ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผมจะรักคุณด้วยหัวใจที่แตกสลาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ฝันร้ายของกานต์รักษ์

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 55


     






    ตอนที่ 1 ฝันร้ายของกานต์รักษ์

     

     

                    ผมเป็นคนที่ไร้ซึ่งความมั่นใจมาตลอด

                    จนกระทั่งวันนั้น...

                    แขนของผมถูกกระชากไปเพราะเหตุใดไม่อาจทราบ รู้แต่ว่าตอนนั้นความรู้สึกในใจมันล้นปรี่เสียจนไม่อาจทนเก็บไหว สำนึกรู้ผิดของผมหายไป ส่วนที่เรียกว่าหัวใจสั่งให้ปากของผมขยับ

                “เราชอบนาย”

    และตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกจริงๆ

    “อะไรนะ?”

                    ที่ผมรู้สึกว่า...

                “ขยะแขยงว่ะ!

    ถ้าโลกแตกไปซะ มันก็คงดี

     




     

                    “ไอ้รักษ์!

                    อ๊ะ

                    ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง คงจะหันไปตอบรับดีๆถ้าเพียงถูกเรียกไม่ได้โดนโบกเข้าที่ศีรษะอย่างแรงจนหน้าคว่ำ ผมกัดฟันกรอด พอนั่งหลังตรงได้ก็โวยทันที

                    “อะไรวะนะห์ เรียกกันดีๆสิ”

                    “หันไหมเล่า” นะห์หรือหัสนะห์ เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทำหน้าขึงขังใส่ผม “จะชี้ผู้หญิงคนนั้นให้มึงดู ทั้งขาว ทั้งหมวยแถมขาก็สวยแบบที่มึงชอบเด๊ะ!

                    “เฮ้ย แล้วทำไมไม่เรียกให้เร็วกว่านี้”

                    นี่เป็นกิจวัติประจำวันของผมกับมันครับ พอเลิกเรียนก็มานั่งส่องหญิงอยู่ตรงโต๊ะกรุ๊ป เพื่อนคนอื่นๆในกรุ๊ปเดี๋ยวคงทยอยกันมา เผอิญว่าวิชาภาคผมมันเลิกเร็วพอดีก็เลยต้องมานั่งแกร่วกับไอ้นี่สองคนนี่ล่ะ

                    หัสนะห์เป็นใครมาจากไหน? เขาก็คือเพื่อนสนิทที่ผมเห็นหน้าครั้งแรกก็ถูกชะตาเลยล่ะครับ นอกจากอยู่กรุ๊ปเดียวกันแล้วยังติดสอยห้อยตามมาเรียกภาคไฟฟ้าด้วยกันอีกต่างหาก อ้อ พวกผมเรียนวิศวฯน่ะครับ นอกจากนิสัยชอบมองสาวกับความรักในการเตะบอลแล้ว ผมกับมันก็ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ผมเตี้ย มันสูง ผมใส่แว่น มันตาสวย ผมตัดผมสั้น มันไว้ทรงสกินเฮด ผมชอบอ่านหนังสือ (การ์ตูน) มันชอบเที่ยวเล่นไปวันๆ

                    แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ครับ

                    “มีหน้ามาว่าเหรอ” หัสนะห์หัวเราะหึๆ “เมื่อกี้เหม่ออะไรอยู่ มัวแต่คิดเรื่องลามกใช่ไหม”

                    “กูไม่ใช่มึงนะ”

                    “โธ่เอ๋ย กานรักษ์ มึงมันหื่นกว่ากูอีก ยอมรับเสียเถอะ” เพื่อนรักของผมจุ๊ปากเบาๆ ยิ่งหน้ามันหล่อก็ยิ่งดูกวนตีน “ไม่เคยได้ยินเหรอ คนที่ไม่ค่อยปลดปล่อยนั่นแหละจะเป็นคนที่โรคจิตที่สุดโว้ย!

                    “แปลว่ามึงก็ปลดปล่อยบ่อยสิท่า”

                    “มาจนได้ไอ้หมาเจตน์” หัสนะห์เลิกยัดเยียดความหื่นให้ผม หันไปหาผู้มาใหม่แทน

                    ไอ้หมาเจตน์ที่ว่าก็เพียงยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าและสบตาแบบไม่เกรงกลัว มันเป็นเพื่อนคนที่สองในรั้วมหาวิทยาลัยของผมแต่เพราะแยกภาคกันตอนปีสองก็เลยห่างๆกันไป กระนั้นพวกเราก็ยังไปเตะบอลด้วยกันเหมือนเดิมครับ หลายๆคนมักจะไม่เชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกันเพราะเจตน์มีรูปลักษณ์ในแบบที่เรียกว่าคุณชาย ดูเนี้ยบหัวจรดเท้า ผมก็เซตทุกวันได้ทรงเดิมเป๊ะๆ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาวจนผู้หญิงยังอาย ถ้าไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่มันคงดูขี้โรคพิลึก ผิดก็ตรงปากมันนี่ล่ะไม่เคยหยุดจิกกัดใครเลยสักวัน

                    “กูล่ะเบื่อจะฟังพวกคนหื่นคุยกัน”

                    จิกกัดไม่เว้นแม้แต่ผม

                “วันนี้มึงอยากโดนทำร้ายท่าไหน ล็อกหัวไหม หรือทุ่มลงพื้น” หัสนะห์ขู่อย่างโหดเหี้ยมทว่ามันก็ไร้ผลเมื่อคนถูกขู่คือไอ้หมาเจตน์

                    “มึงนั่นแหละอยากโดนกูด่าแรงแค่ไหน เอาซักกระอักเลือดตายเลยดีป้ะ”

                    “มึงไม่กล้า...”

                    “หรือจะให้พูดเรื่องพี่ชายคนนั้นดีล่ะ”

                    “คุณชายเจตน์ครับ!” ท่าทีของหนุ่มโหดเปลี่ยนไปทันที หัสนะห์คุกเข่าลงพื้นแล้วประสานมือยกขึ้นทำท่าคำนับ “สืบรู้อะไรมากรุณาบอกกันด้วยเถอะ”

                    “มึงรู้เรื่องพี่เขาได้ไงวะ” เพราะผมสมเพชอาการหึงหวงแฟนของไอ้นะห์เหลือเกินก็เลยอดกระซิบถามเจตน์ไม่ได้ มันก็ปรายตามองกลับมาก่อนจะพูดให้ทั้งผมทั้งหัสนะห์ได้ยินว่า

                    “สายกูเยอะ”

                    “น่ากลัวฉิบ” ไอ้นะห์ถึงกับไหล่ห่อ

                    “ขืนมึงกล้าหือกับกูอีก” เจตน์หัวเราะหึๆ คำพูดซีเรียสแต่แววตาแม่งกะเอาฮาอย่างเดียว “กูไม่มารายงานผลเรื่องพี่เขาให้มึงฟังอีก อย่าลืมว่าพี่เขาทำงานอยู่โรงเรียนใคร”

                    “หือ? อะไร ทำไมวะ”

                    ผมถามออกมาอย่างงงๆ ไอ้นะห์ก็ตอบเศร้าๆ

                    “ไม่มีอะไรหรอก แค่แฟนกูเขาเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนในเครือของพ่อไอ้เจตน์มัน เป็นโรงเรียนนานาชาติแถวคอนโดกูน่ะ เอ้อ โรงเรียนเก่ามึงนั่นแหละ ฮ่าๆ ทีแรกก็สอนโรงเรียนกูดีๆแต่พอมีเรื่องกูเข้ามาเขาเลยย้ายไป”

                    “หา? งี้มึงโดนแบล็กเมล์ไปจนตายแน่” ผมหัวเราะสะใจแล้วจึงว่าไปเรื่องอื่น “นั่นไง กูว่าแล้วทำไมพอเห็นหน้าพี่เขาแล้วกูรู้สึกคุ้นๆ เคยเห็นที่โรงเรียนแหงๆ”

                    “เป็นความบังเอิญสุดยอดเลยว่ะที่เราสามคนมาเจอกัน”

                    เป็นหนึ่งในมีกี่ครั้งที่เจนต์มันพูดจาดี ทั้งผมทั้งหัสนะห์ก็เลยพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยวดยิ่ง แต่ความสงสัยบางอย่างก็เริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัวผม

                    “แล้วทำไมแฟนมึงถึงย้ายมาโรงเรียนพ่อไอ้เจตน์วะ”

                    “เออ ใช่ๆ” เจตน์สมทบ “กูไม่เคยถามจริงๆจังๆซักที”

                    “แล้วพวกมึงจะมายุ่งอะไรแฟนกูครับเนี่ย!

                    “แม่ง” ผมว่าก่อนตามด้วยไอ้เจตน์ “หึง”

                    “กูเปล่า!

                    “ก็บอกเหตุผลมาสิวะ เป็นเพื่อนกันมาปีกว่าแล้ว” เจตน์ทำท่าจะทุบหัวหัสนะห์ ฝ่ายนั้นเขาก็ยกมือขึ้นกันก่อนจะถอนหายใจ จำต้องเล่าเรื่องออกมา

                    “เพื่อนบ้านกูแนะนำมาอีกที”

                    “อ๋อ” เจตน์ตบมือดังแปะ “เพื่อนบ้านที่ว่าก็น้องชายของผู้ชายที่มึงเคยแอบรักใช่ป้ะ”

                    “ควาย!!” คนถูกแฉเลยแหวลั่น “มึงรู้ได้ไงวะ!

                    “กูบอกแล้วว่าสายเยอะ”

                    “มึงคุยกับพี่นินชัวร์!

                    “โอ๊ะ นั่นสินะ สรุปว่าแฟนมึงคือคนที่ชื่อปธานินล่ะสิ มีหนุ่มๆอยู่สามคน กูไม่แน่ใจว่าคนไหน”

                    “แสด มึงหลอกให้กูพูดใช่ไหม!!

                    หลายๆคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้นะห์ต้องกลัวขนาดนั้น ก็เพราะความสามารถในการกลั้นแกล้งคนของไอ้เจตน์มันเหนือชั้นผิดมนุษย์มนาน่ะสิครับ ทุกวันนี้ไอ้นะห์ก็ใช้ไอ้เจตน์เป็นสายในการรายงานความเคลื่อนไหวของพี่เขาได้ก็ด้วยการบอกให้ไอ้เจตน์รายงานเรื่องแปลกๆของ ครูหนุ่มๆ ทุกคนในโรงเรียนนี้ให้ฟัง หากพบพฤติกรรมเสี่ยงมันก็จะไปฉะกับแฟนมันเอง แม่งขี้หึงยิ่งกว่าหญิงแก่ แฟนก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ มันน่าหวงตรงไหน

                    “โอเค ต่อไปนี้มึงก็ตกอยู่ใต้อำนาจกูโดยสมบูรณ์แล้ว”

                    “ไอ้ห่า นั่นไง เพราะมึงเลยไอ้รักษ์ ถ้ามึงไม่ถามกูก็ไม่ซวย”

                    “อ้าว ก็มึงทำตัวเองรึเปล่าล่ะว้า?” ผมถามกลับกวนๆ “เดี๋ยวๆ แปลว่าเพื่อนข้างบ้านอะไรนั่นของมึงก็ต้องอยู่โรงเรียนเดียวกับกูอ่ะดิ”

                    คิดไปได้เท่านั้นผมก็ขนลุกซู่

                    ที่โรงเรียนเก่า ช่วงหลังๆมีอดีตที่ไม่น่าจดจำเท่าไร โชคดีว่าไม่ค่อยมีคนจากโรงเรียนของผมมาอยู่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยิ่งในคณะผมนี่รู้สึกว่าจะไม่มีเลยอีกต่างหาก...ส่วนคนๆนั้น ที่ทำให้ผมฝันร้ายและนั่งเหม่อคิดถึงเขาอยู่ในบางหน ผมไม่ได้ติดตามเรื่องราวของเขาอีกแล้ว เขาคงจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยดีๆสักที่ ได้เรียนหมอเรียนทันตะอย่างที่เขาหวังไว้...ครับ ผมรู้เรื่องของเขาแทบจะทุกเรื่อง มันเคยเป็นงานอดิเรกของผมที่จะตามติดชีวิตของเขา

                    แต่ตอนนี้ กานต์รักษ์คนเดิมได้ตายไปแล้วว่ะ

                ถึงแม้จะมีเพื่อนสนิทอยู่สองสามคนแต่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันแล้วเพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป

                    “เออ โรงเรียนเดียวกับมึงนั่นแหละ กูว่ามึงต้องรู้จัก”

                    “ทำไมกูต้องรู้จัก”

                    “ก็แม่งเด่นมากไง” หัสนะห์ขมวดคิ้วมุ่น “ชื่อไอ้สิ ชื่อจริงชื่อสิทธากร”

                    เปรี้ยง!

                เหมือนเสียงฟ้าผ่าจะดังขึ้นในใจผม ผมต้องรีบยกมือขึ้นทาบอกไว้เพราะจู่ๆร่างกายก็เผลอกลั้นหายใจซะงั้น ดูเหมือนเจตน์จะสังเกตเห็นอาการนี้ก็เลยผลักไหล่ผมไปหนึ่งที

                    “ไอ้เว่อร์ ศตรูเก่ามึงหรือไง”

                    “ปะ เปล่า...” ผมส่ายหัว ภาพความทรงจำโหดร้ายผุดขึ้นมาเล่นซ้ำอีกครั้ง “มะ ไม่รู้จักว่ะนะ กูขอโทษ”

                    “เฮ้ย ไม่รู้จักได้ไง มันเด่นจริงๆนะ สูงก็สูงพอๆกับกูแต่หล่อน้อยกว่ากูนิดเดียว ที่สำคัญ ตอนนี้มันเป็นถึงดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของมหาลัยเลยนะเว่ย”

                    เปรี้ยง!

                แปลว่าเขา...ก็ยังโดดเด่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงสินะ

                    “กูไม่รู้หรอกว่ะ กูไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรเทือกๆนั้น ยิ่งเป็นดรัมเมเยอร์ผู้ชายด้วยแล้ว กูจะสนใจทำไมวะ นี่ๆ มาพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า” ผมว่าจะชวนคุยเรื่องอื่นกลบเกลื่อน ถ้าพูดเรื่องน้องส้มที่เป็นผู้นำเชียร์มหาลัยขึ้นมาไอ้นะห์มันต้องลืมเรื่องสิทธากรแหงๆ แต่ว่าไม่ใช่ครับ มันดันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วพูดแทรกขึ้นมาก่อน

                    “ไม่เว่ย ถ้ามึงรู้จักไอ้สิกูจะได้พาพวกมึงไปเจอ...”

                    “กราบล่ะ ไม่ต้องหรอก” ไม่กี่ครั้งที่ผมจะขัดขึ้นมาได้รวดเร็วขนาดนี้ “กูไม่รู้จักแล้วก็ไม่อยากจะรู้จักด้วย ถ้าแม่งเป็นถึงดรัมเมเยอร์แล้วก็ให้มันลอยอยู่บนฟ้าไปเถอะ”

                    ถ้าให้ลงมาเกลือกกลั้วกับผมอีกครั้ง

                รังแต่จะสร้างความขยะแขยงให้อีกฝ่ายเสียมากกว่า

                เจตน์ขมวดคิ้ว “เหมือนมึงจะมีความหลังนะรักษ์”

                    “ไม่มีเว้ย!

                    “กูว่ามี” ไอ้นะห์เสริม “ไม่ต้องห่วง มันเดินมานู่นแล้ว เดี๋ยวกูเรียกให้”

                    เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

                กรมอุตุนิยมวิทยาคงจะตกใจเป็นแน่แท้ที่เกิดพายุพัดเข้าบริเวณโต๊ะม้าหินบริเวณหน้าคณะวิศวฯได้รุนแรงถึงปานนี้ ตอนนี้หูผมอื้อไปหมด พยายามจ้องตาไอ้นะห์ให้หยุดแหกปากเรียกชื่อที่ผมเคยอยากได้ยินที่สุดเสีย แต่แม่งไม่ฟังกันเลย ยังยงมือขึ้นโบกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับไอ้เจตน์ที่ตอนแรกทำหน้าตาเบื่อหน่าย กระทั่งมันได้มองข้างหัวผมไป ดวงตาที่เคยปรือปรอยของมันก็พลันเบิกกว้าง

                    “กูเข้าใจล่ะ” มันว่า “คำว่ารัศมีจับแม่งเป็นยังไง”

                    “ห่า ทำเป็นไม่เคยเห็นกัน” หัสนะห์หัวเราะ แต่ผมขำไม่ออกว่ะ ก็ไม่เคยเห็นน่ะสิ ถ้ากูเคยเห็นหรือรู้ว่ามันเป็นเพื่อนมึงกูคงลาออกไปจากมหาลัยนี้แล้วล่ะ

                    ผมรับไม่ไหวหรอก

                เสียงฝีเท้าเดินลากเข้ามาใกล้ แล้วก็หยุดลงที่ข้างหลังผม

                    “ไอ้สิ” หัสนะห์เอ่ยทัก “นี่เพื่อนกู เขามาจากโรงเรียนเดียวกับมึง กูเพิ่งนึกออกเมื่อกี้ แม่งอย่างโง่เลยว่ะ ขนาดคบกันมาตั้งปีกว่า พวกมึงอาจจะเคยเห็นหน้ากัน”

                พอได้ยินดังนั้นผมก็ขยับปากด่าไอ้นะห์โดยไร้เสียง อีกฝ่ายก็สบถด่ากลับมา ทำให้ผมได้แต่ส่ายหัว ว่าจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีขึ้นตึกไปเสียแต่เสียงนุ้มทุ่มจากข้างหลังพลันดังขึ้นเสียก่อน

                    ทั้งที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว...แต่มันก็ยังตรึงผมให้อยู่กับที่ได้เหมือนเดิม

                    “ชื่ออะไรล่ะ”

                    สิทธากรไม่ใช่ผู้ชายพูดเพราะ

                    สิทธากรไม่ใช่ผู้ชายเสียงหล่อ

                    ...แต่ผมจะหยุดอยู่กับที่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขา เป็นมาตั้งแต่มอสี่แล้ว

                    “ชื่อรักษ์” เป็นไอ้โง่หัสนะห์ที่ตอบแทนผม ทำให้ผมต้องเผลอกลั้นหายใจอีกครั้ง “กานต์รักษ์ ไง มึงรู้จักป้ะ ถ้าไม่รู้จักก็เห็นหน้ากันไว้”

                    “กานต์รักษ์?”

                    ผู้ชายข้างหลังผมทวนคำแผ่วเบา เพียงเขาเรียกชื่อก็ทำให้หัวใจของผมลิงโลดอย่างน่าอับอาย ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ทำให้ผมเป็นไปได้ขนาดนี้มาก่อน

                    จริงๆแล้วคือไม่มีมนุษย์คนไหนเคยทำได้ต่างหาก

                    “กานต์รักษ์งั้นเหรอ”

                    แต่คำพูดถัดมา... มันก็ทำให้เศษหัวใจของผมที่เกือบจะสมานตัวกันดีแล้วถูกบดให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

                    “ไม่เห็นเคยได้ยิน” เสียงของสิทธากรมันเสียดแทงเข้าไปในร่าง “ผิดโรงเรียนรึเปล่าวะ”

                    เขาจำผมไม่ได้...

                ดีแล้วนี่ มันดีแล้ว ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ

                ถึงแม้ร่างผมจะชาไปแล้วแต่ก็ยังพอมองเห็นว่าไอ้นะห์ทำท่าแปลกใจ

    “อ้าว งั้นเหรอ แปลกจัง รักษ์ก็บอกว่าไม่รู้จักมึง แต่มึงมาจากโรงเรียนเดียวกันไม่ใช่...”

    ผมไม่ทนอีกต่อไป รีบลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินออกมาให้ห่างจากที่แห่งนั้น ให้ห่างจากผู้ชายคนนั้น ให้ห่างจากสิทธากรที่เคยทำให้หัวใจผมแตกสลายมาแล้วหนึ่งหน โดยไม่สนใจว่าทั้งเจตน์ทั้งหัสนะห์จะเข้าใจไปว่าอย่างไร และเพราะสิทธากรจำผมไม่ได้ ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความลับสมัยมอปลายจะรั่วไหล

    ความลับที่ว่าผมเคยบอกชอบผู้ชายอย่างสิทธากร

    ...แม่งน่าอายสุดๆไปเลยโว้ย!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×