ไทรเอนก้า
ไทรเอนก้า การผจญภัยหาความลำดำมืดอีกหนึ่งอย่างของโลก โดยทีมสำรวจอมตะ และหนึ่งคนที่ดูเหมือนจะธรรมดา
ผู้เข้าชมรวม
227
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กลางคืนอันเงียบสงัด เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับจินตนาการ ยามที่ผู้คนต่างหลับไหล ยามที่อยู่ระหว่างความฝันกับความจริง แสงจันทร์สาดส่องให้ทุกอย่างเห็นเพียงสลัวๆ ทำให้เลือดในกายสูบฉีดด้วยใจระทึก ในเงามืดๆ แต่ละครั้งที่มองไป เหมือนเห็นอะไรอยู่ไหวๆ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมือนกับกลางคืนธรรมดาๆ แต่โทรศัพท์ที่โทรมาตอนเที่ยงคืนครั้งนั้น จะเปลี่ยนแปลงโลกใบเดิมของผม
หน้าจอโทรศัพท์มือถือไม่ปรากฏเบอร์ ทั้งๆ ที่เบอร์นี้มีแต่คนที่สนิท และติดต่องานเท่านั้นที่รู้ แม้จะสงสัย แต่ผมเลือกรับสาย
“ดารันเต้ เดอดาเนียลพูดครับ นั่นใคร” ปลายสายไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
“ฮัลโหล นั่นใครครับ” โทรศัพท์โรคจิต คือสิ่งแรกที่แว่บเข้ามาในหัวผม และยังไม่ทันที่ความคิดนี้จะหายไป เสียงปลายสายก็ตอบกลับมา
“คุณมีเวลา 24 ช.ม. ผมต้องการให้คุณมาช่วยงานผม ต้องขออภัยที่ผมไม่สามารถบอกรายละเอียดมา ณ ที่นี่ได้ว่าเป็นงานอะไร รวมถึงชื่อของผมด้วย ผมต้องการคนที่เชื่อใจกันเท่านั้น ถ้าคุณยอมรับ คุณเพียงมาที่สนามบิน บอกฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่สนามบินว่า อีแวนไอที เขาจะพาคุณขึ้นเครื่องมาพบกับพวกผม และเราจะคุยรายละเอียดกัน นี่ไม่ใช่การบังคับ ถ้าคุณไม่ต้องการเข้าร่วมเพียงแต่บอกเราว่าไม่ เราจะส่งคุณกลับโดยสวัสดิภาพ แต่ผมเชื่อว่าคุณต้องยอมรับแน่ เที่ยวบินเวลาเที่ยงคืนของวันพรุ่งนี้ และผมหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกัน”
ปลายสายวางไปก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร “นี่มันอะไรกันเนี่ย แปลกชะมัด” ผมคิดในใจ แต่ใจจริง ผมตกลงไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อว่าจะได้หลุดจากโลกวิชาการที่น่าเบื่อนี้บ้าง แต่ไม่แน่หรอก ใครจะไปรู้ล่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วันนี้เป็นหนึ่งวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ผมรู้ว่าคงมีคนหลายๆ คนที่มีธุระบางอย่างสำคัญต้องทำ แต่ขณะนั้นกำลังติดงานอื่นอยู่ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครมีสมาธิแน่นอน และกระวนกระวาย รอว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเร็วๆ แต่ผมขอบอกว่าผมกังวลมากกว่าพวกคุณแน่นอน เพราะผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะไปเจออะไรข้างหน้า
เวลาสามทุ่มแล้ว ผมคิดว่าจะเอาอะไรไปด้วยดี ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ไปนานเท่าไร แล้วเจออะไรบ้าง มันอาจเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น หรืออาจเป็นการหลอกเล่นก็ได้ ผมจึงตัดสินใจว่า ไปตัวเปล่า แล้วไปหาสิ่งที่จำเป็นเอาข้างหน้าละกัน
เที่ยงคืนที่สนามบิน “ซานติน่า บาโลเซ่” แสงสว่างที่ไม่เคยหลับไหล ผู้คนที่เดินไปมา ลากกระเป๋าใบใหญ่บ้าง สะพายกระเป๋าใบใหญ่บ้าง คนยืนออชะเง้อมองหาคนรู้จัก ถือแผ่นป้ายโบกไปโบกมา ผมคิดว่านอกจากสถานที่เที่ยวกลางคืนแล้ว สนามบินนั้นเป็นอีกสถานที่ที่มีคนอยู่ตลอดคืน(อาจตลอดวันด้วยซ้ำถ้าไม่มีการขู่วางระเบิด)
ผมเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ในชุดเสื้อยืดคอกลม กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะหนีบ สวมนาฬิกาข้อมือ แล้วพูดว่า “อีแวนไอที” ผมจำได้ติดตาว่าประชาสัมพันธ์สาว(ซึ่งไม่สาวเท่าไร) คนนั้นทำหน้าแปลกประหลาดขนาดไหน เหมือนเด็กเอ๋ออ้าปากหวอมากๆ ถ้ามีน้ำลายไหล ผมคงคิดว่าเธอปัญญาอ่อนแน่นอน ผมจึงบอกเธอว่ามีคนบอกให้ผมมาที่นี่แล้วพูดคำนี้ สีหน้าเธอกลับเป็นคนปกติ แล้วตอบว่า “อ๋อ ขอโทษทีนะคะ เชิญเข้ามาในนี้เลยค่ะ”
ผมงงเป็นที่สุด จะให้ผมเข้าไปในห้องประชาสัมพันธ์ทำซากอะไร แต่ผมก็เข้าไปอย่างว่าง่าย เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วบอกให้ผมนั่งลง ผมอดคิดไม่ได้ว่าสงสัยจะส่งลงทางใต้พื้นมั้ง แต่แล้วเธอก็นำผ้าคาดตามาใส่ให้ผม “ขออนุญาตนะคะ” จากนั้นเธอก็มัดเชือกรอบตัวผม ผมกำลังงงๆ อยู่จึงไม่ได้ขัดขืนอะไร หลังจากมัดเสร็จแล้ว ผมรู้สึกถึงลมที่ปะทะจากข้างล่างอย่างรุนแรง เสียงหวีดหวิวเล็กแหลมดังแสบแก้วหู พอสิ้นเสียงผ้าคาดตาก็ถูกถอดออกโดยมีชายหนุ่มร่างกำยำเป็นผู้ถอดให้
ชายหนุ่มร่างกำยำเริ่มแกะเชือกให้ ผมเห็นสีหน้าเขา เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง สงสัยเพราะสารรูปของผมล่ะมั้ง แต่ไม่เป็นไรผมไม่ถือหรอก ผมหวังว่าคนที่นัดผมมาคงไม่มองผมด้วยสายตาแบบนี้หรอกนะ ผมมองไปรอบๆ ตัว แล้วอดนึกสงสัยไม่ได้ “เรามาอยู่ที่ลานจอดเครื่องบินได้ยังไงเนี่ย” จากเก้าอี้ที่ผมนั่งไม่ไกลนัก มีเครื่องบินขนาดเล็กอยู่ น่าจะเป็นเครื่องบินส่วนตัว ชายร่างกำยำผายมือให้ผมไปทางเครื่องบิน แล้วพูดคำเดียวเท่านั้น “เชิญ” เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยที่เดินขึ้นบันไดเครื่องบินคนเดียว ประตูเปิดไว้คอยท่าอยู่แล้ว พอเข้าไป ประตูก็ปิดเองทันที ผมมองนาฬิกา เพิ่งจะห้าทุ่มครึ่งเท่านั้น “เครื่องนี้อาจมาเพื่อรับผมเพียงคนเดียวก็ได้” ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกกระหยิ่มอยู่ในใจ
อ้อ ผมลืมบอกทุกท่านไป ทุกท่านคงจะสงสัยว่าผมทำงานอะไร ทำไมถึงมีคนมาเชิญผม แต่ไหนๆ ผมก็นึกช้ามาเสียขนาดนี้แล้ว รออีกหน่อยนะครับ เดี๋ยวเรื่องที่ผมจะเล่าต่อนี้ มันกำลังจะบอกอยู่แล้วล่ะ
หลังจากเปิดม่านเข้าไปในตัวเครื่อง ผมเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ความกระหยิ่มหายไปโดยพลัน เครื่องบินโดยสารส่วนตัว แต่มีผู้ร่วมทางนับสิบ มีทั้งชายและหญิงปนกันไป แต่จากหน้าตาของพวกเขาแต่ละคนแล้ว ไม่ได้ช่วยให้ผมเกิดภาพเกี่ยวกับงานครั้งนี้เลย
เด็กหนุ่มอายุราวๆ 16 ปี นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาภายในเครื่อง และเป็นคนแรกที่เริ่มพูดกับผม “เชิญนั่งเลยครับ เรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว” เด็กหนุ่มพูด
ผมก็ได้แต่เออออห่อหมกตามไป เพราะผมเกิดความรู้สึกว่า ทั้งหมดรอผมคนเดียว ผมเริ่มรัดเข็มขัด คนอื่นๆ มาร่วมกลุ่มกัน โดยมีผม และเด็กคนนั้นเป็นศูนย์กลาง ธุรกิจเริ่มขึ้นทันทีที่ทุกคนนั่งลง และรัดเข็มขัดครบ
“ทุกคน ผมขอแนะนำ ผู้ชายคนนี้คือดารันเต้ เดอดาเนียล นักประพันธ์ และกวีเอกแห่งยุค” เด็กหนุ่มผายมืออย่างสุภาพ สำทับด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวต่อ “แล้วก็จะเป็นที่ปรึกษาของเราด้วย”
ผมยกมือขัดกลางลำ “โทษทีนะครับ แต่ไม่ใช่ให้ผมฟังรายละเอียดก่อน แล้วค่อยเลือกหรือครับ”
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงแหวกอากาศ และเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ต่างกับในตัวเครื่องที่ได้ยินเพียงเสียงสนทนา ผู้โดยสารประกอบด้วยคนทั้งหมดแปดคน มีผม เด็กหนุ่มคนที่นั่งติดกับผม ผมสีน้ำตาลเข้มสวมชุดสีดำแขนยาวกางเกงขายาว ชายแก่หัวหงอกคนหนึ่งในชุดทักซิโด ผู้หญิงวัยรุ่นสองคน ผมยาวสีบลอนด์ในเสื้อเกาะอกสีน้ำเงิน กระโปรงสีดำยาวประเข่าคนหนึ่ง และผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนในเสื้อยืดคอกลมแขนกุดสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวคนหนึ่ง ผู้ชายวัยรุ่นหนึ่งผมขาวออกเงินคนใส่ชุดแดงแขนยาว กางเกงขายาวนั่งไขว่ห้างมือซุกกระเป๋าเสื้อ และชายวัยกลางคนแต่งตัวเรียบๆ สองคน
“คุณคงเป็นคนที่โทรศัพท์เรียกผมมาใช่ไหมครับ” แน่นอนคนที่ผมถามคือผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม รอยยิ้มใต้หนวดขาว และแว่นตากรอบทอง ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ทำไมเขาแต่งตัวออกแนวคุณพ่อบ้านในหนังอย่างไรพิกล
“ใช่ครับ ผมโทรไปหาคุณเอง”
ผมยิ้มตอบ “งั้น ผมขอฟังรายละเอียดเลยละกันครับ”
ชายแก่หันไปมองเด็กหนุ่มข้างๆ ผม เด็กหนุ่มพยักหน้าให้ชายแก่ “ผมคิดว่าคุณคงจำชื่อชมรมไขปริศนาหลังเลิกเรียนได้” เขาก้มลงมองผ่านกรอบแว่นมาทางผม
ผมเลิกคิ้ว “ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะครับ มันเป็นชื่อที่ผมเขียนขึ้นในหนังสือเล่มหนึ่งของผมนี่” ผมยิ้มแย้มกลบร่องรอยความฉงนที่อยู่ในใจ
“แล้วมันเกี่ยวอะไรเหรอ” ผมถามกลับ
“กลุ่มที่เราตั้งขึ้นมานี่ มีจุดประสงค์อย่างเดียวกับที่คุณเขียนไว้ในหนังสือครับ และเรากำลังจะเดินทาง ไปไขปริศนาอันลึกลับอันดับต้นๆ ของโลก” เขาจ้องตาผม และพูดต่อ “คุณคงมีคำถามหลายอย่าง แต่ผมเป็นเพียงผู้ประสานงาน และให้รายละเอียดได้เล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ซึ่งผมก็ไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดเท่าไหร่นัก” ชายแก่พักหายใจแล้วกล่าวต่อ “หน้าที่ผมคือ รวบรวมคน เหตุผลที่ผมติดต่อคุณเพราะคุณคือคนที่มีพลังจินตนาการสูง และเป็นคนที่ยอมรับความแตกต่างได้” ไฟรัดเข็มขัดดับ ชายแก่ปลดเข็มขัดออก ลุกขึ้นยืน “ผมหมดหน้าที่ของผมแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับนายท่าน”
ชายแก่โค้งมาทางเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม แล้วเดินออกไปจากวงสนทนาไปห้องท้ายเครื่อง
ผมเพิ่งจะสังเกตว่า นอกจากผม เด็กหนุ่ม และชายแก่คนเมื่อกี้แล้ว ผมไม่ได้ยินเสียงใครเลย เหมือนทุกคนเป็นใบ้ ไม่สิ เหมือนไม่มีตัวตนมากกว่า แม้แต่มองดูก็ยังรู้สึกเลือนรางเหลือเกิน
“เรามาต่อเรื่องของเรากันดีกว่าครับ” เด็กหนุ่มกล่าวต่อ “คุณรู้จักชื่อทะเลซากาสโซ่หรือเปล่าครับ” เด็กชายมองหน้าผมแล้วยิ้มๆ
“ชื่อนี้หากใครมีหัวใจนักผจญภัยคงเคยได้ยินกันทุกคนล่ะครับ อย่าบอกนะว่า งานนี้เกี่ยวข้องกับทะเลนั่น ไม่สิ ผมว่าที่คุณเรียกผมมา เพื่อให้ผมร่วมทีมไขปริศนาทะเลนี้ใช่ไหม” นั่นคือคำตอบเดียวที่กระจ่างแจ้งชัดในหัวผม
“ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกคุณมา” เด็กหนุ่มพูดพร้อมยืนมือจะจับมือผม ผมปัดมือเขาทันที แล้วกล่าวต่อว่า
“ขอโทษทีนะน้อง ถึงผมจะรักการผจญภัย ชอบความท้าทาย เบื่อหน่ายชีวิตขนาดไหนก็ตาม นั่นเป็นสองสถานที่ ที่ผมไม่คิดจะเสี่ยงไปเด็ดขาด” ผมหยุดชะงัก แล้วเกิดคำตอบขึ้นมาในหัว “เดี๋ยวนะ หรือว่าทั้งหมดที่นั่งล้อมวงนี่ คือผู้อารักขาผม”
“คุณนี่ทำให้ผมประหลาดใจจริงๆ เลย อย่างนี้ผมคงคุยกับคุณได้ง่ายขึ้นนะ แน่นอน ทีมอารักขานี้รวมถึงผมซึ่งเป็นผู้จ้างวานด้วย” เด็กหนุ่มผายมือไปรอบวง แล้วชี้มาที่ตนเอง
“นี่น้อง อย่างว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลยนะ น้องยังเด็กอาจคิดอะไรไม่รอบคอบ อย่างนี้มันหาเรื่องไปตายชัดๆ” แต่ดวงตาของเด็กหนุ่มไม่มีความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย “หรือจะบอกว่ายังมีอะไรที่ไม่ได้บอกผมอีก” ผมเพิ่งจะเริ่มสังเกตว่า ทุกครั้งที่ผมเรียกเด็กคนนี้ด้วยคำว่าน้อง บางคนมีอาการขบปากแน่น หายใจแรง นับว่าผมโชคดีที่ไม่โดนใครสักคนเล่นงานเอา
“กึงๆ กึกๆ” เครื่องบินสั่นไหวอย่างรุนแรงเนื่องจากตกหลุมอากาศ
เด็กหนุ่มยิ้มจนตาตี่แล้วพูดว่า “คุณไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ หนุ่มน้อย เห็นผมอย่างนี้ก็เถอะ ผมอาวุโสที่สุดในกลุ่มนี้เลยนะ” คำพูดนี้ทำให้ผมพอเดาได้แล้วว่า ผมกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อก็เกิดเรื่องตื่นเต้นขึ้นมาเสียก่อน
บทที่ 3 ร่วงหล่น
“เฟี้ยว” เสียงวัตถุบางอย่างแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้น
“ตูม” ภายนอกหน้าต่าง ทุกคนหันไปที่หน้าต่าง ชิ้นส่วนปีกเครื่องบินปลิวว่อน ผมไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดี แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมยังไม่ตาย แต่ต่อไปไม่แน่
เครื่องบินเริ่มหมุนเพราะเสียการทรงตัว แรงเหวี่ยงมหาศาลทำจุก เข็มขัดนิรภัยช่วยให้ไม่ถูกเหวี่ยง แต่มันรัดท้องแน่นด้วยแรงเหวี่ยง
“ถึงแล้วเรอะ” ชายวัยรุ่นเสื้อแดงพูดเรียบๆ บรรยากาศในวงสนทนาไม่มีใครตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“คงทำให้หายเซ็งได้มั่งล่ะมั้งงานนี้” ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้ำตาลยิ้มอย่างมีความสุข
“ปุ้ง” ปีกอีกข้างของเครื่องบินหลุดออกไป เครื่องบินเริ่มหมุนช้าลง ผมได้ยินเสียงไอพ่นจากใต้ท้องเครื่องบิน
“ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะนะครับ แต่มันยังไม่ถึงที่หมายหรอก คงเป็นเหล่าผู้รักษาความลับมากกว่า” เด็กหนุ่มพูดเสร็จก็ถอนหายใจ “เกรงว่าเวลาสนทนาบนเครื่องบินจะหมดลงแล้ว เดี๋ยวไปคุยกันต่อข้างล่างดีกว่า เตรียมสละเครื่องกันเถอะทุกท่าน”
ทุกคนปลดเข็มขัดออกเดินไปที่ประตูฉุกเฉิน ตอนนี้เราอยู่เหนือพื้นน้ำ
“จะให้กระโดดลงน้ำจากความสูงขนาดนี้เนี่ยนะ” ผมถามเด็กหนุ่ม
“อ้อ ขอโทษครับผมลืมไป บลัด มานี่หน่อย” วัยรุ่นชุดแดงเดินมาหาผม มือทั้งสองข้างยังคงซุกอยู่ในกระเป๋า
“ว๊อทซับ” เขาพูดพร้อมยื่นหน้ามาใกล้ๆ
“ช่วยดูแลไอ้หนูนี่ที” เด็กหนุ่มฝากผมเสร็จก็เดินไปทางห้องควบคุม เขาชะงักเหมือนนึกอะไรได้จึงหันกลับมา แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า “อีกอย่างหนึ่งทุกคน รีบๆ ออกไปนะ เดี๋ยวผมจะระเบิดเครื่องทิ้ง แล้วเจอกันข้างล่างครับ”
“แล้วไหนร่มชูชีพเล่า ว้าก” ผมถามยังไม่ทันจนดี บลัดก็เปิดประตู โอบแขนรอบผม และพาผมบินไปในท้องฟ้ายามราตรีกาลเสียแล้ว (รวมถึงรองเท้าแตะหนีบที่บินเป็นอิสระจากเท้าของผมด้วย)
ท้องทะเลอันมืดมิดที่อยู่เบื้องล่าง ราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงไปหา ผมร้องสุดเสียงแน่นอน ถ้าไม่โดนถุงมือสีขาวปิดปากไว้ล่ะก็
“อยากลงเร็วหรือลงช้าละ” เสียงสนทนาเอาชนะเสียงลมได้ไม่ยากนัก (แต่การที่มีคนมาพูดกรอกหูนี่ก็หาไม่ได้บ่อยๆ) และปากผมก็เป็นอิสระอีกครั้ง
“ช้า!” ผมรีบตะโกนบอก ในใจนั้นลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนลงถึงพื้น
“ได้เลย อยู่นิ่งๆ นะ” บลัดเริ่มคลายวงแขนออก แล้ววาดมือทำอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นบางอย่างก็เปลี่ยนไป เริ่มมีไอสีดำๆ แผ่มาปกคลุมพวกเขา กลิ่นสนิมเหล็กคละคลุ้งไปทั่ว ฉับพลัน ไอสีดำทั้งหมดรวมกันเป็นปีกค้างคาว ร่างทั้งสองกระตุกจากแรงปะทะของลม ปีกกระพืออย่างช้าๆ
“แวมไพร์เรอะ” ผมหันหน้าไปทางบลัด เห็นรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน
“คงจะอย่างนั้นมั้ง”
“อา จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ช่วยพาไปใกล้ๆ ฝั่งหน่อยได้ไหม ผมไม่อยากลงน้ำ มันเย็น” ผมคิดว่าคนที่ลงไปเล่นน้ำอย่างสนุกสนานกลางดึกคงไม่สามารถจินตนาการได้ว่าถ้าผมทำแบบพวกเขา ผมจะรู้สึกอย่างไร
สีหน้าของบลัดสดใสขึ้นนิดหนึ่ง “เข้าใจแล้วว่า ทำไมโอลแมนถึงเรียกคุณมาร่วมงาน” ผมได้ยินแล้วแล้วก็หัวเราะ
“จู่ๆ จะมาเข้าใจอะไรกันตอนนี้เนี่ยหา” ผมรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้แม้จะดูเสี่ยง แต่สิ่งที่ได้แลกมาก็คุ้มค่า จะมีใครในโลกสักกี่คนที่ได้บินไปในท้องฟ้ายามราตรี ชมดวงดาวเหนือท้องทะเล แถมอยู่กับแวมไพร์หนุ่มรูปงามอีก
บทที่ 4 สงครามยามรุ่งสาง
ท้องฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์ และดวงดาวนับไม่ถ้วน สายลมเย็นพัดพาผมให้ล่องลอยไป เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเสียงอึกทึกครึกโครมเบื้องล่าง เสียงกระสุนปืนแหวกอากาศที่ปลุกผมให้ตื่นมาพบกับความจริง กองทหารติดอาวุธมากมายอยู่รออยู่ข้างล่าง กระสุนแหวกอากาศพุ่งมาทางเราทั้งสอง ผมรู้สึกว่าตัวเองใกล้ความตายเข้าไปอีกก้าวแล้ว
“เราไปทำอะไรผิดตรงหนาย” ผมตะโกนเสียงหลง
ปีกสีดำกลิ่นสนิมเหล็กหุ้มร่างผม เสียงกระสุนปืนพุ่งทะลุปีก และทะลุร่างของแวมไพร์หนุ่ม เราทั้งสองร่วงลงมาข้างล่างอย่างรวดเร็ว
“สงสัยเข้าพื้นที่หวงห้ามมั้ง” หลังพูดจบ เราทั้งคู่ก็กระแทกพื้นทราย ผมไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ร่างที่อยู่ใต้ผมล่ะ ปีกสีดำเริ่มกลายสภาพเป็นหมอกอีกครั้ง บลัดดึงผมให้ลงมานอนกับพื้น เสียงลูกปืนแหวกอากาศเหนือหัวพวกเราทั้งคู่
“มีนาฬิกาไหม” ชายหนุ่มชุดแดงลุกขึ้นท่ามกลางห่ากระสุน ลูกกระสุนพุ่งทะลุแก้ม เนื้อและเลือดกระจายเปรอะพื้นทราย “มันจะมากไปแล้วนะเว้ย” บลัดหันมาทางผม แล้วตะโกนถาม “กี่โมงแล้ว” เสียงตะโกนชนะเสียงปืนขาดลอย
ผมดูนาฬิกา “ตีสี่ปลายๆ แล้ว” หมอกสีดำยังบังเราทั้งคู่อยู่ ผมไม่เห็นอะไรอีกนอกจากหลุมทรายที่นอนอยู่แล้วก็บลัดซึ่งตอนนี้แสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยว และเนื้อแก้มที่ห้อยร่องแร่ง
“เยี่ยมมาก ใกล้โพล้เพล้ เหมาะที่สุด” สีหน้าบ่งบอกถึงความพึงพอใจสุดขีด
“หลบให้ดี และจับตาดู น้อยคนนักที่จะมีชีวิตรอดหลังจากเห็นการสังหารหมู่” บลัดกางขาออก ตั้งแขนทั้งสองข้างเหมือนสัตว์ร้ายที่จะขย้ำเหยื่อ จู่ๆ หมอกก็หายไป ร่างสีแดงพุ่งออกไป ฝ่าห่ากระสุนเข้าสู่กองทหารเบื้องหน้า เสียงตะโกนโหวกเหวกดังกลบเสียงปืน
แขนข้างซ้ายขาดกระจุยเลือดสาดกระเซ็นออกมา แต่ยังคงพุ่งไปข้างหน้าแม้จะรับลูกตะกั่วไปนับไม่ถ้วน และแล้วแขนขวาก็พุ่งตรงไปยังท้องของทหารที่อยู่เบื้องหน้าทะลุ เขี้ยวเจาะทะลุคอของเหยื่อรายแรก ร่างทั้งสองโงนเงน เสียงปืนเริ่มซาลง ทหารที่เหลือต่างทำอะไรไม่ถูก ชุดสีแดงที่แดงยิ่งกว่าเดิม สีเลือดสะท้อนแสงแรกของดวงตะวัน ดูคล้ายเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ร่างอาบเลือด มือขวาชักมือออกมาจากท้อง เลือดพุ่งอาบผืนทราย ขาขวายันร่างอันไร้วิญญาณออกไป ปากกัดกระชากคอเหยื่อจนขาดวิ่น มือขวาฉวยปืนกลอัตโนมัติจากผู้เคราะห์ร้าย เหนี่ยวไก แล้วเหวี่ยงไปรอบตัว
“ปังๆ ปังๆ ปังๆ” “อ๊าก” “เหวอ” เสียงปืนดังกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้งพร้อมเสียงโดยหวน กองทัพเริ่มเสียกระบวน ไม่มีคู่มือเล่มใดบอกว่าจะทำอย่างไรกับผู้ที่ไม่ตาย ร่างอื่นๆ เริ่มทรุดลง บลัดเหวี่ยงปืนทิ้ง พุ่งตัวปากอ้ากว้างเห็นสองเขี้ยวอันใหญ่ แรงกัดมหาศาลฝังเขี้ยวลงไปตรงไหล่เหยื่อ แรงกระชากทำให้แขนขาด ปากเคี้ยวชิ้นเนื้อหัวไหล่ มือขวาจับคอ แล้วเหวี่ยงร่างนั้นเหมือนนักกีฬาขว้างจักร ทหารปะทะทหาร คนอื่นๆ โดนแรงปะทะกระอักเลือด เสียงกระดูกดังลั่น บลัดพุ่งไปอีกทาง มือเหวี่ยงเข้าที่หน้าของทหารที่กำลังลนลาน หัวกระเด็นไปกลิ้งอยู่บนพื้น เลือดพุ่งขึ้นฟ้า ล้อแสงกับดวงอาทิตย์ เสียงหัวเราะดังก้องด้วยความสะใจ
ภาพที่ผมเห็นนี้ทำให้ผมนึกถึงเด็กๆ วิ่งเล่นในสนามหญ้าที่เปิดสปริงเกอร์อยู่ เพียงแต่น้ำนี้สีคือเลือดแค่นั้นเอง แววตาของวัยรุ่นช่างมีชีวิตชีวา เหมือนอสูรกายในร่างมนุษย์ น่ากลัวแต่น่าค้นหา ผมเผลอลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้สิ ความรู้สึกแปลกๆ นี้ คงเป็นความรู้สึกดีมั้ง
ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีม่วง กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ แสงอาทิตย์ทำให้เห็นชายหาดอย่างชัดเจน มีทหารเกือบสามกองร้อยเห็นจะได้ ถือว่าเยอะมากสำหรับกำจัดผู้บุกรุก เยอะเสียจนน่าจะส่งไปสงครามมากกว่า ชุดสีเขียวลายพราน ต่างเปื้อนรอยดำ แดง ร่างกว่าสิบร่างกองอยู่กับพื้น บางร่างยังคงกระตุกอยู่ บางร่างแน่นิ่ง บางร่างพยายามคลานออกจากปาร์ตี้เลือดแม้เหลือเพียงครึ่งร่าง บางร่างไร้วิญญาณแต่ดวงตาเบิกกว้าง บางร่างคอบิด บางร่างหัวแหว่ง ให้บรรยายก็ไม่หมดหากจะสรุปง่ายๆ คงเหมือนรกนั่นเอง
ผมเพิ่งเห็นว่าหมอกสีดำๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวบลัด ไม่สิจริงๆ มันเป็นสีแดงต่างหาก มันเริ่มจับตัวเป็นรูปร่าง บลัดเหวี่ยงกลุ่มหมอกที่แขนซ้ายพุ่งไปที่หน้าของทหาร แล้วแขนซ้ายก็ปรากฏอยู่ที่เดิมของมันอีกครั้ง ฝ่ามือหงายนิ้วชี้และกลางจิ้มทะลุดวงตาเข้าไป เกี่ยวขึ้น แล้วเหวี่ยงร่างนั้นลอยขึ้นไปในอากาศ ฟาดลงกับพื้นทราย ทหารที่อยู่ด้านหลังชี้ปลายกระบอกปืนไปที่หัวของแวมไพร์ผู้บ้าคลั่ง ส่วนอื่นๆ ของร่างกายกลับเป็นปรกติ ไม่มีร่องรอยของบาดแผลถูกกระสุนยิงเลย แต่ได้ไม่นานนัก
“ผลุ” บลัดหลบได้ทันท่วงที ลูกกระสุนทะลุหูซ้าย ดวงตากระหายเลือดสีแดงฉานมองมาทางเหยื่อ ไม่ถึงอึดใจ มือซ้ายพุ่งทะลวงเข้าไปตรงหัวใจ กระชากเอาอวัยวะภายในออกมา หัวใจที่ยังเต้นตุบๆ และแผงซี่โครง เหมือนยังไม่สะใจ บลัดงับหัวใจที่ค่อยๆ แผ่วลง กระชากออก เลือดทะลักอาบใบหน้า
“อืม อย่างนี้ผิดกฏหมายหรือเปล่าหว่า ไม่หรอก ถือเป็นการป้องกันตัวนี่นา” ผมพูดกับตัวเอง “แต่เยอะขนาดนี้ก็ไม่น่าจะไหวนะ”
ถ้าเทียบร่างกายคนเป็นบ้านอันสะอาดเรียบร้อยแล้วละก็ ตอนนี้ทุกบ้านกำลังเอาของต่างๆ โยนออกมาทิ้งกัน อวัยวะภายในเริ่มเกลื่อนพื้นทราย เลือดมากมายก็กลบไม่มิด ลำไส้ หัวใจ สมอง ลูกตา กระดูก บางศพสภาพแทบจำไม่ได้ พวกทำความสะอาดคงจัดการลำบากกว่าตอนที่ซึนามิถล่มเสียอีก
ทหารหมู่หนึ่งวิ่งมาจากแนวหลัง เครื่องยิงจรวดแบบพกพาเล็งไปทางบลัด สายตาทั้งสองฝ่ายประสานกัน แล้วจู่ๆ บลัดพูดเสียงดังออกมา “มาช้ามาก”
“ตูม” ฝุ่น และทรายกระจาย และร่างทหารทั้งหมู่พร้อมเครื่องยิงจรวดลอยไปในอากาศ
“โทษที รถมันติด” ฝุ่นทรายจางลง ต้นเสียงมาจากชายวัยกลางคนผมสีดำ เสื้อเชิ๊ร์ตสีขาว เสื้อกางเกงขายาวสีดำ เป็นคนหนึ่งในสองที่อยู่บนเครื่องบินนั่นเอง
“เลิกแก้ตัวมั่วๆ แล้วมาทำงานเสียทีจะได้เสร็จๆ” บลัดเสยผม เลือดย้อมผมของเขาเหมือนทำไฮไลท์ และหันไปจัดการพวกที่ยังคงส่งลูกตะกั่วให้ทานเล่นอยู่
ชายวัยกลางคนเอื้อมมือไปจับเสาไฟ และกระชากเสาไฟหลุดมาทั้งยวง แล้วแกว่งไปมาเหมือนลองซ้อมเหวี่ยงไม้เบสบอล
“สักทีดิ” บลัดพูดพร้อมถอยออกมา ชายกลางคนวิ่งเข้าแทนที่ พร้อมกับเหวี่ยงเสาไฟด้วยความเร็วขนาดครูหวดไม้เรียวเด็ก
ลมแรง และท่อนเหล็ก ทำให้ทหารนับสิบคนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง บางคนก็ตกไปทางพุ่มไม้ แล้วจู่ๆ ก็มีบางอย่างพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ สัตว์สี่เท้าตัวใหญ่เกือบๆ เท่าวัว ขนมีสีม่วงแดง หางเป็นพู่ดูสง่านัก ดวงตาสีเหลืองเหมือนอำพัน เขี้ยวใหญ่สีฟ้าเหมือนน้ำแข็งขย้ำเข้าที่ลำตัวทหารเคราะห์ร้าย สัตว์ร้ายสะบัดหัว แรงกัดมหาศาลทำให้ร่างขาดออกเป็นสองท่อน มันวิ่งไปทาง บลัด ถูสีข้างกับขาหนุ่มโชกเลือด และส่งเสียงครางในลำคอเหมือนแมว ท่าทางมันดูเหมือนอ้อนอย่างไรพิกล ชายหนุ่มกับสุนัขยักษ์กลางแสงตะวันยามเช้า ถ้าเป็นคนพาสุนัขมาวิ่งเล่นคงจะธรรมดา แต่นี่เหมือนราชาปีศาจกับลูกสมุนมากกว่า
“อืม คงจบเร็วขึ้นนะ” ผมบ่นกับตัวเอง ใจหนึ่งนึกอยากจะเล่นน้ำทะเลขึ้นมาตะหงิดๆ ผมคิดว่าต่อให้ผมเป็นอมตะ ผมก็คงไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้อีกแน่นอน
อาทิตย์ยามเย็น น้ำทะเลสีแดง ท้องฟ้าสีทอง สายลมพัดเย็นสบาย เรานั่งล้อมกองไฟขนาดมหึมา รอกินเนื้อย่างที่ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยนิยมกันเท่าไร แต่ตอนนี้ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ บางคนเดินเล่นอยู่ใกล้ๆ ไม่ย่างเข้ามาในวงสนทนาที่ผมนั่งอยู่ ซึ่งกำลังดุเดือด
“พวกนายนี้บ้าจริงๆ เลย ไม่คิดอะไรเลยหรือไง คุณก็ด้วย อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือไง” ผม บลัด และก็บลูจำใจฟังเสียงคุณเธอบ่น คุณเธอคนไหนน่ะหรือ คุณเธอผมบลอนด์ใส่เสื้อเกาะอก กระโปรงยาวประเข่าล่ะ ผมไม่รู้ว่าเธอไปกินรังแตนที่ไหนมา แต่สำหรับผมตอนนี้เราปลอดภัยก็โอเคแล้ว
“ขอโทษคร้าบ” ผมจำใจพูดไปงั้นๆ ล่ะ เพื่อจะให้การเทศนานี้จบลงเสียที เธอพูดประโยคนี้มาประมาณรอบที่สี่เห็นจะได้ บลัด กับบูล (ชายวัยกลางคนที่มาร่วมปาร์ตี้ริมหาดทรายตอนเช้า) นั่งเหมือนไปมีอะไรเกิดขึ้น แล้วบูลก็พูดว่า
“นี่ เธอน่ะ อย่ามาพาลสิ รู้น่าว่าหงุดหงิดที่ร่วงลงมากระแทกหินใต้น้ำ แต่ไม่เห็นต้องมาลงกับพวกเราเลย” บูลพูดไป กึ่งยิ้มกึ่งหัวเราะ เล่นเอาถ่านไฟเก่าปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ผมเอาที่อุดหูที่ซ่อนไว้ตรงกระเป๋ากางเกงในมาอุด เรื่องที่ตกมากระแทกนี้ก็ฟังมาแล้วอีกนั่นล่ะ ผมแทบเล่าได้เลย เธอจะว่าประมาณว่า ถ้าเราขู่ทหารว่าถ้าไม่เลิกจะฆ่าให้หมดตั้งแต่แรกก็จะไม่วุ่นวาย และไม่ต้องมาจัดการศพ(ตกลงกรรมใดใครก่อ คนอื่นก็รับกรรมด้วย เสื้อผมแดงเถือกไปหมด ดีที่กลิ่นเกลือน้ำทะเลพอกลบกลิ่นเลือดได้บ้าง) และจะได้ไปช่วยเธอเก็บชิ้นส่วนร่างที่ลอยไปกับน้ำทะเล(ซึ่งจริงๆ ก็ครบ 32 ล่ะ เพียงแต่มันลอยไปไกลเกือบ 3 กิโลเมตรบริเวณน้ำลึก)
เด็กหนุ่มห้ามปรามสาวรุ่น ช่างเป็นชีวิตที่เรียกว่าชีวิตวัยรุ่นตามแบบฉบับจริงๆ เพื่อนๆ ทะเลาะกัน โวยวาย มีคนห้าม ทำไมชีวิตช่วงวัยรุ่นของผมไม่มีแบบนี้บ้างนะ ไม่นานนัก ทุกอย่างก็สงบลง เนื้อกำลังสุกได้ที่ ทุกคนเริ่มมารวมกลุ่ม และทานมื้อเย็นพร้อมกัน
เนื้อมีมากมายเหลือเฟือด้วยซ้ำไป แต่บางคนกินแค่นิดเดียว ผมไม่รู้ว่าไม่ถูกปากหรือว่า เป็นคนกินน้อยกันแน่ แต่มีขาหนึ่งที่กินแปลกกว่าเพื่อน บลัดกินแต่เนื้อดิบๆ เลือดชุ่มๆ เท่านั้น
“ไม่เลวเลยนี่นา อร่อยดี ถ้าผมมัวแต่อยู่ในป่าคอนกรีตผมคงไม่ได้มากินอะไรแบบนี้หรอก” ว่าแล้วผมก็งับเนื้อตรงน่องไปอีกคำใหญ่ คอหมูย่างสู้ไม่ได้เลย กลิ่นก็ดี รสชาติก็ละมุนลิ้น แต่เสียอย่างเดียวที่ไม่มีประเทศไหนยอมรับคนกินเนื้อคนเท่าไร
พอเริ่มทานไปกันสักพัก แต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายกันอีก บ้างไปนั่งตรงโขดหิน ชมตะวันตกน้ำ บ้างก็นั่งกินตรงหาดทราย เหลือผมกับบลัดเท่านั้นเองที่อยู่รอบกองไฟ
“เราทำตัวเป็นธรรมชาติมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย” ผมหันไปถามเพื่อนร่วมวงข้าวที่เหลืออยู่ ทั้งที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ แหม เนื้อมันอร่อยจริงๆ ให้ดิ้นตายสิ
บลัดหันมาตอบผมด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง “ไม่หรอก คุณเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว จะมีแย่ก็อย่างเดียวล่ะ” หน้าตาที่ผมเห็นอยู่นี่เหมือนปีศาจในหนังสยองขวัญไม่มีผิด เลือดเลอะปากเต็มไปหมด ส่วนสัตว์ปริศนาที่โผล่มาเมื้อกี้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ผมกลืนเนื้อลงคอแล้วถามกลับ “อะไรรึ”
บลัดยกท่อนแขนที่อาบเลือดแล้วชี้มันมาที่ผม “ชุดนั่น ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย” ผมฟังก็ได้แต่ยักไหล่ ก็ชุดนี้มันสบายดีนี่นา ผมเลือกที่จะเปลี่ยนหัวเรื่องสนทนา
“จะว่าไป ตกลงนายเป็นผีดูดเลือด แล้วมันเป็นอย่างไรเหรอ ไอ้ผีดูดเลือดเนี่ย” ผมวางกระดูกลงกับพื้นทราย แสงจากกองเพลิงสะท้อนอยู่คู่สนทนา เห็นเป็นเปลวไฟสีส้มในลูกตา
“นึกว่าจะถามเรื่องโดนแสงอาทิตย์ไม่ได้เสียอีก” เขาดูดเลือดจากต้นแขนที่ถืออยู่แล้วหันมาพูดต่อ “ผีดูดเลือดเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวตนผมที่สุด” บลัดลุกขึ้นยืน แล้วเดินมายืนข้างหน้าผม “คุณคิดว่าเรื่องไหนเป็นไปได้เกี่ยวกับผีดูเลือดมากที่สุดล่ะ” เขานั่งลงข้างหน้าผม ตาจ้องตา
“คงเป็นเรื่องไวรัสมั้ง ไวรัสที่ติดต่อกันได้ แต่เรื่องดื่มเลือดนี่ ผมว่าคงเพราะอร่อยมั้ง” ผมตอบแล้วก็ทึ้งผมตัวเอง (มันติดเป็นนิสัยน่ะ)
บลัดตบเข่าตัวเองแล้วยิ้มกว้าง “เกือบๆ จะถูกนะ คุณนี่เยี่ยมจริง คุณอยากมาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของผมไหมล่ะ” ผมตอบทันที
“ขอรายละเอียดก่อนแล้วค่อยว่ากันละกัน” นี่ล่ะคำตอบสุดโปรด
บลัดยืนมือขวามา ผมเอื้อมมือขวาไปจับ “คุณเชื่อเรื่องที่คนเราจะเกิดมาพร้อมความพิเศษไหม เช่นพลังพิเศษที่ต่างจากคนทั่วๆ ไป”
ผมมองดูมือของบลัด “อย่างเช่นเกิดมามีหูทิพย์ พลังจิต เทือกๆ นั้นหรือเปล่า”
“แล้วคิดบ้างหรือเปล่าว่า บ้างครั้งจะมีพวกความสามารถพิเศษที่ไม่แสดงออก ถ้าไม่ถูกกระตุ้นล่ะ” ผมฟังแล้วก็นึกไปถึงเรื่องพิสดารต่างๆ ที่เคยอ่านเจอ
“มีอยู่แล้วล่ะ แล้วพิเศษแบบไหนล่ะองค์ชายผีดูดเลือด” ผมถามกลั้วหัวเราะ
หมอกสีแดงแผ่ออกมาจากในแขนเสื้อแขนยาวสีแดง หมอกค่อยๆ คืบคลานมาทางมือผม
มือซ้ายของบลัดล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบมีดออกมาเล่มหนึ่ง ปักมันลงที่พื้น ระหว่างเขากับผม
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ดวงดาวเริ่มทอแสง กองไฟสุกสว่าง แต่รอบตัวผมกลับมืดด้วยกลุ่มหมอกสีแดง
“เมื่อนานมาแล้ว นานมากทีเดียว ผมเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดในยุคสมัย” ดวงตาเลื่อนลอยสีส้มมองไปที่มีด “มีดเล่มนี้เป็นของรักของผมเลยทีเดียว มันอาบเลือดมานับไม่ถ้วน กระทั่งเหยื่อรายแรก จนถึงรายสุดท้ายก่อนที่ผมจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่คน” ผมหยิบมีดขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์
“สวยมาก สวยจนน่าลองใช้ฆ่าคนเลยนะ แล้วหลักในการเลือกเหยื่อล่ะ” ผมถามแล้วก็ยิ้มๆ เพราะด้านมืดของทุกคน ล้วนเป็นสิ่งที่น่าสนใจทั้งนั้น ตราบใดที่ยังเป็นเพียงแค่ความคิดอยู่
“เรื่องนั้นไว้วันหลังดีกว่า” บลัดฉวยมีดจ่อปลายมาที่คอหอยผม หมอกสีแดงตัดผมและเขาออกจากโลกภายนอก เหลือเพียงดวงจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงลงมาจากเบื้องบน “เหยื่อทุกคนเป็นอาหารที่อร่อยดี ใช่ ผมก็เหมือนกับสัตว์ป่าในร่างมนุษย์นั่นล่ะ” เสียงลมพัดเริ่มรุนแรงขึ้น “ผมเริ่มพบความวิเศษจากการได้กินเลือด และเนื้อของมนุษย์ ผมมีพลังมากขึ้น ว่องไวขึ้น กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น และในที่สุดผมก็เข้าใจทุกอย่างในวันนั้นนั่นเอง” เขาชักมีดกลับ เสียบเข้าที่คอของตัวเอง
เลือดพุ่งกระเด็นเข้าหน้าผม “นี่น่ากลัวกว่าที่เอามีดจ่อคอผมอีกนะเนี่ย” มือผมปาดเลือดออกจากหน้า และถูกับทราย ดวงตาของคู่สนทนาเบิกกว้าง มองมาทางผม
“วันที่ผมถูกตำรวจฆ่าตาย ครั้งแรกที่สัมผัสกับความตาย” บลัดพูดเสียงดัง “เหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะหายไป และขณะที่สติเริ่มเลือนรางนั้น ผมก็เข้าถึงความทรงจำของเหยื่อทุกคน” เขาหยุด และพูดใหม่ด้วยเสียงราบเรียบ “สำหรับพวกผม เลือด มันก็เหมือนกับหน่วยเงินของวิญญาณ ถ้ามีมาก ถูกฆ่าไม่กี่ครั้ง ก็ไม่ตาย” เขาชักมีดออกจากคอ บาดแผลเริ่มสมานอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่คราบเลือดที่เปื้อนใบมีด และลำคอ “หลังจากนั้น เมื่อผมดื่มเลือด ผมจะรู้ได้ว่า คนไหนเป็นเหมือนกับผม” บลัดเช็ดมีด และเก็บเข้าไปในอกเสื้อตามเดิม “มันไม่ใช่แบบในหนังหรอกที่ดูดเลือดคนบริสุทธิ์ แล้วคนนั้นกลายเป็นผีดูดเลือดต่อ แต่แน่นอนว่าองค์กรผีดูดเลือดมีจริง และกลุ่มผู้ไล่ล่ามีจริง” หมอกเริ่มจางลงๆ
ท้องฟ้าสว่างไสว แต่สายลมรุนแรงหวีดหวิว อากาศเริ่มเย็นขึ้น ผมถูแขนทั้งสองข้าง “เรื่องร่วมก๊วนน่ะ ผมขอคิดดูก่อนละกัน” บลัดยิ้ม และหัวเราะหึๆ
“อ้าว จีบกันเสร็จแล้วเหรอ” บูลพูดแซว
ส่วนตัวผมน่ะ คิดว่าบูลนี่น่าจะเป็นเกย์มากกว่าเสียอีก
เด็กหนุ่มชุดดำตะโกนแข่งกับเสียงลม “ทุกคนมารวมกันที่กองไฟหน่อยครับ” ตอนนี้กองไฟลุกโชน สะเก็ดไฟปลิวว่อนไปทั่ว
เมื่อทุกคนกลับมานั่งล้อมวง เด็กหนุ่มก็พูดว่า “ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมโค้ดเนมโอลแมน เป็นผู้เชิญทุกท่านมาร่วมการผจญภัยครั้งนี้ และแต่ละท่านจะได้โคดเนมกันทุกคน เพราะเราถือข้อมูลของท่านเป็นความลับสุดยอด เพื่อท่านจะไม่ต้องกังวลว่าการผจญภัยครั้งนี้ จะกระทบกระเทือนถึงชีวิตของท่าน และผมจะเรียกคุณด้วยโค้ดเนมคิดละกันนะ” โอลแมนมองมาทางผม เป็นไปได้ไหมว่า ผมจะเด็กที่สุดในกลุ่มจริงๆ “ผมคิดว่าทุกคนคงรู้จักบลัดแล้ว และนี่บูล” เขาผายมือไปทางชายวัยกลางคนที่ใช้เสาไฟเป็นอาวุธเมื่อเช้า “เซนส์” มือผายมาทางชายวัยกลางคนอีกคน “เอียร์ และ โนส” และสาวๆ อีกสองคน เมฆเริ่มหมุนวงเป็นวงกลม เสาน้ำพุ่งขึ้นมาจากทะเล เป็นเกลียวเหมือนก้นหอย
“เรื่องเมื่อเช้าเป็นแค่การเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ ผมเชื่อว่ามีสิ่งที่หนักหนาสาหัสมากกว่านี้รออยู่ข้างหน้า ถ้าใครอยากถอนตัวก็บอกกันเสียตอนนี้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสอีก”
บทที่ 7 ค่ำคืนสุดท้าย
“เปรี้ยง!” ฟ้าผ่าเห็นเป็นเส้นยาวบนท้องฟ้า เหมือนจู่บรรยากาศทั้งหมดก็แปรปรวนขึ้นมาเฉยๆ ไม่มีใครขยับ หรือตอบอะไร
“งั้นก็ไปกันหมดทุกคน ผมขอบอกอะไรพวกคุณไว้หนึ่งอย่าง กรุณาใช้ความสามารถที่มีอย่างเต็มที่ ถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลให้บอกทันที และที่สำคัญ ดูแลคิดด้วย”
แล้วตกลงไอ้จินตนาการอันลึกล้ำของผมนี่ จะช่วยได้จริงๆ เหรอเนี่ย (แล้วตอนลงจากเครื่องบิน มีคนคุ้มกันผม สองคนเอง งานนี้ผมน่าจะหยิบมันมาด้วย)
ผมลุกขึ้นยืน หันไปถามโอลแมน “คุณเตรียมของไว้ให้ผมหรือเปล่า” ผมคิดว่าเขาต้องมีแน่นอน
“แหม กำลังจะบอกอยู่พอดีเลยครับ” โอลแมนซุกมือลงที่ทรายใต้เท้า ทำมือขยุกขยิก สักพัก เขาก็หยิบกระเป๋าเอกสารอะลูมิเนียมขึ้นมาหนึ่งใบ
“อะไรจะวางแผนได้ขนาดนี้เนี่ย” ผมแซวเล่น กระเป๋าถูกเปิดออก มีปืนหนึ่งกระบอก และเสื้อผ้าชุดหนึ่ง
“สั่งทำเหมือนของคุณทุกประการ” ว่าแล้วโอลแมนก็หยิบปืนกระบอกนั้นส่งให้ผม ผมกระชับด้ามปืน เหนียวไก ดึงสลัก แบบเดียวกับที่ผมใช้จนชินมือ โลหะเป็นสีเงิน แมกกาซีนเจ็ดนัด น้ำหนักเบา กระชับมือ ทั้งเครื่องหมายที่ผมทำไว้ เหมือนกันอย่างกับโคลนออกมา
“เยี่ยมยอด เหมือนขโมยมาไม่มีผิดเลย และนั่น เสื้อผ้าใหม่ของผมเหรอ” ผมชี้ปากกระบอกไปทางเสื้อผ้าที่เหลือในกระเป๋า
“รวมทั้งซองปืนด้วย แต่ผมอยากให้คุณดูลูกกระสุนก่อน” ว่าแล้ว โอลแมนก็หยิบแมกกาซีน เปิดช่องด้านใต้ กดสวิทช์ จู่ๆ ลูกกระสุนก็โผล่ขึ้นมาจนเต็ม “สิบเอ็ดมม.ลูกกระสุนหัวแหลม ปลอกเกลียว เน้นอำนาจการทะลุทะลวงสูง ดินปืนพิเศษ อาจมีแรงถีบมากกว่ากระสุนธรรมดาสักหน่อย ช่องด้านล่างแมกกาซีนใช้ระบบเชื่อมมิติต่อกับคลังกระสุนของผม ยิงไม่มีวันหมดแม็ก”
ผมลองใส่แมกกาซีนเข้ากับด้ามปืน ดึง เล็ง แล้วเหนี่ยวไกสามนัดซ้อน แรงถีบไม่มากอย่างที่คิด ที่สำคัญ ความเร็วแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด “เสร็จงานแล้วผมขอนะ” โอลแมนตอบผมด้วยรอยยิ้ม
“ขอให้ทุกคนใช้เวลาที่เหลือนี้ให้เต็มที่ พรุ่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ผมเตรียมที่พักไว้แล้ว ขอให้ทุกคนโชคดี และอยู่รอดจนจบการเดินทาง” โอลแมนพูดจบ สายฝนเทลงมาเหมือนน้ำรั่ว ลมพัดรุนแรง เสียงฟ้าผ่า ท้องฟ้าสว่าสงวาบ เสียงดังราวกับโลกกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ผมหันสำรวจรอบๆ ตัว ผมเห็นรถบ้านอยู่สามคัน ทุกสิ่งทุกอย่างในการเดินทางครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่คนธรรมดาคงรับไม่ได้แน่นอน (ยิ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้แสวงหาเพียงเหตุผลด้วยแล้ว) กองไฟเริ่มมอดลง และดับไปในที่สุด ผมเดินตามฝนมองไปที่ทะเล มือขวาถือกระเป๋า ผมจ้องมองทะเลที่กำลังปั่นป่วน ดูแล้วเลือนรางพร้ามัวด้วยสายฝน
“บางที นี่คงเป็นเหมือนประตูสู่โลกความตายที่ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ล่ะมั้ง” ผมคิดถึงเรื่องที่ผมครุ่นคิดมาตลอด หากผมตาย ผมจะเป็นอย่างไร ผมหันหลังกลับตั้งหน้าเดินไปที่รถบ้าน สายฝนเย็นเฉียบปะทะเข้ากับแขนและขาที่เปลือยเปล่า สายน้ำไหลจากเบื้องบนสู่ล่าง สำหรับตัวผม นี่ก็คงเป็นความสุข ใช่ ความสุขของคนช่างพูดยากเหลือเกิน
“บึก!” บางอย่างปะทะร่างผมจนกระเป๋าหลุดมือ และร่างนอนหงายท้องกับผืนทราย กลิ่นเลือดชัดเจนขึ้นอีกครั้งจากละอองฝน หยดน้ำมากมายยังคงไหลลงมา หากนี่เป็นน้ำตาของเทวดา จะมีเทวดากี่องค์นะที่ร้องไห้ และร้องไห้เพราะอะไร จากท้องฟ้าที่มืดครึ้ม และแสงแปลบปลาบ หยดน้ำมหาศาล กระทบเข้าไปถึงในจิตใจ เรียกความรู้สึกทั้งหมดของผมมาอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า
ผมมองร่างที่กำลังคร่อม ใช่ ใช้คำว่าคร่อมเหมาะที่สุด เธอนอนคร่อมร่างผมอยู่ “นี่ ทำอะไรน่ะ หนักนะ” เธอเงยหน้ามามองหน้าผม น้ำไหลจากผมสีน้ำตาลผ่านใบหน้า ริมฝีปากสีชมพูอ่อน เสื้อยืดคอกลมหนักน้ำ เผยให้เห็นเนินอกเนินขาว ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปล่ะก็คงอิจฉาผมน่าดู
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจ้องหน้าผม “เด็กน้อย ร้องไห้เหรอ” สายตาช่างใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนเด็กๆ
“หา พูดอะไรของเธอ มันต้องเป็นน้ำฝนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” มีคำตอบมากมายในหัวผม แต่ผมก็ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
เธอปัดผมที่ปรกหน้า ขยับตัว ยื่นหน้าใกล้เข้ามา ประทับรอยจูบข้างตาซ้ายผม และแลบลิ้นเลีย “เค็ม น้ำตาจริงๆ นั่นแหละ” น้ำตาผมคงไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ลุกออกไปที หนักนะ” หญิงสาวลุกออกไปอย่างว่าง่าย นั่งชันเข่าอยู่ข้างๆ ผม “ไม่เข้าที่พักล่ะ” ผมชันกายขึ้นนั่ง พยายามปัดทรายเปียกๆ ออกจากเสื้อ
“ก็” ท่าทางอึกอักของเธอ เหมือนเด็กสาวที่มีบางอย่างที่น่าอายปิดบัง “ก็...ฉันอยากรู้จักคุณนี่นา แล้วแววตาคุณดูเศร้ามากด้วย”
“หึๆ ฮ่าๆ นึกว่าเรื่องอะไร” ผมลู่ปรกหน้า ผมเห็นเพียงแต่อะไรดำๆ รู้สึกร่างกายอุ่นขึ้นนิดหนึ่ง ผมมองไปรอบๆ “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” หายไปหมดเหมือนโลกนี้เหลือเราสอง
“เข้าที่พักกันไปหมดแล้วล่ะ เขาไม่ชอบเปียกกัน แล้ว...เอ่อ...คิดล่ะ ไม่กลัวเปียกเหรอ” เธอเอนกายมาข้างๆ ผม ขาทั้งสองข้างลงไปนั่งพับเพียบ
“สายฝน มันก็เป็นชีวิต ชีวิตของโลก ของธรรมชาติ เหมือนที่ในกายเรา หัวใจเต้น เลือดสูบฉีด โลกก็มีฝนตก มีพายุ มีแผ่นดินไหว มันทำให้ผมรู้สึกใกล้ชิดโลกมาขึ้นน่ะ” ผมตอบเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มเหงาๆ ใช่ เป็นรอยยิ้มที่ผมใช้มาตลอด “แล้วเธอล่ะ ชอบเปียกๆ เหรอ”
เธอส่ายหัว แล้วโผเข้ากอดผม “ไม่หรอก เราชอบอุ่นๆ มากกว่า” เสื้อผ้าเปียกๆ ถูกัน ใส่กางเกงยีนส์ตากฝน สำหรับผม มันไม่ให้ความรู้สึกที่ดีเลย “จำชื่อเราได้ไหม” เธอยื่นหน้าพูด หน้าเธอแทบจะติดหน้าผม
ตาผมหลุบต่ำ แต่สีหน้าผมยังคงปกติ “โนบรานี่” ตาเธอเบิกโพลง กอดผมแน่นขึ้น ซบหัวเข้ากับไหล่ผม
“คนทะลึ่ง” เธอเงยหน้าขึ้นมาหอมแก้มผม
“เอียร์ รู้แต่โค้ดเนมของเธอเท่านั้นเอง” เธอจูบปากผม ลิ้นแหวกเข้ามาในปากควานไปทั่ว ผมรู้สึกหายใจไม่สะดวก ริมฝีปากบางสีชมพูผละออกมา เธอจ้องหน้าผมด้วยดวงตาเว้าวอน แล้วก็ยิ้มจะแก้มปริ
“ขอนะ” เธอว่า ผมเดาว่าเธอก็คงเหมือนกับคนอื่นๆ เลยถามเธอไป
“ทำอย่างนี้แล้วหายเหงาเหรอ” ใครจะว่าผมละลาบละล้วงก็ไม่รู้ ขอแค่ผมได้คำตอบเท่านั้น
เธอมองหน้าผมฉงน “แหม ทำเหมือนเราเป็นเด็กไม่ดีเลยนะ” เธอขมวดคิ้วพูดกับผม
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก ผมหมายถึง การพรากจากคนต่างๆ มองดูคนรู้จักค่อยๆ ตายไปทีละคนๆ ต่างหาก” ผมอยากบอกทุกคนเหลือเกินว่า ความรู้สึกเหล่านั้นมันแย่เพียงไร
“กินก่อนแล้วค่อยตอบได้ไหม” แล้วจู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งมาล็อคคอเอียร์จากข้างหลัง
“นี่ ให้มันได้อย่างนี้สิ มานี่เลย” โนสนั่นเอง เธอล็อคคอ และลากเอียร์ไปที่รถบ้านคันหนึ่ง
ผมรู้สึกถึงสายฝนอีกครั้ง “สงสัยจะมีสมาธิมากไปหน่อยล่ะมั้ง” ผมบ่นกับตัวเอง และเดินไปที่รถบ้านอีกคันหนึ่ง
คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายของผมแล้วก็ได้ ที่จะได้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน น่าเสียดายที่ไม่เห็นดวงจันทร์ และดวงดาว ขอต้อนรับเข้าสู่การเดินทางของมนุษย์อมตะ ถ้าใช้คำนี้น่าจะเหมาะนะ
บทที่ 8 ใต้ดิน
ผมไม่เชื่อว่า ความพยายามจะสามารถเอาชนะได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องให้เชื่อเพิ่มอีกอย่าง ว่าไม่ว่าความพยายามของใคร ก็ไม่สามารถเอาชนะคนที่มีความพยายามมาก่อนได้ อาจจะฟังดูงงสักหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องราวของเพื่อนร่วมรถของผมนั่นเอง
บูลฝอยทั้งคืนให้ผมฟัง ถึงพลังอันมากมายมหาศาลของผม หากคุณฝึกพละกำลังของคุณมาตลอดเวลา นานเท่าที่จะนานได้ พลังคุณจะมีมากมายมหาศาลอย่างคาดไม่ถึง ในขณะเดียวกัน คนที่ฝึกฟังเสียงต่างๆ มาตลอด จะฟังเสียงได้ดีอย่างไม่มีใครเปรียบเทียบได้ ผมเข้าใจทันทีเลยว่า บูลนั้น มาจากวัวนั่นเอง เขาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ผมฟังจนเกินพอ ทั้งเรื่องราวของสงครามกลางเมือง ทั้งช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม แน่นอน รวมถึงความอมตะของเขาด้วย แต่ผมฟังเรื่องพละกำลังและกล้ามเนื้อที่แทรกอยู่ในทุกเรื่องจนหลับไปพร้อมกับความเบื่อ พอตื่นขึ้นมาก็พบว่า บูลยังคงพูดต่อ
ถ้าผมไม่ลืม ผมจะเล่าให้ฟังนะ ไม่ค่อยมีใครที่จู่ๆ จะเป็นอมตะกันหรอก
แต่ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบง่ายๆ ละก็ การจะเป็นอมตะ หมายถึงคุณต้องผ่านทั้งจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดก่อน แล้วช่วงระหว่างกลางนั้น ก็จะไม่สามารถกลับไปสู่จุดเริ่มต้นได้ และก็ไม่ไปถึงจุดจบ
ประมาณตีสี่ โอลแมนเรียกรวมทุกคน และเตรียมตัวออกเดินทางกัน ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมา ทำให้เราพอสรุปได้สามอย่าง หนึ่ง เรามีเป้าหมายอยู่ใต้ทะเลทางลงสู่ทะเลมีสองทาง จากบนบก และจากบนทะเล (คือค่อยๆ จมลงไปใต้น้ำ) สองยังพอมีผู้เหลือรอดอยู่ถึงปัจจุบัน สามมีวิหารบนฟ้า หรือที่เราเรียกกันว่าลาพิวต้าทางขึ้นอยู่บนบก และใต้ทะเล
ตามกฏของแรงโน้มถ่วง ทุกอย่างจะร่วงลงสู่พื้น เพราะฉะนั้น เราจึงตกลงจะขึ้นไปข้างบนก่อน แม้ว่าจะไม่รู้วิธีขึ้นไปก็ตาม (หากจะว่าไป เราก็เหมือนคลำทางตั้งแต่ศูนย์ เพียงแต่ว่า เราได้บริเวณทึ่คาดว่าจะมีทางเข้ามาเรียบร้อยแล้ว)
การผจญภัยอันน่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยอันตรายหลายๆ ท่านคงคิดว่าผมต้องคลำหาทางจากในป่าส่วนที่ไม่มีใครสำรวจ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ พอมาถึงตรงนี้ ผมนึกเสียดายชีวิตทหารมากมายที่สังเวยชีวิตที่ริมทะเล
กลิ่นเหม็นชวนคลืนเหียน น้ำเจิ่งนอง แสงจากไฟฉาย และเสียงจ๋อมแจ๋มที่สะท้อนก้องกังวานไปมา เทคโนโลยีที่สูงขนาดมีเครื่องย้ายมวลสาร กลับใช้ไฟฉายธรรมดาๆ แต่นี่ละ ก็คือรสชาติของชีวิตอีกแบบ แต่ก็ดูมีคนที่รับไม่ได้อยู่หนึ่งคน
“ฉันไม่ได้ตั้งใจมามุดท่อน้ำแบบนี้เล้ย ให้ตายสิ ถึงจะให้เงินขนาดไหน ถ้ารู้ ฉันก็ไม่มาให้โง่หรอก เหม็นจะตาย ยิ่งฉันจมูกดีๆ อยู่ อย่างนี้จมูกฉันไปพังหมดเหรอเนี่ย” โนสบ่นมาไม่ได้หยุดปาก ถึงจะบ่นด้วยเสียงเบาเหมือนงึมงัมก็เถอะ ผมก็ไม่ได้รังเกียจท่อระบายน้ำอะไรนักหรอก เพียงแต่ไม่นิยมเท่านั้น แต่มันก็ดีกว่าไปวิ่งเล่นในเมืองแก้ปริศนา พร้อมกับหลบการตามล่าของผู้ปกป้องความลับ (ไม่อย่างนั้นเผลอๆ พวกเราอาจได้ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งได้) แต่ที่น่าแปลกที่สุดคือ ไม่มีใครรู้เลยหรือว่าเราอยู่ข้างใต้นี้ มันราบเรียบเกินไป หรือไม่ ก็มีบางอย่างเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
“เอียร์ มีอะไรผิดสังเกตไหม” โอลแมนหันมาถาม สาวน้อยผมสั้น
“บอกไม่ได้ค่า ให้โนสเงียบหน่อยน่าจะดีนะคะ” สิ้นประโยค ก็มีเสียง “บึ้ก” เบาๆ ท่อระบายน้ำมีเพียงเสียงน้ำไหลเท่านั้น บลัดที่ประคองร่างโนสไว้ ส่งร่างอันไร้สติให้บูลอุ้มขึ้นบ่าไว้
“อื๋ม มีเสียงบางอย่างแปลกๆ ใกล้เข้ามามากแล้วด้วย อยู่ตรงโค้งหน้านี่เอง” ทุกคนชะงัก และเงี่ยหูฟัง
“ตูม!” ผมขึ้นลำและเล็งไปทางต้นทางเสียงทันที เขยิบเข้าไปใกล้มุม แล้วกระโจนตัวออกไป แล้วผมก็พบกับ
“ถุงขยะ สงสัยจะค้างท่ออยู่มานาน” โอลแมนเดินมา ดึงคอเสื้อผม จนหน้าเราทั้งคู่เกือบจะชนกัน เขาจ้องหน้าผม ด้วยแววตาที่เอาเรื่อง
“ผมสัญญาว่าจะปกป้องชีวิตคุณไว้ก็จริง แต่ถ้าคุณเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแบบนี้ ก็ไม่มีใครช่วยได้หรอกนะ” บลัดมองมาทางเราทั้งคู่ แล้วก็ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ส่วนบูลได้แต่ยิ้มแหยๆ
“งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” บลัดถอดถุงมือทั้งสองข้าง กางแขน แบมือออกไปข้างหน้า ถุงมือสีขาวเริ่มคล้ำขึ้น มีไอสีแดงๆ ออกมาจากถุงมือ มีบางอย่างหล่นมาจากกลุ่มไอเหล่านั้น
“จ๋อม!ๆ จี๊ด!”
หนูทั้งฝูงแยกย้ายกระจัดกระจายไปตามทาง ถ้าผมจะหาเงินล่ะก็ ผมจะเอาบลัดไปเป็นนักมายากลท่าจะดี
บลัดปล่อยมือลงข้างตัว “ถ้ามีอะไรจะบอก” เสียงหนูหายไปแล้ว ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ว่ายน้ำได้เงียบจริงๆ
ผมเคยได้ยินว่าหนูมันสามารถจำทางเขาวงกตได้ทั้งหมดจากการเดินสำรวจครั้งหนึ่ง ทางระบายน้ำใต้เมืองก็เช่นกัน ใช้หนูหาทางน่าจะดีที่สุด แต่หนูจะรู้หรือเปล่า ว่าอันไหนเป็นสิ่งที่พวกเรามองหากันอยู่
ก่อนที่จะเริ่มเดินกันต่อ ผมได้เสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา “ทำไมเราไม่รอพวกหนูล่ะ แล้วเก็บแรงเอาไว้ก่อน” ทุกคนหันมามองหน้าผม สังเกตว่ามีบางคนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ แต่มีพวกที่หน้าเฉยๆ เสียมากกว่า
“ผมรู้ว่าคุณเก่งแค่ไหน แต่ว่าที่ผมให้เดินไปเรื่อยๆ น่ะ เพราะว่ามีเหตุผลที่สมควรอยู่” โอลแมนพูดด้วยเสียงลม ฟังแล้วผมมองเห็นภาพสายลมที่พัดใบไม้แห้งลอยอยู่ในอากาศ “หนึ่ง เราไม่รู้ว่าเรากำลังจะเจอกับอันตรายแบบไหน เป็นไปได้ที่มีคนสะกดรอยเราอยู่ สอง หนูไม่ได้ฉลาดเท่าคน เป็นไปได้ที่หนูจะถูกหลอก สาม แม้เราอาจไม่เข้าใกล้เป้าหมายเลย แต่คงปลอดภัยกว่าที่จะเป็นเพียงเป้านิ่ง” ผมยกปากกระบอกปืน ชี้หน้าโอลแมน
“ปัง!” ลั่นไกพร้อมกับเบี่ยงเล็กน้อย อะไรบางอย่างที่เหมือนเป็นอากาศอัดก้อน กระเด็นลงน้ำ จากที่มองไม่เห็น มันค่อยๆ มีรูปร่างโผล่ขึ้นมาอย่างชัดเจน สิ่งมีชีวิตอะไรบางอย่างคล้ายๆ แมงมุม เพียงแต่ตัวโตขนาดหัวคน “ผมว่าเราคงใกล้ถึงแล้วล่ะ ไม่สิ คงเป็นถูกจับได้แล้วมากกว่า”
ทันใดนั้น มีเสียงที่รบกวนโสตประสาทดังก้องไปทั่ว (จะให้อธิบายคงต้องบอกว่าเป็นเสียง วี๊ๆ) รวมทั้งเสียงเหมือนของแข็งชิ้นเล็กๆ นับไม่ถ้วนกระทบหินกระทบหิน แมลงทั้งหมดแสดงตัวออกมา ดูเหมือนแมงมุมผสมแมงป่อง เหล็กในโตขนาดนิ้วโป้งได้
เสียงรบกวนทำให้โนสได้สติ และดิ้นอยู่บนบ่าของบลู บลูจึงปล่อยเธอลงพื้นตามยถากรรม
“เข้าใจแจ่มแจ้งเลยนะเนี่ย ว่าทำไมไม่ชอบเข้ามาเล่นซ่อนหาในท่อระบายน้ำกัน” บูลพูดด้วยดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเหมือนจะให้พวกเรารู้สึกตลก แต่ขอบอกว่าฮากริบ
ทุกคนอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อม แน่นอนว่าก็ต้องมีหวั่นบ้าง แมลงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจมากที่สุด และความที่ไม่เข้าใจนี่เองที่เป็นบ่อเกิดของความกลัว (เจอแมลงตัวเท่าขา กับสิงโต ผมเลือกสิงโตแน่นอน) จะมีแย่ที่สุดก็สองสาว โนสเป็นพวกกลัวแมลงขึ้นสมอง ยิ่งเจอแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง (แม้ว่าจะเป็นแมลงล่องหนก็เถอะ) ส่วนเอียร์นอกจากคลื่นเสียงรบกวนโสตเมื่อกี้แล้ว เสียงกรีดร้องของโนส ก็ทำให้เธอรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ สถานการณ์ดูเลวร้าย แต่จู่ๆ ผมแว่บความคิดหนึ่งขึ้นมา
แมลงตีวงล้อมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “นี่เอาไงดี ผมไม่อยากเป็นอาหารว่างให้พวกนี้เคี้ยวเล่นหรอกนะ” บูลเหลือบตามามองผม ผมมองกลับ แล้วบอกกับทุกคน
“มีเป็นไปได้ ที่พวกนี้จะเป็นผู้ดูแล และผู้นำ บางทีมันอาจจะกำลังหาวิธีสื่อสารกับเราอยู่ก็ได้” แม้มันจะมีความเป็นไปได้น้อยมากก็ตาม
“เหรอ งั้นใครจะลองล่ะ” บูลหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ทันทีที่เขาหลุดปาก ทุกคนก็มองมาทางเขา “เฮ้ๆ อย่างมองฉันอย่างนั้นสิพวก” แล้วจู่ๆ ร่างของบูลก็พุ่งไปข้างหน้า จมหายเข้าไปในฝูงแมลง โดยการสงเคราะห์จากเท้าของชายวัยกลางคนอีกคน
“อ้าก!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา ไม่รู้เพราะเจ็บปวด หรือเพราะอะไรกันแน่
“ผมว่าเรารอสักสองนาทีท่าจะดีนะครับ” ผมตะโกนบอกเหยื่อว่า “ขอสักสองนาทีนะ บางทีมันอาจฝังเสาสัญญาณเชื่อมต่อกับสมองโดยตรงก็ได้”
เสียงอื้ออึงในความมืด เสียงเนื้อและของเหลว เสียงน้ำไหล และเสียงของเหล่าแมลง สองนาทีช่างยาวนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด “ผมคิดถูกไหมเนี่ยที่ให้เรารอตั้งสองนาทีเนี่ย” ผมเริ่มกังวล เสียงของบูลเงียบหายไปสักพักแล้ว
บลัดหันมามอง ดึงคอเสื้อสีแดงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ไม่ผิดหรอก แต่น่าจะผิดที่ตัวบุคคลมากกว่า” บลัดมองไปทางฝูงแมลงเบื้องหน้าด้วยดวงตาเลื่อนลอย มือทั้งสองกอดอก “แต่ก็แปลกดีนะ ที่แมลงไม่ทำอะไรพวกเราเลย” คิดๆ แล้วก็ใช่ มีแต่บูลเท่านั้นที่โดนแมลงรุม “บูลเป็นอมตะก็จริง แต่โดยรวมก็เหมือนคนธรรมดา โดนรถชนก็ตาย โดนกินก็ตาย”
ปังๆ! ปังๆ! ผมยิงปืนแบบไม่นับ โดยเล็งไปที่แมลงตัวนอกๆ ก่อน “ไม่น่าเลยเรา” ผมบ่นเบาๆ บลัดมองแล้วส่ายหัวนิดๆ
“ชักช้าน่า บอกผมก็ได้” บลัดแบมือ หันฝ่ามือไปด้านหน้า ฝูงผึ้งนับพันๆ บินออกมา พุ่งไปยังแมลงประหลาด ไม่นาน เหล่าแมลงก็กระจัดกระจาย เผยให้เห็นร่างแดงๆ ที่คุดคู้อยู่
“โอ้ย! สันนิษฐานผิดพลาดนะไอ้หนู ดูสิ เลยเลี้ยงอาหารแมลงจนได้” บูลหันหน้าไปมองชายวัยกลางคนอีกคน “แกนะแก ซักวันฉันจะฆ่าแกให้ได้เลย” ชายอีกคนมองยิ้มๆ เหมือนสะใจ
“ถ้าทำได้ ก็ลองดูเซ่” ดวงตาลุกวาว โอลแมนเดินเข้ามาหาบูล ย่อตัวลงดูอาการ
“ถ้ามีไข่ก็แย่หน่อยนะ”
ฝูงแมลงเริ่มเคลื่อนไหวไปรอบๆ อีกครั้ง
“ท่าทางจะไม่จบไม่สิ้นแฮะ” สมองกำลังคิดหาวิธีที่ดีที่สุด บูลก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะอุ้มใครไหว สาวๆ อีกสองคนก็คงทำอะไรไม่ได้ดีนัก จะทำอย่างไรดี
“คิด ความสามารถของผมคือ พอดื่มเลือดสิ่งมีชีวิต ผมจะเรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นขึ้นมาจากความตายได้ มีอะไรแนะนำไหม” แสงแห่งความหวังปรากฏขึ้น
“สิ่งที่เรียกออกมาขนาดปกติไหม” แมลงสามตัวกระโจนพุ่งเข้าหาผม
“ปังๆ ผัวะ!” สองด้วยกระสุน หนึ่งด้วยปลายปืน สัตว์ร่วมโลกลงไปนอนขึ้นน้ำโสมมจากเมืองมนุษย์
“ฉัวะ!” ของเหลวบางอย่างกระเด็นโดนหัวผม “ไม่จำเป็น” คู่สนทนาตอบ เหมือนโลกทั้งโลกเราอยู่กันแค่สองคน (อีกแล้ว เหมือนตอนชายหาดเลย)
“มีกินแมลงตดบ้างไหม” ผมหันไปตอบ พลิกตัวสวนกันพอดี แมลงอีกสี่ตัวที่กระโจนมาข้างหลัง “ปังๆ! ปังๆ!”
“ไม่ครับผม” ขาพุ่งเข้าไป ทะลวงเข้ากลางตัวของแมลง
เหลือทางเลือกสุดท้าย ผมไม่อยากทำเลย แต่ช่วยไม่ได้ ทันใดนั้นแมลงหล่นมาที่ต้นคอผม
“ว้าก!” ผมตะปบหมับ ลืมนึกถึงเหล็กในเสียสนิท หางมันพุ่งมาเข้าช่องว่างระหว่างนิ้วของผมพอดี โชคดีอะไรอย่างนี้ ตอนนี้ผมจับตัวหนึ่งได้อยู่หมัด “บลัด กินเร็ว” ผมยืนไปที่หน้าของคู่สนทนาทันที (ขอเสียมารยาทสักนิด)
“เอาจริงเหรอเนี่ย” แมลงกรูออกมาจากท่อระบายน้ำอีกฝูงใหญ่ ดูอย่างไรเวลาก็เหลือน้อยเต็มทน บลัดคว้าแมลงไปกิน ทำหน้าเหมือนเสียไม่ได้ เขี้ยวกัดครั้งเดียวทะลุเปลือกเข้าไปถึงเนื้อใน แมลงที่พุ่งเข้ามามากขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมยิงปืนแทบไม่หายใจ และแล้ว ผมก็พลาด
บทที่ 9 พูดคุย
แมลงเกาะเข้าที่หน้าผม ผมตกใจสุดขีด มีอะไรบางอย่างพยายามเข้ามาทางจมูกและปากผม ทันใดนั้นเอง เสียงรบกวนโสตประสาทก็ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ดังกว่าเดิมมาก และอยู่ใกล้ๆ เสียงแมลงตัวอื่นตอบรังเซ็งแซ่ ทั้งหมดไม่ขยับไปไหน อยู่กับที่ ส่งเสียง และเคาะเท้า แมลงบนหน้าผมกระโดดลงไปข้างล่าง อากาศท่อระบายน้ำช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน
นับว่าเป็นความโชคดี ที่บลัดพอเข้าใจความคิดผม ผมลุกขึ้นมา สวมตำแหน่งผู้บัญชาการ
“พวกนี้เป็นใคร” ผมบอกบลัด แมลงยักษ์ส่งเสียงสนทนากับแมลงตัวเล็กๆ
“พวกเขาบอกว่าอาศัยอยู่ที่แห่งนี้มานานแล้ว มีผู้สร้างพวกเขาขึ้นมา” บลัดหันมาตอบผม
“ผู้สร้างเหรอ” ผมไม่คิดว่า เราจะเจอชิ้นส่วนของปริศนาเร็วขนาดนี้ “แล้วผู้สร้างที่ว่า เหมือนเราไหม ผ่านมาที่นี่บ่อยหรือเปล่า”
“รู้สึกจะไม่ค่อยเหมือนพวกเราเท่าไหร่ นานๆ จะผ่านมาที ส่วนถ้าไม่ใช่พวกผู้สร้างแล้ว กินเรียบ”
“เฮ้!” เสียงตะโกนมาจากด้านหลัง ผมหันไป ลืมไปเสียสนิทว่ามีคนอื่นๆ อยู่ด้วย โอลแมนทำเตรียมยาและผ้าพันแผล สายตามองผม เราต่างรู้หน้าที่แต่ละฝ่าย
“เป็นยังไงกันบ้าง บูลล่ะ โอเคไหม โนสไม่ต้องกลัวแล้วนะ เอียร์ด้วย” แล้วหันกลับมา มีคำถามที่ต้องถามอีก
“บอกพวกนี้ทีสิว่า เราจำเป็นต้องผ่านทาง และไม่ได้ต้องการมาสู้กัน แต่ถ้าขัดขวาง เห็นทีจะมีตาย” ผมบอกบลัด
บลัดหันมามองหน้าผม “เอาแบบนั้นเลยเหรอ” ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อ
“ก็เอาแบบนั้นแหละ อ้อ แล้วถามด้วยว่า ไข่ลงไปในร่างบูลหรือเปล่า” ผมหันไปทางมัมมี่ที่หมอบอยู่ที่พื้น (ปฐมพยาบาลกันได้ไวดีจริง)
“อื้อ” เสียงบิดขี้เกียจ เหมือนรู้สึกรำคาญเต็มทน “พวกเขายอมให้เราผ่านไปโดยดี และไม่ได้ไข่ไว้ มีคำถามอะไรอีกไหม” บลัดถอดเสื้อนอกสีแดง ปัดๆ ส่วนที่เลอะน้ำเมือก
“ถ้าได้คนนำทางจะดีมากเลยแค่นั้นล่ะ” ผมปิดการสนทนา ล่ามทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่มีที่ติ
บทที่ 10 โลกนี้ไม่ใช่ของเรา
ผมคิดเสมอว่า อัตราส่วนของสิ่งมีชีวิตในโลกนั้นจำกัด หากมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างขึ้นมามาก อย่างอื่นๆ จะลดลง เช่น ถ้าคนเพิ่มขึ้น สัตว์บางชนิดอาจสูญพันธุ์ หรือลดจำนวนลง คนเราชอบคิด และทำว่าโลกใบนี้เป็นของเรา ใครจะไปรู้ว่าที่จริงแล้ว ตัวโลกนี้อาจเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งก็ได้ หรือไม่แน่ มนุษยชาติ อาจสูญพันธุ์เพราะสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน แล้วอย่างนี้ เราจะพูดว่าโลกเราเป็นของมนุษย์ได้เต็มปากอีกหรือ
การเดินทางต่อในตอนเริ่มต้น เต็มไปด้วยความล่าช้า บูลยังเคลื่อนไหวไม่ได้ ผมรับบทเป็นผู้เฝ้าสุสาน แบกมัมมี่ตัวโต เดินไปตามทางในท่อระบายน้ำ กลิ่นเหม็นๆ กับลมหายใจขาดห้วง เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นพร้อมกัน
ผ่านแยก เลี้ยวซ้าย เจอแยก เลี้ยวขวา เสียงย่ำลงน้ำ เสียงน้ำไหล กับวิวของกองขยะ ที่แตกต่างกันไปบ้าง คงไม่มีใครมาทำความสะอาดในนี้เลยกระมัง ถ้าหากว่าเราเอาศพมาทิ้งในนี้ คงไม่มีใครคิดถึงแน่
เราเดินเล่นจนชินกลิ่นในท่อระบายน้ำเรียบร้อยแล้ว ผมกดไฟดูนาฬิกาข้อมือ เราเดินมาเกินสามชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ผมดีขึ้นมาก เพราะมีคนช่วยแบกมัมมี่แทน ไม่มีบทสนทนาใดๆ ในใจภาวนาเพียงแต่ว่า ถึงปลายทางเสียทีเถอะ และทันใดนั้นเอง แมลงนำทางก็หยุด
“ถัดจากนี้ต้องไปกันเอง ระยะทางเหลืออีกไม่เท่าไร” บลัดพูดจบ แมลงก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนกันตอนที่มันมาหาพวกเรา
“เอียร์ ได้ยินเสียงอะไรบ้างไหม ใกล้ถึงทางออกหรือยัง”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงโอลแมนดี จู่ๆ ข้างหน้าพวกเราก็ปรากฏร่างๆ หนึ่งขึ้น เหมือนมาก เหมือนกับพวกเรา แต่มีบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
ร่างนั้นสวมชุดรัดรูปสีม่วงเข้ม มีตราสัญลักษณ์บางอย่างที่เสื้อ ผิวสีฟ้า ดวงตาเรียวงาม จมูกโด่ง คิ้วบาง และริมฝีปากสีเขียวมรกต ดวงตาสีน้ำเงินดุจไพลิน งดงามดั่งเทวดาจากสรวงสวรรค์ ผมมันวาว เป็นประกายสีทอง ท่าทางน่าจะเป็นผู้ชาย ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ สายตาทุกคนถูกตรึงด้วยภาพเบื้องหน้า จนไม่มีใครสังเกตถึงความผิดปกติ ร่างนั้นยืนมือมาทางเรา พลันดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดนก ผมรู้สึกเหมือนจะหมดสติ
ภายในช่วงระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น มีภาพหลายภาพผุดขึ้นในมโนสำนึกของผม ควันรูปร่างดอกเห็นจำนวนมากมาย ฐานกว้างพอๆ กับภูเขาลูกใหญ่ สงครามต่างเผ่าพันธุ์ ดูเหมือนมนุษย์ กัยสิ่งมีชีวิตยืนสองขาอีกประเภท ดูออกไปทางสัตว์เลื้อยคลาน แสงเลเซอร์ เมืองที่จู่ๆ ก็หายไป เกาะที่จมลงใต้น้ำ รวมถึงมนุษย์ต่างดาว ความพินาศของอารยธรรม สิ่งก่อสร้างที่เสียหายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ซากศพมหาศาล ท้องฟ้าสีดำ พายุน้ำแข็ง การหยุดยั้งบางสิ่งบางอย่าง ทุกอย่างไหลเข้ามาเหมือนเขื่อนแตกทำผมแทบอ้วก มันเป็นความทรงจำ เหมือนที่ผมประสบมาด้วยตนเอง ภาพสุดท้ายคือร่างๆ นั้น แววตาเศร้าสร้อย หยดน้ำตา และแล้วผมก็พบว่าผมยังอยู่ในท่อระบายน้ำ
นี่เป็นคำเตือน ผมรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว และความเลวร้ายที่แฝงมากับความทรงจำทั้งหมด บางทีการตัดสินใจของเราอาจนำหายนะมาสู่โลกนี้ก็ได้
“เดินทางกันต่อเถอะ” เซนส์พูดพลางเดินนำหน้าไป เหมือนเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้น ทุกคนเริ่มเดินกันต่อ หรือว่าเหตุการณ์เมื่อกี้ผมรู้สึกไปเองคนเดียว แต่ว่ามันก็ทำให้ผมนึกได้อย่างหนึ่ง
เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไขความลับนี้ จะว่าเพราะมันเป็นความลับ และไม่มีใครอนุญาต ก็ไม่ใช่ ผมแค่คิดว่า โลกนี้อาจมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่รู้ ไม่รู้จัก ไม่แม้แต่จะนึกถึง แต่ทุกอย่างอาศัยในโลกนี้ มันดีแล้วหรือที่พวกเรามาค้นหาครั้งนี้ หากมันมีผลกระทบอย่างร้ายแรงกับโลกล่ะ โลกไม่ใช่ของมนุษย์สักหน่อย มันเป็นของทุกสิ่งทุกอย่าง และของโลกเอง
ในความเงียบของขบวน หัวใจผมกลับมีเสียงเรียกร้องอย่างรุนแรง และก็เกิดความแน่วแน่ขึ้นมาอย่างหนึ่ง หากมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นจริงๆ ผมจะเป็นคนหยุดยั้งเอง อย่างน้อยขอให้ได้รับผิดชอบในการทำตามพลการของพวกเราเถอะ
ปลายทางมีแสงสว่าง เราทั้งหมดเริ่มวิ่งไปที่ทางออก ไปสู่แสงสว่างแห่งความไม่แน่นอน
บทที่ 11 ความไม่ไว้ใจ
แสงของดวงอาทิตย์ ท้องฟ้าอันสดใส และป่าอันเขียวครึ้ม ดูแล้วไม่น่าเชื่อ ว่าจากท่อระบายน้ำของตัวเมือง จะโผล่มาได้ถึงที่นี่
เราโผล่มาที่หน้าผาสูงชัน เบื้องล่างเขียวขจีด้วยผืนป่า ภูเขาลูกมหึมา แม่น้ำไหลผ่านเป็นทางยาวไปสุดตา เซนส์กระโดดลงไปข้างล่าง ตามด้วยโอลแมน บูลที่ค่อนข้างดีขึ้นมากแล้วยืนอยู่ข้างๆ ผม บลัดกางปีกและค่อยๆ ร่อนลงไปเบื้องล่าง โนส และเอียร์มองภาพเบื้องหน้า โนสถอนหายใจ ส่ายหัวอย่างหน่ายๆ และกระโดดลงไปตามหน้าผา เกี่ยวตรงนู้น โดดตรงนี้ ดูคล่องแคล่วเหมือนนินจาในการ์ตูน ส่วนเอียร์ดูสายตาเลื่อนลอยไปไกล
“ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม” บูลพูดกับผม สังเกตว่าสีหน้าเขาไม่สบายใจนัก (แม้จะพันด้วยผ้าพันแผลก็เถอะ) ผมมองหาทางปีนลงไป ปรากฏว่าข้างๆ ท่อมีบันไดลิง ราวเหล็กสภาพสมบูรณ์เหมือนถูกสร้างมาใหม่ๆ ผมชี้ไป
“ลงไปคุยไปดีกว่า จะได้ไม่ผิดสังเกต” ผมเสนอความคิดเห็น เอียร์ยังยืนเหม่ออยู่ ผมจึงสะกิดเธอ “เอียร์ เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอหันมาทางผม ดวงตาสีน้ำตาลสะท้อนแสงอาทิตย์ น้ำตาคลอเบ้า ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“งั้นเดี๋ยวตามลงมาเร็วๆ นะ” มัมมี่บูลขอหลบฉากก่อน
“ไม่เอาแล้วนะ” เอียร์พูดเสียงสั่น
“ไม่เอาอะไร ลงไปกันเถอะ ทุกคนเขารออยู่นะ” ผมจับมือ จะพาเธอเดินไปที่บันได แต่เธอไม่ยอม
“จะต้องมีคนตายอีก จะมีคนตายอีกแน่นอน” ลมพัดผ่าน น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ผมอยู่ด้วยทั้งคน ไปกันเถอะ” ผมเขยิบเข้าไปใกล้ ปาดน้ำตาออก
“เขามาเตือนเรา เขารู้ว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น และมันอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง” เสียงคำพูดปนสะอื้นแทงเข้าไป ทำให้ใจผมหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่ง ผมก็อยากเห็นกับตาว่าความลับของสามเหลี่ยมนั่น แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ โดยไม่สนใจคำเตือนเก่าแก่ (ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวมาแล้ว) ถึงแม้จะมีคำตอบในใจว่า ที่นั่นคือที่ที่อาวุธโบราณหลับไหลอยู่ ไม่สิ มันอาจจะยังทำงานต่อเนื่องมาก็ได้ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้น
“ผมไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นหรอก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม สัญญาด้วยทุกอะตอมในร่างกายของผมเลย” ผมมองหน้าเธอ แล้วยิ้มเป็นเชิงให้กำลังใจ แต่ดูเธอยังคงกลัวอยู่ ผมจึงกอดเธอ มือขวาลูบผม นุ่มสีน้ำตาล ชุดบอนด์แนบเนื้อเสียดสีกัน ผมกระซิบไปที่ข้างหู “ไม่เป็นไรหรอกนะ ผมสัญญา” เสียงสะอื้นค่อยแผ่วลง จนในที่สุด เธอก็สงบลง
เธอผละออกจากตัวผม ปาดน้ำตากับแขนเสื้อ “ขอบใจมากนะ เราไปกันเถอะ” เธอยิ้มแย้มอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดวงตะวันยามเช้า
ผมเดินไปที่บันไดลิง “เดี๋ยวผมลงไปก่อนนะ มีเรื่องต้องพูดกับบูล รีบตามลงมานะ” ชุดสีดำของผมสะท้อนกับแสงแดด
ผมลืมบอกเรื่องชุดไป เสื้อผ้าทั้งทีมกลายเป็นชุดแบบเดียวกันหมด (ยกเว้นบลัดคนเดียว) มันเป็นชุดที่ผมบอกได้คำเดียวว่า วิเศษ ตอนที่เราลงไปในท่อระบายน้ำ ผมไม่รู้สึกว่าเปียกเลย ส่วนที่อยู่ด้านบนกลับระบายลมดี
ผมสวมถุงมีที่แถมมาในกระเป๋ากางเกง และรูดบันไดลิงลงไปข้างล่างด้วยความเร็ว (ด้วยความสูงขนาดนี้ก็น่าหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย คงสัก 150 เมตรได้
ผมลงมาอย่างรวดเร็ว จนเบรคไม่ทัน ขาผมเหยียบมือบูลเต็มๆ
“จ๊าก!” เสียงตะโกนดังก้อง ผมได้ยินเสียงฝูงนกบินแหวกแมกไม้
“โทษค้าบ” ผมสำนึกจริงๆ นะเนี่ย
“นี่ ถ้าตกลงไปข้างล่างนี่ เน่าคู่เลยนะ ระวังหน่อยเด้” บูลตะโกนจนผมแสบแก้วหู
“ผมกลัวคุณรอน่ะ” ที่จริงผมสนุกกับการลื่นลงมามากเกินไปหน่อย ถุงมือจากชุดนี้นอกจากรูดลื่นแล้ว ยังกันความร้อนได้ดีเยี่ยมอีกด้วย
“แล้วโนสล่ะ” บูลพยายามมองขึ้นไปด้านบน แต่ติดตัวผม
“กำลังตามลงมา คงไม่ได้ยินที่เราพูดกันหรอก รีบๆ ว่ามาเลยดีกว่า” เวลาไม่ค่อยมีนักหรอก
“ผมชักไม่แน่ใจในการมาครั้งนี้ของพวกเราแล้วล่ะ” บูลพูด พร้อมๆ กับปีนลงไปโดยไม่หยุด ผมถามกลับ
“มันเป็นกิจกรรมที่ผิดปกติเกินไป แม้ว่าจะเป็นทริปของมนุษย์อมตะหรือไง” ผมพูดแซวๆ แต่ที่จริง มันก็เกินไปนั่นล่ะ ถ้าจะเอาสนุก ตื่นเต้น หวาดเสียว ยังมีหลายอย่างให้ทำอีกเยอะ อย่างเช่นไปตะลุยป่าอเมซอน ทำไมถึงต้องเป็นที่เบอร์มิวด้านี่
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ผมรู้สึกว่ามันผิดพลาดคือหลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของเซนส์แล้ว” จริงอย่างที่ว่า แรกๆ เจ้าตัวก็ดูไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไร แต่พอออกจากท่อน้ำ กลับทำตัวดูกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ “ผมคิดว่าโอลแมนมีส่วนด้วย” ผมคิดสักพักแล้วตอบกลับไป
“มีสิทธิ์ แต่เราไม่รู้ได้ ที่จริงคนที่วางแผนไว้อาจเป็นคุณเองก็ได้” ผมตอบกลับตบท้ายด้วยเสียงสูง
บูลนิ่งเงียบไป ผมจึงพูดว่า “เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็จัดการกันตอนนั้นล่ะ” บทสนทนาเราจบเพียงเท่านั้น
“ตูม!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผมหยุดกึกทันทีหันไปทิศทางของเสียง ภาพฝุ่นฟุ้งตรงผืนป่าไกลๆ เมื่อฝุ่นจางลง ป่าหายไปทั้งแถบ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
ผมและบูลนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ต่างรอดูสถานการณ์ด้วยใจระทึก ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อเราทั้งคู่เห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงรีบปีนบันไดลงอย่างรวดเร็วสู่แมกไม้เบื้องล่าง
ไม่ว่าที่ตรงนั้นจะเกิดอะไรขึ้น อีกไม่นานเราคงได้รู้คำตอบแน่ๆ
บทที่ 12 บรรพชน
“ฟื้ด!” เสียงอะไรบางอย่างรูดราวเหล็กมาอย่างรวดเร็ว ผมมองไปข้างบน ร่างๆ หนึ่งไถลลงมาด้วยความเร็วสูง
“เย้ย!”
“ฟึด!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงตกใจ ร่างๆ นั้นก็เบรกกระทันหัน อีกไม่ถึงสองฝ่ามือก็ถึงตัวผมแล้ว เลือดสูบฉีด หัวใจเต้นรัว ผมนึกว่า ผมจะตายเสียแล้ว
โนสหันหลังมองลงมา ทันใดนั้นเอง
“ฟึด!”
“อ๊า!”
“อ๊าก!” มือทั้งสองข้างผมหลุดจากบันได หลังขนานกับพื้นโดยมีอากาศรองรับ และมีผู้หญิงอยู่บนตัวผม ลาก่อนโลกที่สวยงาม
“เป๊าะ! กร๊อบ! แซ่กๆ! ตึง!” ความเจ็บปวด เจ็บเหลือเกิน คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสินะ ที่จะรู้สึกแบบนี้ ขอโทษนะแฟนๆ ทุกท่าน ผมคงไม่ได้เขียนหนังสือให้พวกท่านอีกแล้วล่ะ
ขณะที่ผมกำลังรำพึงรำพันอยู่ในใจนั้นเอง ก็มีเสียงแว่วมา
“คิด คิด” เป็นเสียงผู้ชาย คงเป็นท่านนักบุญหน้าประตูสวรรค์ ท่านกำลังเรียกผม เอ๋? แต่ทำไมไม่เรียกชื่อจริงล่ะ
ผมลืมตา ทั่วร่างยังเจ็บระบมอยู่จากการกระแทกกิ่งไม่ และกระแทกพื้น ภาพตรงหน้าเบลอ หูอื้อ ข้างๆ ตัวผมเห็นผู้หญิงนอนแบบอยู่ บูลนั่นเองที่เรียกผม
“เฮ้ๆ ยังมีสติอยู่หรือเปล่า ยังไม่ตายใช่ไหม” ว่าแล้วก็ตบหน้าผมซ้ายขวา เจ็บนะ แต่ตอนนี้ผมยังพูดอะไรไม่ออก ใช้คำว่าจุกคงเหมาะที่สุด
เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เคลื่อนไหว มัมมี่จึงแบกคนทั้งสองขึ้นหลัง และเดินตามกลุ่มนำ
ระยะทางทิ้งห่างกันจนไม่เห็นแม้เงาไหวๆ โชคดีที่ชุดที่เราสวมใส่มีระบบติดตามตัว เราจึงไม่คลาดกับกลุ่มนำ รู้สึกกลุ่มนำหยุดกันแล้ว ผมดีขึ้นมากแล้ว แต่ด้วยอาราม (อารมณ์ และ อาการ)ขี้เกียจเดิน จึงให้กระทิงจอมพลังแบกผมต่อไป ส่วนโนสลงมาเดินนานแล้ว เราเดินมาถึงแม่น้ำ แล้วบูลก็พูดว่า
“โนส มาพนันกันไหมว่าหมอนี่แกล้งสลบ” ผมเดาได้ว่าบูลกำลังจะทำอะไร ผมเลยชิงแกล้งทำเป็นรู้สึกตัวขึ้นมาก่อน ผมได้ยินเสียงบูลสบถเบาๆ คงหมั่นไส้อยากโยนผมลงน้ำ
“แหม! น่าเสียดายจัง นึกว่าจะให้เล่นน้ำสักหน่อย” โนสพูดอย่างรู้ทันกับบูล
ในที่สุด เราก็มาสมทบกันเรียบร้อย ที่ๆ ทั้งหมดหยุดอยู่ คือบริเวณที่มีฝุ่นฟุ้งเมื่อกี้นี่เอง ต้นไม้หัก เป็นแถบๆ พื้นดินเป็นหลุมกว้างเป็นวงกลม ไม่มีรอยไหม้ ไม่มีกลิ่น ป่าราบเป็นทางไปจนสุดริมน้ำ บางอย่างคงจะลงน้ำไป โอลแมนกำลังสำรวจบริเวณรอบๆ บลัดขึ้นไปดูจากต้นไม้ เซนส์ดูร่องรอยที่พื้น ส่วนเอียร์เดินมาทางพวกเรา
“ท่าทางปริศนาจะมากขึ้นทุกทีแล้วนะเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง
“พวกนายได้ยินเสียงเมื่อกี้หรือเปล่า” เราทั้งสามพยักหน้า
“ทั้งภาพทั้งเสียงเลยล่ะ” บูลพูด ตาก็มองไปทางเซนส์
ทั้งสามคนคุยกันเรื่องปริศนานี้ ผมเดินมาทางบลัด บุรุษชุดแดงกระโดดลงมาพอดี
“มาเร็วเลยนะ เป็นไงบ้าง?” บลัดปัดเศษกิ่งไม้ ใบไม้ที่ติดตามเสื้อ
“ถัดไปทางนั้น” บลัดชี้นิ้วไปทางหนึ่งนาฬิกาของผม “มีหมู่บ้านอยู่ คิดว่าเขาน่าจะมีคำตอบสำหรับความสงสัยของพวกเราได้ล่ะ”
ผมเดินไปทางโอลแมนซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ “มีอะไรที่ผมพอช่วยได้บ้างไหม?” โอลแมนกำลังหยิบเศษดิน และดูอย่างพินิจพิเคราะห์
“น่าเสียดายที่ไม่มี” นิ้วชี้และนิ้วโป้งบี้ๆ ถูๆ เศษดิน แล้วลุกขึ้น มองหน้าผม บิดซ้ายบิดขวา “แล้วทางนั้นได้อะไรบ้างล่ะ?” เด็กชายพยักหน้าไปทางหนุ่มชุดแดง
“ตรงนั้นมีหมู่บ้าน” เมื่อกี้เราอยู่ในเมือง ตอนนี้จู่ๆ มาโผล่ที่ป่า ไม่มีตึกรามบ้านช่อง หรืออะไรให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่หมู่บ้าน ซึ่งถ้าดูตามแผนที่แล้ว มันไม่น่าเป็นไปได้
“เราจะไปที่หมู่บ้านนั้นกัน จากนี้ไปห้ามใครทำอะไรโดยพลการ” โอลแมนออกคำสั่ง และเดินนำเราไป โดยมีบลัดคอยประกบอยู่ข้างๆ เซนส์ตามมาติดๆ โนส บูล เอียร์ แล้วปิดท้ายด้วยผม
หากพูดคำว่าคนป่า ผมจะนึกถึงพวกที่ผิวคล้ำๆ ใส่กระโปรงฟาง ที่หน้าทาลวดลายต่างๆ ห้อยเครื่องประดับ และขนนกรุงรัง
ขณะที่ผมกำลังนึกเพลินๆ นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้ามาทางพวกเรา จังหวะถี่ๆ บ่งบอกถึงความเร็ว เสียงใบไม้สวบสาบ ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปถึงที่มา ก็ปรากฏร่างหนึ่งอยู่เบื้องหน้ากลุ่มพวกเรา
“ว๊าก!” ร่างนั้นตะโกน ทุกคนในกลุ่มสะดุ้ง มีบลัดเพียงคนเดียวที่ยังยืนนิ่ง ทุกคนตั้งท่าเตรียมสู้ แต่ท่าทางของฝั่งนู้นนั้น
หลังจากตะโกน ร่างสวมเสื้อคลุมสีเขียวก็โค้งหัวให้พวกเรา สัมผัสไหล่ และยิ้มให้ รอยยิ้มละมุนละไมเหมือนเด็กๆ ผิวขาว ดวงตาสีเขียวน้ำทะเล
บลัดหันมามองทางพวกเรา แล้วถามด้วยเสียงงงๆว่า
“เป็นอะไรกัน?”
สีหน้าของโนสดูยังไม่ไว้วางใจ เอียร์เริ่มหัวเราะ ส่วนบูลตบเข้าไปที่หน้าผากตนเอง โอลแมนทักทายปราศรัยกับแขก เซนส์เลิกตั้งการ์ด และปล่อยตัวเหมือนปรกติ พวกนี้ช่างปรับตัวได้เร็วจริงๆ แต่ตอนนี้มีปัญหาอย่างหนึ่ง เราสื่อสารกันไม่เข้าใจ
ภาษากายอย่างเดียวเป็นสิ่งที่พอใช้เอาตัวรอดไปได้ แต่หากจะถามเรื่องราวต่างๆ หรือเรื่องที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม ภาษากายจะไร้ประโยชน์ทันที
ภาษาที่ผมได้ฟังจากฝ่ายนั้น เป็นภาษาที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย (เพราะผมรู้จักทุกภาษาในโลก จึงนับว่าเป็นเรื่องแปลกมากที่เดียว) แต่ มันออกคล้ายๆ ภาษาฮีบรู ซึ่งดูท่าทางโอลแมนก็จนปัญญา เพราะไม่มีเครื่องมือไฮเทคใดช่วยได้
ยกเว้น ภาษาคณิตศาสตร์ ฝ่ายตรงข้ามชูมือขึ้น ชูนิ้วชี กำมือ ชู้นิ้วชี้ สลับกันไปเหมือนสัญญาณ โอลแมนตบข้อมือ เครื่องมือรูปร่างคล้ายนาฬิกาดิจิตอลโผล่ออกมา อีกฝั่งเห็นก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ เขาแหวกเสื้อคลุม มีอุปกรณ์แปลกๆ ห้อยคออยู่ มีปุ่ม มีสัญลักษณ์ต่างๆ เต็มไปหมด เขากดสองสามปุ่ม แล้วจู่ๆ อุปกรณ์ของโอลแมนก็ฉายภาพโฮโลแกรมเป็นตัวอักษรสามมิติ เป็นภาษาอังกฤษ ข้อความปรากฏว่า
“สวัสดีครับ ผมชื่ออาร์ไบน์” โอลแมนมองข้อความนั้น แล้วยิ้มอย่างพอใจ
“สวัสดีครับ เรียกผมว่าโอลแมนก็ได้ เรามาจากที่ไกลแสนไกล อยากรบกวนขอความช่วยเหลือจากคุณหน่อย” โอลแมนพูดแล้วกดปุ่ม สองสามปุ่ม อุปกรณ์ห้อยคอส่องแสง อาร์ไบน์ผายมือ เหมือนจะให้พวกเราตามไป
ถ้าเป็นในเมือง เราไม่ควรตามคนแปลกหน้าไป แต่ในป่า ไม่น่าจะมีปัญหา ยกเว้นจะเป็นพวกกินคน หรือบูชาซาตาน
ภาพโฮโลแกรมปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีข้อความว่า
“เชิญทุกคนไปที่หมู่บ้านผมก่อน ที่นั่นมีทุกคำตอบรอคุณอยู่แล้ว”
ข้อความเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง
“เรารอพวกคุณมาเป็นแสนปีแล้ว”
บทที่ 13 เมื่อถึงเวลา
ทุกการไปเที่ยว หลายๆ คนคงซื้อของที่ระลึก ในบางครั้ง อาจได้ของที่ระลึกจากคนท้องถิ่น เช่นในครั้งนี้
อาร์ไบน์พาเราไปที่หมู่บ้าน บ้านแต่ละหลังเป็นทรงครึ่งวงกลมคว่ำ มีหน้าต่างเป็นช่องวงกลมประมาณ 3-4 ช่อง ไม่มีกระจกหรืออะไรกั้น ประตูก็เป็นเพียงช่องสี่เหลี่ยมว่างๆ เช่นกัน ข้างในมืดจนมองอะไรไม่เห็น อาร์ไบน์พาเราไปที่บ้านของเขา ทันทีที่ก้าวพ้นเขตประตูภายในบ้านสว่างไสวเหมือนภายนอกไม่มีผิด แต่ตอนที่ผมมองเข้ามาจากทางกระจก และประตูก็มืดมองอะไรไม่เห็น ไม่ต่างจากที่อื่นๆ
อาร์ไบน์นำอุปกรณ์แบบเดียวกับที่ห้อยคอเขาอยู่ มาให้พวกเราคนละเครื่อง เป็นเรื่องน่ายินดีที่เราได้เครื่องมือนี้ เพียงแต่ว่า พวกเราไม่รู้วิธีใช้สักคน แถมปุ่มและสัญลักษณ์นั้นมีมากมาย เรียกได้ว่ารอบตัวเครื่องเลย อาร์ไบน์บอกว่าเขาจะพาเราไปพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกคนที่ผ่านไป ผ่านมาต่างมีเครื่องมือเหล่านี้ห้อยคออยู่
และแล้วเราก็มาถึงสถาปัตยกรรมทรงกลม เป็นทรงกลมสีฟ้าอ่อน เหมือนท้องฟ้ายามฟ้าใส ลอยอยู่เหนือพื้น 1 ฟุต มีรูปพระอาทิตย์ และดวงดาวต่างๆ จัดเรียงกันตามตำแหน่งดวงดาวในระบบสุริยะ อาร์ไบน์ชูอุปกรณ์ขึ้น ยืนไปทางสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์ ทันใดนั้นผิวของสิ่งก่อสร้างก็เกิดจุดดำเล็กๆ จุดดำนั้นขยายใหญ่ออกมาเป็นช่องประตูอาร์ไบน์ผายมือให้พวกเรา
เมื่อเข้าไปด้านใน เพดานด้านบนมีสีฟ้า เป็นประกายริ้วไหว เหมือนอยู่ใต้น้ำ ในห้องว่างเปล่า มีเพียงด้านตรงข้ามห้องนั้นมีบัลลังก์ตั้งอยู่ ตัวบัลลังก์เป็นมรกตสลัก ที่นั่งรองด้วยขนสัตว์ ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์มองมาทางพวกเรา อุปกรณ์ที่ห้อยคอนั้นดูโปร่งใสเหมือนทำจากผลึกคริสตัล ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวขาวราวไข่มุก สีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ ชายชรามองมาทางพวกเรา ดวงตาจ้องเข้ามาเหมือนจะมองให้ทะลุไปถึงจิตใจ ชายชรากวักมือเรียกอาร์ไบน์ไปข้างๆ ทั้งสองจ้องตากันสักพัก จากนั้นอาร์ไบน์ก็ขอตัวออกไปข้างนอก
ชายชรายกมือขวา ยื่นมาทางพวกเรา ข้อความโฮโลแกรมปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ผมจับแขนของโอลแมน แล้วอ่านข้อความให้ทุกๆ คนฟัง
“ยินดีต้อนรับ เหล่าผู้มาเยือน เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่ามีพวกอื่นหลงเหลืออยู่นอกจากพวกเรา” โอลแมนพูดใส่เครื่องตอบกลับไป
“ที่นี่คือที่ไหน พวกท่านเป็นใคร” ชายชรามองไปทางซ้าย มือขวาวางลงบนเข่า ผายมือซ้ายไปทางกำแพง กำแพงมีแสงเรืองขึ้น ปรากฏเป็นแผนที่โลก (ซึ่งไม่ใช่ฉบับมาตรฐานของพวกเรา) มีไฟกะพริบอยู่ที่พื้นที่บริเวณหนึ่ง
“ที่นี่คือโซลเลส ดินแดนที่รอดจากหายนะครั้งใหญ่ในอดีตอันไกลโพ้น” ภาพบนผนังเปลี่ยนไป มีภาพของเมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่าน พาหนะบินได้ สิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกตา มีบางส่วนที่ดูคล้ายกับหมู่บ้านนี้ ข้อความโฮโลแกรมปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ในอดีต ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเราก้าวกระโดดมากไปกว่าพวกอื่นๆ พวกท่านอาจเคยได้ยินชื่อดินแดนที่หายสาบสูญ แอตแลนติส สิ่งที่พวกท่านรู้นั้นเป็นแค่เศษเสี้ยวของวิทยาการของเรา” ภาพบนฉายภาพสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขึ้นมา เหมือนกับที่พวกเราพบในท่อระบายน้ำ
“คิดว่าพวกท่านคงได้รับคำเตือนจากพวกเขาแล้ว” ข้อความสุดท้ายปรากฏขึ้น ทั้งหมดนิ่งเงียบไปสักพัก โอลแมนจึงถามกลับไป
“พวกเขาคือใคร” ข้อความตัวอักษรขึ้นว่า
“เพื่อนร่วมโลก” เป็นอันว่าเราไม่ได้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้
“ขอให้พวกท่านทั้งหมดกลับไป” เซนส์เห็นข้อความนี้ จึงตอบกลับไปด้วยเสียงยียวนว่า
“ถ้าไม่ล่ะ?” ชายชราหลับตาลง
“หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอันตรายนานับประการ ทั้งที่พวกเจ้าคิดไว้ และที่พวกเจ้าคิดไม่ถึง เราได้แต่เตือน แต่เราไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้กับพวกเจ้า และกับโลกใบนี้ด้วย”
ชายชราลืมตาขึ้น ข้อความปรากฏว่า “สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องเลือกกันเอง”
อาร์ไบน์เดินเข้ามา และผายมือ เชิญพวกเราออกไป
“แล้วทางไปต่อล่ะ?” โอลแมนถามชายชราอีกครั้ง คราวนี้อักษรโฮโลแกรมแสดงออกมาเป็นคำ 3 คำ
“เมื่อ-ถึง-เวลา”
บทที่ 14 อีกหนึ่งเรื่องเล่า
ทุกคนออกมาข้างนอก สังเกตได้ว่ามีบางคนดูท่าทางไม่สบอารมณ์นัก บางคนมีสีหน้าครุ่นคิด ส่วนบางคนก็เฉยๆ สำหรับผม แค่ได้มาเห็นที่แบบนี้ก็สุดยอดแล้ว ธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร ปริศนาเผ่าพันธุ์ลึกลับ บางอย่างเหลือไว้ให้สงสัย น่าจะดีกว่ารู้หมด วิถีชีวิตแปลกๆ น่าสนใจไม่น้อยว่าพวกเขายึดถืออะไรในการดำรงชีวิต สีหน้าแต่ละคนในหมู่บ้าน ดูไร้ทุกข์
ทุกคนเริ่มเดินแยกย้ายไปตามแต่ละส่วนของหมู่บ้าน ส่วนหนึ่งก็เพื่อฆ่าเวลา อีกส่วนก็เพื่อหาช่องทางที่จะไปข้างหน้าต่อ ผมเห็นเซนส์ และโอลแมนลองถามคนนู้น คนนี้ดู ดูทุกคนพูดคุยเป็นมิตรดี เพียงแต่ไม่มีรู้ทางไปต่อ บลัดวิ่งเข้าป่าไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เอียร์เพลิดเพลินกับเสียงต่างๆ เสียงสัตว์แปลกๆ ที่ไม่คุ้นหู (ผมระบุไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นสัตว์ประเภทไหน) ส่วนโนสก็ดูจะไล่ดมกลิ่นไปตามที่ต่างๆ
ถ้าเราเรียกการไปที่ใหม่ๆ ว่าแปลกหูแปลกตา สองคนนี้คงเป็นแปลกหูแปลกกลิ่นกระมัง ผมเลือกที่จะเดินเล่นกับอาร์ไบน์ บูลมากับผมด้วย
“ผมอยากชมหมู่บ้านนี้ให้ทั่วๆ น่ะ” นั่นเป็นเหตุผลของบูล
หลังจากเดินไปสักพัก จู่ๆ อาร์ไบน์ก็พูดกับผม ด้วยภาษาที่ผมใช้จนชิน
“คุณชื่ออะไรเหรอ” ผมแปลกใจเล็กน้อย ไม่นึกว่าอาร์ไบน์จะสามารถพูดภาษาเดียวกับผมได้
“เรียกผมว่าคิดละกัน ส่วนคนนี้บูล” ผมชี้ไปทางบูลที่กำลังวิวข้างทางอยู่
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะ แล้วมาได้ยังไงเนี่ย” อาร์ไบน์ชิงเปิดคำถามก่อน
“ผมมาผจญภัยน่ะ มาไขปริศนาลึกลับของโลกผม” อาร์ไบน์มองหน้าผม เอียงคอไปทางซ้าย
“ปริศนาอะไรเหรอ” เห็นดังนั้นผมจึงเล่าเรื่องให้ฟัง
“เมื่อนานมาแล้ว ในโลกที่ผมอยู่มีพื้นที่หนึ่งที่เรียกกันว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หลายๆ ครั้งที่มีเรือ หรือเครื่องบินผ่านบริเวณนี้ จะเกิดการหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยขึ้น บางครั้ง หายไปทั้งเรือทั้งคน บางครั้งเหลือเรือที่ว่างเปล่า และบางคนก็หนีรอดออกมาได้ แต่ยังไม่มีใครรู้ได้ว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
“อืม” นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จรดอยู่ที่คาง มืออีกข้างไขว้อยู่ที่หน้าอก “เป็นอย่างนั้นนี่เอง”
“รู้อะไรเหรอ”
“ไหนๆ อะไร มีอะไร” บูลร่วมวงสนทนาด้วย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมไม่มั่นใจน่ะ ไว้คุณไขปริศนาได้ก่อนแล้วผมจะบอกละกัน”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ ที่จริงผมมีเรื่องที่จะถามหลายเรื่องเลย” อาร์ไบน์ยกแขนพาดไหล่ผม แล้วพาเดินห่างออกไปจากบูล แล้วกระซิบบอกว่า
“เดี๋ยวคืนนี้มาที่ทรงกลมนะ ผมมีอะไรบางอย่างจะให้” จากนั้นอาร์ไบน์ก็พูดเสียงดังกลบเกลื่อน “เอ้อ แล้วตกลงคุณมาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”
ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดของผมตั้งแต่โทรศัพท์ลึกลับ การเดินทางที่สนามบิน เครื่องบินตก การต่อสู้กับทหาร ฝูงแมลงในท่อระบายน้ำ
พอพูดถึงทหารผมก็นึกได้ ถ้ามีใครมาทำการทดลอง หรือครอบครองเทคโนโลยีนั้น ก็น่าจะอยู่เฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่ที่เรามานี่ค่อนข้างจะคนละที่ ดูๆ แล้วแทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริเวณนั้นเลย หรืออาจเป็นความเข้าใจผิดธรรมดาทั่วไป ที่ทำให้คนต้องเสียเลือดเสียเนื้อ
พอนึกถึงเรื่องนี้ผมก็ได้แต่ทอดถอนใจ
“นี่อาร์ไบน์ ทำไมตอนที่มาหาพวกเราครั้งแรกถึงทำแบบนั้นล่ะ” ผมยังสงสัยไม่หาย
“ที่วิ่งเข้ามาซอยเท้าถี่ๆ แล้วตะโกนน่ะเหรอ” เจ้าตัวก็ทำท่าวิ่งซอยเท้าถี่ๆ อยู่กับที่ บูลเข้ามาฟังทันหัวข้อนี้พอดี
“ใช่ๆ นั่นล่ะ ผมก็สงสัยเหมือนกัน” บูลเสริม
อาร์ไบน์ทำหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “พวกเรายึดหลักการเปิดเผยตัวเองน่ะ อธิบายยากสักหน่อย คนเราเป็นสัตว์สังคม แต่พอเทคโนโลยีสูงขึ้นตามประวัติศาสตร์คนเราจะเริ่มขาดการปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่สนิทสนม ไม่เข้าหาผู้อื่นแล้ว มันยังบั่นทอนจิตใจของเราอย่างช้าๆ ด้วย” อาร์ไบน์ทำหน้าเชิงถามว่าจริงไหม
ผมเห็นเลยว่ามันเป็นปัญหาของโลกตอนนี้เลยล่ะ เป็นปัญหาพื้นฐานที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เกิดสงคราม เกิดปฏิวัติ และหลายๆ อย่าง (มันเป็นผลสืบเนื่องน่ะ)
“การที่เราวิ่งเข้าใส่ มันเหมือนการจู่โจมก็จริง แต่พอจิตใจเจอสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกอย่างรุนแรง แล้วกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะทำให้คนๆ นั้นลดเกราะป้องกันตัว และการทำแบบนี้จะทำให้กระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ตกใจ การตะโกน ล้วนทำให้รู้สึกสดชื่นทั้งนั้น”
ผมว่าเราน่าจะเอาวิธีนี้ไปใช้บ้างก็ดีนะ
“ที่สำคัญอีกอย่าง การทำแบบนี้เป็นการทำลายกรอบของความดูดีด้วย ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าหาผู้อื่น การที่เราหมั่นทำลายความยึดมั่นในตัวเราบ่อยๆ ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำบ่อยๆ จะทำให้จิตใจเรา เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา” พออาร์ไบน์พูดเช่นนี้ ทำให้ผมนึกถึงตอนที่กระโดดบันจี้จัมพ์แบบไม่ได้เตรียมตัว (หลังจากความกลัวสุดขีด มันสดชื่นจริงๆ นะ)
เราเดินเล่นไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ที่นั่นมีบึง น้ำใสจนมองเห็นข้างใต้ รอบบึงมีหญ้า (มั้ง) สีม่วงขึ้นอยู่ประปราย มีคนนั่งตกปลาอยู่ ทันทีที่เขาเห็นเรา เขาก็วิ่งเขามา และหยุดตรงหน้า ตะโกนใส่เราทีหนึ่ง
“ยังไงผมก็ไม่ชินด้วยหรอกแบบนี้” บูลออกความคิดเห็น ผมว่าสนุกดีออก
“คนนี้เป็นพี่สาวผมเอเร็ต” ผมโค้งหัวให้เป็นการแนะนำตัว เธอยิ้ม
เสียงใบไม้ดังสวบสาบ โนสโผล่ออกมาจากพุ่มไม้
“อยู่นี่นี่เองคิด ตามหาตั้งนาน” ใบไม้ติดผมที่ฟูเหมือนยัยเพิ้ง
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายสักหน่อย ขอตัวสักประเดี๋ยวได้ไหม” ว่าแล้วเธอก็ดึงแขนผมออกห่างจากกลุ่ม ผมก็เลยตามเลยไป เราทั้งคู่เดินกันมาจนลับสายตากลุ่ม
“ฉันอยากให้นายฟังเรื่องของฉันไว้หน่อย” โนสพูดโดยไม่มองหน้า
“จู่ๆ จะให้มาฟังอะไรกันเนี่ย” ลมพัดลูกไม้ลูกหนึ่งหล่นใส่หัว ผลสีทองกลมมนเหมือนลูกปิงปองขนาดใหญ่ ใบไม้สีน้ำเงินปลิวมาตามสายลม
“เพราะฉันคิดว่านายไว้ใจได้ เลยจะบอกให้ฟังไว้” เธอจับไหล่ผม แล้วกดลง “นั่งลง”
ท่าทางเรื่องนี้จะยาว ผมนั่งชันเข่าข้างขวา ส่วนข้างซ้ายนั่งขัดสมาธิ พาดแขนขวาไว้กับเข่า เธอเดินไปและพูดขึ้นโดยไม่สบตา
“คิดว่านายคงจะเดาได้ ว่าฉันกับเอียร์มาด้วยกัน” ผมเอามือขวาเท้าคาง แล้วพยักหน้า
“ก็คงจะอย่างนั้น” เธอหันหน้ามามองหน้าผม ดวงตาที่เข็มแข็งตลอดเวลา ดูอ่อนลง
“เราทั้งสองหลบหนีออกมาจากการทดลองสร้างมนุษย์อมตะของประเทศหนึ่ง มันเป็นสถานที่เลวร้าย มีร่างทดลองจำนวนหลายหมื่นที่ถูกใช้ และเสียชีวิตราวใบไม้ร่วง” ฟังแล้วเหมือนโครงหนังหลายๆ เรื่องเลยทีเดียว
“และหนึ่งในสองที่ประสบความสำเร็จคือเธอสองคน” ผมถามกลับ
“ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว” เธอนั่งลงข้างหน้าผม ถกแขนเสื้อสีดำข้างซ้าย ขึ้นมาถึงข้อศอก ผมเห็นอะไรบางอย่างฝังอยู่ใต้ผิวหนัง เธอกดลงไป กดจนทะลุ โลหะแหลมบางเหมือนมีดซ่อนอยู่ในแขน เลือดไหลออกมาจากบาดแผล เธอหยิบมันออกมาให้ผมดู “การทดลองนี้ เพื่อสร้างชีวะอาวุธขึ้นมา ใช่ ชีวะอาวุธที่ไม่ตาย มีความสามารถพร้อมรบได้ตลอดเวลา โครงสร้างร่างกายถูกเปลี่ยนให้สามารถดึงธาตุเหล็กเปลี่ยนรูปร่างขึ้นมาได้” บาดแผลเธอเริ่มสมานตัว และปิดสนิทในเวลาไม่นานนัก
เหมือนกับหนังสือการ์ตูนที่ผมเคยอ่านสมัยเด็ก ดึงธาตุเหล็กในร่างกายมาสร้างเป็นวัตถุ แต่ตามธรรมดาคนจะเกิดอาการขาดธาตุเหล็กเฉียบพลันเมื่อเป็นเช่นนั้น
“แต่นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ยังมีอะไรมากมายกว่านี้ และร่างกายถูกพัฒนาประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางประสาทสัมผัส ปฏิกิริยาโต้ตอบ และความอดทนของกล้ามเนื้อ” ระหว่างที่พูดไปมือเธอจับใบไม้ทุกใบที่ลอยมาใกล้ได้หมด “ฉันก็เลยกลายเป็นมนุษย์อมตะที่มีความสามารถในการรบเป็นพิเศษ”
“ตกลงเธอเป็นมนุษย์ดัดแปลงว่างั้นเถอะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นโนสก็หัวเราะ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพียงแต่ฉันจะบอกไว้อย่าง ฉันถูกจับมาเพื่อไขความลับชีวิตนิรันดร์นั่น และพัฒนาความสามารถด้านการรบเท่านั้น แต่สำหรับพวกนั้น เอียร์เป็นเพียงหนูทดลองหลักในโครงการมนุษย์อมตะเท่านั้น”
“อืม ต้นแบบกับตัวทดลองหรือ” ผมลุกขึ้นยืน หันมามองโนส “คงห่วงน้องสาวมากสินะ”หน้าโนสเริ่มแดงระเรื่อ “นายไม่เข้าใจหรอก” เธอหันหน้าหลบตาผม
“ถ้าให้เดา อาจเป็นเอียร์โดนทรมาน ทั้งทางกายและทางใจ จนเธอทนไม่ไหว จึงหลบหนีออกมาจากที่นั่น และในการหลบหนีครั้งนั้นเอง ทำให้เอียร์สูญเสียความทรงจำทั้งหมด และที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ คือตัวตนที่บริสุทธิ์ของเอียร์ ซึ่งทำให้เธอหลงรักน้องสาวคนนี้” ทันทีที่จบประโยค โนสลุกขึ้นอย่างเร็ว จนแทบกลายเป็นการกระโดด เธอมองหน้าผม
“ให้ตายสิ นายนี่มันตัวปัญหาจริงๆ อย่างที่คิดไว้เลย” เธอพูดพร้อมตาแดงๆ
ผมยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองได้ ก็เด็กคนนั้นเป็นเด็กดีนี่นา” ถ้าจะให้พูดภาพสีหน้าของผมในแบบการ์ตูนล่ะก็ คนเป็นภาพยิ้มหลับตา มีแสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นฉากหลัง เป็นรอยยิ้มอันเจิดจรัสของตัวละครเอก แต่ทันใดนั้น
“แซ่กๆ! ตึง!” ผมกินดินเป็นอาหารว่างยามบ่าย
“อ๊ะ! มาอยู่ตรงนี้กันนี่เอง” เอียร์พูดเสียงใส
“ช่วยลุกออกไปที ด่วนๆ ด้วย” เธอนั่งทับท้องผมอยู่ ตอนที่ล้มลงมา มันทำให้ผมรู้สึกจุกมากๆ
“โอ๊ะ! โทษทีๆ” เธอรีบลุกออกจนเธอสะดุดตัวผม ลงไปคลุกผืนหญ้า เธอลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะแฮะๆ
“ตามหาฉันเหรอ” โนสถาม
“อืม อาร์ไบน์รออยู่นะ ไปกันเถอะ” เธอพูดแล้วยื่นมือมาทางผม พี่สาวผมบลอนด์จะหึงผมไหมเนี่ย ดูเธอดุๆ อยู่ด้วย
สายตาทึ่โนสจ้องมานั้น บอกความเบื่อหน่ายอย่างชัดเจน
ผมกลับไปที่บึงท้ายหมู่บ้านอีกครั้ง ทุกคนมารวมตัวกันครบแล้ว แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผมในกลุ่มนั้นคือบลัด ชุดสีแดงนั้นมีรอยเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ทั้งคราบของเหลวสีแดง และของเหลวสีต่างๆ ผมคิดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของอาหารว่าง
อาร์ไบน์พาเราไปยังบ้านหลังหนึ่ง ภายในบ้านมีอาหารจักเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สีสันแปลกตา ผลไม้ชนิดที่ไม่เคยเห็น ทุกอย่างอร่อยยิ่งกว่าภัตตาคารระดับห้าดาว
ข้อความโฮโลแกรมปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“หลังจากช่วงพระอาทิตย์ตกกรุณาอย่าออกไปข้างนอกนะครับ”
ทุกคนกินอาหารต่อตามเดิม ไม่มีใครพูดอะไร เอเร็ตนำอาหารมาเติมให้เรื่อยๆ เหมือนอาหารเหล่านั้นมีอยู่ไม่จำกัด จนในที่สุด พวกเราก็เลิกกันไปเอง เหลือเพียงบูลเท่านั้นที่นั่งกินต่อ
ทุกคนเริ่มกระจัดกระจายอีกครั้ง โอลแมนและเซนต์ออกไปข้างนอก ส่วนโนสกับเอียร์ไปที่บ่อน้ำ ผมนั่งอยู่หน้าบ้าน รออาหารย่อย และดูวิถีชีวิตของหมู่บ้านนี้
“เงียบจริงๆ” ถ้าจะมีเสียง ก็เป็นเสียงเสียดสีของเสื้อผ้า แม้ทุกคนจะหน้าตาต่างกัน แต่สีหน้ากลับเหมือนกันหมด ยกเว้นตอนที่สบตากับผม พวกเขาจะยิ้มตอบ จากนั้นจะกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉยอีก (แต่เป็นสีหน้าเรียบเฉยที่ดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก)
ผมกลับเข้าไปดูชายร่างใหญ่อีกครั้ง ตอนนี้เรียกได้ว่าหมดสภาพ บูลนอนแผ่กับพื้นเหมือนปลาดาวที่งอกแขนทั้งห้า ชุดตรงบริเวณท้องป่องขึ้นมาจนสังเกตได้ นอนแอ้งแม้งไม่กระดิกกระเดี้ย ดวงตาเลื่อนลอย ผมเดินไปนั่งข้างๆ
“ไหวไหมเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับจิ้มพุงเล่น
“ขอหลับสักงีบก่อนละกัน” ว่าแล้วบูลก็หลับตา ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงกรน จะว่าไปผมก็เริ่มง่วงขึ้นมาเหมือนกันแล้ว
เอเร็ตเดินมาหาผม ดึงแขนให้ผมตามเธอไป เธอชี้ไปทางห้องอีกห้องหนึ่ง เท่าที่เห็น ดูเหมือนบ้านนี้จะมีเพียงสองห้องเท่านั้น ห้องที่เรากินข้าว กับห้องที่เธอไปเอาอาหาร พอเดินผ่านประตูไป ปรากฏว่ามีประตูอีกบานหนึ่ง และพอผ่านเข้าไปอีก ก็มีประตูอีกบานหนึ่ง อาร์ไบน์นั่งอยู่ที่นั่น
บทที่ 15 คัดลอกข้อมูล
“ผู้เฒ่าฝากงานผมไว้ ผมเลยต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อย”
ผมนึกเบื่อหน่ายขึ้นมา “รู้สึกว่าทุกครั้งของผมนี่จะมีแต่งานๆ และงานนะ ช่างเถอะ ไม่ใช่ความผิดใครหรอก ว่ามาได้เลย” ผม อาร์ไบน์ และเอเร็ตนั่งลงเป็นสามเหลี่ยม
“ก่อนคุยเรื่องธุระเรามาคุยเรื่องธรรมดาก่อนละกัน มีอะไรสงสัยเกี่ยวกับที่นี่ถามผมมาได้เลย ผมยินดีตอบทุกอย่าง” อาร์ไบน์คุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผมรู้สึกว่าตัวอาร์ไบน์ช่างแตกต่างจากธรรมชาติของหมู่บ้านนี้เหลือเกิน ผมมีเรื่องอยากจะถามเขามากมายเลยล่ะ แต่ตอนนี้ก็เป็นโอกาสแล้วที่จะถามทางไปต่อ
“ทำไมไม่ได้ยินคนในหมู่บ้านนี้พูดกันเลยล่ะ” ผมตัดสินใจเก็บเรื่องส่วนรวมไว้ทีหลัง
“ทำไมน่ะเหรอ” อาร์ไบน์ทำท่าครุ่นคิด โยกหัวจนผมสีเขียวอ่อนไหวไปมา “ถ้าจะให้ตอบอย่างตรงๆ คือไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูด” อาร์ไบน์หยุด และมองไปทางเอเร็ต แล้วเอเร็ตก็หันหน้ามาพูดกับผม
“แต่ถ้าจะอธิบายให้ละเอียดคงจะเข้าใจง่ายกว่า” เสียงที่ออกจากปากเธอ เป็นเสียงของอาร์ไบน์
ผมมองไปทางอาร์ไบน์ “เชื่อมต่อกันหรือ?”
“ใช้คำว่าคลื่นตรงกันน่าจะเหมาะกว่าครับ” อาร์ไบน์เขยิบมานั่งจนเข่าชิดเข่า “รู้ไหมครับว่าภาพที่คนเราแต่ละคนมองนั้น มันไม่เหมือนกัน” สำหรับผม ผมคิดว่ายังไงโต๊ะมันก็คือโต๊ะล่ะน่า แต่ถ้าจะว่าไม่เหมือนกัน คงเป็นกระบวนการคิด และความรู้สึกมากว่า
“แต่ความรู้สึกทำให้ภาพที่มองผิดเพี้ยนกันได้นะครับ” ผมมองอาร์ไบน์ด้วยสายตาบอกเป็นนัยว่า ไม่ขออนุญาตเลยเหรอ “ขอโทษครับ ผมแค่ยกตัวอย่างให้ดู แต่ก็ทำให้คุณเห็นว่า เพียงผมเข้าไปในใจคุณ ภาพที่คุณมองผมในความรู้สึกก็เปลี่ยนไปแล้ว”
“ไอ้เรื่องที่สายตาแต่ละคนมองไม่เหมือนกันก็เคยได้ยิน แต่มันต่างกันจริงๆ เหรอ” มันมีความเป็นไปได้ แต่ผมอยากสัมผัสเองมากกว่า
“คุณอยากลองไหมล่ะ” อาร์ไบน์ยืนมือขวามา แตะที่หน้าผากของผม มือซ้ายกดปุ่มบนเครื่องที่ห้อยคอ ผมรู้สึกเหมือนทั้งหมดมืดไปแว่บหนึ่ง มันได้นั้นทุกอย่างก็กลับสว่างขึ้นมาอีก แต่ว่า คนที่อยู่เบื้องหน้า เป็นผมเองตัวแบบไม่กลับซ้ายขวาเหมือนในกระจก มือขวาของอาร์ไบน์ยังคงแตะหน้าผากอยู่
“นี่เป็นการใช้ตาของผมเท่านั้น ต่อไป ผมจะลงละเอียดไปถึงประสาทรับรู้ภาพของผมด้วย ตั้งสติไว้ให้ดีๆ ล่ะ” ผมรีบห้ามก่อน
“เดี๋ยวๆ ตั้งสติของนายนี่ตั้งสติแบบไหน” เห็นปากตัวเองขยับแล้วพูดอยู่ข้างหน้าแล้ว รู้สึกแปลกๆ พิกล
“ระลึกเสมอว่าคุณเป็นใคร แค่นั้น” พูดจบ จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าความคิดผมถูกรบกวน ช่วงเวลาขณะนั้น ภาพข้างหน้าที่เห็นเปลี่ยนไป แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นอย่างนี้มาแล้ว ผมกึ่งๆ จะหมดสติ ทันใดนั้น ผมก็กลับมาอยู่ตามปรกติอีกครั้ง
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” เหงื่อผมเริ่มซึมออกมา มือเย็นเฉียบ อาร์ไบน์ลดมือลงจากหน้าผาก
“การใช้ประสาทรับรู้ร่วมกัน จะเป็นการนำบุคคลอีกคนหนึ่งมาสวมแทนตัวเรา ถ้าสติไม่มั่นคงพอ หรือเชื่อมต่อกันนานเกินไป คุณจะเข้าใจว่านั่นเป็นตัวคุณเอง สติคุณจะไม่กลับเข้าร่างเดิม แต่จะอยู่ที่คนๆ นั้นตลอดไป เหมือที่ผมทำเมื่อกี้ ถ้าคุณจำได้ จะมีนิดหนึ่งที่คุณรู้สึกว่า มันปรกติ นั่นล่ะ คุณเริ่มจะถูกกลืนไปกับผมแล้ว ผมจึงต้องดึงคุณออกมาก่อน” อาร์ไบน์หน้าตาตื่นไม่น้อยไปกว่าอาการตกใจของผมเลย
“เหมือนตายแต่จิตน่ะหรือ?”
“ใช่ครับ แล้วร่างที่ว่างเปล่านี้ ใครจะสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ แต่ถ้าปล่อยไว้ ร่างนั้นจะตาย” ฟังเหมือนหุ่นยนต์ที่ถอดแต่ตัวความทรงจำมาใส่ในเครื่องใหม่เลยแฮะ
“เพราะฉะนั้น การพูดสำหรับพวกเราจึงไม่จำเป็น แต่ผมชอบการพูดมากกว่า ถ้าจะมีเสียงคนในที่นี่ เห็นจะเป็นเสียงผมคนเดียว” ใช่แล้ว ตอนที่อาร์ไบน์มาทักพวกเรา เขาส่งภาษาแปลกๆ “คลื่นคุณใกล้เคียงกับของผมมาก อาจจะเป็นที่มาของความถูกชะตาก็เป็นได้ แต่นั่นก็ทำให้การกลืนกินเกิดขึ้นง่ายเช่นกัน”
ผมนึกเสียวขึ้นมา ถ้าเมื่อกี้พลาด ผมคงได้ตายจริงๆ (ความอยากรู้อยากเห็นจะฆ่าผมแทนแมวเสียแล้ว)
“ผมว่าถูกชะตาเพราะเราแปลกเหมือนกันมากว่ามั้ง” แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะ เอเร็ตนำน้ำผลไม้มาให้เราตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันเป็นผลไม้ที่มีสีเขียวเหมือนน้ำอัดลม ผมรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นน้ำผลไม้
“อ้อใช่การเชื่อมต่อทำให้ได้รับความทรงจำมาด้วย แต่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะเวลา และเรื่องที่คิดขณะนั้น” ผมลองนึกถึงสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับหมู่บ้านนี้ดู มันมีข้อมูลจริงๆ ด้วย เหมือนคัดลอกไฟล์คอมพิวเตอร์มาเลย
“นี่เป็นเฉลยของวิทยาการที่สูงส่งนี่หรือเปล่า?”
“เรื่องนี้มันนานมากแล้วครับ ไม่มีความทรงจำเหลือมาถึงอยู่ปัจจุบัน แต่เท่าที่บันทึกไว้ วิทยาการตรงนี้มันมีมาไม่ต่ำกว่าสามแสนปีแล้วครับ” อย่างนี้ต้องเรียกว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยสินะ เหมือนกับปัญหาปัจจุบันที่แก้ไขไม่ได้ สุดท้ายอาจล่มสลายไปอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านผู้เฒ่าให้ผมสอนวิธีใช้เครื่องมือนี้ให้คุณ” อาร์ไบน์หยิบที่ห้อยคอของตัวเองให้ผมดู “อย่างที่คุณเห็น มีปุ่มเต็มไปหมด และสัญลักษณ์แปลกๆ ถ้าให้พูดทั้งวันคงไม่หมด” แหงแซะ “เพราะฉะนั้น ผมจะส่งข้อมูลให้คุณโดยตรง” อาร์ไบน์ยืนมือทำท่าจะแตะหน้าผากผมอีกครั้ง
“เดี๋ยวๆ ขอตั้งหลักก่อน” ผมกลัว แน่นอน ผมก็อยากรู้ว่าตายแล้วไปไหน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ไม่ต้องห่วงครับ ครั้งนี้แค่ส่งความทรงจำเฉยๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก เหมือนกันที่เจอที่ท่อระบายน้ำล่ะครับ” แว่บหนึ่งผมเห็นภาพเหมือนนิมิต ผมเห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ร่วงลงสู่ทะเลพร้อมๆ กับตัวผม สติผมกลับมาอยู่ที่เดิของมันอีกครั้ง
“เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน” ผมเผลอพูดออกมา “อาจเกิดคลื่นแทรกน่ะครับ ตอนนี้ก็เรียบร้อยแล้ว แต่ผมไม่อยากให้คุณใช้ให้คนอื่นๆ ดู เก็บไว้จนถึงคราวจำเป็นจริงๆ นะครับ”
ผมยังติดใจกับนิมิตเมื่อกี้ แต่คงไม่มีประโยชน์ที่จะถามต่อ “แล้วเมื่อไหร่ที่ว่าจำเป็นล่ะ”
อาร์ไบน์ยิ้ม แล้วตอบว่า “เมื่อถึงเวลา” ทำตาเลื่อนลอยเลียนแบบท่านผู้เฒ่า “อ้อ ผมเกือบลืม ผู้เฒ่าฝากให้ผมมาบอกทางไปให้คุณด้วย”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”
“ผู้เฒ่าบอกว่า คุณคือผู้ยับยั้ง ท่านจึงให้คุณเป็นคนตัดสินใจว่าจะเดินทางต่อหรือไม่” ผมค่อนข้างตกใจ ไม่นึกว่าผู้เฒ่าจะรู้ถึงขนาดนี้
ขณะที่อาร์ไบน์กำลังจะแตะหน้าผากผมนั่นเอง ผมก็ได้ยินเสียงคนเรียก
“คิดดด...คิด....” เสียงของเอียร์แว่วมา อาร์ไบน์หยุดทันที
“ผมว่าเอาไว้ตอนเย็นก็ไม่สายนะครับ แล้วอีกอย่าง ที่นี่คุณจะพักบ้านหลังไหนก็ได้” หมายความว่าไงเนี่ย
“ทำไมล่ะ ไม่ต้องการความเป็นส่วนตัวกันเหรอ” ผมถามไปตามที่ผมคิด
“ที่นี่ ทุกอย่างเป็นสิ่งสาธารณะ ยกเว้นอุปกรณ์ชิ้นนี้อย่างเดียว” อาร์ไบน์ชี้ไปทางประตู “ออกประตูไปจะถึงห้องอาหารครับ”
ผมกล่าวขอบคุณและเดินออกไป ใจเข้าใจว่าเดินออกไปเรื่อยๆ เหมือนตอนเข้ามา แต่ว่าเพียงแค่ผ่านประตูบานแรกก็ถึงห้องอาหารแล้ว
เอียร์มีอาการหอบ เหมือนกับวิ่งมา
“โนสหายไปไหนไม่รู้”
บทที่ 16 แยกวง
เธอเล่าว่าระหว่างที่โนส และเธอเดินเล่นอยู่ เธอหันไปดูวิวข้างทางพอหันกลับมาอีกทีโนสก็หายตัวไปแล้ว
ผมไม่คิดว่าเป็นปัญหาเท่าไร อย่างโนสเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ผมติดใจที่ว่า จู่ๆ หายไปเฉยๆ นี่สิ ผมนึกถึงอุปกรณ์ห้อยคอ จึงลองวิชาดู
ผมเอามือคลำๆ แอบบีบๆ กดๆ ปุ่มต่างๆ ไม่นานนัก ข้อมูลก็แล่นเข้าสู่หัวผม ทุกคนในกลุ่มยังอยู่ในเขตหมูบ้าน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มี 2 คนที่อยู่คนเดียว อีก 2 คนอยู่ด้วยกันและอีก 3 คน(เรา) อยู่ด้วยกัน
“สบายใจได้ โนสยังอยู่ในหมู่บ้านนี้” นั่นเป็นสิ่งที่ผมยั้งไว้ได้ทัน ถ้าพูดออกไปคงมีคำถามตามมาแน่นอน ผมใช้คำตอบว่า
“โนสไม่เป็นไรหรอก ผมรู้สึกได้” ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่ก็น่าจะเข้าท่าที่สุด อาร์ไบน์เดินออกมาจากห้องด้านใน อุปกรณ์ห้อยคอของเขาฉายภาพอักษรโฮโลแกรมออกมา
“สบายใจได้ครับ คุณโนสยังอยู่ในหมู่บ้านนี้ครับ” เหมือนกันโดยมิได้นัดหมายหรือเนี่ย แต่ยังไงก็ ขอบคุณที่ทำให้เธอสบายใจนะ (ผมคิดในใจ)
‘ไม่เป็นไรครับ’ มีเสียงดังขึ้นในหัวผม ผมหันขวับไปตามอาร์ไบน์ทันที แต่เขาทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว รีบไปบอกทุกๆ คนดีกว่านะครับ” ข้อความโฮโลแกรม กระพริบๆ ผมดูนาฬิกาข้อมือตัวเองที่เก็บไว้ในกระเป๋า เพิ่งจะสามโมงกว่าเอง ผมมองไปข้างนอก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว
“อะไรจะเร็วขนาดนี้วะเนี่ย” ผมนึกในใจ
‘ที่นี่เวลาน้อยกว่า 24 ช.ม. ของคุณครับ’ ผมหันไปค้อนอาร์ไบน์
“อย่างนี้เกินไปมั้ง” ผมแน่ใจแล้วว่า อ่านใจได้แน่นอน
‘เพื่อความสะดวกครับ’ มิน่าล่ะ ถึงไม่จำเป็นต้องพูด จะนึกในใจ ไม่นึกในใจตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกันเท่าไรแล้วล่ะ
ไม่ยักกะมีเสียงตอบกลับมา
เอียร์ออกไปตามคนอื่นๆ แล้ว ส่วนบูลก็ค่อยๆ ออกหลังจากถูกสาวน้อยปลุก
ผมเดินมาดูที่อาคารทรงกลมกลางหมู่บ้าน เดินเข้าไปข้างใน บังลังก์ตั้งอยู่ที่เดิม แต่เพดาน เริ่มมีสีแดงๆ เหมือนแสงแดดยามเย็นหลุดมาติดข้างในนี้ จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในบ้านหลังอื่นๆ ทุกครั้งผมจะเจอการทักทายประจำเผ่า ครั้งแรกผมตกใจมาก นึกว่าจะมาทำร้ายเพราะบุกรุกบ้าน แต่ดูทุกคนก็อัธยาศัยดี (ถึงจะไม่ยิ้มก็เถอะ) ทุกบ้านมีทุกอย่างคล้ายๆ กัน โต๊ะ เก้าอี้ หน้าต่าง ประตู เหมือนคอนโดมิเนียมที่ทำแบบเดียวกัน จะต่างก็เพียงของเล็กๆ น้อยๆ อย่างลูกไม้ เครื่องประดับที่ทำจากธรรมชาติเอง (แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นคนในหมู่บ้านใส่เท่าไร)
ผมเดินจนพอใจ และกลับมาที่บ้านของอาร์ไบน์ ระหว่างทางผมพบโอลแมน พอดี สีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจนัก
“ไปดูที่ไหนมาบ้างหรือครับ” ผมเปิดประเด็นถาม
โอลแมนเสยผมสีน้ำตาลเข้ม “ก็รอบๆ นี่แหละ แล้วทางคุณล่ะ”
“ส่วนใหญ่อยู่แต่ในหมู่บ้านครับ” ผมสูดหายใจลึก และปล่อยลมออก “ผมว่าที่นี่ดีนะครับเนี่ย น่าอยู่มาก”
“ไม่มีที่ไหนน่าอยู่สำหรับผมแล้วล่ะ” แววตาที่มุ่งมั่นสม่ำเสมอ ปรากฏความเศร้ามาแว่บหนึ่ง “ทางคุณได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมไหม”
“ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ครับ” โอลแมนกอดอก ดวงตาหลุบต่ำ เดินไปพร้อมกับผม
“กังวลเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ผมเปิดคำถามชักนำ
“เปล่าหรอก ผมแค่สงสัยน่ะ” แมนมองผม
“เรื่องอะไรครับ เรื่องที่พวกเขาไม่พูดเหรอ”
“อันนั้นก็ใช่ แต่ที่ผมติดใจกว่า คือทำไมห้ามออกไปหลังพระอาทิตย์ตก”
แล้วทำไมอาร์ไบน์ต้องนัดผมตอนกลางคืนด้วยล่ะ ผมทำสีหน้าครุ่นคิด ปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ ในที่สุด เราก็มาถึงบ้านของอาร์ไบน์
แสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า บลัดยืนมองตะวันตกดินอยู่หน้าประตูบ้าน ชุดสีแดงกลายเป็นชุดหลากสีสัน
“ไปทำอะไรมาน่ะ หาของกินเหรอไง” ผมกระซิบแซวๆ
“เยอะไปหมดเลยล่ะ แปลกหูแปลกตาทั้งนั้น” บลัดหันมาตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก ซึ่งยังมีคราบบางอย่างติดอยู่ ดวงตาสีแดงสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นสีเปลวเพลิง โอลแมนเดินเข้าไปปล่อยให้ผมอยู่กับบลัดสองคน
“คืนนี้ท่าจะยาว” ผมมองดูพระอาทิตย์บ้าง
“ใช่ ท่าทางจะยาว” พระอาทิตย์จวนเจียนจะลับแมกไม้ เซนส์ก็มาถึงพอดี เราทั้งสามจึงเข้าไปข้างในด้วยกัน
อาร์ไบน์บอกผมว่า ‘เอียร์ บูลมาถึงก่อน ส่วนโนสก็กลับมาแล้ว’ (มาคนเดียว) เป็นอันว่าครบองค์ โนสดูปรกติดี ทำให้ผมยิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่าทำไมจู่ๆ ถึงหายตัวไปได้
‘เดี๋ยวผมเรียกแล้วค่อยออกมานะครับ’ อาร์ไบน์บอกผม การกระทำต่างๆ ช่างเป็นไปอย่างปรกติราบเรียบ จับพิรุธไม่ได้เลย อาร์ไบน์เป็นนักแสดงมือดีที่สุด
ส่วนเรื่องที่ว่าบูลจะเล่าให้ฟังว่าอาร์ไบน์พูดได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะส่วนใหญ่ เจ้าตัวไม่ค่อยได้พูดถึงคนอื่นเท่าไรอยู่แล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบร้อย ไม่น่ามีปัญหาอะไร จนกระทั่งอาร์ไบน์ และเอเร็ตขอตัวเข้าไปด้านใน โอลแมนให้ทุกคนมาล้อมวงกัน
“คืนนี้ เราจะออกจากที่นี่กัน” ทุกคนในวงเงียบกริบ ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“แต่เค้าไม่ให้เราออกไปไม่ใช่เหรอ” เอียร์พูด ดวงตาสีน้ำตาลจ้องไปที่เด็กแก่
“เราไม่ได้เบาะแสเลย คืนนี้อาจมีคำตอบให้เรา” ดวงตาสีดำเปี่ยมไปด้วยพลัง
“ผมเห็นด้วย” เซนส์ออกเสียงสนับสนุน ส่วนบลัดท่าทางบ่งบอกว่า อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ ส่วนบูลดูท่าทางจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เอียร์กับโนสยืนยันว่าจะอยู่ที่นี่
ในที่สุด คนที่ออกไปข้างนอกก็มี บลัด เซนส์ โอลแมน แล้วก็ผม ก่อนออกไปผมฝากบูลให้ดูแลทั้งสองคนด้วย บูลรับปากอย่างดี
“เฮ้! แบบนี้ไม่เป็นไรแน่เหรอ” ผมนึกในใจ แล้วเพ่งกระแสจิตไปที่อาร์ไบน์
‘ช่วยไม่ได้นี่ครับ คุณเองก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน’
ทันทีที่พวกเราก้าวพ้นจากเขตบ้าน
“ตูม!” เสียงดังราวกัมปนาทเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ใกล้มาก
ยังไม่ทันเราจะหายตกใจ ผมก็ถูกบางอย่างรัดคอจากด้านหลัง บลัดทันเห็นผมพอดี ถุงมือสีขาวพุ่งผ่านแก้มผมไปอย่างรวดเร็ว แล้วผมก็ถูกปล่อยเป็นอิสระ
“แค่กๆ อะไรกัน...” ผมตกใจจนคำพูดไม่ปะติดปะต่อ “..นี่” สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเราตอนนี้ คือร่างเผ่าพันธุ์เดียวกับที่เราเห็นโฮโลแกรมในท่อระบายน้ำ แต่พวกเขาเหล่านี้มีผมสีทองแดง ร่างเรืองแสงเหมือนพรายน้ำ ดวงตาเปี่ยมด้วยจิตสังหาร ชุดเกราะสีเงิน และสารพัดอาวุธ เซนส์หยิบดาบออกจากกระเป๋า ฟันเข้าที่คอของร่างนั้น
คอขาด แต่ไร้สุ้มเสียงใดๆ เหมือนฟันโดนหมอก คอต่อติดกับร่างอีกครั้ง จากหนึ่งตน ก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ สอง สาม สิบ เกือบยี่สิบคน
โอลแมนโดนอาวุธมีคมแทงจากด้านหลัง รูปร่างของมันเหมือนตะปูตัวใหญ่ มันเสียบทะลุหัวไหล่ซ้าย โอลแมนชักมีดสั้นและปาไปที่ร่างนั้น ร่างสลายกลายเป็นควัน รวมทั้งหอกตะปูด้วย แต่ในเวลาไม่นานนัก หมอกเหล่านั้นก็มารวมตัวกันใหม่
โอลแมนดึงอาวุธออก “โจมตีเข้าไว้ ขณะที่เราโจมตีมัน มันจะทำอะไรเราไม่ได้” โอลแมนวิเคราะห์ได้ถูกต้อง แต่น่าจะดีกว่านี้ถ้าบอกให้เผ่น “บลัด เซนส์ คุ้มกันคิดด้วย” ทำไมมาสั่งตอนเวลาที่ไร้ประโยชน์อย่างนี้นะ
เรื่องหลบผมเก่งอยู่แล้ว แต่มีคนอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้ผมเคลื่อนไหวไม่สะดวก
“หวา! เฮ้ย!” ทั้งดาบ หอก เฉียดหน้าผม
“แกร๊ก!” ที่ขาผม นี่มันโซ่ “ตุบ! พรืด” ลากไปแล้ว บลัดพุ่งเข้ามาจะดึงผมไว้ “ฉึก!” หอกทะลุเข้าที่สีข้างทั้งสอง บลัดถูกตรึงอยู่กับที่โดยพรายน้ำสองตน
จะรุมยำข้างนอกสินะ ฮ่าๆ ไม่ยอมง่ายๆ หรอก ผมชักปืนคู่ใจออกมา
“ปังๆ ปัง ปังๆ” ร่างที่ถือโซ่กลับเป็นหมอกอีกครั้ง ผมลุกขึ้น หมุนตัว แล้วยิงไปรอบๆ
“ปังๆ ปังๆ ปังๆ” ร่างเรืองแสงกลายเป็นกลุ่มหมอก ผมพุ่งไปหาบลัด เหวี่ยงปืนใส่ร่างทั้งสองที่ขนาบบลัดอยู่ ร่างทั้งสองสลายเป็นหมอก บลัดเป็นอิสระอีกครั้ง
“เยอะไปหมด” ผมบ่นกับตัวเอง “บลัด โอเคไหม” บลัดเงยหน้าขึ้น มองไปที่กองทัพปริศนาเหล่านั้น
“น่ารำคาญชะมัด ไอ้บ้าเอ้ย” บลัดแยกเขี้ยว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ผมห้ามไว้
“เราเผ่นก่อนดีกว่า อย่ามาเสียเวลาเลย”
“เผ่นงั้นเรอะ คนอย่างชั้นเนี่ยนะ” บลัดหันมาทางผม สายตาแทบระเบิดสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา เสียงโกรธเกรี้ยว
“เออสิวะ ไม่คุ้มค่าเหนื่อยหรอก” ผมตะโกน ไม่รู้ว่าทำอย่างนี้จะหาเรื่องตายให้ตัวเองหรือเปล่า “พาผมขึ้นไปบนต้นไม้ที” บลัดกระโดดพร้อมอุ้มผมขึ้นไปด้านบน
เซนส์ไล่ฟันร่างหมอกเหล่านั้นเหมือนร่ายรำ ส่วนโอลแมนวิ่งไป ปามีดใส่ร่างเรืองแสง ซึ่งสลายกลายเป็นหมอก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า พวกมันยังคงมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สายลมเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ลมแรงขึ้นกระทันหัน มีบางอย่างกำลังพุ่งมา สัตว์ปีกขนาดใหญ่
“หลบ!” บลัดกับผมกระโจนออกไปคนละทิศละทาง ต้นไม้บริเวณที่เราอยู่เมื้อกี้หักโค่นไปในทันที แรงลมมหาศาล ทำให้ร่างหมอกเหล่านั้นสลายไป เมฆบนท้องฟ้าเปิดออก แสงอาบสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้า
“มังกร!”
บทที่ 17 โดดเดี่ยวทะลุหมู่บ้าน
“สวยงาม”
ปีกอันใหญ่โตมโหฬาร ดวงตาดุร้าย รวมความป่าเถื่อนทั้งหมดของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน ขณะเดียวกันดวงตานั้นมีแรงดึงดูดอันลึกลับ เขาโค้ง สง่าบิดเป็นเกลียว ลำคอยาว กรงเล็บและแรงขย้ำมหาศาลที่ฉีกต้นไม่ได้เหมือนเศษฟาง ปลายหางเหมือนใบพาย เกล็ดสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับเหมือนแก้ว เสียงร้องสั่นสะเทือนได้ทั้งภูเขา แกว่างหางที่หนึ่ง ต้นไม้กระจุยกระจาย ระเนระนาด และทำให้พวกเราทั้งหมด กระเด็นไปคนละทิศละทาง
ขอให้ทุกคนโชคดีและปลอดภัย ข้าพเจ้ากำลังจะกระแทกต้นไม้ตายอนาถ ขอโทษครับ แฟนๆ ที่ไม่ได้เล่การผจญภัยอันยิ่งใหญ่นี้ให้ฟัง
สายลมพัดเย็น กลิ่นใบไม้ ใบหญ้า และแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ผมเลิกรำพึงรำพัน และมองไปยังทิศทางที่ผมกำลังลอยไปอยู่ โชคดีที่ผมกระเด็นมาไม่เกินละแวกหมู่บ้าน แต่คงต้องทำใจเจ็บตัวหน่อยล่ะ
ผมเหนี่ยวกิ่งไม้ที่ผมกระเด็นมาถึงเป็นกิ่งต่อมา รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงมหาศาล แขนเจ็บแปล๊บ คงมีบางอย่างฉีก ไม่ก็หักแน่นอน ตัวผมหยุดเคลื่อนที่ในแนวราบ ไม่นานนัก พลังแรงดึงดูดก็ทำงานในแนวดิ่งของมัน
“เป๊าะ!” การเดินทางครั้งนี้ผมทำกิ่งไม้หักไปกี่กิ่งแล้วเนี่ย ผมร่วงลงไปข้างล่าง ผมพยายามเหยียดแข้งเหยียดขาให้ไปชนกับกิ่งไม้ให้มากที่สุด เพื่อลดแรงความเร็ว “เจ็บว้อย!” ผมตะโกนแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน ระหว่างที่ร่วงมาถึงประมาณครึ่งทาง ผมก็นึกถึงอุปกรณ์ชิ้นใหม่ได้ ผมกดปุ่มสัญลักษณ์ตามที่รู้มา ก่อนถึงพื้นเพียง 5 เมตร ร่างผมก็ลอยอยู่กลางอากาศ ผมค่อยๆ ปล่อยตัวลงมาสัมผัสพื้น และล้มลงไปก้นจำเบ้าทันที
“ทำไมไม่นึกออกให้เร็วกว่านี้นะเนี่ย” แต่สำหรับหลายๆ ท่านไม่ตายก็ดีถมไปแล้ว
ผมพยายามลุก แต่รู้ตัวว่าลุกไม่ได้ คงมีบางอย่างหัก หรือไม่ก็ฉีกขาด ทั้งเจ็บทั้งชา มีรอยขีดข่วนตามเนื้อตามตัวไปหมด ชุดดำขาดวิ่น
‘เจอศึกหนักน่าดูเลยนะครับเนี่ย’ เสียงอาร์ไบน์ดังขึ้นในหัว
“ดูอยู่ด้วยเรอะ” ผมพูดตอบกลับไป “ทำไมไม่ช่วยแนะนำอะไรบ้างเล่า”
‘กลัวเสียสมาธิครับ’ ผมว่าจังหวะมันก็มีตั้งหลายช่วงนะ
‘ผมไม่รู้หรอกครับว่าจังหวะไหนดี จังหวะไหนไม่ดี’
“เออ ช่างเถอะ มาช่วยผมหน่อยได้ไหม” ผมนอนแผ่หลา มองดวงจันทร์
‘มีระบบรักษาครับ’ ผมนึกดูแล้วก็มีจริงอย่างที่ว่า ‘รักษาขาก่อนนะครับ ไม่งั้นหากพวกไนท์วอล์คเกอร์มา คุณจะแย่’ เดี๋ยวๆ
“ไนท์อะไรนะ” มีเมฆดำค่อยๆ เข้ามาบังดวงจันทร์
‘ไนท์วอล์คเกอร์ครับ’ แสงจันทร์หายไปแล้ว หมอกเรืองแสงเริ่มปรากฏขึ้น
“เดี๋ยวสิ ขอเวลานอกหน่อย” พวกมันโผล่มาแล้ว พวกมันไม่มีนาฬิกา
คราวนี้ผมคงได้พยายามเต็มที่ที่จะเอาชีวิตรอดจริงๆ แล้วล่ะสิ แขนซ้ายผมยังพอใช้ได้ แต่มันเป็นข้างที่ผมไม่ค่อยถนัด แถมกลุ่มที่ผมเห็นนี้ มีอาวุธ ทั้งโซ่ และหอก
“ฉึก!” หอกเสียบพื้น หลังจากผมกลิ้งหลบ ผมยิงปืนใส่สามนัดซ้อน ลูกกระสุนโดนเข้าไปเพียงแค่สองตน ผมคาบปืน และรีบกดโหมดรักษา และยังไม่ทันที่จะกดเสร็จดี
“แกร๊ง!” โซ่มีเป้าหมายมาที่คอผม ผมเหวี่ยงปืนไปได้ทัน (ฟันแทบหักเลย) มือขวายื่นไปรับปืน ทันทีที่ปืนกระทบกับมือขวา ความเจ็บแล่นไปทั่วแขน แต่ผมยังคงประคองปืนไว้ได้ มือซ้ายกดปุ่มคำสั่งเสร็จพอดี ผมหันไปมองรอบๆ สามตนข้างหน้ากำลังเดินเข้ามา สองคนอยู่ข้างหลัง ด้านซ้ายมีต้นไม้ใหญ่อยู่ มือขวาพยายามจับปืนให้มั่นที่สุด มือซ้ายผมจับโซ่ กระชาก และสะบัดไปทางขาของสามตนด้านหน้า ขาทั้งหมดกลายเป็นหมอก ร่างของพวกนั้นล้มลงกับพื้น
ผมรีบกลิ้งไปทางต้นไม้ใหญ่ พอจะหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ได้แล้ว
หลังชิดต้นไม้ มองไปข้างหน้า จากห้า หายไปหนึ่ง เสียงโซ่พุ่งออกมาทางด้านขวาของต้นไม้ เหวี่ยงเข้ามารอบตัวผม
“ชิ เอาปืนกันคงไม่ไหว” โซ่ยาวมาก ผมก้มตัวหลบ ยังไม่ทันพักหายใจ โซ่อีกเส้นถูกเหวี่ยงมากอีกทาง มือขวาพอถือปืนได้แล้ว มือซ้ายรับน้ำหนักไว้ เล็ง ยิง
“พิ้ง! พิ้ง! พิ้ง!” โซ่ถูกสกัดไว้ได้ แต่แขนขวาปวดแทบขาดใจ มือซ้ายคว้าปืนขึ้นมา ยิงใส่ทั้งห้าตน แต่ช้าไปกระสุนเข้าเป้าเพียง สามนัด พวกที่ใช้หอกบุกประชิดตัวผม ปืนจ่อแสกหน้า ขณะที่ผมกำลังจะเหวี่ยงไก
“ปึก!” มันปัดแขนผมขึ้นไป ลูกกระสุนผมยิงไปโดนกิ่งไม้เบื้องบน ด้ามหอกฟาดเข้าที่ลำตัวผม ผมกระแทกมันล้มลงไป เสียงในหัวผมดังว่า
‘รักษาเสร็จสิ้น’ สองตัวที่ถือหอกวิ่งเข้ามา แทงหอกมายังผมที่ยังอยู่ที่พื้น
“ฉึก!” ผมกระโดดขึ้นมาได้ทันท่วงที เหยียบหอกไว้ กระทืบเท้าลงไปให้หอกฝังมากกว่าเดิม อีกสองตนเข้าล็อคคอผม โซ่ยังคงพันอยู่แถวต้นไม้ ผมฉวยขึ้นมา และรัดพวกมัน ร่างทั้งสองเริ่มกลายเป็นหมอกอีกครั้ง ผมยิงไปที่กิ่งไม้อีก หอกถูกกระชากหลุดจากพื้น ผมกระโดดออกมาได้พอดี และยิงซ้ำไปที่กิ่งไม้อีกครั้ง
“ปัง! เป๊าะ!ๆ กร๊อบ” กิ่งไม้ขนาดประมาณเสาไฟฟ้าหล่นมาทับพวกนั้น ร่างของพวกมันทั้งหมดกลายเป็นหมอก แต่เนื่องจากมีกิ่งไม้ขวางอยู่ ร่างเหล่านั้นจึงไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้
“ฟิ้ว! เรียบร้อย” ผมรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ต้องรีบไปก่อนที่จะมีภาคสมทบเพิ่มขึ้นมาอีก
แสงจันทร์เริ่มส่องสว่างอีกครั้ง ผมเดินไปกดปุ่มต่างๆ ไปพลาง “ต้องไปให้เร็วที่สุดก่อนเมฆบังจันทร์”
บทที่ 17 อะไรกัน
ในที่สุด ผมก็มาถึงที่นัดหมาย อาร์ไบน์รอผมอยู่แล้ว กว่าจะมาถึง เสื้อผ้าผมซ่อมแซมตัวเองเกือบหมดแล้ว
‘เก่งสุดๆ เลยครับ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องยังไม่จบง่ายๆ นะครับ’ อาร์ไบน์พยักเพยิดไปทางข้างหลังผม ‘ระวังด้วยนะครับ ค่อยๆ หันไปด้วย ผมรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ’
ผมเงี่ยหูฟัง และเดินให้เบาที่สุด เสียงฝีเท้าย่างเข้ามาช้าๆ ผมทำเป็นหยิบนาฬิกา มาดู เงาที่สะท้อนเห็นลางๆ นั้นคือ “โนส” และพลันนั้นเธอพุ่งเข้ามาจากข้างหลัง ผมรีบก้มตัว กวาดต่ำ ส่งเธอไปนอนเล่นบนพื้นหญ้า เล็งปืนไปทางเธอ รอดูสถานการณ์
“แหมๆ อะไรกันเนี่ย ช่วงกลางวันยังคุยกันดีๆ อยู่เลย เป็นอะไรไปจ้ะ” ผมพูดไปงั้นๆ แหละ ลองดูว่าปรกติหรือเปล่า เธอไม่ตอบ แต่หมุนตัวอย่างรวดเร็ว พลิกมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจู่โจม ข้างๆ แขนมีใบมีดยืดออกมา ปลายนิ้วมีกรงเล็บโลหะ “ท่าทางจะเจอของแข็งเสียแล้วเรา”
‘สู้ๆ นะครับ’ อาร์ไบน์หลบไปแล้ว หนีเก่งเหมือนผมเลย
เธอพุ่งมาประชิดตัวผม “เร็ว” หมัดขวาติดใบมีดอัปเปอร์คัท ผมเบี่ยงหลบไปได้แบบถากๆ แก้มซ้ายเลือดทะลักทันที ขณะที่มือซ้ายเธอกำลังจะซ้ำนั้น ผมจ่อปืน กระแทกเข้าไปที่หัวไหล่ และอัดเข่าขวาเข้าไปที่ยอดอก พร้อมกับยิงซ้ำสามนัดเข้าที่ไหล่ซ้าย ข้อพับ และข้อมือ “แค่นี้จะเรียกสติได้ไหมนะ”
ร่างเธอเซแซ่ดๆ แต่ระหว่างที่กำลังจะตั้งหลักนั้น แขนขวาเธอสะบัดอย่างรุนแรง ผมเอี้ยวขวาหลบแทบไม่ทัน มีดบินปาดเข้าที่หูผม เลือดไหลอาบคอผมในเวลาไม่นานนัก “เอางี้เลยนะแม่คุณ อยากเจอของแข็งเดี๋ยวจัดให้” ระหว่างที่เธอกำลังตั้งหลักอยู่ ผมก็เริ่มกดระบบรักษา ไม่นานนัก เราทั้งคู่ก็พร้อมรบในสภาพเต็มร้อยอีกครั้ง
“ครั้งนี้คงไม่มีพักหายใจกันแล้วมั้งเนี่ย” ผมกระชับด้ามปืนแน่นขึ้น ยืนกางขาย่อตัว มือซ้ายตั้งการ์ดไว้เบื้องหน้า มือขวาเล็งปืนไปที่เป้าหมาย นอกจากเสียงลม เสียงใบไม้ และเสียงลมหายใจ ก็ไม่มีเสียงอะไรขึ้นมาอีก เราทั้งสองยืนจ้องหน้ากัน เวลาช่างดูยาวนาน
“ตูม!” โนสพุ่งเข้ามาผมทันที ปลายแหลมของเหล็กพุ่งเข้ามาที่หน้าอก ผมเบี่ยงตัวหลบ เธอกระโดดตามพุ่งตามผมอย่างรวดเร็ว กรงเล็บเหล็กพุ่งเข้ามาที่หน้า ผมหงายหลังหลบเป็นท่าสะพานโค้ง ผมสอดขาไปใต้หว่างขาของเธอ ออกแรงงัด เหวี่ยงร่างเธอลอยขึ้นไป และยิงเข้าไปที่ข้อศอก ท่อนแขนของเธอรับกระสุนแทน และเหวี่ยงแขนใส่ กรงเล็บที่มือขวาพุ่งออกมา เหมือนสายฝนที่แหวกอากาศอย่างรวดเร็ว ผมพยายามเบียงตัวหลบ พร้อมกับตกปืนซ้ำไปที่ลำตัว เล็กเหล็กถากสีข้างขวา โนสไม่ปล่อยให้เสียจังหวะ เธอสะบัดแขนมาอีก กรงเล็บพุ่งมาสามอันซ้อนในแนวระนาบ จากท่านี้คงหลบพ้นได้ไม่หมด
“กิ๊ง!” พ้นหนึ่ง ปัดสอง ฟันรับไว้สาม ด้ามปืนปะทะเข้ากับเล็บเหล็ก ปากผมงับกรงเล็บไว้ทัน เล็บเหล็กที่ลอยค้างในอากาศอยู่ข้างหน้าผม กระสุนปะทะ แท่งโลหะพุ่งเข้าไปหาเจ้าของทันที ปากปล่อยกรงเล็บอีกอันเข้าไปในปากกระบอกปืน ยิงออกไปพร้อมกับกระสุนอีกสองนัด สะบัดปืนกระสุนที่ค้างหลุดออกมา
เล็บเหล็กอันแรกแทบเข้าไปที่ต้นขา อันที่สองเข้าไปที่หน้าผาก
“กึง!” ไม่เข้า เลือดซึมออกมา มีแผ่นเหล็กที่หน้าผาก
“หมดไปหนึ่งวิธีแล้วเรอะ” กระสุนพุ่งเข้าไปที่คอของเป้าหมาย มือเธอรับไว้ได้ โนสกางแขน เหวี่ยงใส่ผม ตะปูพุ่งเข้ามาราวห่าฝน ผมกระโดดถอยหลังพร้อมเอาแขนบังหัวไว้
“ฟุ่บ! ฉึก! กิ๊ง!” ตะปูฝังเข้าไปตามแขน กระแทกปืน และเสียบลงดินบ้าง โนสลงถึงพื้น เถอะพุ่งเข้าหาต่อทันที เงื้อแขนขวาที่มีใบมีดยื่นออกมา ฟันเข้ามาที่ลำตัว
“ผัวะ!” ปืนกระแทกเข้าที่แขน ใบมีดพลาดเป้า “ขอโทษด้วยก็แล้วกัน” ผมจับปลายปืนแล้วตบด้ามเข้าไปที่ปลายคางซ้ายของเธอ
“กึง!” แผ่นเหล็กไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมตบซ้ำอีกทีจากด้านขวา และเข่าซ้ำอีกทีจากฝั่งซ้าย ยิงซ้ำเข้าไปที่ทรวงอกสามนัด เตะเสยปลายคาง และยันซ้ำอีกที
“ตึง!” ร่างกระแทกพื้น คู่ต่อสู้ไม่ไหวติง ผมทรุดกายลงกับพื้น
“เฮ้อ เหนื่อยแทบขาดใจเลย” พูดเสร็จก็สูดหายใจ เข้า ออก เสียงดังฟืดฟาด เหงื่ออาบทั่วตัว หลังร้อนผ่า
‘จบแล้วหรือครับ’
“สมองกระเทือนขนาดนั้นคงลุกไม่ขึ้นแล้วล่ะ” ผมปาดเหงื่อ ชี้ปืนไปที่ร่างอันแน่นิ่ง ทำร้ายผู้หญิงนี่ไม่รู้สึกดีเลย “อาร์ไบน์ ตรวจสอบสมองได้ไหม”
“จัดให้เดี๋ยวนี้เลยครับ” อาร์ไบน์โผล่ออกมาจากเงามืด นั่งลงข้างร่างของโนส
“คนอื่นๆ ล่ะ”
“บูลกับเอียร์หลับอยู่ครับ” อาร์ไบน์ตอบโดยไม่หันหน้ามา กำลังพะวงกับปุ่มหลากหลายอยู่
ผมได้แต่นึกในใจว่า “ว่าแล้วเชียว”
“ผมว่าเข้ามาข้างในกันก่อนดีไหมครับ ก่อนที่เมฆ...” ความมืดเริ่มมาอีกครั้ง “...จะมาอีก”
ผมรีบลุกขึ้น เลือดไหลออกจากปากแผล “ง่วง! สงสัยเสียเลือดเยอะไปหน่อย” ผมรีบวิ่งกระย่องกระแย่งไปที่โนส พยามยามช่วยยกเท่าที่ไหว และเราทั้งสามก็เข้ามาในทรงกลมทันท่วงที หวังว่าคืนนี้คงจะจบเรื่องหนักๆ เพียงเท่านี้
บทที่ 18 ทางสู่สวรรค์
ผมเริ่มการรักษาบาดแผลตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ความเร็วในการกดปุ่มต่างๆ เร็วขึ้นกว่าเดิม ท่าทางว่าผมอาจต้องไปฝึกนอกกระบวนการด้วยซ้ำ เลือดค่อยๆ หยุดไหล บาดแผลเริ่มสมานตัวกันอีกครั้ง ตอนนี้ความเหนื่อย และความหิวกำลังเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างอยู่
“มีอะไรกินไหม” ผมถามเผื่อความโชคดีจะเข้าข้างผมบ้าง
“ไปที่บัลลังก์ ล้วงเข้าไปบนที่นั่ง ในนั้นจะมีของกินอยู่ครับ” เดี๋ยวๆ เมื่อกี้นี้มันอะไร
“ล้วงเข้าไปบนที่นั่งเหรอ” ผมถามอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่า ผมไม่ได้ฟังผิด
“ครับ บนนั้นล่ะ” ผมยังงงๆ อยู่ แต่ก็ได้แต่ลองทำตาม ผมมาถึงบัลลังก์ บนที่นั่งผมยกขนสัตว์ที่ปูรองออก ที่นั่งดูปรกติ ไม่มีช่องหรืออะไรแต่อย่างไร ผมลองยื่นมือลงไป และทันทีที่ผมสัมผัสกับพื้นบัลลังก์ พื้นตรงนั้นบุ๋มลงไป มือผมเหมือนทะลุอะไรบางอย่าง ผมจับวัตถุกลมๆ ผิวสัมผัสแปลกๆ เมื่อหยิบมันออกมา มันคือผลไม้ประเภทเดียวกันกับที่กินเมื่อตอนเที่ยงนี่เอง
เติมพลังงานเรียบร้อย มีเรี่ยวมีแรงแล้วก็ได้เวลาคุยธุระเสียที อาร์ไบน์ยังดูแลโนสอยู่
“เป็นไงบ้าง?” ผมเอ่ยถามพร้อมกับชะเง้อมองร่างที่นอนแน่นิ่ง
“บาดแผลทางร่างกายไปเป็นอะไรมากครับ แต่มีปัญหาเรื่องความทรงจำ” อาร์ไบน์ลุกขึ้นยืน บิดตัวยืดเส้นยืดสาย
“ปัญหาคือ?” ผมเงียบทิ้งช่วยไปพักหนึ่ง ชี้นิ้วเข้าที่ขมับตัวเอง “ความทรงจำขาดหายไป”
“อย่างที่ว่าละครับ เป็นไปได้ว่าช่วงนั้นมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอโจมตีคุณ” ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นล่ะ “เมื่อฟื้นขึ้นมา เธอจะกลับเป็นปรกติ”
“แปะ!” ผมปรบมือหนึ่งครั้ง “งั้นเริ่มธุระของเราต่อกันได้เลย”
อาร์ไบน์เดินไปที่บัลลังก์ หันหน้ากลับมาหาผม และเล่าเรื่อง “หมู่บ้านของเรามีเรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมานานถึงดินแดนแห่งเทพ ดินแดนที่อยู่สูงเหนือเมฆ และต่ำสุดในโลก บนฟ้า และใต้น้ำ มีผู้คนมากมายแสวงหาทางไปเหล่านั้นตลอดเวลา” อาร์ไบน์มองขึ้นไปยังเพดานทรงกลม “ เมื่อในอดีต แน่นอนพวกเราก็อยากไปดินแดนเหล่านั้นเหมือนกัน ดินแดนศักสิทธิ์แห่งเทพยาดา”
“เริ่มเข้าเรื่องสักทีเถอะ” ผมขัดจังหวะ อาร์ไบน์ถอนหายใจ
“ทุกๆ คืนพระจันทร์เต็มดวง ทางที่ว่านี้จะเปิดออก เราเรียกว่าการทดสอบของทวยเทพ ทางไปต่อนั้น อยู่ที่โดมแห่งนี้นี่เอง” เพดานโดมมองทะลุผ่านได้ พระจันทร์เต็มดวงกำลังเลื่อนเข้ามาใกล้ตำแหน่งตรงกลาง “ถ้าคุณต้องการไป ผมจะเรียกทุกคนให้ทันที แต่ว่า..” อาร์ไบน์ชี้มือไปบนท้องฟ้า “ถ้าใครไม่ผ่านการทดสอบ คนนั้นจะหายสาบสูญไปตลอดกาล”
“มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามกลับไป เวลากำลังลดลงทุกที
“ไม่ยากขนาดผ่านไปไม่ได้หมดทุกคนหรอกครับ เพียงแต่อย่าเผลอเท่านั้นเอง”
“ตกลง ไปกันเถอะ” กำแพงของทรงกลมเปิดขึ้นเป็นช่อง อาร์ไบน์เข้าไป แล้วออกมาพร้อมกับเอียร์ และบูล (ซึ่งยังคงหลับอยู่ทั้งๆ ที่ถูกลากมากับพื้น) ส่วนผมกดส่งสัญญาณไปที่อุปกรณ์ห้อยคอของคนที่เหลือ
“เอ่อนี่ ตกลงไอ้เจ้านี่มันมีชื่อเรียกของมันไหม” ผมชูอุปกรณ์หลากปุ่มขึ้นมา
อาร์ไบน์กลับมาสื่อสารเข้าหัวผมโดยตรง ‘จั๊กแร่กครับ’ เร็วไปมั้งอาร์ไบน์
“อะไรนะ” ผมถามอีกที
‘จั๊ก-กะ-แหร่ก ครับผม’ โอเคเข้าใจแล้ว ทำไมชื่อมันพิลึกจัง
ไม่นานนัก โอลแมน และเซนส์ก็มาถึง สภาพค่อนข้าง ใช้คำว่ามอมแมมละกัน สีหน้าของโอลแมนดูไม่ค่อยดีนัก
“บลัดล่ะ” โอลแมนมองผม
“ไปด้วยไม่ได้แล้ว” คำพูดนี้ทำให้ผมงง หมายความว่ายังไง ระหว่างนั้น โนสก็ได้สติ
เสียงเท้าสัมผัสร่างคนดังขึ้นข้างหลังผม เสียงผู้ชายโอดครวญเบาๆ และเสียงหญิงสาวงัวเงีย ผมยังคงใช้สีหน้าสงสัยมองโอลแมนอยู่
“สภาพที่ไปผมคือ คอขาด แขนขากระเด็นไปคนละทาง” ฟังแล้วน่าสยดสยอง แต่แค่นี้ไม่น่าจะทำให้บลัดตายได้
“ศพไร้หัวหรือไง?” ผมพูดกึ่งๆ แซว หวังว่ามันคงไม่แย่ขนาดนั้น
“ใช่” ผมเงียบ ยอมรับว่าอึ้งกับความจริง แต่ไม่มีเวลาเหลือแล้ว
พระจันทร์เลื่อนมาอยู่ตรงกลาง พื้นห้องสว่างขึ้นด้วยแสงสีฟ้านวล รมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา หนึ่ง สอง ทั้งหมดหกคัน
“ทางไปต่อหรือ” เซนส์มองไปที่ร่มด้วยสีหน้าดูถูก
“ใช่ ทางนี้ล่ะ” ผมพอเดาได้แล้วว่าเราจะไปกันอย่างไร
“ไปกันเถอะทุกคน” โอลแมนเดินไปที่ร่มคนแรก ด้ามจับเหมือนที่ปั้มลมสูบยางด้วยมือ ร่มออกมาตามสีของจั๊กแร่ก งานนี้บอกได้คำเดียวว่า “ตัวใครตัวมัน”
บทที่ 19 พวกเราบินในท้องฟ้า
ทันทีที่พวกเราจับร่มครบทุกคน จู่ๆ ลมก็มีพัดมาจากพื้น แรงลมยกให้พวกเราลอยขึ้นจากพื้น ขึ้นไปถึงเพดานและ ทะลุผ่านเพดานออกไป ผมพบว่าเราโผล่จากบึงท้ายหมู่บ้าน ป่าสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ ไนท์วอล์คเกอร์เดินกันให้ขวักไขว่
คิดๆ แล้วพวกเรานั้นโชคดี หากพวกนั้นมีปืน เราคงเป็นเป้านิ่งให้ยิงเล่นกันแน่นอน
สายลมเย็นสบาย (ดั่งพายุ) พัดพาร่างลอยละลิ่วเหมือนปุยนุ่น อย่างน้อยตอนนี้เราก็ได้พักผ่อนอย่างสงบ
เวลาผ่านไปพอสมควร ผมหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูอย่างยากลำบาก เวลาผ่านมาราวสิบนาที แต่ตัวผมรู้สึกว่ามันช่างยาวนานชั่วกัลป์ชั่วกัลป์จริงๆ ตอนนี้ผมโบยบินอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ไร้ฟ้า ไร้แสงดาว ไร้ทะเล เห็นแต่สายไหมวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว ลักษณะเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเครื่องบินที่หายสาบสูญไป
ทุกๆ ลำจะมีรายงานว่า ไม่เห็นท้องฟ้า ไม่เห็นทะเล ถูกหมอกบางอย่างบดบังเครื่อง เข็มบนหน้าปัดหมุน เข็มทิศใช้ไม่ได้ มาตรวัดความสูงรวน บางเครื่องก็เรืองแสง บ้างก็เห็นเกาะอยู่เกาะหนึ่ง (ซึ่งตามแผนที่นั้นไม่มีเกาะโดดเดี่ยวตั้งอยู่) หลังจากนั้นสัญญาณขาดหาย และไม่มีใครพบเห็นเครื่องบิน หรือเรือเหล่านั้นอีกเลย แน่นอนว่ามีบางคนที่รอดมาได้ แต่ถ้าใครก็ตามเจอครบสูตรตามที่ระบุ ก็บอกได้คำเดียวว่า “ลาก่อน”
ตอนนี้เราพอเห็นตัวกันลางๆ ความเมื่อยล้าเริ่มรุมแขนผม เหงื่อเริ่มผุดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย กรามกัดแน่น
“ยังอยู่กับครบมั๊ย!” ผมตะโกนถาม มันเครียด
“อย่าชวยคุยสิโว้ย เดี๋ยวหล่น” เสียงบูลตะโกนตอบกลับมา ที่เหลือยังพากันเงียบ สายลมพาพวกเราขึ้นมากี่กิโลเมตรแล้วเนี่ย แล้วจะต้องอยู่ไปนานอีกเท่าไร ถ้าบลัดอยู่ด้วย คงจะช่วยสนับสนุนได้ดีมากๆ
ผมเหนี่ยวร่มไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง หลับตา และนึกย้อนไปถึงพื้นดินที่เพิ่งจากมา ใครอยากลองเป็นนก พอเป็นจริงก็ไม่ได้ดีนักหรอก แต่อย่างน้อยก่อนออกมาผมก็อุ่นใจได้บ้าง เพราะอาร์ไบน์บอกว่าเรื่องบลัดปล่อยเป็นหน้าที่ของเขาเอง
ผมนึกเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อยจนรู้สึกว่ารอบตัวสว่างขึ้น ผมลืมตาแล้วก็พบท้องฟ้าสีคราม ดวงอาทิตย์ฉายแสง ทะเลกว้างเบื้องล่าง และสภาพตึกรามบ้านช่องที่คุ้นเคย
“เรากลับมาแล้วเหรอเนี่ย” ผมคิดในใจ
‘อื้อหือ เนี่ยเหรอโลกของคุณ’ ผมสะดุ้งเพราะเสียงตื่นตาตื่นใจในหัวผม ร่มเริ่มแกว่ง
“พูดแบบเนิบๆ ก็ได้” ผมตอบกลับไป (ทางโทรจิต)
‘ที่ตรงนั้นใช่หรือเปล่าครับ’ ผมลองมองไปดูรอบๆ และแล้วก็เห็นปลายทาง มันลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ น่าแปลกที่คนข้างล่างไม่สังเกตเห็น
จากที่เรามองเห็นข้างใต้นั้น เหมือนมีคนขุดเมืองขึ้นมา แล้วตรึงมันไว้บนฟ้า เสาหินอ่อนโผล่ออกมาข้างใต้อย่างสะเปะสะปะ
ลมแรงพัดโหมกระพือทำให้เราลอยไปเหนือเกาะลอยฟ้า
หินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ สะท้อนแสงดูสว่างจนแสบตา เสาหินอ่อนตั้งเรียงวงไปวนมา เป็นวงกลมซ้อนกันประมาณสองสามวง ฐานแต่ละฐานนั้นแยกจากกันบ้าง รวมตัวกันบ้าง เหมือนภาพที่ลบออกไปเพียงบางส่วน ลายสลักแปลกตา รูปปั้นรูปร่างพิศดาร สิ่งเหล่านี้ลอยเด่นตัดกับสีครามของท้องฟ้าด้านหลัง
เรียกว่าสวรรค์คงใกล้เคียงที่สุด
ลมเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง พวกเราวกกลับมาอยู่ด้านใต้ และใกล้เข้าไปที่ฐานของเกาะขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับสายลมที่แผ่วลง
“แย่ละสิ หรือว่าเมื่อกี้เราควรกระโดดลงไป” ขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ โอลแมนก็ยิงสลิงออกไปเสียบกับหิน (ไอ้สิ่งที่อยู่ตรงข้อมือของโอลแมน ช่างเป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์เหลือเกิน) โอลแมนดึงสลิงตึงกับหิน เซนส์ที่อยู่ใกล้กับโอลแมน คว้าแขนโอลแมนไว้ทันที ส่วนผม และคนที่เหลือต่างพยายามตะเกียกตะกายไปให้ใกล้กับโอลแมนมากที่สุด ลมเบาลงๆ และในที่สุด ลมก็หยุด
ผมเอื้อมมือพยายามแตะแง่งหิน หวังจะเกาะไว้ แต่ทันทีที่สัมผัสกับฐานของเกาะลอยฟ้า ผมก็ถูกแรงดึงดูดดูดเข้าไปโดยมีแกนกลางฐานเป็นศูนย์กลางแรงดึงดูด ผมหน้าทิ่มเข้ากับฐาน ลุกขึ้นมอง ไปรอบๆ
พระอาทิตย์อยู่ใต้เท้า ท้องทะเลอยู่เหนือหัว “ระบบแรงโน้มถ่วงเทียม” นั่นคือคำตอบเดียวที่มีในหัวผม ผมมองไปทางผู้ร่วมทาง ดูท่าหลายๆ คนยังคงไม่ค่อยชิน สำหรับผม มันเป็นครั้งแรก แต่ทำไมกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ร่มทั้งหมดหายไปแล้ว
บูลกินดินอยู่ ส่วนโนสนอนตะแคงจับสีข้างตัวเองอยู่ โอลแมนลงได้อย่างสง่างาม เอียร์นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ส่วนเซนส์เดินดุ่ยๆ ไปไม่สนใจใคร
ผมวิ่งตามไป ใจหนึ่งอยากสำรวจดูข้างบนอย่างเต็มตา พอพ้นส่วนขอบ เราก็มาถึงด้านบน สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือ ร่างอมมนุษย์อันคุ้นเคย ผิวสีฟ้า ริมฝีปากสีเขียวมรกต ดวงตาสีน้ำเงินไพลิน ผมสีทอง ร่างโปร่งแสง
ครั้งนี้เป็นพวกประสงค์ดีหรือประสงค์ร้ายล่ะ
บทที่ 20 ไล่เงา
ร่างปริศนาเดินไปตามทางเดิน ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ต่อการมีอยู่ของพวกเรา ร่างนั้นเดินไป และลับสายตาตรงมุมเสาหิน
เซนส์ทำท่าจะวิ่งตามไป ผมจับไหล่ไว้ เซนส์หันมามองหน้าผม ผมส่ายหัวให้ เขาหันกลับไปมองจุดที่ร่างโปร่งแสงหายลับไป ถ้าจะพูดเปรียบเทียบร่างนั้น คงเหมือนผีล่ะมั้ง
ในเวลาไม่ถึงอึดใจทั้งโอลแมน เอียร์ โนส และบูลก็มารวมกลุ่มกับพวกเรา
“สงสัยในโลกนี้ไม่ได้มีแต่ผีคนเท่านั้นมั้ง” ผมพูดเป็นนัยๆ หลังจากนั้นจึงบอกว่าเราพบร่างโปร่งแสงของญาติๆ ไนท์วอล์คเกอร์ นึกๆ ดูแล้วเราก็น่าจะมีชื่อเรียกพวกเขานะ จะได้เรียกกันง่ายๆ ไปเลยทีเดียว
‘เราเรียกพวกเขาว่า “แลน” ครับ’ เสียงอาร์ไบน์แว่วอยู่ในหัว
“รู้แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่ตอนผมที่เล่าให้ฟังล่ะ” ผมถามกลับ (ทางโทรจิต) มีความเงียบเป็นคำตอบ
โอลแมนมองไปรอบๆ วังหินอ่อนมีทางแยกออกเป็นหลายสาย เสามากมายที่ตั้งไว้ทำให้ไม่สามารถมองได้อย่างทั่วถึง โอลแมนชูอุปกรณ์ที่ข้อมือขึ้น กดปุ่มสองสามครั้ง และชูแขนไปข้างหน้า ชั่วอึดใจ ภาพโฮโลแกรมจำลองสถานที่นี้ปรากฏขึ้นมา (ท่าเป็นพื้นผิวที่เราอยู่ อาจมีชั้นใต้ดินก็ได้) ทุกคนล้อมวงเข้ามาใกล้
“เราจะแยกย้ายกันไปสำรวจแต่ละทาง นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุด” แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ดีเท่าไรนัก ยิ่งเจอเหตุการณ์แบบเมื่อคืนด้วยแล้ว ผมมองหน้าโอลแมน ด้วยสายตาที่แฝงคำถาม โอลแมนไม่ได้สนใจ และจัดแจงแบ่งงานต่อ
ผมกับโนสดูรอบนอก แบ่งฝั่งซ้ายและขวา บูลกับเอียร์ดูช่วงกลาง และโอลแมนกับเซนส์ดูศูนย์กลาง (ผมพูดคงไม่งงนะ) ผมสงสัยจนนึกเล่นๆ ว่า โอลแมน และเซนส์อาจเป็นคู่เกย์ก็ได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่า ทั้งคู่มีความลับซึ่งรู้กันเอง ไม่ก็โอลแมนเลือกอยู่กับเซนส์ เพราะหมอนั่นไม่ถาม ไม่ซักไซ้อะไร (แต่ก็ช่างมันเถอะ “Nobody knows” )
เสียงฝีเท้าของแต่ละคนค่อยๆ ห่างออกไป ทุกอย่างรอบตัวเริ่มเงียบ แม้จะสว่างไสว แต่รู้สึกวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ได้ยินเพียงเสียงก้าวเดิน และเสียงหายใจของตัวเอง ผมเริ่มรู้สึกเกร็งขึ้นมา
‘ตอนนี้ไม่มีใครแล้วใช่ไหมครับ’ ผมหันไปมองข้างหลัง มองไปรอบๆ ตัว ไม่เห็นเงา ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดทั้งนั้น
“ไม่มีใครแล้ว” ทันทีที่ผมตอบกลับ ผมรู้สึกถึงมือที่สัมผัสไหล่ผม
“ฮึ้ย!” ผมสะดุ้ง อาร์ไบน์ และบลัดยืนอยู่ด้านหลังผม บลัดดูท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย ผมดีใจที่ได้เห็นวัยรุ่นชุดแดงคนนี้อีกครั้ง ผมขาวออกเงินยังคงสะท้อนแสงเป็นประกาย
“ระบบเทเลพอทหรือ” ผมถามแบบออกเสียง ผมรู้ว่าในจั๊กแร่กมีโปรแกรมนี้ แต่ไม่ทันนึกถึงมาก่อน (อย่างที่เคยมีคนกล่าวไว้ “รู้มาก ลืมมาก ลืมมาก รู้น้อย”)
อาร์ไบน์ยิ้มให้ผม และหายตัวไป “คงกลับไปดูเหตุการณ์ต่อในที่ๆ ปลอดภัยสินะ” ผมส่งโทรจิตถามไป
‘ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน ผมจะรีบมาช่วยคุณแน่นอน ผมสัญญา’
เป็นอันว่าในตอนนี้ ทีมสำรวจของเราทุกคนก็มาถึงเกาะลอยฟ้าลาพิวต้าเป็นที่เรียบร้อยกันทุกคนแล้ว
“อาร์ไบน์หานายพบได้ยังไง แล้วเกิดอะไรขึ้นกับนาย” ผมถามบลัด ซึ่งยังดูหงุดหงิดอยู๋ ใบหน้ายิ้มที่ขมวดคิ้วตอบกลับว่า
“ก่อนอื่นผมขอบอกว่า ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งหนึ่ง และดีใจที่เจอคุณเป็นคนแรก เพราะคุณมีพยานยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนเล่นงานผม” แล้วถ้าเกิดว่าไม่มี ตอนนี้ ผมคงเละไม่เหลือซากให้ประกอบกลับแน่นอน
“ไม่รู้ว่าใครเล่นงานรึ” ผมถามกลับ
“ไม่รู้ แต่ตอนนี้คงไม่สะดวกที่จะเล่า” จริงด้วย หากทุกคนรู้ว่าบลัดกลับมาแล้ว ใครก็ตามที่เล่นงานบลัด ก็ต้องรู้ด้วย “ผมคงต้องซ่อนตัวไปกับคุณก่อน”
ผมเดาไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น “อย่าบอกนะว่าจะเข้ามาในร่างผม” ด้วยสภาพหมอกเลือด
“ไม่รู้สึกอะไรมากหรอก” ผมกุมขมับ ช่วยไม่ได้ ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว “อย่าห่วงเลย ผมจะเป็นบอดี้การ์ดที่เยี่ยมที่สุด” ร่างและชุดแดงเริ่มสลายกลายเป็นควัน ลอยเข้ามาทางปาก จมูก หู และเข้าไปในชุดผม
“ชักรู้สึกว่านายไม่ใช่คนเข้าไปทุกทีแล้วนะเนี่ย เป็นมนุษย์ต่างดาวมากกว่าล่ะมั้ง” ผมแซวทั้งๆ ที่มีควันแดงเต็มปากเต็มจมูก เสียงแผ่วๆ ตอบกลับมา
“ยังมีความลับดำมืดอีกหลายอย่างที่คุณไม่อาจจินตนาการได้” ไม่นานนัก กลุ่มหมอกทั้งหมดก็รวมอยู่ในตัวผมเรียบร้อย
‘น่าดูชมจริงๆ นะครับเนี่ย’ อาร์ไบน์ยังคงเกาะติดสถานการณ์ไม่ห่าง ‘เป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย’
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” คราวนี้เป็นเสียงเบาๆ ข้างหูของบลัด
สภาพแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงคนที่เจอผี ได้ยินเสียงคนอื่นพูดในหัว ได้ยินเสียงแว่วๆ ข้างๆ หู ถ้าคนจิตอ่อนมาเจอแบบนี้อย่างไม่ตั้งตัว ผมว่าต้องเป็นโรคประสาทแน่นอน ผมเริ่มเดินสำรวจต่อไป
“แล้วเรื่องที่ผมถามไว้ล่ะ” เสียงกระซิบราวลมแผ่ว ซึ่งคงได้ยินในวงสนทนาเล็กๆ นี้เท่านั้น
“ผมโดนถุงดำรวบหัว ตัดแขน ตัดขา ตัดคอ และมัดหัวไว้ในถุง จากนั้นก็ถูกโยนลงหลุม และดินกลบหน้า โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่า ไอ้เวรนั่น มันเป็นใคร” เสียงแผ่วๆ ในตอนนี้เหมือนเสียงซาตานเรียกจากนรก แล้วเสียงก็เรียบขึ้นมานิดหนึ่ง “โชคดีที่อาร์ไบน์มาขุด และเปิดถุงให้”
โดยไม่ต้องรอให้ถาม ผู้ถูกเอ่ยอ้างก็ตอบกลับมา ‘จั๊กแร่กที่ทุกคนใส่จะบันทึกคลื่นสมองของทุกคนไว้ ตราบใดที่ไม่หมดสติ ผมสามารถตามหาทุกคนได้ครับ’ (ขอบคุณเทคโนโลยีจากหมู่บ้านพิลึกๆ)
แสงจ้าจากดวงอาทิตย์ และแสงสะท้อนจากหินอ่อน นอกจากจะทำให้ตาพร่าแล้ว ยังทำให้อุณหภูมิสูงอีกด้วย ผมเดินไปตามทาง ภาพมิราจอยู่ไกลลิบๆ สุดทางเดิน
“ทำไมยังไม่ครบรอบอีก” ผมเหนื่อยจนลิ้นห้อย เงาดำๆ ไหวๆ อยู่ลิบๆ และที่ริมเสาก็มีเงาอีกเงาหนึ่งอยู่
“นั่นมันแลนคนที่เราเห็นเมื่อกี้” ร่างนั้นเดินลับหายไปที่มุมเสาฝั่งขวามือ (ผมเดินสำรวจทางซ้าย เพราะฉะนั้น ทางขวา คือทางที่เข้าสู่ใจกลาง)
“ก็ตามสิพี่น้อง” บลัดพูดพร้อมกับดึงร่างผมวิ่งตามไป (ชักจะเหมือนถูกผีสิงเข้าไปทุกทีแล้วสิ) พอเราวิ่งไปที่มุมเสา ร่างนั้นก็ลับอีกมุมเสาหนึ่งไปอีก พอวิ่งพ้นมุมเสา ก็เห็นร่างหลบไปอีกมุมเสาหนึ่ง เราวิ่งตามไปซ้ายบ้าง ขวาบ้าง จนในที่สุด เราก็มาถึงลานกว้าง (แต่แผนที่โฮโลแกรมของโอลแมนไม่มีลานกว้างปรากฏอยู่)
“การผจญภัยครั้งนี้ทำให้ทึ่งได้เสมอเลยนะเนี่ย” ผมพูดกับตัวเอง
“เห็นด้วย” ‘เห็นด้วย’ เหล่าสัมภเวสีต่างเห็นพ้องกัน
แลนยืนอยู่ตรงกลางห้อง เงานั้นจมหายลงไปใต้พื้นเหมือนหล่นลงไปข้างล่าง ลานกว้างเรียบ ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ ล้อมรอบด้วยบรรดาเสา และทางเดินหลายสาย
“เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่คือทางลงไปข้างล่าง” ผมเดินดูไปรอบๆ ไม่มีอะไรจริงๆ ด้วย แม้แต่ตรงที่แลนหายตัวไปก็เหมือนกัน ดูที่พื้นก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต “ตอนนี้ทุกคนอยู่ไหนกันบ้างนะ” ผมมองจั๊กแร่กของตัวเอง ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา และกดคำสั่งลงไป
“ทำอะไรน่ะคิด” บลัดถามด้วยน้ำเสียงแฝงแววสงสัย
“นิดหน่อยน่ะ ลองดู” ไม่นานนักผมก็รู้สึกได้ถึงทุกๆ คน ทุกคนมุ่งหน้าไปในทิศทางต่างๆ มีอยู่สองคนเคลื่อนที่เร็วจี๋ หนึ่งคนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไปทางสองคนนั้น อีกสองเคลื่อนที่ด้วยความเร็วธรรมดา และกำลังมาทางลานกว้างนี้แล้ว
“อ้าว! นายมาโผล่ตรงนี้ได้ยังไง” โอลแมนเดินมายังบริเวณลานกว้าง ตามมาด้วยเซนส์ “ไม่ได้เดินสำรวจรอบนอกอยู่เหรอ” เซนส์มองดูไปรอบๆ
“คือว่า ” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบคำถาม ผมสัมผัสได้ว่า อีกสามคนที่เหลือ กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พร้อมๆ กัน ความเร็วขนาดนี้ น่าจะพาปัญหาใหญ่มาด้วยแน่นอน
“โครม! ตูม! อ๊าก! ว้าย!” ทั้งสามพุ่งพรวดเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม พร้อมด้วยปัญหาใหญ่
บทที่ 21 มังกร
“แกว๊ซ!” มังกรตัวขนาดพอๆ กับที่เพิ่งเจอไปไม่นาน แต่ตัวเล็กลงมาหน่อย พุ่งชนเสาหินแตกกระจาย
‘จริงสิผมลืมไปเลย’ อาร์ไบน์นายลืมบอกอะไรผม ‘ผมจะบอกว่าผมก็เลี้ยงมังกรไว้หนึ่งตัว’
“เรื่องนั้นไม่ต้องบอกก็ได้” ผมเผลอตะโกนออกมา พร้อมกับเริ่มขยับเท้า เป็นการอุ่นเครื่องตีนสุนัข เศษหินกระเด็นเกลื่อนกลาด ทั้งก้อนย่อมๆ และก้อนขนาดลูกฟุตบอล
“เมื่อกี้พูดอะไรน่ะ? ต้องให้ออกไปช่วยไหม?” บลัดกระซิบข้างหูผม หางสีเขียวแกว่งมาเฉียดหัวผมไปนิดเดียว
“ไม่ อยู่เฉยๆ ดีที่สุด” ต้องรีบจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นจะผิดสังเกตได้ โชคดีที่ความวุ่นวายช่วยทำให้การตะโกนพูดกับตัวเองเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในตอนสุดท้าย ผมก็รู้ว่าไม่พ้นสายตาใครบางคน
“ที่นี่มีมังกรด้วยเหรอ” ผมส่งโทรจิตถาม สายตาจับจ้องสถานการณ์รอบข้าง ท่าทางทุกคนกระปรี้กระเปร่าดีจัง
‘ผมไม่เห็นนานจนคิดว่าที่ผมเลี้ยงไว้เป็นมังกรตัวสุดท้ายแล้ว แต่ถ้าจะให้เล่าล่ะก็ เรื่องมันยาว’ มันร่อนลงที่พื้นแล้ว คราวนี้ ดวงตาสีเหลืองจ้องผมเขม็ง เขาโค้งเหมือนเขากวาง มันค่อยๆ ก้าวมาทางผม ผมเริ่มขยับตัวเตรียมพร้อมพุ่งทันที โดยไม่ได้เตี๊ยมกันไว้ มันพุ่งเข้ามาหาผม
“เย้ย!” ผมกระโจนหลบ ดูอย่างไรก็ไม่พ้นเขี้ยวแน่
“กิ๊ง!” เสียงมีดกระทบเข้ากับเขี้ยว ผมโดนเขี้ยวมันเข้าเพียงถากๆ (แต่แผลยาวเอาการ)
‘เรื่องของมังกระนั้น ’ อาร์ไบน์ยังคงเล่าต่อ
“เอาไว้เล่าทีหลังสิโว้ย” ผมส่งโทรจิตกลับไป รู้เลยว่าสีหน้าตัวเองออกอาการ “ปี๊ด” เต็มทน มังกรหันไปเล่นงานโอลแมนทันที ดูเหมือนทุกคนได้สติ เตรียมตัวต่อสู้กันพร้อม
แต่ถ้าอยู่ในที่แคบๆ เราน่าจะได้เปรียบกว่านะ
“ตูม!” เสาพังลงเป็นแถบๆ โอลแมนกระโดดถอยฉากออกมา ปามีดใส่ปาก และตาของมังกร แต่การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของสัตว์ประหลาดนั้น ทำให้มีดพลาดเป้า
“ปั้ก!” เสียงหินกระแทกเข้าที่หัวมหึมา บูลเหวี่ยงหินซ้ำเข้าไปแถวบริเวณเปลือกตาขณะที่มันกำลังหันมาพอดี ดวงตาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาล ปีกว้างกางออก และกระพืออย่างรุนแรง กำลังมหาศาลทำให้แต่ละคนปลิวออกไป ยกเว้นผม (อยู่ติดเสาอยู่แล้ว)
ลมสงบ หลายๆ คนบอบช้ำ มังกรมองดูร่างเหยื่ออย่างพินิจพิเคราะห์ ท่าทางไม่ค่อยจะดี
“ปัง! ปุ!” ก่อนที่ผมจะคิดอะไรต่อ มือผมก็ลั่นไกใส่ตัวปัญหาเสียแล้ว (คิดถูกไหมเนี่ย)
‘อืม ฮีโร่ชะมัด’ อาร์ไบน์ไม่วายแซว
“ช่วยเงียบจนหมดปัญหาที่เถอะขอร้อง” ผมมองไปรอบๆ ลานกว้าง และมองที่มังกรเขียว ไม่มีบาดแผลสักนิด ถ้าจะล้มมังกรด้วยอาวุธที่มีตอนนี้คงไม่มีทางแน่ๆ ผมเริ่มเดิน เดินไปรอบๆ ลานกว้าง ทิ้งระยะห่างระหว่างมังกรและตัวผมไว้ สมองก็กำลังคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็มีแผน แผนหมายเลขหนึ่งของผม
ผมวิ่งออกจากลานกว้างไปตามทางเดิน เจ้ากิ้งก่ายักษ์วิ่งตามผมมาอย่างรวดเร็ว
“หนีอย่างนี้แล้วจะทำอะไรได้เล่า?” บลัดพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ข้อหนึ่ง ออกจาตรงนั้น นายจะได้ออกมาได้ ข้อสอง ฉันมีบางอย่างที่ต้องเช็คให้แน่ใจหน่อย” ทางเดินทั้งหมดล้วนเหมือนๆ กัน แต่ตอนนี้ผมแน่ใจว่ามันต้องใช้การแปรผันของมิติสร้างขึ้นมาแน่
ลมหายใจกระทบหลังผม กลิ่นอายแปลกๆ และเสียงคำราม ผมไถลไปกับพื้น เหนี่ยวเข้ากับเสา หลบเข้ามุมไปได้ มังกรไถลเลยแยกออกไป
“เจ๋ง! ให้มันได้แบบนี้สิ” ผมเร่งความเร็วออกวิ่งต่อทันที (ไม่มีเวลาให้พักเหนื่อยแล้ว)
ทุกทางที่วิ่งไปมีเสาหินอ่อนเรียงกันสวยงาม และทุกทางที่ผ่าน มีความวินาศสันตะโรอยู่เบื้องหลัง แต่ทุกทางที่ผมวิ่งไป ไม่ว่าจะนานสักเท่าไร ก็สมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดบุบสลายให้เห็น
“ปัง!” ผมยิงปืนใส่โคนเสาต้นหนึ่ง และวิ่งต่อไป ผ่านมาสามแยก แล้วหยุด เสียงอึกทึกครึกโครมดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“กี๊ด!” เสียงเล็บขูดกับพื้น มันเริ่มเบรกเป็นแล้ว ตอนนี้ เหลือเพียงบางอย่างที่ต้องตรวจสอบอีกนิดหนึ่ง ควันสีแดงเริ่มออกมาจากส่วนต่างๆ ของร่างผม
“ยัง! เดี๋ยวก่อน ไม่เป็นไร ตรงนี้ผมจัดการเองได้” หมอกเลือดกลับเข้ามาในร่างผมอีกครั้ง
“งั้นไม่ช่วยนะ” แล้วบลัดก็ไม่พูดอะไรอีก
ผมมองตรงไปข้างหน้า มังกรยืนนิ่งมองมาทางผม ผมยกปืนขึ้น เล็ง และยิงกระสุนไปสามนัด
“ปัง!ปัง!ปัง!” คิ้วสองข้าง และจมูก แต่ไร้ผล ไม่มีบาดแผลสักนิด แต่รู้สึกจะสร้างความรำคาญได้ มังกรเขียวปัดจมูก และจาม ผมเริ่มวิ่งไปข้างหน้า เสียงแผดร้องดังก้องกังวาน พื้นสั่นสะเทือน อากาศเริ่มร้อนขึ้น ความร้อนสูงจากลมหายใจเหมือนสายลมที่พัดผ่านทะเลทราย มังกรวิ่งมาเตรียมตัวจะทะยาน ผมย่อตัวทำท่าเหมือนจะกระโดด ยิ่งปืนใส่ปากที่อ้ากว้าง สองนัด ได้ผล หัวมันสะบัดด้วยความเจ็บ ผมยิงซ้ำไปที่ใต้คอ เลือดสีแดงไหลออกมา (แต่แผลแค่นี้จิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมัน) ผมมุดลอดใต้ตัวของมันไปด้านหลัง เสาหินที่ยิงไว้ตอนแรกกลับคืนสู่สภาพเดิมต่อหน้า
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ” ทีนี้ก็เหลือการทดสอบอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น
ผมวิ่งหลบเข้าไปที่หลังเสา เจ้ามังกรคลาดกับผมเสียแล้ว “ขอเวลาไม่นานนักหรอก” ผมพึมพำเบาๆ มือซ้ายกดปุ่มบนจั๊กแร่กอย่างระมัดระวัง จนถึงปุ่มคำสั่งสุดท้าย “ได้การล่ะ” ผมโผล่ออกมาจากหลังเสา เล็งปืน ยิงไปที่โคนปีกของมัน
“ปังๆ! ปังๆ! ปังๆ! ปังๆ!” กระสุนพุ่งจากปากกระบอกอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปที่เป้าหมาย
“ปุ! แก่ก! ส่วบ!” กระสุนโดนกระดูกปีกบ้าง เข้าเนื้อบ้าง อยู่แค่หนังชั้นนอกบ้าง
“อ๊าก!” เสียงแผดร้องโหยหวน เสียงสัตว์ร้ายที่ออกเสียงคน มันกำลังโกรธ และเจ็บ ลมหายใจของมันร้อนขึ้น จนเห็นบรรยากาศบิดเบี้ยว
“มาแน่ๆ” ฉับไวเท่าความคิด ลูกไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งมาทางผม ผมกระโดด ยันเสา และกระโดดซ้ำขึ้นไป ผมตัวลอยอยู่กลางอากาศ หน้าแสบเพราะอุณหภูมิมหาศาล ผมนิ้วชี้มือซ้ายชี้ไปทางลูกไฟ ผมกดนิ้วลง
“ครืน!” ได้ผล ลูกไฟตกลงไปด้านล่าง แต่ไม่หมดทุกส่วน นิ้วกลางและนิ้วนางชี้ไปทางลูกไฟที่เหลือ และกดนิ้วลง
“ครืน!” ลูกไฟทั้งลูกปะทะพื้น เสียงก้อนหินแตกกระจายเปรี้ยงปร้างด้วยความร้อน
“เอาล่ะ ได้เวลาปิดม่านแล้ว”
บทที่ 22 ฉายเดี่ยว
ขณะยืนอยู่บนพื้น ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนมหาศาลผ่านรองเท้าเข้ามา บรรยากาศร้อนระอุ แววตาของสัตว์ร้ายสีเขียวเปี่ยมไปด้วยแววสงสัย และความความกระหายเลือดที่พุ่งถึงขีดสุด
“กึง!” เสียงกรงเล็บทั้งหมดเกร็งแน่นกระทบพื้น ช่วงไคล์แมกซ์ใกล้เข้ามาเต็มทน มังกรพ่นลูกไฟออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปลายนิ้วมือซ้ายพรมอย่างนุ่มนวลลงปากกระบอกปืน นิ้วชี้ขวาเหนี่ยวไก
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” พุ่งไปทางลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วน นิ้วมือซ้ายเริ่มกดลงทีละนิ้ว ทีละนิ้ว ความร้อนมหาศาลปะทะเข้ากับพื้นบ้าน ทะลุผ่านไปด้านล่างบ้าง ปริมาณไฟที่พุ่งเข้ามาลดน้อยลง ขาขวาถอยมาหลังขาซ้าย หมุนตัวหลบ ปลายนิ้วพรมไปที่ปากกระบอกปืน ลั่นไกอีก ห้านัด ไปยัง เบื้องหน้า กระสุนแหวกอากาศ พุ่งผ่านเปลวไฟตรงไปยังหัวของมังกร มือซ้ายกดลง
“ตึง!” หัวมังกรกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง เสียง กรงเล็บกระทบพื้น ด้วยอาการดิ้นตะเกียกตะกาย ผมก้มตัว กระโจนไปข้างซ้าย หลบไฟที่เหลือ
ทันทีที่ดวงตาสีน้ำตาลเห็นผม หัวของมันก็ชูขึ้นทันที มีเลือดไหลออกจากปาก ท่าทางจะบาดเจ็บไม่ใช่น้อย ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
“การฆ่าฟันไม่จำเป็น” ผมพูดกับมังกร หวังว่ามันคงจะเข้าใจได้ แต่ก็ไม่ได้ผล กรงเล็บพุ่งมาทางด้านขวา ผมโยกตัวหลบ แต่ไม่พ้น เสื้อผ้าขาด แผลลึกเป็นรอยยาวสามแนวตรงหน้าอก ใลก้ลิ้นปี่ และท้อง เลือดทะลักออกมาจากปากแผลทันที ความเจ็บปวด และเลือดที่เสียไปทำให้ร่างกายเสียสมดุล ผมอาจจะหมดสติก่อนที่จะจัดการกับมังกรได้
ปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวมากมาย น้ำลายและกลิ่นสาบ หมายจะขย้ำผมเป็นอาหาร กระสุนถูกยิงออกไปสามนัด เข้าไปทางลำคอ แต่ไร้ผลมังกรยังคงพุ่งเข้ามา ผมตัดสินใจยกมือซ้ายขึ้น ออกแรงกระโดด เลือดไหลออกจากปากแผลมากขึ้นอีก ผมลอยตัวอยู่บนฟ้า สูงเหนือพื้นดินราวๆ สิบห้าเมตร ร่างกายเริ่มมีอาการชา นิ้วมือซ้ายทั้งหมด แตะไปที่ปากกระบอกปืนอีกครั้ง และยิงกระสุนออกไปอีกห้านัด
“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!” ข้อต่อขาหน้าสองข้าง ข้อต่อขาหลังสองข้าง และลำคอ ทันทีที่กระสุนถูกเป้าหมาย ผมลดมือซ้ายลง แรงดึงดูดมหาศาลทำให้ร่างกายของมังกรทรุดลงกับพื้น มังกรดิ้นทุรนทุราย แต่อวัยวะทั้งห้าที่ถูกแรงดึงดูดมหาศาลกลับนิ่งสนิท ผมลงมายืนอยู่บนยอดเสา เล็งปืน และยิงซ้ำไปตามส่วนทั้งห้านั้น
“หวังว่าคงเป็นความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายนะ” เสียงปืนรัวขึ้นติดต่อกัน กระสุนเจาะเข้าไปตามหนัง และเนื้อ ฝังอยู่ข้างนอก และค่อยๆ ดันกันเข้าไป แรงดึงดูดมหาศาลหายไปแล้ว เสียงปืนหยุด เหลือเพียงเสียงลมหายใจหอบดังของสัตว์ร้าย และตัวผมเอง ผมนั่งหอบอยู่บนยอดเสาทั้งอย่างนั้น สายตาพร่ามัวเต็มที มือขวาวางปืนไว้บนตัก ทั้งสองมือช่วยกันกดปุ่มบนจั๊กแร่ก
“เอาความสามารถ และวิชาแบบนี้มาจากที่ไหนเนี่ย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” เสียงบลัดดังชัดเจน “ไม่ยักรู้ว่ามีฝีมือขนาดนี้นะเนี่ย” ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่หอบ รู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้
“เอาเลือดไหม?” บลัดถามผม “มีเหลือเฟือเลย”
“กรุ๊ปโอนะ” ผมพูดด้วยเสียงลมกระซิบ กดปุ่มสุดท้ายเสร็จ บาดแผลเริ่มสมานตัวกัน หมอกสีแดงลอยเข้าไปทางปากแผล “หวังว่าคงจบเสียที” ผมพูดไปหอบไป ง่วงจนจะหลับอยู่แล้ว
“ยังไม่ตายสักหน่อย เดี๋ยวจัดการเอง” หมอกสีแดงเริ่มออกมาจากส่วนต่างๆ ของผมอีกครั้ง
“อย่า! ไม่ต้อง อย่าฆ่ามันเลย” ผมตาสว่างอีกครั้ง การพูดเสียงดังทำให้เจ็บแผลมากจนตัวหงิกตัวงอ
“งั้นก็ตามใจ ตายไปอย่ามาโทษกันล่ะ” ร่างในชุดแดงโผล่ออกมาจากกลุ่มหมอกมากมาย บลัดลงไปข้างล่าง เดินไปสำรวจมังกรที่นอนหอบอยู่ เสียงคำรามด้วยความไม่พอใจดังออกมาเบาๆ บลัดไม่สนใจแม้แต่จะชายตามองหน้ามันด้วยซ้ำ บลัดถอดถุงมือ ใช้มือเปล่าๆ จุ่มเลือด และไล่เช็ดเลือดตามที่ต่างๆ เลือดที่เลอะมือค่อยๆ ซึมเข้าไปในมือเหมือนผ้าแห้งที่เช็ดน้ำเปียก
“เอาไว้ทำความสะอาดบริเวณที่เกิดเหตุฆาตกรรมใหม่ๆ ท่าจะดีนะเนี่ย” ผมคิดในใจ
‘เห็นด้วย’ อาร์ไบน์เห็นด้วย ‘เป็นยังไงบ้างครับ’
“ก็พอรอดได้ล่ะ” ผมถอนหายใจ “ได้เป็นผู้ชมตลอดรายการไหม” ผมยิ้มให้ (ไม่รู้ว่าทางนั้นจะรู้หรือเปล่า)
‘แน่นอน คุณใช้ระบบกราวิตี้คอนโทรลได้สุดยอดมากเลยครับ’ (*Gravity=แรงโน้มถ่วง) น้ำเสียงของอาร์ไบน์บอกความตื่นเต้นและชื่นชม
“ขอค่าดูหน่อยสิ” ผมเก็บปืนเข้าในช่องว่างของชุด (ระบบบิดผันมิติคงจะแก้ปัญหาเรื่องไร้ที่อยู่อาศัยได้)
‘ค่าดู?’ อาร์ไบน์ทำเสียงงงๆ
“เอาอะไรมาให้กินหน่อย หิวจะแย่อยู่แล้ว” แผลหายสนิทแล้ว ก็พร้อมเติมพลังงานกันต่อ ผมลงไปที่พื้นด้วยความนุ่มนวล (ด้วยวิธีการรูดเสาลงมา) ถึงแผลจะหายแล้วแต่ยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง
‘งั้นรอสักครู่นะครับ’ แล้วอาร์ไบน์ก็เงียบไป
ผมกดจั๊กแร่กตรวจสอบว่าคนอื่นๆ อยู่ที่ไหนกันบ้าง สองคนยังอยู่ที่ลานกว้าง สามคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ คนหนึ่งมาใกล้มากแล้ว อีกสองคนตามมาอยู่ไกลๆ
“บลัด หลบก่อน” ร่างชุดแดงหยุดทำความสะอาดพื้น และหลบขึ้นไปด้านบนของเสา
“แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่มั่นสั่งทันทีด้วยวะ” บลัดบ่นอุบอิบ แต่ผมพอได้ยิน
เสียงฝีเท้าวิ่งใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ถึงแล้ว! โนสนั่นเอง ผมกระเซอะกระเซิงด้วยแรงลม หายใจหอบเล็กน้อย
“ไม่เป็นอะไรนะ?” เธอถาม มองดูสภาพทางด้านหลังผม ทั้งเสาและทางเดินต่างสะอาด เรียบร้อย ไร้รอยขีดข่วน มีมังกรสีเขียวหมอบหมดสภาพอยู่
“ไม่เชิงนักหรอก แต่ว่าน่าจะเรียบร้อยแล้วนะ”
‘เรียบร้อยอะไรกันน่ะครับ สุดยอดไปเลยต่างหาก’ อาร์ไบน์ร่วมวงสนทนาฝั่งเดียว (ทำให้ผมนึกถึงเวลาแช๊ตแล้วมีคนมาคอยดูอยู่ข้างๆ)
“ก็ที่จริง มีผิดแผนนิดหน่อย” ผมพูดออกมาให้ทั้งสองได้ยิน “ที่จริงตั้งใจจะตรึงไว้กับช่วงเสาเฉยๆ แต่อย่างว่าละนะ อะไรๆ ก็ไม่ค่อยเป็นไปตามคาดนักหรอก” นึกแล้วเสียดายลูกกระสุนหนึ่งนัดที่ยิงทดสอบเสา
‘มิน่าล่ะ’ ใช่แล้วอาร์ไบน์ แต่ถ้าอย่างนี้จะเอาของกินมาให้ได้อย่างไร จู่ๆ อาร์ไบน์ก็โผล่มาโดยไม่ได้บอกผมก่อน ของกินเต็มวงแขน
“เฮ้ย!” แย่แน่ หมดกัน
‘สำหรับโนสคงไม่เป็นไรมั้งครับ’ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ
“เอ๊ะ! นี่นายแอบตามมาด้วยเหรอเนี่ย” ดูท่าทางจะไม่เป็นไรจริงๆ นั่นล่ะ
จั๊กแร่กของอาร์ไบน์ฉายอักษรโฮโลแกรมออกมา “ครับ ขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอก แต่ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะครับ” แล้วอาร์ไบน์ก็ยื่นของกินให้ผมหยิบ ผมหยิบของที่ดูเหมือนไส้กรอกสีเหลือง ผมไม้สีแดงเหมือนแก้วขนาดเท่าส้ม และหญ้าสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือ (ผมเคยเห็นมันขึ้นรอบๆ บึงท้ายหมู่บ้าน)
“ได้สิ ไม่บอกใครหรอก” โนสหันไปดูข้างหลัง ยังไม่มีใครมา ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใครระหว่างนั้น อาร์ไบน์ก็หนีหลบไปแล้ว “อ้าว! หายไปไหนแล้ว”
“หลบไปแล้วล่ะ คงไม่อยากขัดคอ” ผมแซวเธอ แต่ว่า “โอ๊ก!” เธอต่อยเข้าบริเวณที่เคยมีแผลกรงเล็บมังกร
“หัดซีเรียสซะบ้างสิ” เธอพูดออกน้ำเสียงเชิงโวยวาย ดวงตาสีฟ้าจ้องผมเขม็ง “ไอ้นิสัยอย่างนี้จะทำให้นายตายไม่รู้ตัวนะ” เธอพูดเสร็จก็หยุดไปพักหนึ่ง น้ำตารื้นเล็กน้อย “ก็ดีแล้วที่ยังไม่ตาย ไม่งั้นนายจะทำให้ฉันรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต” โทษกันเสียอย่างนั้นเลยนะคุณพี่สาว แต่ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่า
“จำเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้นได้ด้วยเหรอ” ผมยังจำความรู้สึกได้ดีตอนที่ร่างถูกกระหน่ำด้วยเหล็กแหลมคม โนสพยักหน้า
“ใช่จำได้หมดทุกรายละเอียดเลยล่ะ” เธอก้มหน้า หลบตา “ขอโทษนะ” เสียงอ่อยขัดกับนิสัยปรกติของเธอโดยสิ้นเชิง
“ไม่ยกโทษให้” ผมพูดเสียงฉุนๆ “เธอต้องชดใช้ด้วย” ผมจะได้สิ่งที่ผมต้องการอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“นี่ฉันขอโทษดีๆ แล้วนะ” เธอเริ่มพูดเสียงขุ่นมาบ้าง “จะให้ฉันทำยังไงอีก” ดวงตาสีฟ้าแข็งกร้าวด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว หน้าเริ่มแดง
“เอาเป็นว่าพาผมไปเลี้ยงอาหารอร่อยๆ ไถ่โทษละกัน” ไม่มีอะไรอร่อยเท่าอาหารฟรีจริงไหม
โนสนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งหน้าแดงมากขึ้น แล้วตอบว่า “ได้!” ผมว่าหลายๆ คนคงคิดไปไหนต่อไหนไกลแล้ว รวมทั้งโนสด้วย
เอาล่ะ ในเมื่อจัดการปัญหาเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลากินสักที ผมยัดอาหารทุกอย่างเข้าไปในปากอย่างไม่อายเทวดาฟ้าดิน
ผมแลบลิ้นเกี่ยวหญ้าสีม่วงที่ถืออยู่เข้าไปในปาก ยัดผลไม้สีแดงเท่าที่ยัดเข้าไปได้ และกัดคำโตเท่าที่จะกัดได้ ไม่นานนัก ผลไม้ขนาดส้มลูกหนึ่งก็หายลงกระเพาะผมไป และตอนนี้มาถึงแท่งสีเหลือง ผมเริ่มยื่นมันเข้าไปในปาก ทุกอย่างอร่อยมากจริงๆ แต่ไร้ค่าเมื่อเจอกับความหิวมหาศาล ทุกอย่างเข้าไปในปากแล้วโดยมีมือผมเป็นจุกก๊อกปิดไว้ และด้วยท่วงท่าอันสง่าของราชาตะกละนั้นเอง
“ตึง!” ผมลงไปนั่งอยู่ที่พื้น
“อุ้ก!” ผมกัดลิ้นตัวเองเข้าอย่างจัง อาหารแท่งๆ สีเหลืองเข้าไปปิดหลอดลม “อึดอัด”
‘ตายแบบนี้ไม่เท่ห์นะครับ’ อาร์ไบน์แซวมาจากที่ไกลๆ
“แง้! คิด นึกว่าตายซะแล้ว” เอียร์นั่นเอง เธอพุ่งเข้ามาเหมือนเดิม แขนทั้งสองข้างรัดคอผม ตอนนี้ตาผมเริ่มเหลือกแล้ว โนสพยายามแกะเอียร์ออกให้
“โอ้โห! นี่ฝีมือฮีโร่หรือเนี่ย สุดยอด” บูลตบเข้าที่หลังผมหนึ่งที ทุกอย่างที่ติดพันอยู่ด้านใน ตอนนี้ทะลักมาอยู่ในปาก (และมีล้นออกมานิดหนึ่ง) เอียร์ผงะออกมาทันที และหัวเราะแฮะๆ
“ฮืด! ฮ่า! นึกว่าจะตายจริงๆ เสียแล้ว” อากาศนี่เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ (เราไม่ค่อยรู้ถึงความสำคัญของสิ่งต่างๆ จนกระทั่งเราเสียมันไป)
“นายเก่งขนาดนี้เลยหรือเนี่ย เสียดายที่ผมไม่ได้โชว์ฝีมือใช้เสาหินอ่อนล้มมังกรให้ดู” แต่ผมจำได้นา ว่าเฮีย (พี่ชาย) โดนมังกรล้มมาแล้ว
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ คนอื่นๆ รออยู่” โนสพูดและเดินนำออกไปก่อน
“แล้วจะไปกันอย่างไรล่ะ คุณโนสขา ยังไม่มีทางเลยไม่ใช่หรือคะ” ผมนึกแซวในใจ ไอ้การเป็นผู้นำมันก็ดีอยู่หรอก แต่อย่างนี้เหมือนไม่ได้คิดอะไรมากกว่านา
ทุกคนเริ่มเดินกลับไปรวมกลุ่ม ผมกดจั๊กแร่กเรียกคำสั่งใหม่อยู่ ขณะที่ทุกคนหันหลังกลับนั้น มังกรก็ลุกขึ้น และพุ่งเข้าหาเราจากทางด้านหลัง ผมรู้สึกถึงจิตสังหารอันรุนแรง
ผมหันกลับ ชักปืน ยิงปืนไปที่หัวของมันสี่นัด หัวเขียวสะบัด เขาหัก “ไม่ต้องให้ถึงมือนายหรอก” ผมพูดกับเจ้าของจิตสังหารที่แผ่ออกมา มือขวาผมควงปืนสามรอบ หันกลับมา และเก็บปืนเข้าที่ “ปิดฉากอย่างสวยงาม”
“ตึง!” และมังกรลงไปนอนบนพื้นอีกครั้งหนึ่ง
“แล้วบลัดจะตามไปยังไงเนี่ย?” ผมกังวลเล็กน้อย “เอาน่า คงมีวิธีของเขาล่ะมั้ง” เสียงเหมือนฝุ่นทรายกระทบพื้นดังอยู่ข้างหลัง
“ซ่า!” ร่างของมังกรสลายเป็นละอองสีเขียวชินเล็กชิ้นน้อย
ผมตกใจ ไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ “เฮ้ย! เรากดสรรพคุณสลบไม่ใช่หรือ?”
‘รู้สึกว่าจะไม่ใช่ของจริงนะครับ’ เสียงอาร์ไบน์ดังอยู่ในหัว
“ค่อยยังชั่ว” ใจผมชื้นขึ้นมาทันที และในฝุ่นทรายสีเขียว มีบางอย่างเปล่งแสง ทอประกายระยิบระยับออกมา วัตถุทรงเหลี่ยมสีรุ้งลอยอยู่ในอากาศ ผมเดินไปหาแสงสว่างเจิดจรัสนั้น ชูมือขึ้นไปใกล้ๆ มันลอยลงมาอยู่บนมือผม ผมสัมผัสได้ทั้งความร้อนและความเย็น รูปร่างเปลี่ยนไปเป็นทรงกลม มีแสงสว่าง และความมืดทึบสลับกันไป
“หยินหยางเป็นกุญแจสู่ทางต่อไปงั้นหรือ”
บทที่ 23 หลุด
พวกเราเดินไปทางลานกว้าง ผมถือสิ่งนั้นอยู่ในมือ ความรู้สึกประหลาดๆ บางอย่าง ผมเหมือนจะนึกเรื่องบางอย่างออก แต่ก็ลืมไปในทันที เป็นเช่นนี้ตลอดเวลานับตั้งแต่ได้ของชิ้นนี้จากมังกรมา
“นี่ ไหวหรือเปล่า” โนสซึ่งอยู่หัวแถวหันกลับมาถามผมซึ่งรั้งท้าย
“ไหวๆ ไม่เป็นไร” อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับผมทำให้ผมเดินช้าลงไปมาก ที่สำคัญมันทำให้ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวหน่อยๆ แล้ว
“แต่ก็น่าแปลกนะ ที่นายปราบมังกรได้โดยไม่มีแผลแม้แต่นิดเดียว” บูลซึ่งอยู่ถัดจากโนสหันมาพูดบ้าง ผมไม่ได้ตอบกลับอะไร น้องสาวผมน้ำตาลคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ
“ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงนะ ผมรักตายเลย” ก็ได้เพียงคิดในใจ
‘บลัดแฝงตัวเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกังวลนะครับ’ คนนี้ก็ดูตามติดสถานการณ์ดีเชียว
ทางเดินสลับซับซ้อน และวกวน ยังดีที่มีจมูกสุนัขคอยนำทางให้
“จะว่าไปนะบูล ไปไงมาไงถึงมาเจอมังกรเนี่ย” ผมสังเกตอาการสะดุ้งเล็กน้อย
“อยู่ๆ ก็โผล่มา” บูลหันมาพูด ทำหน้าบ้องแบ๊ว ผมว่าต้องเป็นฝีมือบูลแน่นอน
“ฮิๆ รู้แต่ว่ามีคนชอบไปจุ้นจ้านกับของชาวบ้าน ก็เลยได้เรื่อง” เอียร์ซึ่งกอดแขน ผมอยู่ พูดขึ้นมาลอยๆ
“เออ เผากันเข้าไป ซบกันเข้าไป ถ้าหล่ออย่ามาง้อแล้วกัน” พูดแล้วผมก็นึกขึ้นได้ ถึงไอ้ความหล่อไม่หล่อในสายตาผม ถ้าถามว่าหน้าตาบูลเลวร้ายไหม ผมว่าธรรมดา ผมมองผู้ชายแล้วก็คิดว่า ไม่ถึงกับมีหน้าตาที่ผมรับไม่ได้ ถ้าเป็นผู้หญิงเลือกแฟน คงไม่ลำบากเท่าผู้ชายเลือกแฟน เพราะผู้หญิงบางคน ผมว่าดูไม่ได้ เพราะเธอหน้าไม่ธรรมดา
ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เราทั้งหมดก็เดินมาถึงลานกว้าง
“จริงสิ แล้วของชาวบ้านที่ว่าเนี่ย ไปเจออะไรมาเหรอ” ผมถามเอียร์ ซึ่งน่าจะช่างสังเกตกว่า
เธอปล่อยแขนผม และเริ่มทำท่าทำทางประกอบการเล่าเรื่อง “เราแยกกันเดินทางซ้ายและขวา จนมาเจอกันที่ห้องๆ หนึ่ง” เธอวาดมือทั้งสองข้างเป็นวงกลม “ห้องเป็นวงกลม มีพื้นที่มองไม่เห็น ภายในห้องนั้นเราสามารถมองลงเห็นพื้นน้ำเลย” เธอยกมือขวา ทำท่าเหมือนมีอะไรบางอย่างในอุ้งมือ “แล้วตรงกลางห้องก็มีแทนเป็นกรวยก้นหอยอยู่ ปลายทั้งสองข้างมาบรรจบอยู่วัตถุทรงรี ในนั้นมีผลึกคริสตัลที่ส่องแสงสีทอง” ผมนึกภาพตาม “ที่แปลกที่สุดคือ ทรงรีนั้นมันเหมือนวุ้นเลย เราเอามือผ่านเข้าไปข้างในได้ มันหยุ่นๆ นุ่มๆ เย็น แล้วพอเอามือออก มันก็กลับเป็นเหมือนเดิม”
“หยิบคริสตัลออกมาเหรอ” ผมถามต่อ สายตามองไปทางโอลแมน และเซนส์ เท้ายังเดินไม่หยุด เอียร์พยักหน้า ผมสีน้ำตาลไหวปรกหน้า “แล้วอยู่ไหนล่ะ” เอียร์ปัดผม แล้วมองไปทางบูล
“เขาบอกว่าไม่ให้พูด”
“อืม อยู่มานานขนาดนี้ยังงกอีกเหรอเนี่ย” ได้แต่นึกแล้วรู้สึก “เฮ้อ!” ขณะที่ผมจะหันไปหาโอลแมนผมก็นึกได้ว่ายังไม่ได้ถาม “แล้วมังกรมาจากไหนเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ พอหยิบคริสตัลแล้วมันก็มาจากไหนไม่รู้” อยู่ๆ ก็โผล่มาแบบที่บูลพูดหรือ
ผมเห็นโอลแมนอยู่คนเดียว เขายังคงใช้เครื่องมือไฮเทคของตัวเองสำรวจลานกว้างอยู่ (ผมว่าไอ้อุปกรณ์ที่ข้อมือของโอลแมนน่ะ มันคงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ) ผมมองไปรอบๆ ลานกว้าง และเดินเข้าไปหาโอลแมน
“เซนส์ไปไหนล่ะ” อุปกรณ์ที่ข้อมือฉายภาพโฮโลแกรมของลานกว้างอยู่
“เห็นว่าจะออกไปสำรวจรอบนอกอีกหน่อย” โอลแมนเงยหน้าขึ้นมาจากภาพโฮโลแกรม “อ้าว! มาพอดีเลย” ชายในชุดดำเดินตัดกับพื้นหินอ่อนสีขาว มีเพียงเสียงก้าวเท้า เหมือนตัวละครเอกก้าวขึ้นเวทีในโรงละคร ผมสีดำสั้น ดวงตาสีดำที่ให้ความรู้สึกว่ามองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ไร้ความยินดียินร้ายใดๆ
บูลเขยิบเข้ามาใกล้ผม “หมอนี่เป็นตัวอันตรายชัดๆ”
“อย่าตัดสินคนอื่นจากภายนอก พาดาวันหนุ่ม” ผมบอกบูล
“พาดาอะไรนะ?” บูลถามกลับ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เปล่าหรอก อย่าสนใจเลย” มีใครไม่รู้จักเรื่องสตาร์วอร์ไหมครับ
“เจอเรื่องอะไรบ้างไหม” โอลแมนถามเซนส์
“เหมือนเดิม” โอลแมนถอนหายใจ แล้วหันมาถามคนอื่นๆ ที่เหลือ
“นอกจากทางเดิน เสาหิน แล้วลานกว้าง มีใครเจออะไรอีกไหมครับ” บูลส่ายหัวทันทีทันใด โนสก็เช่นกัน ผมยังไม่แน่ใจว่าจะตอบว่าอะไรดี ส่วนเอียร์ดูลังเลที่จะตอบ
“สองคนเหรอ เจออะไรบ้างครับ” เอียร์อึกอัก ผมจึงชิงตอบก่อน
“มังกรไง เมื่อตะกี้ที่มันไล่กวดเรา เราหนีไปหนีมาจนไปถึงห้องๆ หนึ่ง แล้วเราก็พบสิ่งนี้อยู่ตรงแท่นกลางห้อง เรารอจนมังกรผ่านไปจึงกลับมาที่นี่” แล้วผมก็ชูวัตถุทรงกลมมันสองแสงแวววับสลับกับทึบแสง เหมือนแสงสว่างหมุนไปในทรงกลมเรื่อยๆ พร้อมๆ กับความมืด “มันน่าจะใช้อะไรได้บ้างนะ ถ้าโชคดี อาจถึงขั้นลงไปข่างล่างเลยก็ได้”
“งั้นก็คงต้องลองดูสินะครับ เชิญเลยคิด” โอลแมนผายมือให้ผม
หมายความว่าให้ผมเป็นคนจัดการสินะ แต่ที่จริงผมยังไม่รู้เลยว่าจะใช้ได้หรือเปล่า ไม่เช่นนั้น การเดินทางอาจจะจบลงแค่ตรงนี้ และที่เราทำมาทั้งหมดก็จะศูนย์เปล่า
‘ไม่เป็นไรหรอกครับ เชื่อความรู้สึกของคุณ และทางจะเปิดขึ้นเอง’ นั่นสินะอาร์ไบน์ ยังไงมันก็ต้องลองดูเท่านั้นล่ะ
“ขอบใจนะเด็กเขียว” ผมส่งโทรจิตกลับไป
‘
’ เงียบ
ผมเดินไปตรงจุดกึ่งกลางของลานกว้าง ชูวัตถุทรงกลมขึ้น ทันใดนั้นลักษณะของมันก็เปลี่ยนไป มันแบ่งออกเป็นสีน้ำเงินและสีแดงอย่างละข้าง เป็นทรงกลมที่มีสัญลักษณ์หยินหยาง แสงสีน้ำเงิน และแสงสีแดงส่องสว่างไปทั่ว พื้นสั่นสะเทือน รอบพื้นที่ผมยืนอยู่มีลำแสงพุ่งขึ้นมาจากพื้น จากจุดค่อยๆ กลายเป็นเส้น และเป็นวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบเมตร มีสัญลักษณ์ที่ไม่เคยพบเห็นปรากฏขึ้นเป็นมากมายภายในวงกลม ด้านบนที่ว่างเปล่า ปรากฏเครื่องยนต์แปลกๆ โผล่ออกมา มันเคลื่อนที่ลงมาเรื่อยๆ ที่พื้นแท่นโลหะทรงกลมผุดขึ้นมาจากใต้เท้าผม ตรงกลางมีแท่นกรวยตัด ปลายกรวยมีช่องขนาดเท่ากับหยินหยางที่ผมถืออยู่ ผมค่อยๆ วางมันลงไป ทรงกลมหยินหยางลอยอยู่บนปลายกรวยนั้น แสงสีน้ำเงิน และแดงค่อยๆ จางลง เครื่องจักรที่อยู่เหนือหัวพวกเราส่งเสียงสูง ไพเราะเหมือนเสียงดนตรี แสงสีเขียวเรืองรองระยิบระยับอยู่ตามอุปกรณฯต่างๆ ที่อยู่ด้านบน จะให้พูดว่าอย่างไรดี เหมือนพวกเครื่องจักรในอนาคตที่เห็นในการ์ตูนไม่มีผิด ไม่ปราณีต ไม่สวยงาม แต่ให้ความรู้สึกเปี่ยมไปด้วยปัญหาของผู้ที่รังสรรมันขึ้นมา แท่งโลหะสีเงิน สีดำ สีน้ำเงินนับไม่ถ้วนยื่นลงมาจากข้างบน ปลายของทั้งหมดชี้มายังที่ว่างที่อยู่ในอากาศ ผมเห็นแสงเล็กๆ อยู่ตรงที่ว่างนั้น เล็กเหมือนหึงห้อย แต่เป็นแสงสีฟ้าอ่อน มันค่อยๆ โตขึ้น และกลายเป็นรูปร่างขึ้นมาในที่สุด ทรงกลมสีฟ้าโปร่งแสงขนาดพอๆ กับสองกำปั้นของผม ภายในนั้นมีทรงกลมซ้อนอยู่อีก แต่ละชั้นต่างมีลวดลายไม่เหมือนกัน และลวดลายเคลื่อนไหวไปมาในแต่ละวงนั้น วงกลมซ้อนกันไปเรื่อยๆ ไปจนถึงแกนใน
“แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง” ทำไมผมถึงรู้จักมันได้ ตอนนี้มันอยู่เหนือหัวผม ผมมองไปรอบๆ ห้อง อยู่ตรงจุดตัดกึ่งกลาง และรอบฐานวงกลมทุกด้านทำมุมกับพื้นสี่สิบห้าองศา
ทรงกลมค่อยๆ ลอยลงมา ผมเงยหน้ามองมัน รู้สึกเหมือนได้พบกับคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงลม ความรู้สึก และความนึกคิดของสายลม สายน้ำ ไฟ อากาศ สุญญากาศ โลก และดวงดาว
‘ระวัง!’ เสียงอาร์ไบน์เรียกสติผมกลับมา เหงื่อแตก ตั่วสั้นขาสั่นไปหมด
“อะไรกัน?” ร่างกายทั้งหมดของผมเหมือนมีชีวิตของมันเอง มันกำลังหวาดกลัวบางอย่าง
ในขณะที่จิตใจผมไม่รู้สึกถึงความผิดปรกติแต่อย่างใด “เกิดอะไรขึ้น?” คำถามที่ถามตัวเอง แต่ไม่ได้คำตอบอะไร ร่างผมทรุดลงไปกับพื้น ยืนไม่อยู่ น้ำตาไหลออกมา
ผมมองไปรอบๆ ห้อง แต่ว่า ผมกลับเห็นร่างของตัวเอง ดูจากท่าทางโนสกับเอียร์กำลังตะโกนอะไรบางอย่างอยู่รอบๆ ตัวผม เซนส์เดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนปรกติ โอลแมนจับตัวผมเขย่า บูลยืนค้างอยู่กับที่
“นี่มัน” เพียงความคิด ผมก็ได้ยินเสียงตัวเองเหมือนเปล่างคำพูดออกมา
“สวัสดี” แลนปรากฏตัวอยู่ข้างหลังผม แลนคนที่ผมตามมาจนถึงที่นี่ ผมมองเห็นชัดเจน แม้ไม่ได้หันไปข้างหลัง “มาทำอะไรที่นี่หรือ” ร่างนั้นมีผิวสีฟ้า ริมฝีปากสีเขียวมรกต ดวงตาสีน้ำเงินไพลิน ผมสีทอง ร่างโปร่งแสง
“มาไขความลับดำมืดน่ะ?” ผมตอบกลับไป ไม่รู้สึกกลัว หรือระแวงอะไรทั้งนั้น
“แล้วรู้หรือยัง?” เราสื่อสารกันโดยไม่มีใครขยับริมฝีปาก
“ยังเลย คุณเคยอยู่ที่นี่เหรอ”
“ไม่ใช่แค่เคยหรอก แต่ยังคงเฝ้าอยู่ต่างหาก” ผมเห็นร่างนั้นหันหน้ามาทางผม แล้วผมกำลังหันหน้า หรือหันหลังอยู่กันแน่
“ไม่ได้หันไปไหนทั้งนั้นล่ะ จิตไร้ตัวตน ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง” ผมลองจะดูแขน และร่างกายตัวเอง ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น ถ้าผมหยุดคิด ผมจะหายไปเลยหรือเปล่านะ
“มีสิทธิ์”
“ผมต้องทำยังไง” ร่างนั้นตอบกลับมาว่า
“ทำไม นี่คืออิสระ จะเข้าที่ไหน ออกที่ไหน รวมกับสิ่งใด สามารถเข้าใจ และสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลา พลังงาน หรืออะไรก็ตาม เป็นสถานะอันแสนวิเศษ อยากกลับไปอยู่ในร่างไร้อิสระอย่างนั้นอีกหรือ” ฟังแล้วมันเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดจริงๆ นั่นล่ะ แต่ว่า
“ไม่ถูกจำกัดเลยก็มากเกินไปนะสิ”
“อืมเข้าใจล่ะ งั้นค่อยพบกันใหม่นะ”
บทที่ 24 อีกหนึ่งความประทับใจ
ผมลืมตาขึ้น รู้สึกทุกส่วนของร่างกายมันหนักไปหมด เคลื่อนไหวลำบาก แม้กระทั่งการหายใจก็ตาม
“เป็นอะไรไหมคิด” โอลแมนที่ประคองร่างผมอยู่ถามขึ้น
“ไม่เป็นไร” ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องใช้พลังมาก กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้ “เหนื่อย”
เมื่อเห็นผมโต้ตอบได้ โอลแมนจึงฝากผมให้กับโนสต่อ และหันไปคุยกับเซนต์
“หวังว่าคงจะได้สิ่งที่เราต้องการนะ” โอลแมนพูด ตามองแก่นแท้แห่งสรรพสิ่งที่อยู่ในมือเซนส์
“และคำตอบสุดท้ายสำหรับการเดินทางครั้งนี้” เซนส์ตอบกลับ เป็นบทสนทนาที่ชวนให้กังวลจริงๆ โชคดีที่ในเวลาไม่นาน ร่างกายของผมกลับสู่สภาวะปรกติ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันดีกว่าปกติด้วยหน่อยหนึ่ง ผมรู้สึกร่างกายเบาขึ้น และแข็งแรงขึ้นขนาดที่รู้สึกว่าผมในตอนนี้ สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ง่ายๆ หากไม่นับพวกกีฬาน้ำหนักทั้งหลาย (ยกน้ำหนัก ขว้างจักร เหวี่ยงลูกตุ้ม ฯลฯ)
“นายไหวแน่นะ” โนสซึ่งกำลังพยุงร่างผมอยู่ถาม (ถึงผมจะรู้สึกแข็งแรงขนาดไหนก็ตาม ผมไม่อยากทำให้ดูเป็นสิ่งผิดปกติ ผมจึงเลือกที่จะเป็นคนป่วยค่อยๆ ฟื้นดีกว่า)
“ไหวๆ” ทันทีที่ผมตอบ เธอก็ปล่อยมือจากผม ผมล้มลงกับพื้นเนื่องจากไม่ทันตั้งตัว “นี่ ทำอย่างนี้กับคนป่วยเรอะ”
“ก็บอกว่าไหวนี่นา แล้วตอนนี้ก็ดูหายดีแล้วนี่ ขนาดเถียงได้ทันทีทันใด” โนสทำท่าเชิดแล้วยิ้มนิดๆ
‘อืม! ไม่ว่าที่ไหนผู้ชายก็รับมือผู้หญิงยากจริง’ น่าแปลกที่อาร์ไบน์ไม่ถามถึงช่วงที่ผมหมดสติเมื่อกี้ และไม่ทันที่ผมจะลุกขึ้นจากพื้น เซนส์ก็ยื่นแก่นแท้แห่งสรรพสิ่งมาให้ผม
“รับไปสิ” สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างที่แทบระงับไม่อยู่ไว้
ผมรับแก่นแท้ และลุกขึ้น ทั่วร่างของผมสั่นอีกครั้ง แต่มันน้อยกว่าครั้งแรก ผมถือมันด้วยความรู้สึกระวังมากกว่าเดิม ผมเดินมาที่แกนกลางห้อง ค่อยๆ ยื่นแก่นแท้ฯไปสัมผัสกับทรงกลมหยินหยาง เมื่อทั้งสองสิ่งสัมผัสกัน
“ฟู่ว” เสียงแรงดันสูงของลมดันวัตถุบางอย่างออก ร่างกายผมหนักอึ้ง ผมจะจิตหลุดอีกแล้วหรือ ทันใดนั้น เพดานเครื่องจักรค่อยๆ ห่างพวกเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่นั้น ทางเดินยังเลื่อนสูงขึ้นด้วย ความเร็วเพิ่มขึ้นๆ จนในที่สุดผมก็รู้ว่า
“เรากำลังตก” โอลแมนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท้องฟ้าสดใส ดวงอาทิตย์สาดแสง นกบินในท้องฟ้า ลมพัดผ่านขอบลานกว้างด้วยความเร็ว เสียงก้องกังวานเพราะสะท้อนกับพื้นราบเรียบของหินอ่อน สองถึงสามคนเริ่มตื่นตระหนก แต่ไม่ถึงกับวิ่งเล่นไปไหนมาไหนบนลานกว้าง แค่โวยวายโหวกเหวกเท่านั้น
ในที่สุดทุกอย่างก็สงบ เรายังคงกำลังตกอยู่ คนอื่นๆ เปลี่ยนมากังวลว่าเมื่อไรจะถึงพื้นสักที
“ทุกอย่างน่าจะอยู่ในการควบคุมนะ” ที่ผมคิดเช่นนี้เพราะว่าขณะที่เรากำลังลงมาด้วยความเร็วสูงนั้น ลานกว้างไม่เอียง หรือแกว่งแม้แต่น้อย ซึ่งการที่เป็นเช่นนี้ มันขัดกับหลักทางฟิสิกส์
ระหว่างขาลง มีเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งเข้ามาใกล้ และจู่ๆ เครื่องบินก็มีแสงเขียวนวลรอบตัวเครื่อง มีบางอย่างคล้ายๆ หมอกมาล้อมไว้ เครื่องบินหายไปต่อหน้าเรา และปรากฏขึ้นอีกครั้ง และหายไปตลอดกาล
“ไม่น่าจะเป็นกับพวกเรามั่งหรอกนะ” บูลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดๆ
ผมเริ่มเดินไปดูรอบๆ และเดินไปริมๆ แรงลมมหาศาลดันเข้ามา
“ถ้าทะเล่อทะล่าเข้าไปมีหวังได้ปลิวไปไหนต่อไหนแน่” เซนส์เดินมาบอกผมจากข้างหลัง
“เรื่องนั้นผมก็พอรู้อยู่” เป็นห่วงผมด้วย “ดูคุณไม่ตื่นเต้นกับการเดินทางเลยนะ หรือที่จริงแล้วกำลังภาวนาบางอย่างอยู่จนตัวสั่นล่ะ” ผมลองพูดเพื่อดูเชิง
“ฮึๆ เอาเถอะ เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง ไอ้หนู” จากนั้นเซนส์ก็เดินไปทางกลางลานกว้าง “อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง” เซนส์พูดแล้วหันกลับมา ชี้นิ้วมาทางผม “ระวังตัวไว้ให้ดีล่ะ” พูดจบก็หันหลังเดินกลับไป
คนอื่นๆ เริ่มไปทัศนาจรรอบๆ ลานกว้างแล้ว บางยืนเสียริมขอบ บ้างก็กระโดดเพื่อมองดูวิว มีเพียงคนแก่รูปร่างอายุสิบห้าปีที่ยืนมองท้องฟ้าและทะเล อย่างสงบ สายตาเหม่อมองไกลสุดขอบฟ้า คงกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่
“เดี๋ยวนะ ทะเลเรอะ” ทันทีที่ผมหันออกไปยังริมลานกว้าง
“ตูม!” ม่านน้ำสูงเหนือหัวโผล่ขึ้นมา แสงลอดผ่านระยิบระยับ
“สวยจัง” ม่านน้ำที่สูงขึ้นไปเริ่มพลิกตัวกลับลงมา ผมหันหลังกลับ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นถี่ๆ ดังขึ้นจากหลายทิศหลายทาง
“ไม่มีอะไรกั้นไว้หรือไงวะ” เสียงบูลตะโกนดังลั่นพร้อมกับหน้าบูดเบี้ยว และท่าวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เซนส์ และโอลแมนยืนมองสถานการณ์รอบข้างอยู่ตรงกลาง ทั้งคู่สนทนาอะไรบางอย่างด้วยอาการสบายๆ โนสวิ่งโดยแบกสาวน้อยผมน้ำตาลไว้บนหลัง ถึงแม้จะอุ้มคนอยู่แต่ความเร็วยังเร็วเหลือเชื่อ
“ซ่า!” น้ำเริ่มไหลเข้ามาบนลานกว้าง ผมวิ่งไปและนึกเสียดายที่ไม่มีกล้องถ่ายรูป หรือวีดีโอบันทึกภาพ ผมไม่เคยเห็นม่านน้ำใหญ่ยักษ์แบบนี้มาก่อน ยามที่น้ำทั้งหมดล้อมเราจนเหมือนอยู่ใต้โดมใสขนาดยักษ์นั้น มันรู้สึกเต็มตื้นพอๆ กับดูดาวจากเครื่องบินในเวลากลางคืนทีเดียว
ผมวิ่งมาถึงตรงกลางภายในวงกลมที่พื้น มือผมกำแก่นแท้แน่นฯ ทุกคนมาทันก่อนน้ำท่วมหมดพอดี
ถ้าตอนนี้อยากได้ปาฎิหาริย์จากคำภีร์ไบเบิ้ลตอนไหน ผมขอเป็นตอนโมเสสแหวกแม่น้ำไนล์ละกัน
“ผมว่าเราทุกคนต้องกระโดด” บูลพูดเสียงดังแข่งกับเสียงน้ำที่ไหลบ่ามาอย่างรวดเร็ว
“ทำไม?” โนสถาม
“เราจะได้ไม่จมน้ำตาย หรือโดนน้ำวนดูดลงไป” บูลตอบ
“แล้วจะลงไปข้างล่างได้ยังไง? แล้วอีกอย่างหนึ่งนะคุณบูล เราเป็นอมตะมิใช่หรือ?” โอลแมนตอบ ท่าทางว่าเขาคงลืมไปแล้วว่าผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
“ปล่อยวาง” เซนส์เสริม และส่วนตัวผมคิดไว้ว่า คงมีบางอย่างที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโผล่มาเอง (การเดินทางครั้งนี้คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ)
บทที่ 25 ใต้ทะเลหลายหมื่นโยชน์
ไม่รู้เป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ยินบูลบ่น หรือเพราะมันมีอยู่แล้ว ทันทีที่น้ำสัมผัสกับวงกลมรัศมีสิบเมตร น้ำทะเลก็หยุดเพียงแค่เส้นแบ่งนั้น น้ำค่อยๆ ท่วมขึ้นๆ จนในที่สุด มันก็ท่วมจนเสมอกับผิวน้ำทะเลด้านบน เราลงมาใต้น้ำ ยังอยู่ในระยะที่แสงส่องถึงอยู่
ตอนนี้เรามาดูวิวในทะเลกันแทน ฝูงปลายว่ายน้ำเล่น ปะการังที่อยู่ไกลๆ ซากปรักหักพังของอาคารรูปทรงแปลกๆ (บริเวณนี้เหล่านักวิชาการคาดว่าเป็นอารยธรรมที่สูญหายของแอตแลนติส) ปลาบางตัวมาว่ายน้ำเหนือพื้นที่ลานกว้าง ว่ายมาใกล้ๆ พวกเราด้วยความสนใจ ความสวยงามและหลากสีสันเริ่มผ่านพ้นไป รอบข้างค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ เหลือเพียงแสงสว่างจากด้านบนซึ่งตอนนี้ก็อ่อนแรงลงเต็มที ผมลองยื่นมือช้าๆ ไปทางกำแพงที่มองไม่เห็น ผมสัมผัสกับน้ำ ผมค่อยๆ ออกแรงดัน
“แรงต้านจากแรงดันน้ำสูงมาก” ผมพูดขึ้นกับตัวเอง ความลึกระดับนี้คนไม่สามารถลงมาได้ มีแต่เพียงเรือดำน้ำเท่านั้น
“ไหนลองยื่นออกไปดูสิ” ว่าแล้วบูลก็ชกเข้าไปเต็มแรง
“ตุ๋ม!” ด้วยแรงอันมหาศาล หมัด และแขนขวาของบูลทะลุเข้าไปกำแพงน้ำ บูลนิ่งพักหนึ่ง
“อ๊าก!” ชายร่างโตชักมือกลับออกมาอย่างรวดเร็ว มือ และแขนกลายเป็นสีม่วงๆ แดงๆ น่าจะเป็นผมเพราะแรงดันมหาศาลของน้ำ “เจ็บเป็นบ้าเลย” บูลตัวงอกุมแขน และโวยวาย สบถคำมากมาย จบลงด้วยลงไปนั่งจุ้มปุ๊กกับพื้น
“สม” โนสมองบูลแล้วยิ้มๆ ส่วนเอียร์ดูมองแล้วอึ้งๆ เธอเดินเขาไปหาบูล
“เจ็บมากมั้ย” เธอคุกเข่าลง มองดูแขนขวาช้ำๆ
“อูย! เจ็บชะมัดเลย เลียแผลให้หน่อยสิ” ทันใดนั้น ขาเรียวๆ ในชุดบอนด์เตะเข้าไปที่ท้องของบูลอย่างแรง บูลตัวลอยออกจากพื้น ดวงตาเบิกกว้าง
โนสยกขาขวาขึ้นมาแล้วปัดๆ “เจ็บท้องแทน จะได้หายเจ็บมือ” คราวนี้ร่างโตตัวงอยิ่งกว่าเดิม โอลแมนปิดหน้าแล้วถอนหายใจ เซนส์มองดูแล้วก็มองไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอาล่ะ ฟังทางนี้หน่อย” บูลที่กำลังนอนคดอยู่ที่พื้นหันมามองโอลแมน พร้อมๆ กับคนอื่นๆ “เราลงมาใต้น้ำด้วยความเร่งไม่ต่างจากตอนที่ลงมาจากข้างบนเท่าไหร่นัก ซึ่งกว่าจะถึงจุดหมายอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง ตอนนี้พักผ่อนเติมพลังงานกันก่อน” เป็นคำแนะนำที่ดี ที่จริงร่างกายผมรู้สึกระบบไปหมด แม้จะรักษาทุกอย่างแล้ว แต่อาการเหนื่อย อาการล้าก็ยังคงปรากฏอยู่ แต่ตอนนี้จะหาของกินอะไรก็คงไม่ได้
‘ผมไม่รู้ว่าคุณรู้หรือเปล่า แต่จะบอกไว้ว่า พื้นที่คุณยืนอยู่นี่ มันมองทะลุลงไปข้างล่างได้นะครับ’ ผมก้มมองที่พื้นก็เป็นอย่างที่อาร์ไบน์ว่า ด้านล่างมีความลึกมืดมิดที่หยั่งไม่ถึง บางทีอาจจะไม่ใช่นานเป็นชั่วโมง อาจจะเป็นวันเลยก็ได้
โอลแมนหยิบแท่งโปรตีนออกมาจากช่องกระเป๋า ผมลองหยิบดูบ้างเผื่อจะมี และปรากฏว่ามีจริงๆ ทุกคนมีโปรตีนแท่งอยู่คนละแท่ง
“ไม่พอล่ะมั้ง” ผมกวาดสายตาไปในกลุ่ม เห็นได้ชัดว่ามีบูลคนหนึ่งล่ะที่รู้สึกไม่พอ
“แอนแอ๊น!” โนสส่งเสียงขึ้น พร้อมกับผลไม้หลากสีสัน
“เธอเอามาจากไหนน่ะ ขอฉันบ้างได้หรือเปล่า” บูลตาโต
“ก็หยิบมาจากหมู่บ้านนั่นล่ะ ต้องขอบคุณชุดไฮเทคของโอลแมนที่จะใส่อะไรก็ใส่ลงไปได้ง่ายๆ” ผมเห็นโอลแมนยิ้มนิดๆ รู้สึกว่าตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน ความสดชื่นและยิ้มแย้มในตอนแรกของเด็กชายหายไปหมด
ทุกคนนั่งล้อมวงกินอาหาร เหมือนมาปิกนิคใต้ทะเล ถ้าหากมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ กับมีเสื่อปูรองก็เยี่ยมไปเลย และผมก็นึกขึ้นมาได้ ผมหยิบผลไม้ และแก่นแท้ฯ เดินไปตรงกลางห้อง ลองค่อยๆ ปล่อยแก่นแท้ฯ มันลอยอยู่เหนือหยินหยาง ทันใดนั้นเอง ท้องทะเลที่มืดมิดก็ดูสว่างไสว (ไม่ว่าจะด้วยสายตาเรามองเห็น หรืออะไรก็แล้วแต่)
“โอ้! เจ๋งไปเลยเพื่อน” บูลพูดทั้งๆ ที่ผลไม้ยังอยู่เต็มปาก คนอื่นๆ ก็ดูตื่นตาตื่นใจดี โดยเฉพาะเอียร์
ผมนั่งลงพิงกรวยกลางห้อง กินผลไม้สีดำที่หยิบมา มันดำสนิทเหมือนนิลก็ไม่ปาน แต่ภายในผลของมันนั้นกลับเป็นสีแดงสด รสชาติคล้ายเลือด อาจเป็นเพราะมีส่วนประกอบของเหล็กมาก ผมมองไปในท้องทะเลอันเวิ้งว้างเบื้องล่าง แม้จะมองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เห็นก้นทะเลอยู่ดี แต่ตอนนี้ผมพอเห็นภูเขาใต้น้ำบ้าง กำแพงหินบ้าง เราคงกำลังอยู่ในบริเวณไหล่ทวีป จู่ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องสยองขึ้นมาจนได้
‘คุณคิด ผมมีเรื่องที่อยากอยากบอกคุณเพิ่มเติม’ อาร์ไบน์ดึงผมออกจากฝันร้าย
“คงไม่ใช่เรื่องที่ผมคิดอยู่นะ” เพราะถ้าเทียบกับฝันร้ายของผม เจอมังกรยังดีกว่ามาก
‘ตามตำนานจะมีบททดสอบอย่างสุดรอคุณอยู่อีก’
“ทำไงได้ล่ะ ยังไงก็คงได้แต่เข้าไปเท่านั้น
‘บางทีการถอนตัวอาจเป็นความคิดที่ดีกว่านะครับ’
“ขอบใจที่บอกนะ” มาขนาดนี้แล้วถ้ายอมกลับไปมือเปล่า คงเป็นเรื่องที่ผมคาใจไปตลอดชีวิต (หากว่าไม่ตายจากการเดินทางครั้งนี้เสียก่อน) แต่จะว่าไป ที่เราลงมาข้างล่าง ที่มีเกาะลอยฟ้าด้านบน ไม่มีใครสังเกตเลยหรือไร (ทำไมขาลงไม่มีเครื่องบินมาบินดูลาดเลา หรือมัวแต่ไปสนใจเครื่องบินที่หายไปอยู่) แล้วทันใดนั้น ฝันร้ายของผมก็ดึงผมกลับสู่ความจริงที่ต้องเผชิญ
บทที่ 26 อสูรกายน้ำลึก
“อืม! ตอนนี้เราอาจมาลึกสุดเท่าที่จะมีมนุษย์คนใดเคยมาถึงแล้วก็ได้นะ” โอลแมนตั้งข้อสังเกตจากปลาแองเกลอตัวเมียที่ว่ายผ่านมา ขนาดของมันเกือบเท่าบูลทีเดียว มันมองๆ พวกเราอยู่สักพักแล้วก็ว่ายจากไป สัญญาณไม่ดีเริ่มปรากฏแล้ว (อ้อ ผมลืมบอกปรกติเราจะเห็นปลาแองเกลอตัวเมียมาก เพราะตัวผู้จะเป็นปลาตัวเล็ก และคล้ายปรสิต มันจะหาตัวเมีย เกาะ ผสมพันธุ์ และรวมกันเป็นเนื้อเดียวของตัวเมีย ซึ่งดูเผินๆ จะเหมือนเนื้องอก)
ตัวผมเริ่มสั่นขึ้นมา หนึ่งเพราะรูปร่างปลาใต้ทะเลเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลัวหัวหด สองผมเชื่อว่าในทะเลลึกมีสัตว์ประหลาดที่ยิ่งกว่าตำนานอาศัยอยู่ (ซึ่งไม่แปลกเลยที่จะเจอพวกมันหลังจากที่เราเจอสิ่งมีชีวิตแปลกๆ และมังกรมาแล้ว)
ผมเริ่มเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ปลาไหลรูปร่างสยดสยองที่มีกรามเรียวบางแต่ฟันแต่ละซีกยากเกือบเท่ากราม ดวงตาโปนโต ปลารูปร่างบิดเบี้ยว บ้างก็เหมือนปีศาจปลาจากนรก และสุดท้ายตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนมหาศาล บางอย่างยื่นเข้ามาสู่พื้นที่ของลานกว้าง
ผมเคยได้ยินว่าวาฬบางชนิดสามารถดำน้ำได้ลึกมา และใต้น้ำลึกนั้นก็มีหมึกยักษ์ ซึ่งบางทีมันก็เป็นอาหารของวาฬ แต่บางครั้งวาฬก็เป็นอาหารเสียเอง ที่ผมเล่าให้ฟังเพราะบางอย่างที่มันกำลังเลื่อนเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อยๆ นั้นคือ หนวดที่มีปุ่มกลมๆ ขนาดยักษ์ ทุกคนลุกขึ้นทันที
หมึกหัวกลมขนาดยักษ์ค่อยๆ ขึ้นมาที่ลานกว้าง เป็นฝันร้ายที่ดี (เมื่อเทียบกับการเจอปลารูปร่างสยดสยองขนาดยักษ์) ผมที่อยู่ตรงแกนกลางจึงลองทำอะไรสักอย่าง ผมแตะแก่นแท้ฯ และจินตนาการสิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นในใจ เหมือนดังใจนึก ทันใดนั้นบริเวณรัศมีรอบสิบเมตรก็ค่อยๆ ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ จนสุดลานกว้าง เราเห็นหนวดนับสิบอย่างชัดเจน หนวดแต่ละเส้นใหญ่กว่าบูลสามคนรวมกันเสียอีก เอียร์วิ่งมาหลบหลังผม
“เฮ้ย! กินฉันไปก็ไม่อิ่มหรอก” บูลยืนจังก้าตะโกนกลับไป ดูจากท่าทางแล้ว คงจะจัดการกันได้เรียบร้อย
หมึกยักษ์มองด้วยลูกตาโต ขยับหนวดเข้ามาใกล้ บูลล้วงเข้าไปตรงต้นคอด้านหลัง (มีกระเป๋าอยู่ตรงนั้นด้วย) และเมื่อบูลเอามือออกมา ขวานยักษ์ที่ขนาดใหญ่เหมือนขวานสงครามสมัยโบราณ ไม่ใช่ มันใหญ่กว่าเสียอีก และด้ามจับอันยาวใหญ่เท่าบาร์เหล็ก
“จะเอาใช่มั้ย” หนวดยื่นเข้ามาใกล้บูล ทันใดนั้น
“ฉึก!” ด้วยความรวดเร็ว ขวานยักษ์ตัดหนวดขาด หมึกยักษ์กระตุกหนวดกลับทันที ปลายหนวดบิดไปบิดมาอยู่ที่พื้น
“จะเอาอีกไหมล่ะ” บูลย่อตัวเตรียมพุ่งไปข้างหน้า มือขวาถือขวานวางพาดไหล่ มือซ้ายยกขึ้น กระดิกนิ้วท้าทาย และไวเท่ากระพริบตา หนวดที่เหลือก็พุ่งเข้ามาทางบูล ด้วยความเร็วแบบเดียวกับที่มันชักหนวดกลับ
“เย้ย!” บูลกระโดดถอยหลังแทบไม่ทัน หนวดพุ่งตามมาด้วยความรวดเร็ว บูลเหวี่ยงขวานไปมา แต่เนื่องมันได้รับบทเรียนไปแล้ว มันจึงหลบหลีกได้หลายครั้ง หนวดบางเส้นถูกตัดไปบ้าง บางเส้นแค่ถากๆ หนวดเริ่มใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุด
“จ๊าก!” บูลโดนรัด (และดูด) ด้วยแรงมหาศาล ขวานหลุดจากมือร่วงลงสู่พื้น หน้าเริ่มแดงเป็นลูกตำลึง
“อืม! ถึงจะแข็งแรงขนาดไหนแต่ถ้าชักช้าก็ไม่รอดสินะ” โอลแมนพูดตั้งขอสังเกตอย่างหน้าตาเฉย (ซึ่งผมก็เห็นด้วย) หมึกยักษ์เริ่มคืบคลานเข้ามาในลานกว้างมากขึ้น ดวงตา และหัวโผล่ออกมาจากม่านน้ำ
“ฉึก!” เหล็กแหลมพุ่งทะลุตาของหมึกยักษ์ทำให้มันปล่อยบูลทันที
“ไม่ได้เรื่องเล้ย” โนสบ่นบูลที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นพร้อมกับวิ่งหาหมึกยักษ์ เซนส์แซงโนสขึ้นมา กางมือห้าม และกระโดดพุ่งเข้าไปที่หัวของหมึกยักษ์ หมึกยักษ์ยกหนวดขึ้นมาเหวี่ยงเข้าที่ร่างของเซนส์ มือขวาเซนส์ล้วงเข้าไปที่เอวซ้าย ชักมือออกมาเป็นดาบเคลย์มอร์ (Claymore) มือทั้งสองด้ามกำแน่น ฟันลงไป ยกขึ้นทางซ้าย และตวัดมาทางขวา ยกขึ้น และฟันเฉียงลงจากขวามาซ้าย มือขวาถือดาบตวัดขึ้นด้วยแขนข้างเดียว และลงพื้น ปลายดาบชี้มาทางด้านหลัง หนวดหมึกยักษ์กระจายไปคนละทิศละทาง
ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมรู้ความจริงบางอย่าง “พวกนี้เป็นพวกประเภทต่อสู้คนเดียวทั้งนั้น แล้วรวมกลุ่มขวางมือขวางเท้ากันทำไม” ผมคิดในใจ
‘ยังไม่จบหรอกครับ ส่วนสนุกกำลังจะมาต่อจากนี้ต่างหาก’ จู่ๆ เอียร์ก็จับแขนผมแน่น
“มาแล้ว!” เธอหลับตาปี๋ พูดเสียงสั่น
ผมเห็นโนสพุ่งไปหาหมึกยักษ์ แขนข้างซ้ายกลายเป็นหอกเหล็กขนาดใหญ่ เธอถึงตัวมันแล้ว และกระโดดขึ้นไปที่ส่วนหัวของมัน ทันใดนั้น
“ครืน!” หมึกษ์ยักษ์หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเรา ผมมองเห็นเงาลางๆ เมื่อมองตามไปผมก็เห็น สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ว่ายน้ำไปด้วยความรวดเร็ว รูปร่างเหมือนงู ใหญ่กว่าหมึกยักษ์อย่างเทียบไม่ติด ไม่นานนัก มันก็ว่ายลับสายตาไป
ผมตัวสั่น ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีเสียงใดๆ เหมือนกลัวสัตว์ยักษ์ได้ยิน ผมหันซ้ายหันขวาไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำ และทันใดนั้น ผมก็เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ จากจุดเล็กๆ ก็กลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว
ปากแหลมเหมือนเหยี่ยว ดวงตาโตโปน หนวดหลายเส้นและเขายื่นออกมาจากส่วนหัวด้านบน มันกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ และไม่ทันแม้กะพริบตา มันก็ว่ายผ่านไป ปล่อยให้พวกเรารับแรงสั่นสะเทือนของคลื่นน้ำที่โถมเข้ามา ผมเห็นสายตาเซนส์มองตามมันไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ (ไม่เข้าใจเลยจริงๆ)
บทที่ 27 ความมืดมิดที่มืดมิดที่สุด
ทุกคนนิ่งเงียบ ทันทีที่บูลฟื้นขึ้นมาก็โวยวาย แต่เงียบไปทันทีเมื่อไม่มีเสียงใดๆ ออกมาจากคนอื่นๆ ส่วนตัวผมกำลังภาวนาของให้มันไปแล้วไปเลย เอียร์รัดผมแน่นจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด
‘ทำใจให้สบายเถอะครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด’ คนที่บอกอยู่ด้านนอกจะพูดอะไรก็ย่อมง่ายดายเสมอ ถึงเรื่องที่พูดมาเป็นเรื่องที่ฟังเข้าที แต่คนอื่นคงครองสติได้ไม่ง่ายนักหรอก แต่ก็ทำให้ผมเลิกกังวลได้ ผมตบหลังเอียร์เบาๆ และค่อยๆ ลูบหัวเธอ ไม่นานนักเธอก็คลายวงแขน ผมล้มตัวลงนอนทันที
“คิดเป็นอะไรไป!” เอียร์ถามหน้าตาเลิกลั่ก
“ใจเย็นๆ แค่จะนอนเท่านั้นล่ะ ราตรีสวัสดิ์” พูดจบก็ตั้งหน้าตั้งใจนอน เพราะเป็นวิธีที่ฆ่าเวลาได้ดีที่สุด
ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมเจอแลนคนเดิมอีกครั้ง
“เจอกันอีกแล้วนะ” ฝั่งนั้นทักผมก่อน
“ผมหลุดออกมาจากร่างอีกแล้วเหรอ”ผมถามกลับ และดูรอบๆ ไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น มีแต่ความว่างเปล่าที่สว่างไสว ร่างนั้นส่ายหัว
“คุณและเพื่อนๆ กำลังจะเข้าสู่บททดสอบ อยากเข้าร่วม หรือรอให้มันผ่านไปก่อนล่ะ” ร่างนั้นเคลื่อนไหวไปรอบๆ พื้นที่ว่างเปล่า
“ผมไม่อยากเอาเปรียบ ผมขอร่วมด้วยก็แล้วกัน” ทันทีที่สิ้นคำตอบ ทุกสิ่งทุกอย่างมืดไปหมด ผมลองขยับมือเพื่อสัมผัสตัวเอง ผมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย แม้แต่แขนที่ผมขยับ แม้แต่เสียงลมหายใจ ไม่เห็นแม้เศษเสี้ยวของแสงสว่าง ไม่มีกลิ่น หรือรสใดๆ ทั้งสิ้น เหลือเพียงความคิดเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่
“เกิดอะไรขึ้น? ทุกคนอยู่ไหน? นี่คือการทดสอบหรือ?” ความคิดมากมายแล่นเข้าหัวผมและผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเริ่มยุ่งเหยิงขึ้น
“ไม่ เราต้องทำใจให้สงบ” แต่เมื่อยิ่งคิดดังนั้น ความคิดต่างๆ กลับยิ่งพุ่งขึ้นมา ไม่ว่าความกังวล เหตุการณ์ในอดีต และอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
“ไม่ไหว ไม่ว่ายังไงก็ทำไม่ได้ อาร์ไบน์อยู่ไหน ตอบหน่อย” ผมส่งกระแสจิตไปหาอาร์ไบน์ แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมลองตะโกน แต่ไม่มีเสียงใดๆ ออกมา ไม่สิที่จริงเราอาจคิดว่าตะโกนแต่ไม่ได้ตะโกนก็ได้ เพราะตอนนี้เราไม่รู้สึกอะไร และในไม่ช้า จิตสำนึกผมก็ถูกกระแสน้ำแห่งความคิดมากมายมหาศาลพัดพาไป
เวลาผ่านไปนานเท่าไรผมไม่อาจรู้ได้ จนผมเริ่มอยู่กับกระแสความคิดได้ และในไม่ช้าผมก็เริ่มมาสนใจความคิดเหล่านั้นทีละอย่าง จากเรื่องหนึ่ง ไปอีกเรื่องหนึ่ง จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดจบ และจากจุดจบไปยังจุดเริ่มต้นใหม่ เหมือนลูกตุ้มที่แกว่งกลับไปกลับมาตลอดเวลา ในไม่ช้าผมก็รู้สึกว่า กระแสที่เชี่ยวกรากกำลังเบาลงๆ และในที่สุด สายธารแห่งความคิดก็หยุดนิ่ง ไม่มีความโกลาหลอีกต่อไป ในไม่ช้าใจผมก็สงบลง
“ออกไปจากที่นี่ดีกว่า” ทันทีที่ผมคิดเช่นนี้ ผมก็รู้สึกตัวว่า ผมกำลังนอนอยู่ที่พื้น ผมค่อยๆ ลุกขึ้น มองซ้ายขวา และมองไปรอบๆ ทุกคนนอนกันหมด แต่สีหน้าแต่ละคนไม่เป็นสุขนัก
“เราถึงแล้วหรือ” ผมมองไปตรงแกนกลางห้อง เห็นทางเดินจากตรงนั้นออกไปทางประตูม่านน้ำด้านหนึ่ง มันเว้าเป็นช่องเหมือนประตู
“ทุกคนคงกำลังโดนทดสอบอยู่เหมือนกัน” คิดได้ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินไปดูก่อนเพียงคนเดียว หลังจากผ่านความมืดที่มืดที่สุด ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ทางเดินส่องแสงเรืองรองสีเขียวอ่อน เสียงรองเท้าบู๊ทกระทบพื้นดังกังวาน ผมเดินไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น (ไม่คิดว่าจะใจเย็นได้ถึงขนาดนี้) ความรู้สึกในหัวเหมือนผืนน้ำที่หยุดนิ่ง ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่น หรือสิ่งใดๆ
พอเดินผ่านช่องตรงกำแพงน้ำ ผมก็พบว่าตนเองอยู่ในอุโมงค์ แม้จะดูเป็นธรรมชาติ แต่ทางและรูปทรงของอุโมงค์นั้นทำให้รู้ว่าสิ่งที่ถูกสร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ (โดยที่ตั้งใจให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด) ต่างกับข้างผมคนละแบบเลย ผมเดินมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางเรืองแสงจนในที่สุดมาถึงห้องๆ หนึ่ง ที่กำแพงมีแสงเรืองรองเป็นริ้วๆ เหมือนผ้าม่านสีฟ้าอ่อน บนพื้นที่สูงขึ้นด้านหน้ากำแพงนั้น มีเงาคน (หรืออาจไม่ใช่) อยู่
ร่างนั้นยกมือขึ้น ผมหยุดรูปร่างจากเงาดูคล้ายอย่างบอกไม่ถูก แสงที่พื้นสว่างขึ้นจนเห็นห้องได้ทั่ว ร่างที่นั่งอยู่นั่นเหมือนตัวผมทุกประการ
บทที่ 28 ชื่อที่ไร้ความหมาย และคำตอบแก่ทุกสิ่ง
“นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย” นี่เป็นชะตากรรมหรืออะไรกันแน่ ที่พาผมมาที่นี่
“ตุบ!” อาร์ไบน์โผล่มายืนข้างๆ ผม
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” อาร์ไบน์กล่าวทักทายร่างนั้น
“เจ้าเด็กคนนั้นหรือ?” บุรุษปริศนาตอบกลับมา
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านจำผมได้” ถึงแม้ผมจะมีจินตนาการมากแค่ไหนก็ตาม แต่เรื่องนี้ทำให้ผมคิดไม่ออกเลยทีเดียว
“นี่มันอะไรกัน ท่านเป็นใคร อาร์ไบน์ นายรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้วหรือ”
“บางอย่างไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ และบางอย่างแม้คำตอบจะต่างกันแต่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” ผมฟังเสียงของผมตอบกลับมา “ถ้าไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องการคำตอบ จงบอกมา” ผมฟังและใช้เวลาคิดสักพักหนึ่ง แล้วผมก็เลือกที่จะ
“ผมต้องการคำตอบ” อาร์ไบน์ทำท่าจะพูด แต่ผมยกมือห้ามไว้
“เราคือแลน” คำตอบมือเพียงแค่นั้น
“แลน? แล้วพวกที่ผิวสีฟ้า ผมสีทอง ตราสีน้ำเงินนั่นล่ะ?”
“พวกนั้นก็คือแลน แลนเป็นเพียงแค่ความหมายแทนตัวของพวกเรา แทนสิ่งที่พวกเราเป็น มันไม่ใช่ชื่อ มันคือความหมาย นั่นต่างหากที่สำคัญ” คำตอบที่ผมได้ฟังนั้น ผมยอมรับว่ามันทำให้ผมงงขึ้นไปอีก
“ถ้าอย่างนั้น แลนคืออะไร?” คำตอบของคำถามนี้คงไขข้อข้องใจให้ผมได้
“แลนคือความหมายในภาษาที่พวกเจ้ารู้จัก มันคือธรรมชาติ ทั้งพื้นดิน สายลม สายน้ำ แสงแดด ไฟ ความมืด ไม้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นคือแลน” ผมเข้าใจแล้ว
“หมายความว่าคุณก็คือธรรมชาติ เป็นรูปร่างของสิ่งต่างๆ งั้นหรือ” ผมมองตัวเองส่ายหัว สีหน้าเฉยๆ และมีรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ
“เรารวมกับธรรมชาติ และเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ขณะหนึ่ง เราก็เป็นอย่างที่เจ้าคิด ในขณะหนึ่งก็ไม่ใช่ เป็นทั้งตัวเจ้า และไม่ใช่ตัวเจ้า” อย่างนี้มันก็เหมือนกับ
“พระเจ้า” ผมพูดขึ้น
“นั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าเรียกเรา” ร่างนั้นลุกขึ้นมา เดินมาทางผม และกล่าวต่อ “ร่างนี้ เป็นเพียงพาหนะเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นว่าจะต้องมีรูปร่างแบบใด เจ้าจะเห็นออกมาเป็นสิ่งใดก็ได้”
“ถ้าเช่นนั้น ก็มีคนที่ทิ้งร่างด้วย แล้วท่านรู้จักหรือเปล่า” ร่างนั้นค่อยๆ เดินวนรอบตัวผม “เราคือแลน เราเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นสิ่งต่างๆ ที่ต่างกัน เหมือนที่มีความมืดและแสงสว่างรวมกันอยู่ในความสลัว” ผมเริ่มหมุนตัวตาม
“ถ้าเช่นนั้น ท่านคือคำตอบของเราหรือไม่” ร่างนั้นหยุด และหันตรงมาทางผม
“ไม่ แต่เราให้คำตอบได้” ร่างนั้นพูดจบก็หลับตา และเดินไปยังที่นั่งเดิมของตนเอง “ภาษาพูดสร้างโลกขึ้นมาให้พวกเจ้า เช่นนั้น เราจะให้ความกระจ่างด้วยสิ่งนี้”
“ย้อนกลับไปนาน นานกว่าอายุของพวกเจ้าทั้งหมดรวมกัน มีผู้มาเยือนดาวดวงนี้ พวกเขาเหล่านั้นคือรูปร่างดั้งเดิม ผิวสีฟ้า ตาสีน้ำเงิน ผมสีทอง ปากสีเขียวมรกต พวกเขาเหล่านั้นประทานวิทยาการให้พวกเจ้ามากมาย และพวกที่ได้วิทยาการมากที่สุดก็คือ พวกที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ และในขณะเดียวกัน สายเลือดของพวกผู้มาเยือนก็ผสมกับสิ่งมีชีวิตที่มีต้นกำเนิดของดาวดวงนี้ จึงทำให้เกิดแลน” ผมยกมือทะลุขึ้นกลางปล้อง
“เดี๋ยวก่อน แล้วทำไมแลนถึงเข้าถึงธรรมชาติได้ล่ะ”
“พวกผู้มาเยือนมีร่างจิตเป็นร่างหลัก ส่วนร่างกาย ก็เป็นเหมือนชุดเท่านั้น เป็นชุดที่ทำให้สามารถคุยกับผู้ที่อาศัยบนดาวดวงนี้ได้ และเมื่อรวมกับสิ่งที่มาจากต้นกำเนิดของดาวดวงนี้ จึงทำให้ชีวิตใหม่ สามารถเชื่อมเข้ากับธรรมชาติได้ แลนหนึ่งคนไม่ต่างอะไรกับแลนพันคน” ร่างเบื้องหน้าลืมตาขึ้น ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนเลือด
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เหล่าผู้มาเยือนได้แบ่งวิทยาการออกไปตามส่วนต่างๆ โดยให้เกิดความเหมาะสมตามพื้นที่ต่างๆ มากที่สุด แต่มีกลุ่มที่นำวิทยาการเหล่านั้นไปพัฒนาในทางที่ผู้มาเยือนไม่ต้องการ และต่อสู้เพื่อแย่งชิงวิทยาการต่างๆ ของกลุ่มอื่น ชีวะอาวุธกำเนิดขึ้น เครื่องจักรสังหาร”
“มังกรด้วย ไนท์วอล์คเกอร์ด้วย มุมป่องในท่อระบายน้ำด้วย” ร่างนั้นพูดต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“และในที่สุด สิ่งนี้นั้นก็เกิดขึ้นมา ระบบเคลื่อนย้ายผ่านเวลา ระบบเคลื่อนย้ายผ่านมิติ ในบริเวณนี้ วัตถุที่เข้ามาจะถูกย้ายไปในช่วงเวลาที่ห่างไกล ไม่ก็อาจถูกย้ายไปที่อื่น อาจเป็นดาวสักดวง หรือในอวกาศ”
“ในที่สุด ผู้แย่งชิงก็ถูกย้ายออกไปสินะ” ร่างนั้นส่ายหัว
“ตรงกันข้าม ผู้ถูกแย่งชิงเป็นฝ่ายที่หายไป ด้วยความผิดพลาด และความเข้าใจผิด” ร่างนั้นประทับมือเท่ากับอกตัวเอง “เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับโลกนี้ แลน และผู้ที่เหลือจึงฝังเมือง และวิทยาการทั้งหมดลงใต้สมุทร แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นชุดเชื่อมต่อของมิติ และห้วงเวลาภายนอก ที่ปรกติไม่มีใครเข้าถึงนั่นคือพวกผมเขียว” ผมฟังถึงตรงนี้แล้วก็ยังนึกสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง เหมือนรู้ใจ ตัวผมที่อยู่เบื้องหน้าก็ตอบคำถามที่ผมสงสัยออกมา
“พวกผู้มาเยือนไปยังที่ไกลแสนไกล แต่ยังคงมาดู และศึกษาพวกที่ได้บางส่วนของวิทยาการอยู่ บ้างก็รับไปเฉพาะผู้คน บ้างก็รับทั้งวิทยาการ ณ ขณะนั้นไปด้วย และมีผู้มาเยือนกลุ่มอื่นๆ อาศัยใช้วิทยาการที่หลงเหลือใต้มหาสมุทรนี้ บางครั้งการย้ายมิติ หรือข้ามเวลาก็เกิดขึ้นเอง” ตอนนี้ทุกคำถามและข้อข้องใจของผมได้รับการไขกระจ่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหายไปอย่างลึกลับในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ยูเอฟโอที่ปรากฏขึ้นบริเวณนี้ “เจ้าได้รับคำตอบหรือไม่”
“ได้ ขอบคุณมาก ผมขอถามอีกได้ไหม” ผมมองไปที่แลน “ท่านอยู่เพื่ออะไร
“เราอยู่เพื่อตอบคำถาม และเพื่อผู้ที่แสวงหาคำตอบที่จะมาถึงที่นี้ เจ้ามีข้อสงสัยอันใดอีก”
“ทำไมที่นี่ถึงต่างกับข้างบนมาก แล้วทำไม่ถึงต้องมีทั้งบนฟ้า และใต้มหาสมุทร และทำไมไม่มีผู้ใดมองเห็นเกาะลอยฟ้า” ผมคงไม่เสียมารยาทเกินไปนะที่ถามไปรวดเดียวแบบนี้
“พวกเราดูแลข้างล่างนี้ ทั้งข้างบนและข้างล่างเป็นสัญลักษณ์ บนฟ้าแทนสวรรค์ที่พวกเจ้าเรียกกัน” และชี้ไปข้างบนแล้วถามผมว่า “เจ้าคิดว่าบนสวรรค์จะต้องมีคนคอยระวังรักษาความสงบหรือไม่”
ผมคิดเล็กน้อย และตอบกลับไปว่า “ถ้าเป็นสวรรค์จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมี แต่ถ้าสวรรค์จอมปลอม มันก็ต้องมีเป็นธรรมดา”
“และเพราะเช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดดูแลด้านบน และด้านล่างนี้คือนรก เป็นที่รวมของวิทยาการที่มีผลกระทบด้านลบต่อโลก ถ้ามันอยู่ด้านบน ทุกคนก็สามารถไปถึงได้โดยง่าย แต่ข้างล่างนี้ยากหาผู้ใดมาถึง”
“นั่นคือสาเหตุที่จำเป็นต้องมีบททดสอบ” ผมสรุปประเด็น
“นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่สำคัญคือ ผู้ที่มาถึงสมควรกับสิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า”
“ท่านจะให้การทำลายล้างแก่ผู้นั้นหรือ”
“นั่นขึ้นอยู่กับเจตนาของคนอื่นๆ” เขาหยุดไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “อย่างที่พวกเจ้าเข้ามาในบททดสอบ ประสาทสัมผัสของคนที่จะมองเห็น และสัมผัสถึงเกาะลอยฟ้านั้น ถูกปิดเอาไว้”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางไปถึง”
“ถูกต้อง” ร่างนั้นจ้องตาผม “เจ้าได้สิ่งที่ต้องการแล้วหรือไม่”
“ข้าได้แล้ว” ผมตอบ แต่ก็มีคำถามปรากฏขึ้นมา “อย่างนี้ถ้าเกิดว่าผมต้องการอีก ผมก็จะได้อีกงั้นหรือ”
“ขึ้นอยู่กับว่า มันเป็นความปรารถนาแท้จริงของเจ้าหรือเปล่า และที่นี่ไม่ได้บันดาลให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง” เขาชี้มือมาทางผม ในกระเป๋าทั้งสองข้าง มีหยินหยาง และแก่นแท้ฯ โผล่ออกมา ตอนที่ผมออกจากลานผมไม่ทันสังเกต มันอยู่ในกระเป๋าตั้งแต่เมื่อไร
“สิ่งที่เจ้าเรียกว่าแก่นแท้ฯ จะให้ทางสู่ทุกสรรพสิ่งแก่เจ้า แต่ต้องลงมือทำเพื่อสิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง” จู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกขึ้นยืน “มาถึงแล้ว” ผมได้ยินเสียงเดินก้องมาจากทางเดิน ผมจึงเก็บทรงกลมทั้งสองลงในกระเป๋าอีกครั้ง ร่างที่ก้าวเข้ามาในห้องคือ...
บทที่ 29 ทำนองที่แหลกสลาย
โอลแมนเดินมาทางผม มองทางอาร์ไบน์ และมองแลน
“เด็กนี่รู้ทุกอย่างงั้นหรือ?” โอลแมนถามเสียงแข็ง
“คงไม่ใช่” ผมคิดว่านั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“แล้วคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือใคร” แสงสว่างในห้องพอทำให้เห็นเงาสะท้อนในดวงตา โอลแมนจ้องร่างนั้นเขม็ง แต่เงาที่ปรากฏในตาของเขานั้น คือตัวของเขาเอง
“เราคือเจ้า เจ้าคือเรา เราอยู่ในทุกสิ่ง และไม่อยู่ในสิ่งใดเลย พวกเจ้าบางคนเรียกเราว่าพระเจ้า ความหมายของเราคือแลน” ผมเห็นโอลแมนเกร็งไปชั่วขณะ ไม่รู้ด้วยเหตุใด หลังจากนั้น ตัวเขาก็เริ่มสั่น
“ความปรารถนาของเจ้าผิดธรรมชาติ ผิดจากตัวเรา และผิดจากสิ่งที่ทุกคนปฏิบัติมา ถึงอย่างนั้น เจ้ายังต้องการมันหรือไม่” ร่างนั้นคุยกับโอลแมนแบบรู้เรื่องกันเพียงสองคน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า โอลแมนมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
“ผมยังต้องการ ท่านจะให้ผมได้ไหม” ร่างนั้นส่ายหน้าช้าๆ
“เรามีเพียงหนทางให้ แต่การจะได้มา เจ้าต้องไปด้วยตนเอง เจ้ายังต้องการหนทางหรือไม่ ถ้าหากมันทำให้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าสูญเปล่า” ร่างนั้นถามซ้ำอีกครั้ง
“ผมต้องการ” โอลแมนยังคงยืนยันคำเดิม
“แม้มันจะทำให้เจ้าพบกับความสิ้นหวังงั้นหรือ” คำยืนยันยังคงเป็นเช่นเดิม
“ใช่!” โอลแมนยืนยันเสียงหนักแน่น
แลนยกมือขึ้น ชี้มาทางผม ทันใดนั้นผมก็รู้สึกว่าทรงกลมลูกหนึ่งค่อยๆ อุ่นขึ้น ผมล้วงมันออกมา ภายในแก่นแท้ฯ กำลังหมุนวนอย่างช้าๆ
“สัมผัสกับสิ่งนั้น และนึกถึงหนทางที่เจ้าต้องการ” โอลแมนยื่นมือมาที่แก่นแท้ฯ ภายในเริ่มหมุนเร็วขึ้น ขณะเดียวกันความร้อนก็เพิ่มขึ้นด้วย ทันทีที่โอลแมนสัมผัสกับแก่นแท้ ตัวผมก็สัมผัสถึงความปรารถนานั้นด้วย ความปรารถนาแสนเศร้า และหนทางที่ต้องเลือกระหว่างความรู้สึกที่ต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง
ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง สัมผัสได้ถึงความรักที่โอลแมนมีต่อเธอคนนี้ เวลาเนิ่นนาน ตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก จนกระทั่งโตขึ้นมาพร้อมๆ กับความรู้สึกต่างๆ ที่ทั้งคู่มีร่วมกัน โอลแมนเฝ้าดูเธอตั้งแต่เด็กๆ ช่วงเวลาการมีชีวิตอันยาวนานกลับรู้สึกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความอมตะที่หอมหวาน แต่ไม่มีสิ่งใดจั้งอยู่ได้นาน ยิ่งผูกพัน ยิ่งเจ็บปวด ทั้งสองคนแต่งงานกัน แต่ว่าเธอป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ในสมัยนั้น ความเสียใจ ความเศร้าโศก พุ่งขึ้นมาจากก้นบ่อน้ำแห่งความรู้สึก และถึงวันที่เขาตัดสินใจ โอลแมนออกเดินทางเพื่อไปหาบ่อน้ำอมฤทธิ์ที่เขาเคยดื่ม กาลเวลาผ่านไปยาวนานนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาไปถึง ความหวังที่ดูเจิดจ้าเรืองรองดับวูบลงไปในทันที เหมือนทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น น้ำในบ่อแห้งเหือดจนเหลือเพียงก้นๆ น้อยมากจนไม่สามารถที่จะตัก หรือดูดขึ้นมาได้ และต่อหน้าต่อตา นี่เหลือ ก็ซึมลงไปตามร่องหิน มือทั้งสอง และนิ้วทั้งสิบทิ่มลงไปในซอกหิน ดึงขึ้น เกี่ยวออก ขุดดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยิ่งที น้ำยิ่งซึมลึกลงไปๆ จนในที่สุด แม้แต่ความชื้นก็ไม่เหลือ หยดน้ำไหลอาบแก้ม เสียงตะโกนก้องกังว้างไปในฟ้ากว้าง แม้ไม่มีผู้คนได้ยิน แต่มันฝังเข้าไปลึกถึงก้นบึ้งแห่งความทรงจำ เด็กชายเดินกลับด้วยความสิ้นหวัง ไร้เรี่ยวแรง แต่นั่นกลับทำให้เขาเจอสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า เมื่อกลับมาถึง หญิงสาวผู้เป็นที่รัก ก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว และเขาไม่มีโอกาสแม้แต่เอ่ยคำอำลากับเธอ เธอยังคงนอนหลับสนิทเหมือนเมื่อเวลาที่เขาจากไป สีผิวซีดจนม่วง ผิวกายเย็นเฉียบ ริมฝีปากสีดำ จูบที่เย็นยะเยือกแทนคำอำลาที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยให้เธอได้ยิน
แม้ว่าจะพลัดพรากจากคนมามากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเธอเท่านั้นที่ไม่อาจกล่าวคำว่าลาก่อนออกมาได้ หากเราสามารถแก้ไขอดีตได้ หากเราสามารถรักษาเธอได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังไม่มีใครรู้ ความลับที่ไม่มีใครได้ พื้นที่ที่ไม่เคยมีผู้ใดสำรวจ แม้จะต้องเสียคน เสียเวลาไปเท่าไร ก็ต้องหาให้พบให้ได้ และตอนนี้เราทั้งสองคนก็พบคำตอบแล้ว แต่มันต้องแลกมาด้วยสิ่งสำคัญอันใหญ่หลวง นั่นคือ “ความทรงจำ”
แม้จะมีวิธีช่วยเธอที่หลากหลาย แต่นี่เป็นสิ่งที่ใช้แลกเปลี่ยนไนทุกกรณี
“มันเป็นความหวังของเจ้าหรือไม่” แลนถาม โอมแมนเม้มปากแน่น ได้แต่นิ่งเงียบ “ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่”
“ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้มีเพียงเท่านี้เองหรือ” และแล้วเขาก็ตะโกนออกไปว่า “ไม่เห็นบันดาลในสิ่งที่ต้องการได้เลย” เสียงหายใจขาดช่วง อารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
“โอลแมน คุณแน่ใจหรือเปล่าว่า นั่นเป็นความต้องการของเธอ มันเป็นการทำเพื่อเธอ หรือว่าเพื่อตัวคุณเอง” โอลแมนหันมาทางผม เส้นเลือดในดวงตาแดงจะเห็นชัด
“ผมจะแลกทุกอย่างที่มีกับเธอ” ผมกับไหล่โอลแมน บีบแน่นแล้วพูดเสียงดัง
“คุณฟังผมให้ดีนะ” ผมรู้สึกโกรธจนขึ้นหน้า “หากเธอฟื้นขึ้นมา แล้วไปม่พบคุณ และเธออยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดไป มันจะดีกับเธอหรือ”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง ถ้าจะชุบชีวิตเธอ ผมต้องใช้ความทรงจำของผมทั้งหมดเพื่อให้เธอเกิดขึ้นมา และมันอาจไม่สมบูรณ์ด้วย หรือจะให้ผมกลับไปในอดีต ไปรักษาเธอ การกระทำของเธอก็จะเปลี่ยนไปอีก และความทรงจำของผมก็บิดเบี้ยวหรือ แล้วเธอจะรู้สึกอย่างไรถ้าผมกลับมาปัจจุบัน ความทรงจำทั้งหมดไม่มีทางเหมือนเดิม ถ้าไม่ซ้อนทับกันแนบเนียนทุกอย่างมันก็ใช้ไม่ได้ หรือจะพาเธอมาอนาคต ความทรงจำของผมเกี่ยวกับเธอก็จะหายไปอีก งั้นสู้ผมตายและให้เธอมีชีวิตแทนไม่ดีกว่าหรือ”
“คุณจะฆ่าเธอทั้งเป็น ฆ่าเธอด้วยความรัก ความรักที่ไม่สมหวัง คุณรู้ตัวหรือเปล่า” หลังจากพูดเสียงดังใส่กันไปมา ความเงียบก็มาเยือนพวกเรา “คุณรู้หรือเปล่าว่า เธออยู่กับคุณตลอดเวลา ในความทรงจำของคุณ ถ้าคุณไม่อยากสูญเสียเธอไปอีก คุณต้องทำใจ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเดินต่อไปข้างหน้า” โอลแมนเหลือบตามองผมแล้วพูดเสียงสูง
“พูดก็ง่ายนี่ คุณไม่ได้เป็นแบบผมนี่” ผมเหลืออด และเริ่มที่จะทำอะไรโดยพลการแล้ว
“อยากเจอเธอใช่ไหม แค่นั้นใช่ไหม หรืออยากอยู่ด้วยกันตลอดไป หรือจะให้เธอมาเถียงคุณเอง” ผมกำแก่นแท้ฯ แน่น ตอนนี้อุณหภูมิมันลดลงอย่างรวดเร็ว
“พูดยังกับทำได้แน่ะ หา!” หลังสิ้นคำพูดตะโกนทิ้งท้ายของโอลแมน เซนส์ก็เดินเข้ามาในห้องพอดี ทั้งห้องเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงรองเท้า
“โฮ่ เตรียมพร้อมกันดีนี่ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งสามคนเลย” เซนส์อาร์ไบน์ด้วยสายตาเหมือนเป็นเพียงสิ่งของบางอย่าง และมองไปทางแลน “แล้วกระจกมีชีวิตนี่ ใช่ผู้ไขปริศนาหรือเปล่า” เซนส์พูด กางมือ โค้งตัวแล้วเอียงคอเหมือนคนเล่นละคร
“ความปรารถนาแรงกล้า เจ้าควรปล่อยมันไปตามครรลอง” แลนตอบกลับมา
“โฮ่! ท่านจะหยุดข้างั้นหรือ” เซนส์พูด แล้วก็หมุนตัวกลับ มือกอดอก
“ถ้าเจ้ายังคงต้องการอยู่ จงบอกมา” เซนส์หันตัวกลับมา
“พูดกันง่ายดีนี่ท่านผู้เฒ่า ใช่ ข้ายังต้องการมันอยู่” เซนส์เดินเข้าไปหาแลน และทันใดนั้น
“ฉึก!” มีดสั้นเสียบเข้าที่คอของเซนส์
“อ่อก! อะไรกัน ผิดจากที่ตกลงกันไว้นี่” เซนส์จ้องหน้าโอลแมน เลือดไหลจากปาก
“ฉันไม่คิดจะตกลงกับแกแต่แรกแล้ว และก็เสียใจด้วย ถ้าฉันยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็ไม่มีใครได้ไปทั้งนั้น” โอลแมนกระชับด้ามมีด มืออีกข้างเสียบมีดเข้าที่คอของเซนส์ ลาก่อน
เซนส์ถีบเข้าที่ท้องของโอลแมน โอลแมนกระเด็นออกไปพร้อมกับมีด และแขนที่เหวี่ยงออกไป จากนั้นลงพื้นด้วยท่าชันเข่าข้างขวา เท้าซ้ายเหยียดออกทางด้านข้าง “ฮู่ว! ช้ากว่านี้หัวคงได้ไปกลิ้งที่พื้นแล้ว ว่าไงล่ะ ไอ้จิ้งจอกเฒ่า มีไม้ไหนงัดมาอีกล่ะ” ผมรีบห้ามทั้งคู่ไว้ แต่ดูโอลแมนจะไม่ยอมหยุดง่าย ทันใดนั้น ที่พื้นก็มีแสงสว่างสีม่วงโผล่ขึ้นมา หมอกสีดำแผ่ออกมาจากก้อนทรงกลมที่ลอยขึ้นมาจากรอยแยก
“นี่เรอะ!” เซนส์คว้ามันไว้ในมือ “ฮึ! เท่านี้ก็จบแล้ว” เซนส์หยิบดาบออกมาจากเอวข้างซ้าย ผลักทรงกลมสีดำเข้าไปในดาบ ไอสีม่วงลอยออกมา “ขอบใจที่พามาถึงที่นี่ และขอให้มีความสุขขณะชมการแสดงของฉัน” และในพริบตา เซนส์ก็หายออกไปจากห้อง
บทที่ 30 พบกันอีกครั้งกับความทรงจำที่แสนคิดถึง
“ห้ามผมทำไม” โอลแมนตะโกนเสียงดัง
“ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่เหลือคนช่วยนะสิ คุณมั่นใจหรือว่าจะชนะเขาได้” อาร์ไบน์หายไปแล้ว เหลือเพียงแลนเท่านั้น “เท่าที่ผมดู คุณคงรู้ถึงจุดมุ่งหมายของเซนส์อยู่แล้วใช่ไหม” โอลแมนนิ่งเงียบ “ท่านพอจะบอกผมได้ไหมครับ ว่าผมจะทำอย่างไร” แลนมองและพูดเสียงเรียบๆ ว่า
“นั่นเป็นทางที่พวกท่านต้องสร้างขึ้นมาเอง แลนไม่ยุ่งกับสิ่งที่กำเนิดจากความปรารถนาโดยตรง เราจัดการกับสิง่ที่ไร้ความปรารถนาเท่านั้น” ผมถามกลับไป รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังลน
“แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นก็ได้” แลนตอบกลับมาเสียงเรียบๆ ว่า
“แต่ละชีวิตสมควรที่จะมีทางของตัวเอง ทางที่ตัวเองเป็นคนกำหนด แม้แต่แลนก็ไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดทางเดินนั้น เจ้าล่ะ คือผู้ยับยั้งหรือไม่” ผมเลิกสนทนา และวิ่งออกจากห้องไป และดึงโอลแมนไปด้วย
ทางเดินสั้นๆ รู้สึกว่ามันไม่สั้นพอ ผมก็วิ่งไม่เร็วพอ “ความปรารถนาของเซนส์คืออะไร” ผมก็พอเดาได้ แต่ในใจขอให้เดาผิด
“ล้างพวกมนุษย์ให้หมด” ทำไมถึงคิดกันเป็นแบบหนังห่วยๆ จังเลย โลกนี้มันโสมม มนุษย์น่ารังเกียจ ฯลฯ
‘เซนส์กำลังขึ้นไปด้านบน’ อาร์ไบน์ส่งโทรจิตบอกผม ผมพูดออกมา
“ได้ไง ทรงกลมทั้งสองยังอยู่นี่อยู่เลย” ผมมาถึงลานกว้าง วางทรงกลมทั้งสองในตำแหน่งเดิม ลานกว้างเคลื่อนไหวอีกครั้ง ผมกดจั๊กแร่กอย่างรวดเร็ว เซนส์กำลังขึ้นไปข้างบนจริงๆ ด้วย แต่ไปด้วยวิธิไหนกัน ระหว่างนั้นโอลแมนก็ปลุกแต่ละคน ทันทีที่สัมผัสตัวทุกคนก็ตื่น ทันที
“อ้าก!” บูลตะโกนออกมาเสียงดัง “เฮ่อ! เมื่อกี้ฝันร้ายชะมัดเลย”
“ชั้นด้วย” “ฉันก็เหมือนกัน” อีกสองคนตอบรับกันดี
“ตอนนี้มีฝันร้ายกว่ารออยู่แล้วล่ะ” ยังไม่ทันที่ผมจะเล่าอะไร โอลแมนแตะไหล่ผม และพูดกับผมในเรื่องที่ผมไม่คิดว่าจะมาพูดตอนนี้
“คุณทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริงได้ใช่ไหม” สีหน้าผู้ถามดูจริงจังจนน่ากลัว
“หา! ทำไมคุณมาถามอะไรตอนนี้ล่ะ” โอลแมนจับคอเสื้อผม ดึงผมเข้าใกล้จนจมูกแทบชนกัน
“ฟังนะ ถ้าผมจะร่วมมือหรือไม่ มันก็อยู่ที่ตอนนี้ล่ะ คุณจะให้ผมหรือเปล่าล่ะ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เราก็ต้องรอมันขึ้นไปข้างบนอยู่แล้วนี่”
‘เรากำลังไล่เซนส์อยู่แล้วครับ อีกไม่นานน่าจะทัน’ อาร์ไบน์รายงานผล ผมจึงตัดสินใจที่จะ
“ได้ แต่ผมไม่รับประกันความปลอดภัยนะ มันอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณตามหาอยู่ก็ได้” โอลแมนปล่อยเสื้อผม
“เริ่มเลย”
ถ้าต้องดึงความทรงจำออกมาถึงจะสร้างตัวตนใหม่ได้ งั้นหมายความว่าอ่านความทรงจำเฉยๆ ก็ได้ แต่ว่านอกจากนั้นก็ไม่สามารถตอบรับอะไรได้ ถ้าเป็นความทรงจำของโลก ก็เป็นเพียงความทรงจำเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นล่ะก็
ผมยื่นมือไปที่แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง มือทั้งสองประคองไว้ข้างๆ ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ และในที่สุด ผมก็รู้สึกเหมือนหมดสติ
“อ้าว! ออกมาแล้วเหรอ” แลนที่ผมเจอเมื่อตอนสัมผัสกับแก่นแท้ฯ เป็นครั้งแรก
“มีธุระนิดหน่อยน่ะ จากตรงนี้ เราสามารถไปถึงที่รวมของสิ่งที่จากไปหรือเปล่า” แลนทำหน้างงๆ ลอยไปมา
“เข้าใจ แต่ไม่แน่ใจว่าเจ้ากำลังหาอะไรอยู่ ความ ทรงจำ หรือตัวตนแท้จริงล่ะ?” แสดงว่าโอลแมนมีหวัง
“สองสิ่งผสมกัน” แลนพยักหน้า
“ภาษาเจ้าก็คงคล้ายๆ กับคำว่าชุบชีวิตสินะ งั้นตามข้าให้ทันล่ะ” ผมมองไปยังร่างที่ทรุดลงกับพื้น โอลแมนยืนอยู่ข้างๆ จ้องมองร่างที่ไม่ไหวติงของผม
“เดี๋ยวก่อน ผมพาคนไปด้วยได้ไหม?” แลนลอยไปลอยมา ดูเหมือนไม่สนใจคำถามของผมนัก
“ชะตาชีวิต และการกระทำ ล้วนเป็นสิ่งที่กำหนดเอง ไม่มีผู้ใดมาบังคับกันได้หรอก” ผมถือว่าเป็นคำอนุญาต จิตของผมดึงโอลแมนออกมาจากร่รางที่ยืนอยู่ โอลแมนปรากฏออกมาในรูปร่างโปร่งแสง
“นี่มัน” ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้ แลนก็จับมือทั้งสองข้างของโอลแมน
“เริ่มล่ะนะ” ภาพความทรงจำทั้งหมดโผล่ขึ้นมาในบริเวณรอบๆ เหมือนภาพโฮโลแกรมที่เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว พื้นดิน ผู้คน และสิ่งต่างๆ อีกมากมาย แสงสว่างสีเหลืองนวลเรืองรองออกมาจากภาพเหล่ายนั้น แสงค่อยๆ สว่างขึ้น
“จงเพ่งจิตถึงเป้าหมายเท่านั้น” จากนั้นภาพทั้งหมดก็หายไป เหลือแต่เธอคนนั้น แสงสว่างจ้าจนทั้งหมดกลายเป็นสีขาว และเมื่อแสงจางลง เธอยืนอยู่ตรงนั้น เธอกลับมาแล้ว
“เอเจน” โอลแมนพูดเสียงอ่อน เดินเข้าไปใกล้ ทันใดนั้น มือของเธอก็ทะลุผ่านแก้มของโอลแมนไปอย่างรวดเร็ว ร่างเรืองแสงกระจายออกเป็นริ้วๆ แล้วรวมกันอีกครั้ง
“เฮ้ๆ ระวังหน่อย อย่าทำแบบนั้นอีกนะ” แลนเตือน
“บ้า! ตั้งแต่ฉันไปคุณก็บ้ามาตลอด และยิ่งบ้าขึ้นมากเรื่อยๆ” เธอตะโกนด่าเสียงดัง จากนั้นเธอก็โผเข้ากอดโอลแมน
“ขอโทษ ฉันปล่อยไม่ได้ เธอยังไม่ตาย เธอยังอยู่ที่ไหนสักแห่ง ฉันเชื่อมาตลอดเลย” โอลแมนเอื้อมมือมาลูบผมของเอเจน “คงเหงามาก คงคิดถึงผมมากสินะ” ทั้งคู่คลายกอดกัน เอเจนตอบกลับมาว่า
“โอ้ย! ฉันไม่เหงาหรอก คุณน่ะสิเหงา ร้องไห้ด้วยนี่นา พอฉันไม่อยู่นี่ใช้ไม่ได้เลยนะ” โอลแมนน้ำตารื้นทำท่าจะร้องไห้อีก เอเจนปาดหยาดน้ำตาเรืองแสงออกจากแก้มของเด็กหนุ่ม “เลิกมีชีวิตเพื่อฉันได้แล้ว ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการสิ ฉันยังอยู่กับคุณตลอดเวลานะ เห็นทุกอย่าง สัมผัสถึงทุกลมหายใจ เพียงแต่คุณไม่รู้สึก” เธอมองไปรอบๆ “ขอบคุณมากนะ ดารันเต้”
“ไม่เป็นไร” มีแค่เสียงผมเท่านั้นที่พวกเขาจะสัมผัสได้
“กอท ฉันขอร้องช่วยรักษาสถานที่แห่งความทรงจำด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน ฉันรู้สึกว่าความมืดและมหันตภัยอันใหญ่หลวงกำลังใกล้เข้ามา” โอลแมนมองไปที่แลน
“ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันไม่ถือหรอก” แลนพูดพร้อมกับปัดมือไปมา
“ผมไม่อยากไปไหนอีกแล้ว เมื่อไม่มีคุณอยู่ ทุกอย่างดูไร้ความหมาย” เอเจนถอยออกมา
“แล้วที่คุณสัญญากับฉันไว้ล่ะ สัญญาว่าคุณจะเล่าความลับของสิ่งต่างๆ มากมายที่เจอให้ฉันฟัง” เธอปัดมือขวาออกไปด้านข้าง “ถ้ามันถูกทำลายไม่มีเหลือ มันจะยังเป็นความจริงอีกหรือ แล้วความลับอื่นๆ ที่คุณยังไม่รู้ล่ะ ถ้ามันหายไป มันก็เหมือนกับความทรงจำที่หายไป ไม่เหลือให้แม้แต่คิดถึง เหลือแต่เพียงความเศร้าที่รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างหายไป เศร้าเพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร” มืออันบอบบางประสานเข้ากับมือของเด็กหนุ่ม “ความทรงจำอันมีค่าดังทองคำ เก็บใส่ในห้วงคำนึงรำลึกไว้” และทั้งคู่ก็พูดพร้อมกัน
“ซึถึงจิตความรู้สึกไม่รู้คลาย ให้มั่นหมายคู่โลกานิรันดร” ผมเคยได้ยิน นานมากแล้ว แต่เมื่อไหร่จำไม่ได้
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว ดารันแต้ ฝากดูแลกอทด้วยนะคะ” เธอยิ้มให้ทั้งๆ ที่ฝากภาระอันใหญ่ให้ผม
“ผมดูแลตัวเองได้น่ะ ไม่ต้องให้ใครมาดูหรอก” โอลแมนพูดทั้งๆ ที่น้ำตายังรื้นๆ
“ย่ะ แล้วจะคอยดูการผจญภัยของคุณนะ”
รอบข้างเริ่มสว่างขึ้นมาอีกครั้ง แสงจ้าจนทุกอย่างขาวโพลน และในที่สุดผมสัมผัสถึงพื้นหินอ่อนอีกครั้งหนึ่ง
บทที่ 31 ความทรงจำที่นึกออก
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นมา ครั้งที่สองรู้สึกง่ายกว่าครั้งแรกมา บลัดเข้ามาพยุงผมขึ้น
“บลัด ออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเหลือบตามองไปทางโอลแมนซึ่งบูลกำลังพยุงอยู่
“ความดันต่ำรึไงนายน่ะ เห็นเอะอะอะไรก็นอน เอะอะอะไรก็สลบ โอลแมนก็เป็นไปด้วยอีกคน” โนสเท้าสะเอวถามเหมือนเธอเซ็งๆ แต่ก็ดูรู้ล่ะว่าเธอแอบดีใจที่ผมไม่เป็นอะไร
“เอียร์ล่ะ อยู่ไหน” ผมมองไปรอบๆ คร่าวๆ ไม่เห็นเธอ หรือว่าจะมีการใช้ตัวประกัน แล้วตอนนี้ เซนส์อยู่ที่ไหนแล้วเนี่ย
“อยู่นี่จ้า” บูลบังเธอมิดเลยทีเดียว โชคดีที่อย่างน้อยทุกคนยังอยู่กันครบ
“เซนส์อยู่ไหน แล้วทำไมถึงขึ้นมาข้างบนหันล่ะ” บลัดถาม ท่าทางถึงจะแฝงร่างคนอื่นแต่ก็ถูกทดสอบกันทุกคน
“เรามีปัญหาแล้ว” โอลแมนยังคงยืนเซๆ อยู่ “ปัญหาใหญ๋ด้วย”
บูลทำมือทำท่าเหมือนบอกว่า “เขาบอกให้ปล่อยเองนะ”
“ใหญ่ขนาดมังกรหรือเปล่า?” โนสถาม ผมตอบแทนเพราะดูรู้ว่าผู้พูดเหนื่อยมาก
“ปัญหาใหญ่กว่ามังกร แต่ตัวก่อปัญหาไม่ใหญ่เท่ามังกรหรอก” ผมเห็นโอลแมนออกอาการเหนื่อยใจกับผม ส่วนเอียร์ดูตั้งใจฟังอย่างมาก
“เซนส์ได้อาวุธไปแล้ว เป้าหมายของเขาคือกวาดล้างมนุษย์ทุกคน” ทันทีที่พูดจบบลัดก็ต่อยมือเข้ากับฝ่ามือ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ไอ้คนที่ตัดหัวฉัน คิดไม่ผิดจริงๆ ว่าเป็นมัน” บลัดแยกเขี้ยว ถ้าเจอเซนส์คงวิ่งเข้าไปหักคอทันทีแน่ๆ
“คิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาทริปนี้ แต่ออกจะหฤโหดไปหน่อยนะ” บูลพูดขึ้น มือขวาก็หยิบขวานออกมา และเริ่มแกว่งไปมา
“ต้องอย่างนี้สิ ไอ้งานใช้สมองๆ ช้าๆ น่ะ ไม่เข้ากับฉันเล้ย” เอียร์ก็ดูท่าทางถูกใจ
“อ่า แล้วฉันจะทำยังไงดีเนี่ย” ดูโนสแล้วน่าเป็นห่วงที่สุด
“คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกทีมนี้” ผมแอบได้ยินโอลแมนรำพึงกับตัวเองเบาๆ
‘แย่แล้วครับ’ อาร์ไบน์ส่งสัญญาณมาบอกผม ‘ตอนนี้เซนส์อยู่กับพวกคุณด้วย’
“ว่าไงนะ” ผมรีบกดปุ่มเช็คตำแหน่งทันที ผมสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ทางตะวันตกของลานกว้าง แต่สัญญาณอ่อนลง (ไม่รู้ว่าเพราะอะไร) ผมทำมือบุ้ยใบ้ให้คนในกลุ่มรู้ และเขยิบออกมาด้านตรงข้างจนเกือบชิดริม แต่ว่าบลัด
“ไอ้เวรเอ้ย” พอพูดคำนี้จบ เขาก็พุ่งออกไปแล้ว ผมขยับมาใกล้ขอบอีกด้าน ใกล้ขึ้นๆ บลัดไปถึงฝั่งนั้นได้อย่างง่ายดาย
“เดี๋ยวก่อน มันง่ายไปหรือเปล่า” ทันทีที่ผมคิดในใจเสร็จ ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเส้นเล็กๆ รัดคอผม (อีกแล้ว) ร่างของผมถูกกระชากอย่างแรงไปด้านหลัง ผมจับสิ่งนั้นทันท่วงที ก่อนที่มันจะตัดคอผม ผมลงไปนอนกับพื้น เลือดไหลมาก
เสียงผมกระแทกพื้นทำให้ทุกคนละสายตาจากบลัด ผมเงยหน้าขึ้นไปดู แล้วก็เจอโจทย์ใส่ชุดดำยืนอยู่ มือขวากำเส้นอะไรบางอย่างเล็ก สีขาว มือซ้ายถือดาบ
“ที่จริงในป่านั่น ฉันน่าจะจัดการกับแกเสียก่อนนะเนี่ย” โนสและโอลแมนตั้งท่าจะซัดอาวุธ “อ๊ะๆ อย่าลืมสิ ไอ้หมอนี่มันไม่เหมือนพวกแกนะ ถ้าฉันกระตุกด้ายนี่อีกที มันก็ตายแล้ว”
“ฟุ่บ!” แต่โอลแมนไม่ฟัง มีดพุ่งเข้าที่หน้าของเซนส์ หน้าหงายไปด้านหลังทันที
“จะเรียกว่าเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมาก หรือจะว่าลงมือก่อนที่นายจะลงมือดี” โอลแมนยิ้ม และมองมาทางผม
“เรียกว่าโง่จะดีกว่า” เซนส์คาบปลายมีดไว้ในปาก (พลังกัดเหลือเชื่อจริง) “ถัดจากแวมไพร์โง่ ก็เด็กโง่รึ แกนี่ไม่รู้จักจำเลยนะ” ร่างผมถูกพลักลอยไปในอากาศ โนสพุ่งออกมา แต่จู่ๆ ทุกอย่างก็ดูหยุดชะงัก “อ๊ะๆ ไม่ปล่อยคุณผู้ชมไปง่ายๆ หรอก อยู่นิ่งๆ แล้วดูการแสดงของผมดีกว่านะ”
ผมลอยออกมาเลยลานกว้าง สายลมปะทะเข้ากับร่าง ผมปลิวสะบัด หายไจใม่ค่อยออก โชคดีในความโชคร้ายที่เซนส์ปล่อยด้ายลงมาด้วย ผมปลดมันออกจากคอ (ก่อนจะตายขอหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์อีกครั้งเถอะ) เสียงแรงลมเสียดสีกับใบหู ท้องฟ้าสีครามสว่างไสว ผมหยิบนาฬิกามาดูอย่างระวัง จากตอนที่เราลงไปข้างล่าง เวลาผ่านมาประมาณสามวันกว่าแล้ว น่าแปลกที่ไม่ค่อยหิว และไม่ค่อยเหนื่อยด้วย อาจเป็นเพราะเราเจออะไรมาเยอะมากก็ได้กระมัง
ขณะที่ผมกำลังดูสิ่งรอบตัวก็นึกย้อนไปถึงอดีต ผมพยายามนึกเรื่องตอนเด็กๆ ของผมให้ออก แต่ก็ไม่ออกสักที จำได้แต่เพียงว่าผมอาศัยอยู่ที่บ้านคนเดียวตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ น่าเสียดายที่นึกไม่ออก และคงไม่มีโอกาสนึกออกอีกแล้ว และผมก็นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่นานนี้
“ถ้าหากเซนส์ทำสำเร็จล่ะ โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร แล้วทุกๆ คนล่ะจะตามเรามาหรือเปล่า แล้วสิ่งมีชีวิตต่างๆ ล่ะ หลังจากที่มนุษย์ตายไปหมดแล้ว พวกสัตว์จะเป็นอย่างไรบ้าง” ผมถูกขัดจังหวะขณะคิดอะไรเพลินๆ
‘ทำใจดีๆ ไว้ครับ บลัดกำลังตามลงไป’ อาร์ไบน์บอกผม แต่ผมคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าว่าด้วยกฏของนิวตัน บลัดไม่มีทางลงมาทันผมกระแทกพื้นน้ำแน่
“เอ๊ะ! เดี๋ยว? แรงโน้มถ่วงงั้นหรือ” ผมพอมีทางรอดแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นพื้นน้ำอยู่เหนือหัวตัวเอง ท่าโหม่งพสุธา ผมหยิบจั๊กแร่ก และรีบกดปุ่ม
“ระบบแรงโน้มถ่วง รัศมีรอบตัว” เสร็จไปหนึ่ง เหลือสั่งให้ระบบสัมพันธ์กับนิ้วแบบตอนที่ใช้กับมังกรเท่านั้น ผมเห็นบลัดอยู่ไกลๆ นับว่าลงมาได้ค่อยข้างเร็วมาก แต่ดูแล้วไม่น่าจะทัน ผมรีบกดต่อไปจนในที่สุด
ผมชักปืนออกมา นิ้วมือซ้ายทั้งห้าแตะกับปากกระบอกปืน ผมยิงปืนแบบไม่นับ กะจังหวะและขยับนิ้วรัวยิ่งกว่าแม็กซิมรัวเปียโน น้ำเบื้องล่างเริ่มกระจาย มากขึ้น และมากขึ้น แต่ว่าผมช้าไป
“เจ็บแน่งานนี้” ผมยกแขนกันหัวไว้ ขดตัวให้มากที่สุด เข่ายกขึ้นมาบังจั๊กแร่กให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
“ฟู่ม!” ศีรษะผมกระแทกเข้ากับน้ำ ความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกาย ผมทะลุผืนน้ำลงไปอย่างรวดเร็ว แม้ระบบแรงโน้มถ่วงจะทำให้รอบข้างของผมมีแรงดึงดูดลดลง แต่ไม่ได้ช่วยลดความเร็วแต่อย่างใด ภาพรอบตัวมืดไปหมด ผมหมดสติไปหลายรอบแล้ว และกำลังจะหมดสติอีกครั้งหนึ่ง หากผมรอดกลับไปได้คงมีผลกระทบกับสมองผมมากทีเดียว
“ไม่กระแทกน้ำตาย ก็คงจมน้ำตายล่ะ” ความมืดสนิทเข้าครอบคลุมผมอีกครั้ง ทันใดนั้นผมก็รู้สึกตัวชัดเจน “นึกออกแล้ว ทั้งหมด”
ไม่ใช่ผมไม่มีอดีต แต่ผมลืมมันต่างหาก ผมถูกยิงเข้าที่หัวเมื่อนานมาแล้ว ใช่ ผมเดินทางมายาวไกล ผ่านหลายๆ ประเทศ ผ่านเมือง ทะเล สนามรบ
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็เหมือนกัน” ผมนึกหัวเราะในใจ กดจั๊กแร่กระบบดำน้ำทำงาน ผมค่อยๆ ว่ายกลับขึ้นไปด้านบน เห็นบลัดซึ่งกำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่ผิวน้ำไกลๆ ผมโผล่พ้นผิวน้ำ ละอองน้ำลอยไปอย่างช้าๆ เพราะแรงดึงดูดที่ต่ำกว่า
“หาอะไรอยู่พ่อหนุ่ม” บลัดหันมามองผม สีหน้าแฝงแววประหลาดใจ
“ยังไม่ตายเหรอ นี่รอดมาได้ยังไงเนี่ย ถ้าผมร่วงลงมาเฉยๆ ผมก็ว่าผมไม่รอดนะเนี่ย” บลัดกางปีกออกและว่ายขึ้นเหนือผิวน้ำ ยื่นมือดึงผมขึ้นจากน้ำ ผมกดปิดระบบดำน้ำ
“แล้วตามลงมาได้ยังไง จากทางนั้นไม่น่าจะเห็นนี่นา” ผมถามกลับด้วยความสงสัย
“ไว้ก่อนเถอะ เรารีบขึ้นไปข้างบนดีกว่า” ผมยกมือห้ามทันที
“คุณไม่รู้ว่าทั้งหมดโดนตรึงกำบที่แล้ว แล้วอีกอย่างเราจะขึ้นไปยังไงโดยที่ไม่ให้เซนส์รู้”
บลัดจับจั๊กแร่กแล้วพูดกับผมว่า “มีผู้ช่วยครับ”
‘ยังไม่ตายใช่ไหมครับ’ อาร์ไบน์ถามผมน้ำเสียงร้อนลน
“ถ้าตายแล้วคงตอบไม่ได้ล่ะนะ” ผมแหย่กลับไป
“รีบขึ้นมาเถอะครับ” เป็นอันว่า เราไปพูดกันต่อข้างบนแล้วกัน
บทที่ 32 ท้องฟ้าคือที่ของผู้ชี้นำ
เราสองคนโผล่มาที่ฐานหินใต้ลานกว้าง ที่นี่แรงดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลางเช่นกัน อาร์ไบน์รอพวกเราอยู่แล้ว สายตาอาร์ไบน์ดูเลื่อนลอยพิกล ผม และบลัดย่อตัวลงข้างเด็กผมเขียว น้ำหยดเจิ่งนองพื้น ลานกว้างหยุดเคลื่อนไหวแล้ว (ขาขึ้นกลับเร็วกว่าขาลงเสียอีก)
“สถานการณ์เป็นไงบ้าง?” บลัดถาม อาร์ไบน์ตอบมา สายตาไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
“เซนส์ไม่อยู่แล้วครับ ผมไม่รู้ว่าหายไปไหน” ผมถามต่อว่า
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” มือปัดผมไปทางด้านหลัง
“ยังอยู่กันครบครับ ไม่มีใครเคลื่อนไหวไปไหนแม้แต่คนเดียว” ผมลุกขึ้น
“ดีล่ะ ไปกันเถอะ” ผมออกวิ่งแต่โดนคว้าคอเสื้อจากทางด้านหลัง เล่นเอาขาผมลอยไปในอากาศ
“อย่างนี้เร็วกว่า” วัยรุ่นผมขาวดึงคอเสื้อผมจนผมเซไปชน และทันใดนั้น เราทั้งหมดก็ขึ้นมาลานกว้าง
“ตอนนี้ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุดครับ พวกคุณขึ้นไปกันก่อนเลยก็ได้” อาร์ไบน์กดจั๊กแร่กอย่างรวดเร็ว ตรวจสอบคนอื่นๆ ที่ถูกตรึงอยู่กับที่ ผมกดจั๊กแร่กเพื่อตรวจสอบที่อยู๋ของเซนส์อีกครั้ง มันยังคงอยู่ที่ลานกว้างด้านทิศตะวันตก
“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ เขาถอดทิ้งไว้ คงรู้ว่ามีสัญญาณติดตาม” อาร์ไบน์ตอบคำถามผมเสร็จสรรพ คนอื่นๆ ยื่นนิ่งไม่กระดุกกระดิก แม้แต่ตาก็ไม่เคลื่อนไหว ผมวิ่งไปตรงกลาง และหยิบแก่นแท้ฯ ออกมา แตะมันเข้าที่หัว ภาพความทรงของทุกคน เซนส์เดินออกไปทางนั้น ทางเดินทิศเหนือ ผมใส่แก่นแท้ฯ ลงในกระเป๋า
“ได้การแล้ว ไปกันเถอะ” ผมวิ่งนำ และจู่ๆ ผมก็ถูกอุ้ม
“ไปอย่างนี้เร็วกว่ามั้ง” บลัดพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว ทางที่มุ่งไปไม่มีทางแยก เป็นทางสายเดี่ยวๆ เหมือนทางทั้งหมดหายไป เรากำลังเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ
ความคิดหนึ่งแว่บขึ้นมาในใจ “เดี๋ยวก่อน แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้เนี่ย” บลัดยังคงพุ่งไปด้วยความรวดเร็ว และดูเหมือนจะเร็วขึ้นไปอีก “เออ ช่างเถอะ เดี๋ยวถึงแล้วก็คงนึกออกเองมั้ง” แต่วิธีแรกที่ผมคิดคือ โน้มน้าวให้เลิกเสียก่อน (ซึ่งไม่น่าจะได้ผล)
ทันใดนั้น พื้นสั่น สะเทือนอย่างรุนแรง เสาที่รายล้อมเคลื่อนไหว ทางเรียบเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งขยับอย่างรวดเร็ว
“แยกกัน” บลัดพูดและปล่อยผมทันที เสาประกบกันบ้าง แยกออกจากกันบ้าง พื้นที่ปิดสนิทจู่ๆ ก็เกิดช่องว่างขึ้น พื้นยกตัวขึ้น
“ตูม! กึง!” เสาเฉียดหัวผม พื้นยุบ
“เล่นเกมส์อีกแล้วหรือเนี่ย” ผมกระโดดหลบไปมา เศษฝุ่นฟุ้งกระจายจากการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง กลิ้งตัวหลบ กระโดดเกาะพื้นที่เปลี่ยนระดับ ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายไปหมด หรือจริงๆ แล้ว ที่นี่เองคือสิ่งที่เซนส์ต้องการ
ผมเริ่มจับจังหวะของการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ได้ แต่มันเร็วจนผมเริ่มจะตามไม่ทัน “เอาวะ” ผมหยิบแก่นแท้ฯ แตะเข้าที่หน้าผากอีกครั้ง แล้วรีบเอาออกอย่างรวดเร็ว “แก่นแท้ฯ สมชื่อจริงๆ” ผมชักปืนออกมาแก่นแท้ฯ มันค่อยๆ เข้าไปในปืน เหมือนกับทรงกลมสีดำของบลัด ผมกดจั๊กแร่ก และวิ่งต่อ
เสาเคลื่อนไหวมาทั้งแนวขวาง แนวตั้ง และแนวดิ่ง แสงสะท้อนวิบวับของแสงแดดทำให้ตาผมเริ่มเบลอ
“ระบบทำงาน” สัญญาณบ่งบอกมาถึงแล้ว เสาใหญ๋พุ่งมาข้างหน้า กระแทกเข้าที่อกผม ร่างกระเด็นไปนอนกับพื้น เสาต้นใหญ่หล่นลงมาจากด้านบน ผมยิงปืนไปทันที
“ปัง!” เสาเคลื่อนไหวด้วยความเชื่องช้า เหมือนหอยทากกำลังเดิน ผมกลิ้งตัวหลบออกมา
“กึง!” เสากระแทกเข้ากับพื้น เป็นอันว่าแม้แต่เวลาพักหายใจก็น้อยเต็มที
“โอ้ย! เหนื่อยโว้ย” ผมวิ่งไป และยิงปืนทุกเสาที่ขวางหน้าผม แต่ว่า
“ตึง!”
“อ๊อก” เสาพุ่งมาจากด้านข้างในแนวขวาง “ฮึ้ย! ไม่ทันนึกเลยแฮะ” แรงกระแทกที่ชายโครงข้างซ้าย ส่งผลให้ผม “อึก! กระดูกซี่โครงเรอะ” มือขวาผมลั่นไกถี่กว่าเดิม และเคลื่อนไหวไปเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ ทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง ทางเดินที่รายล้อมด้วยเสาหินตั้งๆ หายไปทั้งหมด เหลือเพียงทางต่างระดับสลับกันไปมาอย่างซับซ้อนน่าเวียนหัว (ซึ่งบริเวณตรงกลางของเกาะอยู่สูงที่สุด) เสาหินโค้ง พื้นสูง มีช่องว่างมากมาย แสงสีแดงแผ่ออกมาเป็นเส้นๆ จากทุกสารทิศ
“หัวแตก กระดูกซี่โครงหัก ขาซ้ายเดาะ กระดูกข้อเข่าขวาแตกเรอะ” ผมบ่น หายใจแทบไม่ทัน “ให้ตายสิ” ผมกดปุ่มระบบรักษาอีกครั้ง บลัดโผล่ออกมา โดยไร้รอยขีดข่วน
“โอเคไหม” บลัดถามผม และยังไม่ทันที่ผมจะตอบ “เร็วๆ เข้า ผมจะไปตั๊นหน้าไอ้หมอนั่นแล้ว” บลัดอุ่มผมขึ้นหลัง แล้ววิ่งๆ กระโดดไปบนทางต่างระดับ มุ่งสู่ใจกลาง มือขวาผมกำปืนแน่นขึ้น ฝ่ามือเริ่มชื้น
“ไม่มีแผลเลยนะ” ผมอิจฉาบลัดนิดๆ แล้ว
“แบบที่ผมเข้าไปซ่อนในตัวคนอื่นนั่นล่ะ” การกระโดด และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วทำให้ผมเจ็บแผลไม่น้อย และแล้วเราก็มาถึงจุดหมาย
ด้านบนมีภาพโฮโลแกรมขนาดยักษ์ฉายอยู่ เป็นรูปของข้างล่าง หินอ่อนเรียงตัวเป็นอัฒจรรย์อันสวยงาม ด้านล่างมีพื้นที่กว้างยกพื้นสูงขึ้นมาเหมือนเวทีประลองทรงแปดเหลี่ยม ผู้ชมนั่งอยู่สองสามคน ขยับได้เพียงส่วนคอเท่านั้น
“อาร์ไบน์ นายมาเร็วจังนะ” ผมส่งกระแสจิตแซว
‘แย่แล้วครับ’ เสียงปรบมือดังกังวาน
“ยินดีต้อนรับท่านผู้ชมสุดพิเศษ” เซนส์ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวที
“เฮ้ย! ปล่อยฉันนะเว้ย แน่จริงมาต่อยกันซิวะ ฉันไม่ชอบขี้หน้าแกมานานแล้ว” บูลตะโกนจนหน้าแดง
เซนส์มองไปทางบูล และตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ “เป็นผู้ชมก็อยู่เงียบๆ เฉยๆ สิ หรือว่าอยู่แบบเมื้อกี้จะดีกว่า” บลัดไม่ปล่อยให้เสียโอกาส พุ่งเข้าไปจากทางด้านหลังทันที และแล้ว บลัดก็หยุดค้างกลางอากาศ “เฮ้อ! โดนแล้วไม่จำสักคนน้า แต่แบบนี้ก็ดี ฉันล่ะชอบนักเวลาที่ขัดใจคนอื่นๆ เนี่ย” เซนส์เดินไปทางบลัดที่นิ่งอยู่ ปากและตาเท่านั้นที่ยังขยับได้
“แก ไอ้บัดซบ แกอย่าคิดว่า
” เซนส์ตัดบท
“แค่นี้ก็หยุดแกได้ ฉันคุมไปทั้งหมดนั่นล่ะ ไม่ใช่แค่เปลือกนอก ขืนแกกลายเป็นหมอกอีก ฉันก็คงเบื่อแย่เลย” เซนส์เดินไปพินิจพิเคราะห์บลัด จากนั้นก็หันมาพูดกับผม
“ไงล่ะ ไม่เจอกันมานานเลยนะ แววตานั่นทำให้ผมนึกออกเสียที” ผมหัวเราะเสียงดัง
“นั่นสินะ ไม่เจอกันตั้งนาน ฉันก็เพิ่งจะนึกออกเมื่อกี้นี้เอง” ผมยกปืนชี้ไปทางเซนส์ ไม่สิ โอรอสต่างหาก
“เฮ้ๆ คุยกันสบายๆ หน่อยไม่ได้หรือไง” เซนส์แบมือออกทั้งสองข้าง ผมยิงกระสุนออกไปทางขวา
“กิ๊ง!” ด้ายโลหะเส้นเล็กขาดทันที
“คุยกับพวกกลเยอะน่ะเหรอ มันจะง่ายไปหน่อยล่ะมั้ง” เซนส์ทำหน้าทึ่งเล็กน้อย เดินลงบันไดเวทีมาทางผม
“ทำไมหรือ อยากทำตัวเป็นวีรบุรุษทำไม?” ผมลดปืนลง เดินเข้าหาโอรอส “ปรกติไม่ทำตัวเด่นไม่ใช่หรือ?”
“อา! ไม่ใช่อยากเด่นหรอก แค่หันมาเหลียวมองสิ่งที่ไม่เคยเหลียวน่ะ” เราทั้งคู่เดินสวนกัน
“เหลียว? เหลียวอะไร ธรรมชาติหรือไง สัตว์โลก ความรู้สึกงี่เง่า หรือเหล่ามนุษย์โสมมล่ะ” ผมไม่ค่อยถูกกับพวกที่ลืมกำพืดตัวเองเลย
“นายก็เคยเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ คิดจะลองเป็นพระเจ้าดูหรือไง” ผมย้อนถาม เพื่อเก็บข้อมูล
“รู้ไหม ว่าทำไมทุกคนถึงเชื่อว่าพระเจ้า หรือสวรรค์ต้องอยู่ด้านบน” โอรอสหยุดเดินแล้ว
“เพราะว่าเห็นทุกอย่างได้ล่ะมั้ง หรือนายว่าไม่ใช่” ผมเดินไปถึงบันได หันหลังและนั่งลง
“เพราะข้างบนมันเหนือกว่า มันสั่งได้ ชี้นำได้ สรุปคือคุมพวกที่อยู่ข้างล่างได้ไง หรือจะบอกว่าตามแผนผังในสำนักงาน พวกหัวหน้าจะอยู่ข้างล่างล่ะ” ฟังดูมีเหตุผลดีแฮะ
“งั้นฉันกับนายก็คงเป็นพระเจ้าเหมือนกันสินะ หรือจะบอกว่ามีหลายคนไม่ได้” ผมย้อนถาม
“นายไม่ใช่ เพราะนายไม่ได้คิดจะจัดการอะไร นายก็แค่ปล่อยให้มันเดินไปเรื่อยๆ นายเป็นอย่างนี้มาตลอด” ผมเกาหัวตัวเอง
“จะบอกอะไรให้นะโอรอส เมื่อก่อนอาจเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้แม้การกระทำจะออกมาเหมือนกัน แต่รับรองว่าไม่เหมือนกับที่นายคิดแน่” จะออกหัวออกก้อย รู้กันก็คราวนี้ล่ะ
“แล้วนายคิดยังไงของนายล่ะ คงไม่ใช่มาพรรณณาความรู้สึกงี่เง่าให้ฉันฟังนะ” ผมยิ้มๆ แล้วตอบกลับไปว่า
“นายไม่คิดหรือว่าการปล่อยให้พวกนั้นได้ดำเนินชีวิตตามครรลองตัวเอง มันดีกว่า เหมือนที่นายกำลังทำสิ่งที่นายอยากจะทำไงล่ะ” ผมไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวได้หรือเปล่า
“ฉันก็กำลังจะทำอยู่นี่ไงล่ะ แล้วนายไม่คิดหรือว่า การกระทำที่ทำให้ชีวิตอื่นๆ เดือดร้อน ธรรมชาติ สัตว์มากมายต้องสูญพันธุ์ มันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องหรือ แม้เวลาผ่านมานานแต่พวกนี้ก็ไม่เคยแก้ไข”
“แก้ไขนะ” ผมค้านช่วย
“แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ให้ดีขึ้นเลย นายไม่คิดหรือว่า พวกมันควรล่มสลายน่ะ” หลังโอรอสพูดจบ บูลตะโกนออกมากลางปล้องว่า
“เสียเวลาคุยทำไม อัดมันเลย” และทันใดนั้นบูลก็เงียบ ปากอ้าค้างอยู่อย่างนั้น เห็นเพียงลูกตาที่ขยับไปมา
“โดนเสียทีท่าจะดี” ผมคิดในใจ “มันก็จริงของนายน่ะนะ อยู่ไปก็ไม่เจริญขึ้น สู้ทำลายทิ้งเสียดีกว่า แต่นายไม่คิดมั่งหรือว่า ทำอย่างนี้เราก็ไม่ต่างจากพวกมนุษย์ที่นายรังเกียจหรอก” แล้วก็ยกเลิกเสีย กลับบ้านกันดีกว่า
“ถ้าฉันยอมแบกรับไว้ทั้งหมดคนเดียว ดาวดวงนี้คงจะฟื้นขึ้นได้” โอรอสพูด แล้วจ้องมองท้องฟ้า
“อ๋อเหรอ แล้วให้สัตว์โลกที่เรียกว่ามนุษย์สูญพันธุ์ไปน่ะนะ ชีวิตของตนเอง ต้องดูแลเอง ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็เหมือนกัน เพียงแต่มนุษย์ปรับธรรมชาติเข้าตัวเองเท่านั้น ทำลายอารยธรรมแล้วก็เริ่มใหม่ก็ได้นี่ เหมือนหมู่บ้านของอาร์ไบน์ไง” แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมก็ต้องขอให้ทุกท่านเสียสละความสบายส่วนตัวเพื่อโลกใบนี้กันล่ะ
“หมู่บ้านนั้น มันก็แค่อุดมคติเท่านั้นล่ะ เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เหมือนกับที่นายพยายามจะโน้มน้าวฉันนั่นล่ะ” โอรอสหันกลับมา ชักดาบเคลย์มอร์แล้วชี้หน้าผม
“รู้สึกว่าเราจะรู้ใจกันมากไปหน่อยนะ” ผมยืนขึ้น แล้วเดินขึ้นเวทีไป
“ยังไงก็คงคิดที่จะขัดขวางสินะ” ผมพยักหน้าตอบ
เราทั้งสองขึ้นเวทีเรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้ชมหกคนดูอยู่
บทที่ 33 เราแค่สองคน
จริงสิ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโอรอสจะทำลายมนุษยชาติด้วยวิธีไหน ถ้าผมหันไปยับยั้งแผนการนั้น มันจะไม่ง่ายกว่าหรือ (แต่ผมรู้สึกว่าช้าไปเสียแล้ว)
“นานแล้วสินะ ที่ไม่ได้อยู่กันสองต่อสองแบบนี้” โอรอสรำลึกถึงความหลัง จิ้มดาบกับพื้น
“นั่นสิ แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้านายยังมัวแต่เล่นด้ายล่ะก็ ระวังต้องไปงมหัวถึงใต้มหาสมุทรนะ”
“ขอบใจที่เตือน แต่ฝันไปหรือเปล่า” ชั่วอึดใจ ระบะห่างเกือบสิบเมตร ก็เหลือเพียงไม่ถึงห้าสิบเซนติเมตร
“แก๊ง!” ตัวกระบอกปืนปะทะเข้ากับดาบเล่มใหญ่ที่ฟันลงมาจากด้านบน ร่างผมทรุดลงไปในท่าคุกเข่า สองมือประคองปืนรับน้ำหนักไว้
“เอ้า เริ่มได้แล้ว ไม่เห็นเจ๋งอย่างที่พูดเลยนี่นา” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่หน้าของเขา
“เดี๋ยวก็รู้” ผมเบี่ยงกระบอกปืน และหมุนตัวด้วยเข่า ดาบเล่มโตร่วงหาพื้น ปากกระบอกปืนกระแทกเข้าที่หน้าของฝ่ายตรงข้าม
“ปึก!” กระแทกเข้าที่หว่างคิ้วพอดี
“จบง่ายไปมั้ง” ผมเหนี่ยวไก
“ปัง!” กระสุนเจาะทะลุเข้าที่หว่างคิ้ว เลือดพุ่งออกมา หัวโอรอสหงายไปด้านหลัง ร่างนั้นลงไปนอนกับพื้นแน่นิ่ง
“นอนเล่นสักพักละกันนะ” ผมประทับปืนเข้ากับหน้าผาก ดึงข้อมูล และยิงกระสุนใส่ทุกคน ทันใดนั้นพันธนาการที่มองไม่เห็นก็คลาย
“ชิ ไม่เหลือให้ผมเลยนะ” บลัดดูหงุดหงิดนิดๆ แต่ก็รู้ว่าอารมณ์ดีขึ้น (กว่าตอนที่โดนจับอยู่)
“เฮ้อ! ขยับได้สักที” โนสบ่นพร้อมกับบิดตัวไปมา
“จบแล้วเหรอ” เอียร์มองไปทางร่างที่แน่นิ่ง
“ทุกคนรีบไปก่อนเถอะ เราต้องหาให้ได้ว่า โอรอสกำลังทำอะไร” ผมแนะนำ
“ใช่ และปล่อยให้เราเล่นสนุกกันหน่อย ส่วนพวกหนูๆ ก็ไปเล่นเกมส์นับถอยหลังสู่หายนะกันนะ” โอรอสพูด และค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง “อูยเจ็บแฮะ จะเริ่มยกสองกันได้หรือยัง” เลือดไหลลงมาเป็นทาง จากหว่างคิ้ว ผ่านจมูกจนถึงคาง
ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง กระสุนเจ็ดนัดยิงไปทางร่างที่กำลังนั่งอยู่ทันที
“พิ้งๆ พิ้งๆ พิ้งๆ พิ้ง” โอรอสหมุนตัว ตีลังกาหลบ และกลับมาอยู่ในท่ายืน
“เมื่อกี้น่าจะซ้ำให้ความจำเสื่อมไปเลยน้า” ปืนยังคงเล็งไปที่เป้าหมาย นิ้วยังคาอยู่ที่ไกปืน
โอรอสค่อยๆ หยิบดาบขึ้นมาจากพื้น มือปัดเลือดที่หน้าออก “เอาล่ะ มาเล่นกันต่อดีกว่า” คราวนี้เขาแสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยวทั้งสองข้าง บลัด บูล และโอลแมนเดินมาจากด้านหลังผม
“บอกให้ไปไงเล่า” ผมรีบไล่ทั้งหมดให้ไป
“หลายคนคงจะดีกว่าล่ะมั้ง” โอลแมนพูด บิดมือ และหักนิ้วไปมา
“ขอเอาคืนเมื่อกี้หน่อยละกัน” บูลหยิบขวานออกมา
“แกกับฉันยังมีบัญชีค้างกันอยู่นะ” บลัดดึงถุงมือทั้งสองข้างออก เก็บใส่กระเป๋า ไอสีแดงลอยออกมาจากทั่วร่าง
“ต่อให้ก็ได้นะ หวังว่าคงจะสนุกขึ้นอีกหน่อยนะ” พริบตาโอลแมนก็ออกหมัดเข้าที่ด้านหลังของโอรอส (เคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก)
“ให้มันได้อย่างนี้สิ” บูลพูดเสียงดัง เงื้อขวาน และเหวี่ยงเข้าที่ร่างของโอรอสที่อยู่กลางอากาศ โอรอสพลิกตัว ดาบประทะเข้ากับขวาน ร่างกระเด็นลอยสูงขึ้นไปอีก
“สวบ!” บลัดพุ่งตามขึ้นไปเสียงมือทะลุหน้าอกของโอรอส โอรอสตวัดดาบ ตัดแขนบลัดขาดทันที
“ปล่อยหน่อย เหลิงกันใหญ่เลยนะ” เขายกแขนขึ้น เสียบดาบเข้าที่หน้าอกของบลัด แรงแทงทำให้ร่างของทั้งคู่กระแทกกับพื้น วัยรุ่นชุดแดงหลังกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง ดาบที่คาอยู่ทะลุเข้าไปในพื้นหิน
“รอเล่นตาหน้านะ” โอรอสบิดดาบ และสับดาบลงเหมือนสับสวิทช์เข้าไปทางหัวของบลัด
“ปัง!” ดาบเปลี่ยนทิศทางทันที โอรอสหันมามองผม ร่างของบลัดค่อยๆ สลายเป็นหมอกสีแดง
“โดนข้อมือคงจะจับดาบยากหน่อยนะ” ผมยิงซ้ำไปตามข้อต่อต่างๆ อีก
“ปังๆ ปังๆ” ผมเห็นเขาแยกเขี้ยวด้วยความโมโห
“ขี้โกง เล่นรุมนี่หว่า ไอ้พวกหมาลอบกัด” โอรอสตะโกน บูลสวนกลับทันควันว่า
“เฮ้ยๆ พวกพระเอกเขาเรียกสามัคคีบาทาเว้ย แล้วอีกอย่างนะ แกให้พวกเราเล่นอย่างนี้เองนะเว้ย” ว่าแล้วบูลก็พุ่งเข้ามา เหวี่ยงขวานเข้าที่ด้านซ้ายของโอรอส ร่างนั้นหงายหลังหลบอย่างสวยงาม และจับดาบขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่เขายกแขนขึ้น ดาบก็สั่น
“เอาไปก่อนสักดอกละกัน” ดาบถูกเหวี่ยงเขาที่สีข้างของบูล บูลกระโดดถอยหลังหลบ แต่ไม่พ้นสักนิดเดียว ดาบฟันเข้าที่ชายโครงซ้าย
“กึง!” เท้าซ้ายเล็กๆ ยันดาบเล่มโตไว้ โอลแมนกระโดดตวัดขาขวา เตะเข้าที่ปลายคางอย่างจัง เด็กหนุ่มตัวหมุนกลางอากาศ และส้นเท้าก็เสยเข้าจากใต้คาง ผมดูเพียงแค่นั้นก็วิ่งออกไปจากบริเวณ
“เฮ้ย อย่าหนีสิวะ” โอรอสตะโกนตาม บูลกระแทกปลายขวานเข้าที่ท้องจนเขาตัวงอลงไปกับพื้น
“โชคดีนะทุกคน”
บทที่ 34 เร็วๆ เข้า
สำหรับผม คติประจำใจของการต่อสู้ก็คือ “ไม่จำเป็นต้องสวยหรู แค่ทำให้เป้าหมายสำเร็จโดยเสียหายน้อยที่สุดก็พอ” ศักดิ์ศรี และเกียรติมันก็ดีนะครับ แต่มันไม่ทำให้เรารอดตายหรอก
ผมวิ่งกระโดลงไปตามทางต่างระดับ ลงไปข้างล่าง
“ถ้าขึ้นไปด้นบนสุดของอัฒจรรย์ อาจจะรู้ก็ได้ว่าโอรอสจะทำอะไร” เพราะฉะนั้นผมจึงลงมาทางด้านล่าง ถ้าโอรอสไปหา จะได้ไม่เจอ
ผมหลบที่ช่องระหว่างเสาหินช่องหนึ่ง “อับสายตาดี” ผมยกปืนจรดกับหน้าผากอีกครั้ง ทำใจให้ว่าง ปล่อยจิตใจให้ล่องลอย สัมผัสกับเกาะลอยฟ้านี้อย่างเต็มที่
“พลังงานกำลังไหลไปรวมตัวกันด้านล่าง ปริมาณขนาดนี้ทำลายเกาะได้หนึ่งเกาะ แต่ไม่ได้ใช้สำหรับยิงแบบปืนใหญ่ มันกำลังถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของคลื่นความถี่ระดับหนึ่ง ซึ่งจะมีผลกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงไปเบื้องล่าง”
“กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผมออกจากที่ซ่อน พร้อมกันนั้นก็ลงไปยังจุดที่กำลังรวบรวมพลังงาน
“อาร์ไบน์ นายอยู่ที่ไหน” ตอนนี้ผมต้องการผู้ช่วยด่วนเลย
‘อยู่ด้านบนกับโนสและเอียร์ครับ ที่นี่มีแผงควบคุมอะไรก็ไม่รู้’ ถ้ามีแก่นแท้ฯ อยู่ เด็กอนุบาลก็รู้ว่ามันคืออะไร
“จัดการได้ไหม” ผมถามไปทางฝั่งนั้น ถ้าทำได้ผมจะได้ไม่ต้องวิ่งไปข้างล่าง
‘เดี๋ยวลองกดดูนะครับ’
“เฮ้ย! ถ้าไม่รู้อย่าซี้ซั้วกด” แต่รู้สึกจะสายไปแล้ว
‘เหมือนระบบกำลังเริ่มนับอะไรอยู่ก็ไม่รู้ครับ’ (เอาล่ะสิ) ผมขอตัวช่วยทันที
“ส่งเอียร์มาที่นี่มันที ด่วน!” หวังว่าคงไม่มีมุขตลกส่งมาผิดคนนะ
‘เดี๋ยวนะครับ’
“ตุบ!” ผมหันไปมองรอบๆ ไม่เห็นมีอะไร หรือว่าผมหูฝาดไป
“ตุบ!” คราวนี้ผมรู้สึกเลยว่าเสียงอยู่ใลก้ๆ กับที่ที่ผมอยู่
“ปัง!” ผมลั่นไก และรีบวิ่งออกจากที่ซ่อนทันที เล็งปืนมองไปรอบๆ ไม่มีอะไรอยู่ ไม่สิ หรือว่ามีแต่เราไม่เห็น และทันใดนั้นหางตาผมก็เห็นบางอย่าง ผมหันไปอย่างรวดเร็ว ปืนจ่อที่หน้าผากของเป้าหมาย
“อ๊า! นี่เราเองนะ” เอียร์นั่นเอง ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ทันใดนั้น
“ฟ้าว!” ผมกอดเอียร์และรีบกระโดดลงไปด้านล่าง
“ฉึก!” บางอย่างคล้ายลูกดอกแทงเข้าที่หลังของผม ผมเสียการทรงตัวทันที และกำลังจะล้มลงไปข้างล่างทั้งคู่ (ซึ่งมันคงจะเจ็บหนักน่าดู)
เอียร์ผละออกจากผม ไปที่พื้นด้านล่าง และประคองร่างผม ขาผมสัมผัสพื้นแบบที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ผมกระชากลูกดอกออกออกจากหลัง
“เราต้องรีบไป มีบางอย่างจับตาเราอยู่” ผมจูงมือเธอและกระโดดลงไปตามพื้นต่างระดับด้านล่าง เธอตามมาโดยที่แขนของเราทั้งสองไปเคยตึงสักครั้ง (เราเข้าขากันดีสุดๆ)
เธอปล่อยมือ และลงมากับผมด้วยความเร็วแทบจะบิน “ลงมาก็ต้องหนีอีกแล้วหรือเนี่ย”
“ด้านบนเกิดอะไรขึ้น” ผมถามโดยไม่หันหลัง ตั้งหน้าตั้งตาลงไปข้างล่าง
“เซนส์ขึ้นมาด้านบน” ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ผมนึกว่าเขากำลังเล่นกับสามคนนั่นอยู่เสียอีก” ทันใดนั้นอาร์ไบน์ก็ส่งกระแสจิตมา
‘เซนส์เล่นวิ่งไล่จับแทนครับ ส่วนสามคนนั้นกำลังรอรอบใหม่” โดนจัดการกันเรียบร้อยแล้วหรือเนี่ย
“แล้วนายล่ะ” ผมถามอาร์ไบน์
‘ผมกับโนสได้ที่นั่งพิเศษริมเวทีการแสดงเลยครับคราวนี้’ จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมา
“ประกาศๆ” เป็นเสียงของเซนส์นั่นเอง “เรียนท่านผู้ชมทุกท่าน ขณะนี้การแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจครั้งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ของให้ทุกท่านมาจับจองที่นั่งชั้นบนสุดด้วย และโปรดมาอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นเราจะไม่รับประกันความปลอดภัยจากพนักงานทำความสะอาดสถานที่ ขอบคุณที่ใช้บริการ” สิ้นเสียงก็มีเสียงกระดิ่งดังแบบที่ใช้ในห้างเวลาประชาสัมพันธ์
“อย่างนี้แสดงว่าอาจมีมากกว่าหนึ่งนะเนี่ย” ผมคิดในใจ และหยุดวิ่งทันที
“อ้าว! หยุดทำไมล่ะ” ผมทำมือให้เอียร์เงียบ ยื่นหน้าไปใกล้ๆ และกระซิบเบาๆ
“ช่วยจับเสียงการเคลื่อนไหวของพวกนี้ได้ไหม” เสียงลมแผ่วของผมเซ็กซี่จนผมขนลุก
เธอตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วไม่แพ้กัน “พวกไหน”
“ตุบ!” ผมชี้นิ้วไปทางทิศทางของเสียง เอียร์ทำนิ้วบอกว่าโอเค ผมเก็บปืน กดจั๊กแร่กของผม และของเอียร์
“ทำอะไร” เธอกระซิบถาม
“ลบเสียงและทำให้เราไปได้เร็วขึ้น” เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมก็เริ่มแผน
บทที่ 35 บินลง
ผมแบกเอียร์ขึ้นหลัง เธอกอดผมแน่นจนเนื้อแนบเนื้อ แก้มซ้ายแนบแก้มขวา
“ไปล่ะนะ” ผมกลับหลังหัน ย่อขา และปล่อยให้ตัวเองหงายหลังลงไป จากนั้นผมสปริงตัวออกไปในแนวเฉียงลง ผมหมุนตัวกลับ ร่างเราทั้งคู่ลอยละลิ่วเหนือพื้นไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร ต้องขอบคุณระบบควบคุมแรงโน้มถ่วง ผู้สนับสนุนการเดินทางในคราวนี้
“ตุบ!”
“ทางเจ็ดนาฬิกา” ขาผมแตะพื้น ขยับข้อเท้า เปลี่ยนทิศทาง ความเร็วเพิ่มขึ้น สายลมปะทะและผ่านลู่ไปอย่างเชื่องช้า แรงเสียดสีต่ำลงเนื่องจากน้ำหนักที่แตกต่าง ทำให้เอียร์ได้ยินเสียงรอบข้างชัดเจนขึ้น
“ตึก!”
“สิบสองนาฬิกา เป๊ะ!” ผมหยิบปืนออกมา เล็งและยิงออกไปสามนัด
“ฉึก!” กระสุนเข้าเป้าหนึ่งนัด เสียงเหมือนเศษทรายไหลกระทบพื้นดังอยู่ที่นั่น ผมกระโดดสูงขึ้นข้ามตรงตำแหน่งนั้น เสียงค่อยๆ ไกลออกไป
“บอกเป็นวินาทีได้จะดีมากเลยนะ” ผมหันไปหอมแก้มขอบใจก่อนจะมุ่งหน้าลงไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาพรอบๆ เริ่มเบลอ เอียร์กอดผมแน่นขึ้นไปอีก
“เร็วไปแล้ว” ผมเห็นเธอหลับตาปี๋
“แค่นี้ล่ะ อย่าละสมาธิจากการฟังสิ”
“ข้างซ้าย” เธอตะโกนบอก
“ทิศเท่าไรล่ะ” ทันใดนั้นขณะที่ผมกำลังเหยียบพื้นเพื่อจะพุ่งต่อไปนั้นขาผมก็สะดุดอะไรบางอย่าง
“แย่แล้ว!” เราทั้งคู่ลอยออกไปไกลกว่าเดิม ลอยไปข้างล่างเรื่อยๆ เราบินไปเหมือนขนนก ใช่ เราไม่สามารถควบคุมทิศทางของเราได้ และในอีกไม่นานเรากำลังจะถึงจุดวิกฤติ ผมเห็นขอบเกาะอยู่ไม่ไกลนัก
“อ๊า!” เอียร์ตะโกนข้างหูผม
“ใจเย็นน้องสาว” ผมรีบหยิบของบางอย่างที่ผมทำเก็บไว้ตั้งแต่อยู่ที่หมู่บ้าน เถาไม้ขนาดย่อมๆ ที่ผมถักขึ้นมาจากพืชแถวๆ นั้น เรื่องความยาวไม่ต้องพูดถึง ผมรีบมัดติดเข้ากับปลอกที่ผมทำไว้ เอียร์รัดคอแน่นขึ้นจนผมรู้สึกอึดอัด ผมครอบปลอกเข้ากับปากกระบอกปืน มือคล้องเถาที่เหลือไว้ เล็งเป้า ถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียว เราจะร่วงลงไปข้างล่างพร้อมๆ กับความหวังทั้งหมด
ผมมองหาเป้าเหมาะ และผมก็เจอซอกหินที่หนึ่ง อยู่เกือบๆ ริมอย่างเหมาะเจาะ “หนึ่ง
สอง
สาม
” ปืนถูกลั่นออกไป ผมยิงปืนซ้ำไปที่ปลอก เชือกพุ่งไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ปัง!..ปัง!
.ปัง!” ความเร็วพอแล้ว ถ้าไม่พลาดมันก็จะ
“ตุบ!” ปลอกหุ้มกระทบกับพื้นหินธรรมดา
“แย่แล้ว!” สมองผมคิดหาทางออกทั้งหมด คราวนี้คงเป็นตัวช่วยสุดท้ายจริงๆ มีเสาหินที่ยื่นออกมาจากตัวเกาะ ผมออกแรงตวัดเชือกทันที แต่ด้วยความยาว มันไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่
“หวงัว่ากระสุนคงจะยิงได้ไม่หมดจริงๆ นะ”ผมเล็งปืนอีกครั้ง และกระหน่ำยิงไปที่ปลอก ทิศทางของมันเริ่มเปลี่ยน พอๆ กับความสูงที่กำลังลดลง
“ทัน ทัน ทัน” ผมยิงซ้ำ เชือกเริ่มไปในทิศทางที่ควรจะเป็นแล้ว และในที่สุด
“ฟวั่บๆ! ฟวั่บ!” เชือกหมุนพันรอบเสาไว้ได้อย่างทันท่วงที แต่ไม่ได้พันทบกัน นั่นคือหากจำนวนรอบไม่มากพอ ผมคงต้องไปนอนเล่นอยู่ในน้ำอีกครั้ง
“ผึง!” เชือกตึง เราทั้งคู่เริ่มถูกเหวี่ยงเข้าหาเกาะอีกครั้ง รอบเชือกเริ่มคลายออก แปดรอบ เจ็ดรอบ หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง
เชือกหลุดออกจากเสาก่อนที่เราจะถึงพื้น ใกล้มากแล้ว อีกนิดเดียวสมองผมแล่นอีกครั้ง มือปล่อยปืน และกดปุ่มยกเลิกระบบแรงโน้มถ่วงทันที
“ตึง! ครืด!” ผมลงไปนอนไถลกับพื้น เป็นเบาะให้เอียร์เสียส่วนใหญ่
“เฮ่อๆ เฮ่อ ไอ้เรื่องตื่นเต้นนี่มันทำให้สดชื่นก็จริง แต่ไม่ดีกับสุขภาพหัวใจเลยพับผ่าสิ” ผมบ่นเสร็จก็ลุกขึ้น รีบมองหาปืนก่อนเป็นอันดับแรก
“โอ้ย!” ท่าทางเอียร์ก็เจ็บไม่เบา ผมลุกขึ้น วิ่ง และมองไปรอบๆ ฐาน
“คงไม่ได้กระเด็นหลุดวงไปหรอกนะ” ในที่สุดผมก็เจอ มันกระเด็นไปไกลน่าดูเลย กระบอกปืนฝุ่นเขรอะ ผมปัดๆ เป่าๆ และเก็บเข้ากระเป๋า จากนั้นก็วิ่งมาดูน้องสาวผมน้ำตาล
“เป็นอะไรมากไหม” ผมประคองร่างเธอลุกขึ้น แก้มเปื้อนฝุ่น และมีแผลถลอกเล็กน้อย ผมกอดเธอไว้พลางมองไปรอบๆ สิ่งต่างๆ ใต้ฐานเปลี่ยนไป เสาหลายๆ เสาตอนแรกเห็นแทงออกมาจากด้านล่างนี้หายไปหมด เหลือเพียงแท่งโลหะบางอย่างตั้งล้อมเป็นวงอยู่ตรงกลาง
“ต้องเป็นที่นี่แน่นอน”
บทที่ 36 ขี้ขลาด
เสียงกริ่งประชาสัมพันธ์ดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านผู้มีอุปการะคุณโปรดทราบ” เสียงยังคงนุ่มนวลอยู่เช่นเดิม
“ไอ้ขี้ขลาด แน่จริงอย่าหนีสิวะ ไอ้ทุเรศมาเจอกันเลย ฉันขึ้เกียจเล่นซ่อนหา หรือวิ่งไล่จับแล้วนะเว้ย การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว มาซะทีสิวะไอ้xxx” เสียงตะโกนด่าท่อสบถมาตามสาย ถ้าเป็นในห้างสรรพสินค้าของจริง เจ้าของห้างฯ ที่ได้ฟังแบบนี้ จะทำหน้ายังไงนะ
“ขอบคุณค่ะ” เสียงลงท้ายด้วยความนุ่มนวล และจบเสียงกริ่งดังอีกครั้ง
“เขาเป็นอะไรมากไหมเนี่ย” เอียร์มองหน้าผม ถามด้วยสีหน้างงๆ
“เจอเพื่อนเก่าก็เป็นอย่างนี้นี่ล่ะ” แต่ถึงผมจะนึกออก ผมก็จำอะไรไม่ได้มากนักหรอก (มันผ่านมาตั้งกี่ร้อย กี่พันปีแล้ว) “มาทางนี้กันเถอะ” ผมจูงมือเอียร์ไปที่แก่นกลางของฐาน เสียงวิ้งๆ ของเครื่องยนต์ดังไพเราะน่าฟัง แสงสีฟ้าขาว และเขียวจางๆ ไหลไปไหลมาในสารพัดสายสารพัดท่อนั้น
“สวยจังเลย” เอียร์มองดู แล้วอดไม่ได้ที่จะชม ส่วนตัวผมก็คิดว่ามันสวยเช่นกัน แต่ตอนนี้ เราต้องหยุดยั้งความสวยงามเหล่านี้ก่อน
“เอียร์ ยื่นหน้ามาใกล้ๆ ผมหน่อยสิ”
“ใกล้ขนาดไหนล่ะ เธอยื่นหน้ามาใกล้ผม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสะท้อนแต่เงาของผม
“เอาขนาดจมูกชนจมูกเลย” เธอยื่นหน้าใกล้เข้ามาอีก ผมรู้ตัวเลยตัวเองกำลังใจเต้นเร็วขึ้น ส่วนเอียร์ก็หน้าเริ่มแดง
ผมหยิบปืน แตะระหว่างหน้าผากของเราทั้งสอง
“ตกใจหน่อยนะ” ผมเพ่งจิตไปที่เครื่องยนต์ทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้า สติเราหลุดออกจากร่าง เข้าเชื่อมต่อกับระบบของเครื่องจักรเหล่านั้น
เป็นความรู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นมีจังหวะ และความซับซ้อนกว่าร่างกายที่เราใช้อยู่ตกวันเสียอีก ธรรมชาติคือสิ่งสุดยอดที่รังสรรค์ให้ร่างกายของเราทำงานประสานสอดคล้องกันได้อย่างดี ตอนนี้ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวไปมา พลังงานที่มุ่งไปสู่จุดเดียวกัน และพลังงานจากส่วนอื่นๆ ที่ค่อยๆ ลดลง ทางที่จะระบายพลังงานเหล่านี้ให้กระจายสู่ระบบตามเดิม ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่านโปรดทราบ ขณะนี้เหลือเวลาอีกห้านาทีก่อนจะเริ่มการแสดง ขอให้ผู้ชมทุกท่านประจำที่นั่งด้วย ขอบคุณค่ะ” เสียงกริ่งดังตามมาดังเช่นที่มันเคยเป็น
“เดี๋ยวก่อน ถ้าเราผสานเข้ากับเครื่องนี้แล้ว เราน่าจะเปลี่ยนกระแสของมันได้นี่นา” ผมคิดได้ดังนี้ก็ลองทำดู ผมลองควบคุมกระแสของพลังงานให้ไปในทิศทางอื่น แต่ได้ผลเพียงน้อยนิดเท่านั้น “เพราะเครื่องจักรถูกมนุษย์กำหนดตายตัวไม่เหมือนธรรมชาตหรือเปล่านะ” ผมลองพยายามอีกครั้ง แต่ไร้ผล ผมดึงสติของตัวเอง และของเอียร์กลับมา
“รู้หรือเปล่าว่าต้องเปลี่ยนอะไรตรงไหนบ้าง” ผมถามเอียร์ที่ยังดูอาการมึนเล็กน้อย
“พอรู้ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบกลับมา ผมหยิบปืน กดจั๊กแร่ก แล้วเล็งปืนไปตามพื้น
“งั้นเริ่มล่ะนะ”
บทที่ 37 นายต้องทำอย่างนั้นแน่ หยุดฉันสิ
เวลาผ่านไปครบยี่สิบนาทีแล้ว เซนส์ออกเสียงประชาสัมพันธ์อีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงกริ่ง ไม่มีมุขปัญญาอ่อนไร้สาระอีก
“น่าเสียดายนะ ที่นายไปยอมมา นึกว่าเราจะได้ดูการแสดงด้วยกันเสียอีก เอาไว้รอดูสภาพผู้ชมหลังชมการแสดงชุดนี้แทนก็แล้วกัน” เซนส์ยืนอยู่ที่เวทีพื้นบริเวณนั้นยกสูงขึ้นมาจนสูงเท่ากับอัฒจรรย์ เขาทำท่าเหมือนวาทยากรกำลงัจะนำวงดนตรี
“เสียใจด้วยนะ” ผมยืนพูดมาจากอัฒจรรย์จากจุดที่สูงที่สุด เซนส์หันกลับมามอง “แต่เกิดเหตุขัดข้องบางประการจึงทำให้การแสดงยังไม่อาจเริ่มได้” ผมแบมือ ยักไหล่ทั้งสองข้าง
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่านายต้องทำอย่างนั้น เพราะเพื่อนๆ นายหยุดฉันไม่ได้” เขาบีบมือหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ “แล้วนายก็ต้องมาหาฉัน เพราะฉันจะใช้วิธีอื่นๆ อีกนับสิบวิธีที่มีดำเนินการแสดงของฉันต่อ เพราะฉะนั้น” เซนส์ชักดาบออกมาจากเอวข้างซ้าย “นายไม่มีโอกาสให้หนีอีกแล้ว”
เสียงผู้ชมท่านอื่นๆ โวยวายโหวกเหวก แต่ผมไม่ได้สนใจหรอก “ก็ดี ฉันก็ไม่อยากจะไปแก้ระบบเป็นสิบๆ รอบเหมือนกัน อย่างนี้ก็ไม่ต้องเล่าสินะว่าฉันทำอะไรไปบ้าง” ผมชักปืนออกมา
“แค่รู้ว่าตอนนี้ มีโชว์เล็กๆ ก่อนเริ่มการแสดงก็แล้วกัน” เซนส์จับด้ามดาบ ชี้มาทางผม ผมเดินหันข้าง เคาะปืนเข้ากับไหล่
“แน่ใจหรือว่าโชว์เล็กๆ” ผมหันไปมองคนอื่นๆ ที่ยังนั่งอยู่ “แล้วอย่างนี้ผู้ชมไม่โดนลูกหลงหรือไง” เซนส์เดินแล้วหันปลายด้ามไปทางกลุ่มที่นั่งอยู่
“ตูม!” ควันระเบิดถูกพัดผ่านไปด้วยสายลม ผู้ชมยังคงนั่งอยู่ทีเดิม
“ป้องกันไว้เรียบร้อยแล้ว ปล่อยให้เชียร์กันอยู่ในนั้นล่ะ” เซนส์ดีดนิ้ว ทุกคนลุกขึ้น ผมพอเดาได้ว่ากำลังก่นด่านักแสดง
“โฮ่! ใช้อาวุธระยะไกลแล้วเหรอ อย่างนี้ก็เสมอกันแล้วสิ” เซนส์ยิ้ม นิ้วชี้ที่จับด้ามอยู่กระดิก
“ตูม!” บริเวณที่ผมเคยยืนอยู่เดิระเบิดอย่างรุนแรง แรงอัดอากาศทำให้ผมพุ่งลงมาข้างล่าง ผมยิงกระสุนฝ่ากลุ่มควันออกไป ณ ตำแหน่งที่เซนส์ยืนอยู่ เสียงกระสุนกระทบพื้นทั้งหมด ผมลงมายืนอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง
“ไม่เสมอหรอก” เซนส์อยู่ข้างหลัง
“ฟุ่บ!” ดาบตัดอากาศเหนือหัวผมจากซ้ายไปขวา ผมเตะตัดขาทันที แต่ว่าผมตัดผิดข้างผมไปตัดทางซ้าย แรงเหวี่ยงของด้าน และแรงเตะของผม ทำให้ฝ่ายตรงข้างประคองดาบฟันลงมาในแนวดิ่ง ผมถีบพื้นไปด้านหน้า ขาสองข้างกางออกสุดๆ
“กึง!” เฉียดไปนิดเดียว
เศษหินกระเด็นลอยมาในอากาศ เส้นผมที่พริ้วไหว ผมมองเห็นทุกอย่างเป็นภาพช้า และสายตาอันเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงคู่นั้นด้วย
“ปังๆ ปัง” กระสุนแหวกอากาศผ่านไปด้านหลัง เขาเอี้ยวตัวหลบได้อย่างสวยงาม ขายันพื้นพุ่งมาข้างหน้า ปลายดาบยังอยู่ที่พื้น มือเปลี่ยนท่าจับอย่างรวดเร็ว ปลายด้ามเล็งมาที่อกผม ผมยกปืนขึ้นมาบัง
“ตูม!” แรงปะทะมหาศาลปืนกระแทกเข้าที่หน้าอกจนผมหายใจขัด
“อ้าวๆ อย่าให้การแสดงน่าเบื่อไปนักสิ” เซนส์ตวัดดาบ ฝุ่นจางไปในทันที “จะให้เป็นโชว์สุดท้ายหรือโชว์เปิดตัวล่ะ”
เข่าขวาถูกับพื้น เท้าซ้ายยันหยุดไว้ แต่ความเร็วทำให้ผมกลิ้งไปหนึ่งรอบ เสร็จแล้วผมก็กลับมายืนอย่างง่ายดาย ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมานอกปาก ผมเอามือซ้ายปาด เลือดนั่นเอง ผมจับจั๊กแร่ก กดปุ่ม มือขวากระชับปืนแน่นขึ้น
“เรามาดูคำตอบกันเองดีกว่า จะว่าไปนะ” ผมชวนคุยฆ่าเวลา “นายตะโกนด่าฉันออกกระจายเสียงเนี่ย ไปเกินไปหน่อยเหรอ” ผมเดินไปรอบๆ เวที “ไม่คิดมั่งหรือว่า คนที่ตายด้วยศักศรีดิ์เต็มเปี่ยมเนี่ย เก่งน้อยกว่าคนที่ทนอยู่ได้ด้วยความอัปยศอดสูสุดๆ น่ะ” ผททองท้องฟ้า ที่โพล้เพล้เต็มทน “อยู่ได้ความรู้สึกยอดแย่ แต่ทนอยู่มาได้ ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อให้รอด เพื่อจะได้ใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ต่อไปได้ ไม่น่านับถือกว่าเหรอ” เซนส์ค่อยๆ เดินขึ้นมาบนเวที ปลายดาบชี้พื้นด้านหลัง
“เฮอะ! จะพูดถึงไอ้พวกมนุษย์ไร้ประโยชน์อีกน่ะเรอะ มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคนเสียหน่อย” เซนส์เดินใกล้ระยะฟันมากแล้ว
“แต่อย่างน้อย ก็รับผลกระทบจากการที่ตัวเองทำสิ่งเหล่านั้นเองนี่” ผมถามกลับ เดินออกห่างทางด้านข้าง ในใจภาวนาให้บางอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนเริ่มซัดกันอีก
“บางคนก็ไม่ได้ทำนี่ แต่กลับต้องมารับผิดชอบด้วยกัน” เหมือนจะเริ่มเข้าทางผม
“นั่นไง นายก็ว่าอย่างนั้น แล้วทำไมจะทำลายทุกคนเสียล่ะ” (หวังว่าการย้อนครั้งนี้คงไม่ทำให้ไฟปะทุมากขึ้นหรอกนะ)
“นายเชื่อเรื่องโลกหน้าไหมล่ะ”
“ก้ำกึ่งมั้ง ก็ฉันยังไม่เคยไปเห็นด้วยตัวเองนี่ และอาจจะไม่ได้เห็นตลอดไปด้วย” แต่ที่คล้ายๆ ผมก็เคยผ่านมาแล้ว
“อย่าลืมสิว่าเรายังตายได้อยู่ ถึงมันจะไม่ใช่วิธีที่ดีเลยสักนิดก็เถอะ” พระอาทิตย์ลับเส้นขอบฟ้า (ของเกาะไปแล้ว) พื้นสว่างขึ้นเหมือนเรื่องแสงด้วยตัวมันเอง รวมทั้งตัวของเราทั้งสองคนด้วย ถ้ามองด้วยว่าตายไปปแล้วก็ขบกัน ฉันจะทำให้ทุกคนเสมอภาคกันไงล่ะ ไม่มีใครเอาเปรียบได้เปรียบ ทุกคนเหมือนๆ กันหมด อุดมคติไหมล่ะ” ที่ว่าทุกคนเหมือนๆ กันหมดนี่ ผมนึกถึงพวกแลนจริงๆ “แต่ถ้านายเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย ฉันก็จะส่งพวกเขาไป พร้อมกับผลกรรมต่างๆ ที่พวกเขาทำไว้ไง มันก็สมน้ำสมเนื้อ และสมควรแก่แต่ละคนแล้วนี่”
“แต่อย่างนี้ก็ไม่มีสิทธิ์มาเกิดเป็นคนแล้วนะ” ไม่ว่าอย่างไหน ผมก็รู้สึกว่าจบไม่สวยทั้งนั้น
“คิดว่าพวกนั้นจะตายกันหมดหรือ ถึงแม้พวกนี้จะอึดน้อยกว่าแมลงสาบ แต่หาทางหนีเก่งจะตาย” เซนส์ชี้ดาบมาทางผม “อย่างนายไง หรือว่าถ้าตายหมดจริงๆ พวกนั้นก็จะมาเป็นทายาทของพวกมนุษย์อมตะอย่างพวกเรา เหมือนสวนเอเดนที่คนไม่แก่ไม่ตายไง” ผมหมุนตัวหนี่งรอบ กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว และมองมาที่เซนส์ ทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อยแล้ว
“ท่าทางไม่ว่ายังไงนายก็เลือกเหรียญด้านเดียวสินะ” พูดตามตรงผมก็เริ่มจนปัญญาแล้ว
“ไม่หรอก ไม่คิดมั่งหรือว่า เหรียญอีกด้านของฉันคือนาย คือการปล่อยให้นายยังอยู่ เพื่อมาหยุดยั้งฉันไงล่ะ” ผมหัวเราะออกมา
“แล้วโยนฉันไปข้างล่างล่ะ” คราวนี้เซนส์หัวเราะดังกว่า
“อันนั้นฉันก็ลืมไป แต่ก็ช่างเถอะ นายมาอยู่ที่นี่แล้วนี่นา ไม่คิดมั่งหรือไงว่า จริงๆ แล้วในใจฉันอาจภาวนาให้นายหยุดฉันจริงๆ” พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดวงดาวเริ่มปรากฏตัวออกมา
“งั้นมาโยนเหรียญกันเถอะ” ถ้าเรื่องฝีมือผมไม่หวั่นเท่าไหร่อยู่แล้ว แต่เรื่องที่ฝั่งนู้นมีของดีมากกว่าน่ะสิ
บทที่ 38 ยกสุดท้าย
ผมวิ่งไปรอบๆ สมองคิดหาวิธียุติการต่อสู้ให้เร็วที่สุด การเดินทาง และสิ่งต่างๆ ที่ผมเผชิญทำให้ผมแทบจะไม่มีแรงเหลือแล้ว
“ตูม! ตูม! ตูม!” พื้นระเบิดไล่หลังเข้ามา เซนส์ยืนอยู่ไม่ได้ขยับไปไหน ผมเล็งปืนและยิงไปด้วยความถี่ความเดิม เสียงปืนรัวขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน (ผมจำได้ว่าผมก็เคยเห็นคนขาวทำได้ในรายการโทรทัศน์) กระสุนเกือบยี่สิบนัดพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายที่ยืนอยู่ ดาบตวัดปัดลูกกระสุนออกไป ที่เหลือโดนเป้าหมายมีไม่ถึงครึ่ง
“เลิกยืนเก๊กได้หรือยัง” ผมวิ่งและยิงซ้ำเข้าไปอีก เซนส์เริ่มขยับ ชี้ปลายด้ามมาทางผม ผมยิงเข้าไปที่ปลายด้าม ฝั่งนั้นขยับนิ้ว
“ตูม!” ฝุ่นควันระเบิดบังร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมกระโดดซิกแซกเข้าไปหาเป้าหมาย ทันทีที่ผมนึกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็เกือบหยุดไม่ทัน ดาบตวัดฝ่ากลุ่มควัน ปลายดาบเฉียวจมูกผมไปเล็กน้อย ฝั่งนั้นก็ดูตกใจที่เห็นผมยืนอยู่ตรงหน้า ผมลั่นไกไปที่ลำตัวทันที
“แก๊ง!” ดาบยกมากันลูกกระสุนได้ทันท่วงที ผมฟาดปืดเข้าไปที่ซอกคอ
“กร๊อบ!” เสียงบางอย่างหักอยู่ภายใน เขาขวาพุ่งขึ้นมาที่หว่างขาผม มือซ้ายผมกันไว้ได้ทัน หัวโหม่งเข้าไปที่หน้าผาก ฝั่งนั้นมือซ้ายจับท้ายทอยผม โหม่งกลับมา เลือดของเราผสมปนกันเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ผมเหนี่ยวมือขวาเหวี่ยงร่างนั้นลงไปนอนกับพื้น ดาบตวัดมาที่แขนขวาของผม ผมกระตุกมือขึ้นปล่อยปืน ชักแขนหลบ มือสอดเข้าไปตรงด้ามดาบ รับปืนที่กำลังร่วง ยันเข่าขวาเข้าที่หน้าอก ออกแรงกดลงไป ร่างนั้นกระแทกกับพื้น เสียงสำลักดังขึ้น น้ำลายปนเลือดกระเด็น มือคลายออกจากดาบ ผมยิงปืนเข้าไปที่ด้ามดาบ แรงสั่นสะเทือนทำให้มือของฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรงลงไปอีก ผมใช้ขาขวาเหยียมดาบ และไสมันออกไป ยืนคร่อมร่าง ชี้ปืนเล็งที่หัว
“เอาล่ะ เลิกได้หรือยัง” ฝั่งนั้นสบถกลับมา ตาลอย เลือดไหลจากรอยแตกที่หน้าผากลงไปถึงพื้น
“ชิ ไอ้บ้าเอ้ย” ผมไม่ถือว่าเป็นคำตอบ
“นายประมาทเกินไป พอเถอะ ไม่ว่าจะฆ่าอะไรมาเท่าไหร่ มันก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกับครั้งแรกหรอกนะ” เซนส์หัวเราะฮึๆ แล้วพูดว่า
“คิดถึงตัวเองนะ” ร่างนั้นยิ้มๆ ทั้งๆ ที่เลือดและน้ำลายกลบปาก
“นายตาย หรือลืมไปมันก็ง่ายไปนี่นา อยู่กับมันให้ได้สิ”
“ได้ แต่ว่า
” ดวงตาเบิกโพลงอีกครั้ง “อยู่กับแบบที่ฉันสร้างขึ้นมาเองนะ” ผมโดนยันจากข้างหลังโดยไม่ทันตั้งตัว ผมลงไปกลิ้งกับพื้น (ประหยัดพลังงานกว่ามาค่อยระวังไม่ให้ล้ม)
“เอาล่ะ มาเริ่มยกสุดท้ายกันเลยดีกว่า” เซนส์ยกดาบขึ้น วาดดาบ ไอสีม่วงลอยออกมาเหมือนกับไปเย็นของน้ำแข็งเมื่อยู่ในที่ร้อน “ผู้ชมกำลังรอดูอยู่”
“ไม่มีผู้ชมแล้ว” ผมตอบพร้อมสะบัดศีรษะไปทางอัฒจรรย์ อัฒจรรย์ว่างเปล่า
“เฮ่อ! การต่อสู้เพื่อโชคชะตาของโลกที่ไม่มีใครเห็นงั้นเหรอ น่าเศร้าจริงๆ นะ” เซนส์ส่ายหัว และชี้ดาบไปรอบๆ
“อืม ก็คงอย่างนั้นล่ะมั้ง” ผมยิงกระสุนขึ้นฟ้า ขยับนิ้วชี้มือซ้าย ลูกกระสุนตกสู่พื้นอย่างรวดเร็วทันที
“อะไรน่ะ”
“ลูกเล่นใหม่ของฉันน่ะ คราวนี้คงไม่มีแม้แต่เวลามานั่งหายใจกันแล้วล่ะมั้ง”
บรรยากาศรอบข้างเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่ลม มีเพียงดวงดาวที่กะพริบแสง เมฆที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
“ปัง!” กระสุนนัดแรกถูกยิงออกไป อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้ามดาบชี้ตรงมาข้างหน้า ขยับนิ้ว บางอย่างที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ามาใกล้ ผมกระโดดขึ้นตัวลอยอยู่เหนือหัวของฝ่ายตรงข้าม
“ตูม!” ฝ่ายตรงข้ามกระโดดพุ่งขึ้นมา มือทั้งสองข้างจับดาบ แทงขึ้นมา มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นมาจากดาบ ผมตัดสินใจที่จะหลบแทน ร่างเราสวนกันกลางอากาศ ผมขยับปืน และยิงใส่ขณะที่ผมหมดแรงส่ง
“ปุบ! ฉึก! ปุ!” กระสุนเข้าเป้า หนึ่งนัดโดนดาบผ่าออกเป็นสองซีก ฝ่ายตรงข้ามขว้างดาบพุ่งตามผมลงมา ผมยิงกระสุนต้านไว้
“ปุบๆ ปุบๆ ปุบๆ” กระสุนทั้งหมดโดนดาบผ่าออกเป็นสองซีก ผมยิงไปที่ด้ามดาบที่ยื่นออกมาด้านข้าง
“กึงๆ กึงๆ” ดาบลงมาช้าลง ขาผมสัมผัสพื้น พุ่งตัวออกด้านหลังอย่างรวดเร็ว ดาบถากแก้มไปเล็กน้อย
“ฝุบ!” ดาบเสียบลงพื้นอย่างง่ายดายเหมือนส้อมจิ้มขนมปัง ไม่มีเลือดไหลออกมาจากปากแผล มีแต่ความเจ็บแสบเหลือไว้ ผมเงยหน้าขึ้นบนฟ้า กระหน่ำยิงใส่ร่างที่กำลังร่วงลงมา
“ปังๆ ปังๆ ปังๆ ปังๆ ปัง” แขนปัดเป็นระวิง กระสุนหลายนัดถูกเข้าที่แขน ร่างนั้นลงมาเหยียบด้ามดาบ ดาบพลิกลงมา ตัวด้ามชี้มาทางผม เขากระดิกนิ้ว
“วู่ม!” เสียงลมดังมาจากบริเวณนั้น ผมยิงกระสุนออกไปหนึ่งนัด นิ้วซ้ายขยับ
“ตูม!” เกิดระเบิดขึ้นระหว่างเราสองคน แรงลมและเศษหินกระเด็นออกมา แต่ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของเราทั้งสองได้ เราพุ่งมาปะทะกันในกลุ่มควัน หมัดซ้ายของผมกระแทกเข้าที่ชายโครงของคู่ต่อสู้ ฝั่งนั้นเสียบดาบถากหัวไหล่ขวาผม เขาบิดตัวดาบ ใบมีดนาบเข้าที่ไหล่อันเปลือยเปล่า ความร้อนมหาศาลกำลังเผาไหม้ผิวหนัง ผมจ่อปืนเข้าที่ลำตัวเขา เหนี่ยวไกออกไปอย่างไม่นับ เมื่อร่างนั้นผละออกไป ผมก็ยิงปืนขึ้นฟ้าต่ออีกเกือบยี่สิบนัด
สิ้นเสียงปืน ร่างนั้นคุกเข่าประคองร่างกายตัวเองด้วยดาบในมือขวา มือซ้ายกุมแผลเอาไว้ ระยะเราทั้งคู่ยังไม่ถือว่าปลอดภัยเท่าไร ฝ่ายตรงข้ามกระโดด เลือดพุ่งออกจากบาดแผล เหวี่ยงดาบในแนวระนาบ ผมก้มหลบ ปลายปืนที่โดนคมดาบขาดไปทีทันที ผมพุ่งตัวไสลด์ไปกับพื้น เล็งมือที่จับดาบไว้ ลั่นไก
“แก๊ง!” ฝ่ายตรงข้ามปล่อยมือออกทันพอดี และฟันมือลงมาเข้าที่แผลของผม ความเจ็บแล่นแปลบ มือที่จับปืนไว้เริ่มไม่มั่นคง มือซ้ายของเซนส์กำลังจะคว้าปืนของผม ผมกำมือซ้าย กระสุนเกือบยี่สิบนัดร่วงลงมาจากฟากฟ้า ด้วยความเร็วแทบไม่ทันกะพริบตา
“โพล๊ะ!” กระสุนเจาะเข้าที่ข้อศอกขวาของผม
“ฉึก!” เข้าที่ซอกคอซ้ายของเซนส์
“กึง!” กระแทกเข้ากับปืนจนปืนหลุดมือ
“แก๊งๆ” เข้ากับดาบ
“ฉึก!” เข้าที่หัวเข่าซ้ายของผม
“ฉึก!” เฉี่ยวหูขวาของเซนส์ และเจาะเข้าที่ต้นขาขวา
ที่เหลือกระทบกับพื้น
การเสี่ยงดวงไม่ให้ผลดีนัก ผมลงไปนั่งกับพื้น ฝ่ายนั้นยังยืนอยู่ ฝ่ายนั้นยิ้มเยาะ และพูดว่า
“จบลงแล้วสินะ กลัวพวกนั้นขวางมือขวางเท้า หรือว่ากลัวคนอื่นบาดเจ็บมากกว่านี้ล่ะ ถ้าให้พวกมันอยู่ด้วย ฉันอาจจะแพ้ไปแล้วก็ได้” พูดไปเลือดก็ไหลออกจากปาก มือซ้ายกุมซอกคอไว้
“ธรรมชาติของฉันทำงานร่วมกับคนอื่นไม่เก่งอยู่แล้ว” เลือดเริ่มไหลนองที่พื้น ผมเริ่มรู้สึกเย็น แผลของเซนส์ค่อยๆ หาย
“แผลนายยังหายช้าเหมือเดิมเลยนะ ใช้เวลาที่ฉันฟื้นตัวสวดอ้อนวอนพระเจ้าไปก็แล้วกันนะ” เซนส์ค่อยๆ เดินไปหยิบดาบ ผมหัวเราะเบาๆ
“ฉันน่ะ ไม่เชื่อหรอกว่าแค่ขอเฉยๆ พระเจ้าจะช่วย” มือซ้ายผมแตะที่ขาขวาของเซนส์ “พระเจ้าจะช่วยคนที่ลุยเต็มที่เท่านั้นล่ะ” ผมตะโกน และกำมือซ้าย ร่างของเซนส์ทรุดลงมานอนหมอบกับพื้น
“อึก! แก” เราทั้งคู่อยู่ติดกัน แรงกดมหาศาลของแรงโน้มถ่วงทำให้เลือดเริ่มทะลักออกมาจากบาดแผลที่กำลังปิดสนิทของเซนส์ ตอนนี้แขนขวาของผมเกือบจะขาดออกจากกัน หัวเข่าซ้ายบิดผิดรูปจากแรงดึงดูด หลังโค้งงอ มือขวาของเซนส์ค่อยๆ หมุนดาบอย่างยากลำบาก ปลายดาบชี้มาทางผม
“จบเกมแล้วสินะ ถ้าพวกนายมาช่วยกันตอนนี้อาจจะยับยั้งเขาได้นะ” ผมส่งกระแสจิตไปหาอาร์ไบน์ เตรียมรับแรงระเบิดเต็มที่
บทที่ 39 อย่าเห็นเราเป็นของประกอบฉากสิ
“ผัวะ!” ผมถูกต่อยกระเด็น
“ตูม!” เกิดระเบิดตรงอัฒจรรย์ (มันอยู่ด้านหลังผมเมื่อกี้) ผมกระแทกพื้น และลงไปนอนอยู่ทั้งอย่างนั้น ทั้งเหนื่อย ระบม และเจ็บไปหมด มือซ้ายคลำหาของบางอย่างแถวๆ หน้าอก
“จั๊กแร่ก” ดีที่มันยังอยู่ ผมกดปุ่มระบบรักษาร่างกายจนจำตำแหน่งปุ่มได้ ยังไม่ทันที่ผมจะกดปุ่มเสร็จดี ร่างๆ หนึ่งก็มายืนต้ำหัวผมในความมืดนั้น
“นาย” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ร่างนั้นก็ย่อตัวลงมา แตะไหล่ผม เหมือนจะบอกว่าให้ผมพักก่อน ร่างนั้นหยิบลูกทรงกลมบางอย่างออกมาให้ผม
แก่นแท้แห่งสรรพสิ่งนั่นเอง “เรียบร้อยแล้วเหรอ” ร่างนั้นพยักหน้า ผมหลับตาลง อยากพักผ่อนสักเล็กน้อย
“ที่จริงไปกันเลยก็ได้นะ ให้เห็นต้องกลับมาเลย”
ผลงานอื่นๆ ของ kareon ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ kareon
ความคิดเห็น