ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC EXO Mistake {SUHO x CHEN}

    ลำดับตอนที่ #20 : Mistake 15 100%

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 58


    Mistake 12

     

    ผมเดินเก้ๆ กังๆ ออกมาเผชิญหน้ากับจุนมยอน รู้สึกเขินอย่างไงก็ไม่รู้เมื่อสายตาปะทะเข้ากับสายตาที่มองมาของอีกคน คนตรงหน้ามองผมนิ่งจนผมไม่กล้าที่จะสบตากับเขาเลยเลี่ยงไปมองอย่างอื่นแต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาเกาแก้มแก้เขินให้ได้เสียฟอร์มเล่นๆ

    ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากเหล่านูน่าที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้แก้มที่ผมรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่แล้วยิ่งรู้สึกว่ามันเห่อร้อนขึ้นมามากกว่าเดิม

                “อะแฮ่ม!

                เสียงงกระแอมของจุนมยอนดังขัดขึ้นมาให้บรรยากาศแสนเงียบเชียบชวนเขินนั้นพังลง เขาเดินเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบ บนใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะยิ้มอะไรนักหนา มือของเขายื่นออกมาตรงหน้าเหมือนจะให้ผมจับที่มือของเขา ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยอมเอื้อมมือออกจับกับมือที่ยื่นมารออยู่ก่อนแล้ว

                “อ๊ะ!” เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ยื่นมือออกมาให้ผมจับนั้นอยู่ดีๆ ก็ดึงผมเข้าไปหาตัวอย่างแรงจนร่างกายของเราแนบชิดกัน แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ร้องถามอะไรก็ต้องเจอเรื่องที่ทำให้อึ้งหนักกว่าเดิมเมื่อร่างของนูน่าหนึ่งในช่างแต่งหน้าของผมล้มพับลงไปกองกับพื้น และคนที่เหลือก็ล้มลงไปตามๆ กัน

                “พวกลอบกัด!” หูที่เหมือนอื้อดับไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วแว่วได้ยินเสียงพูดกัดฟันมาจากคนที่โอบเอวผมไว้แน่น หัวใจของผมเต้นถี่ด้วยความตื่นเต้นตกใจพอๆ กับลมหายใจเข้าออกที่ดูไม่เป็นจังหวะ ขาแข้งอ่อนแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้นแม้แต่คนที่โอบเอวผมไว้ก็ไม่ทันจะคว้าได้ทัน

                “นี่มัน...อะไร”

                “พวกฝ่ายตรงข้ามน่ะ คงถูกส่งตัวมาให้กำจัดพี่”

                ถึงแม้จะได้รับคำอธิบายให้เข้าใจแล้วแต่ผมก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิกตัวไปไหน จากหางตาเห็นว่าเหล่านูน่าพวกนั้นไม่ได้มีเลือดไหลรินออกมาอย่างที่คิดไว้ มีเพียงลูกดอกอะไรสักอย่างเล็กๆ ปักอยู่ในส่วนสำคัญของร่างกาย และตรงนั้นก็มีเลือดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

    “เข้ามาได้” ผมไม่รู้ว่าจุนมยอนคุยกับใครหรือเขาบอกใคร สติของผมมันยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติขนาดที่จะทำให้ตามเหตุการณ์ทัน

    “จัดการซะ”

    “ครับ นายท่าน” เสียงคุ้นๆ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับร่างสูง ผิวเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมรู้จักดี ...ไคมาที่นี่ได้ยังไง?

    ร่างสูงหันมาส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ผมเล็กน้อย แต่ผมกลับไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรตอบโต้ร่างสูงเพียงนิด ร่างกายของผมยังไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ จนเป็นจุนมยอนที่ย่อตัวลงมาประคองผมให้ยืนขึ้น แขนของเขาโอบที่ไหล่ของผมกันไปให้ผมล้มพับลงไปกองกับพื้นอีก

    “หาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังมาให้ได้เร็วที่สุด” คนที่โอบไหล่ผมไว้หันไปส่งไคที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ เมื่อเห็นว่าไคก้มหัวรับคำสั่งแล้วเขาจึงพาผมเดินออกมาจากบริเวณนั้น

     

     

    “หายกลัวรึยัง”

    น้ำอัดลมถูกยื่นมาแตะที่แก้มข้างซ้ายของผม ความเย็นที่สัมผัสได้เรียกให้ผมหันไปมอง จุนมยอนหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผม

    หลังจากที่ผมถูกพาตัวให้ออกห่างจากห้องพักจุนมยอนก็ดูจะคอยชวนผมคุยตลอด คงเพราะอยากจะให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมเองก็ซึ้งในน้ำใจของเขาอยู่หรอกนะอยากจะทำให้เขาสบายใจไม่ต้องคิดกังวลกับผมมาก แต่การที่จะปริปากพูดในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันยากลำบากเหลือเกิน

    “ดื่มอะไรเย็นๆ เสียหน่อยสิจะได้รู้สึกดีขึ้น”

    น้ำอัดลมกระป๋องเดิมถูกยื่นมาตรงหน้า ผมรับมันมาดื่มอึกหนึ่งก็รู้สึกว่ามันสดชื่นขึ้นมาจริงๆ แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเลยเลือกที่จะวางมันไว้ข้างกายเผื่อไว้ดื่มคราวหน้า ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดเข้ามาทุกทีเวลางานเลี้ยงก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรหรือออกไปพบหน้าใครทั้งนั้น ในหัวมีแต่ภาพพวกนูน่านอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น

    ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจถึงสถานการณ์ดีนักแต่ก็พอจะจับประเด็นได้ว่านูน่าพวกนั้นเป็นคนของศัตรูจุนมยอนที่ถูกส่งมาทำอะไรซักอย่าง หรือก็คงจะเป็นกำจัดจุนมยอนอย่างที่เจ้าตัวบอกกับเขา แม้ว่าพวกนูน่าเหล่านั้นจะเป็นคนที่เข้าหาพวกผมด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีแต่ว่า...ให้ผมมาเห็นภาพคนตายกันสดๆ แบบนี้ยังไงมันก็ต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา

    เฮ้อ! คิดไปคิดมาก็พาลแต่จะทำให้เสียสุขภาพจิต แถมยัง...ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พลอยรู้สึกแย่ไปด้วยเลย จุนมยอนพยายามทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเพราะฉะนั้นผมก็ควรที่จะต้องทำตัวให้เป็นแกติอย่างที่เขาต้องการ

    ฮึบ!

    รวบรวมกำลังใจทั้งหมดที่พอจะมีเหลืออยู่บ้างให้เต็มที่แล้วหันมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว จุนมยอนดูจะงงๆ เล็กๆ แต่ไม่นานเขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ผม

    “ถ้ายังไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอก พี่รู้ว่าสำหรับนายมันยากที่จะทำใจกับเรื่องนี้”

    “ผมโอเค” เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมโอเคแล้วตามที่พูดจริงๆ ผมยิ้มกว้างกว่าครั้งแรกจนตาหยี

    หมับ

    “อ๊ะ!” เพราะตาที่หยีลงจากการยิ้มทำให้ผมไม่ทันจะได้ตั้งตัว แรงกอดรัดจากคนอายุมากกว่านั้นแม้ว่าจะมาแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัวแต่เมื่อได้รับแล้วก็ทำให้รู้สึกดีอย่างน่าแปลกใจ ผมไม่ได้ดิ้นขัดขืนออกจากอ้อมกอดของจุนมยอนตรงข้ามผมกลับกอดตอบเขาอย่างเต็มใจ อ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดสำหรับผม

    “พี่รู้ว่านายยังไม่โอเค แต่อนาคตนายอาจจะต้องเจอกับอะไรที่หนักหนากว่านี้ก็ได้ นายเองก็ควรที่จะต้องเข้มแข็ง”

    “...พี่หมายความว่ายังไง”

    “นายไม่ต้องรู้หรอกว่าพี่หมายว่าถึงอะไร...แค่นายรู้ไว้ว่าพี่จะไม่ทิ้งนายแค่นั้นก็พอแล้ว”

    “...พี่จุนมยอน” เสียงตอบรับของผมที่มีต่อเขามันเป็นเพียงเสียงที่ครางเครือชื่อของเขาออกมาแผ่วเบาเพียงเท่านั้น ประโยคที่เรียกให้ใจสั่นไหวเมื่อกี้นี้มันคืออะไรกัน?

    “ใกล้ถึงเวลางานเริ่มแล้วไปกันเถอะ”

    ยังไม่ทันให้ผมได้สงสัยอะไรไปมากกว่านี้ร่างหนาที่กอดผมอยู่ในตอนแรกก็ผละออกไปแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ผมได้เพียงแค่มองหน้าเขางงๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วเกินไปหรือยังไงทำไมสมองผมเหมือนจะตื้อๆ พิกล

    “ที่พี่พูดเมื่อกี้...”

    “รีบเข้าไปเถอะอยู่ข้างนอกนานๆ เดี๋ยวยุงกัด” พูดตัดบทผมไว้แค่นั้นเขาก็จูงมือพาผมเดินเข้าไปในโรงแรม

    ทำไมคนๆ นี้ถึงชอบทำให้ผมสงสัยแล้วก็ค้างคาอยู่เรื่อยเลยนะ -_-

     

    *****


    ผมกับจุนมยอนเดินเข้ามาภายในห้องโถงที่ใช้สำหรับจัดงานโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงแค่มือของผมที่ถูกเขากุมไว้ตลอดทางที่เดินมา พอมาเจอคนเยอะๆ แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าไปเสียอย่างนั้น มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไปผมก็ก็เหมือนถูกตัดออกจากโลกอีกใบ แต่มันก็ดีที่ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่เคยได้เพื่อนแท้เลยนั้นตอนที่มีเงินมากมายคนพวกนั้นที่ยอมคบกับผมก็เพียงเพราะแค่ผมมีเงิน แต่พอผมไม่มีเงินพวกเขาก็จะพร้อมใจกันทำเป็นไม่รู้จักผม

    คนประเภทนี้มันน่ารังเกียจยิ่งกว่าอะไร...

    “คิดอะไรอยู่”

    “อ๊ะ! เปล่า”  ผมตอบคนที่ยืนกุมมืออยู่ข้างๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่ครอบครัวผมต้องล้มละลายมือของผมที่ถูกกุมกับมือของจุนมยอนอยู่ก็ค่อยๆ คลายออกมาจากมือนั้นจนกระทั่งมือของผมเป็นอิสระ

    จุนมยอนเหมือนจะยังไม่เลิกราที่จะถามว่าผมเป็นอะไรทำไมอยู่ๆ ถึงได้แปลกไป แต่เพราะไคเดินเข้ามาขัดพอดี สีหน้าที่ดูจริงจังของไคทำให้จุนมยอนเลิกสนใจอาการผิดปกติของผมแล้วหันไปคุยกับไคแทน ร่างสูงผิวเข้มกระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหูของจุนมยอนหลังจากก็ดูเหมือนว่าจุนมยอนจะทำหน้าตึงขึ้นมาเสียดื้อๆ

    “หึ นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นมัน รอดูก่อนว่าจะงัดไม้ไหนมาเล่นอีก”

    “แล้วอีกเรื่องล่ะครับนายท่าน”

    “รอดูไปก่อนอย่าพึ่งตื่นตูมไป หมอนั่นไว้จัดการทีหลัง”

    “ครับ” ทันทีที่รับคำสั่งเสร็จไคก็เดินออกไปทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นในหัวผมว่าสองคนนี้เขาคุยเรื่องอะไรกันทำไมถึงได้ดูจริงจังกันขนาดนั้น แถมยังแววตาของจุนมยอนที่มันดูจะวาววับนั้นอีก มันทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัย

    “เข้าไปในงานกันเถอะ” ไม่ต้องรอให้ผมตอบอะไรเขาก็ดึงผมให้ตามเข้าไปที่โต๊ะซึ่งถูกเตรียมไว้ให้เท่าที่ดูน่าจะจัดไว้ให้เป็นห้องล่ะโต๊ะถ้าหากว่าห้องไหนพักคนเดียวก็จะมีคนรู้จักหรือเพื่อนข้างห้องมานั่งด้วย ภายในห้องนี้ใหญ่โตกว้างขวางมีวงดนตรีคอยบรรเลงเพลงให้รู้สึกผ่อนคลายอยู่บนเวที

    จุนมยอนพาผมมานั่งลงบนโต๊ะที่มีป้ายสีทองเล็กๆ ตั้งไว้กลางโต๊ะ เป็นป้ายที่มีเลขตรงกับเลขห้องที่ผมกับจุนมยอนพักอยู่นั่นเอง ดูๆ ไปแล้วงานเลี้ยงนี้ก็ไม่ได้เว่อร์วังอลังการอะไรมากมาย ออกจะดูเรียบง่ายเสียมากกว่าด้วยซ้ำ

    อาหารที่ดูแล้วน่าจะราคาแพงไม่น้อยไปกว่าค่าห้องพักถูกนำมาเสิร์ฟแทบจะทันทีที่ผมกับจุนมยอนหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้  ผมรู้สึกอึดอัดจนอยากจะลุกออกไปจากงานเลี้ยงนี้เสียให้พ้นๆ ไม่ใช่เพราะเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่หรือเพราะผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แต่เป็นสายตาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

    ...จะมองอะไรนักหนาก็ไม่รู้ เอาแต่จับผิดคนอื่นอยู่ได้ ขี้ระแวงจริงๆ

    ผมส่ายหน้าเบื่อหน่ายกับนิสัยที่ชอบจ้องจับผิดคนอื่นของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยเลือกที่จะคีบอาหารบนโต๊ะกินแกล้งเป็นไม่สนใจกับแววตาคู่นั้น แต่จุนมยอนเองก็เป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แถมยังดื้อด้านเป็นที่สุด!

    เขายังคงมองตรงมาที่ผมอย่างไม่วางตา ทำอย่างกับว่าถ้าเขาเพียงแค่กระพริบตาครั้งเดียวแล้วผมจะหายออกไปจากตรงนี้เลยอย่างนั้นแหละ ไอ้เรื่องทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีนี่รู้สึกว่าจะเป็นงานถนัดของเขาเสียเหลือเกินหล่ะคนนี้

    “สิบ”

    “?”

    “เก้า” ผมขมวดคิ้วฉับเมื่อยู่ดีๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดอยากทบทวนความรู้เรื่องการนับเลขหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ จู่ๆ จะมานับเลขถอยหลังทำไม บ้ารึเปล่า -______-

    “นี่...”

    “แปด”

    “นี่พี่จะนับเลขถอยหลังทำไมน่ะ”

    “เจ็ด”

    อีกคนดูเหมือนไม่ได้สนใจที่จะฟังในสิ่งที่ผมถามเลยด้วยซ้ำ เขายังเอาแต่นับเลขถอยหลังอยู่เหมือนเดิม แววตาคู่นั้นไม่ได้บอกอะไรให้ผมรู้เลยแม้แต่น้อยมันว่างเปล่า ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น

    “หก”

    “...พี่”

    “ห้า”

    “สี่”

    เมื่อนับถึงสี่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่งของตัวเองแล้วตรงมาหาผม ผมเองได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าอีกคนจะเล่นบ้าอะไร

    “สาม”

    พรึ่บ!!

    ไฟภายในห้องจัดงานเลี้ยงดับสนิททุกดวงจนคนที่อยู่ในงานส่งเสียงฮือฮาอื้ออึงไปรอบๆ เสียงเพลงที่เคยบรรเลงอยู่เมื่อกี้ก็เงียบลง ผมลุกขึ้นยืนแต่ไม่ได้เดินออกไปไหนยังคงอยู่กับที่เพราะกลัวว่าจะเดินหลงไปที่อื่น

    “โอ๊ะโอ เดาเวลาผิดไปนิดนึ่งแฮะ”

    “พี่จุนมยอน” นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เมื่อตอนได้ยินน้ำเสียงหยันๆ ของอีกคนที่ดังอยู่ข้างหู เสียงตะโกนของใครสักคนบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบห้ามลุกออกจากที่ คาดว่าคงจะเป็นผู้ดูแลงานนี้ที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์อันชุลมุน

    “พร้อมรึยังจงแด”

    “พร้อม? พร้อมอะไรผมไม่เข้าใจ”

    เป็นต้องขมวดคิ้วสงสัยอีกรอบเมื่อคนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามประโยคที่เขาไม่สามารถเข้าใจมันได้ว่าอีกคนหมายถึงอะไร ต้องการจะสื่ออะไร

    “ไม่มีเวลาแล้วล่ะ ใส่นี่ไว้ซะ”

    อะไรสักอย่างถูกสวมลงบนนิ้วกลาง คงจะเป็นจุนมยอนที่คว้ามือองเขาไปแล้วสวมอะไรบางอย่างนั้นให้ผม มันเป็นแหวนนั่นเองแต่เป็นแบบสะท้อนแสงเล็กน้อยถ้าไม่เพ่งมองดีๆ ก็คงจะไม่เห็น ผมเงยหน้าขึ้นมองคนสวมแหวนให้แต่ที่สามารถมองเห็นได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ความมืดเท่านั้น

    “พี่สวมแหวนนี่ให้ผมทำไม”

    “สวมไว้พี่จะได้หานายเจอ”

    “...นี่มันอะไรผมงงไปหมดแล้ว”

    “สอง” แล้วเขาก็เริ่มนับเลขถอยหลังอีกครั้ง โดยต่อเนื่องจากเมื่อกี้

    “พี่จะนับเลขทำไม”

    “หนึ่ง!

    “อึก อื้อออ” ผมเบิกตากว้างเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีมือของใครไม่รู้คว้าเอวของผมแล้วดึงเข้าหาตัวจนแผ่นหลังของผมกระแทกเข้ากับหน้าอกของคนที่ดึงผมเข้าไปหาตัว มืออีกข้างก็ใช้ปิดปากผมไว้จนไม่สามารถส่งเสียงร้องอะไรออกมาได้ อยากจะกัดมือนั้นให้ยอมปล่อยแต่ก็เป็นไปได้ยากนักเมื่อมือข้างที่ปิดปากผมนั้นมันปิดแน่นไม่มีช่องว่างให้พอจะทำอะไรได้เลย

    “อึก อ่อยอะ (ปล่อยนะ)” ผมร้องเสียงอู้อี้พยายามจิกเล็บลงไปบนมือที่ปิดปากผมไว้แน่น พยายามมองหาจุนมยอนแต่เพราะวามันมืดเกินไปผมเลยมองไม่เห็นเขา คนที่เข้ามาจับตัวผมนั้นเป็นใครผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คงไม่ใช่จุนมยอนที่คิดพิเรนทร์อะไรไม่เข้าเรื่องแบบนี้แน่นอน

    ร่างทั้งร่างของผมถูกลากออกมาจากโต๊ะที่นั่งอยู่ ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลยนอกจากใช้เล็บที่เริ่มจะยาวนั้นจิกมือที่ปิดปากผมอยู่ให้ยอมปล่อยเสียที แต่ไม่รู้ว่าผมลงแรงน้อยไปหรืออีกคนที่กำลังลากผมอยู่นี้ไม่คิดจะสนใจกันแน่เพราะทุกครั้งที่ผมจิกหรือข่วนเล็บลงไปอีกคนก็ไม่ได้กระตุกมือหนีอะไรเลย หนำซ้ำไม่มีเสียงร้องของความเจ็บปวดอะไรเลยด้วยซ้ำ

    ตอนนี้หัวใจผมเต้นรัวไม่เป็นส่ำ กลัวก็กลัวว่าคนที่ลากผมอยู่นี้จะพาผมไปไหน แล้วจุนมยอนเขาทำอะไรอยู่รู้รึยังว่าผมถูกจับลากออกมาจากในงาน

    จนกระทั่งผมถูกลากออกมายังส่วนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสวนขนาดไม่ใหญ่มากซึ่งร้างไร้ผู้คนจนรอบข้างเงียบกริบ เหลือบเห็นแหวนวงเล็กที่ยังอยู่บนนิ้วมือก็ทำให้ฉุกคิดถึงคนที่สวมมันไว้ให้ จุนมยอนเหมือนรู้ว่าจะต้องมีคนมาจับตัวเขาเจ้าตัวเลยเตรียมการมาอย่างดี ไหนจะยังท่าทีแปลกๆ อย่างการนับเลขถอยหลังนั้นด้วย แน่นอนว่าจุนมยอนต้องรู้อยู่แล้ว แต่ทำไมถึงยังยอมให้ใครก็ไม่รู้จับตัวเขามา?

    แล้วคนที่จับตัวเขามานี้คือใคร?  จับเขามาเพื่ออะไร?

    นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!

    “ยินดีที่ได้เจออีกครั้งนะหนุ่มน้อย”

    ผมถูกจับพลิกให้หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ลากตัวผมออกมา ประโยคทักทายพร้อมกับรอยยิ้มนั้น... เขาไม่ได้ปกปิดหน้าตาของตัวเองทำให้ผมเห็นว่าคนที่จับตัวผมมาคือใคร...

    “คุณอี้ฟาน!!!

    “สวัสดีครับ...น้องจงต้า”

    “คุณจับตัวผมมาทำไม”

    ร่างสูงตรงหน้าไม่ยอมตอบคำถามของผมเขาทำเพียงแค่ระบายยิ้มบนใบหน้า หากเป็นเมื่อก่อนผมคงจะชื่นชมในรอยยิ้มนั้นอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเขาสำหรับผมมันเป็นอะไรที่ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน ผมไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าจะจับผมมาทำไม มีเหตุผมอะไรถึงต้องจับผมมา

    “จะไปไหน!

    ตุบ

    ผมล้มลงหัวเข่ากระแทกกับพื้นจนรู้สึกเจ็บเมื่อผมทำท่าว่าจะหนีแต่ก็ถูกคนตัวสูงคว้าตัวไว้ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวผมเลยล้มลงไม่เป็นท่า

    “คุณจับตัวผมมาทำไม ปล่อยผมไปเถอะนะ” ผมวอนขอต่อคนตรงหน้าแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะเห็นใจแม้แต่น้อย ข้อมือของผมที่เขาจับอยู่ถูกบีบแน่นจนเจ็บ ผมเบ้หน้าเมื่อถูกกระชากให้ยืนขึ้น

    “สาม”

    “?”

    “สอง”

    เอาอีกแล้ว นับเลขถอยหลังแบบนี้อีกแล้ว ทำไมวันนี้คนรอบตัวผมถึงได้ชอบนับเลขถอยหลังกันจัง ทำตัวเหมือนผู้ล่วงรู้อนาคตกันเสียจริง คราวนี้นับแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรอีกล่ะ -___-

    “หนึ่ง”

    “ปล่อยเด็กคนนั้นซะ”

    และเสียงที่ผมคุ้นหูเป็นอย่างดีก็ดังแทรกขึ้นมาหลังจากที่คุณอี้ฟานนับเลขมาถึง หนึ่ง เราสองคนหันกลับไปมองผู้มาใหม่ท่าทางของจุนมยอนดูไม่เดือนร้อยอะไรเลยสักนิด เขาทำตัวสบายๆ เหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเพียงแค่การล่นไล่จับธรรมดาเสียอย่างนั้น

    “มาแล้วสินะ”

    “ฉันไม่อยากยืดเยื้อ...ปล่อยเด็กนั่นมา”  จุนมยอนยังคงทำตัวสบายๆ เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้จุดที่ผมกับคุณอี้ฟานยืนอยู่

    “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นแล้วฉันจะจับตัวเด็กนี่มาทำไมกันล่ะ หึ”

    “อึก!” ผมถูกรวบตัวเข้าไปอยู่ในวงแขนของคนที่ตัวสูงกว่า แขนแข็งแกร่งของเขาตวัดกอดเข้าที่รอบคอของผมแล้วหันให้ผมหันหน้าไปหาจุนมยอน วัตถุเย็นสัมผัสเข้าที่ขมับข้างซ้ายของผมซึ่งไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่ามันคืออะไร

    มันก็คือ...ปืน ไงล่ะ

    จุนมยอนชะงักฝีเท้าที่กำลังสืบเก้าเข้ามาหาผม เขาเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นอาวุธในมือของคนตัวสูง

    “โอ๊ะ! แบบนี้ดูจะธรรมดาไปนะสำหรับฉัน มันไม่สนุกเอาเสียเลย...นายว่าไหมจุนเหมียน”

    แล้วผมก็ถูกผลักออกมาจากตัวของคุณอี้ฟานเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่พ้นถูกพันธนาการไว้ ปืนกระบอกเดียวกันกับที่จ่อเข้าที่ข้างขมับผมนั้นถูกยื่นมาให้ผมตรงหน้า สายตาของคนที่ยื่นปืนให้บอกให้ผมหยิบเอาปืนไปถือไว้ ผมชั่งใจอยู่สักครู่ก่อนที่จะยอมจับเอาปืนกระบอกนั้นเข้ามาไว้ในมือ

    “ยิงมันซะ”

     


    TBC

     

     


    เฮนโหลววววว

    ใครสอบเสร็จแล้วบ้างงงงงงงงง

    ไรท์สอบเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ค่อยว่างอยู่ดี

    เพราะโรงเรียนยังไม่ปิดเลยยยยย

    แต่ก็ว่างกว่าแต่ก่อนแหละ

    จะพยายามมาอัพฟิคให้อ่านเรื่อยๆ นะคะ จุ๊บ



    เหมียว หง่าว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×