คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Mistake 14 100%
Mistake 14
ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายบรรยากาศที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไงดี
ทุกอย่างมันเหมือนจะปกติเหมือนก่อนที่ผมจะถามข้อสงสัยของตัวเองกับจุนมยอน
แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายที่ทำให้อึดอัดจุกอยู่จนแน่นหน้าอกเหมือนกัน
ผมเดินตัวลีบตามหลังของจุนมยอนมาเรื่อยๆ เพราะไม่กล้าจะเอ่ยปากชวนเขาคุยก่อนกลัวว่าจะไปพูดอะไรที่มันไม่เข้าท่าเหมือนกับเมื่อไม่กี่นาทีนี้
มือข้างหนึ่งของผมถูกจับจูงไว้ด้วยมือขาวของอีกคนซึ่งคนจับก็ให้เหตุผลว่า...
‘คนเยอะ
เดี๋ยวหลง’
ผมเลยจำต้องยอมให้เขาจับมือจูงเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ตามใจชอบ
ที่จริงผมจะชักมือกลับแล้วโบกรถกลับโรงแรมเองก็ได้เพราะผมเองก็พอจะรู้ภาษาจีนอยู่บ้าง
แต่ปัญหามันมีอยู่สองอย่างนั่นก็คือ หนึ่งกลัวหลงทางเพราะเท่าที่จำได้ผมยังไม่เคยมาจีนเลยด้วยซ้ำ และสองคือไม่มีเงิน...
ทั้งเนื้อทั้งตัวผมนั้นมันไม่มีปัจจัยที่เรียกว่าเงินด้วยซ้ำ และสาม...ผมกลัวจุนมยอนจะโวยวาย
นั่นแหละครับที่ทำให้ผมยังคงต้องมาติดแหงกอยู่ในบรรยากาศที่ชวนอึดอัดแบบนี้
“หิวรึเปล่า”
“อะ เอ๋?”
ผมทำหน้าเหลอหลาเมื่อคนที่เดินนำหน้าอยู่เกิดหยุดกะทันหันแล้วหันมาจ้องหน้าให้ผมรู้ว่าที่เขาถามไปเมื่อกี้คือเขากำลังคุยกับผมอยู่
“เอ่อ...ก็นิดหน่อยครับ”
“ถ้างั้นไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับห้องก็แล้วกัน”
“ครับ”
แล้วผมก็เดินตามเขาต้อยๆ
ไปด้วยสภาพคอตกถ้าเปรียบเป็นน้องหมาก็คงจะเป็นอาการหางลู่หูตกไม่ผิดเพี้ยน
เอาตามตรงนะ
คือผมไม่ชอบบรรยากาศในตอนนี้เอาเสียเลยผมอยากให้จุนมยอนกลับมาเจ้ากี้เจ้าการแล้วก็พูดเพราะๆ
ไม่เมิน ไม่ทำหน้านิ่งใส่ผมอย่างตอนนี้
ใครพอรู้วิธีย้อนเวลาบอกผมทีได้ไหมผมสาบานเลยว่าจะย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
และจะไม่ถามคำถามโง่ๆ แบบนั้นกับเขาเลย TvT
“กินหม้อไฟไหม”
ร่างโปร่งที่เดินนำหน้าหยุดอยู่ที่หน้าร้านหม้อไฟแล้วหันมาถามความเห็นผม
ผมมองเข้าไปภายในร้านจากข้างนอกจะเห็นว่าด้านในนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงาม
มันไม่ใช่ร้านอาหารที่ดูจีนแท้ติดออกไปทางแนวยุโรปหน่อยๆ
แต่ก็ยังคงเค้าของจีนไว้อยู่
ดูจากจำนวนโต๊ะอาหารที่มีคนนั่งกันอยู่เนืองแน่นคงเป็นตัวการันตรีได้ว่าร้านนี้อาหารอร่อยจริง!
อ่า
ผมเองก็อยากจะกินอาหารเผ็ดร้อนแบบนี้อยู่ด้วยสิ ลองดูหน่อยก็แล้วกัน : )
“ครับ”
จุนมยอนพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้แล้วจึงเดินนำผมเข้าไปในร้าน
สิ่งแรกที่ทำให้ผมยิ้มออกมาเมื่อเดินเข้ามาในร้านคือเสียงดนตรีที่เปิดคลอเบาๆ
ฟังสบายลื่นหู พนักงานหนุ่มเดินเข้ามาต้อนรับผมกับจุนมยอนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและกล่าวทักทายด้วยวาจาสุภาพ
จุนมยอนเอ่ยปากถามถึงห้องวีไอพีเป็นอย่างแรกซึ่งก็ได้ผลตอบรับกลับมาว่าเหลืออยู่ห้องหนึ่งพอดี
“เอ่อ...คุนจุนเหมียนใช่ไหมครับ”
ผมกับจุนมยอนที่กำลังจะเดินตามพนักงานต้อนรับเข้าไปยังห้องอาหารเป็นต้องหยุดชะงักเมื่อมีคนทักขึ้นมาก่อน
เมื่อหันมามองก็เจอร่างสูงโปร่งกำลังยืนส่งยิ้มที่ผมคิดว่าโคตรเท่มาให้ อ่า
นี่มันคุณอู๋ อี้ฟานนี่นา >3<
“ใช่จริงๆ ด้วย! จงต้าก็มาด้วยเหรอเนี่ยดีใจจัง”
สรรพนามที่ใช้เรียกเหมือนคนสนิทกันมานานของคุณอี้ฟานชักจะทำผมใจสั่นเบาๆ คนอะไรก็ไม่รู้โคตรหล่อเลย
><
“คุณอี้ฟานมาอะไรงั้นเหรอครับ”
“ผมมาเดินซื้อของเล่นน่ะครับ
พอดีหิวเลยว่าจะแวะมาทานหม้อไฟ คุณจุนเหมียนกับจงต้าล่ะครับมาทำอะไร”
“มาซื้อของครับ”
ประโยคสนทนามันดูเหมือนจะธรรมดาแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่ามันมีรังสีอำมหิตฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวของจุนมยอนกันนะ
ไหนจะยังเสียงที่ดูจะแข็งๆ นั่นอีก
“แล้วนี่มากันแค่สองคนเหรอครับ”
“ครับ”
“อ่า น่าสนุกจังเลยนะครับ ไม่เหมือนผมเลย” คุณอี้ฟานพูดเสียงอ่อนลงใบหน้าหล่อเหลาแลดูเศร้าลงเล็กน้อย
“คุณอี้ฟานทำไมหรอครับ”
ผมไม่ได้อยากจะจุ้นนะแต่มันอดไม่ได้จริงๆ นี่นา หล่อขนาดนี้ไม่มีแฟนเหรอ?
“ก็พี่มาเดินเล่นคนเดียว
แล้วยังต้องกินข้าวคนเดียวอีก”
“งั้นก็ไปกินด้วยกันสิครับ!”
ขวับ!
จุนมยอนหันขวับมามองผมแทบจะทันทีที่ผมเอ่ยชวนคุณอี้ฟาน
สายตาแข็งกร้าวชัดเจนจนผมต้องก้มหน้าหลบ และเหมือนคุณอี้ฟานจะเข้าใจสถานการณ์จึงได้เอ่ยปากปฏิเสธด้วยเสียงติดเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“เห็นทีว่าคุณจุนเหมียนคงจะไม่สะดวก
ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมกินคนเดียว...”
“ไม่ต้องหรอกครับ กินหม้อไฟหลายๆ
คนมันจะได้ไม่กร่อย”
ผมแอบเหล่มองคนข้างๆ เล็กน้อย
ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งธรรมดาแต่ผมสัมผัสได้นะว่าในน้ำเสียงของเขาที่ใช้พูดกับคุณอี้ฟานน่ะมันเย็นเหยียบเหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือเลยแหละ
“งั้นผมคงต้องรบกวนคุณจุนเหมียนด้วยนะครับ”
สุดท้ายเราทั้งสามคนก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องอาหารวีไอพีซึ่งบอกได้เลยว่าวีไอพีจริงๆ!
ถึงผมจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการตกแต่งมากมายแต่ก็ยังรู้ได้เลยว่าห้องนี้ถูกตกแต่งได้อย่างลงตัว
มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ช่วยดับกลิ่นของอาหารได้ดีจนผมแทบเคลิ้มหลับ
โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมตั้งเด่นอยู่กลางห้อง
ผมได้นั่งข้างกับจุนมยอนส่วนคุณอี้ฟานก็นั่งอยู่อีกฝั่ง
รอไม่นานหม้อไฟที่สั่งไปก็ทยอยกันมาเสิร์ฟจนแทบเต็มโต๊ะ
ผมมองอาหารตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
ตอนอยู่เกาหลีผมไม่ค่อยได้กินหม้อไฟเสียเท่าไหร่เพราะไม่มีเงิน
ถ้าวันไหนจะได้กินก็เป็นวันที่พี่อี้ชิงอารมณ์ดีพาไปเลี้ยงนั่นแหละครับซึ่งมันก็นานๆ
ครั้งเพราะพี่อี้ชิงงานเยอะ
บรรยากาศในห้องไม่ได้คึกคักอย่างที่ควรจะเป็น
มันเงียบจนทำให้ผมรู้สึกอึดอัด
มันอึดอัดกว่าตอนที่จุนมยอนทำหน้าเรียบเฉยแล้วใช้เสียงเรียบๆ คุยกับผมเสียอีก มันเหมือนจะมีกลิ่นมาคุลอยตลบอบอวนไปทั่วทั้งห้อง
“จงต้าเคยกินลิ้นเป็ดไหม”
คุณอี้ฟานเหมือนจะรับรู้ว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไปเลยชวนคุย
ผมเองก็เห็นด้วยที่ว่าเราควรจะคุยกันเสียหน่อย
“ไม่เคยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูเสียหน่อยสิครับ” ไม่ว่าเปล่า
ลิ้นเป็ดที่ผมมองว่ามันดูประหลาดๆ
ก็ถูกนำมาวางลงในถ้วยของผมด้วยฝีมือของคนนำเสนอเมนู ผมส่งยิ้มขอบคุณให้ก่อนจะลองคีบลิ้นเป็ดขึ้นมาลองกินดู
รสชาติของมันไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิดเอาไว้เลยสักนิด กลับกันแล้วคือมันอร่อยมากๆ
“อร่อยไหม”
“อร่อยมากๆ เลยครับ ^^”
“พี่เองก็...อยากกินลิ้นเป็ดเหมือนกันนะ”
“...”
เกิดความเงียบขึ้นทันทีที่จบคำของคุณอี้ฟาน หากมีคนบอกว่าผู้หญิงด้วยกันมักจะมองกันออก
ผมก็บอกได้เลยว่าผู้ชายด้วยกันเขาก็มองกันออกเหมือนกัน นั่นเลยเป็นสาเหตุให้เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องอาหารนี้ยังไงล่ะ
มันไม่ใช่แค่คำพูดสองแง่สองง่ามของคุณอี้ฟานหรอกที่ทำให้เกิดความเงียบขึ้น
แต่มันบวกกับแววตาที่จ้องมองมายังริมฝีปากของผมแล้วสื่อความหมายอันน่าสยองนั่นด้วย
“กินผักหน่อยแล้วกันจะได้แข็งแรง” เสียงเรียบๆ จากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
มาพร้อมกับผักที่ลวกมาแล้วอย่างดีถูกวางไว้ในถ้วยของผม
เหมือนจุนมยอนเองก็จะรู้ว่าผมคงจะไปต่อไม่ถูกกับประโยคของคุณอี้ฟานเขาเลยยื่นมือเข้ามาช่วย
ซึ่งก็คงจะต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
Rrrrr
เสียงเรียกเข้าจากมือถือของใครสักคนที่ไม่ใช่ผมดังขัดช่วยให้ภายในห้องไม่เงียบอีกแรง
และคนที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้นก็คือคุณอี้ฟาน
ร่างสูงก้มศีรษะให้ผมกับจุนมยอนเล็กน้อยแล้วเดินออกไปรับโทรศัพท์ที่ข้างนอก
“...”
“...”
ผมคิดว่าถ้าคุณอี้ฟานออกไปแล้วบรรยากาศมันคงจะไม่น่าอึดอัด
แต่นั่นคือสิ่งที่คิดผิดไปถนัดมันอึดอัดกว่าตอนที่มีคุณอี้ฟานนั่งอยู่ด้วยเสียอีก
มันเหมือนจุนมยอนคอยปล่อยรังสีอำมหิตออกมารอบกายทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกเหมือนอยากจะลุกออกไปจากบริเวณนี้แล้วไม่กลับมาอีก
ซึ่งถ้าผมทำแบบนั้นได้ก็คงจะดีมาก
“พอดีมีธุระนิดหน่อยยังไงผมคงจะต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ
น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้อยู่ทานกับทั้งสองคนนานกว่านี้”
คุณอี้ฟานที่พึ่งจะเดินกลับเข้ามาในห้องอาหารร่ายยาวพลางเก็บของในส่วนของตัวเองไปด้วย
ผมยิ้มแล้วบอกเขาว่าไม่เป็นไรโอกาสหน้าค่อยมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันใหม่ก็ได้
คนที่กำลังรีบเลยเอ่ยปากลาแล้วบอกจะเป็นคนรับผิดชอบค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด
ผมกำลังจะตอบรับในน้ำใจแต่จุนมยอนก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ค่าอาหารแค่นี้ผมจ่ายได้”
“...”
“...ส่วนเด็กคนนี้ผมก็เลี้ยงได้ไม่หนักหนาอะไรหรอกครับ”
ประโยคสุดท้ายพูดแล้วหันมามองที่ผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองคุณอี้ฟานอีกที
ได้ยินเสียงหึออกมาจากลำคอของคนที่ยืนมองอยู่แว่วๆ
ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะเรียบตึงเสียยิ่งกว่าเดิม
“ผมเองก็ไม่ได้จนปัญญาขนาดเลี้ยงใครไม่ได้เหมือนกัน
เอาเป็นว่าผมเลี้ยงพวกคุณในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านแล้วกัน”
ไม่รอให้ได้ค้านอะไรร่างสูงก็เดินออกไปจากห้องทิ้งไว้เพียงแสงรำไรของสายฟ้าจากที่ใช้จ้องเหมือนจะฆ่ากันให้ตายกับจุนมยอนไปเมื่อกี้
ผมลอบมองใบหน้าของคนข้างๆ เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมันเรียบนิ่งจนเข้าขั้นเย็นชา
ก่อนจะกลายเป็นกระตุกยิ้มที่มุมปากพลางส่งเสียง หึ!
ออกมาจากลำคอแล้วหันกลับมาจ้องหน้าผม
วินาทีนั้นผมรับรู้ได้พียงว่าเหมือนจะมีอะไรเย็นวาบๆ ตรงสันหลัง
บรรยากาศระหว่างผมกับจุนมยอนมันดูเหมือนจะแย่ลงกว่าเดิมหลังจากไปกินหม้อไฟกันมาจนตอนนี้เรากลับมาถึงที่พักแล้วร่างโปร่งก็ยังคงปล่อยรังสีอำมหิตที่พร้อมจะทำลายล้างได้ทุกอย่าง
และดูเหมือนว่ารังสีนั้นมันจะยิ่งแก่กล้าเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เขาหันมามองหน้าผม
ผมเลยได้แต่ทำตัวลีบเดินเอาของเข้าไปเก็บไว้
ในส่วนของของกินผมแยกไปไว้ในห้องครัวซึ่งส่วนมากก็จะเป็นพวกเครื่องดื่มแล้วก็ขนมขบเคี้ยวเล็กน้อย
จัดวางให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้วจึงย้ายไปจัดของเครื่องใช้เช่นพวกสบู่หรือแชมพูที่จุนมยอนบอกว่าไม่ชอบใช้ของที่โรงแรมเตรียมไว้ให้
เพราะกลิ่นของมันฉุนจมูกสำหรับเจ้าตัวผมเองเป็นคนง่ายๆ
เขามีอะไรให้ใช้ก็ใช้ไม่เรื่องมากเหมือนเขาหรอกครับ
ผมหยิบแชมพูขวดขนาดกลางขึ้นมาดูมันเป็นแชมพูกลิ่นหอมอ่อนๆ
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นกลิ่นของอะไรเพราะไม่ได้อ่านภาษาจีนมานานมันเลยลืมๆ
ไปบ้างยังดีหน่อยที่ยังพูดได้ฟังออก
เมื่อพยายามสะกดพยายามอ่านเท่าไหร่ก็เหมือนมันจะไม่ได้เสียทีผมเลยเลิกพยายามแล้วเอามันไปวางไว้ข้างกันกับขวดที่ทางโรงแรมเตรียมให้
ต่อมาก็เป็นสบู่เหลวขวดเกือบเท่ากันกับขวดแชมพู
อันนี้เป็นกลิ่นส้มแน่นอนโดยที่ผมไม่ต้องเดายากเพราะฉลากของขวดนั้นมีรูปส้มเด่นหลา
เพิ่งจะรู้ว่าคนอย่างหมอนั่นก็ชอบอะไรแบบนี้ด้วย
ทำตัวมุ้งมิ้งขัดกับบุคลิกเสียจริง!
เมื่อจัดของในห้องน้ำเสร็จผมก็ออกมาตรวจดูว่ายังไม่ได้จัดอะไรอีกบ้าง
ทุกอย่างดูเรียบร้อยเข้าทางหมดแล้วเว้นก็แต่บนเตียงกว้างที่มีชุดสูทวางอยู่สองชุด
ซึ่งก็น่าจะเป็นของผมกับจุนมยอนที่ไปเลือกซื้อกันมาจะว่าไปแล้วผมก็ลืมชุดไปเสียสนิทเลยนะเนี่ย
แปลกจังตอนจัดของทำไมไม่เห็น...
“เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่างานจะเริ่มนายจะพักผ่อนก่อนก็ได้นะ”
ผมสะดุ้งเล็กน้อยตกใจกับเสียงของใครบางคนที่เดินเข้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียง
พอหันไปมองก็เจอจุนมยอนกำลังยืนกอดอกพิงขอบประตูมองมาที่ผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่งอย่างเคย
เมื่อไม่ได้การตอบรับอะไรจากผมเขาก็หมุนตัวกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องให้ด้วยเสร็จสรรพ
ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหยิบเอาชุดไปห้อยไว้ที่ราวสำหรับแขวนผ้าก่อนจะเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอนที่เตียงนุ่มๆ
และจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา...
ฝั่งจุนมยอน...
“หมอนั่นดำเนินการรึยัง”
(ครับ เห็นออกไปคุยโทรศัพท์หลังจากนายท่านขึ้นเครื่องไปผมแอบตามไปฟังได้ยินหมอนั่นกำลังรายงานครับ)
“ดีมาก ฉันคิดว่าทางนั้นคงจะเริ่มแผนวันนี้แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจว่าทางนั้นจะเล่นใคร
นายเองก็ระวังตัวด้วยแล้วก็รีบทำตามแผนที่วางไว้ด้วยล่ะ”
(รับทราบครับนายท่าน)
ผมกดวางสายจากลูกน้องคนสนิทแล้วทิ้งตัวลงกับโซฟาปล่อยความคิดต่างๆ
นานาที่ไหลเวียนเข้ามาในหัวให้ผ่านออกไป
แต่จนแล้วจนรอดสมองมันก็ยังวกกลับไปคิดถึงแต่เรื่องของคนๆเดียว คิม จงแด...
ไหนจะเรื่องที่ต้องหาวิธีกีดกันอี้ฟานให้ออกไปห่างๆ
แล้วไหนจะยังเรื่องของครอบครัวบยอนอีก บยอน
แบคฮยอนคนนั้นน่ะผมรู้จักเขาดีว่าเขาเข้าหาจงแดเพราะอะไร เขามันก็คือแบคฮันเด็กคนนั้นที่ผมไม่ควรจะนิ่งนอนใจ
ไม่ว่าเขาจะมีแผนอะไรผมก็พร้อมที่จะตั้งรับ
ขอเพียงแค่จงแดไม่เป็นอะไรถึงแม้ว่าผมต้องตายผมก็ยอม...
50%
ผมปล่อยให้จงแดได้นอนพักผ่อนจนคิดว่าน่าจะเต็มที่แล้วจึงเดินเข้าไปปลุกเขาในห้อง
ผมพยายามที่จะแง้มประตูออกให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนคนที่นอนอยู่ข้างใน
และก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดเท่าไหร่เมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วยังเห็นว่าคนตัวบางนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนุ่ม
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปเพื่อดูใบหน้าตอนหลับของจงแดให้ชัดๆ
มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้ดูใบหน้าตอนหลับของจงแดชัดๆ
จงแดยังเหมือนเดิม...เด็กคนนี้ยังคงชอบนอนคู้ตัวเข้าหากันแล้วเอาหน้าซุกเข้ากับมือของตัวเองเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเพียงแค่ผมได้เห็นจงแดกินอิ่ม นอนหลับ
รอยยิ้มที่ผมไม่ได้ใช้มันมอบให้ใครมานานก็ปรากฏขึ้นมาเสียทุกที
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนจงแดก็ยังคงมีอิทธิพลต่อผมเสมอ...
เหมือนมีแรงดึงดูดให้ใบหน้าของผมค่อยๆ
เคลื่อนเข้าไปใกล้กับใบหน้าของคนที่นอนหลับสนิทช้าๆ
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ดลใจให้ผมทำแบบนี้ผมก็ไม่คิดที่จะหักห้าม ริมฝีปากของผมแตะเบาๆ
ที่แก้มสีระเรื่อของคนตัวบางเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ
ที่ผมคิดว่ามันเหมือนกลิ่นของผมส้มยามเช้านั้นต่อให้สูดดมเท่าไหร่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอจนต้องกดจมูกลงไปสูดดมให้แนบชิดมากกว่าเดิม
ก่อนจะรีบผละออกมาเมื่อคนที่หลับอยู่เริ่มขยับตัว
“พี่...”
“ตื่นแล้วหรอ”
จงแดกระพริบตาปริบๆ มองมาที่ผมอย่างมึนๆ คงเพราะยังไม่ตื่นเต็มตา
ผมส่งยิ้มไปให้น้องก่อนจะเอื้อมมือไปเกลี่ยผมหน้าม้าให้เข้าที่แล้วจึงเลื่อนสายตาลงมาให้สบเข้ากับดวงตาหวานๆ
นั้น
“...”
“ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วครับ
อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะต้องลงไปงานเลี้ยงข้างล่างแล้ว”
ดวงตาหวานนั้นยังคงจ้องสบกับตาผมไม่ห่าง
ผมเลยยื่นมือไปบีบเข้าที่จมูกรั้นนั้นเบาๆ
อย่างหมั่นเขี้ยวลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเคยโมโหคนตาหวานนี้
“...”
“ยังไม่ยอมลุกอีก...หรือจะให้พี่อาบให้ครับ”
ผมถามยิ้มๆ
ใบหน้าที่ผมมองว่ามันน่ารักน่าชังนั้นแดงเรื่ออย่างเขินอาย
แต่ผมจะไม่ยอมใจอ่อนให้หรอกนะครับ
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำท่าว่าจะอุ้มคนที่ยังไม่ยอมลุกจากที่นอนนั้นไปอาบน้ำให้ตามที่พูดไว้จริงๆ
แต่ก็ช้าไปเมื่อคนที่นอนอยู่บนเตียงกระเด้งตัวขึ้นมาแล้วรีบวิ่งรุดเข้าไปในห้องน้ำทันทีแบบไม่ต้องให้พูดซ้ำ
รอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงร่างบางที่อยู่ในชุดสูทสีดำข้างในเป็นเชิ้ตสีขาวผูกหูกระต่างสีดำอีกทีก็ค่อยๆ
ก้าวออกมาจากห้องนอน ชุดนี้ช่างเหมาะกับจงแดจริงๆ สูทสีดำช่วยขลับให้ผิวขาวๆ
นั้นเด่นชัดขึ้นมาจนผมชักจะเริ่มหวงเด็กคนนี้ขึ้นมา ใบหน้าติดหวานยังคงไม่มีอะไรตกแต่งให้ดูโดดเด่นขึ้นมา
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะผมเตรียมช่างให้มาแต่งหน้าให้เรียบร้อยแล้ว ^^
“มาแต่งหน้าสักหน่อยสิจงแด”
“ต้องแต่งด้วยหรอ...ครับ”
“ก็ต้องแต่งอยู่แล้วสิ
เดี๋ยวนายแต่งหน้าไปก่อนนะพี่จะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย”
ร่างบางพยักหน้าให้ผมเล็กน้อยแล้วเดินเลี่ยงไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งให้ช่างแต่งหน้าทั้งหลายละเลงเครื่องสำอางบนใบหน้าให้เต็มที่
ผมยืนมองดูเพียงครู่เมื่อเห็นว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรจึงเดินเข้าไปอาบน้ำบ้าง
ใช้เวลาในการอาบน้ำไม่นานผมก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยสูทสีดำและปิดท้ายด้วยเนคไทสีดำเช่นกัน
เพราะเป็นผู้ชายเรื่องแต่งตัวมันเลยไม่ยุ่งยากเหมือนผู้หญิง
แต่ไม่นานก็เสร็จไม่ได้มีเครื่องประดับอะไรมากมายสวมแค่นาฬิกาไว้ดูเวลาแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
อดจะเป็นห่วงเด็กตัวเล็กไม่ได้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
ไม่รู้ว่าจะโดนพี่ๆ ช่างแต่งหนาละเลงอะไรลงบนใบหน้าขาวใสนั้นบ้าง
คิดแล้วก็นึกขำเมื่อคิดว่าคงจะเจอเข้ากับใบหน้าเหลอหราของเด็กตัวบาง
“เสร็จกันรึยังครับ”
แทบจะทันทีที่ผมยื่นหน้าเข้าไปทักทายคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการแต่งหน้ากันอยู่ก็หันมามองที่ผมเป็นตาเดียว
ผมเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ ไปให้พี่ๆ ช่างแต่งหน้าสองสามคน
มองเลยเข้าไปเห็นจงแดนั่งก้มหน้าอยู่หน้ากระจกก็นึกแปลกใจว่าเป็นอะไรรึเปล่า
“คุณจุนเหมียนมาพอดีเลยค่ะ
พวกเราแต่งหน้าให้คุณจงต้าเสร็จพอดีเลย”
“ครับ แล้ว...”
พูดค้างไว้เท่านั้นให้พอเข้าใจ
พี่ๆ ช่างแต่งหน้าเลยส่งยิ้มที่ผมมองว่ามันเหมือนรอยยิ้มล้อเลียนมาให้
พี่สาวที่ดูมีอายุแล้วหันไปสะกิดคนที่นั่งนิ่งอยู่สองสามทีแล้วประคองให้ลุกออกมาจากเก้าอี้
ช่างแต่งหน้าทุกคนต่างก็หลีกทางให้ผมได้ดูผลงานการแต่งหน้าของพวกหล่อนได้ชัดๆ
จงแดดูจะเก้ๆ
กังๆ อยู่บ้าง ผมเองก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรรอจนน้องพร้อมที่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมเอง
ไม่กี่อึดใจใบหน้าน่ารักก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาสบตากับผมอย่างขลาดเขิน
และวินาทีนั้นแหละที่ทำให้ผมเข้าใจฉากในหนังที่พระเอกตะลึงเมื่อเจอนางเอกเปลี่ยนโฉมใหม่
เหมือนทุกอย่างหยุดหมุนไปชั่วขณะ
บริเวณรอบกลายเป็นสีขาวมีเพียงแค่ผมกับจงแดที่ยืนอยู่ตรงนี้
เขามองหน้าผม...ผมมองหน้าเขา เราสองคนต่างก็มองกันและกัน
พื้นเหมือนจะหมุนเป็นวงกลมไปรอบๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
ผีเสื้อนับสิบตัวบินว่อนสวยงาม
ลูกเป็ดขี้เหร่ที่ผมเคยล้อกลับกลายเป็นหงส์ผู้สง่างามเสียแล้วตอนนี้...
2BC
นั่นแน่ะ!! อ่านจบแล้วอย่าเพิ่งออกไปไหน
คอมเม้นติชมไรท์ก่อนนนนนน
๕๕๕๕๕๕ ขอบคุณที่รอนะคะ แล้วก็ช่วยรอตอนต่อไปกันด้วยน้าาาา
เหมียว หง่าว
ความคิดเห็น