ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic: Naruto] Say. รักหรือหลอก บอกกันซะยัยตัวดี!

    ลำดับตอนที่ #7 : Say : Who I am?

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 62













     

    I got the eye of the tiger, a fighter,
    dancing through the fire

    Cause I am a champion
    and you’re gonna hear me ROAR

    Louder, louder than a lion

    Cause I am a champion
    and you’re gonna hear me ROAR

    Katy Perry - Roar

     

     

    - I'm Kaoru. -


    Kaoru's talking.

     

                    ข้ามีนามว่า ฟูจิวาระ คาโอรุ ชื่อของข้าไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของผู้คนมากนัก แต่ถ้าบอกว่า เทวีแห่งสงคราม

    แล้วละก็ทุกคนต้องร้องอ๋อ หรือไม่ก็ไปถึงบางอ้อกันทุกคน  ข้ามีส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร น้ำหนักห้าสิบสามกิโลกรัม 

    สัดส่วน D36  25 35 เกิดในราชวงศ์ฟูจิวาระ ข้อร้องละว่าอย่าคิดถึงภาพของบรรดาเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า เบลล์  สโนไวท์

    สวมชุดกระโปรงลูกไม้ฟูฟ่องยาวคลุมถึงข้อเท้า วิ่งเล่น ร้องเพลง เต้นรำอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้พร้อมกับเหล่าสาวใช้ 

    และข้าก็ไม่มีวันจะสวมเสื้อผ้าเชยๆแบบนั้นเด็ดขาด ขอร้องละอย่าจินตนาการภาพแบบนั้นอีกเลยนะ

    ข้าเกิดในยุคสงครามกลางเมืองผู้คนล้มตายกันเป็นเบือยิ่งกว่าใบไม้ร่วง รวมไปถึงมารดา 

    ร่างกายท่านแม่ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิด   ท่านคลอดพี่ชายและอีกสิบสองวินาทีต่อมาก็เป็นตัวข้าสร้างความแปลกใจ

    ให้ทุกคนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะท่านพ่อ    ท่านแม่อยู่เลี้ยงดูข้าได้เพียงแค่หกปีท่านก็จากข้าไปอย่างไม่มีวันกลับ

    หลังจากท่านแม่เสียชีวิตไปตัวข้าไร้ที่พึ่งพิงเกาะยึดเหนี่ยว คล้ายกับลอยคอเคว้งอยู่กลางทะเล  ท่านพ่อปฏิบัติกับข้า-

    ราวกับไม่ใช่ลูกของท่าน  ท่านผลักหลังข้าลงกลางหุบเหวปล่อยให้ข้าใช้ชีวิตอยู่กลางป่านานเป็นเดือน

    ที่พีคสุดคงเป็นถีบสะโพกข้าตกลงไปในบ่อจระเข้  ข้าสามารถเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิดแม้จะเฉียดตายไปหลายครั้งเหมือนกัน 

    ผิดกับโอยามาดะได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี ไม่ว่าจะได้รับการจะเรียนหนังสือ การเมือง การปกครอง รวมไปถึงวิชาต่อสู้

    กระบี่ กระบอง  นั่นสินะบางทีข้าอาจจะวาสนาไม่ถึงก็ได้ ไม่มีใครรู้สาเหตุแน่ชัดถึงจุดประสงค์ของท่านพ่อ  

    ข้าก็อดไม่ได้เลยว่าตัวข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านแม่เสียชีวิต ช่างเถิดข้าไม่เคยโกรธหรือเกลียดท่านพ่อสักคราเดียว 

    ท่านสอนให้ข้าเข้มแข็ง แกร่งขึ้น สามารถเอาตัวรอดได้ในชีวิตจริงมีแต่ข้าต้องขอบคุณท่าน  เพราะสิ่งที่ท่านพ่อสอนข้ามา

    นั้นไม่สามารถหาอ่านได้จากตำราเรียนเล่มไหน

                    ความสำเร็จทั้งหมดเป็นเพราะตัวข้ามีพรรคพวกอีกห้าคนทหารคนสนิทคอยสนับสนุน ต่อสู้ ออกรบเคียงบ่า เคียงไหล่ 

    มาตลอดโดยไม่มีใครหันหลังใส่วิ่งหนีเอาตัวรอด พวกเขาเป็นทั้งแนวรบป้องกันทางด้านหน้าในยามข้าออกต่อสู้

    เป็นเกราะกำบังพวกลอบโจมตีข้างหลัง แม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเจ็ดดาบแห่งแคว้นคิริงาคุเระ

     ทว่าพวกเขากลับทำให้ข้าอุ่นใจคล้ายกับอยู่กับครอบครัว

                    ข้าอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าข้อความจากโทบิรามะจะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน  อีกสี่แคว้นใหญ่กำลังจะยกทัพมาสมทบ

    กับแคว้นคิริฯ มันก็เป็นศึกใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยทำมา อย่างแรกข้าต้องจัดการกับแม่ทัพหัวเรือใหญ่จากแคว้นคิริฯ

    ที่เป็นไม้เบื่อไม่เมากันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ  ในเมื่อพวกมันกำลังจะบุกมาทางด้านหน้าเกาะจันทร์เสี้ยว 

    พวกข้าจะไปสั่งสอนพวกมันให้เลิกตอแยเสีย

                    “ พวกมันไม่มีเวรยามกันเลยหรือไงนะ? “ นัตสึกวาดตามองรอบกำแพงเมือง เขาระวังตัวตลอดเวลา

                    “ กระหม่อมคิดว่าพวกเวรยามคงจะแอบอู้ฮะ “ ฮินาตะกระซิบ

    อีกสามสิบเมตรข้างหน้าจะถึงชายฝั่งแคว้นคิริงาคุเระแล้ว สภาพอากาศไม่เลวร้ายนักอากาศเย็นมีหมอกลงบดบังวิสัยทัศ

    ทำให้พวกนินจาเวรยามไม่มีใครได้มองเห็นว่ามีเรือเล็กสองลำแล่นเข้ามาเทียบเรือเงียบๆ นัตสึมองบนฝั่งกำแพง

    เห็นนินจาสองนายกำลังจะเคาะระฆังสัญญาณเตือน นัตสึเพียงแค่หยิบคันธนูขึ้นมา ตามด้วยลูกธนูสองดอกแผลงศรออกไป

    ในคราเดียวจัดทำการปิดปากเรื่องการแจ้งเตือนภัย

                    “ พลธนูคอยจับตาพวกนินจาเวรยามบนกำแพงไว้ให้ดี “ นัตสึหันไปสั่งการกับนินจาใต้สังกัดตน

                    “ ครับ “ พวกเขาขานรับ

     

                    “ นัตสึ ฮินาตะ ข้าจะลอบเข้าไปสังหารแม่ทัพของมันให้สิ้นซาก “ ข้าสั่ง

     ถ้าสามารถเตะตูดคิงออกจากกระดานได้หมากตัวอื่นก็ไม่น่ากลัวแล้วละจริงไหม?

    เมื่อขึ้นฝั่งมาได้ข้า นัตสึ ฮินาตะและทหารฝีมือดีอีกยี่สิบนายตามมาสมทบ  พวกเขาว่องไวและเงียบเชียบ

    เข้าโจมตีศัตรูยิ่งกว่าหน่วยคอมมานโดแบบไม่ทันตั้งตัว   แม้ว่าจะการบุกเข้าไปลอบสังหารมิซึคาเงะรุ่นแรกมีนินจามากฝีมือ

    คอยอารักษ์ขาอยู่ก็ตาม การลงมือก่อนมักจะได้เปรียบกว่าเสมอ นินจาอารักษ์ขาหน้าห้องนอนมิซึคาเงะคนสุดท้ายล้มตัวลง

    นอนบนพื้นด้วยฝีมือของนัตสึ  นัตสึเป็นแนวหน้าป้องกันรับการโจมตี ส่วนฮินาตะตั้งรับป้องกันภัยจากทางด้านหลัง

                    “ ข้าจะรอหน้าห้อง “ นัตสึหันมาบอกข้าพลางเปิดประตูห้องให้ เขาจะรออยู่หน้านอนพร้อมกับฮินาตะ

    ข้าพยักหน้าเข้าใจและเดินเข้าห้องนอนของมิซึคาเงะและรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป ข้าทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเล็กเช็ดตัวดาบยามาโตะ

    เปื้อนคราบเลือดด้วยผ้าขนหนูสีขาวอย่างใจเย็น รอแค่มิซึคาเงะตื่นขึ้นมาก็พอ

                    มิซึคาเงะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกฝันร้ายเล่นงานเขาแทบเสียสติ ใบดาบคาตานะมันบั่นคอเขาขาดกระเด็น

    มือหนาคล้ำแดดยกขึ้นมาจับมันก็ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้หลุดหายไปไหนเสียหน่อย เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวคล้ายเพิ่งวิ่งมาราธอน

    นานห้าสิบนาทีติดต่อกัน อากาศภายในห้องเย็นเฉียบ กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ตรงปลายเตียงก็ห้านาทีเข้าไปแล้ว

    ข้านั่งพาดขาซ้ายไว้บนแขนของเก้าอี้ ขาขวายืดไปตามความยาวส่วนมือทั้งสองกำลังทำความสะอาดดาบยามาโตะ

    ด้วยผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็ก

                    “ กะ กะ แกเป็นใคร? “ มิซึคาเงะเสียงสั่น

                    “ ข้าชื่อคาโอรุ ถ้าพูดชื่อนี้ท่านคงจะไม่รู้จักสินะ เฮ้อแย่จัง “ ข้าตอบคำถามนั่นด้วยน้ำเสียงโทนปกติ

                    “ หน้าตาแบบนี้ ระ หรือว่าเทวีแห่งสงคราม? “ มิซึคาเงะทำท่าเหมือนนึกบางอย่างออก ใบหน้านั้นซีดเผือก

    เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดมาจากใต้ผิวหนัง  ชี้นิ้วชี้มาทางข้า

                    “ อาฮ่ะ จุ๊ๆเป็นข้าจะไม่ทำแบบนั้น “  ข้าพยักหน้ารับและร้องเตือน มิซึคาเงะทำท่าจะลุกออกจากเตียงนอนขนาดใหญ่

    ที่มีสาวสวยนอนขนาบข้างทั้งสองฝั่งเพื่อไปหยิบอาวุธมาสู้กับข้า ข้าเช็ดดาบเสร็จพอดีข้าโยนผ้าขนหนูในมือทิ้ง

    และลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนเดินเข้าไปหยุดตรงหน้ามิซึคาเงะ

                    “ อย่าเข้ามานะ นังบ้าตื่นสิ! “ มิซึคาเงะร้องเสียงดังสั่นสุดเสียง เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงจักระภายในตัว

    และพยายามเขย่าปลุกร่างของสองสาวข้างกายแค่ไหนก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมา  ข้าส่ายหน้าระอากับความสมเพชตรงหน้า

    แต่จะให้ทำอย่างไรได้ละ...

                    “ กะ กะ แกต้องการอะไร? “ สิ้นหนทางมิซคาเงะต้องยอมร้องขอชีวิต ข้าฉีกยิ้มหวานให้อย่างใจเย็น

    สำหรับมิซึคาเงะแล้วมันเป็นรอยยิ้มของมัจจุราชพร้อมกระชากวิญญาณตรงหน้า

                    “ ว่าง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักขึ้นมาหน่อย  ข้าอยากให้ท่านเลิกยุ่งกับพวกคนบนเกาะจันทร์เสี้ยวและไม่มีเรื่องบางหมาง 

    ไม่มีศึกสงครามอีกเลย สัญญากับข้าสิ “  พูดจบข้าโยนเอกสารสัญญาสงบศึกลงบนหน้าขาของมิซึคาเงะ

                    “ ดะ ดะ ได้ สัญญาเลย “ มิซึคาเงะลนลาน เขาคว้าเอกสารขึ้นมาทำหน้าเหมือนจะถามหาปากกา

    เพื่อตวัดลายเซนลงไปแต่ไม่ทันได้ระวัง ขอบกระดาษมันคมกว่าจะรู้สึก ว่าเลือดออกจากนิ้วหัวแม่มือได้ไหลลง

    บนแผ่นกระดาษเรียบร้อย

                    “ นังบ้านี่มันโกงชัดๆ “ มิซึคาเงะแหกปากร้องลั่นเมื่อรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม

    ข้าเดินเข้าไปหยิบเอกสารจากมือของมิซึคาเงะ แผ่นกระดาษทับซ้อนอยู่สองใบ ข้าเก็บแผ่นแรกไว้ส่วนอีกแผ่นโยนคืนไว้บนหน้าขา

    ของมิซึคาเงะตามเดิม

    “ พูดจารู้เรื่องแบบนี้สิข้าชอบ ถือว่าเอกสารสงบศึกฉบับนี้ประกาศใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอย่างไม่มีกำหนด

    ถ้าหากคนของท่านยังขืนมายุ่งรุ่มร่ามกับพวกคนบนเกาะจันทร์เสี้ยว หรือท่านยังไม่เลิกทำศึกอีกละก็ ข้าก็จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

    .. ท่านคงรู้นะว่าข้ามาทำอะไร ? “ ข้าสบตากับมิซึคาเงะพอดี ข้าจ้องมองเข้าไปในดวงของเขาเห็นความแต่ความหวาดกลัว

    ศัตรูตรงหน้า ไม่ว่าเหงื่อไหลออกจากขมับ หัวใจเต้นแรงถี่ เสียงหอบหายใจกระฟืดกระฟาด นั่นสินะมนุษย์ทุกคน

    ล้วนแล้วมีแต่ความหวาดกลัวกันหมด...โดยเฉพาะความตาย

                    “ ก กะแกกล้าหลอกฉันหรอ ฉันเป็นถึงมิซึคาเงะนะ ก แก “ มิซึคาเงะหัวเสียโวยวายเสียงดังสั่นห้อง

    ต่อให้โวยวายดังขนาดไหนก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมาช่วยเขาได้หรอก มิซึคาเงะคว้าที่เขี่ยบุหรี่ใกล้มือได้เขาขว้างมันออกมาด้วย

    ความเร็วและแรงกะว่าให้โดนหรือปะทะกับร่างกายข้าสักส่วนก็ยังดี

    จำไว้โลกใบนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอ่อนแอ “  ข้าโยกตัวหลบไปทางขวาชักดาบคู่ใจออกจากฝัก

    กระโจนตัวเข้าหามิซึคาเงะด้วยความไวไม่ถึงเสี้ยววินาที คมดาบนั้นกดลงบนลำคอแน่นจนเลือดไหลออกเป็นทาง

    ข้าสามารถสังหารให้เขาเสียชีวิตได้ทันทีแต่ข้าไม่อยากจะทำอย่างนั้น  ข้าถอยออกมาเก็บดาบเข้าฝักและเดินออกจาก

    ห้องนอนเงียบๆ  พยัคฆ์ขาวคู่ใจข้ากระโดดออกจากอีกมิติกระโจนเข้ามาขย้ำกัดกินร่างมิซึคาเงะอย่างเอร็ดอร่อย

                    “ นังบ้า! “ มึซึคาเงะตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ  เมื่อครู่ยังโดนคาถาลวงตาเล่นงานเข้าเต็มๆ

    ความสมจริงของคาถานั่นทำให้เขาตกใจกลัวสุดขีด ระดับมิซึคาเงะโดนเด็กรุ่นลูกลูบคมเสียหน้าหรือเสียชื่อผู้นำนินจาของหมู่บ้าน

     สร้างความอับอายจนต้องแทรกแผ่นดินหนีแน่

                    “ ท่านมิซึคาเงะเป็นอะไรไปคะฝันหรือหรอ เหงื่อท่วมเชียว ? “ สาวข้างกายผุดลงขึ้นมานั่งถามเขา

    โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่ามิซึคาเงะเพิ่งจะผ่านเรื่องเฉียดมาตาเองด้วยซ้ำ อยากจะตบหน้าพวกนางทั้งสองคนสักสองสามฉาด

                    “ ต้องรีบแต่งหนังสือแจ้งท่านคาเงะทั้งสี่แล้ว “ มิซึคาเงะลุกออกจากที่นอนได้

    เขารีบเร่งให้คนของเขาแต่งหนังสือขึ้นมาสี่ฉบับเพื่อแจ้งเตือนเกี่ยวกับผู้คนบนเกาะจันทร์เสี้ยว



     END Kaoru's talking.

    END Kaoru's part .



    ทัพเรือของข้าศึกต่างพากันแล่นเข้ามาตามเวลาที่กำหนด  เรือรบกว่าเจ็ดสิบลำกับนินจาอีกนับพันชีวิต

    ต่างพากันมุ่งหน้าตรงมายังเกาะจันทร์เสี้ยว สายน้ำเชี่ยวกราด กลุ่มเมฆหมอกลงไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดสำหรับพวกเขา

    โอยามาดะกำลังยืนถือกล้องส่องทางไกลมองพวกนั้นค้างไว้แล้วลดมือลง

                    “ นั่นมันพวกซึนะนี่หว่า “ โอยามาดะเห็นสัญลักษณ์คล้ายนาฬิกาทรายบนใบเรือทุกลำ

                    “ ท่านโอยามาดะขอรับ ยืนอยู่ตรงนั้นเกรงว่าจะได้รับอันตราย “ เรียวตะเอ่ยเตือน

                    “ ไม่มีอะไรทำอันตรายกับข้าได้หรอกนะเรียวตะ “ โอยามาดะหันมายิ้มอย่างใจเย็น

    เขาสวมชุดเกราะพร้อมออกศึกเหมือนกับนินจา ทหารใต้สังกัด เพียงแค่ว่าตอนนี้เขากำลังรอเวลาที่พวกนินจาจากซึนะฯ

    เข้ามาติดหลุมพรางที่เขาวางไว้เท่านั้น

                    “ ท่านโอยามาดะพวกมันเข้ามาแล้วครับ “ องครักษ์ข้างกายโอยามาดะรายงาน

                    “ ดี  โยนกองหญ้าชุบน้ำมันลงไปซะ “  โอยามาดะสั่งการพร้อมกับรอยยิ้ม

    ปลากินเบ็ดแล้วสินะ พวกเขาหลอกล่อให้พวกนินจาซึนะฯล่องเรือเข้ามาในแหลม ถูกปิดตายปลายทางด้วยเรือไม้

    ในเมือเรือลำแรกเข้ามาได้ลำต่อไปก็เข้ามาเรื่อยๆ

                    “ รับทราบครับฝ่าบาท  “

    กองหญ้าแห้งชุบน้ำมันถูกโยนลงไปบนเรือของเหล่านินจาจากซึนะฯ

                    “ ถอยเรือเร็วเข้านี่เป็นกับดัก “ หัวหน้านินจาผู้คุมเรือของฝ่ายซึนะฯตะโกนเสียงดัง

    กว่าจะรู้ตัวว่าโดนปิดประตูตีแมวพวกมันก็ไม่สามารถหนีเอาตัวรอด หญ้าแห้งก้อนกลมกลิ้งลงมาจากพื้นที่สูงกว่านับร้อย

    แค่กองหญ้าอย่างเดียวไม่น่ากลัวเท่ากับได้กลิ่นน้ำมันมาด้วย

     

                    “ รุกฆาต “ โอยามาดะพูดเสียงแผ่วขณะกระชับคันธนูให้มั่น ลูกธนูถูกแผลงศรออกไปพร้อมกับเปลวไฟบนหัวลูกดอก

    เมื่อธนูดอกแรกพุ่งด้วยความเร็วเป็นสัญญาณ ลูกธนูแบบเดียวกันอีกนับร้อยคล้ายกับเกลียวคลื่นวิ่งออกไปปักลงบนเรือของศัตรู

    บางก้อนมีดินปืนบางก้อนชุบน้ำมัน เสียงระเบิดดังก้องกัมปนาทไปทั่วทั้งเกาะ  นินจาจากฝ่ายเกาะจันทร์เสี้ยวไม่รอช้า

    ให้พลาดจังหวะการจู่โจม  พวกเขากระโดดลงจากพื้นดินบนแหลมลงไปบนเรือรบของศัตรูสังหารทุกคนให้สิ้นไม่ให้ได้รอดกลับไป

                    “ ถอยทัพซะ “ คาเซะคาเงะสั่งให้ถอนกำลังในทันที 

    เขายืนมองลำเรือกองหน้าถูกจมลงภายในพริบตาจากพวกคนป่าบนเกาะ คาดว่าพวกมันคงต้องมีของเล่นอะไรออกมาอีกแน่

    ท้องทะเลกำลังปั่นป่วน คลื่นทะเลเริ่มเเปรปรวนรุนแรงมากขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อแถมมีแต่ฝ่ายทัพของคาเซะคาเงะเองที่เสียหาย 

    แม้ว่าจะส่งกลุ่มคนบุกเข้าไปลอบโจมตีจากทางท้ายเกาะก็ตาม

                    เสียงของเหล่านินจาจากแคว้นซึนะฯ พากันร้องวิ่งหนีแตกทัพลงจากชายท้ายเกาะจันทร์เสี้ยวทั้งหมดทุกนาย

    พวกเขาแอบย่องเงียบขึ้นชายฝั่งอย่างระมัดระวังไม่ให้จับได้ หมอกหนาพรางตาได้จางลงเพราะสายลมพัดผ่าน

    พวกเขาได้เห็นการทรมานมนุษย์ขณะยังมีชีวิตโดยการเสียบด้วยไม้แหลมขนาดใหญ่ จากทางด้านหลังทะลุอก

    เสียงร้องโหยหวนร้องขอชีวิตทำให้ผู้พบเห็นต่างพากันประสาทเสียยกใหญ่ ไม่มีใครทนยืนดูไอ้นานเกินสิบนาที

     ถ้าพวกนินจาข้าศึกแพ้คนบนเกาะก็คงถูกจับเสียบแขวนประจานแบบนั้นแน่

                    โชเฮย์ และ มายุได้แต่พากันยืนมองอย่างเงียบๆ ในมุมมืดพร้อมกับกองกำลังนินจาใต้คำสั่งของตน

    แม้ว่าศัตรูจะวิ่งหนีกระเจิงพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ไม่รู้ว่าจะกลับไปตั้งหลักรอกำลังเสริมเข้ามาในเวลาหมอกจางลง

    พวกเขาทั้งสองอยู่จับตามองตลอดเวลาจนกระทั่งให้แน่ใจว่าไม่มีใครกล้าบุกเข้ามา ลอบโจมตีบนชายหาด

    (จัดตั้งเวรยามเฝ้าพื้นที่ตลอดเวลา)

                    เรื่องราวความป่าเถื่อนของผู้นำบนเกาะจันทร์เสี้ยวถูกกระจายกันออกไปด้วยปากต่อปากไปทั่วทุกแคว้น

    ผู้นำบนเกาะจันทร์เสี้ยวทราบนามภายหลังว่าโอยามาดะ เป็นผู้ปกครองเกาะจันทร์เสี้ยวนำทหารของศัตรูแพ้สงครามเสียบ

    ประจานแขวนบนเสาไม้ ปล่อยให้น้ำหนักตัวของเหยื่อกดทับกับเสาไม้เมื่อทนพิษบาดแผลไม่ไหวทรมานจนกว่าจะเสียชีวิต

    การประจานเป็นการข่มขวัญศัตรูเข้ามาล่าอาณานิคมและขยายอาณาจักรเป็นแผนอันยอดเยี่ยม

    ไม่มีผู้นำคนไหนอยากจะข้องเกี่ยวกับเกาะจันทร์เสี้ยวอีกเลย

     

     



    โปรดติดตามตอนต่อไป..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×