ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ปูนิ่มไม่ฉะบาย
แสงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญสว่างจ้าโดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ ผมกับไอ้ปูนิ่มนั่งอยู่ริมหน้าต่าง
เราอาบแสงจันทร์ด้วยกัน เผื่อแสงสีขาวนวลอาจลบล้างความดำมืดในใจผมไปได้บ้าง
การหมกหมุ่นอยู่กับปัญหาเดิมๆที่ยากจะแก้ไข มันทำให้เราหม่นหมอง ความคิดของผมที่เกี่ยว
กับไอ้พีผมอย่างให้มันกระจ่าง "คิดกับมันให้ได้อย่างเพื่อนเถอะนะ" คงเป็นเสียงจากไอ้ปูนิ่มที่เตือนผม
.....
"ทานสิเจ้าปูนิ่ม"ผมยื่นสาระพัดผักที่มันชอบให้เจ้าปูนิ่มแต่มันก็ยังเฉย ย่างเข้าสองวันแล้วที่มันไม่แตะอะไรเลย
"ปูนิ่มแกเป็นอะไรไปลูกรัก"ผมลูบหัวมันเบาๆ "เดียวพ่อจะพาแกไปหาหมอนะ"
ผมอุ้มอ่างเจ้าปูนิ่มไปหายายที่ห้องครัวเผอิญยายกะคุณหญิงกำลังทำกับข้าวกันอยู่ ท่าทางสนุกสนาน
พักหลังนี่ทั้งสองมักไปไหนไหนด้วยกันบ่อย สงสัยยายได้เพื่อนซี้แล้วมั่ง เลยไม่ค่อยสนใจผม
"ยายครับ เจ้าปูนิ่มไม่กินอะไรมาสองวันแล้ว"
"พามันไปหาหมอสิลูก เดียวแม่เอานามบัตรสัตวแพทย์เพื่อนแม่มาให้ รอแปปนะ"
คุณหญิงพูดพลางกุลีกุจอออกจากห้องไป ผมรู้สึกเกรงใจท่านเลยคุยกะยาย
"ผมพามันหาหมอแถวนี้เองไม่ได้เหรอครับ"
"ตาบุ้ง อย่าขัดใจผู้มีพระคุณสิลูก คนเราต้องไม่ลืมว่ามาจากไหน" ยายเตือนผม
"ครับ "ผมได้แต่รับคำ พลางถอนใจ
สักพักคุณหญิงก็กลับมาที่ห้องครัว โดยมีร่างสูงของไอ้พีเดินตามหลังมา
"ให้พ่อพีเป็นคนขับรถไปให้นะ วันนี้เขาก็ไม่มีเรียนเหมือนเรา"
"ครับ" ผมมองไปที่ไอ้พีที่ทำหน้าเหมือนกับอยากจะชกผมอย่างเพลียใจ
"อ้อขากลับอย่าลืมแวะห้างซื้อของสดมาตามรายการนี้ด้วยนะ"
"ครับ"ผมยื่นมือไปรับรายการยาวเหยียดมาพับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ
......
"ไอ้ปูนิ่มป่วยจริงหรือมึงหาเรื่องอยากไปไหนมาไหนกับกูว่ะ"ไอ้พีพูดใส่ผมทันทีที่มันขับรถพาออกมาจากบ้าน
"จอดที่ป้ายรถเมล์ก็ได้เดียวไปเอง" ผมตอบมันเรียบๆ
"เหอะ อย่ามาทำเป็นนางเอกนะไอ้ขี้ก้าง "มันยังไม่ยอมหยุด
"มึงจะทำอะไรก็ช่างเหอะ แต่เงียบๆได้ไหม ไม่อยากฟัง" ผมขึ้นเสียงดังใส่มันด้วยความโมโห
"พลั่วเพี้ยะๆ" ไอ้ปูนิ่มตีน้ำในอ่างแก้วฟุ้งกระจายไม่ยอมหยุดเหมือนมันตกใจเสียงผม
"ปูนิ่มๆ พ่อไม่ได้โกรธลูก น่ะเงียบๆนะ อย่าไปฟังหมามันเห่าด้วย" ผมพูดพลางลูบหัวมันเบาๆ
ดูเหมือนมันจะเข้าใจ เลิกตีน้ำแล้วว่ายเงียบๆต่อไป
"มึงว่าใครเป็นหมา ไอ้เชี่ย" ไอ้พีจอดรถแอบข้างถนนตอนไหนก็ไม่รู้หันมากัดฟันกรอดๆใส่ผม
"กูขอโทษ เผลอปากไป" ผมรู้สึกผิดยังไงมันก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย ผมไม่น่าโมโหเลย
"ขอโทษแล้วไง เอาคำพูดกลับไปในปากมึงได้ไหม" ตอนนี้ผมรู้สึกจนตรอกไม่รู้จะทำยังไง
"กูลงตรงนี้นะ จะไปเอง"พูดจบผมก็กดล็อคจะเปิดประตู
"ลองก้าวออกไปสิ มึงได้เห็นดีกับกูแน่ คิดว่าพูดชุ่ยๆแล้วจะหนีงั้นเหรอ" ผมกดล็อคกลับคืน
"ตามใจเมื่อกี้ กูด่าตัวเอง กูนี่แหละหมา มึงจะทำอะไรก็ตามใจมึงละกัน " พูดแล้วผมก็ถอนใจ
อย่างเบื่อหน่าย
"เห่าให้กูฟังไปจนถึงคลีนิคเลยนะมึง กูอยากรู้นักคนปากดีอย่างมึงจะเห่าเก่งแค่ไหน"
ผมก็เลยต้องจำใจ ส่งเสียงเห่าหอนไปตลอดทางซึ่งกว่าจะถึงคลีนิค ผมก็รู้สึกแสบคอไปหมด
ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจไอ้คนซาดิสข้างๆตัวผมนักเพราะยิ้มเล็กยิ้มน้อยไปตลอดทาง
......
"เอ้ามาแล้วถึงกันแล้วเหรอ ลุงพึ่งวางสายกับแม่เราเมื่อกี้นี่เอง"ลุงหมอเอ่ยทักพร้อมรับไหว้จากไอ้พีและผม
"อ้าวนั่งกันก่อน โหไม่เห็นเสียนานตาพี หล่อระเบิดนะเรา ส่วนนี่ตาบุ้งสินะ น่ารักเหมือนที่คุณหญิงบอกเลย"
ผมยิ้มเขินๆให้ลุงหมอพลางวางอ่างไอ้ปูนิ่มลงบนโต๊ะ
"อืม เจ้านี่ชื่ออะไรนะ"
"ปูนิ่มครับ"
"อาการเป็นไงบ้าง"
"ก็ไม่ทานอาหารมาสองวันแล้วครับ" จากนั้นลุงหมอก็ถามเกี่ยวกับไอ้ปูนิ่มอีกหลายอย่าง ท่านแนะนำผมว่าควร
ทิ้งไอ้ปูนิ่มไว้ที่คลีนิกสักสองวัน เพื่อตรวจละเอียดอีกครั้ง ผมกับไอ้พีจึงต้องกลับบ้านกันแค่สองคน
......
กว่าผมกับไอ้พีจะไปถึงห้างและจ่ายของเสร็จก็ใช้เวลาสามสี่ชั่วโมง ขณะที่ผมกับไอ้พีกำลังลงลิฟท์จากชั้นหก
ไปยังลานจอดรถ อยู่ๆ ลิฟท์ก็หยุดเคลื่อนไหวเอาดื้อๆ
"เกิดเชี่ยอะไรขึ้นว่ะนี่ "ไอ้พีโวยวาย
เราทั้งคู่ยืนอยู่คนละมุมเงียบต่างคนต่างเงียบไปสักสิบนาทีแต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหว ไอ้พียกมือถือขึ้นกด
"เชี่ยแบตเอ้ย แม่งทำไหมจะมาหมดเอาตอนนี้" มันพูดอย่างหงุดหงิด
"เอามือถือมึงมา" ผมยื่นให้มันไปกด
"ไอ้เชี่ย มึงไม่เติมเงินเลยหรือว่ะ" มันตะคอกใส่ ก็เดือนนี้ผมกรอบนี่ครับ ค่ากิจกรรมมหาลัยเอาไปกินจนเกลี้ยงแล้ว
ผมทรุดตัวลงนั่งคนละมุมกับไอ้พี ซึ่งตอนนี้เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าทั้งที่แอร์ยังทำงาน
"บุ้งมึงพูดอะไรก็ได้ ให้กูลืมๆว่าอยู่ในนี้เถอะว่ะ กูเป็นโรคกลัวที่แคบ"
ไอ้พีบอกผม ตอนนี้รู้สึกเหมือนมันหายใจถี่ขึ้น
"มึงได้ไอ้ปูเน่ามาจากไหน "มันชวนคุย
"ได้มาจากตลาด แม่ค้าฝากกูเอาไปทิ้งขยะเพราะคิดว่ามันตายแล้วแต่มันไม่ตาย กูก็เลยได้มันมาเป็นเพื่อน
มึงก็รู้ว่ากูไม่มีเพื่อนมาแต่ไหนแต่ไร ก็ได้มันนี่แหละคุยกับกูยามเหงา "
"คุยกะเต่านี่นะหึๆ"ไอ้พีหัวเราะเบาๆ ผมชักอุ่นใจกลัวมันเป็นลม เลยคุยต่อ
"ใช่แล้วมันฉลาดมากเลยนะ มันชูคอฟังกูคุยทุกเรื่อง บอกอยู่ก็อยู่บอกไปก็ไปไม่เคยขัดใจกูเลย"
"กูเห็นมึงอุ้มมันไปอุ้มมันมายังกะอุ้มลูก"
"ใช่แล้ว มันเป็นเหมือนลูกกู กูรู้สึกดีที่มีมันอยู่ใกล้ๆ ใจกูอยากพามันไปมหาลัยด้วย แต่กูขึ้นรถเมลล์"
" มึงก็มั่วแต่ยุ่งอยู่กับไอ้ปูเน่านั่น แทนที่จะเอาเวลาไปออกกำลังกายมั่ง จะได้ไม่มีแต่ก้างแบบนี้"
ไอ้พีพูดพร้อมกับกวาดสายตามองผม
"เฮ้ย กูไม่ได้มีแต่ก้างนะ นี่ดูนี่ " ผมงอแขนโชว์มัดกล้ามแถวต้นแขนให้มันดู พร้อมยักคิ้วให้
"เหอๆ นั่นเหรอกล้าม"ไอ้พีขยับมานั่งเบียดผมพร้อมกับถอดเสื้อออกแล้วงอแขนโชว์ความล่ำของมันให้ดู
"เป็นไงเห็นของจริงหรือยัง" ผมพยายามไม่คิดอะไรมากกับร่างขาวใสที่เต็มไป
ด้วยความงามของกล้ามเนื้อวัยหนุ่มที่อยู่ๆใกล้จนได้กลิ่นหอม
" อึ้งไปเลยละสิ เจอของจริง นี่มึงจับดูนี่ ซิกแพ็คของกู " มันคว้ามือผมไปลูบไล้กล้ามเนื้อนูนแน่นที่มันอยากโชว์
ผมพยายามชักมือกลับ แต่มันกลับเอามือผมไปลูบหน้าอกมันต่อ"นี่กล้ามอกกูปึ๋งไหม คู่ขากูทุกคนชอบตรงนี้ทั้งนั้น"
"ระ เหรอ"ผมพูดตามน้ำไป เพราะอายหน้าร้อนวูบวาบไปหมด อยากจะหลับตาไม่มองใบหน้าหล่อเหลา
กับเรือนร่างยั่วยวนตรงหน้า แต่ก็ต้องฝืนทำเป็นปกติ แต่แล้วต้องใจหายวาบอีกครั้งเมื่อไอ้พีดึงเสื้อยืดผมออกพรืดเดียว
"ไหนกูดูของมึงหน่อยสิ" มันพูดพลาง จ้องดูท่อนบนของผม "อืมมึงก็ไม่ก้างนี่ แต่ตัวบาง"พูดแล้วมันก็เอามือมาลูบ
แถวหน้าท้องขาวๆบางๆของผม "อืมไม่มีกล้ามเลยแหะ นุ่มดี" "จากนั้นมันก็ลากมือมาแถวอกผมแล้วคลำและขยำเบาๆ
"ตรงนี้มีกล้ามแต่ไม่แน่น แต่นุ่มดีจัง" ปากมันพูดแต่มือไอ้พีลูบไปมาสำรวจท่อนบนผมไม่หยุด สายตาไอ้พีจ้องอยู่ที่ตาผม
แววตาของมันเหมือนสะกดให้ผมลืมสิ่งรอบตัว ปลายจมูกมันเริ่มชิดเข้ามาใกล้ใบหน้าผมจนผมสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อน
" ครืดๆ แช้ดๆๆ" ประตูลิฟท์เปิดออกทันที ฝูงชนที่อยู่หน้าลิฟท์ประมาณสามสิบกว่าท่าน
คงตีความไปต่างๆนาๆกับเรือนร่างที่เปลือยท่อนบนของผมกับไอ้พีตรงหน้า ส่วนตัวผมนึกอยากมีกระดองเหมือนไอ้ปูนิ่ม
ขึ้นมาจับจิตจะได้หดหัวเข้าไปซ่อนตัวจากความอับอายที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอในสภาพนี้
เราอาบแสงจันทร์ด้วยกัน เผื่อแสงสีขาวนวลอาจลบล้างความดำมืดในใจผมไปได้บ้าง
การหมกหมุ่นอยู่กับปัญหาเดิมๆที่ยากจะแก้ไข มันทำให้เราหม่นหมอง ความคิดของผมที่เกี่ยว
กับไอ้พีผมอย่างให้มันกระจ่าง "คิดกับมันให้ได้อย่างเพื่อนเถอะนะ" คงเป็นเสียงจากไอ้ปูนิ่มที่เตือนผม
.....
"ทานสิเจ้าปูนิ่ม"ผมยื่นสาระพัดผักที่มันชอบให้เจ้าปูนิ่มแต่มันก็ยังเฉย ย่างเข้าสองวันแล้วที่มันไม่แตะอะไรเลย
"ปูนิ่มแกเป็นอะไรไปลูกรัก"ผมลูบหัวมันเบาๆ "เดียวพ่อจะพาแกไปหาหมอนะ"
ผมอุ้มอ่างเจ้าปูนิ่มไปหายายที่ห้องครัวเผอิญยายกะคุณหญิงกำลังทำกับข้าวกันอยู่ ท่าทางสนุกสนาน
พักหลังนี่ทั้งสองมักไปไหนไหนด้วยกันบ่อย สงสัยยายได้เพื่อนซี้แล้วมั่ง เลยไม่ค่อยสนใจผม
"ยายครับ เจ้าปูนิ่มไม่กินอะไรมาสองวันแล้ว"
"พามันไปหาหมอสิลูก เดียวแม่เอานามบัตรสัตวแพทย์เพื่อนแม่มาให้ รอแปปนะ"
คุณหญิงพูดพลางกุลีกุจอออกจากห้องไป ผมรู้สึกเกรงใจท่านเลยคุยกะยาย
"ผมพามันหาหมอแถวนี้เองไม่ได้เหรอครับ"
"ตาบุ้ง อย่าขัดใจผู้มีพระคุณสิลูก คนเราต้องไม่ลืมว่ามาจากไหน" ยายเตือนผม
"ครับ "ผมได้แต่รับคำ พลางถอนใจ
สักพักคุณหญิงก็กลับมาที่ห้องครัว โดยมีร่างสูงของไอ้พีเดินตามหลังมา
"ให้พ่อพีเป็นคนขับรถไปให้นะ วันนี้เขาก็ไม่มีเรียนเหมือนเรา"
"ครับ" ผมมองไปที่ไอ้พีที่ทำหน้าเหมือนกับอยากจะชกผมอย่างเพลียใจ
"อ้อขากลับอย่าลืมแวะห้างซื้อของสดมาตามรายการนี้ด้วยนะ"
"ครับ"ผมยื่นมือไปรับรายการยาวเหยียดมาพับเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ
......
"ไอ้ปูนิ่มป่วยจริงหรือมึงหาเรื่องอยากไปไหนมาไหนกับกูว่ะ"ไอ้พีพูดใส่ผมทันทีที่มันขับรถพาออกมาจากบ้าน
"จอดที่ป้ายรถเมล์ก็ได้เดียวไปเอง" ผมตอบมันเรียบๆ
"เหอะ อย่ามาทำเป็นนางเอกนะไอ้ขี้ก้าง "มันยังไม่ยอมหยุด
"มึงจะทำอะไรก็ช่างเหอะ แต่เงียบๆได้ไหม ไม่อยากฟัง" ผมขึ้นเสียงดังใส่มันด้วยความโมโห
"พลั่วเพี้ยะๆ" ไอ้ปูนิ่มตีน้ำในอ่างแก้วฟุ้งกระจายไม่ยอมหยุดเหมือนมันตกใจเสียงผม
"ปูนิ่มๆ พ่อไม่ได้โกรธลูก น่ะเงียบๆนะ อย่าไปฟังหมามันเห่าด้วย" ผมพูดพลางลูบหัวมันเบาๆ
ดูเหมือนมันจะเข้าใจ เลิกตีน้ำแล้วว่ายเงียบๆต่อไป
"มึงว่าใครเป็นหมา ไอ้เชี่ย" ไอ้พีจอดรถแอบข้างถนนตอนไหนก็ไม่รู้หันมากัดฟันกรอดๆใส่ผม
"กูขอโทษ เผลอปากไป" ผมรู้สึกผิดยังไงมันก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย ผมไม่น่าโมโหเลย
"ขอโทษแล้วไง เอาคำพูดกลับไปในปากมึงได้ไหม" ตอนนี้ผมรู้สึกจนตรอกไม่รู้จะทำยังไง
"กูลงตรงนี้นะ จะไปเอง"พูดจบผมก็กดล็อคจะเปิดประตู
"ลองก้าวออกไปสิ มึงได้เห็นดีกับกูแน่ คิดว่าพูดชุ่ยๆแล้วจะหนีงั้นเหรอ" ผมกดล็อคกลับคืน
"ตามใจเมื่อกี้ กูด่าตัวเอง กูนี่แหละหมา มึงจะทำอะไรก็ตามใจมึงละกัน " พูดแล้วผมก็ถอนใจ
อย่างเบื่อหน่าย
"เห่าให้กูฟังไปจนถึงคลีนิคเลยนะมึง กูอยากรู้นักคนปากดีอย่างมึงจะเห่าเก่งแค่ไหน"
ผมก็เลยต้องจำใจ ส่งเสียงเห่าหอนไปตลอดทางซึ่งกว่าจะถึงคลีนิค ผมก็รู้สึกแสบคอไปหมด
ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจไอ้คนซาดิสข้างๆตัวผมนักเพราะยิ้มเล็กยิ้มน้อยไปตลอดทาง
......
"เอ้ามาแล้วถึงกันแล้วเหรอ ลุงพึ่งวางสายกับแม่เราเมื่อกี้นี่เอง"ลุงหมอเอ่ยทักพร้อมรับไหว้จากไอ้พีและผม
"อ้าวนั่งกันก่อน โหไม่เห็นเสียนานตาพี หล่อระเบิดนะเรา ส่วนนี่ตาบุ้งสินะ น่ารักเหมือนที่คุณหญิงบอกเลย"
ผมยิ้มเขินๆให้ลุงหมอพลางวางอ่างไอ้ปูนิ่มลงบนโต๊ะ
"อืม เจ้านี่ชื่ออะไรนะ"
"ปูนิ่มครับ"
"อาการเป็นไงบ้าง"
"ก็ไม่ทานอาหารมาสองวันแล้วครับ" จากนั้นลุงหมอก็ถามเกี่ยวกับไอ้ปูนิ่มอีกหลายอย่าง ท่านแนะนำผมว่าควร
ทิ้งไอ้ปูนิ่มไว้ที่คลีนิกสักสองวัน เพื่อตรวจละเอียดอีกครั้ง ผมกับไอ้พีจึงต้องกลับบ้านกันแค่สองคน
......
กว่าผมกับไอ้พีจะไปถึงห้างและจ่ายของเสร็จก็ใช้เวลาสามสี่ชั่วโมง ขณะที่ผมกับไอ้พีกำลังลงลิฟท์จากชั้นหก
ไปยังลานจอดรถ อยู่ๆ ลิฟท์ก็หยุดเคลื่อนไหวเอาดื้อๆ
"เกิดเชี่ยอะไรขึ้นว่ะนี่ "ไอ้พีโวยวาย
เราทั้งคู่ยืนอยู่คนละมุมเงียบต่างคนต่างเงียบไปสักสิบนาทีแต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหว ไอ้พียกมือถือขึ้นกด
"เชี่ยแบตเอ้ย แม่งทำไหมจะมาหมดเอาตอนนี้" มันพูดอย่างหงุดหงิด
"เอามือถือมึงมา" ผมยื่นให้มันไปกด
"ไอ้เชี่ย มึงไม่เติมเงินเลยหรือว่ะ" มันตะคอกใส่ ก็เดือนนี้ผมกรอบนี่ครับ ค่ากิจกรรมมหาลัยเอาไปกินจนเกลี้ยงแล้ว
ผมทรุดตัวลงนั่งคนละมุมกับไอ้พี ซึ่งตอนนี้เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าทั้งที่แอร์ยังทำงาน
"บุ้งมึงพูดอะไรก็ได้ ให้กูลืมๆว่าอยู่ในนี้เถอะว่ะ กูเป็นโรคกลัวที่แคบ"
ไอ้พีบอกผม ตอนนี้รู้สึกเหมือนมันหายใจถี่ขึ้น
"มึงได้ไอ้ปูเน่ามาจากไหน "มันชวนคุย
"ได้มาจากตลาด แม่ค้าฝากกูเอาไปทิ้งขยะเพราะคิดว่ามันตายแล้วแต่มันไม่ตาย กูก็เลยได้มันมาเป็นเพื่อน
มึงก็รู้ว่ากูไม่มีเพื่อนมาแต่ไหนแต่ไร ก็ได้มันนี่แหละคุยกับกูยามเหงา "
"คุยกะเต่านี่นะหึๆ"ไอ้พีหัวเราะเบาๆ ผมชักอุ่นใจกลัวมันเป็นลม เลยคุยต่อ
"ใช่แล้วมันฉลาดมากเลยนะ มันชูคอฟังกูคุยทุกเรื่อง บอกอยู่ก็อยู่บอกไปก็ไปไม่เคยขัดใจกูเลย"
"กูเห็นมึงอุ้มมันไปอุ้มมันมายังกะอุ้มลูก"
"ใช่แล้ว มันเป็นเหมือนลูกกู กูรู้สึกดีที่มีมันอยู่ใกล้ๆ ใจกูอยากพามันไปมหาลัยด้วย แต่กูขึ้นรถเมลล์"
" มึงก็มั่วแต่ยุ่งอยู่กับไอ้ปูเน่านั่น แทนที่จะเอาเวลาไปออกกำลังกายมั่ง จะได้ไม่มีแต่ก้างแบบนี้"
ไอ้พีพูดพร้อมกับกวาดสายตามองผม
"เฮ้ย กูไม่ได้มีแต่ก้างนะ นี่ดูนี่ " ผมงอแขนโชว์มัดกล้ามแถวต้นแขนให้มันดู พร้อมยักคิ้วให้
"เหอๆ นั่นเหรอกล้าม"ไอ้พีขยับมานั่งเบียดผมพร้อมกับถอดเสื้อออกแล้วงอแขนโชว์ความล่ำของมันให้ดู
"เป็นไงเห็นของจริงหรือยัง" ผมพยายามไม่คิดอะไรมากกับร่างขาวใสที่เต็มไป
ด้วยความงามของกล้ามเนื้อวัยหนุ่มที่อยู่ๆใกล้จนได้กลิ่นหอม
" อึ้งไปเลยละสิ เจอของจริง นี่มึงจับดูนี่ ซิกแพ็คของกู " มันคว้ามือผมไปลูบไล้กล้ามเนื้อนูนแน่นที่มันอยากโชว์
ผมพยายามชักมือกลับ แต่มันกลับเอามือผมไปลูบหน้าอกมันต่อ"นี่กล้ามอกกูปึ๋งไหม คู่ขากูทุกคนชอบตรงนี้ทั้งนั้น"
"ระ เหรอ"ผมพูดตามน้ำไป เพราะอายหน้าร้อนวูบวาบไปหมด อยากจะหลับตาไม่มองใบหน้าหล่อเหลา
กับเรือนร่างยั่วยวนตรงหน้า แต่ก็ต้องฝืนทำเป็นปกติ แต่แล้วต้องใจหายวาบอีกครั้งเมื่อไอ้พีดึงเสื้อยืดผมออกพรืดเดียว
"ไหนกูดูของมึงหน่อยสิ" มันพูดพลาง จ้องดูท่อนบนของผม "อืมมึงก็ไม่ก้างนี่ แต่ตัวบาง"พูดแล้วมันก็เอามือมาลูบ
แถวหน้าท้องขาวๆบางๆของผม "อืมไม่มีกล้ามเลยแหะ นุ่มดี" "จากนั้นมันก็ลากมือมาแถวอกผมแล้วคลำและขยำเบาๆ
"ตรงนี้มีกล้ามแต่ไม่แน่น แต่นุ่มดีจัง" ปากมันพูดแต่มือไอ้พีลูบไปมาสำรวจท่อนบนผมไม่หยุด สายตาไอ้พีจ้องอยู่ที่ตาผม
แววตาของมันเหมือนสะกดให้ผมลืมสิ่งรอบตัว ปลายจมูกมันเริ่มชิดเข้ามาใกล้ใบหน้าผมจนผมสัมผัสได้ถึงความรุ่มร้อน
" ครืดๆ แช้ดๆๆ" ประตูลิฟท์เปิดออกทันที ฝูงชนที่อยู่หน้าลิฟท์ประมาณสามสิบกว่าท่าน
คงตีความไปต่างๆนาๆกับเรือนร่างที่เปลือยท่อนบนของผมกับไอ้พีตรงหน้า ส่วนตัวผมนึกอยากมีกระดองเหมือนไอ้ปูนิ่ม
ขึ้นมาจับจิตจะได้หดหัวเข้าไปซ่อนตัวจากความอับอายที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอในสภาพนี้
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น