ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักอสุรา | {TITAN SET}

    ลำดับตอนที่ #21 : กลรักอสุรา l บทที่๑๙ ตอน ความนัย (๑) {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.67K
      195
      1 ก.พ. 62

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *



    บทที่๑๙
    ตอน ความนัย (๑)

    -กรองขวัญ กล่าว-

    เจ๊ว่าบางทีสิ่งที่ทับทิมถอดความมาน่ะ อาจจะผิดทั้งหมดก็ได้นะจ๊ะ

    ฉันรู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกไปในตัวคู่สนทนา แต่ขณะเดียวกัน ความแปลกที่เป็นอยู่ในตัวเธอ กลับดูสอดคล้องกับความรู้สึกและการความเคลือบแคลงของฉันช่วงพักหลังสิ้นดี

    เอาเป็นว่า ถ้าทับทิมอยากพูดเรื่องนี้แบบจริงๆ จังๆ เอาไว้เราค่อยหาเวลาว่าง…” โดยเฉพาะกับการถูกคู่สนทนาพยายามแทรกเสียงขัดคล้ายกับไม่ยอมให้บทสนทนาระหว่างเราจบลงโดยง่าย

    แล้วเรื่องสาเหตุที่แม่จันทน์ผาผูกคอตายล่ะคะ คุณกรองขวัญพอจะทราบข้อมูลหรือเปล่า ?

    ซ้ำยังถามคำถาม ซึ่งน่าจะมีเพียงแค่ฉันเท่านั้นที่ควรรับรู้หรือจดจำ ถลำลึกมากขึ้น

    ผูกคอตายหรือจ๊ะ ?ในเมื่อเด็กนี่ไม่ยอมหยุด ฉันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเลี่ยงหรือเบี่ยงเบนบทสนทนาระหว่างเราให้รีบจบลงอีกต่อไป ทับทิม ไปเอาเรื่องนี้มาจากที่ไหนกัน อย่าบอกนะว่าเอามาจากฝันอีกแล้ว ?

    ปะ เปล่าค่ะไม่เชิงว่าฝันหรอก…” คำพูดและบางอย่างในตัวเธอกำลังทำให้ฉันรู้สึกสงสัยมากขึ้นทุกที

    งะ งั้นเหรอ…” เพราะงั้นฉันจึงแสร้งถาม โดยพยายามจับสังเกตไปยังทุกอิริยาบถที่คนตัวระดับพอๆ กันแสดงออก ว่าแต่วันนี้ทับทิมดูแปลกๆ ไปนะจ๊ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงอยากรู้เรื่องอะไรพวกนี้ขนาดนั้นล่ะ ?

    เด็กสาวตรงหน้า นิ่งไปเมื่อถูกถาม มือทั้งสองข้างของเธอกำลังเกี่ยวพันกันไปมาบนตักคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คาดว่าคงกำลังคิดหาคำตอบที่สุดที่สุดสำหรับการเจรจา เพราะไม่นานนัก เธอก็ยอมให้คำตอบกลับมาในที่สุด

    เพราะฉันชอบท่านอสุรามากๆ ยังไงล่ะคะ…” ที่น่าขันก็คือ เสียงที่เธอใช้พูดความรู้สึกออกมานั้น ดูจริงจังกว่าทุกๆ ครั้งที่เราเคยพูดคุยกันมา ท่านอสุราเป็นตัวละครในพงศาวดารที่ฉันชอบมากที่สุด ตลอดมาในความคิดฉันหลังจากได้ลองศึกษามา เขาคือผู้ชายที่มีรักเดียวใจเดียว หนักแน่นและซื่อสัตย์ต่อคนรักของตัวเอง

    “…”

    แต่พอต้องมารับรู้หรือฝันเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดไปจากสิ่งที่รับรู้และคิดมาตลอด ฉันเลยอยากจะรู้ข้อมูลในส่วนที่หายไปจากหน้ากระดาษให้มากขึ้น ทั้งหมดนั่นก็เพื่อ…”

    จะหาคำตอบให้กับตัวเองหรือจ๊ะ ว่าสิ่งที่คิดอยู่หรือเห็นในฝันนั่นน่ะ มันคือเรื่องจริงหรือแค่การคิดไปเองกันแน่ ?ฉันแทรกเสียงถามอย่างรู้ทัน ก่อนกล่าวขึ้นอีกเป็นหนที่สองโดยไม่ได้เปิดโอกาสใดให้อีกฝ่ายกล่าวแทรก “มันก็มีหลายคนไม่ใช่หรือจ๊ะ ที่เก็บเอาเรื่องราวในละครหรือในหนังสือที่ตัวเองชอบมากๆ ไปนอนฝัน จนถึงละเมอเพ้อพกว่าตัวเองเป็นถึงตัวละครเอกในเนื้อเรื่อง เรื่องนั้นๆ

    “…”

    ฝัน มันก็คือฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะงั้นทับทิมยังจะหาคำตอบที่เกิดขึ้นในฝันไปทำไมอีกล่ะจ๊ะ ในเมื่อความเป็นจริงมันก็ถูกบันทึกก็บอกไว้อยู่แล้ว ว่าหญิงคนรักของท่านอสุราคือแม่นิมมานรดี

    ค่ะ แต่ว่า…” อีกหนที่เธอพยายามแย้ง แต่ว่าฉันก็ไม่ได้มอบโอกาสดังกล่าวแก่คู่สนทนานักหรอก

    อะไรที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้เพื่อบอกกล่าวให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะไม่มีความสำคัญมันก็แปลได้แค่ว่า มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรถูกจดจำ จริงไหมจ๊ะ? สุดท้ายแล้วต่อให้มีผู้หญิงคนอื่นเข้าหาท่านอสุรามากน้อยแค่ไหน ผู้หญิงคนเดียวที่ท่านรักและถูกบันทึกไว้ก็คือแม่นิมมานรดีอยู่ดี นั่นหล่ะจ๊ะ…”

    ว่าจบ มันคงเป็นโชคดีของฉัน ที่จังหวะเดียวกันนั้นเสียงสมาร์ทโฟนดันดังแทรกขึ้นเสียก่อน และเมื่อหยิบขึ้นดูจึงพบว่าผู้ที่โทรเข้ามานั้นไม่ใช่ใครแต่ว่าเป็นเด็กในความดูแลของฉันอย่างเมรีนั่นหล่ะ ด้วยความที่เป็นแบบนั้น มันเลยทำให้ฉันสบโอกาสที่จบบทสนทนาน่ารำคาญใจระหว่างเราเป็นหนที่สอง

    ดูเหมือนว่าเจ๊จะมีงานเข้าแล้วล่ะ ถ้ายังไงเราไว้ค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่นะจ๊ะทับทิม

    คะ ค่ะขอบคุณมากๆ นะคะคุณกรองขวัญ ที่ยอมมาตามนัดของฉันอีกสิ่งที่นับเป็นเรื่องโชคดีไม่ต่างจากเสียงสมาร์ทโฟนซึ่งดังขึ้นในจังหวะพอดิบพอดีก็คงไม่พ้น นิสัยว่าง่าย และดูอ่อนน้อมของคู่สนทนา ซึ่งยอมโอนเอนถามเสียงบอกกล่าวของฉันอย่างไร้ข้อแม้

    ไม่ต่างอะไรจากจากผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด

    ท่านอสุราทรงทราบแล้วหรือไม่ ว่าผู้ที่ลงไปตัดดอกบัวในสระด้วยกันเมื่อคราวนั้นคือตัวน้อง…’

    พี่เกรงว่าท่านคงยังไม่รู้…’ ไม่ว่าจะเสียงถามไถ่น่ารำคาญ ที่พยายามเร่งเร้าเอาคำตอบในสิ่งที่ตนเองอยากรู้

    พี่นิมมานรดียังมิได้เอ่ยทูลท่านอสุราให้น้องหรอกหรือจ๊ะ ?

    ยังพี่ยังไม่ได้ทูลบอกท่าน อีกทั้งท่านอสุราเองก็มิว่างฟังความเหล่านั้นจากพี่มากนักหรอก

    เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ในเมื่อพี่ให้คำมั่นกับน้องแล้ว ว่าจักนำความจริงไปกล่าวทูลให้อะ  หรือแม้แต่เสียงหนักแน่นบอกถึงความร้อนรนของผู้พูด ที่พยายามแย้งความปรารถนาและความรู้สึกนึกคิดของตนเองไม่ยอมหยุด

    เพราะตอนนี้สิ่งที่ท่านอสุราสนใจคือตัวพี่ที่ท่านเข้าใจว่าลงไปเก็บดอกบัวด้วยอย่างไรเล่า หากน้องหมายมั่นจะให้พี่บอกกล่าว ก็ช่วยอดทนรออีกเพียงสักนิดเถิด จันทน์ผา…’

    ไม่ว่าจะลักษณะท่าทาง ถ้อยคำ หรือแม้แต่ความรู้สึกยามต้องเผชิญหน้า ทุกอย่างที่เด็กคนนี้เป็นและแสดงออกมา ล้วนแล้วแต่เหมือนผู้หญิงคนนั้นทุกระเบียดนิ้ว และฉันคิดว่าตัวเองก็คงไม่ได้โง่ หรือซื่อบื้อพอ ที่จะมองและจดจำน้องสาวในชาติก่อนของตัวเองไม่ได้

    แต่ว่า ที่ฉันฝันน่ะค่ะ ผู้ที่ลงไปเก็บดอกบัวจนได้พบเข้าท่านอสุรา มันก็คือแม่จันทน์ผาเองไม่ใช่หรือคะ ?

    ฝันหรือจ๊ะ ?ยิ่งด้วยเธอเพิ่งกล่าวออกมาแบบนั้นด้วยแล้ว

    ค่ะ มันอาจจะฟังดูเหมือนฉันบ้านะคะ แต่ว่าช่วงนี้ฉันฝันเห็นภาพแปลกๆ…’

    ทุกอย่างที่เคยคิดไว้ ก็ยิ่งเจนชัดมากขึ้นทุกที

    กริ้ง...

    สวัสดีค่ะอะ คุณ…” ทว่า ฉันก็ไม่อาจประมวลเหตุผลจากบทสนทนาระหว่างเราเมื่อครู่ได้เนิ่นนานนัก เมื่อจังหวะที่ตัดสินใจลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อเตรียมจะเดินปลีกตัวออกไป น้ำเสียงตกอกตกใจของพนักงานหญิงนั้นดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งมันไม่ใช่เสียงของเธอเพียงเท่านั้น แต่รวมถึงเสียงฮือฮาของลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งกำลังใช้บริการอยู่ภายในร้านอาหารแห่งนี้อีกด้วย

    เหตุผลที่ทำให้ทั้งร้านส่งเสียงฮือกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นนั้น ก็คงเพราะชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง รายหนึ่งซึ่งปรากฏตัวขึ้นภายในร้านท่ามกลางสายตาของผู้คนอย่างไม่คิดปกปิดรูปพรรณของตัวเองในที่สาธารณะแม้ว่าตนเองจะเป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงนั่นยังไงล่ะ

    เขตแดน

    ฉันจำเขาได้ ดีเจหนุ่มไฟแรงที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของสาวเล็กสาวใหญ่อยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะด้วยคารม คำพูด หรือรูปลักษณ์หน้าตา

    (แล้วที่เขาเม้าท์กันว่าเหตุผลที่คุณเกิดอาการเจ็บกล่องเสียงชั่วขณะเพราะไปช่วยสาวนอกวงการแจกใบปลิวก่อนพีธีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เริ่ม คุณแดนมีความเห็นว่ายังไงบ้างคะ ?) นอกจากชื่อเสียงเขาแล้ว อีกสิ่งที่ฉันจำได้จนติดหูติดตาก็คงเป็นข่าวเมื่อหลายวันก่อน

    (อ้ออันนั้นเรื่องจริงครับ เพราะคิดว่าหลายคนน่าจะเห็นกันอยู่ส่วนเรื่องกุ๊กกิ๊กนี่ น่าจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่เข้าหาเขามากกว่า ฮ่ะๆ)

    (แปลว่าคุณเขตแดนตามจีบสาวนอกวงการคนนั้นอยู่ใช่ไหมคะ แล้วบอกได้หรือเปล่า ว่าสาวผู้โชคดีคนนั้นชื่ออะไร ?)

    (ครับ ผมจีบเขาอยู่ จริงๆ ผมกับเขารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมหาลัยแล้วล่ะ ส่วนชื่อผมขอตอบเลี่ยงๆ แล้วกัน ฮ่ะๆ เพราะสำหรับผม เธอเป็นอัญมณีสีแดงน่ะครับ)

    งั้นเหรอ อัญมณีสีแดงที่เขาให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อคราวนั้น

    คือแบบนี้เองน่ะเหรอ ?

    หึ…” สิ้นสุดความคิด รอยยิ้มเล็กๆ ก็เผลอผุดขึ้นมุมปากอย่างไม่อาจห้ามไหว ขณะใช้มือข้างถนัดบรรจงหยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นสวมปิดอำพรางใบหน้าของตัวเอง พร้อมกับที่เท้าเริ่มก้าวออกห่างจากโต๊ะสำหรับนัดพบ เดินแทรกผ่านบริกรและลูกค้าคนอื่นภายในร้าน สวนกับเขาซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาข้างใน

    หลงใหลได้ปลื้มแม่จันทน์ผามิใช่รึท่านวิรุฬ แล้วไยจึงไม่บอกกล่าวความในใจออกไปเล่า…’ พร้อมเพรียงกับเสียงแว่วจากห้วงอดีตซึ่งยังติดค้างอยู่ในห้วงคำนึงราวกับว่าทุกอย่างยังคงเจนชัดอยู่ในใจกลางความรู้สึก ในเมื่อยามนี้นั้นไซร้ อาคมในมือท่าน สามารถฉุดสรวงให้ลงมาคู่เคียงกับเมืองมนุษย์แค่เพียงเป่าคาถา

    หากกระทำเช่นนั้น เมืองมนุษย์และนครยักษ์อาจก่อเกิดสงครามก็เป็นได้ อีกทั้งพี่คงมิมีวันต่อกรกับมหาอำนาจเช่นท่านท้าวอสุเรนทร์และท่านอสุรา ด้วยเพียงอาคมเล็กน้อยในมือเป็นแน่

    แล้วไยจึงต้องหวาดเกรงเล่า ท่านวิรุฬ ในเมื่อยามนี้นั้นไซร้ มีคนของสรวงเช่นฉันอยู่ทั้งคน


    -ทับทิม กล่าว-

    มีคนเคยบอกไว้ว่า เรื่องบางเรื่องมักเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว แต่พอเริ่มรู้สึกคุ้นชิน มันก็จะจบและจากเราไปแบบไม่ให้เตรียมใจด้วยเช่นกัน และฉันคิดว่าคำพูดเหล่านั้น น่าจะมีส่วนจริงกับชีวิตใครหลายๆ คน ซึ่งนั่นรวมถึงตัวฉันด้วยเช่นกัน

    หากพูดเพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ คนส่วนใหญ่มักใช้วลีดังกล่าวเปรียบเปรยกับเรื่องราวของความรักที่มักไปไม่ถึงฝั่ง สำหรับฉันนอกเหนือจากเรื่องราวความรักแย่ๆ เมื่อตอนสมัยเรียนแล้ว ประโยคดังกล่าวยังสามารถใช้ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตพักหลังด้วยเช่นกัน

    แล้วนี่ ท่านจะไปเลยหรือเปล่าเจ้าคะ ?’ ทั้งที่คิดว่าตัวเองอาจเหลือเวลาเพียงสักนิดสำหรับใช้ถามไถ่ พูดคุย และบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายแท้ๆ ทว่า คำพูดมากมายที่เตรียมไว้ในใจ กลับไม่ได้ถูกใช้แม้แต่วลีเดียว

    หากสิ่งที่แม่ทันทิมเล่าความมาทั้งหมด มิใช่เรื่องโป้ปดเห็นทีคงต้องเป็นเช่นนั้น เขาเข้ามาพร้อมความน่าตกใจและคำถามมากมาย แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจากไป กลับทิ้งไว้ด้วยความเรื่องค้างคาใจแบบไม่บอกกล่าว

    มันน่าโมโห แต่ว่าขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกเศร้าในอกอย่างบอกไม่ถูก

    และเพราะบางสิ่งที่จากไปโดยทิ้งคำถามและความค้างคามากมายเอาไว้ มันเลยทำให้ฉันไม่อาจทนอยู่เฉยต่อสิ่งที่มีโอกาสได้ล่วงรู้ได้ ในเมื่อทุกอย่างบนโลกนั้นล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของการกระทำมารองรับอยู่เสมอ ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะตามหาคำตอบที่เกิดขึ้นในอดีตต่อไป แม้ว่าหลังจากนี้มันจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตฉันเลยก็ตาม ซึ่งการนัดพบผู้ซึ่งน่าจะรู้อะไรในสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากหนังสือมาพูดคุยด้วย คงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดรองจากการย้อนกลับไปยังหอสมุด เพื่อนั่งถอดความ แต่ว่า

    ถ้าหากท่านอสุราตกหลุมรักแม่จันทน์ผาจริงๆ อย่างน้อยมันก็ควรจะมีบันทึกแจกจ่ายหรือถูกใส่ไว้ในแบบการเรียนการสอนบ้างสิจริงไหมจ๊ะ ?คุณกรองขวัญกลับยืนกรานอย่างหนักแน่น ตามเนื้อหาที่ถูกตีพิมพ์เผยแผ่แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เจ๊ว่าบางทีสิ่งที่ทับทิมถอดความมาน่ะ อาจจะผิดไปจากความเป็นจริงทั้งหมดก็ได้นะจ๊ะ

    แปลผิดงั้นเหรอ ? มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อทุกวลีที่ถอดความมาน่ะ มันตรงกับภาพที่นิมิตที่เกิดขึ้นเพราะน้ำมือท่านอสุราทั้งหมดทั้งสิ้นแบบนั้น !

    สุดท้ายแล้ว ต่อให้มีผู้หญิงคนอื่นเข้าหาท่านอสุรามากน้อยแค่ไหน ผู้หญิงคนเดียวที่ท่านรักและถูกบันทึกไว้ก็คือแม่นิมมานรดีอยู่ดี นั่นหล่ะจ๊ะ แถมคำพูดของเธอ ที่พยายามพูดยัดเยียดให้แม่นิมมานรดีเป็นคนรักที่แท้จริงของท่านอสุราแบบไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้แย้งเหตุผลของตัวเองนั่นอีก

    ทั้งที่มันคือเรื่องจริง แต่ทำไมถึงได้ฟังแล้วรู้สึกน่าโมโหก็ไม่รู้

    กึก

    เป็นไงบ้าง ได้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้นไหม ?ฉันสะดุ้งนิดหน่อย ที่พอคุณกรองขวัญเดินคล้อยหลังออกไป กลับมีเสียงเข้มของใครอีกคนดังขึ้นมาแทนที แต่เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร ฉันจึงทำเพียงแค่ส่ายหน้า ก่อนตัดสินใจละสายตาเคลื่อนมองหน้าเจ้าของคำถามแบบตรงๆ

    พอได้เห็นหน้าเท่านั้นหล่ะ จากที่เคยรู้สึกเฉยๆ ต่อการมาก็มีอันต้องเปลี่ยนไป เมื่อผู้มาเยือนไม่ได้แต่งกายอำพรางตัวเองจากการเป็นบุคคลของสารธารณะเลยแม้แต่นิดเดียว

    ทั้งที่ฉันรู้สึกตกใจกับการมาแบบเปิดเผยตัวตนของเขา แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้คิดเหมือนกัน เมื่อเขตแดนยังยังคงทำตัวเป็นปกติ ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างฝั่งตรงกันข้าม ซ้ำยังเอ่ยถาม แม้ว่ายามนี้จะมีสายตาหลายคู่จับจ้องมายังโต๊ะของเรา

    แย่เลยนะ ว่าแต่ไอ้ข้อมูลที่เธออยากได้น่ะ มันเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นวะ ?

    พอดีคุณกรองขวัญชอบอ่านพงศาวดารเดียวกับฉันน่ะ แถมเธอยังดูเหมือนจะรู้อะไรเยอะด้วย ฉันก็เลยเธอนัดมาอ่ะ มีอะไรหรือเปล่า ?ว่าจบ เขตแดนที่เคยให้ความสนใจมาทางฉัน ก็รีบเบี่ยงสายตามองไปยังประตูทางออกของร้านอีกครั้ง พร้อมเพรียงกับคุณกรองขวัญซึ่งกำลังเดินพ้นตัวร้านออกไปพอดี

    ฉันไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนั้นเท่าไหร่…” และนั่นนั่นดูเหมือนจะเป็นคำตอบของเขา

    ทำไมล่ะ ?หนนี้พอถาม เขตแดนก็ยอมละลดสายตาจากเป้าหมายกลับมาที่โต๊ะของตนเองอีกครั้ง

    ไม่รู้สิ ไม่ถูกชะตาล่ะมั้ง…” และทันทีที่เราสองคนมีโอกาสได้สบสายตากันอีกครั้ง ใบหน้าเรียบเฉยของเขตแดนก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มร้ายๆ ดังเดิมให้เห็น เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ใช้พูด ดีใจเนี่ย ที่เธอนัดฉันมาหาวันนี้ มีใจให้แล้วใช่ป่ะ ?

    ตลกเถอะ! นายเองไม่ใช่หรือไง ที่โทรมาตื้อฉันน่ะ?ฉันแย้ง แต่ถึงจะบอกว่าแย้งก็เถอะ แต่เอาเข้าจริง คนที่อนุญาตให้เขตแดนมาหาที่ร้านแห่งนี้มันก็คือตัวฉันเองนั่นแหละ

    เหตุมันเกิดขึ้นเมื่อคืน หลังจากที่ท่านอสุราจากไป ความคิดที่ไม่ยอมอยู่สุขของฉันบวกกับความรู้สึกหลายๆ อย่างมันทำให้ฉันตัดสินใจส่งข้อความหาคุณกรองขวัญเพื่อพูดคุยเรื่องนัด ซึ่งจังหวะเดียวกันนั้นเขตแดนก็โทรเข้ามาพอดี

    แม้เมื่อคืนฉันจะไม่ได้ร้องไห้เพราะการจากไปของสิ่งเร้นลับที่ชื่นชอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าความรู้สึกหลังจากนั้นมันหน่วงจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งการได้พูดคุยอย่างเป็นกันกับเขตแดนในช่วงเวลานั้น มันก็เป็นตัวช่วยชั้นดีที่พอจะเยี่ยวยาอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติได้

    ก็คนมันจริงจังนี่หว่า ก็เลยอยากเจอทุกวัน…” อีกหนที่เขตแดนกล่าวขึ้นซ้ำยังเสียงดัง แบบไม่กลัวว่าคนในร้านจะได้ยิน ไม่ได้ดูสัมภาษณ์ของฉันบ้างไงวะ ฉันบอกกับพวกนักข่าวเลยนะ ว่าชอบเธอน่ะ

    นายเป็นบ้าหรือไง ทำไมไปพูดแบบนั้นล่ะ!?”

    ก็แทนหลักประกันไง…” คราวนี้รอยยิ้มร้ายๆ บนหน้าของเขตแดนเริ่มจางลง และเปลี่ยนเป็นนิสัยมือไวเข้ามาแทนที เขาเอื้อมแขนฉวยมือฉันไปกุมไว้บนโต๊ะ และกล่าวขึ้นต่อเติมคำพูดที่ขาดหายไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ว่าหลังจากนี้ จะมีแค่เธอคนเดียวถ้าเธอยอมกลับมาหาฉัน…”

    เพล้งง!

    ว้ายยย!” ทว่า คำหวานของเขตแดนก็ไม่อาจดึงดูดให้ความสนใจทั้งหมดที่มีหยุดฟังได้นานนัก เมื่อเสียงโหวกเหวกของพนักงานเสิร์ฟภายในร้านดังขึ้น พลอยให้สายตาที่เราเคยมีต่อกัน รีบเหลียวมองไปยังต้นเสียงพร้อมกับเหมือนกันเหมือนนัดกันมา

    แล้วมันก็เป็นฉันเองที่ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่ใช่เพราะเสียงหวีดร้องของพนักงานสาวที่เผลอทำถ้วยชามในมือตกพื้น แต่เป็นร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงจุดเกิดเหตุต่างหาก

    ผมช่วยครับ…” ทั้งที่ระยะห่างระหว่างชายคนนั้นอยู่ไกลจากบริเวณโต๊ะที่ฉันกับเขตแดนนั่งออกไป ทว่า หูกลับฟังเสียงของเขาชัดเจนราวกับว่าเราทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะกับนัยน์ตาคมของชายคนนั้นที่เอาแต่ชำเลืองมองมายังโต๊ะที่ฉันกับเขตแดนนั่งอยู่ แม้ว่าเวลานั้นเขากำลังช่วยพนักงานเสิร์ฟหญิงเก็บข้าวของที่ทำตกหล่นอยู่พื้นก็ตาม

    นั่นลูกพี่ลูกน้องเธอป่ะ ?ยิ่งด้วยเขตแดนถามขึ้นคล้ายกับจะตอกย้ำภาพที่ปรากฏต่อสายตาด้วยแล้ว ความรู้สึกที่เคยสงบลงไปตั้งแต่แต่เมื่อคืน ก็คล้ายกับจะเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างไม่อาจอดกลั้น

    สายตาเอง ก็เหมือนกำลังถูกภาพของเขาสั่งให้จับจ้องอยู่เช่นนั้นราวกับมีมนต์สะกด และฉันไม่สามารถละสายตาไปทิศทางอื่นได้เลย แม้หูจะได้ยินเสียงของเขตแดนบ่นขึ้นแบบไม่สบอารมณ์ก็ตาม

    อะไรวะ นี่นอกจากฉัน เธอนัดไอ้หมอนี่มาด้วยงั้นเหรอ !?” ยิ่งโฟกัสสายตาไปยังใบหน้าคมคายแสนคุ้นเคยของเขามากเท่าไหร่ ทุกอย่างภายในร้านก็คล้ายกับจะเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงไปเสียหมด พร้อมเพรียงโสตประสาทการรับรู้ที่ค่อยๆ ตัดบรรยากาศรอบตัวให้เงียบลงจนหลงเหลือเพียงเรา

    ฉันได้ยินเสียงลมหายใจหายของตัวเองสลับดังกลับเสียงจังหวะการเต้นหัวใจที่อยู่ภายใน ได้เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าขณะผู้เป็นเจ้าของเริ่มขยับตัวลุกขึ้นจากพื้นหลังจากช่วยพนักงานเก็บจานชามที่หล่นจนเสร็จ รวมถึงฝีเท้าหนักๆ ที่อีกฝ่ายเหยียบตรงเข้ามาพร้อมแรงสั่นเทือนแผ่วๆ

    ตึกตึก

    ซ้ำทุกเสียงย่างเท้าที่ใกล้เข้ามามากขึ้นนั่น ก็ช่างบีบหัวใจของผู้ที่ได้ยินเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อเผลอนึกหวนถึงคำพูดก่อนจากลาเมื่อเย็นวานระหว่าง

    ตึกตึกตึก

    หากสิ่งที่แม่ทันทิมเล่าความมาทั้งหมด มิใช่เรื่องโป้ปดเห็นทีคงต้องเป็นเช่นนั้น

    ทั้งที่พูดไว้แบบนั้น แล้วทำไมล่ะ

    ทำไมเขาถึงยังอยู่ที่นี่

    กึก

    เสียงฝีเท้าที่ก้าวมาหยุดลงตรงหน้า ทำฉันเผลอสะดุ้งเล็กน้อยอย่างผู้ทำตัวไม่ถูก ถึงจะเผลอตอบรับการมากับระยะที่ใกล้ขึ้นระหว่างเราออกไปแบบนั้น ทว่า สายตาก็ไม่ยอมลดละไปทิศทางอื่นใด นอกเหนือสีหน้านิ่งสนิทของเขาได้อยู่ดี และยังคงจับจ้องอยู่แบบนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจเอื้อมมือแตะลงบนศีรษะอย่างถือโอกาสแบบไร้คำพูดคำจาก็ตาม

    และเพียงแค่สัมผัสเดียวที่ท่านอสุราใช้จรดลงบนศีรษะเท่านั้น ความอึดอัดที่เคยพกจนหนักตัวก็คล้ายจะเริ่มจางหายไปจนกลายเป็นความเบาหวิวในอกให้เข้ามาทดแทน เช่นเดียวภาพเหตุการณ์ภายในร้านอาหารซึ่งไร้เสียงพูดคุยใด ที่ยามนี้เริ่มบิดเบี้ยวควบคุมไปกับเวลาที่เหมือนจะหยุดเดิน

    ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!

    หากแต่นั่นไม่ใช่กับเสียงฝีเท้าหนักๆ ซึ่งดังขึ้นในหัว และเสียงเปล่าประกาศของหญิงสาวที่ฉันไม่คุ้นหู

    พวกเจ้ารู้กันหรือยัง ว่าแม่นิมมานรดีกับท่านอสุรา ตกลงมั่นหมายจักเชื่อมแดนสรวงกับนครยักษ์เป็นแผ่นเดียวกันพวกเขากำลังพูดคุยถึงเรื่องบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ผู้ซึ่งได้ยินเผลอเกิดอาการสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัว ครั้นเมื่อคิดจะสะบัดตัวให้หลุดจากภาพและเสียงมายาที่เกิดขึ้น

    ทุกอย่างก็สายเกินการ ไปเสียเสียแล้ว

    อ๊ะ!” เมื่อวินาทีที่ร่างกายเริ่มกลับมาขยับได้เป็นปกติ ภาพของท่านอสุราในสภาพปุถุชนปกติธรรมดา รวมถึงภาพบรรยากาศภายในร้านอาหารเบื้องหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่กว้างภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งถูกประดับตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้จากทองอย่างโอ่อ่า

    โต๊ะอาหารที่ควรวางตั้งอยู่ตรงหน้าเอง ยามนี้ก็ได้อันตรธานหายไป เหลือเพียงตะกร้าหวายสำหรับใส่ดอกไม้ ไม่เหลือวี่แววของเขตแดนหรือผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในร้านอาหารคนอื่นๆ นอกเสียจากหญิงสาวน่าตาสะสวย อายุอานามไล่เลี่ยกัน แต่งกายด้วยผ้าซิ่น ห่มแพรจีบและห่มสไบปักสีสันต่างกันไปเข้ามาแทนที่

    ภาพน่าตกใจเบื้องหน้า ส่งผลให้ฉันรีบหลุบตามองสภาพเครื่องแต่งกายของตนเอง ก่อนพบว่าเสื้อเชิ้ตสีสะอาดตากับกางเกงยีนขายาวในแบบที่ชอบนั้น เวลานี้ไปถูกเปลี่ยนเป็นผ้าซิ่นเช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆ ทว่า เวลาสำหรับคิดทบทวนทุกสิ่งก็ไม่ได้มีมาให้เยอะนัก เมื่อจังหวะเดียวกัน เสียงเรียกแสนอ่อนหวานของหนึ่งในสตรีที่นั่งรวมกลุ่มกลางโถงกว้างเอ่ยขึ้น

    แม่จันทน์ผา…’ และฉันเหมือนถูกเสียงเรียกของผู้หญิงคนนั้นชักจูงให้เงยหน้าขึ้นอย่างไม่อาจบังคับร่างกายได้ มิปลื้มอกปลื้มใจหรอกรึ ที่ผู้พี่จักได้อภิเษกสมรสเคียงคู่กับอนุชาเจ้าเมืองเช่นนี้

    รู้สึกได้ว่าสีหน้าที่กำลังแสดอยู่ ณ. ช่วงเวลานี้นั้น มีเพียงการขยับยิ้มเล็กน้อยมุมปากแทนการตอบโต้ผ่านวจี 

    ฉันทำเพียงแค่นั้น และหลุบตาลงมองกลับไปยังมือตนเองที่กำลังบรรจงเสียบดอกพุดลงกับเข็มสำหรับร้อยมาลัย ที่บ้าก็คือ ทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและถูกแสดงออกผ่านการกระทำนั้น ฉันไม่สามารถบังคับหรือควบคุมตัวเองให้ฝืนทำสิ่งที่แตกต่างไปจากที่เกิดขึ้นได้เลย 

    และถึงแม้ร่างกายจะตกอยู่ในสภาวะเหนือการควบคุม กระนั้นแล้วยามเมื่อปลายนิ้วถูกความแหลมคมจากเข็มร้อยมาลัยทิ่มแทง ฉันกลับรู้สึกเจ็บได้ราวกับว่ากำลังประสบพบเจอเรื่องราวเหล่านั้นด้วยตนเอง

    แต่ว่า ความเจ็บปวดบริเวณปลายนิ้วตอนนี้นั้น มันกลับเทียบไม่ได้เลยกับอาการปวดแปลบที่เกิดขึ้นในอก โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำถามประโยคต่อมาของหนึ่งในผู้หญิง ซึ่งฉันคาดว่าคงเป็นนางสวรรค์

    ‘ว่าแต่แม่จันทน์ผาเถิด ครั้นเมื่อฟ้ามืด ยังจักกลับไปอยู่ที่เมืองมนุษย์เช่นคืนวานอีกหรือไม่ ?’ สิ้นเสียงถามไถ่ด้วยความใคร่อยากรู้ของนางสวรรค์ ร่างกายซึ่งไร้การควบคุมก็เริ่มแสดงการตอบรับต่อเสียงพูดคุยที่ได้ยินด้วยการวางเข็มสำหรับร้อยมาลัยกลับคืนลงบนพานทองตรงหน้า ก่อนตัดสินใจขยับตัวลุกขึ้นและหันหลังก้าวเท้าเดินออกจากห้องโถงกว้างไปทั้งๆ อย่างนั้น

    ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากเดินคล้อยหลังออกจากห้องโถงกว้างมาแบบนั้น ตัวเองกำลังมุ่งตรงไปยังทิศทางใด รู้แค่ว่าในอกเวลานั้นกำลังร้อนรนระคนกับความเศร้าที่ไม่ลงจางลงเลยแม้แต่สักวินาทีนับตั้งแต่เริ่มมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดเหล่านี้

    ตึก! ตึก! ตึก!

    แต่ไม่นานนักหลังจากที่ก้าวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาได้ครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดก็ได้มาหยุดลงบริเวณพื้นหญ้าภายในสวนกว้างด้านหลังวังในที่สุด

    กึก

    เสียงสีเครื่องสายแสนอ่อนหวานหากแต่ขณะเดียวกับฟังดูโศกเศร้า ทำเอาฉันที่เพิ่งวิ่งมาถึง รีบลี้ไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ราวกับผู้มีความผิด หากแต่นั่นกลับไม่ใช่กับสายตาที่ยังพยายามลอบชำเลืองไปยังผู้บรรเลงซอเสียงหวานในลักษณะหลบๆ ซ่อนๆ

    ภาพที่ปรากฏตลอดการแอบลอบมองครั้งนี้ นอกจากจะเป็นภาพของท่านอสุราขณะกำลังสีเครื่องสายในมือแล้ว บนพื้นที่ว่างข้างกายเขายังประกอบด้วยหญิงสาวหน้าตาสะสวย นุ่งห่มผ้าซิ่น ห่มแพรจีบและห่มสไบปักสีนวลพร้อมด้วยประดับกายสีทองเข้าคู่กันดีกับเครื่องทรงที่ท่านอสุรากำลังสวมใส่

    ดูแล้วไม่ต่างไปจากชุดแต่งงานในสมัยปัจจุบันเลยแม้แต่นิด

    ลำพังความเจ็บที่เกิดขึ้นในอกก่อนหน้านี้ มันก็มากพอแล้วที่ร่างกายจะรับไหวจนพลอยให้ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่รู้สึกตามไปด้วย แต่มันเทียบเลย ยามต้องเห็นภาพของชายหญิงเบื้องหน้าจากด้านหลังร่มไม้ใหญ่แบบนี้ และคิดว่าคงไม่ใช่ฉันเท่านั้นที่รู้สึก แต่คิดว่าผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างนี้เองก็เช่นกัน ร่างกายถึงได้แสดงการตอบรับความรู้สึกเหล่านั้น ด้วยการใช้ปลายเล็บจิกฝังลงกับเนื้อไม้จนสั่นไปทั้งตัวแบบนี้

    ยังคงบรรเลงเครื่องสายได้เสนาะดั่งเช่นทุกคราเลยนะเจ้าคะ…’ แม้เรือนร่างจะถูกความเจ็บปวดในแบบที่ไม่เคยพบเจอกัดกินไปทั่วทุกส่วนเช่นนี้ ถึงอย่างนั้น โสตประสาทการรับฟังยังคงใช้การได้ดี ยังคงได้ยินเสียงเสียงพูดคุยของคู่ชายหญิงตรงหน้าอย่างชัดเจนราวกับว่านั่งร่วมวงสนทนาอยู่เคียงใกล้หากแต่เหตุใด เสียงเครื่องสายครานี้จึงฟังดูเศร้าสร้อยเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ?

    อาจเพราะเครื่องสาย สามารถช่วยส่งห้วงอารมณ์ของผู้บรรเลงได้กระมัง หนนี้เสียงบรรเลงจึงคละคลุ้งไปด้วยความเศร้าเช่นนี้

    หมายความว่าท่านพี่กำลังเศร้าโศกยามต้องบรรเลงเครื่องสาย อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?

    แล้วแม่นิมมานรดีเล่า ไม่รู้สึกเศร้าบ้างรึ ?

    เหตุใดน้องจึงต้องเศร้าด้วยละเจ้าคะ ในเมื่อหาได้มีเหตุมีผลอันสมควรให้รู้สึกเช่นนั้นไม่…’

    ก็เรื่องแม่จันทน์ผา น้องสาวแม่นิมมานรดีอย่างไรเล่าสิ้นเสียงบอกกล่าวของท่านอสุรา กลางอกก็เริ่มเกิดอาการปวดแปล๊บขึ้นอีกหน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าคลื่นใหญ่แล่นผ่าน เช่นเดียวกับน้ำใสๆ ที่รื้นผ่านกรอบตา มิรู้ว่ายามนี้จิตนึกคิดแม่จันทน์ผาจักอยู่ตกในห้วงความรู้สึกเช่นไร หลังพานพบเรื่องเลวร้ายมาเช่นนั้น

    เป็นห่วงน้องสาวหม่อมฉันอย่างนั้นรึเจ้าคะ ?

    หากพี่กล่าวเช่นนั้น แม่นิมมานรดีคงมิเคืองขุ่นใจดั่งเช่นที่ผ่านมาใช่หรือไม่ ?

    จะ เจ้าค่ะ หม่อมฉันเองก็พะวงใจเรื่องแม่จันทน์ผามิต่างกันสิ้นเสียงตอบรับของผู้ถูกถามเบื้องหน้า มันก็พลอยให้ในหัวเผลอนึกถึงคำพูดของท่านอสุราที่เคยกล่าวไว้ในโลกความจริงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

    มันฉุดนางสวรรค์ที่มันหมายตาลงกลับไปยังเมืองมนุษย์ ข่าวลือว่ามันปลุกปล้ำกระทำย่ำยีนางสวรรค์ที่หมายตาทำเมีย ทว่า จากนั้นไม่กี่ชั่วยาม มันก็ยอมปล่อยนางสวรรค์อัปโชคตนนั้นกลับขึ้นแดนสรวง ที่พิลึกพิลั่นเห็นทีคงเป็นนางสวรรค์ตนนั้น…’ 

    และถ้าฉันตีความจากคำพูดของคนทั้งคู่เมื่อครู่ไม่ผิด สิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ในช่วงเวลานี้ น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่แม่จันทน์ผาถูกชายชาวบ้านที่ชื่อวิรุฬฉุดลงจากสรวงตามคำบอกเล่าของท่านอสุราเป็นแน่

    ทั้งที่พรหมจรรย์ถูกพรากจนมิเหลือชิ้นดีและควรกลับคืนสู่สภาพปุถุชนธรรมดา หากแต่นางกลับพาตนเองกลับคืนสู่สวรรค์ได้ราวกับว่าเนื้อกายมิเคยแปดเปื้อน…’

    ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่างนั้นก็แปลว่า ร่างกายของแม่จันทน์ผาตอนนี้ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเฉกเช่นนางสวรรค์นางอื่นๆ บนสรวงแล้วน่ะสิ แล้วเธอก็คงจะเจ็บปวดมาก ที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นตัวเอง....

    แต่แล้วในช่วงที่สมองกำลังพยายามประมวลผล จากสถานการณ์ คำบอกเล่า และเสียงพูดคุยอยู่นั้น ภาพของสวนขนาดใหญ่และวังอลงกรณ์ที่เคยปรากฏต่อสายตาก็มีอันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อภาพรอบกายเริ่มหมุนเปลี่ยนชวนเวียนหัว ก่อนค่อยๆ กลับคืนเป็นรูปเป็นร่าง กลายเป็นสถานที่อีกแห่งซึ่งดูต่างออกไป มีลักษณคล้ายกับห้องนอน

    หากแต่สถานที่แปลกแทรกเปลี่ยนเข้ามานั้น ก็ตามมาด้วยเสียงตวาดกร้าว

    เอ็งอยากโดนโทษทัณฑ์งั้นรึ นังจันทน์ผา! ข้าทำให้เรื่องของเอ็งมันลงเอย เช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่รึ!? ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือภาพของหญิงสาวในชุดนุ่มห่มสีนวลซึ่งเป็นคนเดียวกันกับที่เคยนั่งคู่เคียงชิดใกล้กับท่านอสุราใต้ต้นไทรก่อนหน้า หรือเอ็งคิดจักตะเกียกตะกายขึ้นหาองค์เหนือหัวด้วยเรือนร่างสกปรกเช่นนั้นเล่า !?’

    เธอคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนแท่นไม้ประดับประดาด้วยทองคำใกล้เคียงกับเตียงนอนขนาดใหญ่ พลางชี้นิ้วใส่หน้าฉัน ที่ยามนี้นั่งอยู่ในท่าพับเพียบอยู่บนพื้นไม้ราวกับเป็นผู้ต่ำต้อยกว่า และเหมือนเคย ฉันคงไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้ เช่นเดียวกับคำพูดที่ลอดดังผ่านปาก

    น้องหาต้องประสงค์ใช้เรือนร่างแปดเปื้อนตะเกียกตะกายขึ้นหาองค์ท่านตามดั่งวาจาพี่ไม่…’ ซึ่งคำพูดที่ลอดผ่านปากอย่างไร้การบังคับเวลานี้เอง มันเลยทำให้ฉันมั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเก่าว่า หญิงสาวที่นั่งชี้หน้าอยู่เวลานี้ คือใคร พี่นิมมานรดีเจ้าขาน้องเพียงหมายบอกกล่าวความจริงต่อองค์เหนือหัวแต่เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถิดนะเจ้าคะ…’

    เอ็งฟังมิรู้ความงั้นรึ…’ และเพราะเริ่มรู้ว่าเธอคือใคร มันทำให้ภาพลักษณ์อ่อนหวานและอ่อนช้อยสมดั่งเป็นนางสวรรค์คนรักน้องชายเจ้าเมืองในแบบที่ฉันเข้าใจผ่านกลอนนั้น ดูผิดคาดไปเสียหมด หากแต่ขณะเดียวบนสนทนาของคนทั้งคู่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยคล้ายกับพบเจอที่ไหนมาก่อน หากถึงฤกษ์ยามเมื่อใด เมื่อนั้นพี่จักเป็นผู้ทูลบอกกล่าวด้วยตนเอง

    ที่บ้าก็คือ ฉันดันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้พูดคุยเรื่องแม่จันทน์ผากับคุณกรองขวัญที่ร้านอาหารมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    คล้ายเหลือเกิน...

    แล้วเมื่อไหร่เล่าเจ้าคะ หรือน้องต้องรอคอยตามคำบอกกล่าวของพี่เช่นนี้ไปจนกว่าชีวาจักวอดวายอะไม่ทันที่เสียงของฉันจะเอ่ยจนจบความดี ฝ่ามือของผู้ฟังซึ่งดูไม่สบอารมณ์นักก็พุ่งเข้ากระทบเข้าใส่บนใบหน้าอย่างรวดเร็วจนทุกเสียงเงียบลง แล้วหันเหไปตามแรง

    เพียะ!

    หากเอ็งยังเถียงคำมิตกฟากใส่พี่เช่นนี้ เราก็มีสิ่งใดต้องเจรจาต่อกันอีก ไสหัวออกไป!’ หูน่ะได้ยินเสียงต่อว่าและเสียงขับไสไล่ส่ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดระบมไปทั่วทั้งแก้ม จนต้องใช้มือข้างถนัดขึ้นประคองใบหน้าตนเองไว้เช่นกัน

    หากพูดกันตามโลกสมัยใหม่ สิ่งที่ฉันควรทำหลังจากถูกกระทำใส่แบบนั้น คงไม่พ้นการเอาคืนหรือตวัดสายตากลับไปจ้องมองหน้าผู้ที่ริเริ่มกระทำเรื่องเลวร้ายใส่กันก่อน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั่นกลับไม่ใช่กับตัวฉันตอนนี้

    หากมิเถียงและเอาแต่เฝ้ารอคอย มิว่าชาตินี้หรือชาติไหน ปรารถนาในอกก็คงมิประสบผลจริงหรือไม่เจ้าคะ…’ แม้เสียงที่ลอดผ่านปากของฉันนั้นยังคงความนุ่มนวล ราวกับไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ว่าทุกถ้อยคำกลับแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเก็บงำไว้

    เอ็งพูดเช่นนี้ หมายความเช่นไรนังจันทน์ผา !?’

    หมายความดั่งที่น้องกล่าวถ้อย พี่เองก็รับรู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือเจ้าคะ ?แต่ทุกวลีที่ลอดผ่านเวลานี้ มันคืออาการเจ็บใจที่ถูกส่งผ่านความรู้สึก มิเคยเลย มิเคยมีสักเพลาที่พี่จักนึกถึงสายเลือด ทำราวกับคำมั่นระหว่างเราหาได้มีความหมาย ลวงหลอก ปั้นคำว่ารอให้หลงเชื่อสุดหัวใจ…’

    นังจันทน์ผา !’ วินาทีที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น ภาพของห้องนอนแสนโอ่อ่าก็ค่อยๆ เกิดการบิดเบี้ยวขึ้นเป็นหนที่สอง ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังทันเห็นนะ

    เห็นภาพสีหน้าบิดเบี้ยวบ่งบอกความไม่พอใจ ขณะลุกพรวดพราดขึ้นจากแท่นบรรทม พุ่งตัวหวือเข้าใส่ด้วยความว่องไวของผู้ฟังน่ะ 

    ฟึ่บ !

    ความตกใจจากสิ่งที่ได้เห็น ส่งผลให้ฉันรีบเอี้ยวหน้าหลบหลีกจากฝ่ามือที่อีกฝ่ายง้างขึ้นพร้อมทั้งหลับตาปี๋ ทว่า สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลำดับต่อไปนั้นกลับนิ่งสนิทไปมันเสียอย่างนั้น

    ด้วยความที่ทุกอย่างเงียบสงบไป มันเลยทำให้ฉันตัดสินใจปรือตาขึ้นมองภาพเบื้องหน้าขึ้นอีกครั้งเพื่อดูลาดเลา ก่อนพบว่าภาพบรรยากาศแสนแปลกตาของสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ควรมีอยู่จริง เวลานี้ได้ถูกฉาบไว้ด้วยสีดำจนมืดสนิทไปทั้งหมดเสียแล้ว

    ท่ามกลางความมืดที่ไร้ทางออกอันแสนเงียบสงัดและหนาวเหน็บ ที่ตรงนั้นมีฉันกำลังยืนอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง บนเนื้อตัวเวลานี้ไม่ได้สวมใส่ชุดผ้าซิ่นดังเช่นที่มองเห็นในตอนแรกอีกแล้ว แต่เป็นเครื่องแต่งกายตามยุคสมัยปัจจุบันที่ฉันสวมใส่ไปที่ร้านอาหารเมื่อตอนสายของวันนี้เข้ามาแทนที่ นอกจากนั้นแล้วร่างกายซึ่งเคยตกอยู่ในสภาวะไร้การควบคุมเอง ยามนี้ก็ดูท่าจะกลับคืนปกติด้วยเช่นกัน

    อาจเพราะเคยเกิดในลักษณะนี้กับฉันมาหลายต่อหลายครั้งแล้วล่ะมั้ง ในหนนี้ฉันจึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรกับสิ่งที่ได้พบเห็นมากนัก ตรงกันข้าม กลับจดจำทุกภาพและความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาได้อย่างชัดเจน ราวกับเกิดขึ้นกับตัวเอง

    ซึ่งนี่อาจจะเป็นภาพนิมิตสิ่งที่ท่านอสุราเลือกให้ฉันมองเห็นเหมือนกับทุกๆ ครั้ง

    กึก

    แต่แล้วไม่นาน ความเงียบท่ามกลางฉากหลังสีทมิฬ ก็มีอันต้องถูกขัดคั่นด้วยเสียงฝีเท้าย่ำน้ำของใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้น ซึ่งเสียงดังกล่าวก็สามารถหันเหความสนใจของฉันให้มองผ่านความมืดมุ่งไปยังทิศทางของเสียงได้แทบทันทีเช่นกัน จนได้พบเข้ากับหญิงสาวอีกคน ซึ่งมีระดับความสูงพอๆ กันกำลังยืนอยู่

    เธอคนนั้นมีผิวขาวซีด ตามเนื้อตัวเปียกชุ่มและไปด้วยบาดแผล แต่งกายด้วยผ้าซิ่นห่มสไบแบบที่ฉันรู้สึกชินตา หากแต่ผมสีดำขลับที่ควรเกล้ามวยสูงเวลานี้นั้นกำลังถูกปล่อยพะรุงพะรังจนปิดใบหน้าปิดตา 

    กึก...

    ทั้งที่สภาพของผู้หญิงคนดังกล่าวดูน่ากลัวและชวนหวาดหวั่นไม่ต่างจากภาพฝันครั้งก่อนนัก ทว่า ร่างกายและความคิดกลับไม่ได้คิดที่จะดิ้นรนหลบหนีเหมือนคราวก่อน แต่เลือกที่จะย่นระยะห่างระหว่างเราลงด้วยการเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหาหล่อนด้วยตัวเองราวกับถูกดึงดูดมันเสียอย่างนั้น

    ตึกตึก

    ไม่รู้ว่าเพราะภาพและความรู้สึกทั้งหมดที่ได้รับมาเมื่อเมื่อครู่หรือเปล่า ถึงได้แปรเปลี่ยนความขี้ขลาดและหวาดกลัวในแบบที่ควรจะมีให้กลายมาเป็นความกล้าที่จะเข้าหา มากกว่าที่จะพาตัวเองหลบหนี

    ฮึก…’ ยิ่งเดินเฉียดกายเข้าใกล้หญิงผู้นั้นมากเท่าไหร่ นอกจากเสียงฝีเท้าของตัวเองที่ดังสะท้อนไปทั่วทุกทิศแล้ว ฉันยังได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วๆ ดังลอดผ่านหญิงสาวตรงหน้าอีกด้วยซึ่งเสียงสะอื้นของเธอในเวลานั้น มันก็พานให้ผู้ที่ได้รับฟังรู้สึกโศกเศร้าตามอย่างไม่อาจห้ามได้ แล้วมันก็เป็นแบบนั้น จนกระทั่งปลายเท้าก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอในที่สุด

    กึก...

    การเผชิญระหว่างเราสองคนนั้นเวลานี้ไร้ซึ่งคำพูดจาใด มีเพียงสะอื้นแผ่วๆ ของเธอเท่านั้นที่ดังอยู่ และถึงไม่ได้ลั่นวาจาใดต่อกัน ถึงอย่างนั้นจิตใต้สำนึกก็ยังสามารถรับรู้ได้เราทั้งคู่คือใคร

    เพราะรู้สึกแบบนั้น มือทั้งสองข้างจึงถูกยื่นออกไปข้างหน้า และใช้มันช่วยจัดแจงปรอยผมชุ่มน้ำบนใบหน้าสวยของหญิงสาวตรงหน้าอย่างถือโอกาส ซึ่งการทำแบบนั้นมันเลยทำให้ฉันสามารถมองเห็นองค์ประกอบบนดวงหน้าสวยของอีกฝ่ายได้ชัดเจนมากขึ้น และคิดว่าเธอองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันยามต้องสบสายตาต่อกันแบบนี้

    ไม่รู้เพราะว่าเราคือกันและกันหรือเปล่า ตลอดเวลาที่ต้องสบตากันและกันแบบนี้ ฉันถึงสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้แม้ไร้ซึ่งเสียงใดช่วยบอกกล่าว ด้วยเพราะรับรู้ ฉันจึงกลายเป็นผู้ที่ทำลายความเงียบระหว่างเราลงด้วยคำถามตามความรู้สึกสั้นๆ 

    แผลพวกนี้ เจ็บมากหรือเปล่าแม่จันทน์ผา…’ ก่อนได้รับการตอบกลับมาด้วยการพยักหน้าน้อยๆ จากผู้ถูกถาม และนั่นดูเหมือนเป็นคำตอบของเธอ

    ‘มิทัดเทียมเท่าความเชื่อใจหรอกเจ้าคะ...’ 

    ผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของชื่อแสนแปลกหูอย่าง จันทน์ผา

    Talk1 ตอนนี้มีคำเดียวให้กรองขวัญ คือ จ๊ะ 555555 ตั้งแต่ในเรื่องท่านท้าวอสุเรนทร์จนถึงเรื่องนี้ เราก็ยัง จ๊ะ ให้นางอยู่
    Talk2 ยักษ์อะไร บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป! แถมยังซื่อบื้อแยกคนรักตัวเองไม่ออกอีก!
    Talk3 คุยกันเอง คบกันเองเลยสิ ตัดยักษ์ทิ้งไปเลยยยยย #ผิด

    ___________________________________________________________ 

    ไม่เม้นก็ได้แต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา จุ้บ ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา

    ปล. หากเจอคำผิดหรือตรงไหนอ่านแล้วแปลกๆ เม้นบอกกันได้เน้อ T__T


    คุณเชื่อเรื่อง 'ยักษ์' หรือไม่?
    อยากรู้จักยักษ์ตนไหนมากขึ้น จิ้มที่รูปด้านบนเลยจ้า


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่หน้าท่านอสุราโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือกดหัวใจให้เราก็ได้น้าา 
    v
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×