คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : #4 : Boxes of Memory
*Violence Alert* ระดับ 3
มีฉากที่ใช้ความรุนแรงค่อนข้างหนักหน่วง หากไม่ชอบแนะนำให้หลีกเลี่ยงจ้า :)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในช่วงชีวิตของคนเรา ล้วนมีช่วงเวลาที่ต้องหนีจากอะไรบางอย่าง...
ทิวทัศน์รอบข้างที่มองเห็นอัดแน่นไปด้วยความมืดมิด
ลมหายใจร้อนชื้นไหลออกจากริมฝีปากเผยออ้า... ไม่ว่าจะป่ายปัดแขนไปทางใด
ก็พบเพียงแนวกำแพงแข็งล้อมกรอบทั้งสี่ด้านราวต้องการให้ร่างกายแตกสลาย
ร้อนเหลือเกิน... แคบเหลือเกิน...
อึดอัด...
“พี่คะ...
พี่คะ... หนูขอโทษ หนูขอโทษ...”
น้ำตาหยาดรินลงมาตามพวงแก้มกลมขาว
ผมเส้นละเอียดที่เปียกชื้นเพราะความร้อนจากลมหายใจของตัวเองแนบลู่ไปกับใบหน้า
พันเกี่ยวไปตามแขนหักงอผิดธรรมชาติที่ค้ำยันผนังเหล็กเย็นยะเยือก...
เสียงกรีดร้องปนคร่ำครวญเสียดแทงผสมกับความมืดไร้จุดสิ้นสุดในพื้นที่จำกัด
คนเราหนีเพราะอะไร?
หลายคนหลากเหตุผล...
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และความคิด
แต่เหตุผลเหล่านั้น
ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน
ทันใดนั้นร่างเล็กพลันหยุดหายใจ
ร่างกายที่ถูกบดเบียดหยุดแม้อาการสั่นเกร็ง
เสียง...
เสียงฝีเท้า...
ทันใดนั้นเสียงฉีกขาดของเทปกาวสอดแทรกเข้ามาในโสตประสาทจนเด็กหญิงในกล่องเหล็กสะดุ้งโหยง
ผิวหนังเสียดสีกับพื้นผิวเรียบเย็นของผนังทั้งสี่จนช้ำแดง... เส้นแสงสีขาวสาดผ่านรอยบานพับของตู้เหล็กเข้ามาด้านใน
สว่างจ้าจนต้องหลับตา
อากาศเย็นไหลวนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนเด็กหญิงจะได้สติ เปิดริมฝีปากบางกลืนอากาศและคราบน้ำตาเข้าไปเฮือกใหญ่
“พี่คะ พี่คะ หนูขอโทษ
หนูจะไม่ทำแล้ว หนูจะเป็นเด็กดี... หนูจะทำตามที่พี่สั่งทุกอย่าง! ปล่อยหนูเถอะนะคะ!! ปล่อยหนูออกไปเถอะ หนูขอโทษ
หนูขอโทษ... ฮึก...”
ทว่าเสียงด้านนอกเงียบสนิท
‘ความกลัว’
คิดไปแล้วก็น่าขัน
ที่จุดร่วมและจุดเริ่มต้นของการหนีสามารถจำกัดความได้ในคำเดียว
“...พี่คะ...”
หนี เพราะหวาดกลัวผู้คน... หนี
เพราะไม่รู้ว่าหากต้องเผชิญหน้า อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น...
หรือบางที การหนีของคนเรานั้น...
ทันใดนั้น
บางสิ่งแทรกตัวเข้ามาผ่านรอยแยก... บางสิ่งที่บาง เรียว เย็นเฉียบ...
ส่องประกายแสงวาบวับเข้านัยน์ตา
ร่างเล็กสั่นไหวกระแทกผนังบีบแคบทั้งยังมึนงง
เสียงปึงปังจากการกระทบดังก้องเต็มสองโสตรับเสียงราวถูกตบหน้า...
เด็กหญิงใช้เวลาคืนสติหลายวินาที ก่อนดวงตาทั้งสองจะเบิกกว้าง
โลหิตสีชาดซึมไหล
หยดของเหลวกระทบพื้นของกล่องแคบ และแตกตัวซ่านกระเซ็น
ภาพที่อยู่ตรงหน้า คือใบมีดยาวปักค้างทะลุหัวไหล่
บางที... สิ่งที่เราหนีก็ไม่ใช่อนาคต
เสียงร้องแหลมสูงกรีดกร้าวพร้อมเลือดรินไหลทะลัก
ความเจ็บแล่นพล่านกัดกินทุกเส้นประสาท ขณะด้านนอกยังคงเงียบสงัดไร้สรรพเสียง...
มันคืออดีต
อดีต...
ที่โหดร้ายเกินกว่าจะปล่อยให้คงค้างอยู่ในความทรงจำ...
BOXES OF
MEMORIES.
Story by :
JINN
“ฉันสั่งให้ทำก็ทำสิ!!”
เสียงตวาดดังก้องจากเหนือหัว
ขณะที่กลุ่มผมสีดำชื้นเหงื่อถูกดึงขยุ้มจากด้านหลัง ส่งผลให้กรอบใบหน้าเล็กซึ่งสกปรกไปด้วยฝุ่นผง
คราบน้ำตา และรอยฟกช้ำบวมแดงเงยขึ้นทั้งเสียงสะอึกสะอื้น
“ฉันทำไม่ได้
ฉันทำไม่ได้จริงๆ--”
“หุบปากน่ะ! อย่ามาทำสำออยแถวนี้ ฉันไม่ชอบ!!”
หญิงสาวเจ้าของเสียงตะคอกว่าพลางกระชากผมในกำมือสุดแรง
จนร่างกายของผู้เป็นเจ้าของเรือนผมซึ่งเดิมอยู่ในท่าคุกเข่าเกือบหงายหลังขณะที่กรีดร้องด้วยความเจ็บจนก้องไปทั่วบริเวณชั้นสองของตึกร้าง...
‘ญาณิน’ หญิงสาวร่างโปร่งสูงใช้มือข้างที่ว่างทัดเก็บปอยผมลอนยาวสีน้ำตาลบลอนด์ที่หล่นลงมาปรกใบหน้าของตนออกราวไม่ทุกข์ร้อน
ก่อนจะโน้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับใบหน้าของหญิงสาวร่างเล็กแล้วโปรยยิ้ม เปลี่ยนอารมณ์ร้อนแรงจากการตะคอกเมื่อครู่หน้ามือเป็นหลังมือ
“พิมนภา...
นี่ฉันชักจะหมดความอดทนกับเธอแล้วนะ” ริมฝีปากซึ่งถูกทาบทับด้วยลิปสติกสีสดเอ่ยขึ้นเนิบนาบเย็นยะเยือก
ขณะเล็บที่ขยุ้มเส้นผมสีดำกำแน่นจนจิกลงไปบนหนังศีรษะ
“แค่แตะไอ้ลังกระดาษงี่เง่าตรงหน้าเธอซะ เธอกับฉันก็จะได้กลับบ้านแล้วไง”
พิมนภามองดูลังกระดาษตรงหน้าครู่สั้นๆแล้วรีบเบือนหน้าหนี
ก่อนที่เสียงหัวเราะของผู้แกล้งและผู้มาร่วมสังเกตการณ์อีกสองคนจะดังกังวานใสราวถูกใจ
แล้วผลักหัวเธอด้วยแรงส่งที่มากพอจะทำให้ลงไปนอนกองกับพื้น
เรียกให้ฝุ่นผงฟุ้งกระจายตลบ...
ไซต์ก่อสร้างร้าง
แนวเสาที่กระเทาะจนเห็นเหล็กเส้นหนาทอดตัวอยู่ภายใน
และทิวทัศน์ของท้องฟ้าสีแดงส้มที่เคยมองเห็นผ่านม่านน้ำตากลายเป็นภาพแนวตะแคงทันทีที่
‘ภา’ หรือพิมนภา ล้มลงกระทบกับพื้นคอนกรีตสากกร้าน...
ความเย็นเยียบของลมฤดูหนาวเสียดแทงผิวหลังแทรกสอดผ่านอณูเนื้อผ้า
ขณะที่ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำใส
สะอึกสะอื้นในความอ่อนแอของตนท่ามกลางเสียงเย้ยหยันจากหญิงสาวร่างสูงที่ยืนอยู่รอบๆ
พ่นคำพูดดูถูกเหยียดหยาม แล้วเตะลังกระดาษทรงเหลี่ยมเข้ามาหาเธอที่หมดแรงจะดิ้นรน...
สุดท้ายแล้วมันก็จะจบลง...
อีกสักพักมันก็คงจะจบลง... พิมนภาภาวนาซ้ำไปซ้ำมาในใจ
ขณะยกมือขึ้นปัดป้องสัมผัสน่ารังเกียจของเหลี่ยมมุมจากกล่องกระดาษซึ่งถูกเตะเข้ามากระทบกลางลำตัวให้ออกไป
เธอเกลียดมันเหลือเกิน
ทั้งกล่องนี่...
แล้วก็ผู้หญิงพวกนี้...
“โอ๊ยแก เหนื่อยแล้วอ่ะ”
เสียงบ่นกลั้วเสียงหัวเราะขันจากหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนของญาณินดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะอื่นๆ
และลังกระดาษที่หยุดเคลื่อนไหวหลังจากปล่อยเวลาผ่านไปพักใหญ่...
ก่อนตัวหัวโจกจะยิ้มพอใจ และแค่นหัวเราะในลำคอ
“เออ วันนี้พอแค่นี้แหละ” ญาณินพูดขึ้นเป็นประโยคส่งท้าย
แต่ยังไม่วายใช้เท้าเขี่ยลังกระดาษเข้าไปชิดกับแขนเรียวของร่างที่นอนอยู่กับพื้นอย่างจงใจ
“ยังมีเรื่องสนุกๆให้เล่นกับยัยนี่อีกเยอะ...
เพราะฉะนั้นเก็บแรงเอาไว้ใช้วันหลังบ้างล่ะดีแล้ว”
หญิงสาวทั้งสามคนหัวเราะเย้ยพร้อมกัน
ก่อนเสียงที่เข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ของพิมนภาจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ทำนองชวนกันกลับ และเสียงฝีเท้าที่ดังห่างออกไป...
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีดำยังคงนอนอยู่ในท่านั้นแม้จะรู้ชัดว่าไม่มีใครอยู่รอบๆเพื่อรังแกเธออีกแล้ว...
สองแขนแนบไปกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เส้นผมชื้นเปื้อนฝุ่นผงแผ่ไปรอบข้าง
สองขาขดงอเข้าหาลำตัว สองนัยน์ตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีใสที่รินออกมาเรื่อยๆ
แต่แววตาว่างเปล่า จับจ้องลังกระดาษที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย...
เธอกลัว ‘กล่อง’
กลัวทุกอย่างที่มีลักษณะเหมือนกล่อง
พิมนภาเชื่อว่า นานมาแล้วเธอเคยรู้ว่าทำไมเธอถึงกลัวมัน...
นานมาแล้ว ที่เธอเคยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงแตกต่าง... และทำไมเธอถึงไม่สามารถแตะต้องสิ่งนั้นได้
แต่ตอนนี้
เธอรู้เพียงแต่อยากหนีมันไปไกลๆ
รวมถึง...
ผู้หญิงพวกนั้นด้วย...
หญิงสาวยันตัวเองขึ้นมาจากพื้นคอนกรีตที่ครูดมือเรียวจนเป็นรอยถลอก
ก่อนจะขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่ง
ทอดสายตาลงมองกล่องลังสีน้ำตาลอ่อนซึ่งตะแคงอยู่กับพื้นในสภาพยับเยิน
ฝากล่องทั้งสี่ด้านฉีกขาดบิดเอียง รอยรองเท้าสีดำประทับอยู่ทั่วไป...
ก่อนที่จะทันรู้ตัว เธอลุกขึ้นยืน
หยิบเศษหินคอนกรีตขึ้นจากพื้น และขว้างมันออกไปบดขยี้ตัวกล่องพร้อมเสียงกรีดร้องแหลมสูง
เธอไม่อยากรู้...
ว่าเพราะอะไรเธอถึงเกลียด ถึงกลัวสิ่งที่คนอื่นมองว่าน่าขัน
เพราะสิ่งที่เธออยากทำตอนนี้
คือการโยนทุกสิ่งออกไป
กล่อง... ญาณิน...
ทุกสิ่งที่น่าเกลียดชัง...
เอาทุกอย่างใส่รวมในกล่องแล้วโยนมันทิ้งไป
เหมือนความทรงจำแรกเริ่มของเธอที่เธอหลงลืมไปแล้ว...
...เธอหวังจะทำแบบนั้นได้อีกสักครั้ง...
หญิงสาวทรุดตัวแล้วกรีดร้อง
ท่ามกลางสายลมหนาวยามพลบค่ำที่พัดพาความเจ็บปวดเหล่านั้นออกไป
----------------------------------------------------------------------------------
“ภาาาาา อรุณสวั--”
เสียงพูดดังขึ้นไม่จบประโยค
ก่อนที่หญิงสาวเจ้าของวลีทักทายนั้นนั้นจะเบิกตากว้างแล้วแทบกรี๊ด “ตายแล้วภา! หน้าแกไปโดนอะไรมาเนี่ย?!”
พิมนภาในชุดนักศึกษาซึ่งนั่งจองที่อยู่ก่อนหัวเราะแห้ง
ขณะส่งเสียงบอกให้เพื่อนของตนใจเย็นๆ...
สายตาหลายคู่จากในห้องเล็คเชอร์กว้างจับจ้องมาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรหลังเสียงโวยวายของ
‘อักษร’ – หญิงสาวผมสีไวน์แดงยาวประบ่าซึ่งเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอดังเกินจำเป็น
ขณะที่เจ้าตัวโน้มตัวลงมาสังเกตบาดแผลที่ถูกปิดไว้ด้วยผ้าก๊อซบนใบหน้าของเจ้าของเรือนผมสีดำอย่างตื่นตระหนก
เช้าวันใหม่ยังคงมาถึงพร้อมกับสายลมฤดูหนาวที่พัดผ่าน
ถึงแม้ว่าพิมนภาจะภาวนาให้มันไม่มีวันมาถึงก็ตาม...
“ไม่เอาน่าษร
อย่าเสียงดังสิ...” หญิงสาวร่างบางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
ขณะจับมือของเพื่อนให้ออกห่างจากใบหน้าของตน
ส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามออกอาการฮึดฮัดอย่างขัดใจ
“จะไม่ให้เสียงดังได้ไงล่ะ!
นี่ก่อนออกจากบ้านเธอได้ส่องกระจกรึเปล่าห้ะ
เยินขนาดนี้จะไม่ให้ฉันตกใจได้เหรอ?” อักษรสวนกลับเสียงดังกว่าเดิม
ก่อนจะขมวดคิ้วจริงจัง “บอกฉันมาตามตรงเลยนะ... ญาณินเป็นคนทำใช่ไหม?”
“...เปล่าหรอก
ฉันแค่หกล้มน่ะ”
พิมนภาว่าก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน
ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับจ้องหน้าเธอเขม็งอย่างรู้ทัน
“เธอคิดว่าเธอจะหลอกฉันได้เหรอภา”
หญิงสาวคู่สนทนาเอ่ยปาก ก่อนจะระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด “เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้ว
เรื่องแค่นี้พูดความจริงกันไม่ได้รึไง?”
หญิงสาวร่างบางเงียบไปครู่หนึ่ง
แล้วหลบสายตา
อักษร...
ชื่อนี้แทบจะเป็นชื่อเดียวที่เธอรู้จักในฐานะ ‘เพื่อน’
มาแต่ไหนแต่ไร... หญิงสาวเป็นเพื่อนเธอตั้งแต่สมัยมัธยมต้น และเป็นคนเดียวที่ดูเข้าอกเข้าใจเรื่องอาการของเธอที่สุด
และถึงแม้ว่านิสัยของพวกเธอจะต่างกันมาก
แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคในมิตรภาพเลยแม้แต่น้อย หน้ำซ้ำ
บางทีความเป็นคนใจร้อนมุทะลุของอักษร
ก็กลับช่วยเธอให้พ้นจากพวกที่มารังแกเธอได้เสียอีก... นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายของเธอที่ได้มีอักษรเป็นเพื่อน
ถึงแม้ว่าคนทั่วไปดูจะรังเกียจเธอเสียเหลือเกิน...
แต่เรื่องที่ทำให้หญิงสาวอึดอัดใจเพียงหนึ่งเดียวเกี่ยวกับเพื่อนสนิทของเธอนั้น
ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่หญิงสาวผมสีไวน์ตรงหน้าดูจะรู้เรื่องที่อยู่ในใจเธอไปเสียทุกอย่างเพียงแค่สบตานี่แหละ
อักษรจ้องมองใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามที่ดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเต็มที
ก่อนจะถอนหายใจราวปลงตก
“เอาเถอะๆ
ฉันไม่คาดคั้นเธอแล้วก็ได้น่า เลิกทำหน้าหมาหงอยแบบนั้นซะที”
หญิงสาวบอกปัดอย่างเสียไม่ได้
แล้วยื่นมือไปดึงแก้มส่วนที่ไม่มีบาดแผลเป็นเชิงงอนง้อ “ขอโทษนะที่เมื่อวานไม่ได้ไปส่งเธอที่บ้าน
เธอก็เลย...”
“บ้าเหรอ จะขอโทษทำไม
ไม่ใช่ความผิดเธอซะหน่อย” พิมนภารีบพูดแก้ ก่อนจะหัวเราะเบาๆพลางจับมือที่ดึงแก้มออก
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า
เรื่องปกติอยู่แล้วนี่”
หญิงสาวตอบรับขณะฉีกยิ้มกว้างใส่กันและกัน
ก่อนที่กริ่งซึ่งดังกังวานพร้อมกับร่างของอาจารย์ประจำภาควิชาซึ่งเดินเข้ามาบริเวณหน้าห้องจะทำให้อักษรทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
และหยิบวิชาที่ต้องเรียนขึ้นมาเตรียม
พลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอย่างออกรสจนทำให้ฝ่ายคู่สนทนาหัวเราะสดใสแม้จะเจ็บแผล...
ทว่าในขณะเดียวกัน ดวงตาของอักษรจับจ้องเลยไปยังกลุ่มนักศึกษาด้านหลังที่พึ่งเดินเข้ามา
จับจ้องผมสีน้ำตาลบลอนด์ดัดลอนยาวสยายที่ขยับไหวอย่างเงียบงันโดยไม่ให้เพื่อนผู้ถูกทำร้ายรู้ตัว...
...ญาณิน...
หญิงสาวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ก่อนภาพของขวดน้ำพลาสติกในกระเป๋าเป้ที่ปลายเท้าจะแล่นผ่านเข้ามาในคลองสายตา
--------------------------------------------------------------------------------
“ญาณินนน ทำอะไรอยู่ เร็วๆหน่อยสิ”
“เออแปปนึงงง เสร็จแล้วน่า”
ญาณินตะโกนตอบมาจากหลังประตูห้องน้ำ
ก่อนจะปรากฎตัวออกมาหลังสถานที่ทำธุระส่วนตัวในไม่กี่วินาทีถัดมาเพื่อมาสมทบกับเพื่อนๆทั้งสองที่รออยู่บริเวณนั้น...
ริมฝีปากสีสดจากเครื่องสำอางราคาแพงขยับเปิด-ปิดเพื่อพูดคุยเรื่องทั่วไป
และหัวเราะสนุกสนานกับข่าวลือและคำนินทาต่างๆโดยไม่ใส่ใจสายตาของคนรอบข้าง...
ตอนนี้เป็นเวลาไม่นานนักหลังจากคาบเรียนตอนเช้าในห้องเล็คเชอร์จบลง
จึงทำให้นักศึกษาบนทางเดินมีจำนวนมากเป็นพิเศษ
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต่างมุ่งหน้าไปในทิศทางของโรงอาหารหรือไม่ก็ออกไปบริเวณสวนด้านนอกเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหรือทำกิจกรรมต่างๆ
แต่ไม่ใช่สำหรับญาณินและกลุ่มเพื่อนของเธอที่ผละออกมาเข้าห้องน้ำก่อนเวลาจบคาบเล็กน้อย
จึงทำให้ต้องเดินกลับไปอีกรอบหนึ่งเพื่อหยิบกระเป๋าและเก็บสัมภาระ
สวนทางกับทางเดินของคนส่วนใหญ่อย่างยากลำบาก...
ทว่าดูเหมือนหญิงสาวทั้งสามก็ไม่ได้รีบร้อนมากนัก
และยังคงพูดคุยและหัวเราะเสียงดังไปตลอดทาง จนสามารถฝ่าไปถึงหน้าห้องได้ในที่สุด
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมห้องเล็คเชอร์จึงว่างเปล่าไร้เงาคนเมื่อพวกเธอไปถึง...
ญาณินที่ยังคงหัวเราะลั่นกับข่าวซุบซิบดาราเปิดประตูห้องเข้าไปด้านใน ก่อนจะกวาดสายตาจนพบกระเป๋าแบรนด์เนมใบโตของเธอที่วางอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมท่ามกลางความว่างเปล่าด้านในห้อง
และหันมาส่งสัญญาณกับเพื่อนเป็นเชิงว่าขอตัวสักครู่
“แปปนะพวกแก
เดี๋ยวขอไปหยิบน้องหลุยส์ของฉันก่อน” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
ก่อนหญิงสาวผมน้ำตาลบลอนด์จะแยกตัวออกไปหยิบสัมภาระของตน
เดินขึ้นบันไดต่างระดับกว่าหลายสิบขั้น
แทรกตัวเข้าไปในแถวที่นั่งเบียดแคบจนถึงบริเวณกลางแถว
แล้วคว้ากระเป๋าสีน้ำตาลอ่อนสไตล์เรียบหรูขึ้นมาถือไว้ในมือพลางเตรียมหันหลังกลับ
ทว่าทันใดนั้น
ความผิดปกติบางอย่างกลับทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
ญาณินเหลือบมองลงไปด้านในเยื่อบุกระเป๋าหนานุ่ม
ก่อนจะกรีดร้องสุดเสียง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ไม่นะ!! ไม่นะ!! เครื่องสำอางของฉันนนนนน!!!”
เสียงหวีดร้องที่ดังไปทั่วห้องกว้างทำเอาเพื่อนอีกสองคนซึ่งยังยืนรออยู่บริเวณหน้ากระดานสะดุ้งโหยง
ก่อนจะมองหน้ากันแล้วกุลีกุจอวิ่งขึ้นมาดู...
ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือเพื่อนสาวของพวกเธอซึ่งทรุดนั่งอยู่ที่พื้นบันไดทั้งยังกรีดร้องบ้าคลั่ง
ผมเผ้าที่เคยอยู่ทรงยุ่งเหยิงขณะที่นิ้วมือเรียวคว้าเครื่องสำอางชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมาจากกระเป๋าใบโปรด
ของเหลวสีใสปนสีสันจากอายแชโดว์และเเป้งพัฟเจิ่งนองทั่วพื้นตามจุดที่เครื่องสำอางวางอยู่
และโดยเฉพาะภายในกระเป๋าที่ท่วมท้นไปด้วยน้ำจนซึมไหลออกด้านใต้...
หญิงสาวทั้งสองเข้าใจได้ทันที
ในตอนที่พวกเธอไม่อยู่...
มีใครบางคนแอบราดน้ำใส่กระเป๋าถือของญาณิน
จงใจทำลายเครื่องสำอางราคาแพงซึ่งรู้กันดีว่าเป็นของรักของหวงของหญิงสาวจนย่อยยับ
“ไม่นะ ไม่นะ... ลิปสติกอันนี้ของโปรดด้วย...”
“เฮ้ยแก ใจเย็นเว้ย--”
“จะใจเย็นได้ยังไง?!! พวกแกก็รู้นี่ว่าของพวกนี้มันแพงแค่ไหน!!”
ญาณินหันกลับมาตวาดแหว ทำเอาเพื่อนสาวสองคนที่กำลังจะเข้ามาปลอบสะดุ้งเฮือก
“ต้องเป็นยัยนั่นแน่ๆ... ยัยอักษร! หนอย
ฉันว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมาแก้แค้นให้ยัยโง่พิมนภา แต่ไม่คิดว่าจะกล้าขนาดนี้”
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างคับแค้นใจ
ขณะที่เพื่อนทั้งสองยังคงมีท่าทางลังเลเงอะงะ ไม่รู้ว่าควรปลอบ
หรือว่าควรจะพูดอะไรในทำนองไหนดี...
แหงล่ะ
ใครๆก็รู้ว่าญาณินโมโหร้ายแค่ไหน ขืนพูดจาไม่เข้าหูขึ้นมา... มีหวังไม่ได้อยู่เป็นสุขไปอีกสักพักแน่
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของหญิงสาวที่กำลังอยู่ในอาการโมโหสุดก็ขีดจับจ้องไปบริเวณจุดว่างเปล่าเบื้องหน้าราวจะแผดเผาพื้นที่บริเวณนั้นให้มอดไหม้ด้วยเพลิงพิโรธ
ในหัวสมองปนเปไปด้วยความคิดมากมายหลายอย่าง... ทั้งภาพของเครื่องสำอางที่ละลายไหล
ภาพของหญิงสาวผมสีไวน์แดงที่กำลังราดน้ำลงในกระเป๋าของเธอด้วยสีหน้าสะใจ
ซึ่งเธอสามารถจินตนาการได้แม้จะไม่เห็นกับตา
ภาพของการแกล้งพิมนภาเมื่อวานบนชั้นสองของตึกร้างท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มแสด
ภาพที่พิมนภาร้องไห้ฟูมฟายกลับไปฟ้องอักษรเพื่อนสนิทให้มาแก้แค้นเธอ พิมนภา...
พิมนภา...
ใช่... ยัยพิมนภา...
ญาณินคิดทั้งยังกำแท่งลิปสติกสีโปรดในมือแน่น
ทั้งหมดเป็นเพราะมัน
“คืนนี้พวกแกว่างกันไหม?”
เสียงที่จู่ๆก็เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาวซึ่งกำลังโมโหสุดขีดทำเอาเพื่อนสาวที่กำลังปรึกษากันทางสายตาสะดุ้งเฮือก
ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากน้ำเสียงนั้น...
ทั้งสองก็ถึงกับเกี่ยงกันเอ่ยปากตอบทางสายตา
“อ- อืม
พวกเราว่างอยู่แล้วล่ะ ทำไมเหรอ...?”
ญาณินเงียบไปพักหนึ่ง
ก่อนรอยยิ้มบางเฉียบที่ชวนให้หนาวเหน็บยิ่งกว่าคำพูดเมื่อครู่จะถูกเรียกขึ้นมาแตะบนริมฝีปากสวย...
ฉันไม่ยอมสูญเสียของรักของหวงอยู่คนเดียวหรอก
เธอทำอะไรไว้กับฉัน
เธอก็ต้องได้รับมันในเบบเดียวกัน พิมนภา...
“ไปทำเรื่องสนุกๆกันเถอะ...”
หญิงสาวละคำพูดไว้เพียงแค่นั้น
แล้วแค่นหัวเราะเยียบเย็น
----------------------------------------------------------------------------------
ความมืดมิดของค่ำคืนฤดูหนาวเข้าปกคลุมท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้งหนึ่ง...
รัตติกาลไร้แสงดาวแผ่ปกคลุมทั่วฟ้าราวผืนผ้าห่มที่โรยตัวลงเหนือพื้นโลก
ราตรีสงัดเสียงของของยามดึกแผ่ไอเย็นไปรอบๆราวจะกลืนความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่เคยคงอยู่จนหมดสิ้น...
ทว่าท่ามกลางความมืดข้นเข้มเหล่านั้น
แสงจันทร์อ่อนบางยังคงสาดส่องจนเห็นเค้าโครงของบ้านเดี่ยวขนาดสองชั้นหลังหนึ่งที่ตั้งแยกห่างออกจากกลุ่มบ้านหลังอื่นๆ...
ผนังบ้านที่เริ่มมีสีถลอกเป็นหย่อมๆซ่อนสีทึมเทาของตนไว้ใต้หลังคาบ้านที่ยื่นชายคาออกมายาวเกินจำเป็น
หน้าต่างทุกบานปิดลงกลอนสนิท
และปกคลุมอีกชั้นด้วยผ้าม่านหนาซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไรกันแน่
เช่นเดียวกับประตูเลื่อนบริเวณเฉลียงซึ่งเป็นทางเข้าบ้านที่ซ่อนตัวในเงาของหลังคาบ้าน...
สองข้างของตัวบ้านขนาบด้วยสวนต้นไม้ขนาดกลางที่น่าจะขาดการดูแลพอสมควร
จึงทำให้ใบไม้แห้งกรอบทั้งสีเหลืองและสีน้ำตาลโปรยตัวลงห่มคลุมบริเวณหน้าบ้าน
ส่งเสียงเสียดสีกรอบแกรบยามลมพัดราวกับต้องการแข่งกับเสียงจิ้งหรีดที่แฝงตัวอยู่ตามพุ่มไม้...
ญาณินเหยียบลงบนพรมใบไม้แห้งเหล่านั้น
ก่อนจะขมวดคิ้วหงุดหงิดกับเสียงลั่นดังเกินจำเป็นจากบริเวณใต้ฝ่าเท้า
ตอนนี้เธออยู่หน้าบ้านของพิมนภา
“ให้ตายสิ...
เป็นบ้านที่บรรยากาศน่ารังเกียจไม่ต่างกับเจ้าของจริงๆ”
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์บ่นพึมพำ
ขณะเสียงดังจากการเหยียบใบไม้แห้งที่มากขึ้นดังมาจากด้านหลังพร้อมร่างของหญิงสาวผู้ช่วยอีกสองคนที่เดินตามหลังมาอย่างเก้ๆกังๆ
ราวกับหวาดกลัวว่าเสียงรบกวนใต้ฝ่าเท้าของตนจะปลุกชาวบ้านในละแวกนั้นให้ตื่นในเวลาเกือบตีสองเช่นนี้...
ญาณินลอบผ่อนลมหายใจฮึดฮัดเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าไม่มั่นใจของผู้ร่วมขบวนการทั้งสองราวกลัวความผิด
ขณะที่เพื่อนสาวทั้งสองคนนั้นกระชับเป้ใบใหญ่บนหลังให้หิ้วได้ถนัดขึ้น
แล้วก้าวเข้ามาประชิดตัวหญิงสาวผู้นำทางได้ในที่สุด
หญิงสาวผมบ๊อบสั้น...
หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการจ้องมองภาพของบ้านหลังสูงตรงหน้าแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก
“ญาณิน... แกเอาจริงเหรอเรื่องที่ว่า--”
“เอาจริงสิ”
ญาณินตอบตัดบทด้วยน้ำเสียงกึ่งไม่พอใจ “อย่ามาปอดตอนนี้น่า พั้นช์”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพั้นช์
หรือ ‘ภวิตรา’ ทำท่าจะค้าน
ทว่านิ้วมือเรียวของ ‘เมรินทร์’ –
ร่างสูงบางเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มประบ่าเอื้อมมาจับหัวไหล่ของเธอไว้เสียก่อนเป็นเชิงห้ามปราม...
ภวิตราหันไปสบตากับเมรินทร์เล็กน้อย
ก่อนจะจับสารที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมาทางสายตาได้ว่า ‘พูดอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว’
หญิงสาวผมสั้นหันกลับไปมองบ้านหลังตรงหน้าแล้วอดตัวสั่นไม่ได้
ถึงเธอจะเป็นอันธพาลแกล้งคนมาเยอะ
แต่เรื่องแบบนี้มัน...
“เมย์ หยิบขวานมาหน่อย”
เสียงคำสั่งของญาณินที่โพล่งขึ้นท่ามกลางความมืดทำเอาเมรินทร์แทบตั้งตัวไม่ติด
แต่ก็กุลีกุจอเปิดกระเป๋าเป้อย่างหนาใบใหญ่ที่ ภวิตราแบกสะพายอยู่แล้วหยิบอุปกรณ์ที่ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มสั่งออกมา...
หญิงสาวแอบสบตากับร่างที่แบกเป้ซึ่งยังตัวสั่นงันงกอย่างเห็นอกเห็นใจ
แล้วส่งขวานขนาดเหมาะมือให้หญิงสาวผมสีน้ำตาลบลอนด์
ญาณินมองสีหน้าหวาดกลัวของเพื่อนขณะรับแท่งไม้หนาซึ่งมีปลายเป็นใบมีดคมกริบขึ้นมาถือ
แล้วส่งสายตาดูถูกขณะแค่นหัวเราะ
“อะไรกัน
เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องกลัวเลย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
ดวงตาคมกวาดมองสีหน้าของเพื่อนสาวที่ต่างมองกันและกันเป็นเชิงปรึกษา... “แกคิดว่าอย่างยัยพิมนภา...
ถ้าลองเราขู่มันซักหน่อย จะกล้าเสนอหน้าไปแจ้งตำรวจงั้นเหรอ?”
“ต-แต่ ญาณิน...
ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ” ภวิตราโพล่งขึ้นในท้ายที่สุด
หลังเถียงกับเมรินทร์ทางสายตาอยู่นานสองนานว่าจะพูดดีหรือไม่ “ที่แกเสียหายมันก็แค่เครื่องสำอางเองนะ
แต่ที่พวกเรากำลังจะทำนี่มัน--”
“หุบปากน่ะ!” ญาณินตวาดเสียงแหลม
แววตาวาวโรจน์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดราวถูกแทงเข้ากลางใจ “ ‘แค่’ เครื่องสำอางเหรอพั้นช์? พูดมาได้นะ!! แกก็รู้ว่ามันมีค่าต่อฉันขนาดไหนไม่ใช่เหรอ?”
หญิงสาวทั้งสองคนสะดุ้งแล้วรูดซิปปากสนิท...
มองตากันเองเผื่อว่าจะมีใครกล้าคัดค้านอะไรต่อ
ญาณินมองอาการต่อต้านนั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ก่อนจะหรี่ตา
“เมย์... พั้นช์...” เสียงเรียบเย็นเรียกชื่อเพื่อนของตนด้วยแววตาแบบที่คนทั้งคู่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ก่อนหญิงสาวจะเอ่ยปากต่อด้วยประโยคที่สะกดเส้นเลือดทั่วร่างให้เย็นเฉียบ... “พวกแกจะช่วยฉันทำลายยัยพิมนภา
...หรือจะให้สิ่งที่ฉันทำกับยัยพิมนภาทั้งหมดมาลงกับพวกแกแทน?”
ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา
ญาณินมองสีหน้าซีดเผือดของฝ่ายคู่สนทนา
ก่อนจะยิ้มเย็น
“ถ้าไม่... ก็ไปกันได้แล้ว”
หญิงสาวเอ่ยปากเพียงเท่านั้น
ก่อนจะสาวเท้าไปชิดประตูเลื่อนเหล็กสีดำสูงตระหง่าน แล้วเงื้อขวานสับลงบริเวณแม่กุญแจจนขาดตกลงกับพื้น
----------------------------------------------------------------------------------
กึง!
ร่างบางของหญิงสาวสะดุ้งเฮือกทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม...
พิมนภายกหมอนขึ้นปิดหูแน่นราวไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น สัมผัสของผ้าปูที่นอนยับย่นเสียดสีกับผิวหนังผ่านชุดนอนที่เป็นเพียงผ้าคลุมบางทันทีที่เธอขดตัวอย่างหาความอบอุ่น
ความมืดของห้องนอนบนชั้นสองกดทับบนผ้าห่มหนา
ขณะเสียงนั้นยังดังต่อเนื่อง
กึง!
กึง!
อะไร...
อะไร... ใครกัน
...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...
เส้นผมสีดำแผ่สยายภายใต้ผ้าห่มที่ถูกยกขึ้นมาคลุมโปงจนมิดศีรษะขณะหญิงสาวเริ่มสะอื้นไห้...
เธอไม่รู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรอยู่ข้างนอกนั่น
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้ และทำไม...
รู้แต่ว่าเธอต้องรีบหนีไป...
รีบหนีไปเท่านั้น
...เธอทนไม่ไหวกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไปแล้ว...
ทันใดนั้น
หญิงสาวเจ้าของบ้านก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อเสียงที่แตกต่างไปจากเมื่อครู่ดังขึ้น—
เสียงอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอนึกถึงเสียงโลหะตกกระทบพื้นกระเบื้อง—
ตามด้วยเสียงเลื่อนเปิดบานประตูหน้าบ้านที่ลั่นเสียดหูจากรางเหล็กขึ้นสนิม...
เสียงฝีเท้ากุกกักดังขึ้น
ตามด้วยเสียงตวาด
“ไม่มีใครอยู่หรอกน่า!
พ่อแม่ของยัยนั่นมันตายไปหมดแล้ว จะกลัวอะไรกันนักหนา!!”
สิ้นเสียงนั้น
เลือดในกายของพิมนภาเย็นเฉียบ
...ญาณิน...?
กึง!!!
เสียงประหลาดดังขึ้นอีก
คราวนี้ตัวบ้านถึงกับส่งผ่านแรงสั่นสะเทือนขึ้นมาแผ่วเบาราวแผ่นดินไหว...
ทว่าหญิงสาวเจ้าของบ้านกลับแทบไม่ได้ยินอะไร ราวกับในหัวมีเสียงหวีดวี้ดังก้อง
ญาณิน...
ยัยนั่นอีกแล้วเหรอ...
ไม่เอาแล้ว... ไม่เอาอีกแล้ว
“ออกไปนะ ออกไป๊!!!”
พิมนภากรีดร้องแหลมสูงทั้งเอามือปิดหูแน่น
ผ้าก๊อซบนใบหน้าเสียดสีกับบาดแผลทันทีที่เธอบิดตัวดีดดิ้นอยู่บนเตียงนุ่ม ความเจ็บปวดส่งผ่านลงมาราวถูกกรีดเข้าขั้วหัวใจ...
ต้องทำยังไง... ต้องทำยังไง
...ต้องหนีไปทางไหนถึงจะพ้นจากพวกมันได้...
กึง!
กึง! กึง!!
‘ภา...
ฟังแม่นะ’
จู่ๆเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว...
ประโยคที่เธอจำแทบไม่ได้ว่าเคยได้ยินจากไหน
ฉับพลันนั้น
เสียงที่กำลังดังรบกวนอยู่ในบ้านกลับฟังดูคุ้นเคยจนชวนให้ขนลุก
กึง!
กึง! กึง!!
‘ลูกไม่มีทางหนีจากความจริงไปได้ตลอดหรอกจ้ะ’
พิมนภาเงี่ยหูฟัง
กึง!
กึง! กึง!!
‘แต่แม่มีทางนึง...’
หญิงสาวหยุดหายใจ
ขณะรู้สึกว่าความทรงจำบางอย่างในหัวถูกปลดล็อค
...มีทางนึงที่จะช่วยเธอได้...
----------------------------------------------------------------------------------
กึง!!
ปลายขวานคมสับลงกลางโต๊ะไม้อย่างแม่นยำ...
เศษไม้แตกกระจาย แผ่นกระดานทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหักครึ่ง
ตุ๊กตาเซรามิกประดับโต๊ะและแจกันดอกไม้ตกกระทบพื้นเบื้องล่าง
แตกกระจายไปคนละทิศทาง...
ญาณินหายใจหอบ
ก่อนจะออกแรงสับซ้ำ
ภวิตราและเมรินทร์ที่ได้แต่ยืนมองอาการอาละวาดอย่างบ้าคลั่งของหญิงสาวตรงหน้ามาตั้งแต่เมื่อครู่มองหน้ากันอย่างไม่มั่นใจอีกครั้ง
ขณะสภาพรอบข้างถูกรายล้อมไปด้วยเศษซากปรักหักพังของสิ่งของต่างๆซึ่งแสงจากหลอดนีออนกลางห้องส่องสะท้อนให้เห็น...
ไม่ว่าจะเป็นซากทีวีที่ล้มคว่ำจนหน้าจอแตกกระจาย พรมเช็ดเท้าหนานุ่มบริเวณกลางห้องที่แฝงไปด้วยเศษกระจกและกระเบื้องคมกริบ
เศษแก้วน้ำ โต๊ะ เก้าอี้ และรูปภาพแขวนผนังที่แทบไม่เหลือสภาพเดิมในโซนฝั่งซ้ายที่แบ่งไว้สำหรับเป็นโต๊ะรับประทานอาหาร...
ส่วนที่ดูจะเหลือรอดเป็นส่วนเดียวภายในห้องนี้คงจะเป็นกองหนังสือตั้งสูงหลายตั้งที่วางอยู่ทางขวาของหน้าต่างบานเล็กเท่านั้น
...ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคิดว่าคงจะอยู่ในสภาพนั้นได้อีกไม่นานถ้าพวกเธอไม่ทำอะไรสักอย่าง...
แต่จะทำอะไรได้ล่ะ?
คำถามนั้นผุดขึ้นเป็นรอบที่ร้อย ขณะเสียงสับขวานหยุดชะงักลงฉับพลัน
ญาณินหันกลับมาทางเพื่อนสาวของตนที่ยืนนิ่งมาตั้งแต่ต้น
ก่อนจะขึ้นเสียงตะคอก
“มัวยืนบื้ออะไรอยู่ห้ะ? รีบหยิบขวานออกมาแล้วก็มาช่วยฉันพังไอ้ของพวกนี้ให้หมดสิ!!!”
แววตากร้าวของหญิงสาวสาดไปยังคู่สนทนาทั้งสอง
ก่อนท่าทางเก้กังลังเลที่ได้รับกลับมาจะทำให้โมโหขึ้นไปอีก “ฉันพูดน่ะได้ยินไหม?!!”
ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นครู่สั้นๆ
ก่อนภวิตราจะกระทุ้งศอกใส่เพื่อนสาวอีกคนเป็นเชิงให้ออกหน้าบ้าง
เมรินทร์เซไปเล็กน้อย
ก่อนจะกลืนน้ำลายเอื้อก
“คือ... ญาณิน...
ฉันกับพั้นช์ปรึกษากันว่า...” หญิงสาวผมประบ่าละล่ำละลัก “เรา...
เราหยุดตอนนี้ยังทันนะแก...”
สิ้นคำพูดนั้น หญิงสาวฝ่ายตรงข้ามหยุดชะงัก
ก่อนเปลี่ยนท่าทีมามองคนที่เหลือด้วยสายตานิ่งงัน...
หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ยุ่งเหยิงเขวี้ยงขวานในมือจนตกกระทบพื้นเสียงดังแกร้ง
แล้วสาวเท้าเข้าไปคว้าคอเสื้อของเมรินทร์และกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง
“หยุด...?” ญาณินเอียงคอ ก่อนจะแค่นหัวเราะ
“แกกล้าสั่งให้ฉันหยุดเหรอ เมรินทร์!!”
เสียงตอนท้ายของประโยคดังปนเปไปกับเสียงกระแทก
และเสียงกรีดร้องอย่างตระหนกของภวิตราเมื่อหญิงสาวร่างโปร่งลากคอเสื้อของเพื่อนสาวแล้วเหวี่ยงไปชนกับตั้งหนังสือกองสูงจนถล่มครืน...
เจ้าของเรือนผมบ๊อบสั้นรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของร่างที่ถูกฝังอยู่ในกองหนังสือพลางตระหนักได้ชัดว่าอารมณ์ของญาณินตอนนี้อยู่ในสภาพเกินต่อรอง
เธอถามเมรินทร์ว่าเจ็บตรงไหนหรือไม่ ก่อนได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวเบาๆ
ในขณะเดียวกัน
หญิงสาวผู้กระทำเพียงแต่มองดูด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ถ้าคิดว่าจะไม่ช่วยก็หุบปากไป
ทั้งคู่นั้นแหละ” ญาณินเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องมาขวางฉัน--”
ทันใดนั้นประโยคคำพูดกลับหยุดชะงัก
เมื่อสายตาคมพลันเหลือบไปเห็นร่องรอยของอะไรบางอย่างโผล่พ้นออกมาจากกองหนังสือพังถล่ม...
ร่างโปร่งสูงมองสำรวจอยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะส่งสัญญาณให้ภวิตราลากเพื่อนของเธอให้หลบไปขณะที่สาวเท้าเข้าไปใกล้
ก้มตัวลงนั่งยองๆ
แล้วลากปลายนิ้วที่สีทาเล็บถลอกจากการออกแรงมากไปตามแนวรอยต่อสีดำสนิท...
...ห้องใต้ดิน...?
“เห... ชักน่าสนุกแล้วสิ”
ญาณินพึมพำทั้งรอยยิ้ม
ก่อนจะคลำหาสลักกลอนจากใต้ภูเขาหนังสือ และดึงเปิด
ลมร้อนอับชื้นตีขึ้นมาจากภายใน
ขณะเส้นทางข้างหน้าเป็นบันไดคอนกรีตสีทึมเทาทอดยาวไปสู่ความมืดไร้ที่สิ้นสุด...
หญิงสาวผมสีน้ำตาลบลอนด์ลากมือไปตามผนังพลางใช้ไฟแช็คในมือส่องนำทางขณะเดินลึกลงไปด้านล่างเรื่อยๆ
ก่อนจะพบว่าบันไดที่เห็นมีเพียงไม่กี่สิบขั้นเท่านั้นหลังจากที่เหยียบลงมาบนพื้นห้องซึ่งแผ่กว้างออกไปเบื้องหน้า...
กลิ่นเหม็นเน่าปนกลิ่นอับชื้นลอยอวลเตะจมูก ในขณะที่แสงจุดเล็กๆจากเปลวไฟในมือส่องให้เห็นเพียงแค่บริเวณแคบๆซึ่งมีเพียงพื้นผิวคอนกรีตสากกร้านปกคลุม
ทำให้ดวงตาคมของญาณินสอดส่ายหาสวิตซ์ไฟตามผนังที่ควรจะมีท่ามกลางเสียงฝีเท้าและเสียงเรียกของเพื่อนที่ตามมาสมทบจากทางบันได
เมรินทร์และภวิตราเดินลงมาถึงข้างล่างพอดีกับที่ฝ่ายซึ่งลงมาก่อนเจอสวิตซ์ไฟเข้าพอดี...
ญาณินกดเปิดสวิตซ์หนึ่งเดียวนั้น ก่อนแสงไฟจากหลอดนีออนกระพริบถี่ และสาดแสงไปทั่วห้อง
เผยให้เห็นภาพที่สะกดจนทุกคนหยุดชะงัก
“เอ๋... ไม่จริงน่า...”
หญิงสาวผมบ๊อบสั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงระรัว
“ก็ไหนว่ายัยนั่นกลัวกล่องมากไม่ใช่เหรอ...?”
...ก็นั่นน่ะสิ...
ญาณินตอบคำถามนั้นในใจด้วยความสับสนงุนงงพอกัน
ขณะจ้องมองภาพตรงหน้า...
ณ
บริเวณลึกที่สุดของผนังหนังห้องทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสปรากฎกล่องมากมายหลายขนาดเรียงซ้อนลดหลั่นกัน
ไล่ตั้งแต่กล่องกระดาษลัง กล่องรองเท้า กล่องของขวัญสีสันสดใส
ไปจนถึงกล่องขนาดเท่าทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า... จนหยุดลงที่ตู้เหล็กสีฟ้า ณ
จุดปลายสุดของมุมห้องด้านซ้าย ซึ่งสะดุดสายตาเป็นพิเศษด้วยเทปกาวสีเหลืองซีดที่พันธนาการอยู่โดยรอบ
บางจุดหลุดลุ่ย บางจุดแห้งกรอบ...
หญิงสาวร่างโปร่งปิดไฟแช็กในมือขณะเดินเข้าไปสำรวจดูด้วยความสับสน
เรียกให้เพื่อนสาวอีกสองคนเดินลึกเข้าไปเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามร่วมกันอย่างเสียไม่ได้...
ญาณินเดินตรงไปที่ตู้เหล็กสีฟ้า
ขณะที่เมรินทร์เปิดกล่องรองเท้าสีเหลืองอ่อนดู
ก่อนวินาทีต่อมาจะกรีดร้องสุดเสียงจนล้มพับลงไปกับพื้น
ข้างในนั้นคือ...
‘แม่จะสอนวิธีหนีจากความเจ็บปวดช่วงสั้นๆให้นะ...’
‘ทุกครั้งที่มีอะไรทำให้ลูกต้องเศร้า..’
ตุบ...
เสียงลากของเบาๆลอยแผ่วมาจากช่องบันได
ทว่าเสียงกรีดร้องและท่าทางตื่นตระหนกตกใจของเมรินทร์กลบเสียงนั้นไปเสียสิ้น...
ปลายนิ้วเรียวสั่นเกร็งขณะชี้ตรงไปยังกล่องที่ถูกเปิด
ฝากล่องหล่นแนบไปกับพื้นในจังหวะเดียวกับที่ญาณินและภวิตราวิ่งเข้ามาดู และเบิกนัยน์ตากว้าง
กลิ่นเหม็นเน่าตลบฟุ้ง
‘เอาสิ่งนั้นเก็บใส่กล่องไว้
จากนั้นปิดฝา แล้วเอาไปซ่อนไว้’
‘เพื่อที่จะลืมความเจ็บปวดนั้นไปยังไงล่ะ...’
สิ่งที่อยู่ในกล่อง
คือซากแมวดำเปื้อนเลือด...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องของภวิตราและเมรินทร์ประสานกันทันทีที่ไฟในห้องดับลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ญาณินได้แต่จนคำพูดขณะที่ภาพของแมวดำเมื่อครู่ยังติดตา...
สมองประมวลผลถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
ถ้าในกล่องนี้
มีแมวที่ถูกฆ่า...
แล้วกล่องอื่นๆที่เรียงรายอยู่เต็มห้องนั่นก็คือ...?
ตุบ...
ครืด...
เสียงบางอย่างเข้ามาใกล้ผสมกับเสียงกรีดร้องของเพื่อนสาวทั้งสองจนฟังไม่ได้ศัพท์
หญิงสาวร่างโปร่งสูงเริ่มหัวเสียอยู่ในความมืดเข้มข้น
เปิดปากกำลังจะตวาดให้เสียงกรี๊ดเสียดหูนั้นเงียบลง
ทว่าจู่ๆ
เสียงกรีดร้องก็เงียบลงเสียเอง
พร้อมๆกับเสียงของอะไรบางอย่างที่ดังแทรกขึ้น
คล้ายๆกับเสียง...
ฉับ-
“ไง... ญาณิน”
เสียงพิมนภาดังขึ้น
ก่อนคมขวานจะฟันลงกลางลำคอ
----------------------------------------------------------------------------------
แสงไฟนีออนในห้องใต้ดินสว่างขึ้นอีกครั้ง
หลังผู้เป็นเจ้าของบ้านกดเปิดสวิตซ์ไฟพร้อมเสียงถอนหายใจยาว... พิมนภายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหยดเหงื่อผสมคราบเลือดที่ติดแต้มอยู่เต็มใบหน้า
พลางก้มลงมองชุดนอนสีขาวบางที่บัดนี้ย้อมด้วยสีแดงและเศษซากเล็กๆของก้อนเนื้อสีชมพูอมแดงด้วยสายตาเสียอกเสียดาย
“ให้ตายสิ...
คงต้องทิ้งอย่างเดียวแล้วล่ะมั้งอย่างนี้”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา
แล้วหันกลับไปมองเศษชิ้นส่วนมนุษย์สามร่างซึ่งถูกวางทิ้งไว้กลางห้องข้างๆกับกล่องเปล่าใบใหม่และขวานของญาณินที่เธอลากลงมาด้วยเมื่อครู่...
น่าเสียดายที่หาได้แค่กล่องขนาดพอๆกับเตาอบเครื่องหนึ่ง
การจะยัดคนสามคนเข้าไปพร้อมกันจึงเป็นเรื่องลำบากน่าดู...
“...คงต้องหั่นให้ละเอียดอีกซักหน่อยล่ะนะ—
หืม?” พิมนภาครุ่นคิดพลางเกาหัว ก่อนจะเหลือบไปเห็นดวงตาของหญิงสาวผมน้ำ-
ตาลบลอนด์ที่ยังเบิกค้าง ติดอยู่ในเบ้าศีรษะซึ่งกลิ้งหลุนอยู่กับพื้น...
พิมนภาขมวดคิ้วหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปหยิบขวานขึ้นมาอีกรอบ แล้วสับผ่าลงกลางนัยน์ตา
“เลิกมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นได้แล้ว
ยัยคนน่ารังเกียจ!!”
เสียงสับขวานดำเนินต่อไป
พร้อมเศษชิ้นส่วนศีรษะแหลกเป็นชิ้นปลิวว่อน
‘อย่าลืมนะ
ภา... ว่าลูกหนีความจริงไม่ได้ตลอด’
‘กล่องพวกนั้น...
ในวันที่ลูกพร้อมจะเผชิญหน้า’
‘ลูกต้องเข้มแข็งพอที่จะเปิดมันออกมา
โดยไม่เจ็บปวดอีก...’
หญิงสาวผมดำโยนชิ้นส่วนเครื่องในชิ้นสุดท้ายลงในกล่องใบล่าสุด
ก่อนจะปิดผนึกด้วยเทปกาว และหันมองกล่องต่างๆที่อัดแน่นอยู่เต็มมุมห้อง—
กล่องที่เธอเปิดมันขึ้นมาครั้งเดียวตอนที่ใส่ของลงไป และลืมเลือนมันเสียสิ้น
เพราะฉะนั้น การจะให้เผชิญหน้าอะไรนั่น...
“หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ แม่...”
ไม่ว่าจะเป็นกล่องใบไหน...
กล่องที่เธอฆ่าสัตว์เลี้ยงตัวแรก...
ซึ่งเธอไม่อาจรับผิดชอบมันได้
กล่องที่เธอฆ่าแมวจรจัด...
ที่ชอบแอบเข้ามาในบ้าน แล้วขโมยอาหารกิน
กล่องที่เธอฆ่าแมลงทั้งหลาย...
ซึ่งกระจายตัวทำรังอยู่ในบ้านอย่างน่ารำคาญ
และกล่องที่เธอฆ่า...
น้องสาวตัวเอง
ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ล่วงรู้ความลับทั้งหมดของเธอ...
ไม่ว่าจะเป็นกล่องใบไหน...
ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงอีกแล้วทั้งนั้น
“...พี่ขอโทษที่พี่ขี้ขลาดเกินไปนะ
นารา...”
หญิงสาวหันไปมองตู้เหล็กใบนั้นและทิ้งข้อความสุดท้าย
ก่อนจะดันกล่องใบใหม่เข้าไปปิดหน้าบริเวณนั้น— ณ
ที่ที่น้องสาวของเธอหลับใหลอยู่...
เมื่อปิดฝากล่อง
ความเจ็บปวดทั้งหมดจะหายไป
เมื่อออกไปจากบานประตูของห้องใต้ดินนี้
ทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ความฝันเลือนลาง และถูกหลงลืมไปในตอนเช้า...
ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกหวาดกลัว ‘กล่อง’ ทุกชนิด เพื่อป้องกันตนเองจากความทรงจำอันเลวร้ายที่อาจหวนกลับมา
และเมื่อเป็นเช่นนั้น...
ความสุขของเธอก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่
คือการหลีกหนีจากความจริงที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็ตาม...
“ราตรีสวัสดิ์ ทุกคน...”
เสียงเอ่ยลาดังแผ่วเบา
ก่อนบานประตูของห้องใต้ดินจะถูกปิดผนึกลง ...อีกครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------THE
END.----------
ช่วงจินต์ Talk Talk
ไม่มีอะไรจะพูดมากค่ะ 5555 เเค่จะเเจ้งให้ทราบเล็กน้อยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จินต์ส่งเข้าเเข่งขันในโครงการ "ตะวันส่องอะวอร์ด ครั้งที่ 9" ในหัวข้อ หนี นะคะ เเต่ก็... ไม่ได้รางวัลติดมือกลับมาค่ะ 555 #เอวัง เพราะฉะนั้นหากการที่นำเรื่องสั้นมาลงในจุดนี้ผิดกฏที่ทางสำนักพิมพ์กำหนด สามารถเเจ้งให้จินต์ลบตอนนี้ได้ในคอมเม้นต์เลยนะคะ :) ที่เอามาลงเพราะคิดว่าถ้าไม่ชนะน่าจะเอามาเผยเเพร่ได้ใช่ไหมน้อ.........
ความคิดเห็น