จอมอสูรโกบี - นิยาย จอมอสูรโกบี : Dek-D.com - Writer
×

    จอมอสูรโกบี

    สองร่างของเด็กน้อยร่วงทรุดนอนกองพื้น พร้อม ๆ กับด้ายแดงตรงนิ้วก้อยของทั้งคู่ซึ่งเพิ่งถูกตัดขาด แต่มันกำลังกลับมาเชื่อมต่อประสานกันอีกหน

    ผู้เข้าชมรวม

    4,511

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    50

    ผู้เข้าชมรวม


    4.51K

    ความคิดเห็น


    95

    คนติดตาม


    81
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  47 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  13 ม.ค. 64 / 17:50 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    สวัสดีค่ะ ^___^

    ผลงานแฟนฟิค TFBOYS เรื่องที่สองของไรท์ ยังเป็นคู่ไคหยวนเหมือนเดิมนะคะ
    และเช่นเดิมคือไม่มีการลงภาพประกอบใด ๆ เผื่อรีดท่านอื่นมาอ่านจะได้ไม่รบกวนจินตนาการ
    ... ขอฝาก 'จอมอสูรโกบี' อีกเรื่องนะคะ ^^ ....


    ******

    บทนำ

     

                    ความโกลาหลภายในตำหนักหวังกุ้ยเฟย1 ยามพลบค่ำนับได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นแทบทุกคืน บรรดาสาวใช้ต่างวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งในห้องหับและสวนสวยโดยรอบ พวกนางจำต้องเสียเหงื่อในการตามหาองค์ชายสิบเก้าผู้ซุกซน แทบทุกผู้คนปั่นป่วน เห็นมีเพียงแต่เจ้าตัวที่เร้นกายอยู่ในพุ่มไม้หนาบนกิ่งก้านของไม้ใหญ่ใกล้รั้วตำหนักด้านนอก

                    องค์ชายน้อยวัย 8 ชันษาผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงซื่ออ๋อง2 ลอบแย้มพระสรวล หลังเห็นความอลหม่านที่ตนเป็นผู้ก่อ พอชอบอกชอบใจแล้วจึงกระโจนตัวอย่างแผ่วเบาออกจากพุ่มไม้ เหยียบย่ำหลังคากระเบื้องเคลือบสีสันงามตา ดีดตัวเหินลอยไปยังกิ่งไม้เล็กใหญ่บ้าง หลังคาตำหนักอื่น ๆ บ้างอย่างสำราญพระทัย

                    ทหารราชองค์รักษ์ที่เฝ้ายามโดยรอบวังหลังต่างรู้เห็นแต่กลับไม่คิดห้ามปราม ด้วยมีพระบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ ให้พวกเขาเพียงดูแลความเรียบร้อยของหวังซื่ออ๋องเพียงเท่านั้น มิเช่นแล้วแม้แต่แมลงวันคงไม่อาจหาญกล้าเล็ดรอดเข้ามาในราชฐานชั้นในนี้ได้หรอก

                    อ๋องน้อยชอบเที่ยวเล่นยามพลบค่ำ ใช่เพียงทำไปเพราะซนเรื่อยเปื่อย หากแต่เมื่อเจริญพระชันษาครบ 8 ปี ความอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นกับพระองค์ เพียงแค่มิมีผู้ใดทราบแม้แต่พระมารดา เรื่องที่พระองค์สามารถมองเห็นด้ายแดงตรงนิ้วก้อยข้างซ้ายของผู้อื่น แค่เห็นยังไม่เท่าไหร่ แต่ความคะนองในวัยใคร่รู้ทำให้พระองค์ทรงทดลองผูกปลายด้ายของผู้คนเข้าด้วยกันและผลของมันก็เป็นที่น่าพึงพระทัยสำหรับพระองค์

                    “คืนนี้เฒ่าจันทราจะผูกด้ายแดงให้ใครดีนา” หวังซื่ออ๋องกล่าวกับตน แอบอ้างตัวว่าเป็นเทพเซียนผู้มีหน้าที่เป็นพ่อสื่อพ่อชักให้แก่มวลมนุษย์เสียอย่างนั้น

    ครั้นเหยียบอยู่บนหลังคากำแพงรั้วของบรรดานางสนมที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้ารับการอบรบสำหรับคัดกรองในรอบต่อไป อ๋องน้อยพลันนึกสนุก วันนี้จะได้ฝึกฝีมือให้เก่งกล้าขึ้นอีกขั้น ครั้งก่อน ๆ แค่ทดลองกับบรรดาสาวใช้ในตำหนักต่าง ๆ กับบรรดาทหารราชองค์รักษ์เท่านั้น พอคิดว่าหนนี้ช่างท้าทายความสามารถตนยิ่งขึ้นไปอีก หวังซื่ออ๋องก็แย้มพระสรวลอวดพระทนต์เขี้ยว3แสนทรงเสน่ห์ ยกพระหัตถ์ซ้ายขึ้นมาจับพระหนุ4พลางครุ่นคิด พลันสายพระเนตรเหลือบเห็นด้ายแดงตรงพระกนิษฐาซ้าย5 ของพระองค์ซึ่งมีด้ายแดงสั้น ๆ ปรากฏอยู่ หากแต่หนนี้มันกลับยื่นยาวออกไป คลายกำลังจะไปเชื่อต่อกับใครบางคนอย่างนั้น?

    อ๋องน้อยใคร่รู้ทันที ทรงย่างบาทตามไหมแดง ทางที่ดำเนินไปคลับคล้ายจะย้อนกลับไปยังตำหนักของพระมารดา แต่มิใช่เสียทีเดียว สวนขนาดเล็กซึ่งอยู่ด้านนอกตำหนักต่างหากที่พระองค์ทรงได้ยินเสียงคนสะอื้นไห้หนัก ฟังแล้วเหมือนเป็นเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กหญิง ... ว่าแต่เจ้านั่นเข้ามาในเขตราชฐานชั้นในยามวิกาลได้อย่างไร?

    “เจ้าเป็นใคร!?” ซื่ออ๋องถามเสียงกร้าว ทำเอาร่างเล็กที่ยืนหันหลังให้ตนอยู่ใต้ต้นไม้สะดุ้งโหยง

    เด็กน้อยวัยประมาณ 6 -7 ขวบหันมองคนด้านหลังด้วยใบหน้านองไปด้วยน้ำตา ถึงแม้หน้าตาคนร้องไห้จะเหยเก ดวงตาบวมเป่ง แต่ก็ยังเห็นเค้าความน่ารักอ่อนหวานแสนบริสุทธิ์นี่ได้ แต่พอเจ้ากระต่ายป่าหลงทางเห็นคนโตกว่าทำหน้าขึงขังใส่ เขาก็ปล่อยโฮออกมาอีกหน ทำเอาคนถามต้องกลายเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบแทน

    “อย่าร้อง ๆ ข้าไม่ดุเจ้าแล้ว เจ้าเป็นขันทีมาใหม่หรือ?”

    เด็กน้อยส่ายหน้า หมุนตัวกลับมามองคนตรงหน้าซึ่งดูงามสง่าที่ยืนห่างเพียงช่วงฝ่ามือ พลางยกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นปาดน้ำตา ก่อนตอบออกไปเสียงขาด ๆ หาย ๆ แต่พอฟังรู้เรื่อง

    “เปล่า ไม่ใช่ขันที มีผู้ใหญ่พาข้าเข้ามา บอกให้ข้าทำงานแล้วจะได้เงินที่เหลือไปจุนเจือครอบครัว”

    “งาน? แล้วใครพาเจ้าเข้ามา? นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้ามาได้ง่าย ๆ หรอกนะ ยิ่งเป็นบุรุษด้วยแล้ว ต่อให้ยังเด็กนักก็ตาม” อ๋องน้อยถาม แต่ไม่ได้คาดคั้นให้ได้คำตอบในทันที

    “ข้าไม่รู้ เขาเป็นผู้ชายแต่เหมือนไม่ใช่ผู้ชาย ข้าเข้ามาได้เพราะซ่อนตัวอยู่ในหีบมืด ๆ เขาบอกทำงานเสร็จแล้วให้เขามารอตรงนี้ จะเอาหีบมารับพาไปส่งบ้าน” เด็กน้อยตอบตามประสาซื่อ “ข้ามารอได้สักหนึ่งเค่อ6แล้ว ไม่เห็นมีใครมารับเลย ไม่เอาแล้ว ข้าอยากกลับบ้าน พี่ชายพาข้าออกข้างนอกได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าถึงบ้านแล้วจะนำเงินที่ได้แบ่งให้ท่านเป็นสินน้ำใจ ข้าไม่ทำให้ท่านยุ่งยากเปล่า ๆ หรอกนะ”

    อ๋องน้อยขุ่นคิ้ว ยังมีหลายสิ่งที่ต้องการคำตอบ “เจ้าถูกหลอกหรือเปล่า ในนี้ไม่มีงานอะไรให้เด็กเล็กอย่างเจ้าทำได้หรอกนะ ถ้าโตกว่านี้สักสองสามปีค่อยว่าไปอย่าง”

    “มีจริง ๆ นะพี่ชาย ได้เงินเยอะด้วย มีเงินส่วนหนึ่งอยู่ที่บ้านข้าแล้ว พ่อแม่ข้าดีใจกันใหญ่ที่ข้าทำงานง่าย ๆ นี้ได้ แถมยังมีค่าตอบแทนสูงอีกด้วย” เด็กน้อยกล่าวยืนยัน พลางยื่นมือมาเขย่าแขนพี่ชายผู้เป็นความหวังเดียวของตนตอนนี้

    หวังซื่ออ๋องแม้ไม่ใช่คนถือตัวมากนัก แต่การมีคนแปลกหน้าถือวิสาสามาเกาะแขนกันแบบนี้ ด้วยยศถาและการปลูกฝังเลี้ยงดู ทำให้ตนต้องปลายตามองอย่างระแวดระวัง พลันดวงตากลมโตกลับตะลึงค้างเมื่อเห็นด้ายแดงตรงนิ้วก้อยซ้ายของเด็กชายเชื่อมต่อกับด้ายของตน

    “เจ้า! ชื่ออะไร?”

    “หวังหยวน” เด็กน้อยตอบ “บอกชื่อแล้ว พี่ชายจะพาข้าไปส่งบ้านได้หรือยัง ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

    พี่ชายยังไม่ยอมรับปาก เด็กน้อยหยวนจึงเร่งเร้าอ้อนวอนอีกหน ก่อนสายตาตนถึงเพิ่งจะไปสะดุดตรงปลายด้ายแดงที่นิ้วก้อยตัวเอง

    “ไม่นะ! มันไม่เคยเชื่อมต่อกับใครนี่ แล้วทำไม?” หยวนกล่าวกับตัวเอง ก่อนเงยหน้าสบกับพี่ชายที่เหมือนรอฟังสิ่งที่ตนพูดอยู่กับตัวเอง “พี่ชาย ท่านไม่เห็นอะไรใช่ไหม!?”

    ซื่ออ๋องไม่ตอบ ทำเพียงมองดวงหน้าเด็กชายนี่ให้เต็มตา

    “มันต้องเป็นความผิดพลาดแน่ ๆ ข้าจะจัดการเอง พี่ชายไม่ต้องกังวล แล้วหลังจากนี้ ท่านจะลืมข้าได้เอง” หยวนกล่าว พลางล้วงมือไปในชายแขนเสื้อ

    หวังซื่ออ๋องมองดูด้วยความสนอกสนใจ เห็นกรรไกรสีทองเหลืองอยู่ในมือหวังหยวน ก่อนที่คมของมันจะตัดลงตรงกึ่งกลางด้ายแดงของพวกเขาที่เชื่อมกันอยู่ให้ขาดออกจากกัน พลันเสียงเอะอะโวยวายเคล้าเสียงร้องไห้ระงมก็ดังออกมาจากตำหนัก ซื่ออ๋องหันมองประตูซึ่งห่างออกไปได้ระยะ เห็นบรรดาขันที่วิ่งกรูออกมาตั้งแถวค้อมตัวน้อมส่งชายในชุดสีดำปักเลื่อมลายมังกรห้าเล็บ คนที่ตนเรียกพระองค์ว่า เสด็จพ่อ

    “นำตัวหวังกุ้ยเฟยสู่ตำหนักเย็น” เสียงแหลมสูงดังบาดหู เสียดแทงไปถึงจิตใจของหวังซื่ออ๋องด้วย

    “ท่านแม่!!!

    หยวนมองพี่ชายตาค้าง น้ำตาที่พอแห้งไปบ้างแล้วไหลทะลักออกมาอีกหนึ่งทำนบใหญ่ “หวังกุ้ยเฟย? ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบ้านนั้น คือมารดาของพี่ชายเช่นนั้นหรือ?”

    “ใช่แล้ว แม่ข้าเอง” ซื่ออ๋องตอบ มองไปยังแววตาสั่นไหวที่แสดงออกชัดถึงความเกรงกลัวต่อความผิดที่ตนกระทำลงไป “อย่าบอกนะว่าเจ้า...”

    กรรไกรในมือหยวนสั่นจนร่วงหล่นพื้น ไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำขออภัย ความเย็นเยียบซึ่งนำพาความเจ็บปวดมาจากด้านหลังทะลุกลางท้อง ไม่มีโอกาสได้เอ่ยวอนขอใครให้พาตนกลับบ้านได้อีก ความทรงจำสุดท้ายในวัยย่าง 7 ขวบ คือดวงตาดวงกลมโตของพี่ชายรูปงามเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ก่อนคมกระบี่จะแทงทะลุจากด้านหลังพุ่งออกกลางอกเขา เลือดสีแดงสดไหลซึมอาภรณ์สีขาวแกมฟ้าจนหมดความสวยงาม

    สองร่างของเด็กน้อยร่วงทรุดนอนกองพื้น หลังกระบี่งามทำหน้าที่ปลิดชีพทั้งคู่ได้ถอนออกจากร่างนั้นแทบจะพร้อมกัน เลือดไหลทะลักออกมาจนแทบท่วมร่าง กลางสวนสวยใกล้ตำหนักอดีตกุ้ยเฟยผู้ครองหัวใจเจ้าชีวิตของคนทั้งแผ่นดิน กลับไม่มีใครสนใจใยดีสองร่างที่นอนจมกองเลือด พร้อม ๆ กับด้ายแดงตรงนิ้วก้อยของทั้งคู่ซึ่งเพิ่งถูกตัดขาด แต่มันกำลังกลับมาเชื่อมต่อประสานกันอีกหน


                                                                                 ******

     

       1.  กุ้ยเฟย คือตำแหน่งรองจากฮองเฮา แบ่งออกเป็นสี่ระดับ กุ้ยเฟยเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดในระดับซือฟูเหริน (ขั้น 1 ชั้นเอก) ในระดับนี้มี 4 ชายา คือ กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟยและเสียนเฟย โดยกำหนดตำแหน่งละ 1 คน

     2. อ๋องหรือหวัง คือชื่อตำแหน่งขั้น 1 ชั้นเอก ผู้ได้รับตำแหน่งนี้โดยมากเป็นพระโอรส พระเชษฐาหรือพระอนุชาในองค์ฮ่องเต้ โดยพระโอรสผู้สืบทอดจะเรียกว่า ซื่อหวังหรือ ซื่ออ๋อง

    3.    3.   พระทนต์เขี้ยว คือ ฟันเขี้ยว

    4.     4.  พระหนุ คือ คาง

    5.   5.    พระกนิษฐาซ้าย คือ นิ้วก้อยซ้าย

    6.   6.    หนึ่งเค่อ ประมาณ 15 นาที   





    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น