คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ฝันร้ายของกานต์รักษ์
ตอนที่ 1 ฝันร้ายของกานต์รักษ์
ผมเป็นคนที่ไร้ซึ่งความมั่นใจมาตลอด
จนกระทั่งวันนั้น...
แขนของผมถูกกระชากไปเพราะเหตุใดไม่อาจทราบ รู้แต่ว่าตอนนั้นความรู้สึกในใจมันล้นปรี่เสียจนไม่อาจทนเก็บไหว สำนึกรู้ผิดของผมหายไป ส่วนที่เรียกว่าหัวใจสั่งให้ปากของผมขยับ
“เราชอบนาย”
และตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกจริงๆ
“อะไรนะ?”
ที่ผมรู้สึกว่า...
“ขยะแขยงว่ะ!”
ถ้าโลกแตกไปซะ มันก็คงดี
“ไอ้รักษ์!”
อ๊ะ
ผมสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง คงจะหันไปตอบรับดีๆถ้าเพียงถูกเรียกไม่ได้โดนโบกเข้าที่ศีรษะอย่างแรงจนหน้าคว่ำ ผมกัดฟันกรอด พอนั่งหลังตรงได้ก็โวยทันที
“อะไรวะนะห์ เรียกกันดีๆสิ”
“หันไหมเล่า” นะห์หรือหัสนะห์ เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทำหน้าขึงขังใส่ผม “จะชี้ผู้หญิงคนนั้นให้มึงดู ทั้งขาว ทั้งหมวยแถมขาก็สวยแบบที่มึงชอบเด๊ะ!”
“เฮ้ย แล้วทำไมไม่เรียกให้เร็วกว่านี้”
นี่เป็นกิจวัติประจำวันของผมกับมันครับ พอเลิกเรียนก็มานั่งส่องหญิงอยู่ตรงโต๊ะกรุ๊ป เพื่อนคนอื่นๆในกรุ๊ปเดี๋ยวคงทยอยกันมา เผอิญว่าวิชาภาคผมมันเลิกเร็วพอดีก็เลยต้องมานั่งแกร่วกับไอ้นี่สองคนนี่ล่ะ
หัสนะห์เป็นใครมาจากไหน? เขาก็คือเพื่อนสนิทที่ผมเห็นหน้าครั้งแรกก็ถูกชะตาเลยล่ะครับ นอกจากอยู่กรุ๊ปเดียวกันแล้วยังติดสอยห้อยตามมาเรียกภาคไฟฟ้าด้วยกันอีกต่างหาก อ้อ พวกผมเรียนวิศวฯน่ะครับ นอกจากนิสัยชอบมองสาวกับความรักในการเตะบอลแล้ว ผมกับมันก็ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ผมเตี้ย มันสูง ผมใส่แว่น มันตาสวย ผมตัดผมสั้น มันไว้ทรงสกินเฮด ผมชอบอ่านหนังสือ (การ์ตูน) มันชอบเที่ยวเล่นไปวันๆ
แต่เราก็เป็นเพื่อนกันได้ครับ
“มีหน้ามาว่าเหรอ” หัสนะห์หัวเราะหึๆ “เมื่อกี้เหม่ออะไรอยู่ มัวแต่คิดเรื่องลามกใช่ไหม”
“กูไม่ใช่มึงนะ”
“โธ่เอ๋ย กานรักษ์ มึงมันหื่นกว่ากูอีก ยอมรับเสียเถอะ” เพื่อนรักของผมจุ๊ปากเบาๆ ยิ่งหน้ามันหล่อก็ยิ่งดูกวนตีน “ไม่เคยได้ยินเหรอ คนที่ไม่ค่อยปลดปล่อยนั่นแหละจะเป็นคนที่โรคจิตที่สุดโว้ย!”
“แปลว่ามึงก็ปลดปล่อยบ่อยสิท่า”
“มาจนได้ไอ้หมาเจตน์” หัสนะห์เลิกยัดเยียดความหื่นให้ผม หันไปหาผู้มาใหม่แทน
ไอ้หมาเจตน์ที่ว่าก็เพียงยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าและสบตาแบบไม่เกรงกลัว มันเป็นเพื่อนคนที่สองในรั้วมหาวิทยาลัยของผมแต่เพราะแยกภาคกันตอนปีสองก็เลยห่างๆกันไป กระนั้นพวกเราก็ยังไปเตะบอลด้วยกันเหมือนเดิมครับ หลายๆคนมักจะไม่เชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกันเพราะเจตน์มีรูปลักษณ์ในแบบที่เรียกว่าคุณชาย ดูเนี้ยบหัวจรดเท้า ผมก็เซตทุกวันได้ทรงเดิมเป๊ะๆ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาวจนผู้หญิงยังอาย ถ้าไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่มันคงดูขี้โรคพิลึก ผิดก็ตรงปากมันนี่ล่ะไม่เคยหยุดจิกกัดใครเลยสักวัน
“กูล่ะเบื่อจะฟังพวกคนหื่นคุยกัน”
จิกกัดไม่เว้นแม้แต่ผม
“วันนี้มึงอยากโดนทำร้ายท่าไหน ล็อกหัวไหม หรือทุ่มลงพื้น” หัสนะห์ขู่อย่างโหดเหี้ยมทว่ามันก็ไร้ผลเมื่อคนถูกขู่คือไอ้หมาเจตน์
“มึงนั่นแหละอยากโดนกูด่าแรงแค่ไหน เอาซักกระอักเลือดตายเลยดีป้ะ”
“มึงไม่กล้า...”
“หรือจะให้พูดเรื่องพี่ชายคนนั้นดีล่ะ”
“คุณชายเจตน์ครับ!” ท่าทีของหนุ่มโหดเปลี่ยนไปทันที หัสนะห์คุกเข่าลงพื้นแล้วประสานมือยกขึ้นทำท่าคำนับ “สืบรู้อะไรมากรุณาบอกกันด้วยเถอะ”
“มึงรู้เรื่องพี่เขาได้ไงวะ” เพราะผมสมเพชอาการหึงหวงแฟนของไอ้นะห์เหลือเกินก็เลยอดกระซิบถามเจตน์ไม่ได้ มันก็ปรายตามองกลับมาก่อนจะพูดให้ทั้งผมทั้งหัสนะห์ได้ยินว่า
“สายกูเยอะ”
“น่ากลัวฉิบ” ไอ้นะห์ถึงกับไหล่ห่อ
“ขืนมึงกล้าหือกับกูอีก” เจตน์หัวเราะหึๆ คำพูดซีเรียสแต่แววตาแม่งกะเอาฮาอย่างเดียว “กูไม่มารายงานผลเรื่องพี่เขาให้มึงฟังอีก อย่าลืมว่าพี่เขาทำงานอยู่โรงเรียนใคร”
“หือ? อะไร ทำไมวะ”
ผมถามออกมาอย่างงงๆ ไอ้นะห์ก็ตอบเศร้าๆ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่แฟนกูเขาเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนในเครือของพ่อไอ้เจตน์มัน เป็นโรงเรียนนานาชาติแถวคอนโดกูน่ะ เอ้อ โรงเรียนเก่ามึงนั่นแหละ ฮ่าๆ ทีแรกก็สอนโรงเรียนกูดีๆแต่พอมีเรื่องกูเข้ามาเขาเลยย้ายไป”
“หา? งี้มึงโดนแบล็กเมล์ไปจนตายแน่” ผมหัวเราะสะใจแล้วจึงว่าไปเรื่องอื่น “นั่นไง กูว่าแล้วทำไมพอเห็นหน้าพี่เขาแล้วกูรู้สึกคุ้นๆ เคยเห็นที่โรงเรียนแหงๆ”
“เป็นความบังเอิญสุดยอดเลยว่ะที่เราสามคนมาเจอกัน”
เป็นหนึ่งในมีกี่ครั้งที่เจนต์มันพูดจาดี ทั้งผมทั้งหัสนะห์ก็เลยพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยวดยิ่ง แต่ความสงสัยบางอย่างก็เริ่มแทรกซึมเข้ามาในหัวผม
“แล้วทำไมแฟนมึงถึงย้ายมาโรงเรียนพ่อไอ้เจตน์วะ”
“เออ ใช่ๆ” เจตน์สมทบ “กูไม่เคยถามจริงๆจังๆซักที”
“แล้วพวกมึงจะมายุ่งอะไรแฟนกูครับเนี่ย!”
“แม่ง” ผมว่าก่อนตามด้วยไอ้เจตน์ “หึง”
“กูเปล่า!”
“ก็บอกเหตุผลมาสิวะ เป็นเพื่อนกันมาปีกว่าแล้ว” เจตน์ทำท่าจะทุบหัวหัสนะห์ ฝ่ายนั้นเขาก็ยกมือขึ้นกันก่อนจะถอนหายใจ จำต้องเล่าเรื่องออกมา
“เพื่อนบ้านกูแนะนำมาอีกที”
“อ๋อ” เจตน์ตบมือดังแปะ “เพื่อนบ้านที่ว่าก็น้องชายของผู้ชายที่มึงเคยแอบรักใช่ป้ะ”
“ควาย!!” คนถูกแฉเลยแหวลั่น “มึงรู้ได้ไงวะ!”
“กูบอกแล้วว่าสายเยอะ”
“มึงคุยกับพี่นินชัวร์!”
“โอ๊ะ นั่นสินะ สรุปว่าแฟนมึงคือคนที่ชื่อปธานินล่ะสิ มีหนุ่มๆอยู่สามคน กูไม่แน่ใจว่าคนไหน”
“แสด มึงหลอกให้กูพูดใช่ไหม!!”
หลายๆคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้นะห์ต้องกลัวขนาดนั้น ก็เพราะความสามารถในการกลั้นแกล้งคนของไอ้เจตน์มันเหนือชั้นผิดมนุษย์มนาน่ะสิครับ ทุกวันนี้ไอ้นะห์ก็ใช้ไอ้เจตน์เป็นสายในการรายงานความเคลื่อนไหวของพี่เขาได้ก็ด้วยการบอกให้ไอ้เจตน์รายงานเรื่องแปลกๆของ ‘ครูหนุ่มๆ’ ทุกคนในโรงเรียนนี้ให้ฟัง หากพบพฤติกรรมเสี่ยงมันก็จะไปฉะกับแฟนมันเอง แม่งขี้หึงยิ่งกว่าหญิงแก่ แฟนก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ มันน่าหวงตรงไหน
“โอเค ต่อไปนี้มึงก็ตกอยู่ใต้อำนาจกูโดยสมบูรณ์แล้ว”
“ไอ้ห่า นั่นไง เพราะมึงเลยไอ้รักษ์ ถ้ามึงไม่ถามกูก็ไม่ซวย”
“อ้าว ก็มึงทำตัวเองรึเปล่าล่ะว้า?” ผมถามกลับกวนๆ “เดี๋ยวๆ แปลว่าเพื่อนข้างบ้านอะไรนั่นของมึงก็ต้องอยู่โรงเรียนเดียวกับกูอ่ะดิ”
คิดไปได้เท่านั้นผมก็ขนลุกซู่
ที่โรงเรียนเก่า ช่วงหลังๆมีอดีตที่ไม่น่าจดจำเท่าไร โชคดีว่าไม่ค่อยมีคนจากโรงเรียนของผมมาอยู่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยิ่งในคณะผมนี่รู้สึกว่าจะไม่มีเลยอีกต่างหาก...ส่วนคนๆนั้น ที่ทำให้ผมฝันร้ายและนั่งเหม่อคิดถึงเขาอยู่ในบางหน ผมไม่ได้ติดตามเรื่องราวของเขาอีกแล้ว เขาคงจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยดีๆสักที่ ได้เรียนหมอเรียนทันตะอย่างที่เขาหวังไว้...ครับ ผมรู้เรื่องของเขาแทบจะทุกเรื่อง มันเคยเป็นงานอดิเรกของผมที่จะตามติดชีวิตของเขา
แต่ตอนนี้ กานต์รักษ์คนเดิมได้ตายไปแล้วว่ะ
ถึงแม้จะมีเพื่อนสนิทอยู่สองสามคนแต่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันแล้วเพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป
“เออ โรงเรียนเดียวกับมึงนั่นแหละ กูว่ามึงต้องรู้จัก”
“ทำไมกูต้องรู้จัก”
“ก็แม่งเด่นมากไง” หัสนะห์ขมวดคิ้วมุ่น “ชื่อไอ้สิ ชื่อจริงชื่อสิทธากร”
เปรี้ยง!
เหมือนเสียงฟ้าผ่าจะดังขึ้นในใจผม ผมต้องรีบยกมือขึ้นทาบอกไว้เพราะจู่ๆร่างกายก็เผลอกลั้นหายใจซะงั้น ดูเหมือนเจตน์จะสังเกตเห็นอาการนี้ก็เลยผลักไหล่ผมไปหนึ่งที
“ไอ้เว่อร์ ศตรูเก่ามึงหรือไง”
“ปะ เปล่า...” ผมส่ายหัว ภาพความทรงจำโหดร้ายผุดขึ้นมาเล่นซ้ำอีกครั้ง “มะ ไม่รู้จักว่ะนะ กูขอโทษ”
“เฮ้ย ไม่รู้จักได้ไง มันเด่นจริงๆนะ สูงก็สูงพอๆกับกูแต่หล่อน้อยกว่ากูนิดเดียว ที่สำคัญ ตอนนี้มันเป็นถึงดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของมหา’ลัยเลยนะเว่ย”
เปรี้ยง!
แปลว่าเขา...ก็ยังโดดเด่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงสินะ
“กูไม่รู้หรอกว่ะ กูไม่ได้ติดตามข่าวสารอะไรเทือกๆนั้น ยิ่งเป็นดรัมเมเยอร์ผู้ชายด้วยแล้ว กูจะสนใจทำไมวะ นี่ๆ มาพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า” ผมว่าจะชวนคุยเรื่องอื่นกลบเกลื่อน ถ้าพูดเรื่องน้องส้มที่เป็นผู้นำเชียร์มหา’ลัยขึ้นมาไอ้นะห์มันต้องลืมเรื่องสิทธากรแหงๆ แต่ว่าไม่ใช่ครับ มันดันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ไม่เว่ย ถ้ามึงรู้จักไอ้สิกูจะได้พาพวกมึงไปเจอ...”
“กราบล่ะ ไม่ต้องหรอก” ไม่กี่ครั้งที่ผมจะขัดขึ้นมาได้รวดเร็วขนาดนี้ “กูไม่รู้จักแล้วก็ไม่อยากจะรู้จักด้วย ถ้าแม่งเป็นถึงดรัมเมเยอร์แล้วก็ให้มันลอยอยู่บนฟ้าไปเถอะ”
ถ้าให้ลงมาเกลือกกลั้วกับผมอีกครั้ง
รังแต่จะสร้างความขยะแขยงให้อีกฝ่ายเสียมากกว่า
เจตน์ขมวดคิ้ว “เหมือนมึงจะมีความหลังนะรักษ์”
“ไม่มีเว้ย!”
“กูว่ามี” ไอ้นะห์เสริม “ไม่ต้องห่วง มันเดินมานู่นแล้ว เดี๋ยวกูเรียกให้”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
กรมอุตุนิยมวิทยาคงจะตกใจเป็นแน่แท้ที่เกิดพายุพัดเข้าบริเวณโต๊ะม้าหินบริเวณหน้าคณะวิศวฯได้รุนแรงถึงปานนี้ ตอนนี้หูผมอื้อไปหมด พยายามจ้องตาไอ้นะห์ให้หยุดแหกปากเรียกชื่อที่ผมเคยอยากได้ยินที่สุดเสีย แต่แม่งไม่ฟังกันเลย ยังยงมือขึ้นโบกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับไอ้เจตน์ที่ตอนแรกทำหน้าตาเบื่อหน่าย กระทั่งมันได้มองข้างหัวผมไป ดวงตาที่เคยปรือปรอยของมันก็พลันเบิกกว้าง
“กูเข้าใจล่ะ” มันว่า “คำว่ารัศมีจับแม่งเป็นยังไง”
“ห่า ทำเป็นไม่เคยเห็นกัน” หัสนะห์หัวเราะ แต่ผมขำไม่ออกว่ะ ก็ไม่เคยเห็นน่ะสิ ถ้ากูเคยเห็นหรือรู้ว่ามันเป็นเพื่อนมึงกูคงลาออกไปจากมหา’ลัยนี้แล้วล่ะ
ผมรับไม่ไหวหรอก
เสียงฝีเท้าเดินลากเข้ามาใกล้ แล้วก็หยุดลงที่ข้างหลังผม
“ไอ้สิ” หัสนะห์เอ่ยทัก “นี่เพื่อนกู เขามาจากโรงเรียนเดียวกับมึง กูเพิ่งนึกออกเมื่อกี้ แม่งอย่างโง่เลยว่ะ ขนาดคบกันมาตั้งปีกว่า พวกมึงอาจจะเคยเห็นหน้ากัน”
พอได้ยินดังนั้นผมก็ขยับปากด่าไอ้นะห์โดยไร้เสียง อีกฝ่ายก็สบถด่ากลับมา ทำให้ผมได้แต่ส่ายหัว ว่าจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีขึ้นตึกไปเสียแต่เสียงนุ้มทุ่มจากข้างหลังพลันดังขึ้นเสียก่อน
ทั้งที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว...แต่มันก็ยังตรึงผมให้อยู่กับที่ได้เหมือนเดิม
“ชื่ออะไรล่ะ”
สิทธากรไม่ใช่ผู้ชายพูดเพราะ
สิทธากรไม่ใช่ผู้ชายเสียงหล่อ
...แต่ผมจะหยุดอยู่กับที่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขา เป็นมาตั้งแต่มอสี่แล้ว
“ชื่อรักษ์” เป็นไอ้โง่หัสนะห์ที่ตอบแทนผม ทำให้ผมต้องเผลอกลั้นหายใจอีกครั้ง “กานต์รักษ์ ไง มึงรู้จักป้ะ ถ้าไม่รู้จักก็เห็นหน้ากันไว้”
“กานต์รักษ์?”
ผู้ชายข้างหลังผมทวนคำแผ่วเบา เพียงเขาเรียกชื่อก็ทำให้หัวใจของผมลิงโลดอย่างน่าอับอาย ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่ทำให้ผมเป็นไปได้ขนาดนี้มาก่อน
จริงๆแล้วคือไม่มีมนุษย์คนไหนเคยทำได้ต่างหาก
“กานต์รักษ์งั้นเหรอ”
แต่คำพูดถัดมา... มันก็ทำให้เศษหัวใจของผมที่เกือบจะสมานตัวกันดีแล้วถูกบดให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ไม่เห็นเคยได้ยิน” เสียงของสิทธากรมันเสียดแทงเข้าไปในร่าง “ผิดโรงเรียนรึเปล่าวะ”
เขาจำผมไม่ได้...
ดีแล้วนี่ มันดีแล้ว ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ
ถึงแม้ร่างผมจะชาไปแล้วแต่ก็ยังพอมองเห็นว่าไอ้นะห์ทำท่าแปลกใจ
“อ้าว งั้นเหรอ แปลกจัง รักษ์ก็บอกว่าไม่รู้จักมึง แต่มึงมาจากโรงเรียนเดียวกันไม่ใช่...”
ผมไม่ทนอีกต่อไป รีบลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินออกมาให้ห่างจากที่แห่งนั้น ให้ห่างจากผู้ชายคนนั้น ให้ห่างจากสิทธากรที่เคยทำให้หัวใจผมแตกสลายมาแล้วหนึ่งหน โดยไม่สนใจว่าทั้งเจตน์ทั้งหัสนะห์จะเข้าใจไปว่าอย่างไร และเพราะสิทธากรจำผมไม่ได้ ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความลับสมัยมอปลายจะรั่วไหล
ความลับที่ว่าผมเคยบอกชอบผู้ชายอย่างสิทธากร
...แม่งน่าอายสุดๆไปเลยโว้ย!
ความคิดเห็น