คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ราตรีอันเป็นนิรันดร์
ในค่ำคืนที่เงียบสงบของเรียวจินโซ ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกำแพงตั้งสูงตระหง่านฟ้า ด้านหลังกำแพงเป็นคฤหาสน์ใหญ่สามชั้นทรงยุโรป รอบๆ คฤหาสน์ประดับไปด้วยสวนกุหลาบหลากสีซึ่งน่าแปลกที่มีกุหลาบมาเบ่งบานในสถานที่ที่ค่อนข้างมืดทึบ บรรยากาศรอบๆ คฤหาสน์ดูมืดครึ้มน่ากลัว และส่งกลิ่นอายชวนสยอง
ภายในทางลงบันไดของคฤหาสน์ หญิงสาวรูปร่างค่อนข้างสูง ในชุดเสื้อกักสีดำคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำยาว ในหน้าของเธองดงามหมดจด ผมสีฟ้าอ่อนที่ดูอ่อนนุ่มสะบัดและมีปีกค้างคาวเล็กๆ งอกออกมาจากศีรษะ รวมทั้งนัยน์ตาสีแดงฉาดฉายแววน่ากลัวภายในดวงตาของเธอ และปีกค้างคาวสีดำขนาดใหญ่กลางหลัง เธอค่อยๆ เดินบันไดมาตามทางจน เธอหยุดลงที่หน้าประตูห้องซึ่งเป็นประตูไม้โอ้กมีห่วงสำหรับดึงสีทองดูหรูหรา เธอเคาะประตูเล็กน้อย
“ใครน่ะ” มีเสียงคนดังออกมาจากหลังประตู
“ชั้นเอง” หญิงสาวที่เคาะประตูตอบ รู้สึกว่าเจ้าของเสียงในประตูจะถอนหายใจซักพักก่อนจะขานให้เข้ามาได้
หญิงสาวเปิดประตูโดยแทบจะไม่สัมผัสประตูเลยซักนิด ประตูเปิดออกเหมือนมันเปิดเองได้อัตโนมัติ แสงไฟลอดเข้าไปในห้อง ภายในห้องนั้นมืดมิด เพียงแต่ว่ามีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยออกมาจากตัวสาวน้อยคนหนึ่งในชุดเสื้อกราวสีขาวทับกับชุดกระโปรงลูกไม้ เธอมีสีผมและนัยน์ตาสีม่วง สวมหมวกผ้าใบใหญ่มีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ประดับอยู่ ใบหน้าไร้อารมณ์ เธอกำลังง่วนอยู่กับการผสมของเหลวในหลอดทดลองและดูท่าจะไม่สนใจกับผู้มาเยือน
“ทำอะไรอยู่เหรอ เรยะ” หญิงสาวคนนั้นบินเข้าไปใกล้ๆ สาวน้อยที่กำลังคนของเหลวในขวดบิกเกอร์
“ก็แค่การทดลองเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง” เรยะตอบเสียงไร้อารมณ์ เธอยังคงไม่มองหน้าหญิงสาวที่บินเข้ามาใกล้จนหน้าแทบติดกัน
“นี้ๆ ชั้นมีอะไรอยากให้เธอช่วยหน่อยแน่ะ” หญิงสาวคนนั้นบินห้อยหัวอยู่ตรงหน้าเรยะ
เรยะถอดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะสอดหลอดทดลองไว้ในช่องวางหลอดทดลอง และหันไปมองหญิงสาวคนนั้น
“มีอะไรให้รับใช้เจ้าคะ รูบี้ เอ้ยไม่ใช่สิ ท่านสเตร่า ไนท์ รูบิเลีย” เรยะยังคงทำหน้าตาไร้อารมณ์
“เรียกแบบที่เธอชอบแหละ ฟังดูทำให้ชั้นสนิทกับเธอดี” รูบิเลียยิ้มให้เรยะ
“งั้น...มีอะไร รูบี้ ชั้นกำลังยุ่งอยู่นะ” เรยะทำหน้าเซ็ง
“ก็นิดหน่อยนะ ชั้นอยากให้เธอช่วยอะไรชั้นหน่อย” รูบิเลียยิ้มก่อนจะนั่งกอดเข้าแล้วบินตีลังกาไปทั่วห้อง เรยะทำหน้าเหนื่อยใจกับหญิงสาวตรงหน้า
“เธอก็รู้ใช่ไหมว่าชั้น เกลียดตอนกลางวัน เกลียดแสงอาทิตย์” รูบิเลียยิ้ม
“งั้นเธอก็คงเกลียดชั้นด้วยสินะ เพราะว่าชั้นเป็นปีศาจแห่งพระอาทิตย์” เรยะพูดแบบหลับตา
“เปล่า...ชั้นไม่ได้เกลียดเธอ ชอบด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่ใช่ด้วยอาทิตย์นี้” รูบิเลียบินเข้าไปโอบกอดเรยะจากด้านหลัง
“นี้...ช่วยทำให้พระอาทิตย์หายไปทีสิ” รูบิเลียลูบไล้ไปตามคางและแก้มของเรยะ
“ขอโทษทีนะ เรื่องนั้นชั้นทำไม่ได้ แม้แต่พ่อของชั้นก็ยังทำไม่ได้เลย” เรยะตอบแบบไร้อารมณ์
“งั้นเหรอ ว้า...เสียดายจัง” รูบิเลียทำท่าเซ็งก่อนจะบินหมุนตัวออกห่างเรยะ แต่เธอก็ยังคงกวนอารมณ์ของเรยะต่อไป
“แต่ก็ใช่ว่าจะทำอย่างอื่นไม่ได้...” เรยะพูดด้วยน้ำเสียงแข็งนิดๆ
“จริงเหรอ งั้นอะไรล่ะ” รูบิเลียพูดด้วยน้ำเสียงตกใจแต่สีหน้าและท่าทางของเธอไม่ได้ตกใจตามเสียงแถมยังคงยิ้มต่อ และเข้าไปซักไซ้เรยะโดยการเอานิ้วลูบขึ้นลงตามแก้มของเรยะ
“ถ้าแค่ทำให้พระอาทิตย์ไม่ส่องแสงในเรียวจินโซล่ะก็พอจะทำได้ แต่เธอก็ต้องช่วยด้วยแหละนะ” เรยะเหล่ตาใส่รูบิเลีย
“...ฟังดูน่าสนใจ งั้นเราต้องทำไงบ้าง” รูบีเลียแสยะยิ้ม ดูท่าค่ำคืนนี้จะยาวนานซะแล้ว
[
ภายในศาลเจ้าโดเมียวยะ ภายในห้องนอนของโดเมียวยะ อายะ มิโกะสาวที่มาอาศัยอยู่ในเรียวจินโซ ได้นานกว่าครึ่งเดือนได้แล้ว เธอนอนหลับอุตุอยู่บนฟุกหนาที่ปูอยู่กลางห้อง เธอเริ่มรู้สึกตัวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง เธอขยี้ตาเล็กน้อยและบิดขี้เกียจ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง
“อ้าว ยังมืดอยู่เลย สงสัยจะรีบตื่นมากไปหน่อย งั้นนอนต่อดีกว่า” แล้วอายะก็เอนหลังลงนอนต่อ
ภายในบริเวณข้างป่าลวงตา ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านหลายหลังแต่ก็ไม่อาจเรียกว่าหมู่บ้านได้เต็มปาก เพราะการสร้างบ้างนั้นอยู่กันแบบกระจัดกระจาย หนึ่งในนั้นมีบ้านทรงตะวันตกรูปร่างคล้ายโบสถ์ชั้นเดียวตั้งอยู่ นั้นคือบ้านของแม่มดผู้ใช้พลังไฟฟ้า คามิชิโระ มินางิ
ภายในบ้านนั้นมีข้าวของกระจัดกระจายเต็มบ้าน โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกองหนังสือกองโต และมีสมุนไพรต่างๆ วางกองรวมกันอยู่ในตะกร้าบนโต๊ะ ชั้นหนังสือที่จัดเรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ข้างๆ โต๊ะไม่ไกลนักเป็นที่ตั้งของเตียงนอน มินางิเจ้าของบ้านนอนอุตุอยู่บนเตียงในสภาพแผ่หลา นอนน้ำลายยืดเล็กน้อย แล้วนาฬิกานกกุ๊กกรูภายในห้องก็ดังขึ้นทำเอามินางิสะดุ้งตื่น
“หา เช้าแล้วเหรอ” มินางิขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง
“อ้าวอะไรกันยังมืดอยู่เลยนี้” มินางิเริ่มทำท่าง่วงนอนอีกครั้ง และจะทำท่าเอนหลังนอน แต่นาฬิกานกกุ๊กกรูยังคงสงเสียงร้องอยู่
“น่ารำคาญโว้ย” มินางิปาร้องเท้าใส่นาฬิกาจนล่วงลงพื้นก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน บ้านหลังโตที่ในอยู่ในระแวกใกล้ๆ เป็นบ้านทรงยุโรป สูงสองชั้น สีขาวทึบ และมีต้นไม้ป่าล้อมรอบ เป็นที่อยู่อาศัยของลูกสาวจอมปีศาจ ลูซิเฟอร์ อลิส ภายในห้องนอนของอลิสที่ยังคงนอนหลับไหลอย่างเงียบๆ เธอลืมตาตื่นขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่ทันได้สังเกตว่าท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่ด้วยความง่วงนอนจึงล้มตัวลงอย่างไม่สนใจอะไร
และเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักพันปี ซึ่งเป็นปราสาทรูปทรงแนวตะวันออกกลาง สร้างขึ้นจากไม้ แทบทั้งหลัง อินุคามิ โมโมะริริน จิ้งจอกเก้าหางสาว เดินตามทางเดินไม้มาหยุดหน้าประตูเลือน ซึ่งเป็นห้องของ ฮิรากุ ฮิโยริ เจ้าของตำหนักพันปีที่นอนหลับแบบสนิท และท่าทางจะตื่นยากมาก รินถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้อง และนั่งลงข้างๆ ที่นอนของฮิโยริ
“ท่านฮิโยริค่ะ ได้เวลาตื่นแล้ว เช้าแล้วค่ะ” รินพูดด้วยเสียงอันไพเราะ
“งึมงำงึมงำ
” ฮิโยริยังคงนอนต่ออย่างไม่สนใจอะไร
“ท่านฮิโยริค่ะ...” รินพยายามใช้มือสะกิดเบาๆ
“ง่า...ริน อย่าน่า ตรงนั้นมันไม่ดี” ฮิโยริละเมอทำเอารินสะดุ้ง
“เออ...ท่านฮิโยริค่ะ ตื่นเถอะค่ะ” รินสะกดอารมณ์และปลุกฮิโยริต่อ
“อ้า...รินอย่าสิ” ฮิโยริทำเสียงคราง
“ท่านฮิโยริค่า...” มีเส้นเลือดขอดที่หัวของรินเล็กน้อย ก่อนจะดึงถุงหนังจิ้งจอกออกมา แล้วเปิดปากถุง
“ตื่นๆๆๆ ตื่นได้แล้ว ท่านฮิโยริ”
มีเสียงดังสั่นประสาทออกมาจากถุงของริน ทำเอาฮิโยริสะดุ้งตื่น และกระโจนออกจากที่นอน หัวของฮิโยริสั่นตามเสียงไปด้วย เธอจับหัวของตัวเองให้หยุดสั่น ก่อนจะตั้งสติ แล้วหันไปมองริน
“ทำอะไรของเธออ่ะ ขี้หูกระเจิงหมดแล้ว” ฮิโยริทำเสียงเล็ก
“ตื่นได้แล้วค่ะท่าน เช้าแล้ว นอนมากเดียวก็ปวดหลังอีกหรอก” รินจัดที่นอนให้ฮิโยริ
“เดี๋ยวก่อนนะ” ฮิโยริมองออกไปนอนหน้าต่าง รินหันไปมองฮิโยริ
“นี้ยังมืดอยู่เลยนี้” ฮิโยริชี้ไปนอกหน้าต่างให้รินดู
“เอ๊ะ เป็นไปได้ไงกัน ตอนนี้มันก็หน้าจะเช้าแล้วนี้น่า” รินทำหน้าสงสัย
“เอ้า กลับไปนอนได้แล้ว ชั้นยังง่วงอยู่เลย” ฮิโยริผลักรินให้ออกจากห้องไป แล้วมุดกลับขึ้นเตียงนอนต่อ ทิ้งให้รินยืนอยู่หน้าห้องคนเดียว
“เอ้...มันอะไรกัน ก็ว่าเช้าแล้วนี้น่า สงสัยชั้นนอนไม่หลับแน่เลย ลองหาอย่างอื่นทำดีกว่า” แล้วรินก็เดินจากห้องของฮิโยริไป
ภายในป่าล่วงตา ณ กระท่อมไม้ชั้นเดียวใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่า เจ้าหญิงแห่งป่า เอดิน่า เดสตินี่ นอนหลับด้วยใบหน้าที่แสนจะน่ารักอย่างเงียบๆ แต่เธอก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วตั้งใจฟังเสียงให้ดีๆ เธอได้ยินเสียงโศกเศร้าของเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ เหล่าต้นไม้ในป่านั้นเอง เอดิน่าถึงกลับหน้าซีด หลังจากได้ยินเสียงคร่ำครวน และสาเหตุของความโศกเศร้า
ที่ศาลเจ้าโดเมียวยะอีกครั้ง ภายในห้องนอนของอายะ เธอลุกขึ้นมาอีกครั้ง และมองออกไปนอกหน้าต่าง
“นี้ยังไม่เช้าอีกเหรอเนี้ย นอนไม่หลับแล้วนะ” อายะเริ่มหัวเสียก่อนจะหันไปมองนาฬิกาแขวนที่ติดอยู่ข้างผนังห้อง
“อ้าว เฮ้ย เที่ยงแล้วนี้ ถึงว่านอนไม่หลับ” อายะสะดุ้งลุกออกมาจากที่นอน
“นี้มันอะไรกัน ทำไมพระอาทิตย์ไม่ขึ้น แถมฟ้ายังมืดอยู่อีก” อายะทำหน้าสงสัย
แล้วอายะก็รู้สึกถึงใครบางคนที่พุ่งตรงเข้ามาใกล้ศาลเจ้าโดเมียวยะด้วยความเร็วสูง อายะแอบอยู่ภายในห้องอย่างเงียบๆ ผู้บุกรุกเปิดประตูศาลเจ้า แล้วเดินเข้ามาภายในกระท่อมของอายะ อายะยังคงแอบอยู่ในห้อง ในมือกำไม้ไล่ผีและเตรียมเข็มไว้ในง้ามนิ้ว ผู้บุกลุกเปิดประตูห้องนอนของอายะอย่างเร็ว อายะเตรียมท่าจะโจมตีแต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“คุณอายะค่า...” เอดีน่าพุ่งตัวเอาไปกอดอายะ หลังจะทิ้งตัวของมินางิที่ลากตัวมาจากบ้านทั้งสภาพยังงัวเงียอยู่ไว้กับพื้น
“เออ...เดี๋ยวก่อนเอดีน่า มันเกิดอะไรขึ้น” เอดีน่าร้องไห้งอแง แล้วซบอกอายะ
“ฮือๆๆ...คุณอายะค่ะ เด็กๆ ของดิฉัน ฮึกๆ เด็กๆ ของดิฉันกำลังจะตายค่ะ” เอดีน่าสะอื้น
“เดี๋ยวนะ ใครจะตายนะ ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า” อายะลูบหัวก่อนจะหันไปมองมินางิที่นอนหลับเอาขาชี้ฟ้าพาดกับผนังห้อง กระโปรงเปิดเผยให้เห็นชั้นในลายลูกไม้ยาวถึงเข่า
“ตื่นสิโว้ย นอนอยู่ได้ เที่ยงแล้วนะยะ” อายะกระทืบมินางิจนสะดุ้ง ก่อนจะเอาเท้าเขี่ยจนมินางิกลิ้งไปกลิ้งมา
“ง่า...อรุณสวัสดิ์อายะ ข้าวเช้าเสร็จยัง” มินางิทำหน้างัวเงีย
“ไม่ต้องมาอรุณสวัสดิ์ ตอนนี้เที่ยงแล้ว” อายะทำเสียงดังจนมินางิสะดุ้ง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“เธอว่าไงนะ เที่ยงแล้วงั้นเหรอ แย่แล้ว” มินางิทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตาย
“เป็นอะไรของเธอ อะไรเหรอที่ว่าแย่” อายะถาม
“ก็ชั้นยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยอะดิ” คำตอบของมินางิทำเอาอายะกันเอดีน่าหงายหลัง
ทั้งสามนั่งล้อมวงทานอาหารที่อายะทำไว้ ภายในห้อง โต๊ะตัวยาวขาสั้นที่ตั้งอาหารไว้สำหรับสามที่ มินางิกันตะกุยข้าวเข้าปากอย่างไม่สนใจ ส่วนเอดีน่านั่งก้มหน้าลงเล็กหน้าและมีสีหน้าเศร้าหมอง
“เอานี้ อย่ามั่วแต่ทำหน้าแบบนั้นสิ กับข้าวไม่อร่อยหมด” อายะตักข้าวส่งให้เอดีน่า
“ข...ขอบคุณค่ะ” เอดีน่ารับชามข้าวมาจากอายะ แต่ยังไม่กิน
“ไหนเธอช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชั้นฟังหน่อยซิ” อายะตักข้าวของตัวเองใส่ชาม
“ค่ะ...คือเมื่อเช้า เออ...จะว่ายังไงดี ท้องฟ้ายังมืดอยู่และพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นซะที ตอนแรกดิฉันไม่ได้คิดอะไร แต่จู่ๆ เด็กๆ ของดิฉัน เออ...เหล่าต้นไม้น่ะค่ะ พอไม่ได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้าก็เริ่มแห้งลงทันที ซึ่งก็น่าแปลกมาก ทุกคนต่างร้องไห้ใหญ่เลย ทำเอาดิฉันร้องตามไปด้วย เลยไปหาคุณมินางิเผื่อจะช่วยอะไรได้ คุณมินางิก็บอกให้ดิฉันมาหาคุณอายะ เราสองคนก็เลยมาหาคุณน่ะค่ะ” เอดีน่าก้มหน้าเล่าเรื่อง
“ใครว่าชั้นจะมาล่ะ ยัยนี้ลากชั้นมาด้วยตะหาก” มินางิกำลังคีบผักดองเข้าปาก แต่เจออายะเอาทัพพียัดปาก
“งึงิงุงะ
ตุ๋ย ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ” มินางิเอาทัพพีออกจากปาก
“ถ้าไม่คิดจะมาก็หยุดกินแล้วกลับบ้านตัวเองไปนอนซิ” อายะเหล่ตาใส่มินางิ
“ง่ะ...ป...เปล่า ชั้นแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง จริงๆ ชั้นก็อยากจะมาหาอายะด้วยแหละ” มินางิรีบเปลี่ยนสีหน้า
“...” อายะถอนหายใจ
“เอาล่ะ แล้วเรื่องมันเป็นแบบนี้ได้ยังไงเหรอ ทำไมท้องฟ้าถึงมืดในตอนเช้า แถมพระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นอีก” อายะหันไปถามเอดีน่า
“ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” เอดีน่าส่ายหน้า
“ใครว่าพระอาทิตย์ไม่ขึ้นล่ะ แค่ไม่ส่องแสงเอง และที่ฟ้ามืดแบบนี้ก็เพราะเมฆปีศาจราตรียังไงล่ะ” มินางิพูดขณะยังกินข้าวอยู่
“เธอว่าไงน่ะ นี้เธอรู้เหรอว่าใครเป็นคนทำ” อายะและเอดีน่าหันไปมองมินางิซึ่งตอนนี้โกยข้าวเข้าปากจนหมดชาม
“ก็พอจะเดาได้ล่ะนะ ถ้าคิดไม่ผิดก็คงเป็นฝีมือของเจ้าของคฤหาสน์ราตรี ปีศาจราตรี สเตล่า ไนท์ รูบีเลีย ยัยนั้นเกลียดแสงสว่างและพระอาทิตย์มากเลยล่ะ แถมเคยได้ยินมาว่าจะทำให้พระอาทิตย์หายไปให้ได้เลยอะไรแบบนี้ ชั้นก็นึกว่าล้อเล่น ดันทำได้จริงซะงั้น” มินางิเล่า
“แล้วเธอรู้เรื่องนี้มาจากไหน” อายะถาม
“ก็ชั้นเข้าๆ ออกๆ คฤหาสน์ราตรีบ่อย พอดีมีคนรู้จักอยู่ที่โน้น” มินางิซดชาต่อ
“อ้าว นี้เธอรู้เรื่องนี้แล้วทำไมไม่หยุดไว้เล่า แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ต้องไปพูดให้เจ้าของคฤหาสน์นั้นให้รู้เรื่อง” อายะลุกขึ้นยืน “อ้าว พวกเธอรออะไรกันอยู่ ไปด้วยกันสิ”
“เอ๊ะ เออ...ต้องไปด้วยเหรอค่ะ” เอดีน่าทำหน้าตื่น
“อ้าว ทำไมล่ะ นี้เป็นปัญหาของทุกคนนะ ไม่งั้นก็ต้องอาศัยอยู่ในความมืดนี้ตลอดไปนะ”
“เออ...แต่ว่า” เอดีน่าอ้ำอึ้ง
“นี้อายะ เธอรู้ไหมว่ารูบีเลียเป็นคนยังไง ยัยนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความโหดและโฉดยิ่งกว่าใครๆ ในเรียวจินโซเลยนะจะบอกให้ ยัยนั้นเป็นปีศาจราตรีที่สามารถกินวิญญาณ ดูดเลือด และสูบพลัง ของผู้อื่นได้ในยามวิกาล ดังนั้นถึงได้ชื่อว่าปีศาจราตรี ยัยนั้นนะ ต่อให้ตายชั้นก็ไม่ขอสู้ด้วยเด็ดขาด ยิ่งฟ้ามืดแบบนี้ยัยนั้นจะแข็งแกร่งที่สุดด้วย” มินางิอธิบาย
“เออ...จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละค่ะ คุณรูบีเลียน่ะ ร้ายกาจมาก แค่เธอใช้พลังนิดเดียว ป่าของชั้นก็แทบจะหายไปเป็นแถบได้แล้ว” เอดีน่าทำหน้าจ๋อย
อายะที่ยืนฟังคำพูดของทั้งสองคนเลยตัวสั่น แต่ไม่ได้สั่นเพราะความหวาดกลัว แต่สั่นเพราะรู้สึกหงุดหงิด และระเบิดอารมณ์ออกมา
“นี้พวกเธอสองคน จะกลัวอะไรกันนักกันหนา อะไรที่ยังไม่ลองมันจะรู้ได้ยังไงกัน” อายะเอามือเท้าเอว
“ก็มันเห็นๆ กันอยู่แล้ว สู้กับยัยนั้นไม่ใช่หมูๆ นะ” มินางิเบ้มือออกสองข้าง
“ดิฉันก็เห็นด้วยกับคุณมินางินะคะ เราสามคนรวมกันก็ใช่ว่าจะชนะรึเปล่าก็ไม่รู้” เอดีน่าทำท่าหงอ อายะยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิด
“นี้เอดีน่า เธออยากให้ป่าของเธอค่อยๆ เหี่ยวเฉาลงเพราะขาดแสงอาทิตย์รึไง ที่เธอถ่อมาหาชั้นก็เพราะอยากให้สิ่งสำคัญของเธอเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกัน แค่นี้ก็หงอซะแล้ว เธอนี้มันขี้ขลาดสิ้นดี แล้วก็นะมินางิ เธอกำลังวิจัยสมุนไพรอยู่ใช่ไหม ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์ ต้นสมุนไพรมันก็คงไม่งอกขึ้นมาหรอกนะ คราวนี้เธอได้ไปวิจัยฝุ่นแทนล่ะกัน” อายะพูดเสียงดังมีเส้นเลือดปูดออกมาจากหน้าผาก คำพูดของอายะทำเอาเอดีน่าและมินางิอึ้งไปพักใหญ่
“เออ...จริงด้วยสินะคะ ยังไม่ลองกันก็ถอดใจซะแล้ว ดิฉันเกือบจะต้องเสียสิ่งสำคัญไปแล้วซะอีก” เอดีน่าเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว
“ใช่ มันต้องแบบนั้นสิ ถ้าคิดได้อย่างนั้นเธอก็กินข้าวของตัวเองให้หมดชามซะก่อน จะได้มีแรง” เอดีน่าพยักหน้าแล้วค่อยๆ ก้มหน้าทานอาหารบนโต๊ะ
“แล้วมินางิ เธอด้วยใช่ไหม” อายะหันไปมองมินางิ
“เออ...จะว่าไงดี ชั้นคง...”
“ใช่ไหม
” มีเส้นเลือดปูดบนหน้าผากของอายะอีกครั้ง
“จ้าๆ ชั้นจะไปด้วย จะไปขัดขวางยัยปีศาจราตรีนั้นให้ถึงที่สุด...” มินางิทำท่าตื่นกลัวทำกิริยาของอายะ
“ดีมาก” พออายะได้ฟังที่มินางิพูดก็ยิ้มให้
[
และแล้ว ทั้งสามคนก็บินอยู่เหนือคฤหาสน์ราตรีซึ่งในเวลาท้องฟ้ามืดเช่นนี้ ทำให้ตัวคฤหาสน์ดูมีพลังจนน่าเกรงข้าม
“นี้นะเหรอ คฤหาสน์ราตรี” อายะลอยตัวอยู่กลางอากาศ
“อืม ที่นี้แหละ” มินางิขี่ไม้กวาดอยู่
“บรรยากาศน่ากลัวจังเลย...” เอดีน่านั่งอยู่บนใบไม้ยักษ์ที่ลอยอยู่บนฟ้า และเริ่มหวั่นเล็กน้อย
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” อายะพุ่งตัวลงเข้าใกล้ตัวคฤหาสน์
“อ้าว รอกันด้วยสิ” มินางิและเอดีน่าบินตามอายะมาติดๆ
อายะบินพุ่งลงมาอย่างเร็ว และกำลังจะเข้าไปภายในตัวคฤหาสน์ แต่ก็ต้องหยุดเพราะเกิดมีพายุขนาดเล็กพุ่งเข้าใส่ ทำเอามินางิและเอดีน่าต้องบินหลบตาม พายุนั้นยังคงพุ่งเข้าใส่พวกอายะอย่างไม่ลดล่ะ จนต้องบินเรียดพื้น และมาหยุดหน้าประตูหน้าของคฤหาสน์ราตรี
“โอ๊ะโอ๋ โอ๊ะโอ๋ ดูท่าวันนี้เราจะมีแขกไม่ได้รับเชิญอีกแล้วนะนี้” เสียงเล็กๆ แต่ฟังดูอวดดีลอยมา พวกอายะจึงหันไปมอง
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ยัยปลาไหลไฟฟ้ามินางินี้เอง อ๊ะแล้วนั้นใครอีกล่ะ ทั้งตัวขาวแดง กับตัวเขียวๆ ที่ดูเหมือนต้นไม้นั้นอีก” เสียงจากสาวน้อยตัวเล็กท่าทางดูขึงขังในชุดเสื้อกักกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม บนหัวสวมหมวกผ้าใบใหญ่ ในมือถือช้อนขนาดใหญ่
“มาว่าใครเป็นปลาไหลยะ ยัยเปี๊ยก” มินางิพูดเสียงดัง
“อย่างมาเรียกชั้นว่าเปี๊ยกน่ะ ชั้นมีชื่ออันแสนไพเราะว่า ไมติส แอร์เมส จำไว้ด้วย และชั้นก็อายุมากกว่าเธอนะ” แอร์เมสพูดเสียงดังกลับ
“ชื่ออะไร จำยากชะมัด เรียกยัยเปี๊ยกนั้นแหละดีแล้ว” มินางิพูดต่อ
“ชั้นก็ว่าอย่างนั้นน่ะ บอกว่าอายุมากกว่ามินางิ ก็แสดงว่ามากกว่าชั้นอีก แต่ตัวสูงแค่ไหล่ชั้นเอง เรียกยัยเปี๊ยกน่ะดีแล้ว” อายะแถม
“แหม แต่เรียกว่า คุณหนูตัวเล็กก็ฟังดูน่ารักดีนะคะ” เอดีน่ายังแถมต่อ
“พอแล้ว เลิกเรียกว่ายัยเปี๊ยกซะที ฟังแล้วชักทนไม่ไหวแล้วนะ” ยัยเปี๊ยกเริ่มมีน้ำโห (ต่อแต่นี้ไปจะเรียกตัวละครนี้ว่ายัยเปี๊ยกนะครับ)
“อ้าว เปี๊ยก มีคนมาเหรอ” มีเด็กสาวตัวเล็กอีกคนในชุดเสื้อคลุมกันหนาวสีขาว ทำหน้างัวเงียเดินเข้ามาหา
“นี้เธอยัยเรียกชั้นว่า ยัยเปี๊ยกอีกคนเรอะ ทั้งๆ ที่เธอก็ตัวเล็กว่าชั้นนะยัยคาเรน ราฟาโต้” ยัยเปี๊ยกทำหน้าจ้องจะกินเลือดกินเนื้อใส่คาเรน
“อ้าว ก็ชั้นอายุยัยน้อยกว่าเธอนี้ แต่ชั้นว่าหลังๆ นี้เริ่มสูงเท่าเธอแล้วนะ” คาเรนพูดต่อ สีหน้าหายง่วงนอนแล้ว
“ว่าไงนะ...” ยัยเปี๊ยกทำท่าช็อค
“แถมคุณหัวหน้าสาวใช้ก็ชอบเรียกเธอแบบนั้นนี้ รวมทั้งคนในคฤหาสน์นี้ด้วย” คาเรนพูดแบบไม่ใส่ใจ
“กรอด...” ยัยเปี๊ยกกัดฟัน
“อ้าว แล้วนี้มีคนมาเหรอเนี้ย แบบนี้จะต้อนรับดีไหมเนี้ย” คาเรนถาม
“ไม่น่าถามนี้ เราโดนสั่งมาว่าห้ามให้คนนอกผ่านเข้ามาในเขตคฤหาสน์ได้ ไม่งั้นโดนเจี๋ยน” ยัยเปี๊ยกทำท่าเอานิ้วปาดคอ
“งั้นก็ขอความกรุณาออกไปด้วยนะคะ” คาเรนก้มหัวขอร้องดีๆ
“เออ...ขอโทษด้วยนะ แต่เรามีธุระกับเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้จริงๆ” อายะพูด
“มีนัดไว้ไหมค่ะ” คาเรนถาม
“เปล่า ไม่มี” อายะตอบ
“งั้นก็เชิญกลับไปเถอะค่ะ ท่านรูบีเลียสั่งว่าตอนนี้ห้ามคนนอกเข้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม” คาเรนตอบด้วยสีหน้าสบายๆ
“งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะ เราคงต้องใช้กำลังเข้าไปซะแล้วล่ะ” อายะตั้งท่าเหมือนจะต่อสู้
“จะท้าคันโซกุสินะคะ งั้นตั้งเงื่อนไขไว้ว่าถ้าชนะพวกเราทั้งสองคนได้ เราก็จะให้เข้าไปในเขตคฤหาสน์ แต่ถ้าพวกคุณแพ้ ก็ขอความกรุณากลับไปด้วยนะคะ แล้วก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาอีก” คาเรนพูดอย่างสบายอารมณ์
“งั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” อายะตั้งท่า
“ช้าก่อน” มินางิเข้ามาห้ามอายะไว้
“ทำไมเหรอ มินางิ” อายะถาม
“สองคนนี้ให้ชั้นกับเอดีน่าจัดการเอง เธอเก็บแรงไว้ก่อนดีกว่า เพราะข้างในมันโหดกว่านี้อีก” มินางิทำสีหน้าจริงจัง
“นั้นสินะคะ ตรงนี้ให้พวกดิฉันจัดการดีกว่า คงไม่ต้องถึงมือคุณอายะหรอก” เอดีน่าซึ่งปกติดูเรียบร้อยอยู่แล้ว แต่พอเข้าโหมดเอาจริงแล้วดูจริงจังมาก
“งั้นเตรียมใจไว้ได้เลย” ยัยเปี๊ยกพาดช้อนยักษ์ไว้ด้านหลัง คาเรนสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อคลุมกันหนาว
“จะรออะไรกันอยู่” มินางิกำหมัดที่มีประจุไฟฟ้าไว้แน่น เอดีน่าถือไม้เท้าทรงสายฟ้าไว้ในมือ
มินางิพุ่งตัวเข้าใส่คาเรนด้วยความเร็วสูง แต่ยัยเปี๊ยกสร้างลมพายุโดยการควงช้อนยักษ์ในมือจนเกิดลมพายุขนาดเล็ก มาป้องกันบริเวณหน้ามินางิ ทำให้มินางิต้อนถอยไปตั้งหลักใหม่
“เร็วดีนี้ งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ...เอดีน่า” มินางิให้สัญญาณเอดีน่า
“บอลไลติ้ง” มินางิชาจน์บอลไฟฟ้าแล้วขว้างใส่ยัยเปี้ยก
“คมหอกรากพฤกษา” เอดีน่าร่ายเวทย์เรียกรากไม้ปลายแหลมพุ่งเข้าใส่คาเรน
“กระจอกน่า”
ยัยเปี๊ยกใช้ช้อนตวัดลูกบอลไฟฟ้าของมินางิแล้วดีดกลับ ส่วนคาเรนปล่อยหมอนจำนวนมากออกมาจากใต้แขนเสื้อมาบังการโจมตีของรากไม้ และกลบมันลงพื้น ลูกบอลไฟฟ้าของมินางิถูกตีกลับไปหาเจ้าชอง มินางิกระโดดหลบ แต่เอดีน่าเคลื่อนได้ช้าจึงหลบได้อย่างยากลำบาก และกระเด็นเล็กน้อยจากแรงระเบิด
“อะไรกาน ฝีมือแค่นี้จะมาเทียบพวกชั้นแล้วเหรอ” ยัยเปี๊ยกพูดน้ำเสียงอวดดี
“แค่นี้มันพึ่งเริ่ม” มินางิพยุงตัวเอดีน่าขึ้นมา
“นี้เอดีน่า เธอใช้พลังของเธอแยกสองคนนั้นไว้ได้ไหม ถ้าสองคนนั้นจับคู่กันเราจะสู้ได้ลำบาก” มินางิกระซิบ
“เออ...ก็พอจะทำได้นะคะ” เอดีน่าตอบเสียงสั่น
“ดี งั้นจัดการเลย” มินางิพุ่งตัวไปอีกครั้ง เธอรวมประจุไฟฟ้าไว้ที่ผ่ามือแล้วชกลงบนพื้น
“สปาร์คช็อค!!”
กระแสไฟฟ้าพุ่งไปตามพื้นระหว่างกลางของคาเรนกับยัยเปี๊ยก ทั้งสองคนก็โดดหลบไปคนละทาง
“ตอนนี้แหละ เอดีน่า” มินางิตะโกน
“เหล่าสาวกของข้าจงเบ่งบานและงอกงามขึ้น กำแพงพฤกษาชาติ”
มีรากไม้และต้นไม้จำนวนมากผุดขึ้นมาจากพื้น แยกระหว่างคาเรนกับยัยเปี๊ยกให้ออกจากกัน ทั้งคาเรนและยัยเปี๊ยกทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย มินางิพุ่งเข้าประชิดตัวยัยเปี๊ยก ส่วนเอดีน่าไปยืนขว้างหน้าคาเรนไว้
“จับพวกเราให้แยกกันงั้นรึ” ยัยเปี๊ยกพูด
“ก็นะ สู้กันแบบตัวๆ กันน่าจะดีกว่า”
มินางิตั้งท่าพร้อมสู้ เธอพุ่งตัวเข้าชกยัยเปี้ยก ยัยเปี๊ยกหลบหมัดของมินางิแล้วใช้ช้อนฟาดสวน มินางิปัดมือที่จับช้อนของยัยเปี๊ยกให้ออกห่าง แล้วรวบรวมไฟฟ้าไว้ที่หมัดก่อนจะชกเข้ากลางลำตัวของยัยเปี๊ยก เกิดแรงสั่นชั่วขณะ แต่ดูท่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะยัยเปี๊ยกใช้ช้อนขนาดเล็กค้ำหมัดของมินางิไว้ก่อนจะเริ่มออกกระบวนท่า หมัด ศอก และใช้ไหล่กระแทกตามลำดับ มินางิโดนการโจมตีไปอย่างจัง ทำเอากระเด็นไปด้านหลัง
“ถ้าเรื่องการต่อสู้ระยะประชิด ชั้นก็ไม่แพ้ใครหรอกนะ” ยัยเปี้ยกยิ้ม
“กรอด...” มินางิค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“หมอนคู่ประจันบาน><”
คาเรนปาหมอนใส่เอดีน่าที่กำลังหนีอย่างยากลำบาก ถึงการโจมตีด้วยหมอนจะดูไม่น่ามีความเสียหายอะไรมาก แต่ถ้าโดนหมอนจำนวนมากพาดเข้าเต็มหน้าแล้วโดนหมอนทับก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน
“เถาวัลย์คุ้มกาย”
เอดีน่าเรียกเถาวัลย์หลายเส้นออกมาจากพื้นดิน แล้วปัดหมอนที่พุ่งเข้าใส่จำนวนมาก เอดีน่าได้แค่ป้องกันการโจมตีอย่างเดียว ไม่สามารถโจมตีคืนได้เลย
“เตียงตกสวรรค์”
มีเตียงยักษ์หล่นลงมาจากฟ้า เอดีน่าทำหน้าตกใจและคิดว่าเถาวัลย์คงป้องกันให้ตนไม่ได้แน่จึงใช้เถาวัลย์ดีดตัวออกมา แต่ก็ต้องเสียหลักล้ม เพราะสะดุดกับหมอนจำนวนมากที่อยู่กับพื้น เอดีน่าหงายหลังลงพื้น ก่อนจะสังเกตเห็นว่าตนโดนกองหมอนล้อมรอบตัวไว้
“เสร็จล่ะเจ้าคะ” คาเรนมายืนชูหมอนอยู่ตรงหน้าเอดีน่า
“ม...ไม่นะ” เอดีน่าไม่ทันตั้งตัว
คาเรนขึ้นคร่อมเอดีน่า แล้วใช้หมอนกดไปที่หน้าของเอดีน่า เอดีน่าดิ้นสุดชีวิตเพราะหายใจไม่ออก แต่ยิ่งดิ้นหมอนที่กดหน้าของตนก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น คาเรนกระแทกหมอนเข้าใส่หน้าของเอดีน่าให้แรงขึ้น เอดีน่าเริ่มใกล้หมดสติเพราะขาดอากาศแล้ว
“อึก-อา-อัน-อะ-อา-อาน (พฤกษาพันธนาการ)”
มีรากไม้พุ่งออกมาจากพื้นแล้วมาพันรอบๆ ตัวคาเรนที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวเอดีน่า แล้วดึงตัวคาเรนให้ออกห่างจากเอดีน่า เอดีน่าดึงหมอนออกจากหน้า แล้วสูดหายใจเข้าอีกครั้ง
“แฮกๆ เกือบตายแหนะ” เอดีน่าหายใจหอบ
“แหม อีกนิดเดียวก็จะสลบไปแล้วเชียว แบบนี้คงต้องเอาจริงมากกว่านี้แล้วมั่ง”
ภายในเสื้อของคาเรนพองขึ้นจนดูเหมือนเธออ้วนขึ้นทันตา ทำเอารากไม้ที่พันอยู่รอบๆ ตัวเธอขาดกระจุย มีหมอนจำนวนมากไหลออกมาจากใต้เสื้อคลุมกันหนาวของเธอ หมอนกองสูงจนล้อมรอบตัวเอดีน่าไว้
“เอาล่ะ มาเริ่มกันใหม่ดีกว่า”
มินางิประมือกับยัยเปี๊ยกด้วยวิทยายุทธ์ และดูท่าเธอจะเสียเปรียบเล็กน้อยเพราะต้องคอยหลบการโจมตีของช้อนยักษ์ที่ดูจะเป็นอาวุธคู่กายของยัยเปี๊ยกซะด้วย ยัยเปี๊ยกโจมตีด้วยการฟันช้อนยักษ์สลับกับออกหมัดชก และเตะกวาดพื้น มินางิที่ค่อยแต่รับการโจมตี และจะหาจังหวะร่ายเวทย์ไฟฟ้าใส่ยัยเปี๊ยก แต่มักจะถูกขัดจังหวะไว้ตลอด ยัยเปี๊ยกกระแทกช้อนใส่มินางิ แล้วปาช้อนเล็กใส่มินางิ เธอหลบช้อนเกือบไม่ทัน เฉียวปลายเสื้อจนขาดเล็กน้อย ยัยเปี๊ยกยังคงรัวหมัดชกอย่างต่อเนื่อง มินางิทำได้แค่ใช้มือปัดการโจมตี ซึ่งทำได้ไม่มากนัก ดูท่ายัยเปี๊ยกจะเก่งเรื่องการต่อสู้ในระยะประชิดมากกว่ามินางิมาก มินางิหาทางจะออกห่างจะยัยเปี๊ยกให้ได้ แต่เพราะรูปร่างที่เล็กและเพรียวของยัยเปี๊ยกทำให้เข้าประชิดตัวมินางิได้อย่างง่ายดาย
“เป็นอะไรไป เธอเก่งแต่ปากรึไงกัน” ยัยเปี๊ยกทำน้ำเสียงเยาะเย้อ
“ทำพูดดีไป” มินางิยิ้ม
“ยังมีดีอีกรึ” ยัยเปี๊ยกพุ่งเข้าใส่มินางิ
“ร่างประจุไฟฟ้า” รอบตัวมินางิมีไฟฟ้าแรงสูงไหลอยู่รอบตัวทำเอายัยเปี๊ยกต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่
“อะไรล่ะนั้น เริ่มจะเปรียบเป็นปลาไหลไฟฟ้าแล้วเหรอ” ยัยเปี๊ยกยังติดพูดเล่นเล็กน้อย
“บอกว่าอย่างมาเรียกว่าปลาไหล”
มินางิเคลื่อนไหวตัวด้วยความเร็วสูงสุด เร็วจนยัยเปี๊ยกมองตามไม่ทัน มินางิเริ่มออกกระบวนท่าชกใส่ยัยเปี๊ยกอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วสุดเหนือคำบรรยาย ยัยเปี๊ยกมองเห็นมินางิเป็นแค่เงาผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ จึงโดนมินางิรัวหมัดใส่อย่างไม่ยั้ง
“โอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่าโอร่า
”
มินางิรั่วหมัดแบบไม่ยั้งมือ ยัยเปี๊ยกที่โดนชกจนหน้าหันซ้ายหันขวา มินางิยังไม่หยุด และชกต่อไปเรื่อยๆ
“โอร่า...” มินางิชกหมัดสุดท้ายเข้ากลางลำตัวยัยเปี๊ยกจนกระเด็นไปชนกับกำแพงต้นไม้ที่เอดีน่าสร้างไว้
เตียงจำนวนมากทยอยหล่นลงมาจากฟ้าไล่ตามเอดีน่าที่วิ่งหนีอยู่ ตามด้วยหมอนนับสิบที่พุ่งใส่อย่างบ้าคลั่ง เอดีน่าปล่อยกระสุนใบไม้ไปปะทะกับหมอนที่พุ่งเข้ามา จนขนนกภายในหมอนฟุ้งกระจายออกมาด้านนอก รอบๆ ตัวเอดีน่ามีแต่ขนนกและเศษใบไม้ปลิวไปทั่ว
“หมอนยักษ์ดับปฐพี”
มีหมอนขนาดใหญ่มากๆ หล่นลงมาจากฟ้า ฝ่าเศษขนนกและใบไม้ลงมาทับตัวเอดีน่าซึ่งไม่สามารถหนีได้ทันเพราะมองเห็นไม่ชัด คาเรนซึ่งยืนอยู่บนหมอน กระโดดลงมาบนพื้นเพื่อดูผลงาน
“หวายๆๆ แย่ล่ะซิ ไม่ได้คิดจะทำรุนแรงขนาดนี้ แบบนี้มีหวังตายลูกเดียวแล้วมั่ง” คาเรนสำรวจหมอนยักษ์ก่อนจะดูดกลับเข้าไปในเสื้อ และมองหาเอดีน่า
“อ้าว หายไปไหนแล้ว ก็เห็นอยู่ว่าโดนทับไปแล้วนี้นา” คาเรนทำหน้าสงสัย
“พันธนาการเถาวัลย์”
มีเถาวัลย์พุ่งออกมาจากพื้นและรัดตามข้อมือข้อเท้าของคาเรนในส่วนที่ไม่ได้เป็นเสื้อผ้า
“แย่แล้ว มารัดตรงนั้นก็ใช้หมอนที่เก็บไว้ในเสื้อดันให้ขาดไม่ได้นะสิ” คาเรนทำหน้าซีด
“ทำดิฉันไว้แสบมากนะคะ” พื้นดินแยกตัวออก ปรากฏเป็นเอดีน่าซึ่งนั่งอยู่บนรากไม้ที่กำลังยกตัวขึ้น เอดีน่าลำตาคลอเล็กน้อยเพราะเศษฝุ่น
“จะเอาคืนให้สาสมเลย” รากไม้พันตัวกันจนเป็นรูปกำบันขนาดใหญ่
“ม...ไม่นะคะ คิดจะทำอะไรกับรากไม้อันนั้นคะ” คาเรนเริ่มหน้าถอดสี
“คำตัดสินแห่งป่า” รากไม้รูปหมัดพุ่งเข้าใส่คาเรนอย่างแรงจนพุ่งเข้าใส่กำแพงต้นไม้ที่เอดีน่าสร้างไว้
คาเรนและยัยเปี๊ยกกระแทกกับกำแพงต้นไม้จนทะลุ และทั้งคู่ก็ลงไปนอนกับพื้นใกล้ๆ กัน มินางิเห็นเอดีน่าผ่านรูที่ยัยเปี๊ยกกระเด็นไปจึงรีบเข้าไปหาเอดีน่า
“เป็นไง ชนะแล้วใช่ไหม” มินางิเข้าไปจับมือเอดีน่า
“น่าจะนะคะ โดนไปขนาดนั้น”
แต่เหตุการณ์ยังไม่จบ เพราะทั้งคาเรนและยัยเปี๊ยกลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ทำเอามินางิและเอดีน่าถึงกับอื้ง
“ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจนี้ กะอีแค่หมัดไฟฟ้ารัวๆ แค่นั้น ไม่เจ็บไม่คันซักนิด ไฟฟ้าที่เธอปล่อยออกมาชั้นใช้ช้อนเหล็กเป็นตัวรับกระแสไฟให้ ส่วนหมัดของมนุษย์มันก็แค่ยุงกัด” ยัยเปี๊ยกค่อยๆ ลุกขึ้นมายิ้ม
“รากไม้เมื่อกี้แรงไม่เบาเลยนะคะ นี้ขนาดใช้หมอนที่อยู่ในเสื้อรับการโจมตีแล้วยังกระเทือนมาข้างในนิดนึงแหนะ แต่ก็ไม่ทำให้เกิดแผลเลยซักนิด” คาเรนปัดฝุ่นตามเสื้อคลุมกันหนาว
“อ...อะไรกันเนี้ย ไม่เป็นอะไรเลย” มินางิตาค้าง
“แง...ทำไงดีล่ะคะ คุณมินางิ”
“เอาล่ะ ตาพวกเราโจมตีกลับบางนะ คาเรน” ยัยเปี๊ยกส่งสัญญานให้คาเรน
“ระบำเครื่องนอนหรรษา”
คาเรนหมุนตัวเล็กน้อย แล้วเริ่มออกเต้น มีหมอน หมอนข้าง ผ้านวม ผ้าห่ม เตียง และสารพัดอุปกรณ์เครื่องนอนเป็นจำนวนมากหมุนอยู่รอบๆ ตัวคาเรน ยัยเปี๊ยกชูช้อนยักษ์ขึ้นฟ้าก่อนจะทำการหมุนควงช้อนในมือ เกิดลมพายุขนาดใหญ่รอบๆ ตัวยัยเปี๊ยกและคาเรน พายุเริ่มหมุนตัวแรงขึ้น และเหล่าเครื่องนอนก็หมุนตามลมพายุ และเกิดเป็นแรงเหวี่ยงที่มีพลังทำลายสูงมาก มีเตียงพุ่งออกจากพายุแล้วพุ่งตรงไปยังมินางิกับเอดีน่าด้วยความเร็ว ทั้งสองรีบกระโดดหลบจนเกือบไม่ทัน
“เหวอ นั้นมันพายุบ้าอะไรกัน แล้วที่นอนที่หมุนไปพร้อมกับพายุนั้นอีก ใครโดนลมนั้นดูเข้าไปมีหวังได้ไปกระแทกเข้ากับเตียงพวกนั้นแน่” มินางิเหงื่อตก
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ แบบนี้ก็โจมตีเข้าไปไม่ได้นะสิคะ” เอดีน่าเหงื่อตกตาม
“มินางิ เอดีน่า ได้ยินชั้นไหม” เสียงอายะตะโกนเรียกจากท้องฟ้า
“มีอะไรเหรอ อายะ” มินางิเงยหน้าขึ้นฟ้า
“ชั้นเห็นยัยสองคนนั้นอยู่ในพายุ แสดงว่าตรงกลางมันไม่มีลม ถ้าจัดการตรงกลางได้ ก็หยุดพายุนั้นได้แล้ว” อายะตะโกนบอก
“เข้าว่าอย่างนั้นล่ะคะ” เอดีน่าหันมามองหน้ามินางิ
“งั้นเอาไงดีล่ะ” มินางิพูดก่อนจะเริ่มคิดอะไรบางอย่างออกและกระซิบใส่หูเอดีน่า ตอนแรกที่เธอได้ยินทำเอาหน้าซีด แต่มินางิพูดต่อ เอดีน่าจึงเริ่มเข้าใจ แต่ทำหน้าหวั่นเล็กน้อย
“เออ...แล้วถ้าไม่สำเร็จขึ้นมา เราไม่ตายกันพอดีเหรอค่ะ” เอดีน่าทำไหลตก
“ไม่ต้องห่วงน่า เธอจัดการตามแผนเถอะ ที่เหลือชั้นจัดการเอง” มินางิยิ้ม ทำเอาเอดีน่ากลืนน้ำลายดังอึก
“พายุพิโรจถล่มปฐพี”
พายุขนาดใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวด้วยความเร็วมุ่งหน้ามายังพวกมินางิ
“เข้าใจแล้วนะ ชั้นเชื่อใจเธอนะเอดีน่า” มินางิทำสีหน้ามุ่งมั่น
“เข้าใจแล้วค่ะ” เสียงเอดีน่าดูฝืนๆ
“แค่นี้พวกเราก็ชนะแล้ว” ยัยเปี้ยกควงช้อนให้หมุนอยู่ตลอดเวลาอยู่ภายในพายุ แล้วควบคุมพายุจากด้านในให้พุ่งเข้าใส่มินางิ
“นั้นสินะคะ ตั้งแต่เราสองคนใช้ท่านี้ก็ยังไม่เคยมีใครล้มเราได้เลยซักครั้ง” คาเรนยังคงเต้นระบำปล่อยเหล่าเครื่องนอนออกจากเสื้อและให้เข้าไปหมุนวนอยู่ในพายุ
“เออ...ขอโทษนะ พวกเธอช่วยรับนี้ไว้ที” เอดีน่าที่โผล่ออกมาจากพื้นแล้วยื่นถาวัลย์ที่ปลายผูกด้วยช้อนเหล็กของยัยเปี๊ยกไว้ เธอล็อกตัวยัยเปี๊ยกและคาเรนเอาไว้แล้วเอาปลายช้อนไปแนบไว้กับทั้งคู่
“นี้เธอโผล่มาจากไหนเนี้ย แล้วคิดจะทำอะไร” ยัยเปี๊ยกทำท่าทีตกใจ
“เปี๊ยก ดูด้านนอกสิ” คาเรนบอกให้ยัยเปี๊ยกมองไปนอกพายุ ตรงจุดที่มินางิยืนอยู่
มินางิกำช้อนเหล็กสองอันที่ผูกไว้กับเถาวัลย์ของเอดีน่า มินางิเริ่มยิ้มแล้วรวบรวมประจุไฟฟ้าทั้งหมดในตัว
“พายุถึงแม้จะเข้าจากภายนอกไม่ได้ แต่ถ้ามาจากใต้ดินก็คงไม่มีปัญหาหรอกนะ” มินางิยิ้ม
“นั้นจะทำอะไรนะ” ยัยเปี๊ยกทำหน้าซีด
“ขอโทษด้วยนะ” เอดีน่ารัดตัวยัยเปี๊ยกับคาเรนไว้แน่น
“พลังไฟฟ้าหนึ่งล้านโวลต์!!!”
“อ้ากกกกกกกกกกกกกก!!!!!”
กระแสไฟฟ้าทั้งหมดไหลผ่านช้อนที่มินางิถือไว้ ผ่านเถาวัลย์ตามไปใต้ดิน จนไปถึงปลายอีกด้านที่มีช้อนที่เอดีน่าเอาไปแนบไว้กับยัยเปี๊ยกและคาเรน เกิดกระแสไฟฟ้าแรงสูงพุ่งเข้าช็อตตัวยัยเปี๊ยกและคาเรนเขาอย่างจัง ทั้งคู่สะดุ้งไม่หยุดเพราะแรงไฟฟ้า จนเกิดระเบิดขึ้นภายในตัวพายุ เหล่าเครื่องนอนที่หมุนตามพายุถึงกับกระจัดกระจายไปทั่ว และพายุก็เริ่มสงบตัวลงแล้ว ยัยเปี๊ยกและคาเรนสลบลงคาพื้นเรียบร้อย
“เป็นยังไงบ้าง ท่าไม้ตายของพวกชั้น” มินางิยืนหัวเราะ
“เออ...ทำไมดิฉันถึงไม่โดนช็อตเหมือนสองคนนั้เหรอค่ะ” เอดีน่าถาม
“เธอไม่รู้รึว่า ต้นไม้ก็เป็นฉนวนกันไฟฟ้าได้นะ ถึงแม้จะไม่ทนก็ตาม” มินางิยิ้มให้กับนางไม้ที่ยังคงทำหน้างงอยู่
“แต่แบบนี้พวกเราก็คงจะชนะแล้วสินะ” มินางิก้มมองสาวน้อยตัวเล็กทั้งสองที่นอนกองอยู่กับพื้นไม่ได้สติ
“มินางิ เอดีน่า” เสียงของอายะที่บินต่ำลงมาหาทั้งคู่
“ไงอายะ พวกเราชนะแล้วนะ ทีนี้ก็เข้าไปด้านในคฤหาสน์กันเถอะ” มินางิชูสองนิ้ว
“แต่เราจะปล่อยสองคนนี้ไว้ตรงนี้เหรอ” อายะมองไปที่สาวน้อยทั้งสองที่นอนอยู่กับพื้น
“ช่างเถอะน่า เรารีบเข้าไปในตัวคฤหาสน์กันเถอะ” มินางิรีบเดินไปที่หน้าประตูกำแพงของคฤหาสน์
“รอด้วยสิ” อายะและเอดีน่ารีบเดินตาม
“...ถึงพวกเธอ...จะชนะ...พวกเราได้...แต่คุณเรนริ...ไม่ปล่อยพวกเธอแน่” แล้วยัยเปี๊ยกก็สลบไปอีกครั้ง
อายะ มินางิ และเอดีน่าเข้ามาที่บริเวณสวนของคฤหาสน์ รอบๆ เป็นสวนกุหลาบซึ่งน่าแปลกที่มันเบ่งบานในความมืด แล้วทั้งสามก็ต้องตกใจเพราะประตูทางเข้าของกำแพงได้ปิดลง อายะ มินางิ และเอดีน่าหันไปมองประตูที่ปิด
“พวกเธอเป็นใครกัน” มีเสียงลึกลับลอยมาจากหน้าตัวคฤหาสน์ อายะ มินางิ และเอดีน่าหันไปมองเจ้าของเสียงลึกลับนั้นพร้อมกัน
[
ความคิดเห็น