คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เหนือกาลเวลา : Prisoner.
- Prisoner. -
ฉันสะดุ้งตื่นรู้สึกว่ามีลำแสงสีส้มส่องเพื่อทำการเช็กรีเฟร็คซ์ม่านตา ผู้ชายร่างใหญ่ลำตัวหนา
สูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอะหวะ ปิดไฟฉายกระบอกเล็กในมือ
เดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม ฉันมองสำรวจรอบตัวตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่อม มีกระจกติดฟิล์มมืดมองไม่เห็นอีกฝั่ง
หรือเรียกง่ายๆว่า ‘ห้องสอบสวน’ ข้อมือทั้งสองข้างถูกพันธนาการด้วย โซ่ร้อยติดกับตัวโต๊ะป้องกันการหลบหนี
ฉันได้ยินเสียงเขาบ่นพึมพำด้วยภาษาเจแปนนีส
“ แย่จังวะ ไหนชื่ออะไร มาทำอะไรที่นี่ ?” เขาพูดด้วยเสียงเหี้ยมฟังแล้วคล้ายกำลังข่มศัตรูให้ขวัญเสีย
เสียใจด้วยฉันพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้และไม่คิดจะพูดมันด้วยซ้ำ! ฉันพูดได้แค่ภาษาไทย อังกฤษ เท่านั้น เพราะฉันเป็นนักฆ่า
ไม่ใช่นักเจรจาสันติอะไรทั้งนั้น! ดังนั้นเรื่องการติดต่อสื่อสารไม่จำเป็นสำหรับฉันเลยด้วยซ้ำ!
ฉันยังคงความนิ่งสงบเยือกเย็น
ไม่ตอบคำถามเหล่านั้น นั่งรวบรวมสติและสมาธิให้มากขึ้น ผู้ชายตรงหยุดพูดเสียงดังก่อให้เกิดความรำคาญ
แสดงความโกรธออกมาจากน้ำเสียง ชักสีหน้าใส่อย่างไม่ปิดบัง
“ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้นี่มันคืออะไร ? ” เขาหยิบปืนพก Beretta M9A1 ออกมาถืออยู่ในมือซ้าย
แกว่งมันไปมาตรงหน้าฉัน “ ใช้ทำอะไร? ” เขาตะคอกใส่เน้นเสียงดังเป็นหลักสอดนิ้วชี้มือซ้ายเหนี่ยวไกปืน
ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาบ่นอะไร แต่ตามหนังสืบสวนที่เคยฉายรอบดึกตามฟรีทีวีเดาว่าเขาต้องพูดแบบนี้ ถ้าไม่ใช่… ก็ใกล้เคียง
รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องบอกลากับคนพวกนี้เสียแล้วสิ เสียใจด้วยคงไม่ได้พบกันอีกโอกาสหน้าอย่างแน่นอน
ฉันปิดเปลือกตาลงชั่วครู่ ทุกสิ่งมันกำลังกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวช้าๆ คล้ายกับใช้โปรแกรมสโลโม่ของกล้องไอโฟน
ในระหว่างนั้นสมองของฉันสั่งการทันทีว่าควรจะจัดการกับคนตรงหน้าอย่างไร
เมื่อคิดได้แล้วฉันเปิดเปลือกตาขึ้นมองอีกฝ่าย แสยะยิ้มเย็นเล็กน้อยเพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
ปัง!
เสียงกระสุนดังขึ้นหนึ่งนัดเกิดจากปืนลั่น โชคดีลั่นแค่หนึ่งนัดฉันอาศัยจังหวะนี้ ยกมือขึ้นในอากาศ
ดึงโซ่เป็นเส้นตรงขนานกับโต๊ะ ใช้จังหวะลูกกระสุนวิ่งออกจากรังเพลิง พุ่งเข้าใส่ตรงกลางของโซ่ด้านมือซ้าย
ใช้เท้าขวาถีบยันขอบโต๊ะเต็มแรงกระแทกใส่ช่วงอกอีกฝ่าย เขาปล่อยปืนในมือหลุดลอยกลางอากาศ
นอกจากปืนลั่นฉันอาศัยจังหวะเดียวกันยกฝ่าเท้าถีบโต๊ะอัดใส่ช่วงท้องของชายร่างยักษ์
เพื่อแย่งปืนและแล้วปืนพกก็กลับเข้ามาอยู่ในมือของฉัน
ฉันลั่นไกใส่โซ่ข้อมือขวา ซ้ายไม่ต้องพึ่งกุญแจไขเพื่อให้หลุดจากพันธนาการนี้
เพียงเท่านี้อิสระกลับมาเป็นของฉันอีกครั้ง! ฉันจัดการกับชายร่างสูงใหญ่ด้วยอาวุธในมือแค่หนึ่งนัดเข้าจุดตาย
ปล่อยร่างของเขาล้มลงนอนนิ่งบนพื้นโดยมีเลือดไหลออกจากข้างขมับขวา
ผู้ชายสวมชุดฟอร์มเสื้อกั๊กสีเขียว เสื้อแขนยาวถึงข้อมือ กางเกงขายาวปิดถึงข้อเท้าสีดำ สองคนโผล่เข้ามา
ถืออาวุธมีดสั้นในมือ พวกเขาใช้กระบวนท่าง่ายๆเคลื่อนไหวอืดอาดคล้ายว่าถูกเต่าเกาะขาเสียด้วยซ้ำ
ฉันจัดการคนพวกนั้นด้วยกระบวนท่าของมวยไทยไม่กี่วินาที พังกระจกกั้นห้องสีดำหลบหนีออกจากห้องสอบสวนได้
ฉันพยายามหาทางออกจากเมืองแห่งนี้หรือประเทศจะดีกว่าเพราะไม่มีธุระอะไรอีกแล้ว
“ ฉันปล่อยให้คุณหนีไปไม่ไห้หรอกนะ “ เขาพูดด้วยภาษาเจแปนนีสที่ฟังฉันไม่ออกอย่างเช่นเคย
ฉันจ้องมองผู้ชายโผล่มาจากทางด้านหลังฝั่งทางซ้ายมือตัวเอง เขามีเรือนผมสีเทาควันบุหรี่คล้ายโดนไฟช็อต
ใส่ผ้าปิดปากไปครึ่งหน้า แถมมีผ้าโพกหน้าผากสัญลักษณ์คล้ายใบไม้ปิดตาซ้าย เขาใช้นิ้วโป้งขวาเลื่อนผ้าโพกปิดตา
ขึ้นเพียงเล็กน้อยพร้อมรอยแผลเป็นทางยาวสีคล้ำ ดวงตาสีแดงก่ำคล้ายเลือดสีแดงฉาน
นอกจากดวงตาสีแดงก่ำแล้วยังมีลายลูกน้ำสามจุดขยับไปมาด้วยความเร็ว
กว่าจะรู้ตัวอีกคราร่างของฉันก็ล้มลงเสียงดังโครมใหญ่ โลกทั้งใบกำลังหมุนคว้างจนเวียนหัวชวนปวดไส้
เปลือกตาทั้งสองข้างถูกปิดลงคล้ายกับโดนสะกดจิต ทั้งที่ตอนนั้นไม่รู้สึกหรือใกล้เคียงกับคำว่าง่วงนอนเลยสักนิดเดียว
END 69’s talking.
“ ไม่มีใครหูตาไวได้เท่านายแล้วนะคาคาชิ “ เสียงทุ้มทรงพลังเอ่ยขึ้นด้วยความหวัง
หวังว่าคู่สนทนาจะเข้าใจกับเรื่องที่กำลังพูดในเวลานี้
“ ท่านโฮคาเงะ...ทำไมต้องเป็นผมด้วยละครับ ? “ คาคาชิถึงกับต้องเก็บอาการของตนเองไว้ในใจ
เขาคุกเข่าลงพื้นหนึ่งข้างส่วนอีกข้างตั้งชันกับพื้นคุยกับชายชรานามซารุโทบิ ฮิรุเซ็น บนดาดฟ้าของตึกสำนักงานโฮคาเงะ
หากมองจากภายนอกแลดูคล้ายกับชายสูงอายุพบเห็นได้ตามท้องถนน ทว่าเขาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำนินจาสูงสุด
ของหมู่บ้านโคโนฮะหรืออีกชื่อว่าโฮคาเงะรุ่นที่สาม
“ ถ้าเป็นอิทาจิ...น่าจะวัยเดียวกัน “ คาคาชิพยายามเสนอตัวช่วยอื่น
“ อิทาจิไม่ไหวหรอก มีแค่นายคนเดียวเท่านั้นคาคาชิ “ ฮิรุเซ็นขยับหมวกบนศีรษะ
แถมยังยืนยันคำเดิมอย่างหนักแน่นว่าต้องเจาะจงต้องเป็นเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น! ทั้งที่ในใจฮิรุเซ็นก็อยากให้อิทาจิมา
รับหน้าที่ตรงนี้แทนคาคาชิ ....เสียใจและขอโทษด้วยนะคาคาชิ อิทาจิมีภารกิจลับอย่างอื่นซึ่งสำคัญต่อฮิรุเซ็นอย่างมาก
“ ครับท่าน “ คาคาชิลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนโค้งตัว รับฟังคำสั่งอย่างว่าง่ายแถมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอีกทั้งสิ้น
คำสั่งของท่านโฮคาเงะทำให้คาคาชิรู้สึกว่าบ่าทั้งสองข้าง กำลังรับภารอันหนักอึ้งนอกจากลูกลิงทีมเจ็ดทั้งสามคน
ยังมีนักโทษที่เขาต้องเกาะติดทุกสถานการณ์ คล้ายถ่ายทอดรายการเรียลลิตี้เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชีวิต
ความเดิมจากตอนที่แล้วมีอยู่ว่าโอโรจิมารุสมาชิกสามนินจาในตำนาน เสียชีวิตด้วยอาวุธเล็กและแหลมคม
บางอย่างทะลุหน้าผากออกด้านหลังกะโหลกศีรษะ ข้างศพของโอโรจิมารุพบกับชายปริศนา นอนสลบไม่ได้สติ
คาดว่าต้องเป็นผู้ลงมือสังหาร ทางหน่วยตำรวจจึงดำเนินการควบคุมตัวไปห้องสืบสวนทว่าผู้ต้องหาคนนี้มากด้วยฝีมือ
แถมความเร็วชั่วพริบตา จึงหลยหนีออกมาพบคาคาชิ หน้าตึกสำนักงานโดยบังเอิญจึงมีการควบคุมตัว(ปะทะ)ขึ้น
เท่าที่ฟังจากปากคำของคนนอกห้องสืบสวนผู้ต้องหาเป็นใบ้พูดไม่ได้จึงเป็น จึงเรื่องหนักใจของคาคาชิ
ไม่ค่อยเข้าใจท่านโฮคาเงะมากนัก ว่าทำไมท่านต้องส่งผู้ต้องหาให้มาอยู่ร่วมบ้านของเขากันด้วยนะ
คาคาชิใช้ความคิดพลางเดินจนมาถึงบ้านฮาตาเกะ เขาเปิดประตูรั้วบ้านเดินอาดๆเข้าตัวบ้านเหมือนทุกครั้ง
เปิดบานประตูบ้านด้านใน มองเข้าไปเห็นใครบางคนยังสลบไม่ได้สติบนโซฟาตัวยาว
สืบปลายเท้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ หมุนหน้าเอียงคอ เข้าไปใกล้จังหวะเดียวกับคนบนโซฟาลุกขึ้นมานั่งกุมขมับ
ปวดศีรษะ เนื่องจากตะวันทับตา เส้นผมสีดำยาวคลอถึงช่วงบ่ายุ่งเหยิง กระเซิงเล็กน้อยนัยน์ตาสีฟ้าเหลือบน้ำเงินเฉยชา
นิ่งสงบมองเขาตอบกลับ
“ ตกใจหมดเลย! ” คาคาชิหลุดสบถปนสะดุ้ง
“ ... ” อีกฝ่ายนิ่งเงียบ
“ ตอนนี้นายอยู่ในความดูแลของฉัน ฉันฮาตาเกะ คาคาชิ ใช่ คา คา ชิ ” คาคาชิแนะนำตัวเอง
อย่างเป็นทางการ แล้วก็ชี้นิ้วมาที่ตัวเองสะกดชื่อทีละคำเพื่อให้อีกคนเข้าใจกับคำพูด
“ คา คา ชิ ” อีกฝ่ายเรียกด้วยโทนเสียงต่ำ
“ ใช่ แล้ว ชื่อ ของ นาย ละ? ” เจ้าของชื่อพยักหน้า และยกนิ้วโป้งให้เพื่อแสดงความถูกต้อง
แล้วชี้นิ้วไปที่อีกฝ่าย
“ ... ” เป็นคำถามซึ่งไร้คำตอบ คาคาชิกรอกตามองบน
หาตัวช่วยโดยการกดรีโมทเปิดโทรทัศน์เพื่อทำลายความเงียบที่กำลังเกิดในขณะนี้
“ ฉันคิดว่านายต้องมีชื่อเรียกนะ ” คาคาชิพูดต่อ เสียงของโทรทัศน์ดังขึ้น
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งสิ้น พอดีกับซีรี่ส์วัยรุ่นสุดฮิตช่วงเย็นกำลังมา พระเอกหนุ่มสุดฮอต
สาวน้อยใหญ่พากันหลงรักกันหัวปักหัวปรำ คาคาชิมองสลับหน้าจอกับคนข้างกายพิจารณาอีกครา จากคนข้างกาย
ก็ไว้ผมทรงอันเดอร์คัต เส้นผมยาวสีดำสนิทรากไทรทรงเดียวกับพระเอกด้วยสิ ไม่ใช่แค่ทรงผมโครงหน้ารูปไข่
จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางผิวขาวสะอาดเหมือนผู้หญิง
“ นายมีชื่อว่า ชุน ละกัน ” คาคาชิคิดอะไรไม่ออก เขาได้ไอเดียชื่อพระเอกหน้าหยกจากจอทีวี
“ ชุน? ” อีกคนตรงหน้าพูดตาม แถมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ ฉันคิดว่าเราคงต้องมีชั่วโมงเรียนภาษากันแล้วละ ” คาคาชินึกได้ว่าขากลับจากตึกสำนักงานโฮคาเงะ
ได้ซื้อหนังสือพจนานุกรม สมุดคัดคันจิสมุดเปล่าอีกสามสี่เล่มหนา ดินสอ ปากกา กระดาษโพสอิท
การจะอยู่ด้วยกันนั้นต้องมีกฎและระเบียบคาคาชิไม่ใช่คนเรื่องมาก มีเพียงข้อสำคัญควร ไม่ควรปฏิบัติไม่กี่อย่างเท่านั้น
คาคาชิไม่มีห้องว่างนอนสำหรับอาคันตุกะดังนั้นจึงต้องยอมแบ่งเตียงให้ชุนนอนคนละครึ่งเตียง
“ พอดีว่าอีกห้อง... ฉัน ทำ เป็น ห้อง แต่ง ตัว เก็บ เสื้อผ้า” คาคาชิพอจะเกริ่น พร้อมกับภาษามือทำท่าประกอบ
“ ฉัน นอน ได้ ” ชุนตอบกลับด้วยภาษามือเช่นกัน ใช้ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พนมมือสองข้างขึ้นมาแนบข้างแก้ม
เอียงลำคอเพียงเล็กน้อย และยกนิ้วมือให้ พอเป็นอันเข้าใจกันอย่างเรียบง่าย
บอกได้คำเดียวเลยว่าเรื่องนี้สาหัสสากันขนาดไหนกับคาคาชิ ภาวนาในใจขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
แค่ว่าอย่าให้ชุนเป็นใบ้พูดไม่ได้ เพราะการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ก่อนจะเขียนหนังสือได้เราต้องพูดได้ก่อน
เป็นเรื่องธรรมดา คาคาชิใช้เวลาว่างกับชุนทั้งหมดเป็นเจ็ดวัน การสอนสลับกับทีมเจ็ดและสอนหนังสือชุน
คาคาชิเดินผ่านทุกสิ่งอย่างพบกับตัวคันจิขยุกขยุยสลับกันไปมาบนกระดาษโพสอิท ไม่ว่าจะห้องนอน
ห้องน้ำ เครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ คาคาชิรู้สึกพอใจอย่างน้อยชุนก็พอจะตั้งใจเรียนกับสิ่งที่เขามอบให้
แม้บางคำเขาต้องคอยแก้ไข เขียนลายมือบรรจงลงกระดาษโพสอิทเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น และติดมันลงตามชื่อเรียกสิ่งนั้นๆ
เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ ฯลฯ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปชุนพอจะสื่อสารกับคาคาชิได้บ้างทว่ายังไม่คล่องมากนัก แต่ก็พอจะสื่อสารพอรู้ความ
คาคาชิแนะนำหนังสือเล่มสีส้มให้ชุน เพื่อฝึกทักษะในด้านการอ่าน ชุนรับมันมาพลิกดูปกด้าน หน้า และลองอ่านชื่อเรื่อง
ลองสะกดคำได้ทั้งหมดแต่ยังต้องใช้เวลาสักนิด ก็เข้าใจแล้วว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่
ชุนใช้เวลาเป็นอย่างมากกับการสะกดคำ หนึ่งหน้ากระดาษใช้เวลาราวๆสิบนาที ซึ่งกินเวลานานมากเลยทีเดียว
เมื่ออ่านจบครบทุกหน้าแล้ว ชุนก็ยังต้องอ่านใหม่ ใช่อ่านซ้ำอีกสองถึงสามครั้ง เพื่อความแม่นยำของการสะกดคำและ
ทำความเข้าใจกับเนื้อหาให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อกระตุ้นความจำคาคาชิจึงคิดเกมใบ้คำ โดยเขียนคำศัพท์ง่ายๆลงบนบัตร(ขอเรียกว่าบัตรคำศัพท์)
ตัดกระดาษแข็งเป็นชิ้นสี่เหลื่อมเท่าฝ่ามือใช้กระดาษสองหน้า ด้านแรกจะเป็นด้านสีจะเขียนคำศัพท์
ส่วนด้านเป็นกระดาษสีขาวพร้อมคำเเปล โดยคาคาจะเป็นฝ่ายหยิบบัตรคำศัพท์พวกนั้นขึ้นมาวางเหนือหน้าผากตน
เพื่อให้ชุนเป็นคนอ่านออกเสียงพร้อมคำแปล หากชุนตอบไม่ได้ภายในห้าวินาที(มีนาฬิกาจับเวลา)
คาคาชิก็เตรียมพร้อมบทลงโทษไว้เช่นเดียวกัน เริ่มแรกเป็นหมวดคำทักทายขั้นพื้นฐาน เช่น สวัสดี(ในช่วงเวลาตั่งต่าง)
ขอโทษ ขอบคุณ ซึ่งชุนสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว
“ คงจะง่ายไป เดี๋ยว เอาอีกชุดนะ ” คาคาชิหันไปควานหาหมวดคำศัพท์อีกกอง
โดยไม่บอกชุนหรอกว่าตนหยิบหมวดอะไรขึ้นมาให้สะกดคำ เพื่อสร้างความตื่นเต้นขึ้นไปอีกเท่า!
“ Nani? ” (อะไรนะ) ในตอนนี้จะกลายเป็นคำพูดติดปากของชุนไปเรียบร้อย ชุนนั่งขมวดคิ้วผูกเป็นโบว์
ติดด้วยกาวตราช้างบนหน้าผากแน่น พร้อมกับใช้ความคิด กอดหมอนอิงสี่เหลี่ยมแน่นอก เจอคำศัพท์ยากๆเข้าไป
ถึงกับเดาทางไม่ถูกเลยทีเดียว
เสียงเตือนของนาฬิกาจับเวลาร้องลั่นเมื่อครบห้าวินาที และต้องรับบทลงโทษจากคาคาชิ
ถ้าเรียกเป็นภาษาไทยคือ อีแก่กินน้ำ แต่เปลี่ยนจากการดื่มน้ำเปล่าเป็นการดื่มเบียร์แทน กติกาง่ายๆหากใครดื่มเบียร์
จนกระทั่งร่างกายไม่สามารถรับไหว จะถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ไปในที่สุด!
“ นี่แอบหลอกดื่มเบียร์ฟรีป่าวเนี่ย? ” คาคาชิเริ่มสงสัย ถามปนหัวเราะเสียงดังออกมา
“ ก็มันยากนี่นา” ชุนถึงกับหัวเราะร่วน ยกแก้วเบียร์ขึ้นมาดื่ม นอกจากคำศัพท์ที่ว่ายาก เ
จอลายมือคาคาชินั้นยากกว่า! พอเปลี่ยนหมวดคำศัพท์ชุดใหม่ชุนตอบคำถามแทบไม่ได้เลยสักคำ คาคาชิหันมองขวดเบียร์
ข้างตัวตั้งวางเรียงรายล้อมหน้าหลังแล้วสิ เบียร์ที่ซื้อมาหนึ่งลังก็พร่องลงเต็มที โดยที่เขาดื่มไปแค่สองสามขวดเอง
เกิดอาการมึนๆเล็กน้อย ส่วนชุนนะหรอ...รายนั้นซัดไปคนเดียวเกือบแปดขวดแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลย
ยังสนุกกับการทายคำ แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่แล้วก็ตาม แต่สภาพร่างกายตอนนี้ของคาคาชินั้นไม่ไหว
จำต้องยกเลิกการทายคำศัพท์ แยกย้ายกันไปพักผ่อน วันรุ่งขึ้นค่อยกลับมาเล่นสนุกกันใหม่อีกครั้ง
“ ทานข้าวนอกบ้านกันไหม ? “ คาคาชิเปิดฝาหม้อหุงข้าวขึ้นมาดู พบแต่ความว่างเปล่า
ส่วนชุนลดหนังสือในมือลงมาวางบนอก คาคาชิมั่นใจแล้วว่าชุนไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัย
อีกอย่างอาจจะเป็นการกระชับมิตรระหว่างสองคนด้วย
“ เอาสิ “ ชุนทำเสียงในลำคอ พยักหน้าตอบรับ
สุดท้ายมื้อเย็นของวันคาคาชิก็ชวนชุนออกไปเดินเล่น หาอาหารเย็นทาน การทานอาหารนอกบ้านครั้งแรก
สำหรับคาคาชิแล้วเขามักจะสังเกตหรือจับพิรุจชุนทุกอย่างเท่าที่พอจะทำได้ พอยืนใกล้ชุนแล้วเขาก็พบว่า
ชุนมีส่วนสูงไล่เลี่ยกับเขา ถ้าให้คาดคะเนคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเป็นแน่ ยิ่งหน้าตาหล่อไม่เบา
น้องๆพระเอกในละครหลังข่าว กลายเป็นจุดสนใจ
ทำให้คนรอบข้างระหว่างทาง พากันจับตามองโฟกัสไปที่ชุนกันเป็นตาเดียวกัน!
“ เมนูวันนี้คือ ? ” ชุนหันมาถาม
“ ราเม็งร้านลุงเทะอุจิ ” คาคาชิตบเข่าฉาดใหญ่ ร้านราเม็งเจ้าประจำอาหารโปรดของนารูโตะ
ไม่แค่อาหารจานโปรดของนารูโตะหรอก ร้านราเม็งที่กำลังจะพาชุนไปนั้นขึ้นชื่อว่าอร่อยสุดในเรื่องราเม็ง
ถ้ามาแคว้นโคโนฮะแล้วไม่ทานอิจิราคุราเม็งถือว่ามาไม่ถึงเลยทีเดียว!
“ นายชื่ออะไร? ” คาคาชิตั้งคำถาม ขณะรออาหารมาเสิร์ฟ
“ 69 ”
“ ฉันคิดว่านั่นคงไม่ใช่ชื่อ ”
“ แต่ฉันคิดว่านั่นคือชื่อของฉัน ”
“ อย่างนั้นหรอ ...ฉันว่าชื่อชุนเถอะเท่กว่าเยอะ” สุดท้ายคาคาชิก็ยังยืนยันชื่อแปลกๆให้อย่างยัดเยียด
โดยไม่ได้ถามความสมัครใจของอีกคนเลยด้วยซ้ำ!
“ นายมีความแค้นอะไรกับท่านโอโรจิมารุหรอ? ” คาคาชิพยายามใจเย็น เลือกใช้คำศัพท์ให้อีกฝ่ายตอบคำถามได้
ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปอย่างนั้น เพราะคำถามของเขามันอาจจะทำให้เสียรูปคดี
โอโรจิมารุ เป็นอาชญากรที่โลกนินจาต้องการตัวเป็นอย่างมาก (ในหมายจับเน้นว่าต้องการจับเป็น)และต้องการควบคุมตัว
เพื่อมารับโทษทัณฑ์ตามกฏหมายของหมู่บ้าน ในระหว่างที่พบศพนั้นได้พบกับบุคคลปริศนา
ผู้ต้องสงสัยในการสังหารโอโรจิมารุนอนสลบไม่ได้สติอยู่บริเวณใกล้เคียง
ตรวจสอบสถานที่บริเวณรอบๆแล้ว พบร่องรอยของการต่อสู่เพียงเล็กน้อย จึงทำการควบคุมตัวชุนมาด้วย
และชุนเองก็เป็นใบ้ พูดหรือสื่อสารให้การกับหน่วยตำรวจไม่ได้(ไม่ให้ความร่วมมือ) ที่โหดร้ายไปกว่านั้น
คือ ชุนลงมือสังหาร มาริโนะ อิบิกิ หัวหน้าหน่วยตำรวจ เจ้าหน้าที่แผนกสืบสวนสอบสวน ซึ่งมีความผิด
ในข้อหาฆ่าคนตาย ซึ่งก็ฆ่าเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ ด้วยอาวุธที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในโลกนินจา
และทำการหลบหนีจนกระทั่งมาเจอกับเขา คิดแล้วคาคาชิอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเป็นสองท่อนจริงๆ!
“ ฉันไม่ได้มีความแค้น ฉันมีหน้าที่ฆ่าเขาเท่านั้น ” ชุนตอบด้วยเสียงเรียบง่าย
และคิดว่าคาคาชิน่าจะเข้าใจกับคำตอบเป็นอย่างดี
“ คงเป็นหน่วยลับของหมู่บ้านอื่นแน่ๆ ” คาคาชิสันนิษฐาน ว่าชุนคงจะทำภารกิจแล้วโดนคาถาลบความทรงจำ
ให้หลงลืมเรื่องราวก่อนหน้าที่จะตื่นขึ้นมาก็เป็นได้
“ ก็ไม่เชิง..จะว่าไปข้างศพโอโรจิมารุไม่มีกระเป๋าเจมส์บอนด์เลยหรือไง ?” ชุนเปลี่ยนท่านั่งหลังตรง
พิงพนักเก้าอี้ เพราะรู้สึกว่าคาคาชิจะเริ่มยิงคำถามจริงจัง และต้องการคำตอบด้วยความจริงใจจากหล่อน
“ ทางหน่วยตำรวจพบแค่นายนอนสลบอยู่ข้างศพท่านโอโรจิมารุ ” คาคาชิประสานมือทั้งสองข้าง
แล้วค้ำคาง เอนตัวไปด้านหน้า แสดงความสนใจกับคู่สนทนามากขึ้น
“ อืม ” ชุนเงียบพร้อมกับใช้ความคิด
ถ้าหากกระเป๋าใบนั้นเป็นแพนโดร่านำพาให้ชุนโผล่มาที่ญี่ปุ่น คาดว่าน่าจะมาไกลกว่ายุคสมัยนินจาด้วยซ้ำ
บ้านเมืองดูไม่พัฒนามากนัก ข้าวของเครื่องใช้โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า เครื่องฟอกอากาศ ขาดอย่างเดียวคือโทรศัพท์
เคลื่อนที่ หากว่าหากระเป๋าใบนั้นเจอละก็ ของที่อยู่ในนั้นอาจจะพาให้ชุนกลับไปยังยุคสมัยเดิมก็เป็นได้
คล้ายๆละครเรื่องทวิภพ ตัวละครผลุบๆโผล่ๆ เดินทางไปในต่างแดน
“ คิดอะไรอยู่หรอ? ” คาคาชิเห็นชุนเงียบไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“ ฉันแค่อยากกลับบ้าน ” ชุนรู้ว่าอยู่ที่นี่มีแต่จะเป็นภาระให้คาคาชิไปเปล่าๆ
ทุกวันนี้ต้องรบกวนเงินของเขาอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะค่าอาหาร เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่
“ อย่าคิดมาก ฉันจะหาทางช่วยนายกลับบ้านแน่ๆขอแค่ตอบคำถามฉันมาก็พอ ฉันสัญญา ”
คาคาชิรู้ว่าชุนก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับนารูโตะ คงพอจะพูดคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้าง
“ อืม ” ชุนพยักหน้า
“ นายเป็นใคร มาจากไหน ตั้งใจจะทำอะไรต่อไป ? ” คาคาชิระดมยิงคำถาม คล้ายรัวปืนเอ็มสิบหก
ใส่หน้าชุนเต็มที่ ไม่สนหรอกว่าคนฟังจะเลือกตอบคำถามไหนก่อนดี
“ ฉันไม่มีชื่อ ที่ๆฉันโตมานั้นทุกคนจะมีแค่รหัสใช้แทนชื่อตัวเท่านั้น 69 ถือว่าเป็นชื่อของฉันตั้งแต่กำเนิด
ฉันถูกพัฒนาสายพันธุ์หรือเรียกง่ายๆว่าปรับแต่งพันธุกรรม สำหรับเป็นนักฆ่าอย่างสมบูรณ์แบบ ในที่ๆฉันจากมา
โอโรจิมารุเป็นชื่อตามใบสั่งให้ฉันสังหาร” ชุนตอบเสียงนิ่งสงบ พอจะเรียบเรียงคำตอบ ตอบคำถามเหล่านั้นรวดเดียว
เล่นคนฟังถึงกับเงียบยิ่งกว่าเป่าสาก คาคาชิจับพิรุจโกหกตั้งแต่ สีหน้าแววตา แทบไม่เชื่อกับหูตัวเอง
เลยว่ามีจะการดัดแปลงพันธุกรรม เขาเคยอ่านจากหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สัตว์สี่เท้าตัวแรกของการ
โคลนนิ่งคือแกะตัวน้อย และไม่เคยคาดคิดกับตัวเองว่าจะมีการโคลน...โดยเฉพาะการโคลนมนุษย์เกิดขึ้น
และมีกฏหมายสั่งห้ามโคลนกับมนุษย์เป็นอันขาด หากผู้ใดทำการฝ่าฝืน ก็จะได้ลงโทษตามกฏหมายที่กำหนดไว้
เพราะอะไรถึงได้ตั้งกฏหมายฉบับนี้ไว้นะหรอ? คาคาชิเคยตั้งคำถามกับครูผู้สอนวิชานี้เช่นกัน
พวกมนุษย์โคลนเหล่านั้นไม่สามารถมีความคิดเป็นของตัวเองได้ ไม่มีความรู้สึก นึกคิดเหมือนคนทั่วไป
คล้ายๆกับระบบคอมพิวเตอร์ ที่ลงเฉพาะโปรแกรมสำหรับการฆ่าหรือสังหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!
“ น่าเห็นใจพวกเขานะครับ ” คาคาชิบอกกับครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์
ไม่มีครอบครัว ไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่น เหมือนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ มีงานหลักๆคือการรบราฆ่าฟันเท่านั้นเอง
พอหมดประโยชน์ก็จะถูกกำจัดเหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิต....
คาคาชิถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ....คิดว่าประวัติตัวเองดาร์กแล้ว เจอชุนเข้าไปทีถึงกับสะอึก...
คาคาชิไม่มีความทรงจำเที่ยวกับแม่เลยสักนิด แม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ คาคาชิอาศัยอยู่กับพ่อเพียงแค่สองคน
เขาได้รับความ ความเอาใจใส่จากพ่อ เติมเต็มในส่วนของแม่ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ขาด
เหลืออะไรไป...นอกเสียจากวันนั้น วันที่พ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา
ฮาตาเกะ ซาคุโมะ เสียชีวิตจากการตรอมใจตาย โดยใช้มีดคว้านท้องดับชีวิตตนเองลง
กลางบ้านฮาตาเกะหลังใหญ่ โดยมีลูกชายเพียงคนเดียวกลับมาจากโรงเรียนพบศพของบิดานอนจมกองเลือด
บอกตามตรงว่ากว่าจะผ่านช่วงเวลาในตอนนั้นมาได้...คาคาชิเองก็แย่เหมือนกัน
คิดแล้วก็เศร้านะ.... ดังนั้นคาคาชิขอเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาใหม่ดีกว่า
“ แล้วก็...”
“ อะไรหรอ? ” คาคาชิเงยหน้าถาม ชุนทำท่าเหมือนจะพูด บอกอะไรเขาสักอย่างอยู่ดี
สุดท้ายชุนก็กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอ และค่อยส่ายหน้าโบกมือในอากาศทำนองว่า เรื่องนั้นไม่สำคัญมากนัก
อย่างไปใส่ใจเลย
“ ไม่สำคัญหรอก...ราเม็งมาแล้วกินเถอะ ” ชุนเปลี่ยนเรื่องทั้งที่อยากบอกกับคาคาชิบางอย่าง
เพราะคิดว่ามันเป็นการดี หากเขาจะรู้ตัวเสียบ้าง กลับต้องเปลี่ยนใจเก็บงำความลับนั้นต่อไป และต้องเก็บเงียบ
จนกว่าจะได้กลับไปยังโลกเดิม มันคงไม่เหมาะหากพลั้งปากพูดออกไป
“ ที่จริงแล้วฉันก็เป็นผู้หญิงนะ ” ข้อความในใจที่อยากบอกให้คาคาชิรู้
แต่ชุนเองก็ไม่สามารถไว้ใจคาคาชิได้เช่นกัน หากเขารู้ถึงเพศสภาพที่แท้จริงของหล่อนแล้วเกิดหน้ามืดตามัว
มีอารมณ์อย่างว่าขึ้นมา...มีสองอย่างคือไม่ถูกปล้ำก็ข่มขืนแน่ๆ ยิ่งเป็นคนต่างถิ่น ต่างแดน พูดยังไม่ชัด ให้การกับศาล
พิจารณาคดีไม่ได้ พ่วงด้วยความเป็นนักโทษต้องคดีร้ายแรง(ฆ่าพนักงานตายในหน้าที่) ตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ
และคงจะไม่มีใครอยากรับฟังความเห็นอกเห็นใจจากอาชญากรแน่ๆ ด้วยดวงตาสีแดงฉานข้างซ้ายนั่น
สามารถควบคุมร่างของชุนได้แทนการใส่กุญแจมือ คิดอีกทีควรเก็บเป็นความลับไว้ดีกว่า
เพราะว่าความลับนี้...จะรักษาความปลอดภัยกับตัวของชุนเองด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป......
29มิ.ค.59
ความคิดเห็น