ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic: Naruto] เหนือกาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #2 : เหนือกาลเวลา : Prisoner.

    • อัปเดตล่าสุด 27 ต.ค. 64


     

     


     

     - Prisoner. -


     

           ฉันสะดุ้งตื่นรู้สึกว่ามีลำแสงสีส้มส่องเพื่อทำการเช็กรีเฟร็คซ์ม่านตา ผู้ชายร่างใหญ่ลำตัวหนา

    สูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ  ปิดไฟฉายกระบอกเล็กในมือ

    เดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ฉันมองสำรวจรอบตัวตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่อม มีกระจกติดฟิล์มมืดมองไม่เห็นอีกฝั่ง

    หรือเรียกง่ายๆว่า ‘ห้องสอบสวน’ ข้อมือทั้งสองข้างถูกพันธนาการด้วย โซ่ร้อยติดกับตัวโต๊ะป้องกันการหลบหนี

     ฉันได้ยินเสียงเขาบ่นพึมพำด้วยภาษาเจแปนนีส

    “ แย่จังวะ ไหนชื่ออะไร มาทำอะไรที่นี่ ?”  เขาพูดด้วยเสียงเหี้ยมฟังแล้วคล้ายกำลังข่มศัตรูให้ขวัญเสีย

    เสียใจด้วยฉันพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้และไม่คิดจะพูดมันด้วยซ้ำ! ฉันพูดได้แค่ภาษาไทย อังกฤษ เท่านั้น เพราะฉันเป็นนักฆ่า

    ไม่ใช่นักเจรจาสันติอะไรทั้งนั้น! ดังนั้นเรื่องการติดต่อสื่อสารไม่จำเป็นสำหรับฉันเลยด้วยซ้ำ! 

    ฉันยังคงความนิ่งสงบเยือกเย็น

    ไม่ตอบคำถามเหล่านั้น นั่งรวบรวมสติและสมาธิให้มากขึ้น ผู้ชายตรงหยุดพูดเสียงดังก่อให้เกิดความรำคาญ 

    แสดงความโกรธออกมาจากน้ำเสียง  ชักสีหน้าใส่อย่างไม่ปิดบัง

    “ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้นี่มันคืออะไร ? ” เขาหยิบปืนพก Beretta M9A1 ออกมาถืออยู่ในมือซ้าย

    แกว่งมันไปมาตรงหน้าฉัน  “ ใช้ทำอะไร? ” เขาตะคอกใส่เน้นเสียงดังเป็นหลักสอดนิ้วชี้มือซ้ายเหนี่ยวไกปืน 

    ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาบ่นอะไร แต่ตามหนังสืบสวนที่เคยฉายรอบดึกตามฟรีทีวีเดาว่าเขาต้องพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่… ก็ใกล้เคียง

    รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องบอกลากับคนพวกนี้เสียแล้วสิ เสียใจด้วยคงไม่ได้พบกันอีกโอกาสหน้าอย่างแน่นอน

    ฉันปิดเปลือกตาลงชั่วครู่ ทุกสิ่งมันกำลังกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวช้าๆ คล้ายกับใช้โปรแกรมสโลโม่ของกล้องไอโฟน 

    ในระหว่างนั้นสมองของฉันสั่งการทันทีว่าควรจะจัดการกับคนตรงหน้าอย่างไร 

    เมื่อคิดได้แล้วฉันเปิดเปลือกตาขึ้นมองอีกฝ่าย แสยะยิ้มเย็นเล็กน้อยเพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้

                    ปัง!

    เสียงกระสุนดังขึ้นหนึ่งนัดเกิดจากปืนลั่น โชคดีลั่นแค่หนึ่งนัดฉันอาศัยจังหวะนี้ ยกมือขึ้นในอากาศ

    ดึงโซ่เป็นเส้นตรงขนานกับโต๊ะ ใช้จังหวะลูกกระสุนวิ่งออกจากรังเพลิง พุ่งเข้าใส่ตรงกลางของโซ่ด้านมือซ้าย 

    ใช้เท้าขวาถีบยันขอบโต๊ะเต็มแรงกระแทกใส่ช่วงอกอีกฝ่าย  เขาปล่อยปืนในมือหลุดลอยกลางอากาศ 

    นอกจากปืนลั่นฉันอาศัยจังหวะเดียวกันยกฝ่าเท้าถีบโต๊ะอัดใส่ช่วงท้องของชายร่างยักษ์

    เพื่อแย่งปืนและแล้วปืนพกก็กลับเข้ามาอยู่ในมือของฉัน  

     ฉันลั่นไกใส่โซ่ข้อมือขวา ซ้ายไม่ต้องพึ่งกุญแจไขเพื่อให้หลุดจากพันธนาการนี้ 

    เพียงเท่านี้อิสระกลับมาเป็นของฉันอีกครั้ง! ฉันจัดการกับชายร่างสูงใหญ่ด้วยอาวุธในมือแค่หนึ่งนัดเข้าจุดตาย 

    ปล่อยร่างของเขาล้มลงนอนนิ่งบนพื้นโดยมีเลือดไหลออกจากข้างขมับขวา

     ผู้ชายสวมชุดฟอร์มเสื้อกั๊กสีเขียว เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ กางเกงขายาวปิดถึงข้อเท้าสีดำ สองคนโผล่เข้ามา

    ถืออาวุธมีดสั้นในมือ พวกเขาใช้กระบวนท่าง่ายๆเคลื่อนไหวอืดอาดคล้ายว่าถูกเต่าเกาะขาเสียด้วยซ้ำ

    ฉันจัดการคนพวกนั้นด้วยกระบวนท่าของมวยไทยไม่กี่วินาที พังกระจกกั้นห้องสีดำหลบหนีออกจากห้องสอบสวนได้

    ฉันพยายามหาทางออกจากเมืองแห่งนี้หรือประเทศจะดีกว่าเพราะไม่มีธุระอะไรอีกแล้ว

              “ ฉันปล่อยให้คุณหนีไปไม่ไห้หรอกนะ “ เขาพูดด้วยภาษาเจแปนนีสที่ฟังฉันไม่ออกอย่างเช่นเคย 

    ฉันจ้องมองผู้ชายโผล่มาจากทางด้านหลังฝั่งทางซ้ายมือตัวเอง เขามีเรือนผมสีเทาควันบุหรี่คล้ายโดนไฟช็อต 

    ใส่ผ้าปิดปากไปครึ่งหน้า แถมมีผ้าโพกหน้าผากสัญลักษณ์คล้ายใบไม้ปิดตาซ้าย เขาใช้นิ้วโป้งขวาเลื่อนผ้าโพกปิดตา

    ขึ้นเพียงเล็กน้อยพร้อมรอยแผลเป็นทางยาวสีคล้ำ ดวงตาสีแดงก่ำคล้ายเลือดสีแดงฉาน 

    นอกจากดวงตาสีแดงก่ำแล้วยังมีลายลูกน้ำสามจุดขยับไปมาด้วยความเร็ว 

    กว่าจะรู้ตัวอีกคราร่างของฉันก็ล้มลงเสียงดังโครมใหญ่ โลกทั้งใบกำลังหมุนคว้างจนเวียนหัวชวนปวดไส้

    เปลือกตาทั้งสองข้างถูกปิดลงคล้ายกับโดนสะกดจิต ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้สึกหรือใกล้เคียงกับคำว่าง่วงนอนเลยสักนิดเดียว 


     

    END 69’s talking.


     


     

    “ ไม่มีใครหูตาไวได้เท่านายแล้วนะคาคาชิ “ เสียงทุ้มทรงพลังเอ่ยขึ้นด้วยความหวัง

    หวังว่าคู่สนทนาจะเข้าใจกับเรื่องที่กำลังพูดในเวลานี้

             “ ท่านโฮคาเงะ...ทำไมต้องเป็นผมด้วยละครับ ? “ คาคาชิถึงกับต้องเก็บอาการของตนเองไว้ในใจ

    เขาคุกเข่าลงพื้นหนึ่งข้างส่วนอีกข้างตั้งชันกับพื้นคุยกับชายชรานามซารุโทบิ  ฮิรุเซ็น บนดาดฟ้าของตึกสำนักงานโฮคาเงะ

    หากมองจากภายนอกแลดูคล้ายกับชายสูงอายุพบเห็นได้ตามท้องถนน  ทว่าเขาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำนินจาสูงสุด

    ของหมู่บ้านโคโนฮะหรืออีกชื่อว่าโฮคาเงะรุ่นที่สาม

     “ ถ้าเป็นอิทาจิ...น่าจะวัยเดียวกัน “ คาคาชิพยายามเสนอตัวช่วยอื่น

    “ อิทาจิไม่ไหวหรอก มีแค่นายคนเดียวเท่านั้นคาคาชิ “ ฮิรุเซ็นขยับหมวกบนศีรษะ

    แถมยังยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่นว่าต้องเจาะจงต้องเป็นเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น! ทั้งที่ในใจฮิรุเซ็นก็อยากให้อิทาจิมา

    รับหน้าที่ตรงนี้แทนคาคาชิ ....เสียใจและขอโทษด้วยนะคาคาชิ  อิทาจิมีภารกิจลับอย่างอื่นซึ่งสำคัญต่อฮิรุเซ็นอย่างมาก 

    “ ครับท่าน “ คาคาชิลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนโค้งตัว รับฟังคำสั่งอย่างว่าง่ายแถมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีกทั้งสิ้น 

    คำสั่งของท่านโฮคาเงะทำให้คาคาชิรู้สึกว่าบ่าทั้งสองข้าง กำลังรับภารอันหนักอึ้งนอกจากลูกลิงทีมเจ็ดทั้งสามคน

    ยังมีนักโทษที่เขาต้องเกาะติดทุกสถานการณ์ คล้ายถ่ายทอดรายการเรียลลิตี้เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชีวิต

            ความเดิมจากตอนที่แล้วมีอยู่ว่าโอโรจิมารุสมาชิกสามนินจาในตำนาน เสียชีวิตด้วยอาวุธเล็กและแหลมคม

    บางอย่างทะลุหน้าผากออกด้านหลังกะโหลกศีรษะ ข้างศพของโอโรจิมารุพบกับชายปริศนา นอนสลบไม่ได้สติ

    คาดว่าต้องเป็นผู้ลงมือสังหาร ทางหน่วยตำรวจจึงดำเนินการควบคุมตัวไปห้องสืบสวนทว่าผู้ต้องหาคนนี้มากด้วยฝีมือ 

    แถมความเร็วชั่วพริบตา จึงหลยหนีออกมาพบคาคาชิ หน้าตึกสำนักงานโดยบังเอิญจึงมีการควบคุมตัว(ปะทะ)ขึ้น 

    เท่าที่ฟังจากปากคำของคนนอกห้องสืบสวนผู้ต้องหาเป็นใบ้พูดไม่ได้จึงเป็น จึงเรื่องหนักใจของคาคาชิ

            ไม่ค่อยเข้าใจท่านโฮคาเงะมากนัก ว่าทำไมท่านต้องส่งผู้ต้องหาให้มาอยู่ร่วมบ้านของเขากันด้วยนะ

    คาคาชิใช้ความคิดพลางเดินจนมาถึงบ้านฮาตาเกะ เขาเปิดประตูรั้วบ้านเดินอาดๆเข้าตัวบ้านเหมือนทุกครั้ง 

    เปิดบานประตูบ้านด้านใน มองเข้าไปเห็นใครบางคนยังสลบไม่ได้สติบนโซฟาตัวยาว  

    สืบปลายเท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ หมุนหน้าเอียงคอ เข้าไปใกล้จังหวะเดียวกับคนบนโซฟาลุกขึ้นมานั่งกุมขมับ

    ปวดศีรษะ เนื่องจากตะวันทับตา เส้นผมสีดำยาวคลอถึงช่วงบ่ายุ่งเหยิง กระเซิงเล็กน้อยนัยน์ตาสีฟ้าเหลือบน้ำเงินเฉยชา

    นิ่งสงบมองเขาตอบกลับ

                    “ ตกใจหมดเลย! ” คาคาชิหลุดสบถปนสะดุ้ง

                    “ ... ” อีกฝ่ายนิ่งเงียบ

                    “ ตอนนี้นายอยู่ในความดูแลของฉัน  ฉันฮาตาเกะ คาคาชิ  ใช่  คา คา ชิ ” คาคาชิแนะนำตัวเอง

    อย่างเป็นทางการ แล้วก็ชี้นิ้วมาที่ตัวเองสะกดชื่อทีละคำเพื่อให้อีกคนเข้าใจกับคำพูด

                    “ คา คา ชิ ” อีกฝ่ายเรียกด้วยโทนเสียงต่ำ

                    “ ใช่ แล้ว ชื่อ ของ นาย ละ? ” เจ้าของชื่อพยักหน้า และยกนิ้วโป้งให้เพื่อแสดงความถูกต้อง

    แล้วชี้นิ้วไปที่อีกฝ่าย 

                    “ ... ” เป็นคำถามซึ่งไร้คำตอบ คาคาชิกรอกตามองบน

    หาตัวช่วยโดยการกดรีโมทเปิดโทรทัศน์เพื่อทำลายความเงียบที่กำลังเกิดในขณะนี้

                    “ ฉันคิดว่านายต้องมีชื่อเรียกนะ ” คาคาชิพูดต่อ เสียงของโทรทัศน์ดังขึ้น 

    ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งสิ้น พอดีกับซีรี่ส์วัยรุ่นสุดฮิตช่วงเย็นกำลังมา พระเอกหนุ่มสุดฮอต

    สาวน้อยใหญ่พากันหลงรักกันหัวปักหัวปรำ คาคาชิมองสลับหน้าจอกับคนข้างกายพิจารณาอีกครา จากคนข้างกาย

    ก็ไว้ผมทรงอันเดอร์คัต เส้นผมยาวสีดำสนิทรากไทรทรงเดียวกับพระเอกด้วยสิ ไม่ใช่แค่ทรงผมโครงหน้ารูปไข่ 

    จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางผิวขาวสะอาดเหมือนผู้หญิง

                    “ นายมีชื่อว่า ชุน ละกัน ” คาคาชิคิดอะไรไม่ออก เขาได้ไอเดียชื่อพระเอกหน้าหยกจากจอทีวี

                    “ ชุน? ” อีกคนตรงหน้าพูดตาม แถมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

                    “ ฉันคิดว่าเราคงต้องมีชั่วโมงเรียนภาษากันแล้วละ ” คาคาชินึกได้ว่าขากลับจากตึกสำนักงานโฮคาเงะ

    ได้ซื้อหนังสือพจนานุกรม สมุดคัดคันจิสมุดเปล่าอีกสามสี่เล่มหนา  ดินสอ ปากกา กระดาษโพสอิท

    การจะอยู่ด้วยกันนั้นต้องมีกฎและระเบียบคาคาชิไม่ใช่คนเรื่องมาก  มีเพียงข้อสำคัญควร ไม่ควรปฏิบัติไม่กี่อย่างเท่านั้น  

    คาคาชิไม่มีห้องว่างนอนสำหรับอาคันตุกะดังนั้นจึงต้องยอมแบ่งเตียงให้ชุนนอนคนละครึ่งเตียง

                    “ พอดีว่าอีกห้อง... ฉัน ทำ เป็น ห้อง แต่ง ตัว เก็บ เสื้อผ้า” คาคาชิพอจะเกริ่น พร้อมกับภาษามือทำท่าประกอบ

                    “ ฉัน นอน ได้ ” ชุนตอบกลับด้วยภาษามือเช่นกัน ใช้ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พนมมือสองข้างขึ้นมาแนบข้างแก้ม

    เอียงลำคอเพียงเล็กน้อย และยกนิ้วมือให้ พอเป็นอันเข้าใจกันอย่างเรียบง่าย

     

                    บอกได้คำเดียวเลยว่าเรื่องนี้สาหัสสากันขนาดไหนกับคาคาชิ ภาวนาในใจขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

    แค่ว่าอย่าให้ชุนเป็นใบ้พูดไม่ได้ เพราะการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนจะเขียนหนังสือได้เราต้องพูดได้ก่อน

    เป็นเรื่องธรรมดา คาคาชิใช้เวลาว่างกับชุนทั้งหมดเป็นเจ็ดวัน การสอนสลับกับทีมเจ็ดและสอนหนังสือชุน 

    คาคาชิเดินผ่านทุกสิ่งอย่างพบกับตัวคันจิขยุกขยุยสลับกันไปมาบนกระดาษโพสอิท ไม่ว่าจะห้องนอน 

    ห้องน้ำ เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ คาคาชิรู้สึกพอใจอย่างน้อยชุนก็พอจะตั้งใจเรียนกับสิ่งที่เขามอบให้ 

    แม้บางคำเขาต้องคอยแก้ไข เขียนลายมือบรรจงลงกระดาษโพสอิทเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น และติดมันลงตามชื่อเรียกสิ่งนั้นๆ

    เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ ฯลฯ

     

    หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปชุนพอจะสื่อสารกับคาคาชิได้บ้างทว่ายังไม่คล่องมากนัก แต่ก็พอจะสื่อสารพอรู้ความ

    คาคาชิแนะนำหนังสือเล่มสีส้มให้ชุน เพื่อฝึกทักษะในด้านการอ่าน  ชุนรับมันมาพลิกดูปกด้าน หน้า และลองอ่านชื่อเรื่อง

    ลองสะกดคำได้ทั้งหมดแต่ยังต้องใช้เวลาสักนิด ก็เข้าใจแล้วว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่

    ชุนใช้เวลาเป็นอย่างมากกับการสะกดคำ หนึ่งหน้ากระดาษใช้เวลาราวๆสิบนาที ซึ่งกินเวลานานมากเลยทีเดียว

    เมื่ออ่านจบครบทุกหน้าแล้ว ชุนก็ยังต้องอ่านใหม่ ใช่อ่านซ้ำอีกสองถึงสามครั้ง เพื่อความแม่นยำของการสะกดคำและ

    ทำความเข้าใจกับเนื้อหาให้มากยิ่งขึ้น

             เพื่อกระตุ้นความจำคาคาชิจึงคิดเกมใบ้คำ โดยเขียนคำศัพท์ง่ายๆลงบนบัตร(ขอเรียกว่าบัตรคำศัพท์) 

    ตัดกระดาษแข็งเป็นชิ้นสี่เหลื่อมเท่าฝ่ามือใช้กระดาษสองหน้า ด้านแรกจะเป็นด้านสีจะเขียนคำศัพท์ 

    ส่วนด้านเป็นกระดาษสีขาวพร้อมคำเเปล โดยคาคาจะเป็นฝ่ายหยิบบัตรคำศัพท์พวกนั้นขึ้นมาวางเหนือหน้าผากตน 

    เพื่อให้ชุนเป็นคนอ่านออกเสียงพร้อมคำแปล หากชุนตอบไม่ได้ภายในห้าวินาที(มีนาฬิกาจับเวลา)  

    คาคาชิก็เตรียมพร้อมบทลงโทษไว้เช่นเดียวกัน เริ่มแรกเป็นหมวดคำทักทายขั้นพื้นฐาน เช่น สวัสดี(ในช่วงเวลาตั่งต่าง)

    ขอโทษ ขอบคุณ ซึ่งชุนสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว

    “ คงจะง่ายไป เดี๋ยว เอาอีกชุดนะ ” คาคาชิหันไปควานหาหมวดคำศัพท์อีกกอง

    โดยไม่บอกชุนหรอกว่าตนหยิบหมวดอะไรขึ้นมาให้สะกดคำ เพื่อสร้างความตื่นเต้นขึ้นไปอีกเท่า!

    “ Nani? ” (อะไรนะ) ในตอนนี้จะกลายเป็นคำพูดติดปากของชุนไปเรียบร้อย ชุนนั่งขมวดคิ้วผูกเป็นโบว์

    ติดด้วยกาวตราช้างบนหน้าผากแน่น พร้อมกับใช้ความคิด กอดหมอนอิงสี่เหลี่ยมแน่นอก เจอคำศัพท์ยากๆเข้าไป

    ถึงกับเดาทางไม่ถูกเลยทีเดียว

                เสียงเตือนของนาฬิกาจับเวลาร้องลั่นเมื่อครบห้าวินาที และต้องรับบทลงโทษจากคาคาชิ

    ถ้าเรียกเป็นภาษาไทยคือ อีแก่กินน้ำ แต่เปลี่ยนจากการดื่มน้ำเปล่าเป็นการดื่มเบียร์แทน กติกาง่ายๆหากใครดื่มเบียร์

    จนกระทั่งร่างกายไม่สามารถรับไหว จะถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ไปในที่สุด!

                “ นี่แอบหลอกดื่มเบียร์ฟรีป่าวเนี่ย? ” คาคาชิเริ่มสงสัย ถามปนหัวเราะเสียงดังออกมา

                “ ก็มันยากนี่นา” ชุนถึงกับหัวเราะร่วน ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่ม นอกจากคำศัพท์ที่ว่ายาก เ

    จอลายมือคาคาชินั้นยากกว่า! พอเปลี่ยนหมวดคำศัพท์ชุดใหม่ชุนตอบคำถามแทบไม่ได้เลยสักคำ คาคาชิหันมองขวดเบียร์

    ข้างตัวตั้งวางเรียงรายล้อมหน้าหลังแล้วสิ เบียร์ที่ซื้อมาหนึ่งลังก็พร่องลงเต็มที โดยที่เขาดื่มไปแค่สองสามขวดเอง 

    เกิดอาการมึนๆเล็กน้อย ส่วนชุนนะหรอ...รายนั้นซัดไปคนเดียวเกือบแปดขวดแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลย 

    ยังสนุกกับการทายคำ แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้วก็ตาม แต่สภาพร่างกายตอนนี้ของคาคาชินั้นไม่ไหว

    จำต้องยกเลิกการทายคำศัพท์ แยกย้ายกันไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นค่อยกลับมาเล่นสนุกกันใหม่อีกครั้ง 

     

                


     

                 “ ทานข้าวนอกบ้านกันไหม ? “ คาคาชิเปิดฝาหม้อหุงข้าวขึ้นมาดู พบแต่ความว่างเปล่า 

    ส่วนชุนลดหนังสือในมือลงมาวางบนอก  คาคาชิมั่นใจแล้วว่าชุนไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัย 

    อีกอย่างอาจจะเป็นการกระชับมิตรระหว่างสองคนด้วย 

                    “ เอาสิ “ ชุนทำเสียงในลำคอ พยักหน้าตอบรับ

    สุดท้ายมื้อเย็นของวันคาคาชิก็ชวนชุนออกไปเดินเล่น หาอาหารเย็นทาน การทานอาหารนอกบ้านครั้งแรก

    สำหรับคาคาชิแล้วเขามักจะสังเกตหรือจับพิรุจชุนทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้ พอยืนใกล้ชุนแล้วเขาก็พบว่า 

    ชุนมีส่วนสูงไล่เลี่ยกับเขา ถ้าให้คาดคะเนคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเป็นแน่ ยิ่งหน้าตาหล่อไม่เบา 

    น้องๆพระเอกในละครหลังข่าว กลายเป็นจุดสนใจ 

               ทำให้คนรอบข้างระหว่างทาง พากันจับตามองโฟกัสไปที่ชุนกันเป็นตาเดียวกัน!

     “ เมนูวันนี้คือ ? ” ชุนหันมาถาม

     “ ราเม็งร้านลุงเทะอุจิ ” คาคาชิตบเข่าฉาดใหญ่ ร้านราเม็งเจ้าประจำอาหารโปรดของนารูโตะ

    ไม่แค่อาหารจานโปรดของนารูโตะหรอก ร้านราเม็งที่กำลังจะพาชุนไปนั้นขึ้นชื่อว่าอร่อยสุดในเรื่องราเม็ง  

    ถ้ามาแคว้นโคโนฮะแล้วไม่ทานอิจิราคุราเม็งถือว่ามาไม่ถึงเลยทีเดียว! 

    “ นายชื่ออะไร? ” คาคาชิตั้งคำถาม ขณะรออาหารมาเสิร์ฟ

            “ 69 ” 

            “ ฉันคิดว่านั่นคงไม่ใช่ชื่อ ”

            “ แต่ฉันคิดว่านั่นคือชื่อของฉัน ” 

            “ อย่างนั้นหรอ ...ฉันว่าชื่อชุนเถอะเท่กว่าเยอะ” สุดท้ายคาคาชิก็ยังยืนยันชื่อแปลกๆให้อย่างยัดเยียด

    โดยไม่ได้ถามความสมัครใจของอีกคนเลยด้วยซ้ำ!

           “ นายมีความแค้นอะไรกับท่านโอโรจิมารุหรอ? ” คาคาชิพยายามใจเย็น เลือกใช้คำศัพท์ให้อีกฝ่ายตอบคำถามได้

    ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปอย่างนั้น เพราะคำถามของเขามันอาจจะทำให้เสียรูปคดี

    โอโรจิมารุ เป็นอาชญากรที่โลกนินจาต้องการตัวเป็นอย่างมาก (ในหมายจับเน้นว่าต้องการจับเป็น)และต้องการควบคุมตัว

    เพื่อมารับโทษทัณฑ์ตามกฏหมายของหมู่บ้าน ในระหว่างที่พบศพนั้นได้พบกับบุคคลปริศนา 

    ผู้ต้องสงสัยในการสังหารโอโรจิมารุนอนสลบไม่ได้สติอยู่บริเวณใกล้เคียง

    ตรวจสอบสถานที่บริเวณรอบๆแล้ว พบร่องรอยของการต่อสู่เพียงเล็กน้อย จึงทำการควบคุมตัวชุนมาด้วย

    และชุนเองก็เป็นใบ้ พูดหรือสื่อสารให้การกับหน่วยตำรวจไม่ได้(ไม่ให้ความร่วมมือ) ที่โหดร้ายไปกว่านั้น 

    คือ ชุนลงมือสังหาร มาริโนะ อิบิกิ หัวหน้าหน่วยตำรวจ เจ้าหน้าที่แผนกสืบสวนสอบสวน ซึ่งมีความผิด

    ในข้อหาฆ่าคนตาย ซึ่งก็ฆ่าเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ด้วยอาวุธที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในโลกนินจา

    และทำการหลบหนีจนกระทั่งมาเจอกับเขา   คิดแล้วคาคาชิอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเป็นสองท่อนจริงๆ!

    “ ฉันไม่ได้มีความแค้น ฉันมีหน้าที่ฆ่าเขาเท่านั้น ” ชุนตอบด้วยเสียงเรียบง่าย

    และคิดว่าคาคาชิน่าจะเข้าใจกับคำตอบเป็นอย่างดี 

    “ คงเป็นหน่วยลับของหมู่บ้านอื่นแน่ๆ ” คาคาชิสันนิษฐาน ว่าชุนคงจะทำภารกิจแล้วโดนคาถาลบความทรงจำ

    ให้หลงลืมเรื่องราวก่อนหน้าที่จะตื่นขึ้นมาก็เป็นได้ 

    “ ก็ไม่เชิง..จะว่าไปข้างศพโอโรจิมารุไม่มีกระเป๋าเจมส์บอนด์เลยหรือไง ?” ชุนเปลี่ยนท่านั่งหลังตรง

    พิงพนักเก้าอี้ เพราะรู้สึกว่าคาคาชิจะเริ่มยิงคำถามจริงจัง และต้องการคำตอบด้วยความจริงใจจากหล่อน

           “ ทางหน่วยตำรวจพบแค่นายนอนสลบอยู่ข้างศพท่านโอโรจิมารุ ” คาคาชิประสานมือทั้งสองข้าง

    แล้วค้ำคาง เอนตัวไปด้านหน้า แสดงความสนใจกับคู่สนทนามากขึ้น

     “ อืม ” ชุนเงียบพร้อมกับใช้ความคิด

    ถ้าหากกระเป๋าใบนั้นเป็นแพนโดร่านำพาให้ชุนโผล่มาที่ญี่ปุ่น คาดว่าน่าจะมาไกลกว่ายุคสมัยนินจาด้วยซ้ำ

    บ้านเมืองดูไม่พัฒนามากนัก ข้าวของเครื่องใช้โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องฟอกอากาศ ขาดอย่างเดียวคือโทรศัพท์

    เคลื่อนที่ หากว่าหากระเป๋าใบนั้นเจอละก็ ของที่อยู่ในนั้นอาจจะพาให้ชุนกลับไปยังยุคสมัยเดิมก็เป็นได้ 

    คล้ายๆละครเรื่องทวิภพ ตัวละครผลุบๆโผล่ๆ เดินทางไปในต่างแดน

    “ คิดอะไรอยู่หรอ? ” คาคาชิเห็นชุนเงียบไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

    “ ฉันแค่อยากกลับบ้าน ”  ชุนรู้ว่าอยู่ที่นี่มีแต่จะเป็นภาระให้คาคาชิไปเปล่าๆ

    ทุกวันนี้ต้องรบกวนเงินของเขาอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะค่าอาหาร เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ 

    “ อย่าคิดมาก ฉันจะหาทางช่วยนายกลับบ้านแน่ๆขอแค่ตอบคำถามฉันมาก็พอ ฉันสัญญา ”

    คาคาชิรู้ว่าชุนก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับนารูโตะ คงพอจะพูดคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้าง

            “ อืม ” ชุนพยักหน้า

            “ นายเป็นใคร  มาจากไหน ตั้งใจจะทำอะไรต่อไป ? ” คาคาชิระดมยิงคำถาม คล้ายรัวปืนเอ็มสิบหก

    ใส่หน้าชุนเต็มที่ ไม่สนหรอกว่าคนฟังจะเลือกตอบคำถามไหนก่อนดี

            “ ฉันไม่มีชื่อ ที่ๆฉันโตมานั้นทุกคนจะมีแค่รหัสใช้แทนชื่อตัวเท่านั้น 69 ถือว่าเป็นชื่อของฉันตั้งแต่กำเนิด

    ฉันถูกพัฒนาสายพันธุ์หรือเรียกง่ายๆว่าปรับแต่งพันธุกรรม สำหรับเป็นนักฆ่าอย่างสมบูรณ์แบบ ในที่ๆฉันจากมา

    โอโรจิมารุเป็นชื่อตามใบสั่งให้ฉันสังหาร” ชุนตอบเสียงนิ่งสงบ พอจะเรียบเรียงคำตอบ ตอบคำถามเหล่านั้นรวดเดียว

    เล่นคนฟังถึงกับเงียบยิ่งกว่าเป่าสาก คาคาชิจับพิรุจโกหกตั้งแต่ สีหน้าแววตา แทบไม่เชื่อกับหูตัวเอง

    เลยว่ามีจะการดัดแปลงพันธุกรรม เขาเคยอ่านจากหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สัตว์สี่เท้าตัวแรกของการ

    โคลนนิ่งคือแกะตัวน้อย และไม่เคยคาดคิดกับตัวเองว่าจะมีการโคลน...โดยเฉพาะการโคลนมนุษย์เกิดขึ้น 

    และมีกฏหมายสั่งห้ามโคลนกับมนุษย์เป็นอันขาด หากผู้ใดทำการฝ่าฝืน ก็จะได้ลงโทษตามกฏหมายที่กำหนดไว้

    เพราะอะไรถึงได้ตั้งกฏหมายฉบับนี้ไว้นะหรอ? คาคาชิเคยตั้งคำถามกับครูผู้สอนวิชานี้เช่นกัน

    พวกมนุษย์โคลนเหล่านั้นไม่สามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้ ไม่มีความรู้สึก นึกคิดเหมือนคนทั่วไป

    คล้ายๆกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่ลงเฉพาะโปรแกรมสำหรับการฆ่าหรือสังหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น! 

    “ น่าเห็นใจพวกเขานะครับ คาคาชิบอกกับครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์

    ไม่มีครอบครัว ไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่น เหมือนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ มีงานหลักๆคือการรบราฆ่าฟันเท่านั้นเอง

    พอหมดประโยชน์ก็จะถูกกำจัดเหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิต.... 

    คาคาชิถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ....คิดว่าประวัติตัวเองดาร์กแล้ว เจอชุนเข้าไปทีถึงกับสะอึก...

    คาคาชิไม่มีความทรงจำเที่ยวกับแม่เลยสักนิด แม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ คาคาชิอาศัยอยู่กับพ่อเพียงแค่สองคน 

    เขาได้รับความ ความเอาใจใส่จากพ่อ เติมเต็มในส่วนของแม่ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ขาด 

    เหลืออะไรไป...นอกเสียจากวันนั้น วันที่พ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา

    ฮาตาเกะ ซาคุโมะ เสียชีวิตจากการตรอมใจตาย โดยใช้มีดคว้านท้องดับชีวิตตนเองลง

    กลางบ้านฮาตาเกะหลังใหญ่ โดยมีลูกชายเพียงคนเดียวกลับมาจากโรงเรียนพบศพของบิดานอนจมกองเลือด

    บอกตามตรงว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาในตอนนั้นมาได้...คาคาชิเองก็แย่เหมือนกัน   

                  คิดแล้วก็เศร้านะ.... ดังนั้นคาคาชิขอเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาใหม่ดีกว่า

    “ แล้วก็...”

    “ อะไรหรอ?  ” คาคาชิเงยหน้าถาม ชุนทำท่าเหมือนจะพูด บอกอะไรเขาสักอย่างอยู่ดี 

    สุดท้ายชุนก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ และค่อยส่ายหน้าโบกมือในอากาศทำนองว่า เรื่องนั้นไม่สำคัญมากนัก

    อย่างไปใส่ใจเลย

    “ ไม่สำคัญหรอก...ราเม็งมาแล้วกินเถอะ ” ชุนเปลี่ยนเรื่องทั้งที่อยากบอกกับคาคาชิบางอย่าง

    เพราะคิดว่ามันเป็นการดี หากเขาจะรู้ตัวเสียบ้าง กลับต้องเปลี่ยนใจเก็บงำความลับนั้นต่อไป และต้องเก็บเงียบ

    จนกว่าจะได้กลับไปยังโลกเดิม มันคงไม่เหมาะหากพลั้งปากพูดออกไป 

    “ ที่จริงแล้วฉันก็เป็นผู้หญิงนะ  ข้อความในใจที่อยากบอกให้คาคาชิรู้

    แต่ชุนเองก็ไม่สามารถไว้ใจคาคาชิได้เช่นกัน หากเขารู้ถึงเพศสภาพที่แท้จริงของหล่อนแล้วเกิดหน้ามืดตามัว 

    มีอารมณ์อย่างว่าขึ้นมา...มีสองอย่างคือไม่ถูกปล้ำก็ข่มขืนแน่ๆ ยิ่งเป็นคนต่างถิ่น ต่างแดน พูดยังไม่ชัด ให้การกับศาล

    พิจารณาคดีไม่ได้ พ่วงด้วยความเป็นนักโทษต้องคดีร้ายแรง(ฆ่าพนักงานตายในหน้าที่)  ตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ 

    และคงจะไม่มีใครอยากรับฟังความเห็นอกเห็นใจจากอาชญากรแน่ๆ  ด้วยดวงตาสีแดงฉานข้างซ้ายนั่น

    สามารถควบคุมร่างของชุนได้แทนการใส่กุญแจมือ  คิดอีกทีควรเก็บเป็นความลับไว้ดีกว่า 

            เพราะว่าความลับนี้...จะรักษาความปลอดภัยกับตัวของชุนเองด้วย

                 

     


     

    โปรดติดตามตอนต่อไป......

    29มิ.ค.59
     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×