คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Mistake 15 100%
Mistake 12
ผมเดินเก้ๆ กังๆ ออกมาเผชิญหน้ากับจุนมยอน
รู้สึกเขินอย่างไงก็ไม่รู้เมื่อสายตาปะทะเข้ากับสายตาที่มองมาของอีกคน
คนตรงหน้ามองผมนิ่งจนผมไม่กล้าที่จะสบตากับเขาเลยเลี่ยงไปมองอย่างอื่นแต่กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาเกาแก้มแก้เขินให้ได้เสียฟอร์มเล่นๆ
ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังแว่วมาจากเหล่านูน่าที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้แก้มที่ผมรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่แล้วยิ่งรู้สึกว่ามันเห่อร้อนขึ้นมามากกว่าเดิม
“อะแฮ่ม!”
เสียงงกระแอมของจุนมยอนดังขัดขึ้นมาให้บรรยากาศแสนเงียบเชียบชวนเขินนั้นพังลง
เขาเดินเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบ บนใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะยิ้มอะไรนักหนา
มือของเขายื่นออกมาตรงหน้าเหมือนจะให้ผมจับที่มือของเขา
ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยอมเอื้อมมือออกจับกับมือที่ยื่นมารออยู่ก่อนแล้ว
“อ๊ะ!”
เผลอร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อคนที่ยื่นมือออกมาให้ผมจับนั้นอยู่ดีๆ
ก็ดึงผมเข้าไปหาตัวอย่างแรงจนร่างกายของเราแนบชิดกัน
แต่ยังไม่ทันให้ผมได้ร้องถามอะไรก็ต้องเจอเรื่องที่ทำให้อึ้งหนักกว่าเดิมเมื่อร่างของนูน่าหนึ่งในช่างแต่งหน้าของผมล้มพับลงไปกองกับพื้น
และคนที่เหลือก็ล้มลงไปตามๆ กัน
“พวกลอบกัด!” หูที่เหมือนอื้อดับไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วแว่วได้ยินเสียงพูดกัดฟันมาจากคนที่โอบเอวผมไว้แน่น
หัวใจของผมเต้นถี่ด้วยความตื่นเต้นตกใจพอๆ กับลมหายใจเข้าออกที่ดูไม่เป็นจังหวะ
ขาแข้งอ่อนแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้นแม้แต่คนที่โอบเอวผมไว้ก็ไม่ทันจะคว้าได้ทัน
“นี่มัน...อะไร”
“พวกฝ่ายตรงข้ามน่ะ
คงถูกส่งตัวมาให้กำจัดพี่”
ถึงแม้จะได้รับคำอธิบายให้เข้าใจแล้วแต่ผมก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิกตัวไปไหน
จากหางตาเห็นว่าเหล่านูน่าพวกนั้นไม่ได้มีเลือดไหลรินออกมาอย่างที่คิดไว้
มีเพียงลูกดอกอะไรสักอย่างเล็กๆ ปักอยู่ในส่วนสำคัญของร่างกาย และตรงนั้นก็มีเลือดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
“เข้ามาได้” ผมไม่รู้ว่าจุนมยอนคุยกับใครหรือเขาบอกใคร
สติของผมมันยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติขนาดที่จะทำให้ตามเหตุการณ์ทัน
“จัดการซะ”
“ครับ นายท่าน” เสียงคุ้นๆ ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับร่างสูง ผิวเข้ม
ใบหน้าหล่อเหลาที่ผมรู้จักดี ...ไคมาที่นี่ได้ยังไง?
ร่างสูงหันมาส่งยิ้มอ่อนๆ ให้ผมเล็กน้อย
แต่ผมกลับไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรตอบโต้ร่างสูงเพียงนิด
ร่างกายของผมยังไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้
จนเป็นจุนมยอนที่ย่อตัวลงมาประคองผมให้ยืนขึ้น
แขนของเขาโอบที่ไหล่ของผมกันไปให้ผมล้มพับลงไปกองกับพื้นอีก
“หาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังมาให้ได้เร็วที่สุด” คนที่โอบไหล่ผมไว้หันไปส่งไคที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่
เมื่อเห็นว่าไคก้มหัวรับคำสั่งแล้วเขาจึงพาผมเดินออกมาจากบริเวณนั้น
“หายกลัวรึยัง”
น้ำอัดลมถูกยื่นมาแตะที่แก้มข้างซ้ายของผม
ความเย็นที่สัมผัสได้เรียกให้ผมหันไปมอง จุนมยอนหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ผม
หลังจากที่ผมถูกพาตัวให้ออกห่างจากห้องพักจุนมยอนก็ดูจะคอยชวนผมคุยตลอด
คงเพราะอยากจะให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมเองก็ซึ้งในน้ำใจของเขาอยู่หรอกนะอยากจะทำให้เขาสบายใจไม่ต้องคิดกังวลกับผมมาก
แต่การที่จะปริปากพูดในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันยากลำบากเหลือเกิน
“ดื่มอะไรเย็นๆ เสียหน่อยสิจะได้รู้สึกดีขึ้น”
น้ำอัดลมกระป๋องเดิมถูกยื่นมาตรงหน้า
ผมรับมันมาดื่มอึกหนึ่งก็รู้สึกว่ามันสดชื่นขึ้นมาจริงๆ แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเลยเลือกที่จะวางมันไว้ข้างกายเผื่อไว้ดื่มคราวหน้า
ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดเข้ามาทุกทีเวลางานเลี้ยงก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรหรือออกไปพบหน้าใครทั้งนั้น ในหัวมีแต่ภาพพวกนูน่านอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจถึงสถานการณ์ดีนักแต่ก็พอจะจับประเด็นได้ว่านูน่าพวกนั้นเป็นคนของศัตรูจุนมยอนที่ถูกส่งมาทำอะไรซักอย่าง
หรือก็คงจะเป็นกำจัดจุนมยอนอย่างที่เจ้าตัวบอกกับเขา
แม้ว่าพวกนูน่าเหล่านั้นจะเป็นคนที่เข้าหาพวกผมด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีแต่ว่า...ให้ผมมาเห็นภาพคนตายกันสดๆ
แบบนี้ยังไงมันก็ต้องรู้สึกแย่เป็นธรรมดา
เฮ้อ! คิดไปคิดมาก็พาลแต่จะทำให้เสียสุขภาพจิต
แถมยัง...ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พลอยรู้สึกแย่ไปด้วยเลย
จุนมยอนพยายามทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเพราะฉะนั้นผมก็ควรที่จะต้องทำตัวให้เป็นแกติอย่างที่เขาต้องการ
ฮึบ!
รวบรวมกำลังใจทั้งหมดที่พอจะมีเหลืออยู่บ้างให้เต็มที่แล้วหันมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว
จุนมยอนดูจะงงๆ เล็กๆ แต่ไม่นานเขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ผม
“ถ้ายังไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอก
พี่รู้ว่าสำหรับนายมันยากที่จะทำใจกับเรื่องนี้”
“ผมโอเค” เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมโอเคแล้วตามที่พูดจริงๆ
ผมยิ้มกว้างกว่าครั้งแรกจนตาหยี
หมับ
“อ๊ะ!”
เพราะตาที่หยีลงจากการยิ้มทำให้ผมไม่ทันจะได้ตั้งตัว
แรงกอดรัดจากคนอายุมากกว่านั้นแม้ว่าจะมาแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัวแต่เมื่อได้รับแล้วก็ทำให้รู้สึกดีอย่างน่าแปลกใจ
ผมไม่ได้ดิ้นขัดขืนออกจากอ้อมกอดของจุนมยอนตรงข้ามผมกลับกอดตอบเขาอย่างเต็มใจ
อ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่สุดสำหรับผม
“พี่รู้ว่านายยังไม่โอเค
แต่อนาคตนายอาจจะต้องเจอกับอะไรที่หนักหนากว่านี้ก็ได้
นายเองก็ควรที่จะต้องเข้มแข็ง”
“...พี่หมายความว่ายังไง”
“นายไม่ต้องรู้หรอกว่าพี่หมายว่าถึงอะไร...แค่นายรู้ไว้ว่าพี่จะไม่ทิ้งนายแค่นั้นก็พอแล้ว”
“...พี่จุนมยอน”
เสียงตอบรับของผมที่มีต่อเขามันเป็นเพียงเสียงที่ครางเครือชื่อของเขาออกมาแผ่วเบาเพียงเท่านั้น
ประโยคที่เรียกให้ใจสั่นไหวเมื่อกี้นี้มันคืออะไรกัน?
“ใกล้ถึงเวลางานเริ่มแล้วไปกันเถอะ”
ยังไม่ทันให้ผมได้สงสัยอะไรไปมากกว่านี้ร่างหนาที่กอดผมอยู่ในตอนแรกก็ผละออกไปแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ผมได้เพียงแค่มองหน้าเขางงๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วเกินไปหรือยังไงทำไมสมองผมเหมือนจะตื้อๆ พิกล
“ที่พี่พูดเมื่อกี้...”
“รีบเข้าไปเถอะอยู่ข้างนอกนานๆ เดี๋ยวยุงกัด”
พูดตัดบทผมไว้แค่นั้นเขาก็จูงมือพาผมเดินเข้าไปในโรงแรม
ทำไมคนๆ นี้ถึงชอบทำให้ผมสงสัยแล้วก็ค้างคาอยู่เรื่อยเลยนะ -_-
*****
ผมกับจุนมยอนเดินเข้ามาภายในห้องโถงที่ใช้สำหรับจัดงานโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย
มีเพียงแค่มือของผมที่ถูกเขากุมไว้ตลอดทางที่เดินมา พอมาเจอคนเยอะๆ
แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าไปเสียอย่างนั้น
มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้
ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไปผมก็ก็เหมือนถูกตัดออกจากโลกอีกใบ
แต่มันก็ดีที่ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่เคยได้เพื่อนแท้เลยนั้นตอนที่มีเงินมากมายคนพวกนั้นที่ยอมคบกับผมก็เพียงเพราะแค่ผมมีเงิน
แต่พอผมไม่มีเงินพวกเขาก็จะพร้อมใจกันทำเป็นไม่รู้จักผม
คนประเภทนี้มันน่ารังเกียจยิ่งกว่าอะไร...
“คิดอะไรอยู่”
“อ๊ะ! เปล่า”
ผมตอบคนที่ยืนกุมมืออยู่ข้างๆ เมื่อคิดถึงเรื่องที่ครอบครัวผมต้องล้มละลายมือของผมที่ถูกกุมกับมือของจุนมยอนอยู่ก็ค่อยๆ
คลายออกมาจากมือนั้นจนกระทั่งมือของผมเป็นอิสระ
จุนมยอนเหมือนจะยังไม่เลิกราที่จะถามว่าผมเป็นอะไรทำไมอยู่ๆ
ถึงได้แปลกไป แต่เพราะไคเดินเข้ามาขัดพอดี
สีหน้าที่ดูจริงจังของไคทำให้จุนมยอนเลิกสนใจอาการผิดปกติของผมแล้วหันไปคุยกับไคแทน
ร่างสูงผิวเข้มกระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหูของจุนมยอนหลังจากก็ดูเหมือนว่าจุนมยอนจะทำหน้าตึงขึ้นมาเสียดื้อๆ
“หึ นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นมัน รอดูก่อนว่าจะงัดไม้ไหนมาเล่นอีก”
“แล้วอีกเรื่องล่ะครับนายท่าน”
“รอดูไปก่อนอย่าพึ่งตื่นตูมไป หมอนั่นไว้จัดการทีหลัง”
“ครับ” ทันทีที่รับคำสั่งเสร็จไคก็เดินออกไปทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นในหัวผมว่าสองคนนี้เขาคุยเรื่องอะไรกันทำไมถึงได้ดูจริงจังกันขนาดนั้น
แถมยังแววตาของจุนมยอนที่มันดูจะวาววับนั้นอีก
มันทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูร้ายกาจอย่างไม่น่าให้อภัย
“เข้าไปในงานกันเถอะ”
ไม่ต้องรอให้ผมตอบอะไรเขาก็ดึงผมให้ตามเข้าไปที่โต๊ะซึ่งถูกเตรียมไว้ให้เท่าที่ดูน่าจะจัดไว้ให้เป็นห้องล่ะโต๊ะถ้าหากว่าห้องไหนพักคนเดียวก็จะมีคนรู้จักหรือเพื่อนข้างห้องมานั่งด้วย
ภายในห้องนี้ใหญ่โตกว้างขวางมีวงดนตรีคอยบรรเลงเพลงให้รู้สึกผ่อนคลายอยู่บนเวที
จุนมยอนพาผมมานั่งลงบนโต๊ะที่มีป้ายสีทองเล็กๆ ตั้งไว้กลางโต๊ะ
เป็นป้ายที่มีเลขตรงกับเลขห้องที่ผมกับจุนมยอนพักอยู่นั่นเอง ดูๆ ไปแล้วงานเลี้ยงนี้ก็ไม่ได้เว่อร์วังอลังการอะไรมากมาย
ออกจะดูเรียบง่ายเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
อาหารที่ดูแล้วน่าจะราคาแพงไม่น้อยไปกว่าค่าห้องพักถูกนำมาเสิร์ฟแทบจะทันทีที่ผมกับจุนมยอนหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้
ผมรู้สึกอึดอัดจนอยากจะลุกออกไปจากงานเลี้ยงนี้เสียให้พ้นๆ
ไม่ใช่เพราะเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่หรือเพราะผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แต่เป็นสายตาของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด
...จะมองอะไรนักหนาก็ไม่รู้ เอาแต่จับผิดคนอื่นอยู่ได้ ขี้ระแวงจริงๆ
ผมส่ายหน้าเบื่อหน่ายกับนิสัยที่ชอบจ้องจับผิดคนอื่นของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยเลือกที่จะคีบอาหารบนโต๊ะกินแกล้งเป็นไม่สนใจกับแววตาคู่นั้น
แต่จุนมยอนเองก็เป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แถมยังดื้อด้านเป็นที่สุด!
เขายังคงมองตรงมาที่ผมอย่างไม่วางตา
ทำอย่างกับว่าถ้าเขาเพียงแค่กระพริบตาครั้งเดียวแล้วผมจะหายออกไปจากตรงนี้เลยอย่างนั้นแหละ
ไอ้เรื่องทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีนี่รู้สึกว่าจะเป็นงานถนัดของเขาเสียเหลือเกินหล่ะคนนี้
“สิบ”
“?”
“เก้า” ผมขมวดคิ้วฉับเมื่อยู่ดีๆ
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เกิดอยากทบทวนความรู้เรื่องการนับเลขหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ
จู่ๆ จะมานับเลขถอยหลังทำไม บ้ารึเปล่า -______-
“นี่...”
“แปด”
“นี่พี่จะนับเลขถอยหลังทำไมน่ะ”
“เจ็ด”
อีกคนดูเหมือนไม่ได้สนใจที่จะฟังในสิ่งที่ผมถามเลยด้วยซ้ำ
เขายังเอาแต่นับเลขถอยหลังอยู่เหมือนเดิม
แววตาคู่นั้นไม่ได้บอกอะไรให้ผมรู้เลยแม้แต่น้อยมันว่างเปล่า
ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“หก”
“...พี่”
“ห้า”
“สี่”
เมื่อนับถึงสี่คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้นมาจากที่นั่งของตัวเองแล้วตรงมาหาผม
ผมเองได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าอีกคนจะเล่นบ้าอะไร
“สาม”
พรึ่บ!!
ไฟภายในห้องจัดงานเลี้ยงดับสนิททุกดวงจนคนที่อยู่ในงานส่งเสียงฮือฮาอื้ออึงไปรอบๆ
เสียงเพลงที่เคยบรรเลงอยู่เมื่อกี้ก็เงียบลง
ผมลุกขึ้นยืนแต่ไม่ได้เดินออกไปไหนยังคงอยู่กับที่เพราะกลัวว่าจะเดินหลงไปที่อื่น
“โอ๊ะโอ เดาเวลาผิดไปนิดนึ่งแฮะ”
“พี่จุนมยอน” นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
ก็เมื่อตอนได้ยินน้ำเสียงหยันๆ ของอีกคนที่ดังอยู่ข้างหู
เสียงตะโกนของใครสักคนบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบห้ามลุกออกจากที่
คาดว่าคงจะเป็นผู้ดูแลงานนี้ที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์อันชุลมุน
“พร้อมรึยังจงแด”
“พร้อม? พร้อมอะไรผมไม่เข้าใจ”
เป็นต้องขมวดคิ้วสงสัยอีกรอบเมื่อคนที่อยู่ข้างๆ
เอ่ยถามประโยคที่เขาไม่สามารถเข้าใจมันได้ว่าอีกคนหมายถึงอะไร ต้องการจะสื่ออะไร
“ไม่มีเวลาแล้วล่ะ ใส่นี่ไว้ซะ”
อะไรสักอย่างถูกสวมลงบนนิ้วกลาง
คงจะเป็นจุนมยอนที่คว้ามือองเขาไปแล้วสวมอะไรบางอย่างนั้นให้ผม
มันเป็นแหวนนั่นเองแต่เป็นแบบสะท้อนแสงเล็กน้อยถ้าไม่เพ่งมองดีๆ ก็คงจะไม่เห็น
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนสวมแหวนให้แต่ที่สามารถมองเห็นได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ความมืดเท่านั้น
“พี่สวมแหวนนี่ให้ผมทำไม”
“สวมไว้พี่จะได้หานายเจอ”
“...นี่มันอะไรผมงงไปหมดแล้ว”
“สอง” แล้วเขาก็เริ่มนับเลขถอยหลังอีกครั้ง โดยต่อเนื่องจากเมื่อกี้
“พี่จะนับเลขทำไม”
“หนึ่ง!”
“อึก อื้อออ” ผมเบิกตากว้างเมื่ออยู่ดีๆ
ก็มีมือของใครไม่รู้คว้าเอวของผมแล้วดึงเข้าหาตัวจนแผ่นหลังของผมกระแทกเข้ากับหน้าอกของคนที่ดึงผมเข้าไปหาตัว
มืออีกข้างก็ใช้ปิดปากผมไว้จนไม่สามารถส่งเสียงร้องอะไรออกมาได้
อยากจะกัดมือนั้นให้ยอมปล่อยแต่ก็เป็นไปได้ยากนักเมื่อมือข้างที่ปิดปากผมนั้นมันปิดแน่นไม่มีช่องว่างให้พอจะทำอะไรได้เลย
“อึก อ่อยอะ (ปล่อยนะ)”
ผมร้องเสียงอู้อี้พยายามจิกเล็บลงไปบนมือที่ปิดปากผมไว้แน่น พยายามมองหาจุนมยอนแต่เพราะวามันมืดเกินไปผมเลยมองไม่เห็นเขา
คนที่เข้ามาจับตัวผมนั้นเป็นใครผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คงไม่ใช่จุนมยอนที่คิดพิเรนทร์อะไรไม่เข้าเรื่องแบบนี้แน่นอน
ร่างทั้งร่างของผมถูกลากออกมาจากโต๊ะที่นั่งอยู่ ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลยนอกจากใช้เล็บที่เริ่มจะยาวนั้นจิกมือที่ปิดปากผมอยู่ให้ยอมปล่อยเสียที
แต่ไม่รู้ว่าผมลงแรงน้อยไปหรืออีกคนที่กำลังลากผมอยู่นี้ไม่คิดจะสนใจกันแน่เพราะทุกครั้งที่ผมจิกหรือข่วนเล็บลงไปอีกคนก็ไม่ได้กระตุกมือหนีอะไรเลย
หนำซ้ำไม่มีเสียงร้องของความเจ็บปวดอะไรเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้หัวใจผมเต้นรัวไม่เป็นส่ำ
กลัวก็กลัวว่าคนที่ลากผมอยู่นี้จะพาผมไปไหน
แล้วจุนมยอนเขาทำอะไรอยู่รู้รึยังว่าผมถูกจับลากออกมาจากในงาน
จนกระทั่งผมถูกลากออกมายังส่วนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสวนขนาดไม่ใหญ่มากซึ่งร้างไร้ผู้คนจนรอบข้างเงียบกริบ
เหลือบเห็นแหวนวงเล็กที่ยังอยู่บนนิ้วมือก็ทำให้ฉุกคิดถึงคนที่สวมมันไว้ให้
จุนมยอนเหมือนรู้ว่าจะต้องมีคนมาจับตัวเขาเจ้าตัวเลยเตรียมการมาอย่างดี
ไหนจะยังท่าทีแปลกๆ อย่างการนับเลขถอยหลังนั้นด้วย
แน่นอนว่าจุนมยอนต้องรู้อยู่แล้ว แต่ทำไมถึงยังยอมให้ใครก็ไม่รู้จับตัวเขามา?
แล้วคนที่จับตัวเขามานี้คือใคร?
จับเขามาเพื่ออะไร?
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!
“ยินดีที่ได้เจออีกครั้งนะหนุ่มน้อย”
ผมถูกจับพลิกให้หันหน้ามาเผชิญกับคนที่ลากตัวผมออกมา
ประโยคทักทายพร้อมกับรอยยิ้มนั้น... เขาไม่ได้ปกปิดหน้าตาของตัวเองทำให้ผมเห็นว่าคนที่จับตัวผมมาคือใคร...
“คุณอี้ฟาน!!!”
“สวัสดีครับ...น้องจงต้า”
“คุณจับตัวผมมาทำไม”
ร่างสูงตรงหน้าไม่ยอมตอบคำถามของผมเขาทำเพียงแค่ระบายยิ้มบนใบหน้า
หากเป็นเมื่อก่อนผมคงจะชื่นชมในรอยยิ้มนั้นอยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเขาสำหรับผมมันเป็นอะไรที่ช่างน่ารังเกียจเหลือเกิน ผมไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าจะจับผมมาทำไม มีเหตุผมอะไรถึงต้องจับผมมา
“จะไปไหน!”
ตุบ
ผมล้มลงหัวเข่ากระแทกกับพื้นจนรู้สึกเจ็บเมื่อผมทำท่าว่าจะหนีแต่ก็ถูกคนตัวสูงคว้าตัวไว้
เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวผมเลยล้มลงไม่เป็นท่า
“คุณจับตัวผมมาทำไม ปล่อยผมไปเถอะนะ” ผมวอนขอต่อคนตรงหน้าแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะเห็นใจแม้แต่น้อย
ข้อมือของผมที่เขาจับอยู่ถูกบีบแน่นจนเจ็บ ผมเบ้หน้าเมื่อถูกกระชากให้ยืนขึ้น
“สาม”
“?”
“สอง”
เอาอีกแล้ว นับเลขถอยหลังแบบนี้อีกแล้ว
ทำไมวันนี้คนรอบตัวผมถึงได้ชอบนับเลขถอยหลังกันจัง ทำตัวเหมือนผู้ล่วงรู้อนาคตกันเสียจริง
คราวนี้นับแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรอีกล่ะ -___-
“หนึ่ง”
“ปล่อยเด็กคนนั้นซะ”
และเสียงที่ผมคุ้นหูเป็นอย่างดีก็ดังแทรกขึ้นมาหลังจากที่คุณอี้ฟานนับเลขมาถึง
หนึ่ง เราสองคนหันกลับไปมองผู้มาใหม่ท่าทางของจุนมยอนดูไม่เดือนร้อยอะไรเลยสักนิด
เขาทำตัวสบายๆ เหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นเพียงแค่การล่นไล่จับธรรมดาเสียอย่างนั้น
“มาแล้วสินะ”
“ฉันไม่อยากยืดเยื้อ...ปล่อยเด็กนั่นมา” จุนมยอนยังคงทำตัวสบายๆ เขาค่อยๆ
เดินเข้ามาใกล้จุดที่ผมกับคุณอี้ฟานยืนอยู่
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นแล้วฉันจะจับตัวเด็กนี่มาทำไมกันล่ะ หึ”
“อึก!” ผมถูกรวบตัวเข้าไปอยู่ในวงแขนของคนที่ตัวสูงกว่า
แขนแข็งแกร่งของเขาตวัดกอดเข้าที่รอบคอของผมแล้วหันให้ผมหันหน้าไปหาจุนมยอน
วัตถุเย็นสัมผัสเข้าที่ขมับข้างซ้ายของผมซึ่งไม่ต้องให้เดาก็รู้ว่ามันคืออะไร
มันก็คือ...ปืน ไงล่ะ
จุนมยอนชะงักฝีเท้าที่กำลังสืบเก้าเข้ามาหาผม
เขาเองก็ดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นอาวุธในมือของคนตัวสูง
“โอ๊ะ! แบบนี้ดูจะธรรมดาไปนะสำหรับฉัน
มันไม่สนุกเอาเสียเลย...นายว่าไหมจุนเหมียน”
แล้วผมก็ถูกผลักออกมาจากตัวของคุณอี้ฟานเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่พ้นถูกพันธนาการไว้
ปืนกระบอกเดียวกันกับที่จ่อเข้าที่ข้างขมับผมนั้นถูกยื่นมาให้ผมตรงหน้า
สายตาของคนที่ยื่นปืนให้บอกให้ผมหยิบเอาปืนไปถือไว้
ผมชั่งใจอยู่สักครู่ก่อนที่จะยอมจับเอาปืนกระบอกนั้นเข้ามาไว้ในมือ
“ยิงมันซะ”
TBC
เฮนโหลววววว
ใครสอบเสร็จแล้วบ้างงงงงงงงง
ไรท์สอบเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ค่อยว่างอยู่ดี
เพราะโรงเรียนยังไม่ปิดเลยยยยย
แต่ก็ว่างกว่าแต่ก่อนแหละ
จะพยายามมาอัพฟิคให้อ่านเรื่อยๆ นะคะ จุ๊บ
ความคิดเห็น