายกับเอือมระอากับข้อเสนอ
ส่วนปากก็บ่น
“หัดตั้งแง่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
น่ารำคาญจริงๆ”
“ได้ไหมล่ะคะ?!” ส่วนฉันยังคงยืนกรานคำถามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“จำเป็นต้องตอบไหม?” คราวนี้เขาย้อน
“งั้นหนูก็ไม่จำเป็นต้องไปกับพี่เหมือนกัน!” ฉันจึงยื่นคำขาด ก่อนก้มหน้าสาวถี่เดินหนีเข้าออกมาอีกครั้ง
บรื้นนนน
เสียงบิดเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งจากทางด้านหลังบ่งบอกอารมณ์ของคนขับได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังหงุดหงิดแค่ไหน
คราวนี้อ้ายกอล์ฟไม่ได้บิดรถเทียบฟุตบาธอีกต่อไปแล้ว แต่เขาเลือกที่จะบิดเร่งความเร็วแซงหน้าฉันไปคล้ายกับไม่ง้อ
ส่วนฉันได้แต่มองตามหลังเขาไป
พลางเบ้ปากอย่างนึกหมั่นไส้ ไม่ได้รู้สึกเสียดายหรอกนะที่เขาไม่อยู่ง้อฉันต่อ
แต่ก็แค่รู้สึกเสียดายพลาดโอกาสทองที่จะได้ถามเขาก็แค่นั้น
ฉันก้มมองโทรศัพท์มือถือในมืออีกครั้ง
ตอนนี้หน้าจอยังขึ้นชื่อของอ้ายก็อตค้างเอาไว้อยู่เลย ในใจน่ะอยากจะโทรไปหาเขาอีกครั้งใจจะขาด
แต่ดันติดอยู่นิดเดียวก็คือ เขาได้บอกไว้แล้วว่าจะเป็นฝ่ายโทรมาหาฉันเอง
“เฮ้ออออ…” พอสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ช่วงน่าสงสัย
คนที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างแบบฉันที่ไม่รู้แม้กระทั่งที่อยู่ของแฟนตัวเองก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจยาวๆ
ทำยังไงดี! ไม่อยากเป็นกังวลอยู่แบบนี้เลย…
บรื้นน บรื้นนน
และในช่วงเวลานั้นเองที่จู่ๆ
เสียงเบิ้นท่อไอเสียก็ดังขึ้นอีกครั้ง เรียกความสนใจฉันให้เงยมองไปยังต้นเสียงเบื้องหน้าเป็นหนที่สอง
ก่อนพบว่ามอเตอร์ไซค์และผู้เป็นเจ้าของที่บิดเครื่องหนีออกไปด้วยความไม่พอใจก่อนหน้านี้
กำลังย้อนกลับมายังจุดที่ฉันกำลังเดินอยู่
อ้ายกอล์ฟหยุดรถลงตรงหน้าห่างจากจุดที่ฉันยืนไปไม่เท่าไหร่
จังหวะที่ทั้งเขาและฉันมีโอกาสได้สบตากันตรงๆ เขาก็ก็ลดมือข้างหนึ่งลงหยิบหมวกกันน็อกใบใหญ่ที่แขวงเอาไว้กับแฮนด์รถขึ้นมาสวมอย่างบรรจงและประณีตราวกับตั้งใจจะทำให้ดู
นี่เขาขับออกไปเพื่อไปหาหมวกกันน็อกมาใส่เหรอ...
วินาทีที่เขาทำทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย
คนใจร้ายตรงหน้าก็พูดขึ้นราวกับจะทวงข้อตกลงที่ฉันเคยกล่าวเอาไว้
“ตอนนี้พี่ใส่หมวกแล้ว คราวนี้พริกไปกับพี่ได้ยัง…”
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต #ผู้ชายสายโจร
ความคิดเห็น