คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : GALS00 ll สายอ่อน VS สายแข็ง {อัพ100%}
Somethings
are meant to be
บางอย่าง ถูกกำหนดให้เป็นไป
-KOOK TALK-
::ชีวิตของลูกผู้ชาย::
มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักความรักหรอกจริงไหม? ไม่ต้องมองที่ไหนไกล ดูอย่างพี่ชายผมเฮีย ‘เกมส์’ มันก็มีความรักกับสาวน้อยคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยของมัน อย่าว่าแต่มันเลย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พอรู้จักความรัก จิตใต้สำนึกมันก็สั่งให้วิ่งชน ดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อเอาใจคนที่ตัวเองชอบ แต่ติดอยู่เพียงนิดเดียวผมดันไม่หน้าด้านและกล้าพอเหมือนพี่ ทำได้แค่ชอบ แต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไป
“ซังนัมจา ภาษาเกาหลีแปลว่า หล่อ มาดแมน ลูกผู้ชาย!”
“…”
“Handsome ภาษาอังกฤษ แปลว่า หล่อ มาดแมน เป็นลูกผู้ชาย”
“…”
“โคตรหล่อ หล่อฉิบหาย หล่อปังพังมดลูก ภาษาไทย แปลว่า ฉันอยากได้เขา กรี๊ดดดดดดด พี่เก้าขาาาา~~ >O<”
ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชอบจนไม่กล้าบอกความรู้สึกหรอกที่ทำให้ผมได้แค่ยืนแอบมองคนที่ตัวเองชอบจากหน้าต่างบานเดิมๆ ของร้านเบเกอรี่ในเมือง หากแต่เป็นผู้ชายอีกคน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผมหมดโอกาสแทรกซึมหรือส่งความรู้สึกไปถึงเธอได้
“พี่ว่าผมหล่อปะวะ?” ผมเอ่ยถามขึ้น เมื่อจุดสิ้นสุดของความอดทนมาถึง
“งั้นๆ อ่ะ สู้กูไม่ได้หรอก” แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามันก็ช่างยียวนกวนเบื้องล่างสิ้นดี
“แล้วพี่คิดว่า ผมอ่ะ ซังนัมจาปะวะ?” ผมถามอีกครั้ง ขณะสายตาเหม่อมองไปยังหญิงสาวหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาที่โต๊ะลูกค้าหมายเลข 3
“ซังนัมจานี่ญาติเต่านินจาปะวะ?” แล้วมันก็เหมือนเดิม ผมไม่ได้คำตอบที่อยากรู้กลับมา ถึงอย่างงั้นปากก็ยังไม่ยอมหยุดถามอยู่ดี
“แล้วพี่คิดว่าผมอ่ะ อีส-สะ-แมน-แฮนซั่มป่ะวะ?”
ผัวะ!
ฝ่ามือหนาบรรจงตบเข้าที่กลางหัวผมอย่างหนักๆ ตามมาด้วยคำพูดคล้ายกับรำคาญและเอือมระอา
“บ้าป่ะเนี่ย ลูกค้าเต็มร้าน มัวมายืนเพ้อเจ้ออะไรอยู่ได้!”
“หูยพี่ มันเจ็บนะ!” ผมครวญเสียงหลง หันไปต่อว่า พี่‘โจ๊ก’ พี่ชายที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก พลางใช้มือลูบส่วนหัวที่เจ็บไปมา
“เจ็บสิดี จะได้เรียกสติ ไปหลังร้านได้แล้ว เค้กจะหมดตู้โชว์แล้วนะ” พอถูกสั่งมาแบบนั้น ผมก็เลยแย๊บหมัดใส่อกพี่โจ๊กเบาๆ หนึ่งทีเพื่อเอาคืน ก่อนตัดสินใจผละตัวออกจากหน้าต่างร้านตามคำสั่งที่ได้รับอย่างเสียไม่ได้
เอาจริงๆ ผมกับพี่โจ๊กเราค่อนข้างสนิทกัน แม้ว่าเราสองคนจะมีอายุห่างกัน 5 ปีก็ตาม และที่ผมยอมเชื่อฟังคำสั่งของพี่แกก็เพราะ ร้านเบเกอรี่ที่ผมทำงานอยู่นั้นมันคือร้านที่พี่โจ๊กลงทุนเก็บเงินสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พูดง่ายๆ พี่แกเป็นเจ้าของร้านนั่นแหละ
ด้วยความที่รู้จักกันมานาน แถมผมกับพี่เขาก็มีความชอบที่คล้ายๆ กัน พอถูกแกชวนให้มาช่วยงานที่ร้านผมก็เลยไม่ปฏิเสธ เพราะมันได้เงินด้วยแถมยังได้ฝึกฝีมือไปด้วย ที่สำคัญร้านเบเกอรี่ของพี่โจ๊กยังเป็นร้านชื่อดังในหมู่สาวๆ แถมยังมีลูกค้าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาใช้บริการไม่ขาดสาย ในชื่อร้านว่า ‘Sucré Café’ (อ่านว่าซูเคร่[1])
พี่โจ๊กมีตำแหน่งเป็นเจ้าของร้าน ควบด้วยตำแหน่ง บาริสต้า(Barista) หรือเชฟสำหรับชงเครื่องดื่มประจำร้าน ส่วนผมมีตำแหน่งหน้าที่ตั้งแต่เด็กเสิร์ฟ เด็กล้างจาน เด็กเฝ้าร้าน รวมไปถึง ตำแหน่งพาทิชิเย่(Pâttissier) หรือเชฟทำขนมประจำร้าน
อ้อ! ลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อว่า ‘กุ๊ก’ เป็นวัยรุ่นแนวใหม่ใส่ใจการทำขนม ตอนนี้อายุ 19 ปีแล้วครับ เรียนอยู่ปี2 คณะคหกรรมศาสตร์ สาขาออกแบบอาหาร(เน้น) ที่เลือกเรียนคณะและสาขานี้ก็เพราะ ความฝันของผมคือการเป็นทั้งเชฟและพาทิชิเย่มือหนึ่งนั่นเอง
พูดง่ายๆ ภาษาบ้านๆ ก็คือผมชอบอาหารโดยเฉพาะกับพวกของหวาน นอกเวลางานหรือเวลาเรียน ผมจึงลงเรียนการทำขนมกับโรงเรียนสอนทำขนมชื่อดัง จนฝีมือเป็นที่พอใจของใครหลายๆ คนและได้รับความไว้วางใจเข้าทำงานเป็นพาทิเช่ที่ร้านพี่โจ๊กแบบนี้นี่ไง
เรื่องกีฬาผมไม่ถนัด แต่ถ้าเรื่องฟัดกับแป้งยีสบอกเลยผมไม่เคยแพ้ใคร เรื่องต่อยตีสู้รบปรบมือเหมือนอันธพาล ไม่เคยอยู่ในกมลสันดานของว่าที่พาทิชิเย่มือทองอย่างผมหรอก
ที่ผมสนก็คือ ตำแหน่งบนหน้าเค้กกับการจัดวางผลสตอเบอร์รี่สดให้ดูเข้ากันมากกว่า ไหนจะปริมาณความหวานและความลงตัวของรสชาติเมื่อถูกลิ้นสัมผัส นั่นแหละความฟินอย่างสุด ของผมเลยล่ะ…
“เฮ้ยกุ๊ก! ลูกค้าขอพบ”
เข้ามาทำงานหลังร้านได้ไม่เท่าไหร่ ไอ้พี่โจ๊กก็เข้ามาเรียกผมออกไปหน้าร้านอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้ทุกที ลูกค้าบางคนที่ชื่นชอบหรือติดใจรสชาติกลมกล่อมของขนมที่ผมทำ มักจะเรียกตัวไปพบเพื่อชมเชย แต่ก็ใช่ว่าคำชมเชยดังกล่าวจะเป็นตัวการันตีว่าฝีมือของผมดีที่สุดหรอกนะ แต่ว่า ในวันนี้ต่างออกไป เพราะลูกค้าที่เรียกออกไปพบนั้นดันเป็นคนที่ผมไม่คิดไม่ฝัน
“เรียกเหรอครับ?” ผมถามออกไปอย่างประหม่าเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าลูกค้าคนดังกล่าว
เด็กสาวนัยน์ตากลม ผมสั้นบ๊อบสั้น น่ารักทุกมุมมอง น่าลองทุกองศา ยืนส่งยิ้มหวานแทนคำทักทาย เและพูด
“นายคือคนทำเค้กในตู้โชว์ทั้งหมดเลยใช่ไหม?” เธอคือลูกค้าที่โต๊ะหมายเลข 3 ที่ผมนั่งมองเธออยู่เป็นประจำ
เธอชื่อ ‘โกกิ’ เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ปีสอง คณะนิเทศฯ อย่างที่บอก เธอคือผู้หญิงที่ผมแอบชอบอยู่
“เราชื่อโกกิ เรียก ‘กิ’ ก็ได้นะ ว่าแต่… ทำไมเราคุ้นหน้านายจัง”
“กะ ก็เราเรียนที่เดียวกับเธออ่ะ” นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเธอจริงๆ จังๆ นอกเหนือจากเวลางานเช่นการพูดว่า ‘รับอะไรดีครับ?’
“ว๊าวว~ ดีเลย” เธอฉีกยิ้มกว้างตบมือแปะๆ บอกตรงๆ ว่ารีแอคชั่นของเธอโคตรน่ารัก “เราอยากให้เธอช่วยทำเค้กวันเกิดให้เราหน่อยได้ไหม เราจ้าง”
“เค้กวันเกิดเหรอ ได้สิ… แต่ราคาเธอต้องคุยกับเจ้าของร้านนะ” ผมก็ว่าไปตามเรื่องราว แม้จะดูเก้ๆ กังๆ แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้คุยกับเธอ
“โอเคได้ แต่เราสามารถสั่งเค้กกับเธอได้เลยใช่ป่ะ?” เธอถาม
“ใช่ เธออยากได้แบบไหนล่ะ เราจะทำให้สุดฝีมือเลย”
ซังนัมจา! Handsome! ในแบบของเชฟทำขนม แสดงออกไปให้เธอเห็นซะไอ้กุ๊ก!
“ดีเลยๆ เราอยากได้เค้กช็อกโกแลต ขอแบบไม่หวานนะ เอาสัก 2 ปอนด์ก็พอ… โรยหน้าด้วยสตอเบอร์รี่ ขอลูกใหญ่ๆ หวานๆ ใส่ความรักไปแน่นๆ นะ” เธอรัวรายการที่ตัวเองอยากได้ ส่วนผมก็จดสิ่งที่เธอพูด
“วันเกิดคนในครอบครัวเหรอ ทำไมเธอดูตื่นเต้นจัง” ผมแกล้งถามไปงั้น เพราอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอดูตื่นเต้นได้ขนาดนั้น
“ไม่ใช่อ่ะ” เธอตอบกลับมาอย่างทันควัน และกล่าวเสริม “วันเกิดพี่เก้าน่ะ”
คำตอบของเธอทำลายหัวใจอ่อนหวานของผมสิ้นดี T_T
“นายอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับฉันนี่ใช่ไหม? นายคงต้องรู้จักพี่ ‘นพเก้า’ ที่เรียนอยู่ปี3คณะวิศวะฯใช่ป่ะ?” ผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ
ใครมันจะไม่รู้จักละวะ ไอ้นพเก้าอะไรนั่น! ในเมื่อมันดังจะตายชัก รูปหล่อ พ่อรวย แถมยังมีดีกรีเป็นถึงนายแบบนิตยสารวัยรุ่น สาวๆ ตามกรี๊ดกันจนปวดหัว
“นั่นแหละ อีกสองอาทิตย์จะวันเกิดพี่เขาแล้ว เรารบกวนนายช่วยทำตามลิสต์หน่อยนะ จำไว้ด้วยล่ะพี่เก้าเขาไม่ชอบกินของหวานๆ รสชาติเค้กขอแบบขมๆ เหมือนกัดดาร์กช็อกโกแลตทั้งคำเลยนะ” ขมแบบดาร์กช็อกโกแลตอาจจะไม่ได้ แต่ถ้าขมแบบคนน้ำตาตกในอ่ะได้อยู่ TOT
“อ่ะนี่เบอร์เรา มีอะไรโทรถามเราได้เสมอนะ” โกกิยื่นกระดาษเขียนเบอร์โทรศัพท์ส่งมาให้แบบรีบร้อน รอยยิ้มน่ารักกับแก้มยุ้ยๆ น่าฟัดนั่นทำผมปฏิเสธไม่ลง สุดท้ายก็ต้องรับปากเธอไปอย่างเสียไม่ได้
“โอเค”
แลกความเจ็บช้ำกับเบอร์โทร มันก็เหมือนจะคุ้มอยู่นะ (มั้ง)
20.40 น. เวลาร้านปิด
“พี่โจ๊ก ผมกลับก่อนนะพี่!”
ผมตะโกนบอกพี่เจ้าของร้านเหมือนอย่างทุกครั้งหลังร้านปิด รีบสะพายเป้เดินออกจากตัวร้านเหมือนทุกวัน การกระทำแบบนี้คล้ายกับจะเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว บางวันอาจต้องอยู่ดึกหน่อย เพื่อเตรียมทำเค้กสำหรับรองรับลูกค้าในวันต่อไป (เฉพาะวันที่ผมมีเรียนที่ม. น่ะนะ)
กระดาษแผ่นเล็กติดเบอร์โทรศัพท์ที่ได้รับมาเมื่อช่วงบ่าย ถูกผมหยิบขึ้นดูต่างหน้า พอเห็นเบอร์ที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ ร่างกายก็แสดงระบบออโต้ด้วยการพ่นลมหายใจทิ้งออกมาหนักๆ
ยิ่งนึกถึงน้ำเสียงตอนที่เธอสั่งเค้กเพื่อผู้ชายคนอื่นด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งหนักใจ เพราะศัตรูหัวใจตัวสำคัญดันมีดีกรีเป็นถึงเจ้าชายประจำมหาวิทยาลัย พาทิชิเย่หรือจะไปสู้เจ้าชาย นายแบบอะไรแบบนพเก้านั่นได้
“เฮ้อออ…” พอคิดแล้วผมแม่งอยากจะถอนหายใจทิ้งวันละหลายพันรอบ
ผลัก! ผัวะ!!
ตึง!!
เสียงของหนักกระแทกเข้ากับแผ่นสังกะสีดังขึ้นขัดความคิดในหัว เสียงของมันดังมาจากในซอยแคบระหว่างช่วงตึกที่ผมกำลังเดินผ่าน ปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติของมนุษย์สั่งให้ผมหยุดเท้าลง หันมองไปยังต้นเสียงก่อนจะพบเข้ากับใครคนหนึ่ง
ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาระดับนายแบบเด้งโดดทิ่มทะลุตาผมทันทีแม้ว่าด้านในจะมีแสงไฟเพียงน้อยนิดสาดส่องถึง สูงยาวเข่าดีก็ว่าไปนั่น เสื้อลายสก็อตธรรมดาที่คนทั่วไปใส่แล้วเหมือนคนตัดอ้อยแต่พออยู่บนตัวไอ้หล่อนั่นแม่งโคตรจะดูดี!
ถ้าผมมองไม่ผิดดูเหมือนไอ้หน้าหล่อนั่นกำลังมีเรื่องกับผู้ชายกลุ่มหนึ่งอยู่ด้วย
ผัวะ!
“อั่ก!” แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อไอ้หน้าหล่อดันออกหมัดซัดหน้าหนึ่งในพวกนักเลงอย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะตามมาด้วยอีกหมัด อีกหมัด และอีกหมัด
อัดกันจนเละเทะไปหมด…
ผัวะ! ผลัก! ผัวะ!
เสี้ยววินาทีกลุ่มอันธพาลเหล่านั้นก็ล้มหมอบลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ
โอ้โห! โหดสัดรัฐเซียโคลัมเบียไนจีเรียเซียรังสิตจริงๆ! ผมก็ได้แต่อุทานในความสามารถของไอ้หน้าหล่อในแต่ ทว่า
ดูเหมือนว่าผมจะมัวยืนชื่นชมมันนานไปหน่อย เพราะจู่ๆ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั่นดันหันขวับมองมาทางผมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว และนั่นมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ซึ่งเริ่มพาพวกกรูเข้ามาจากทางเข้าอีกฝั่งของช่องทางแคบๆ เข้าล้อมคนตัวสูงโคตรเท่คนนั้นแบบไม่ทันให้อีกฝ่ายระวังตัว ที่สำคัญคนกลุ่มนั้นท่าทางอันธพาลไม่ต่างจากไอ้พวกที่โดนอัดจนเละหมดสภาพ
ฉิบหาย! มาเยอะขนาดนี้ โดนกระทืบเข้าไปทีไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้วละวะ! เมื่อเห็นท่าไม่ดี มันก็ถึงคราวว่าที่เชฟอย่างผมควรกูรีกูจรออกจากตรงนี้ซะแล้วล่ะ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น สมองจึงสั่งการไปที่ฝ่าเท้าให้เริ่มก้าวออกวิ่งไปตามทางมืดๆ อย่างไม่คิดชีวิต ทำได้แค่ท่องในใจว่า กูไม่เกี่ยว กูเดินผ่านมาเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็ไป แต่!
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
ที่ด้านหลังกลับมีเสียงฝีเท้าของใครอีกคนวิ่งตามมา ผมไม่กล้าหันไปหรอก เพราะกลัวว่าจะเป็นไอ้กลุ่มอันธพาลที่มีเรื่องกับไอ้หน้าหล่อในซอยนั้น แต่ยิ่งวิ่งเสียงฝีเท้าดังกล่าวก็คล้ายกับจะเข้ามาใกล้มากขึ้น จนกระทั่ง
ฟึ่บ!
แรงกระชากที่ต้นแขนอย่างแรง ทำผมหันขวับมองเจ้าของฝ่ามือดังกล่าวด้วยความตกใจปนสงสัย แต่ยังไม่ทันได้มองเห็นหน้าได้ถนัดตา ตัวของผมก็ถูกดึงกระชากให้วิ่งเร็วขึ้นตามจังหวะการก้าวของคนแปลกหน้า
“เฮ้ย! จับมันไว้!!”
เสียงตะโกนอย่างไม่ประสงค์ดี ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง ไม่ต้องหันไปมอง แค่ฟังจากน้ำเสียงผมก็รู้แล้วว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องทีดีแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลองเพ่งพินิจพิจารณาจากเสื้อนอกที่คนแปลกหน้าใส่อยู่มันก็ทำให้ผมรู้ได้ทันที ว่ามันคือไอ้หน้าหล่อในซอกตึกคนนั้น!
“จะทำไรวะ!” ผมตะคอกเสียงถามไปอย่างหวั่นวิตก แต่คนถูกถามดันเอาแต่เงียบ ก้มหน้าก้มตาวิ่งลูกเดียว
มันดึงแขนผมวิ่งไปตามทางเรื่อยๆ จนตอนนี้มันเลยซอยบ้านผมไปแล้ว บอกตามตรงเลย ไอ้วิธีของลูกผู้ชายเสี่ยงตายเพื่อหนีตีนอะไรพรรค์นี้ผมเจอไม่บ่อยนักหรอก
ผมสายทำขนม ไม่ใช่สายอมส้นเท้าใคร เพราะไม่ชอบออกกำลังตอนนี้ผมเลยกลายเป็นหมาตัวหนึ่งหอบแฮ่กๆ อย่างคนหมดแรงจะวิ่งต่อ
“เฮ้ย! มึงจะพากูวิ่งไปถึงไหนวะเนี่ย แฮ่กๆ” อีกครั้งที่ผมตัดสินใจถาม หลังจากที่เราวิ่งกันไปได้สักพัก แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีเสียงตอบรับจากคนถูกถาม แต่มันกลับเลือกที่จะฉุดแขนผมเข้าไปหลบในซอกเล็กๆ ใกล้กับร้านขายของชำ
กึก!
ด้วยความอ่อนแรง เพียงแค่แรงกระชากอันน้อยนิดของมันก็ทำเอาแผ่นหลังผมกระแทกเข้ากับผนังกำแพงระหว่างซอกเล็กๆ ได้แล้ว
ผมซี๊ดเสียงออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด
“อูยย แม่ง… เจ็บฉิบ!”
ฟึ่บ!
ฝ่ามือกว้างของคนตัวสูงกว่านิดหน่อยตรงหน้าพุ่งเข้าปิดปากผมทันที จนผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายตกใจ มองหน้ามันกลับไปงงๆ ไอ้หน้าหล่อไม่ได้สนใจผม แต่มันหันเหความสนใจไปที่ด้านนอกถนนคล้ายกับดูลาดเลา
เพียงแค่เสี้ยวหน้าของมันในตอนนี้กับแสงไฟเล็กน้อยในระยะที่โคตรใกล้ มันก็เพียงพอจะทำให้ผมรู้แล้วว่ามันโคตรจะหล่อ โคตรจะซังนัมจา!
และในวินาทีที่มันหันมามองหน้าผมตรงๆ ไอ้คำชมทั้งหลายทั้งแหล่ในหัวก็แทบจะมลายหายไป เมื่อมันดันเป็นคนเดียวกับคนที่ผมแอบชอบพร่ำเพ้อหาอยู่บ่อยครั้ง
ไอ้พี่นพเก้า! ไอ้มารหัวใจ!!!
“เงียบเสียงไว้ เดี๋ยวพวกมันได้ยิน เข้าใจนะ?” คำสั่งสั้นๆ ทำผมหมดทางเลือก จำต้องพยักหน้าแทนคำตอบเนื่องจากปากโดนปิดเอาไว้ ส่วนมันก็ดูจะไม่สนใจอะไรผมมาก รีบหันหน้ามองลาดเลาพลางลดมือที่ปิดปากออก
นอกจากวันนี้จะเป็นวันแรกที่ได้คุยกับโกกิ วันนี้มันยังเป็นวันแรกที่ผมได้มีโอกาสฟังเสียงของเจ้าชายคนดังประจำมหาวิทยาลัยอีกด้วย เสียงของพี่นพเก้าทุ้มลึก ฟังแล้วละมุนหู จะบอกว่าเสียงแมนก็ใช่ จะพูดว่าพี่เค้าแค่เสียงห้าวมันก็ไม่เชิง
แต่เดี๋ยวก่อน! นี่ผมมายืนทำห่าอะไรตรงนี้วะเนี่ย บ้านผมก็แค่เดินย้อนกลับไปอีก 5 ซอยแค่นั้นเอง!
“พี่นพเก้า ผมไม่รู้นะว่าพี่มีเรื่องอะไรกับพวกมัน แต่อย่าดึงผมมาเกี่ยวดิพี่” พอเริ่มได้สติ ผมก็ลืมคำสัญญา ต่อว่าไอ้หน้าหล่อออกไป แต่มันดันหันกลับมามองผมด้วยสายตางุนงง แล้วถาม
“เอ็งรู้จักข้าด้วย?” เหยดเข้! คำพูดคำจาโบราณฉิบหาย!
“เออ ก็รู้จักอ่าดิ พี่แม่งดังฉิบ แล้วนี่… พี่มีเรื่องกับใครมาอ่ะ”
“พวกกระจอก” คำตอบสั้นๆ ฟังแล้วฉุนกึกทันทีที่ได้ยิน “บ่อนของมันทับที่กับบ่อนของคนรู้จัก เลยมีปัญหากันนิดหน่อย” จะว่าไปก็เคยได้ยินมาเหมือนกันนะว่าบ้านพี่นพเก้ารวยเพราะปล่อยเงินกู้ควบคู่ไปกับการเปิดบ่อนผิดกฎหมาย
เฮ้ย! เดี๋ยวดิ งั้นก็แปลว่าตอนนี้กูอยู่กับอาชญากรอ่าดิ!
“เอาเถอะ! พี่ก็ระวังตัวแล้วกัน ผมจะกลับบ้านแล้ว” เพราะไม่อยากรู้จักหรืออยากมีส่วนร่วมกับการหนีฝ่าเท้าของคนไม่รู้จัก ผมเลยรีบหาช่องทางชิ่ง แต่สายตามันก็ดันบังเอิ๊ญบังเอิญเหลือบไปเห็นรอยช้ำที่ข้างแก้มของไอ้หล่อซะได้
“เออพี่ ที่แก้มอ่ะ เอาไอ้นี่ติดไว้ด้วยล่ะ เดี๋ยวหมดหล่อ” เพราะเรียนเกี่ยวกับการทำอาหาร ผมก็เลยพกพลาสเตอร์ติดตัวไว้เป็นประจำ ไว้สำหรับแบ่งปันเพื่อนร่วมคณะที่มักจะเกิดเหตุการณ์เลือดตกยางออกในคลาสภาคปฏิบัติ
ผมรีบยื่นส่งพลาสเตอร์ที่พกมาให้พี่เขาทันทีด้วยความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเขาก็ดูจะไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจผมอะไรขนาดนั้น แถมพูดตอบกลับมาสั้น ห้วน ได้ใจความ
“ขอบใจ” พูดไม่พูดเปล่า พี่นพเก้าที่รับพลาสเตอร์ไปนั้นก็รีบถอดเสื้อคลุมลายสก็อตที่สวมอยู่โยนทิ้งไป เผยให้เห็นผิวขาวเนียนซึ่งสวมทับเพียงแค่เสื้อกล้ามสีดำ
หุ่นโคตรดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ฉายาเจ้าชาย และได้เป็นถึงนายแบบ แต่ก็ช่างประไร ยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้วนี่หว่า เมื่อไม่มีอะไรจะพูดอีก ผมก็เลยตัดสินใจเดินก้าวเท้าปลีกตัวออกห่างจากพี่เขาไป ทว่า…
ฟึ่บ!!
แขนของผมกลับถูกดึงรั้งไว้อีกครั้งด้วยแรงที่มีมากกว่า จนกลับมาที่เดิม หลังผมกระแทกผนังในจุดเดิม พร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“อย่าไป…” ผมไม่เข้าใจความหมาย แต่เมื่อที่พื้นถนนด้านนอกเริ่มมีเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมจึงได้คำตอบโดยไม่ต้องถาม
“มันหนีไปไหนแล้ววะ!” เสียงโวยวายลักษณะเดือดดาลในอารมณ์ ทำผมช้อนตามองหน้าคนตัวสูงกว่านิดหน่อยเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าพี่นพเก้ากำลังละสายตาจากถนนด้านนอก หันกลับมามองผมด้วยเช่นกัน
“เฮ้ยพี่! ทางนี้มีคนอยู่ด้วย!” เสียงของผู้ชายอีกคนที่วิ่งมาหยุดยืนหน้าซอกเล็กที่ผมกับพี่นพเก้ายืนอยู่ ทำผมสั่นพั่บๆ เป็นเจ้าเข้า
แน่ล่ะ ในเมื่อเมื่อกี้พี่นพเก้าพูดเองว่าพวกคนพวกนั้นมีปัญหากับพี่เขาโดยตรง และการถูกพบแบบนี้มันยิ่งกว่าความฉิบหาย!
ตาย ตายแน่ๆ ตายศพไม่สวยแน่ๆ!
แต่เหมือนว่าผมจะคิดผิด เพราะการถูกเจอในช่วงเวลานั้นมันไม่ได้น่าช็อกเท่ากับสิ่งที่กำลังเกิด เมื่อจู่ๆ พี่นพเก้าพุ่งฝ่ามือทาบลงกับผนังกำแพง แขนของพี่เขาอยู่ระดับสายตาของผมพอดิบพอดี ไม่ใช่แค่นั้น แต่พี่เขายังทำเรื่องไม่คาดฝันด้วยการโน้มหน้าลงมาใกล้
“ฮึก!” เพียงเสี้ยววินาที ร่างกายผมเหมือนถูกช่วงชิงของสำคัญบางอย่างไป ชีวิตผมราวกับถูกแบ่งแยกเขตชั้นวรรณะระหว่างเพศโดยสมบูรณ์
เมื่อริมฝีปากร้อนระอุของพี่นพเก้าบดเบียดทาบชิดปากผมพอดิบพอดี แรงขยี้จากสัมผัสอ่อนนุ่มของผิวปากทำผมตาโต ตัวแข็งด้วยอาการช็อก ยิ่งกว่ารู้ตัวว่าถูกหวยแดก ซึ่งนั่นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของพวกอันธพาลด้านนอก และคำพูดสบถที่ว่า
“ตรงนี้ไม่ใช่พวกมันเว้ยพี่… ก็แค่เกย์ 2 คนพลอดรักกัน”
กะ เกย์เหรอ!?
วอด เดอะ ฟาวเวอร์!!!
To Be Continued...
ชอบก็เม้นไว้ ถูกใจเรื่องนี้อย่าลืมโหวตเต็ม100%
1เม้น1กำลังใจเนอะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและโหวตดีๆในหน้านิยาย
ติดแท็กในทวิต #สายโหดโคตรรัก
ความคิดเห็น