ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HUNT วิกลคลั่งสั่งรัก l Creepypasta SET

    ลำดับตอนที่ #6 : HUNT05 l สั่งรักครั้งที่5 ตอน ภาพหลอน {อัพ100%}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.94K
      223
      10 ก.ค. 61

    * หากรำคาญเสียงเพลงก็ปิดได้เน้อ *


    EP05

    เวลา 23.20 นาฬิกา

    ติ่ก ต่อก...

    14 วันเกิดฉัน งั้นวันจันทร์เราโดดเรียนไปเที่ยวสวนสนุกกันไหม?

    ติ่ก ต๊อก... ติ่ก ต่อก...

    ติ่ก... ต่อก...

    ได้สิคะ วันเกิดเพื่อนทั้งที โดดก็โดดค่า!’

    งั้นวันจันทร์นี้ เจอกันหน้า Dream Land ตอน 10 โมงเช้านะแก

    ติ๊ก... ต่อก... ติ๊ก... ต่อก...

    ติ๊ก... ต่อก...

    ฉันจะฆ่ามัน!!...มะ ไม่จริง...ฉะ ฉันไม่ได้ทำ...ไม่!!!’

    ห้อง B007 ต้องการโปรโพฟอล[1]โดยด่วน ผู้ป่วยอาละวาดใหญ่แล้วค่ะ!’

    ติ๊ก ต่อก...

    ขอบคุณนะคะคุณหมอที่มาทัน ไม่งั้นผู้ป่วยคนอาละวาดหนักกว่านี้แน่ๆ

    ไม่เป็นไรครับ พอดีผมตั้งใจมาส่งข่าวน่ะ ว่าตอนนี้ที่ประเทศไทย ดูเหมือนคนร้ายจะยอมรับสารภาพแล้วล่ะครับว่าพวกเขาตั้งใจกระทำการมิดีมิร้าย Ms. Sirimarin ที่สวนสนุกแห่งนั้นจริง หนึ่งในคนกลุ่มนั้นที่ถูกจับ รู้สึกจะชื่อ Mr.Sor Sirisatt’

    ‘Ms. Sirimarin น่าสงสารนะคะคุณหมอ เธอคงหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ดังกล่าวมากจริงๆ ถึงมีสภาพเป็นแบบนี้

    นั่นสิครับ คงไม่มีใครอยากเกิดมาพร้อมอาการทางประสาทแบบนี้หรอก...

    ติ๊ก... ต๊อก...

    นับตั้งแต่กลับถึงห้อง ฉันก็พาตัวเองทิ้งตัวดิ่งลงสู่ความอ่อนนุ่มของที่นอน จ้องสู้ตากับฝ้าเพดานด้านบนอยู่เช่นนั้น โดยปล่อยให้เข็มบอกวินาทีของนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางเสียงของผู้คนมากในอดีตที่ผุดแทรกเข้ามาให้ได้ยิน

    ถ้าอยากรู้... ก่อนที่เสียงดังกล่าวจะย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ทำไมไม่ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองล่ะ?

    เสียงของพี่จ๋าที่ดังแทรกเข้ามาท่ามกลางความเงียบในช่วงเวลานั้น ทำฉันเผลอใช้มือกอดตัวเองแน่น พร้อมกับอาการเจ็บปวดบางอย่างซึ่งเริ่มแสดงผลตามเนื้อตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เพราะเหตุผลมาจากเขา หากแต่มาจากเหตุการณ์ในอดีตที่แทรกซ้อนทับเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกันต่างหาก

    ฉันจะฆ่าเขา!!! ปล่อยสิโว๊ยยย!!!’ ฉันจำความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้น ยามถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านหัวได้เป็นอย่างดี มันเจ็บปวดและทรมานในทุกครั้งที่ร่างกายและข้อมือถูกตรึงไว้กับที่เก้าอี้เหล็ก

    พร้อมด้วยเสียงปลอบปะโลมใจของคนแปลกหน้าที่ฉันจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าตา

    ‘Don’t worry Ms. Sirimarin, everything it gonna be OK (ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะคุณสิริมาริน ทุกอย่างจะดีขึ้น) พวกเขาโกหกฉันด้วยคำลวงเหล่านั้นบนเก้าอี้ไฟฟ้าตัวใหญ่

    กึก...

    ร่างกายเผลอขยับขดตัวเล็กน้อย เมื่ออาการเจ็บปวดดังกล่าวค่อยๆ ถาโถมเข้าใส่ให้รู้สึกเพิ่มขึ้นทุกวินาที

    มันเจ็บไปหมด ฉันร้องไห้ และรู้สึกทรมาน...

    จนกระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าความรู้สึกราวนั้นจะติดฝั่งอยู่กับตัวไปจนวันตาย แต่ว่า เพียงไม่นานนัก อาการทรมานที่เป็นอยู่กลับค่อยๆ ถูกชำระให้ผ่อนเบาลง

    คบกับพี่สิคะ...ด้วยคำพูดของใครคนหนึ่งที่เพิ่งพ้นผ่านมาได้ไม่นาน

    งี่เง่าหรือไง? ฉันมีแฟนแล้วก่อนตามมาด้วยเสียงของฉัน

    รู้ค่ะ เราก็ไม่ต้องคบกันจริงๆ ก็ได้นี่... สลับกับเสียงของเขา พี่ไม่ได้คิดเกินเลยกับเราหรอกค่ะ เพราะนี่มันแค่ข้อเสนอก่อนเริ่มรักษาก็เท่านั้นเอง

    นี่นายจริงจัง? และปิดท้ายด้วยคำพูดที่เขาใช้มันจบบทสนทนาระหว่างเราในช่วงเวลานั้นลงหลังถูกถาม

    ถ้าตกลง... โดยให้สิทธิ์ฉันเป็นคนเลือก หากแต่สิทธิ์ที่ว่ากลับไม่ได้มีตัวเลือกอื่นสำหรับใช้ปฏิเสธแนบมาด้วยพรุ่งนี้ลงมาเจอพี่ที่หน้าหอตอน 7 โมงเช้า

    กึก...

    อ่า...แย่ชะมัด ไอ้ความรู้สึกที่มีต่อคนแปลกหน้าในลักษณะนี้น่ะ


    วันต่อมา...

    เวลา 07.15 นาฬิกา

    หลังจากนอนคิดคำทบทวนพูดงี่เง่านั่นของพี่จ๋ามาตลอดทั้งคืน สุดท้ายความบ้าที่มีในตัวก็มีมากพอที่จะทำให้ฉันลืมตาตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า และพาตัวเองลงมารอยังจุดนัดหมายตามอย่างที่อีกฝ่ายกำหนดไว้

    นี่มันก็สิบห้านาทีมาแล้วที่ฉันพาตัวเองมายืนอยู่ที่หน้าทางลงหอพักด้านนอก ท่ามกลางอากาศยามเช้าที่ค่อนข้างหนาว แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีเจ้าของการนัดหมายที่รอคอยอยู่ก็ปรากฏตัวให้เห็น

    ตึก... ตึก...

    พี่จ๋าโผล่หน้าออกจากโถงประตูหอพัก ก้าวเท้าลงมาตามขั้นบันไดแบบไม่รีบไม่ร้อน และหยุดเท้าลงอีกครั้งในจังหวะที่เขาต้องอาศัยเส้นทางมุ่งตรงไปยังจุดจอดรถ สังเกตได้ว่าเขาแต่งกายด้วยชุดสีดำเฉกเช่นกับวันอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาดูเหมือนจะเป็นหมวกกันน็อกใบใหญ่สองใบซึ่งถูกถูกไว้ในมือ

    ราวกับเขารู้ว่านัดระหว่างเราวันนี้จะไม่ถูกปฏิเสธหรือพังลง...

    นัยน์ตาคมดุดันบอกถึงความไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก เหลือบมองหน้าฉันเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มเล็กๆ มุมปาก พี่จ๋าทำเพียงเท่านั้นก่อนเริ่มก้าวเท้าเดินผ่านหน้าไปยังจุดจอดรถ 

    หากแต่การเคลื่อนไหวที่ทำเป็นเหมือนไม่ได้สนใจหรือมองไม่เห็นการมีอยู่แบบนั้นของเขา กลับมีแรงดึงดูดประหลาดชักจูงผู้เป็นฝ่ายมารอให้ก้าวเท้าเดินตามไปได้โดยง่ายดาย

    ใช่ ฉันเดินตามเขาไป แม้ระหว่างเราจะไม่มีคำพูดชักชวนใดดังขึ้นก็ตาม...

    อาจเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างเรา มันได้ถูกพระเจ้าวางแผนและเตรียมการมาต้นก็เป็นได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราก็เป็นเช่นนั้น ไปจนกระทั่งพี่จ๋าส่งหมวกกันน็อกมาให้ฉันที่เดินตามเข้า ก่อนสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง แล้วพาเราทั้งคู่มุ่งสู่สถานที่ที่น่าสะอิดสะเอียดเช่นสวนสนุกในเวลาต่อมา...

    บรื้นนนนน

    นี่เป็นวันที่สามแล้วที่ฉันต้องพาตัวเองมายังสถานที่ที่เกลียดนักเกลียดหนา นับตั้งแต่กลับมาบ้านเมืองเกิด หากแต่การมาสวนสนุกวันที่สามนั้นแตกต่างจากสองแรกนิดหน่อย ตรงที่การเข้าไปสู่ข้างในนั้นไม่จำเป็นต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูหรือใช้บัตรสิทธิพิเศษใดพาตัวเองเข้าสู่พื้นที่ภายใน

    พี่จ๋าบิดรถพาเราทั้งคู่อ้อมไปยังถนนเส้นด้านหลังของสวนสนุก และใช้ทางผ่านสำหรับเจ้าหน้าที่หรือพนักงานในการพาฉันเข้าสู่พื้นที่ของสวนสนุกโดยไม่ต้องเสียเงินเลยแม้สักบาท

    ทันทีที่เข้ามาได้ คนตัวใหญ่ซึ่งดูช่ำชองเส้นทางภายในสวนสนุกแห่งนี้ดีกว่าใคร ก็ถือวิสาสะคว้ามือฉันให้เดินตามไปยังทิศทางที่เขาเป็นผู้กำหนด ซึ่งสถานที่ดังกล่าวมันก็นำพาฉันตรงเข้าสู่กระโจมขนาดใหญ่คล้ายกับพวกของคณะละครสัตว์ แน่นอนว่าตลอดเวลาที่เขาจับมือฉันพามายังสถานที่แห่งนี้เราไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักวลี

    แต่นั่นก็แค่ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เพราะทันทีที่เข้ามาภายในกระโจมดังกล่าวได้สำเร็จ คนตัวสูงซึ่งเอาแต่เงียบก็เริ่มมีปากมีเสียง

    รอพี่ตรงนี้แป๊บนะคะ...พี่จ๋าไม่ใช่แค่พูด แต่เขายังปล่อยมือและพาตัวเองเดินหลบหายเข้าไปยังหลังม่านสีทึบขนาดใหญ่ตรงหน้า ปล่อยฉันซึ่งเคยมาเยือนยังสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกทำได้เพียงแค่กวาดตามองไปรอบๆ ตัวเท่านั้น

    พื้นที่ที่พี่จ๋าพาฉันเข้ามานั้น ดูคล้ายกับเป็นห้องแต่งตัวเล็กๆ ซึ่งถูกตีฝ้ากันไว้เป็นล็อกๆ โดยมีผ้าม่านกั้นแต่ละล็อกออกจากกันไว้ 

    บนผนังมีชุดมาสคอตรูปสัตว์และตัวตลกมากมาย ถูกแขวงเรียงรายไว้ โดยบางทีก็เว้นว่างอาจเพราะมีคนหยิบไปสวมใส่สำหรับทำงานแล้ว โดยห่างออกไปมีตู้ล็อกเกอร์สำหรับเก็บของวางเรียงไว้เป็นแนวยาวผ่านไปยังอีกห้องซึ่งอยู่ติดกันและเชื่อมทางไว้เพียงโถงประตู โดยประตูอีกบานซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกันนั้น เวลานี้ได้ถูกม่านสีดำปิดคลุมทับไว้

    เอาเข้าจริงแล้วภายในห้องนี้มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างให้มองเห็น ทว่า สายตาฉันกลับเอาแต่จ้องชุดมาสคอตตัวตลกที่แขวงอยู่บนผนังแบบไม่วางตา 

    ทั้งรู้ดีว่าเพียงแค่เห็น มวลสารภายในก็คล้ายจะปะทุออกมาตามอาการที่ไม่สามารถรักษาให้หายก็ตาม ราวกับว่าสีสันสดใสบนเครื่องแต่งกายของมันมีมนต์สะกดประหลาดและน่าสะอิดสะเอียดต้องตาไว้จนไม่อาจละมองไปทางอื่นได้ 

    มือข้างถนัดถูกยกขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว เมื่อมวลสารบางอย่างในกายทำท่าจะปะทุ 

    ปิดปากมันไว้…’ พร้อมด้วยเสียงเข้มของใครคนหนึ่งซึ่งดังแว่วเข้ามาในความทรงจำ สลับดังกับเสียงหัวเราะที่คล้ายกับชอบใจและไม่รู้สึกรู้สาใดต่อเรื่องระยำที่พวกมันทำ ‘HA HA HA HA HA’

    แต่ก่อนที่ภาพและเสียงในความทรงจำจะดับลงไปพร้อมความสะอิดสะเอียด เสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินกลับกลายเป็นเสียงเรียกชื่อของใครคนหนึ่ง

    ไอ้ศอว์ มึงเข้ามาช่วยกูจับอีนี่ทีดิ!!’

    ฟึ่บ!

    เฮือก!” ร่างทั้งร่างเหมือนถูกกระชากออกจากภาพวังวนในอดีตแทบจะทันทีกับที่ไหล่ถูกมือของใครคนหนึ่งแตะลงมา พลอยให้ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกอย่างรุนแรงในแบบที่ไม่เคยเป็น ก่อนพบว่าในช่วงเวลาปัจจุบันกำลังมีภาพของฝันร่างตัวสูงใหญ่ในชุดตัวละครไร้สีสันกำลังยืนอยู่

    พี่จ๋าทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นฉันแสดงทีท่าเช่นนั้น ไม่บอกก็พอเดาได้ ว่าสีหน้าที่แสดงออกไปก็คงไม่ต่างกัน นั่นเลยทำให้เขาถามขึ้น

    เป็นอะไรไป?

    ร่างกายตอบสนองเสียงไถ่ถามของผู้ชายในชุดตัวตลกตรงหน้าด้วยการสะบัดตัวหลุดจากการถูกสัมผัส และก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างเราโดยไม่มองหน้า พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะให้คำตอบ

    เปล่านี่…” พี่จ๋าไม่ใช่คนโง่ ที่จะดูไม่ออกว่าคำตอบที่ได้จากฉันนั้นค่อยข้างสวนกับการกระทำและสีหน้า เพราะงั้นนั่นเลยเป็นเหตุผลที่เขาเอ่ยขึ้นหลังจากนั้นอย่างรู้ทัน

    อ้อ...ลืมไปเลยว่าเรากลัวตัวตลก กลัวพวกชุดที่แขวนนี่เหรอคะ?

    โดยเฉพาะกับคำถามประโยคหลัง

    หรือว่ากำลังกลัวพี่อยู่?” ได้ยินแบบนั้น หางตาจึงเผลอเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนตัวใหญ่เล็กน้อย ก่อนพบว่านอกจากพี่จ๋าเวลานี้จะแต่งกายด้วยชุดมาสคอตตัวตลกไร้สีสันแล้ว ใบหน้าคมคายที่เคยสะอาดเกลี้ยงเกลาเวลานี้กับถูกทาด้วยเมคอัพสีขาวราวกับสีของชอล์กทั่วทั้งใบหน้า โดยใช้เฉดสีดำทาปิดไว้รอบนัยน์ตาจนดูกลวงโบ๋เท่านั้น เช่นเดียวกับริมฝีปากที่เวลานี้ถูกสารลิปสติกสีดำทาเคลือบไว้

    ที่ทำให้เขาดูไม่เป็นตัวตลกอย่างสมบูรณ์แบบก็คงเป็นเพราะเวลานี้ บนใบหน้าน่ากลัวที่เคลือบไว้ด้วยเมคอัพสีขาวดำ ยังไม่ได้ถูกสวมใส่จมูกทรงกรวยกับวิกผมสีดำยุ่งๆ ไว้นั่นล่ะ...

    ถ้ากลัวพี่...นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีของการรักษา...อีกหนที่พี่จ๋ากล่าวขึ้นเมื่อเห็นคู่สนทนาไม่ปริปากตอบอะไร เคยได้ยินประโยคที่ว่า ความรัก คือการทิ้งความกลัวไป บ้างหรือเปล่า?

    ความรัก คือการทิ้งความกลัวไปงั้นเหรอ?

    การทิ้งความกลัวให้ได้ คือต้องเผชิญหน้า เพราะงั้นนับจากนี้คิดซะว่าเราคือของกันและกัน อย่างน้อยหากเราเป็นแฟนกัน การเข้าใกล้หรือใกล้ชิดกับตัวละครซึ่งขึ้นชื่อว่าคนรัก มันคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเท่าไหร่ถูกไหม?

    ตรรกะโง่ๆ...ฉันสบถหลังได้ฟังถ้อยคำยืดยาวของเขาจนจบ คิดว่าวิธีแบบนี้มันจะได้ผลจริงๆ หรือไง?

    ไม่ลอง ก็ไม่รู้ถูกไหมคะ?เขาย้อนโดยยังฝากความนิ่งสุขุมสมเป็นผู้ใหญ่ไว้ในน้ำเสียง

    แค่เห็นของพวกนี้ ฉันก็สะอิดสะเอียนจะแย่อยู่...ถึงเขาจะย้ำชัดจุดประสงค์ของตัวเอง แต่ฉันก็ยังมีเหตุผลส่วนตัวใช้โต้แย้งอยู่ดี ขืนเข้าใกล้มากกว่านี้ ฉันคงได้ช็อกตายเข้าสักวัน...อะ

    กึก...

    ทว่า ข้อโต้แย้งที่มีกลับถูกทำให้ขาดหายลงในช่วงท้าย เมื่อคนตัวใหญ่ตรงหน้าขยับเท้าเดินเข้ามาหา และหยุดทุกเสียงที่มีให้เงียบลงได้ด้วยมือเปล่าภายใต้ถุงมือหนังสีดำสนิท

    พี่จ๋าไขว้ขาของตัวเอง ก่อนย่อตัวลงนิดหน่อยคล้ายกับการถอนสายบัวตามวิถีของตัวตลก เขาไม่พูดแต่เลือกที่จะใช้ช่วงเวลาในตอนนั้นยกหลังมือฉันขึ้น ก่อนจุมพิตลงมาอย่างแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน

    และเมื่อทำทุกอย่างตามความพอใจของตัวเองได้เป็นผลสำเร็จ นัยน์ตาคมลึกโบ๋ก็ช้อนขึ้นมองหน้าฉันเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มสีดำแสยะเหยียดแบบตัวตลก และคำพูดสั้นๆ

    แต่ตอนนี้...ยังไม่ช็อกตายไม่ใช่หรือคะ? ว่าจบพี่จ๋าก็ไม่รอให้ฉันพูดหรือโต้เถียงอะไรอีก เขาปล่อยมือฉันลง ก่อนโค้งคำนับให้เล็กน้อยพลางผายมือไปยังประตูอีกบานซึ่งถูกผ้าม่านสีดำสนิทคลุมปิดไว้

    ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่เมื่อได้มองไปยังบานประตูดังกล่าว ร่างกายดันตอบสนองรับการผายมือเชื้อเชิญของเข้า ขยับหันเหทิศทางมุ่งตรงไปยังประตูดังกล่าวทันทีคล้ายถูกต้องมนต์ 

    ซึ่งเวลาเดียวกัน พี่จ๋าก็ใช่จะนิ่งอยู่กับที่เสียที่ไหน เขารีบก้าวเท้าเดินเร็วนำไปยังประตูบานใหญ่เช่นเดียวกัน ซ้ำยังใช้มือดึงกระชากผ้าม่านที่คลุมปิดทางเข้าออกไว้ให้เปิดออกในฐานะเจ้าของที่ที่ตัวเองคุ้นเคย

    ฟึ่บ!

    สิ่งที่รอคอยอยู่ด้านหลังประตู คือเวทีขนาดใหญ่ของพวกคณะละครสัตว์ที่มักเคยเห็นจากหนังหรือละครเก่าๆ ของต่างประเทศ รอบๆ ลานกว้างที่เปรียบเสมือนเป็นเวทีการแสดงถูกห้อมล้อมไว้ด้วยที่อัฒจันทร์คนดู โดยมีอุปกรณ์การแสดงต่างๆ ถูกตั้งทิ้งไว้ ไม่ว่าจะแท่นสำหรับโชว์ความสามารถของสัตว์ หรือของจำพวกขวดและห่วงสำหรับใช้แสดงโชว์และกายกรรมหวาดเสียวต่างๆ

    ฉันเหมือนถูกภาพตรงหน้าสะกดให้ยืนนิ่งมองทุกสิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับกำลังรู้สึกสนใจมัน ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นในหัว

    เดี๋ยวฉันลองไปเรียนพวกยิมนาสติกดีกว่า วันหนึ่งจะได้มาแสดงโชว์ความสามารถของตัวเองแบบนี้บ้าง ทันทีที่เสียงในหัวเงียบสงบลง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คล้ายกับถูกสาดไปด้วยเวทมนต์ประหลาดจากวังวนความคิดในอดีต เมื่อพื้นที่ว่างเปล่าบนอัฒจันทร์เริ่มปรากฏภาพของผู้คนให้ได้เห็นทีละคนสองคน จนค่อยๆ เต็มพื้นที่ไปหมด

    หากว่านั่นคือภาพประหลาดที่ฉันมองเห็นแล้วล่ะก็ สิ่งที่ประหลาดกว่าคือเสียงเพลงของพวกคณะละครสัตว์ที่ดังขึ้นราวกับว่า ช่วงเวลานั้นพื้นที่เงียบสงัดกลางลานโชว์กำลังจัดการแสดง

    ภาพและเสียงที่คล้ายกับอาการประสาทหลอนทำฉันหันมองไปทางซ้ายก่อนพบเข้าการการแสดงโชว์สิงโตและเสียงเฮของผู้คนที่รู้สึกชื่นชอบต่อการแสดง สิ่งที่เห็นทำฉันผงะนิดหน่อยและเผลอเหลียวหันมองไปอีกทาง ก่อนพบว่าพื้นที่ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งกำลังแต่งกายด้วยชุดตัวตลกกำลังปั่นจักรยานล้อเดียวโดยในมือกำลังโยนพินโบว์ลิ่งสามใบในมือสลับไปมาได้อย่างไม่มีผิดพลาด

    เฮือก...ภาพหลอนที่เห็นทำฉันเผลอก้าวเท้าถอยหลัง ก่อนต้องรู้สึกถึงเสียงเฮที่ดังสนั่นจากรอบทิศทาง เมื่อพื้นที่ด้านบนกำลังปรากฏภาพของหญิงสาวแต่งกายด้วยชุดรัดรูป กำลังโหนตัวข้ามจากราวโหนอันที่หนึ่งสู่อันที่สองได้อย่างน่าตื่นตา

    ทุกเสียงและภาพที่เห็นทำฉันรู้ได้ทันที ว่าทั้งหมดนั่นคืออาการหลอนที่ถูกซุกซ่อนไว้ในตัว ฉันเป็นบ้า นั่นแหละคือสาเหตุของสิ่งที่เป็น ทว่า วินาทีที่จะก้าวเท้าถอยหลังเพื่อหลบหนีภาพหลอนตรงหน้าเท้าที่พยายามก้าวถอยหนีกลับชนเข้ากับแผ่นหลังของใครคนหนึ่งเข้า

    กึก! ตุบ!

    ทันทีที่เกิดการกระทบกระทั่งทางกาย ภาพหลอนรวมถึงเสียงที่ได้ยินรอบกายก็ดับลงโดยฉับพลันราวกับมีใครมาปิดสวิตซ์ และเมื่อเหลียวหลังมอง ฉันก็พบว่าบุคลที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังในระยะประชิดยามนี้ไม่ใช่ใครแต่เป็นพี่จ๋านั่นแหละ

    เป็นอะไรไป ไม่ชอบที่นี่เหรอ? เขาถามขึ้นเมื่อเราได้มองตากัน

    เปล่า...ซึ่งก็เหมือนเคย ฉันปฏิเสธแม้ลึกๆ ในอกจะรู้สึกใจหายกับภาพหลอนที่มองเห็น แต่เพื่อให้คำตอบดูสมเหตุสมผลกับพูด ฉันจึงเปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อวาน ฉันไม่เห็นว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ในสวนสนุกเลยนี่

    มีสิ...ซึ่งพี่จ๋าก็ยอมตามน้ำและให้คำตอบ ที่นี่มันก็ตั้งอยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว

    นอกจากให้คำตอบแล้ว พี่จ๋ายังเป็นฝ่ายผละตัวก้าวเท้าเดินนำไปข้างหน้า ตรงไปยังพินโบว์ลิ่งเก่าๆ ที่ถูกวางทิ้งบนพื้น เขาหยิบหนึ่งในพินโบว์ลิ่งที่ถูกวางไว้ขึ้นมา พลางใช้มืออีกข้างปัดคราบฝุ่นที่ติดอยู่ ส่วนปากก็พูด

    ถ้ามองจากทางด้านหน้า ที่นี่จะเป็นแค่กระโจมขนาดใหญ่ที่มีไว้ใช้ประดับสวนสนุก ผู้คนไม่รู้หรอกว่าภายในกระโจมแห่งนี้มันซ่อนอะไรไว้อีกเยอะ” 

    สังเกตได้ว่าระหว่างพูด เขาก็ค่อยๆ ก้มหยิบพินโบว์ลิ่งอีกอันจากพื้นขึ้นมาถือไว้ในมือก่อนจัดการปัดคราบฝุ่นไปด้วย ซึ่งเขาก็ทำอยู่เช่นนั้นจนครบทั้งสามชิ้น ก่อนจะสร้างความประหลาดใจเมื่อพินทั้งสามถูกเขาโยนขึ้นสูง พร้อมด้วยถ้อยคำขณะที่มือสองข้างสามารถรับพินโบว์ลิ่งที่ร่วงลงมาและโยนสลับได้ทันราวกับมีปาฏิหาริย์ 

    มีทั้งเวทมนตร์ ความน่าอัศจรรย์ใจ และความแปลก แต่ว่า...

    ฟึ่บ! กึก!

    ตุบ! ตุบ! ตุบ!

    ทว่าเรื่องน่าตื่นเต้นที่เขาทำก็ไม่อาจคงไว้ได้เนินนาน เมื่อพินโบว์ลิ่งชิ้นหนึ่งพลาดหลุดจากมือเขาร่วงลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดังก้อง พร้อมกับคำพูดซึ่งฟังดูสอดคล้องกัน

    วันหนึ่งมันก็พังและต้องปิดตัวลง

    ทำไมล่ะ?

    “เพราะเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่ ทั้งยาเสพติดและโศกนาฏกรรม ทำให้ที่นี่ถูกสั่งปิด

    มีคนผิดพลาดจากการแสดงงั้นเหรอ?ฉันย้อนแม้ลึกๆ จะไม่ได้อยากรู้อะไรมากนักก็ตาม ที่ถามน่ะมันก็แค่ทำตามมารยาทของคนฟังที่ดีก็เท่านั้น

    เปล่า...แต่พี่จ๋าก็ตอบ ตอบด้วยเสียงนิ่งเสียงเดิมที่เขาเป็น หากแต่ไม่ใช่กับประโยคหลังที่เขาพูดพร้อมทั้งหันกลับมายิ้มให้เสมือนว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ในทุกวัน แต่ที่นี่เคยมีการฆ่ากันตายเกิดขึ้นต่างหาก

    พอได้รับคำตอบฉันก็เงียบ เนื่องจากไม่อยากพูดหรือถามถึงเหตุการณ์แย่ๆ ที่เคยเกิดขึ้นจนพลอยให้หวนนึกถึงเรื่องราวของตัวเองในอดีต ทั้งที่จิตใต้สำนึกรู้สึกแบบนั้น กลับกันในหัวกลับไม่ยอมหยุดถลำลึกความคิดที่มีโดยง่าย

    อ๋อ พอดี ติดคุกน่ะ ยิ่งด้วยในหัวนึกถึงคำพูดที่พี่จ๋าเคยบอกไว้เมื่อวานด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะทำสิ่งซึ่งตรงข้ามจิตใจสำนึก

    เห็นบอกว่าเคยติดคุกมานี่ ถูกไหม?” เสียงของฉันถูกกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในโถงกว้าง จุดแสดงโชว์ของพวกคณะละครสัตว์ ทำเอาชายตัวสูงในชุด THE CLOWN หากแต่ไร้สีสันเหมือนพวกนักแสดงละครใบ้ เหลียวหลังมองกลับมาอีกครั้งนิ่งๆ หากแต่ไม่ใช่กับรอยยิ้มมุมปากบ่งบอกความรู้สึก

    ใช่” คำตอบสั้นๆเพียงวลีเดียวเล็ดลอดผ่านริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีดำสนิทอย่างเถรตรง อีกทั้งยังกล่าวเสริมแบบไม่คิดปกปิดอะไร “พี่เคยติดคุกอยู่หนึ่งปีเต็ม

    แล้วที่ว่าติดคุกน่ะ นายโดนข้อหาอะไร?” สิ้นเสียงถาม คนตัวใหญ่ก็หลุดหัวเราะในลำคอคล้ายกับชอบใจอะไรพลางเบือนหน้าไปทางอื่น พร้อมกันนั้นก็ให้คำตอบ

    ข้อหาพยายามฆ่ากับฆ่าคนตายโดยเจตนาค่ะฉันไม่เห็นสีหน้าพี่จ๋าตอนพ่นคำตอบหรอกนะ แต่รับรู้ได้ถึงความนิ่งที่มีในตัวของอีกฝ่ายได้ อีกทั้งหลังได้รับคำตอบเช่นนั้นบทสนทนาระหว่างเราก็เงียบลงแทบจะทันที

    แต่หลังจากบทสนทนาระหว่างเราเงียบลงไปเพียงครู่สั้นๆ พี่จ๋าซึ่งเคยยืนหันหลังให้ด้วยท่าทางนิ่งงัน ก็ค่อยๆ เหลียวหลังกลับมาแล้วทำลายความเงียบระหว่างเราลงอีกครั้ง

    กลัวหรือเปล่าคะ ที่พี่เคยเป็นเป็นแบบนั้น

    จะกลัวทำไม... เมื่อถูกถาม ฉันก็ไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทที่จะให้คำตอบ ในเมื่อใครต่อใครบอกกันว่านายเป็นเทวดา” แม้ว่าถ้อยคำที่เปล่งไปนั้นจะแฝงไว้ด้วยถ้อยคำแดกดันก็ตามที หากแต่การให้คำตอบอีกฝ่ายกลับไปเช่นนั้น มันกลับทำให้คนฟังขยับยิ้มแสดงความพึงพอใจของตัวเองให้ได้เห็น มากกว่าจะเป็นแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

    เฉกเช่นคำถามต่อมา

    พูดแบบนี้ แปลว่ายอมรับแล้วงั้นสิ ว่าพี่คือเทวดาอย่างที่คนลือกันจริงๆ

    งั้นมั้ง…” ฉันยิ้มพลางยักไหล่แบบไม่ยินดียินร้ายต่อคำถาม ก่อนเป็นฝ่ายพูดเรื่องของตัวเองบ้าง เมื่อ 6 ปีก่อนของฉันเคยเจอเรื่องแย่ๆที่นี่ เพราะดันมีเดนมนุษย์กลุ่มหนึ่งพยายามข่มขืนฉันตอนเข้าบ้านผีสิง ฉันต้องกลายเป็นโรคประสาทเพราะไอ้ระยำพวกนั้น...

    รับรู้ได้ว่าทุกวลีที่กำลังพูดให้พี่จ๋าฟังนั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นซึ่งยังคงฝังอยู่ภายในจิตใจ ถึงอย่างนั้นฉันก็พยายามขยับปากบอกเล่าเรื่องของตัวเองไม่หยุด โดยพยายามกักกลั้นความโกรธแค้นไว้ภายในมือสองข้างที่เริ่มกำบีบจนแน่น

    ฉันอยากฆ่าพวกมัน อยากให้พวกมันทุกตัวรู้รสชาติของความเจ็บปวดและทรมานแบบเดียวกับที่ฉันเคยเจอมาตลอด 6 ปีดูบ้าง...เพราะรู้สึกและคิดแบบนี้ล่ะมั้ง ฉันจึงตัดสินใจกลับมาที่เมืองนี้อีกครั้ง

    อาจเพราะพี่จ๋าคงมองออกว่าฉันกำลังรู้สึกโกรธมากแค่ไหนขณะเล่าเรื่อง เขาจึงถามแทรกขึ้น

    แค้นมากเลยเหรอ? นัยน์ตาคมบอกถึงความไม่เป็นมิตรของเขาเวลานี้ดูเรียบเฉยเช่นเดียวกับสีหน้าที่เปื้อนเมคอัพ แล้วไม่คิดหรือไง ว่าบางทีคนพวกนั้นก็อาจจะแค้นที่ปล่อยเธอหลุดมือไปจนพลั้งพลาดถูกจับ...

    มันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง?ฉันแย้งกลับอย่างทันควัน ชนิดที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา โดนแค่นั้นมันยังถือน้อยไปด้วยซ้ำ ไอ้พวกเวรนั่นน่ะ...

    แล้วถ้าพวกมันบางคนไม่ได้คิดจะทำร้ายร่างกายอย่างที่เรารู้สึกล่ะ คิดว่ามันยังสมควรโดนอยู่ไหม?

    ทั้งที่ในอกเต็มไปด้วยความแค้นนานานัปการ จนร้อยเรียงผ่านคำพูดไม่หมด ทว่า พอถึงคราวที่ถูกถามเช่นนั้น ฉันกลับตอบไม่ได้และเผลอเงียบลงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ด้วยเพราะยังรู้สึกถึงการจับจ้องของชายหนุ่มในชุดตัวตลกตรงหน้า สมองจึงสั่งการให้ปากขยับอีกครั้ง

    พวกรู้เห็นเป็นใจ มันก็ระยำไม่ต่างกันนั่นแหละ

    ปากเก่ง…” สองวลีสั้นๆ ดังขึ้นจากผู้ฟังทันทีที่ฉันกล่าวจนจบเสียง พานให้เผลอช้อนมองสีหน้าของผู้พูดอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนพบว่าพี่จ๋าเวลานี้กำลังเหยียดยิ้มแบบตัวตลก และยืนอยู่ในท่ากอดอก สายตาที่เขาใช้มองมามันเต็มไปด้วยความสมเพชเช่นเดียวกับทุกครั้งที่เขาใช้มองยามรับฟังสิ่งที่ฉันพูดหรือคิด

    ไม่รู้ว่าในช่วงที่เราสบสายตากันแบบตรงๆ นั้น พี่จ๋าจะมองออกหรือเปล่าว่าฉันรับรู้ถึงแววตาสมเพชที่เขามีให้ ถึงได้เป็นฝ่ายเลื่อนสายตาและเบือนหน้าหลบไปทางอื่น พร้อมทั้งยังเปลี่ยนจากทางกอดมาเป็นเท้าเอวโดยใช้นิ้วชี้เลื่อนขึ้นเกาคางตัวเองราวกับว่ามันคือนิสัยที่เขาเคยชิน

    แต่เก่งแค่นี้ ยังไงก็ยังแพ้ตัวตลกอยู่ดีใช่ไหม?และถามขึ้นโดยที่ฉันไม่ได้คิดจะให้คำตอบอะไรกลับไปอีก แต่เลือกทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะงั้นหลังจากนี้ ฉันจะเป็นคนคอยรักษาเธอเองดีไหม?

    “…” เขาเปลี่ยนเรื่องเก่ง เหมือนเวลาเปลี่ยนสายตาที่ใช้มองฉันนั่นแหละ

    เมื่อเริ่มต้นรักษา สถานะระหว่างเราจะเป็นคนรักกัน แต่นั่นก็แค่เรื่องหลอกลวงเท่านั้น ทุกอย่างที่เราทำจะอยู่ในสายตาพี่เสมอ นั่นรวมถึงทุกความปลอดภัยที่เราจะได้รับ พี่จะเป็นคนจัดการทุกอย่างในชีวิตเราจนกว่าไอ้อาการที่เป็นอยู่จะหาย...” 

    นอกจากเปลี่ยนเรื่องเก่งแล้ว เขายังฉวยโอกาสที่ฉันไม่มีปากมีเสียง เป็นผู้ตั้งกฎทั้งหมดตัวเองราวกับต้องการเป็นผู้นำชีวิตคนอื่น หากแต่การตั้งกฎของเขาในหนนี้กลับไม่ใช่เรื่องเผด็จการเหมือนที่ผ่านมา 

    เราจะยินดีรับการรักษาด้วยวิธีที่พี่เสนอไหมคะ?

    เพราะเขาเปิดโอกาสให้ฉันได้เลือก

    รู้ไหม ฉันกำลังรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองไม่ค่อยปลอดภัยอยู่พอดี...” 

    พี่จ๋าแสดงสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยเมื่อสิ่งที่ได้ยินผ่านปากฉันนั้นไม่ใช่คำตอบที่เขาถามเจาะจงไว้ แต่ไม่นานสีหน้าแปลกใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นสีหน้าของคนที่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว 

    ความไม่ปลอดภัยทั้งหมดมันเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่ฉันเจอหน้านายที่สวนสนุกแห่งนี้ ฉันถูกคนจี้แล้วกระชากกระเป๋าไป ก่อนตามมาด้วยเรื่องที่เกือบถูกรถเฉี่ยว ที่น่าประหลาดใจก็คือ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแย่ๆ คนที่มักเข้ามาช่วยเหลือไว้ได้ทันเสมอดันเป็นนาย

    นอกจากจะแสดงสีหน้าแบบนั้นแล้ว เขายังเงียบไม่พูดหรือแสดงความเห็นอะไรแทรกอีกด้วย ฉันขยับยิ้มนิดๆ เมื่อรับรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจับจ้อง พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะพูดบอกความในใจ

    สมเป็นเทวดาอย่างที่คนในเมืองล่ำลือกันจริงๆ

    “…” แต่ เมื่อเห็นว่าพี่จ๋ายังคงเงียบ ไม่หือไม่อือต่อสิ่งที่ได้ฟังกลับมา คำตอบที่เขาอยากได้ยินจึงถูกพ่นออกไปเพื่อลดการเสียเวลา

    ข้อตกลงที่นายเสนอ ถึงจะฟังดูโง่ไปหน่อย แต่ก็น่าสนใจดี…” นอกจากจะพูดแล้ว ฉันยังเป็นฝ่ายก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเขาด้วยตัวเองพลางใช้มือกระตุกไปตามเฟอร์ประดับเครื่องแต่งกายขณะปากยังคงขยับพูดไม่หยุด ถ้านายรับปากว่า ฉันจะไม่ช็อกตายเพราะชุดตัวตลกนี่ล่ะก็...ฉันตกลง

    ทั้งที่คำตอบที่ให้ไปน่าจะเป็นสิ่งที่ตรงใจเจ้าของคำถาม แต่เหมือนว่าการตอบรับข้อเสนอจะไม่ได้ทำให้คนตัวสูงปรับเปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิมนัก เขาไม่แม้แต่จะเหยียดยิ้มแสดงความพึงพอใจแต่เลือกจะยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จนฉันนี่แหละต้องถามขึ้นด้วยตัวเอง

    ว่าไงล่ะคุณเทวดา?” พอถูกเร่งเร้ามากเข้าพี่จ๋าก็ยอมปริปากตอบในที่สุด

    อืม...เธอจะไม่ตายเพราะอาการช็อกแน่ๆ” 

    ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่แสดงท่าทีอื่นใดให้เห็น ยังคงเอาแต่นิ่งและมองหน้ากันอยู่แบบนั้น ส่วนฉันที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง จึงบรรจงใช้ความกล้าที่มีไกล่เกลี่ยนิ้วไปตามตามขอบขนเฟอร์รอบคอคนตัวใหญ่ พร้อมกันก็ไม่ลืมที่จะถาม

    แล้วคำสั่งแรกที่เทวดาจะสั่งคนบ้าอย่างฉันให้ทำ หลังจากตอบรับข้อเสนอ คืออะไรงั้นเหรอ?

    สิ้นเสียงถาม นัยน์ตาคมดุดันก็เริ่มเปลี่ยนแววตาที่ใช้มองอีกครั้ง หากแต่แววตาของเขาครั้งนี้ฉันกลับมองไม่ออกว่ามันคือแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่กว่าจะรู้สึกตัวว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดให้เสียเวลา ก็คงเป็นตอนที่ชายหนุ่มในสภาพตัวตลกที่ไม่สมบูรณ์แบบถือวิสาสะใช้แขนข้างหนึ่งคล้องรอบเอวฉันไว้

    กฎและเป้าหมายของการรักษาคือ การทิ้งความกลัวที่มีให้หมดไป...และกล่าวขึ้นเพราะงั้นลองโชว์ความกล้าที่มีมากกว่าความกลัวให้พี่ดูหน่อย

    ฟึ่บ...

    รู้สึกได้ถึงแรงกระชับรอบเอวที่คนตรงหน้ากระชับตัวฉันให้เบียดเข้าชิดกับตัวเองขณะหูยังคงได้ยินเสียงสั่ง ซึ่งฉันก็ไม่ได้แสดงการขัดขืนต่อการถูกฉวยโอกาสของคนตรงหน้า แต่เลือกที่จะช้อนตามองสบกับนัยน์ตาคมภายใต้เมคอัพหนากลับไปแบบไม่เกรงกลัว

    โชว์ยังไง?และถามเพื่อที่จะได้ตั้งตัวรับมือได้ถูก แต่ใครจะคิดว่าว่าคำสั่งแรกจากกฎงี่เง่าที่เขาเป็นคนตั้งขึ้นจะออกมาในรูปแบบนี้

    จูบ...ตัวตลกให้พี่ดูหน่อยพี่จ๋าทิ้งคำสั่งโดยใช้สายตาแทนปลายนิ้วในการชี้บอกเป้าหมาย จนเผลอเหลือบมองตามสายตาเขาไป แล้วพบว่าบริเวณประตูที่เราทั้งคู่พากันเดินก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้น มีใบหน้าของตัวตลกขนาดใหญ่โดยส่วนมีส่วนของปากสีแดงสดเป็นช่องทางเข้าออก

    เพียงแค่เห็นเลือดลมในกายก็เริ่มสั่นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ฉันไม่ปฏิเสธว่าตัวเองกำลังรู้สึกขยะแขยงและสะอิดสะเอียดกับคำสั่งที่ได้รับมากแค่ไหน ทว่า ท้ายที่สุดแล้วฉันกลับเลือกที่จะทำ

    ฟึ่บ... กึก...

    มือสองข้างถูกเคลื่อนขึ้นแตะลงบริเวณปลายคางของคนตัวใหญ่นิดตรงหน้านิดหน่อย และการถูกสัมผัสมันก็ทำให้พี่จ๋ายอมลดสายตาจากตัวตลกบริเวณประตูเข้าออกกลับมามองฉันอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่ความคิดว่างเปล่าในหัวเริ่มกระทำสิ่งที่ขัดแย้งกับร่างกาย

    รู้อีกทีฉันก็กำลังเขย่งปลายเท้าขณะบรรจงจุมพิตริมฝีปากลงบนผิวปากนุ่มของชายตัวสูงในชุดตัวตลกเบื้องหน้า การกระทำที่ปุบปับทำเอาผู้ถูกกระทำยังคงยืนนิ่งงัน และมีเพียงแค่ฉันเท่านั้นที่เป็นขยับริมฝีปากของตัวเองครอบครองไปตามกลีบปากบนและล่างซึ่งเคลือบไว้ด้วยสารลิปสติกสีดำ

    ทั้งที่พี่จ๋ายืนนิ่ง หากแต่นั่นกลับไม่ใช่กับฝ่ามือที่เขายังคงใช้รวบไว้รอบเอว ซึ่งเวลานั้นดูจะค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักมือกดลงมาราวกับการถูกกระทำในลักษณะนี้กำลังทำให้เขาเกร็งจัดไปทั้งตัว แต่ก็ชั่วเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะวินาทีที่ฉันเป็นฝ่ายผละริมฝีปากถอยออกมา อาการเกร็งที่พี่จ๋ามีก็คล้ายกับจะลดหายไปเช่นกัน

    จูบกับตัวตลก... ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างรอบตัวหลงเหลือเพียงแค่ลมหายใจกับแววตาของเราทั้งคู่ที่มองสบกันในระยะใกล้ชิด ที่ตรงนั้นยังคงมีเสียงของฉันไถ่ถาม ตัวนี้แทนได้ถูกไหม?

    และมีเสียงของผู้ถูกถาม เป็นฝ่ายให้คำตอบราวกับว่านี่คือสัญญาณของการเริ่มต้น

    อืม...


    To Be Continued...
    หมายเหตุ
    [1]โปรโพฟอล (Propofol) เป็นยาที่ช่วยทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ไร้ความรู้สึก ผู้ป่วยจะรู้สึกง่วงและเข้าสู่ภาวะหลับได้ง่าย มีการออกฤทธิ์เพียงระยะสั้นๆ ทางคลินิกนำมาใช้ร่วมกับการใช้ยาชาหรือยาสลบก่อนการผ่าตัด 
    Talk1 แฟนคือนางเอกคนแรกที่ผ่านเรื่องแย่ๆในโรงพยาบาลบ้า 555
    Talk2 ที่นี่เคยมีคนตาย อิอิ
    Talk3 อดีตนักโทษที่พยายามจะรักษาอาการป่วยของคนบ้า กำลังเริ่มต้น 555
    _____________________________________________________________ 

    ไม่เม้นไม่ว่าแต่กดให้กำลังใจเค้าด้วยน้าา ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะงับ

    ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเม้นและการชี้แนะดีๆในหน้านิยายน้าา


    ll CREEPYPASTA SET ll


    ติดตามเรื่องนี้จิ้มที่รูปโลด

    รักกันชอบกันกดติดตามข้างบน
    หรือกดให้กำลังใจกันข้างล่างนะเอออ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×