คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : #3 : Dragon Hunter
Dragon Hunter
by : Double NN
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
...เธอคือหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีขาวยาวสยาย...
นอกจากนั้น... เธอมีรูปร่างบอบบางจนดูราวกับจะแตกสลายได้... เธอมีดวงตาสีแดงเปล่งประกายราวทับทิมล้ำค่า... เธอมีผิวกายขาวผุดผ่องกระจ่างใสอยู่ภายใต้ชุดกระโปรงสีขาวสะอาด...
...ตามหน้าที่แล้ว... เธอคือคนที่ผมต้องฆ่า...
“เธอคือไวเวิร์นสินะ...ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมกับจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของฝ่ายตรงข้าม ...แววตานั้นสั่นไหวด้วยความกลัว...
“คุณ...เป็นใคร?” เธอถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก... ทว่า ผมยังคงรุกไล่ต่อด้วยคำถาม...
“เธอเป็นมังกร...ใช่ไหม?” ปฏิกิริยาตอบสนองของฝ่ายตรงข้ามเป็นคำตอบให้ผมโดยที่เธอไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก... ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น...เรื่อยๆ...เรื่อยๆ...
“คุณ...ต้องการอะไร?” เสียงหวานกระซิบแผ่วเบาอย่างไร้เรี่ยวแรง... สายตาเย็นชาของผมจับจ้องไปที่ใบหน้าขาวนวลนั้นพร้อมกับคำตอบเพียงหนึ่ง...
“ผมคือ... ‘ดราก้อนฮันเตอร์’ ...”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
“โอ๊ย~ ฮันต์... เมื่อไหร่จะถึงซะทีวะ?”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดของภูเขารกทึบในยามสนทยา มีเงาของร่างสองร่างปรากฎขึ้นทาบทับผืนแผ่นดินเขียวขจี... พวกเขากำลังเดินทางอยู่บนภูเขาลูกนี้พร้อมกับเสียงบ่นกระปอดกระแปดซึ่งมีต้นเสียงมาจากชายหนุ่มผมสีเขียวมรกตแปลกตา... หนึ่งในร่างที่กำลังเดินอยู่อย่างอ่อนแรง...
“อย่าทำบ่นหน่อยเลยน่า...ฟิล...” คราวนี้มีเสียงตอบดังมาจากอีกร่างหนึ่ง... เขาคือ ‘ฮันเตอร์ โครเซนท์’ ...ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงเพลิงกับดวงตาสีดำสนิท... ทั้งสองกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังหมู่บ้านดัสท์เพื่อปฏิบัติภารกิจในฐานะ ‘ดราก้อนฮันเตอร์’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำจัดมังกร
หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่ถือกำเนิดขึ้นจากความเคียดแค้นที่มนุษย์มีต่อมังกร กล่าวกันว่า... ในอดีตกาลนั้นมังกรเปรียบเสมือนเทพเจ้าเพราะมีพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ ดังนั้น เผ่าพันธุ์มังกรต่างๆจึงได้ทำการตกลงกันเพื่อแบ่งกันปกครองโลก โดยซีกเหนือปกครองด้วยเผ่ามังกรน้ำแข็ง ซีกตะวันออกปกครองด้วยเผ่ามังกรเพลิง ซีกตะวันตกปกครองด้วยเผ่ามังกรขาว และซีกใต้ปกครองด้วยเผ่ามังกรดำ มนุษย์จึงถูกพลังนั้นบีบบังคับให้ตกเป็นทาสของมังกร ทว่า... เมื่อ 50 ปีก่อน ได้มีอัจฉริยะคนหนึ่งค้นพบมนตราพิเศษซึ่งสามารถใช้ปราบมังกรได้ เขาจึงตั้งชื่อให้เวทย์เหล่านั้นว่า ‘มนตราล่ามังกร’ พร้อมกับก่อตั้งหน่วยงาน ‘ดราก้อน ฮันเตอร์’ ขึ้นเพื่อทำการรวบรวมกำลังพลในการก่อการปฏิวัติ และด้วยเหตุนี้... มนุษย์จึงเริ่มล่ามังกรในที่สุด...
ณ ปัจจุบันสถานภาพของมนุษย์นั้นก้าวมาอยู่ในจุดสูงสุด... เผ่าพันธุ์มังกรที่ยังคงเหลือรอดกลับกลายเป็นฝ่ายที่หวาดกลัวและใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆท่ามกลางหุบเขาลึกหรือภูเขาสูง พวกมันพยายามสืบต่อเผ่าพันธุ์ของตนเอง แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เพราะนักล่ามังกรมีจำนวนมากเกินไป รวมถึงพวกชาวบ้านธรรมดาก็มักจะเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องอยู่ตลอดเวลา และหากเจอมังกรเมื่อใด... พวกเขาก็จะแจ้งไปยังศูนย์ของดราก้อน ฮันเตอร์ทันที... แน่นอนว่าทั้งฟิลและฮันต์ก็พึ่งถูกศูนย์ส่งตัวมาเนื่องจากได้รับการแจ้งจากหมู่บ้านดัสท์นั่นเอง...
“อ๊ะ...ดูเหมือนจะถึงแล้วล่ะ...” หลังจากเดินทางฝ่าดงพงหนามกลางภูเขามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุด คู่หูนักล่ามังกรก็เดินทางมาจนถึงหมู่บ้านเป้าหมาย... คนที่เห็นก่อนคือฮันต์ซึ่งเป็นคนเดินนำหน้า... เขาส่งเสียงบอกคู่หูของตนเป็นประโยคสั้นๆก่อนจะเดินตรงเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบใหญ่กลางภูเขาท่ามกลางชาวบ้านที่เดินออกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ‘ฮันเตอร์ โครเซนท์’ ...ส่วนนี่คือคู่หูของผมชื่อ ‘ฟิเลทิอัส รีสท์’ ครับ พวกเราเป็นคนของดราก้อน ฮันเตอร์...” ชายหนุ่มเริ่มแนะนำตัวหลังจากกล่าวทักทายกับชาวบ้านจำนวนหนึ่งและได้พบกับหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นคนแจ้งเรื่องมังกรไปที่ศูนย์... เขาเป็นชายหนุ่มอายุราว 40 กว่าๆ ท่าทางนอบน้อม ไว้หนวดเล็กน้อย มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีเดียวกันที่ทอประกายอ่อนโยน... เขาก้มหัวหนึ่งครั้งเป็นการทักทายก่อนจะเริ่มแนะนำตนเองบ้าง
“ผมชื่อ ‘ไวซ์ ครายด์’ เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน... ต้องขอขอบคุณคุณนักล่ามังกรทั้งสองที่อุตส่าห์ลำบากมาที่หมู่บ้านของผมนะครับ...” เขาก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง “เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปยังที่พักก่อนนะครับ... เชิญทางนี้...”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณมากครับ”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินตามหัวหน้าหมู่บ้านไปยังหนึ่งในกระท่อมที่เรียงรายอยู่เต็ม 2 ฟากทางเดิน... ไวซ์ผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้ทั้งสองเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างหลังนั้น... แต่ในขณะที่ฟิลกำลังจะเดินผ่านประตูเข้าไปนั้นเอง...
“อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนครับ คุณฟิเลทิอัส...” หัวหน้าหมู่บ้านเรียกด้วยเสียงอันดังทำให้ฟิลหันกลับมาด้วยใบหน้างุนงง เขาจึงเริ่มชี้แจงต่อ “คือว่า...ที่พักสำหรับแขกของหมู่บ้านเราสร้างไว้สำหรับรับรองคนเพียงคนเดียวต่อหนึ่งหลังน่ะครับ... เพื่อความสะดวก ผมจึงได้จัดที่พักอีกที่ไว้ให้คุณฟิเลทิอัสแล้วครับ เชิญด้านนี้นะครับ”
“อ้อ...ครับๆ” ฟิลรับคำด้วยใบหน้าเอ๋อๆ เขาเหลือบมามองคู่หูของตนแวบนึงก่อนจะเดินตามออกไปอีกรอบ ทิ้งให้ฮันต์อยู่ในห้องเพียงลำพัง... เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะวางสัมภาระไว้บริเวณท้ายเตียงแล้วจัดข้าวของให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยในขณะที่มองสำรวจไปรอบๆ... มันดูเหมือนห้องธรรมดาทั่วไป ประกอบด้วยห้องน้ำ 1 ห้อง เตียงนอน โต๊ะเขียนหนังสือ ชั้นวางหนังสือ และ...
“หือ?” มีบางอย่างสะดุดตาที่ชั้นวางหนังสือ... ฮันต์เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะหยิบหนังสือออกมาหนึ่งเล่ม
‘นี่มัน...’ เขาคิดในขณะที่พลิกหนังสือเล่มนั้นไปมา... มันดูหรูหรากว่าหนังสือทุกเล่มในชั้น ปกของมันหุ้มด้วยกำมะหยี่สีฟ้าอ่อน หุ้มขอบด้วยแผ่นเหล็กสีทอง และมีสัญลักษณ์รูปหัวมังกรสีขาวกับตัวหนังสือสีทองนูนเด่น...
‘ตำนานลับราชินีมังกรขาว’
ชายหนุ่มอ่านชื่อเรื่องในใจก่อนจะเริ่มพลิกหน้าหนังสือเพื่อเข้าสู่เนื้อหาด้านใน แต่ทันใดนั้นเอง...
“เฮ้ย~ ฮันต์ ห้องเป็นไงบ้าง?” เสียงทักทายอันสดใสร่าเริงจากคู่หูของตนที่ผลักประตูเข้ามากะทันหันทำให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องหันไปมองอย่างเสียไม่ได้
“ก็ดี... แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าแกไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนในนี้น่ะนะ” คำพูดตัดรอนเยื่อใยนั้นทำเอาผู้มาเยือนเบ้ปากอย่างขัดใจก่อนจะพูดตัดพ้อ
“อะไรวะ... อย่าพูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลนักสิ” เขากล่าวก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างฮันต์ “...นั่นหนังสืออะไรน่ะ?”
“หือ? อ้อ เนี่ยเหรอ...” ชายหนุ่มเหลือบมองหนังสือในมือของตนขณะที่ให้คำตอบ “ฉันเจอมันในชั้นหนังสือน่ะ... ดูน่าสนใจดีเลยหยิบมาอ่าน”
“หืม~?” ฟิลมองไปยังหนังสือเล่มสวยนั้นอย่างครุ่นคิดก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “ขออ่านมั่งดิ!”
“เฮ้ย?!”
ไม่ว่าเปล่า... ฟิลรีบฉกหนังสือมาเปิดอ่านทันทีโดยไม่สนใจเสียงท้วงติงของฮันต์แม้แต่น้อย...
“อะไรวะ... ฉันยังไม่ทันได้อ่านเลยนะเว้ย!” เขาโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่าชายหนุ่มอีกคนยังคงหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
“เอาน่าๆ~ ก็ฉันอยากอ่านนี่หว่า... แต่ถ้าแกอยากฟังด้วยฉันจะอ่านเสียงดังๆก็แล้วกัน โอเคนะ?” ฟิลสรุปแบบพูดเองเออเองโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ค้านก่อนจะรีบลงมืออ่านเนื้อหาด้านในทันที...
“ ‘ราชินีแห่งเผ่าพันธุ์มังกรขาว หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ไวเวิร์น’ จะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากมังกรขาวทั่วไป... โดยปกติแล้วมังกรในเผ่าพันธุ์นี้จะมีผิวหนังและเส้นขนสีขาวกับดวงตาสีทอง แต่ไวเวิร์นจะมีดวงตาสีแดงสดดุจสีเลือด... ซึ่งบางตำรากล่าวไว้ว่าดวงตาทั้งสองของราชินีแห่งเผ่ามังกรขาวนั้นเปรียบเสมือนลูกแก้วสารพัดนึกที่สามารถบันดาลให้ทุกสิ่งสมปรารถนาได้ โดยที่มันจะไม่สามารถถูกทำลายได้แม้จะถูกโจมตีด้วยมนตราล่ามังกรก็ตาม...’ ว้าว~ สุดยอดไปเลย!” ฟิลชื่นชมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังจากอ่านบทนำจนจบ... เขาเปิดพลิกข้ามหน้าเนื้อหาซึ่งส่วนใหญ่กล่าวถึงตำนานการกำเนิดไวเวิร์น ถิ่นที่อยู่เดิม สถานที่ที่เคยปรากฏตัว หรือคำบอกเล่าของพยานที่เคยเห็นมังกรตัวดังกล่าวไปสู่หน้าที่มีรูปของราชินีมังกรขาวพิมพ์อยู่จนเต็มพื้นที่หน้ากระดาษด้วยสายตาสนอกสนใจก่อนจะไปสะดุดกับบางสิ่งในหน้าเกือบสุดท้าย...
“หือ? ฮันต์ มาดูนี่สิ...” ฟิลส่งเสียงบอกพลางกวักมือเรียกคู่หู แต่ผู้ถูกเรียกกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองเพียงแค่ปรายตามามองเล็กน้อยเท่านั้น
“เป็นรูปหรือตัวหนังสือล่ะ? ...ถ้าเป็นตัวหนังสือละก็ อ่านให้ฟังเลยก็ได้” น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยของฮันต์บวกกับใบหน้าท่าทางไร้อารมณ์แบบสุดๆนั้นส่งผลให้ฟิลละสายตาจากหนังสือที่ตนให้ความสนใจอยู่ขึ้นมาทำหน้าบูดใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเซ็งๆแวบนึงก่อนจะอ่านให้ฟังต่อ
“ก็ตรงนี้น่ะเขาเขียนไว้ว่า ‘มีบันทึกบางเล่มกล่าวว่า หากเป็นมังกรที่มีพลังมาก เช่น มังกรผู้ปกครองเผ่าทั้งสี่ มีความเป็นไปได้ว่าจะมีความสามารถในการแปลงกายเป็นมนุษย์ได้’ ด้วยล่ะ!” ฟิลพูดออกมาอย่างตื่นเต้นแต่ดูเหมือนผู้ฟังของเขาจะไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก... ฮันต์เงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพึมพำตอบรับว่า ‘เหรอ’ เบาๆแล้วเงียบไป...
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ฟิลกำลังสนุกสนานอยู่กับเนื้อหาในหนังสือ จู่ๆประตูห้องก็เปิดออก เผยให้เห็นโฉมหน้าอันคุ้นเคย... หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวขออนุญาตพอเป็นพิธีก่อนจะเดินเข้ามานั่งร่วมวงกับนักล่ามังกรทั้งสองบริเวณกลางห้อง
“เอ๋? คุณฟิเลทิอัส หนังสือเล่มนั้น...” ผู้เป็นเจ้าของที่พักซึ่งดูเหมือนจะพึ่งสังเกตเห็นว่าหนังสือในมือของฟิลเล่มนั้นเป็นของที่เคยอยู่ในชั้นวางภายในห้องนี้กล่าวขึ้นด้วยท่าทีงงงันเล็กน้อย ร้อนถึงฮันต์ซึ่งเป็นคนหยิบออกมาดูต้องช่วยอธิบายอย่างรีบร้อน
“ผมเป็นคนเอาออกมาเองแหละครับ ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณไวซ์ก่อน” เขาว่าพลางก้มหัวขอโทษ ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น... ไวซ์โบกมือไปมาตรงหน้าเพื่อปฏิเสธคำขอโทษนั้นอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ... ผมแค่ประหลาดใจที่มีคนสนใจหยิบออกมาอ่านเท่านั้นเอง” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ที่จริงผมเข้ามาเพราะจะคุยเกี่ยวกับเนื้อหาของภารกิจน่ะครับ”
“อ้อ... ครับ เชิญครับ” ฮันต์กล่าวอนุญาตในขณะที่ขยับเปลี่ยนท่านั่งให้ถนัดขึ้นเพื่อแสดงความสนใจในเนื้อหาที่อีกฝ่ายจะเล่า... เช่นเดียวกับฟิลที่ปิดหนังสือในมือแล้วกลับมานั่งยืดตัวตรงอีกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้นไวซ์จึงเริ่มเปิดประเด็นในที่สุด...
“เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นเช้าที่มีหมอกลงเล็กน้อย... ผมกับสมาชิกในหมู่บ้านสองสามคนออกไปเดินดูพื้นที่บริเวณชายป่ากันตามปกติ แต่ระหว่างทางกลับจู่ๆพวกผมก็ได้ยินเสียงโครมครามแล้วก็เสียงเอะอะโวยวายผิดปกติก็เลยรีบวิ่งไปดู... แล้วก็เห็นมังกรตัวหนึ่งกำลังทำลายหมู่บ้านอยู่ ผมตกใจมาก รีบวิ่งไปหยิบหนังสือสอนมนตราล่ามังกรเบื้องต้นมาลองใช้ดู สุดท้ายก็เลยไล่ไปได้น่ะครับ... แต่ก็ต้องเสียกระท่อมไปประมาณห้าหกหลัง ผมคิดว่าคุณอาจจะเห็นความเสียหายที่ว่านั่นบ้างแล้ว...”
ฮันต์นิ่งฟังก่อนจะพยักหน้ารับ... ในหัวประมวลผลไปถึงภาพของเศษซากกระท่อมที่ได้เห็นระหว่างทางไปพลางก่อนจะถามขึ้นอีก
“แล้วมังกรตัวนั้นเป็นเผ่าไหน... คุณพอจะทราบไหมครับ?”
ไวซ์เงียบไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด
“คิดว่าน่าจะเป็นเผ่ามังกรขาวครับ ผมคิดว่าผมเห็นเส้นขนที่ตัวมันเป็นสีขาว...”
“ตาสีอะไรครับ?”
คำถามของฟิลที่แทรกขึ้นมาดึงดูดปฏิกิริยาของทั้งฮันต์และไวซ์ได้เป็นอย่างดี... ทั้นสองคนหันหน้าไปมองชายหนุ่มผมเขียวด้วยความงุนงง แต่พอชายหนุ่มวัยกลางคนมองไปที่หนังสือในมือของฝ่ายตรงข้ามก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ของคำถามนั้นได้ทันที
“ผมมองไม่เห็นน่ะครับ... วันนั้นหมอกลงจนทำให้ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมช่วงที่เกิดเหตุก็ยังเช้าอยู่มาก คนที่อยู่ในเหตุการณ์เลยมีน้อยน่ะครับ”
“งั้นเหรอครับ...” ดราก้อนฮันเตอร์หนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียดายน้อยๆในขณะที่เหลือบมองไปยังหนังสือที่ตนอ่านอยู่จนถึงเมื่อครู่พลางถอนหายใจ
“เอ่อ งั้น... ถ้าไม่มีอะไรสงสัยแล้ว ผมขออนุญาตเล่าต่อนะครับ?”
ผู้ที่พยักหน้ารับให้กับคำขอนั้นคือฮันต์
“ครับ คือ... หลังจากนั้นพวกผมก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่ามังกรตัวนั้นมาจากไหน พวกเราก็เลยจัดคนออกตามร่องรอยของมันไปจนได้พบกับสถานที่ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่ของมันครับ” ไวซ์อธิบายในขณะที่หยิบแผนที่ซึ่งถูกพับสอดไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมากางให้นักล่ามังกรทั้งสองดูประกอบการบรรยาย... “นี่ไงครับ”
ทันทีที่นิ้วผอมแห้งของหัวหน้าหมู่บ้านชี้ลงไปบนจุดกากบาทสีแดงบนแผนที่ ทั้งฮันต์และฟิลก็รีบก้มมองตามลงไปอย่างสนอกสนใจ... มันเป็นที่ตั้งของถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณนี้ไปไม่ไกลนัก
“...พวกคุณแน่ใจแค่ไหนครับว่าเป็นที่นี่จริงๆ?” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเพลิงถามขึ้นหลังจากจับจ้องจุดหมายตรงนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง
“ค่อนข้างเป็นไปได้สูงครับ... พวกผมตามพวกรอยเท้ากับรอยกิ่งไม้หักโค่นไปเรื่อยๆจนสุดทาง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปเช็คดูในถ้ำนั่นอยู่ดี...”
“ครั้งนี้เป็นการโจมตีครั้งแรกเหรอครับ?”
“ใช่ครับ”
“พวกคุณอยู่ที่นี่กันมานานแค่ไหนแล้วครับ?”
“อืม... หลายปีแล้วครับ พวกเราแยกตัวออกมาจากเมืองใหญ่แถบที่ราบข้างล่างภูเขาน่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าไม่มีใครเคยเห็นหรือได้ยินเสียงมังกรเลย?”
“ครับ ไม่มีใครเคยเห็น... แต่เรื่องเสียงนี่ไม่แน่ครับ อาจจะได้ยินแล้วปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่าไม่สำคัญ... แต่เท่าที่พวกผมสันนิษฐานน่าจะเป็นเพราะมังกรตัวนั้นพึ่งมาอาศัยอยู่ในถ้ำนั่นน่ะครับ”
“แล้ว... ที่ผ่านมาเคยมีใครไปเดินหรือไปรบกวนพื้นที่ใกล้กับถ้ำนั่นบ้างหรือเปล่าครับ?”
“ถ้าไปเดินลาดตระเวนก็พอมีบ้างครับที่เข้าไปใกล้ๆ... แต่ก็ไม่เคยทำอะไรมากกว่าเดินผ่านน่ะครับ”
“...งั้นหรือครับ”
ฮันต์จบการรัวคำถามใส่หัวหน้าหมู่บ้านผู้ตอบอย่างมึนงงเล็กน้อยนั้นด้วยการพยักหน้าแกนๆและก้มลงไปสังเกตเส้นทางการเดินทางต่ออย่างตั้งใจ... เมื่อเห็นว่านักล่ามังกรทั้งสองไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกและกำลังเริ่มตระเตรียมแผนการในวันรุ่งขึ้นแล้ว ผู้เป็นเจ้าของภารกิจจึงขอตัวกลับพร้อมกับทิ้งแผนที่ไว้ให้และกล่าวให้กำลังใจก่อนจะเดินออกไป...
------------------------------------------------------------------------------
“...นายคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆบ้างไหม?”
ฮันต์ถามเพื่อนคู่หูของตนทันทีที่ประตูปิดลง... ซึ่งฟิลก็เพียงแต่ทำหน้างุนงงกับการเปลี่ยนประเด็นกระทันหันของชายหนุ่มก่อนจะถามกลับ
“อะไรแปลกเหรอ?”
“...ก็...” ชายหนุ่มผมแดงเกริ่นนำขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มลังเล... เขาเหลือบมองไปทางบานประตูอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนใจ “เปล่าหรอก... ช่างมันเถอะ”
คู่สนทนาที่ถูกบอกปัดบางสิ่งซึ่งน่าจะเป็นประเด็นสำคัญได้แต่กระพริบตาสองสามครั้งอย่างงุนงงกับการกระทำนั้นของเพื่อนสนิทแต่ก็ไม่คิดจะคาดคั้นอะไรต่อไปให้มากมาย... เขาเชื่อว่าเรื่องไหนที่ฮันต์ไม่พูดย่อมเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต่อภารกิจมากนัก หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มยังไม่มั่นใจพอที่จะสามารถบอกต่อได้อย่างเช่นข้อสันนิษฐานลอยๆที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน... เขาทำงานร่วมกับฮันต์มานานพอที่จะรู้นิสัยใจคอของฝ่ายตรงข้ามดีว่าเป็นคนที่ไม่พูดอะไรพล่อยๆและเป็นคนจริงจัง ดังนั้นหากมีอะไรสำคัญก็จะบอกกับเขาทันทีโดยไม่ลังเล... ที่ผ่านมาอีกฝ่ายยังไม่เคยตัดสินใจอะไรผิดพลาดมาก่อน เพราะฉะนั้นเขาจึงเคารพความคิดของเพื่อนสนิทคนนี้มาตลอด และคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน... ฟิลพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายกับการปัดประเด็นนั้นแต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวทิ้งท้ายเช่นกัน
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษาฉันได้นะ ไม่ต้องห่วง”
ฮันต์พยักหน้าให้กับคำพูดนั้นทั้งที่ยังอยู่ในอาการของคนที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่ง แต่ก็ยังคงเอ่ยยืนยันคล้ายประโยคก่อนหน้า... “ไม่เป็นไรหรอก ฉันคงจะคิดมากไปเอง”
“อืม... เอาล่ะๆ!” ฟิลพยักหน้ารับอีกครั้งก่อนจะปรับอารมณ์ให้สดใส... รอยยิ้มร่าเริงถูกเรียกมาประดับบนใบหน้านั้นอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำในขณะที่ชายหนุ่มปรบมือขึ้นมาครั้งหนึ่งราวกับจะช่วยปัดเป่าบรรยากาศอึดอัดรอบๆตัว “นี่ก็ดึกแล้ว... ฉันคงต้องแวบกลับไปกินมื้อดึกในกระเป๋าฉันก่อนละนะ! เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีละกันเนอะ?”
ฮันต์มองชายหนุ่มคู่หูที่กำลังทำท่าราวกับเด็กอ้อนผู้ปกครองไปกินขนมก่อนจะแค่นหัวเราะเล็กๆ... เขาก็รู้อยู่หรอกว่าหมอนี่เป็นคนไม่คิดอะไรให้มากมาย และนั่นก็นับว่าเป็นทั้งส่วนดีและส่วนเสียในขณะเดียวกัน... เพราะว่าหากมีอะไรแปลกไปเพียงแค่เล็กน้อย ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีทางที่จะเก็บเอาไปคิดต่อให้หนักสมอง แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เรื่องพวกนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในเวลาต่อมาเขาจึงไม่ได้ถือสาอะไรกับนิสัยเช่นนี้ของฝ่ายตรงข้าม กลับกัน... เขาออกจะชอบด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายไม่เคยซอกแซกถามอะไรให้มากความในเรื่องที่เขาไม่ต้องการจะพูด... เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้ในเวลาไม่นานนัก และก็ไม่เป็นที่แปลกใจเลยหากคราวนี้เขาก็ตัดสินใจจะเก็บเรื่องที่เขาสงสัยเอาไว้และอนุญาตให้ชายหนุ่มอีกคนกลับไปกินมื้อดึกยังที่พักของตนได้ตามสะดวกดังเช่นภารกิจที่ผ่านๆมา...
แต่เมื่อผ่านไปไม่นานนัก ฮันต์ก็มีโอกาสได้รู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต...
----------------------------------------------------------------------------------------
ยามเช้าพึ่งมาถึง... ทว่าเสียงเคาะประตูที่ดังระรัวมาจากหน้าที่พักของเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง...
ฮันเตอร์ โครเซนท์งัวเงียตื่นเพราะเสียงตะโกนเรียกชื่อเขาที่ดังมาพร้อมกับเสียงก๊อกๆๆที่สะท้อนก้องอยู่ในหูอย่างน่ารำคาญ... แต่สุดท้ายเขาก็เริ่มรู้สึกตัวได้ถึงความร้อนรนในน้ำเสียงนั้นก่อนจะดีดตัวขึ้นมาจากเตียงในทันที
ที่สำคัญ... นั่นไม่ใช่เสียงของฟิล...
เขาคว้าเสื้อคลุมกับถุงมือขึ้นมาสวมลวกๆและดึงฝักดาบที่พิงอยู่ข้างตู้หนังสือมาเหน็บข้างเอวเมื่อรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงร้อนรนนั้นเป็นของหัวหน้าหมู่บ้าน... สาเหตุที่ทำให้ชายซึ่งมีนิสัยนอบน้อมคนนั้นถึงกับบุกมาเคาะปลุกคนที่เขาเชิญมาเพื่อทำภารกิจตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องฉุกเฉินและเร่งด่วนเกินกว่าที่จะรอได้... หากเป็นฟิลยังพอจะสงสัยได้ว่าเป็นการแกล้งกัน แต่นี่ไม่ใช่...
ฟังจากน้ำเสียงที่ร้อนรนสุดๆนั่น เขาก็พอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องร้ายแรงพอดู...
“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ฮันต์ถามทันทีที่กระชากประตูเปิดได้ในที่สุด... ทว่าไวซ์กลับเกิดอาการนิ่งเงียบไปเล็กน้อย
“ผมว่าคุณไปดูเองดีกว่าครับ”
----------------------------------------------------------------------------------
ไวซ์ ครายนำทางเขามาจนถึงบริเวณเกือบกลางทางที่จะไปยังถ้ำซึ่งถูกสันนิษฐานว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกรขาว... ชายหนุ่มที่ดูมีท่าทีเป็นกังวลมาตลอดทางฟันต้นไม้ที่ขึ้นขวางหน้าบางต้นแล้วลุยเข้ามาจนถึงพื้นที่เป้าหมายในที่สุดพร้อมกับอาการหอบเล็กน้อย
ทว่าเมื่อได้เห็นภาพที่ประจักษ์แก่สายตา เขาก็ถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ...
ท่ามกลางเหล่าแมกไม้และพื้นหญ้าสีเขียวสดสะอาดตาถูกย้อมไปด้วยของเหลวสีแดงดุจทับทิมกระจายแผ่ราวกับทะเลสาบสีเลือด... ดาบสีเงินเนื้อดีที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศาสตราวุธชั้นยอด บัดนี้กลับแตกหักเป็นเสี่ยงๆกระจายไปทั่วบริเวณพร้อมกับสะท้อนแสงสีเงินบริสุทธิ์ตัดกับสีพื้นจนให้ความรู้สึกราวกับเป็นทะเลซึ่งส่องประกายแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน... เส้นผมสีเขียวที่เขาคุ้นตาเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีสด แผ่สยายราวกับพืชน้ำที่ลอยอยู่บนผิวทะเลสาบ... และสิ่งนั้นเองที่ช่วยระบุตัวตนของร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าของฮันเตอร์ โครเซนท์ได้เป็นอย่างดี...
ฟิเลทิอัส รีสท์...
“ฟิล!!” ชายหนุ่มตะโกนเรียกชื่อของเพื่อนคู่หูก่อนจะพุ่งเข้าไปหาร่างนั้นโดยไม่รอช้า... เขาจ้องมองรอยกรงเล็บรอยใหญ่ที่ปรากฏอยู่บริเวณกลางหลังของฝ่ายตรงข้ามอย่างนิ่งงันพักหนึ่งก่อนจะพลิกร่างนั้นขึ้นให้เห็นหน้าชัดเจน
นั่นเป็นใบหน้าที่เขารู้จักจริงๆ...
แม้ว่าฮันต์จะภาวนาให้มันเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด แต่ในเมื่อหลักฐานที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าชัดเจนถึงขนาดนี้ก็ไม่มีทางปฏิเสธอะไรได้อีก... ชายหนุ่มหลับตาลงราวกับจะไว้อาลัยให้กับการจากไปของเพื่อนคู่หูอยู่พักใหญ่ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
แต่คราวนี้... ดวงตาสีดำคู่นั้นกลับส่องประกายความโกรธแค้นอันแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
ฮันต์ยืดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับกำหมัดแน่น รอยกรงเล็บที่อยู่กลางหลังของอีกฝ่ายนั้นช่วยชี้ทางได้ดีเกินพอแล้วว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป... ชายหนุ่มปรายตามองไปทางหัวหน้าหมู่บ้านด้วยแววตาที่ดูราวกับจะกลายเป็นสีดำล้ำลึกกว่าที่เคยแล้วชี้มือออกไปยังเส้นทางที่อยู่ทางด้านขวามือและเอ่ยปากถาม
“ถ้ำมังกรไปทางนี้ใช่ไหมครับ?”
“ค...ครับ...”
ไวซ์ตอบตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งของฝ่ายตรงข้าม... เขามีท่าทางหวาดกลัวกับความโกรธของนักล่ามังกรหนุ่ม ทว่าเจ้าตัวก็เพียงแต่พยักหน้ารับอย่างเงียบเชียบก่อนจะกระชับดาบข้างตัวให้แน่นขึ้นแล้วออกเดินจากไป...
“ขอบคุณมากครับ”
-----------------------------------------------------------------------------------------
“แล้ว... จากนี้พวกเราจะเอายังไงต่อ?”
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากความมืดมุมหนึ่งภายในห้องใหญ่
“นั่นสินะ แผนก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้วนี่นา...”
เสียงตอบกล่าวเช่นนั้น
“ยังไงก็ต้องรอหัวหน้ามาสรุปแผนให้อยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ เห็นด้วย”
“เห็นด้วย”
“รอหัวหน้า”
ทุกคนเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันจนเกิดระลอกเสียงอื้ออึงปนกันมั่วท่ามกลางควันธูปสีซีดที่อบอวลไปทั่วห้อง...
ทว่าเสียงฝีเท้าหนึ่ง กลับหยุดความโกลาหลทุกอย่างได้ภายในเสี้ยววินาที
ร่างนั้นมาพร้อมกับประตูที่เปิดอ้าออกช้าๆ... กลิ่นยาสูบอันเป็นเอกลักษณ์โชยออกมาจากกล้องสูบที่ชายหนุ่มซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มคาบเอาไว้ในขณะที่สาวเท้าเข้ามายืนกลางห้อง ร่างผอมของบุรุษปริศนาผู้นั้นถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนที่มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงภายในห้องกว้าง เขายกมือทั้งสองขึ้นราวกับจะประกาศความยิ่งใหญ่ของตนก่อนที่นิ้วมือผอมแห้งจะขยับเคลื่อนไปหยิบกล้องยาสูบออกจากริมฝีปากแห้งแตกนั้นอย่างช้าๆ...
“ยินดีด้วย พี่น้องทุกคน...” เขาเริ่มพูดพร้อมกับเหยียดยิ้มแสยะ “ด้วยความร่วมมือของพวกเราทำให้แผนนี้เข้าใกล้ความสำเร็จเข้าไปทุกทีแล้ว... เจ้านักล่ามังกรหน้าโง่นั่นกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายตามแผน ส่วนอีกหนึ่งคนที่พวกเราจัดการให้มันเป็นศพไปเมื่อเช้าก็ ถูกเข้าใจว่าเป็นฝีมือของมังกร ตามที่ฉันคาดการณ์ไว้...”
เสร็จสิ้นการรายงานผล... เสียงพูดคุยติชมด้วยความพึงพอใจดังอึงอลไปทั่วบริเวณอย่างปิติยินดี
ก่อนที่เสียงหนึ่ง จะดังแทรกขึ้นด้วยความกระหายใคร่รู้
“หัวหน้าครับ...” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านข้าง “แล้วจากนี้ไป พวกเราจะมีบทบาทอะไรอีกบ้างไหมครับ?”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นผินหน้ามาทางผู้ถามเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มเหยียด
“มีสิ... ทุกคนเลยด้วยนะ” ชายผู้นั้นว่าพลางหัวเราะเบาๆ “เราก็แค่จะต้องรอให้แม่ราชินีมังกรขาวตัวนั้นตายซะก่อน... แล้วก็ช่วยกันกำจัดเจ้าดราก้อนฮันเตอร์จอมยุ่งอีกคนนึงเพื่อชิง ‘สิ่งนั้น’ กลับมายังไงล่ะ?”
เสียงทั้งหมดเงียบลง
“ท่านคงมีแผนไว้ในใจแล้วสินะครับ? ท่านไวซ์...”
ไวซ์ ครายเพียงแต่ยิ้มหยันให้กับเสียงจากหนึ่งในสมาชิกหมู่บ้านผู้นั้น...
“ใช่แล้ว... เพียงแค่ทุกคนทำตามแผนของฉัน...”
“...ดวงตาของไวเวิร์นก็จะไม่มีทางหลุดมือไปอย่างแน่นอน...”
-------------------------------------------------------------------------------------
ฮันเตอร์ โครเซนท์กำลังเดินอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่
ที่นี่เป็นส่วนที่ต่อออกมาจากป่าเมื่อครู่... พูดให้ชัดคือเป็นเส้นทางผ่านในการเดินทางไปยังถ้ำซึ่งถูกระบุไว้ในแผนที่ของหัวหน้าหมู่บ้านที่เขาได้ดูเมื่อวาน... ที่ตรงนี้เป็นพื้นดินแห้งแตก รายล้อมด้วยหน้าผาสูงชันซึ่งลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ นับเป็นภูมิประเทศที่น่าแปลกเมื่อคำนึงถึงว่าเส้นทางที่เขาพึ่งเดินผ่านมานั้นเป็นบริเวณป่าที่ค่อนข้างรกทึบ เนื่องจากผืนดินสีน้ำตาลอ่อน ณ ที่ตรงนี้นั้นไม่ปรากฏพันธุ์ไม้ใดๆเลยแม้แต่ต้นเดียว... ชายหนุ่มเหยียบย่ำไปตามรอยแตกระแหงบนพื้นด้วยฝีเท้ามั่นคงราวกับรู้จุดหมายชัดเจนว่าตนเองต้องการจะไปที่ใด เพียงแต่...
หนทางที่เขากำลังมุ่งไปนั้น กลับนำทางเข้าสู่หมู่บ้านที่เขาพึ่งจากมา...
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าเส้นทางนั้นมุ่งหน้าไปยังที่ใด... แต่เขา จงใจ เดินกลับไปที่หมู่บ้านนั้น และหากคิดแบบธรรมดาทั่วไปทุกคนคงจะเข้าใจว่าดราก้อนฮันเตอร์ผู้นี้เสร็จสิ้นจากภารกิจแล้วและกำลังจะเดินทางกลับ...
ทว่า จุดประสงค์ของฮันเตอร์ โครเซนท์มิได้เป็นเช่นนั้น...
ชายหนุ่มชะงักเท้าลงเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามา... เขาละสายตาจากการก้มมองพื้นดินแห้งแล้งขึ้นมาก่อนจะเห็นกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่เดินทะลุผ่านแนวของชายป่าออกมาอย่างพร้อมเพรียง...
สมาชิกในหมู่บ้าน... ซึ่งถูกนำมาโดยไวซ์ ครายผู้เป็นหัวหน้า...
“อ้าว? คุณฮันต์” ชายวัยกลางคนเอ่ยทักทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่ม เค้าหน้าผอมเรียวแฝงแววงุนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นนักล่ามังกรหนุ่มมุ่งหน้ามาในเส้นทางซึ่งจะนำเข้าสู่หมู่บ้าน... “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือครับ?”
ฮันต์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะผุดยิ้มบาง
“ครับ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
เกิดเสียงซุบซิบกันเล็กน้อยภายในหมู่คนที่เดินตามหลังเกี่ยวกับความรวดเร็วอันน่าตกใจในการปฏิบัติภารกิจของชายหนุ่มผู้รายงานผล... แต่เมื่อผู้เป็นหัวหน้ายกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม เสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆเบาและสงบลงในที่สุด
“...ขอพวกเราดูศพของมังกรตัวนั้นหน่อยได้ไหมครับ?”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
ฮันต์เพียงแต่ยิ้ม
“เชิญครับ”
ชายหนุ่มกล่าวเพียงสั้นๆก่อนจะเดินนำไปตามทาง... เมื่อเห็นดังนั้น กลุ่มคนซึ่งถูกปกครองโดยไวซ์ ครายก็ค่อยๆทยอยเดินตามเส้นทางต่อไปยังถ้ำของราชินีมังกรขาวอย่างช้าๆ... พวกเขาเกาะกลุ่มกัน ซุบซิบอะไรบางอย่างในขณะที่เหลือบมองไปยังแผ่นหลังของดราก้อนฮันเตอร์เจ้าของเรือนผมสีเพลิงที่เดินโดดเดี่ยวอยู่ด้านหน้า... ทว่าชายหนุ่มผู้ตกเป็นเป้าสายตาหลายสิบคู่นั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจหรือใส่ใจแต่อย่างใด ดูราวกับไม่ได้รู้ตัวว่าหัวข้อการสนทนาของผู้คนในหมู่บ้านเป็นเรื่องอะไรด้วยซ้ำ... เขาเพียงแต่เดินนำไปเงียบๆจนกระทั่งมาถึงลานดินโล่งกว้างด้านหน้าของถ้ำใหญ่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
มันมีลักษณะคล้ายคลึงกับโคลอสเซียม... ลานดินสีน้ำตาลอ่อนตรงกลางถูกโอบล้อมด้วยหน้าผาสูงชันลดหลั่นกันลงมาเป็นระดับราวกับเป็นที่นั่งชมการแสดง ทำให้พื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่มีลักษณะเป็นวงกลมคล้ายกับลานประลองของแกลติเอเตอร์ในสมัยกรีกโบราณ... ฮันต์เดินมาจนถึงกึ่งกลางของลานดินนั้นก่อนจะหันมาพูดกับกลุ่มคนที่ตามหลังมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“กรุณารอตรงนี้ซักครู่นะครับ... ผมจะเข้าไปตรวจดูด้านในเพื่อความแน่ใจอีกรอบ”
“ครับ ขอบคุณมากครับคุณฮันต์” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มเสแสร้งก่อนจะมองดูแผ่นหลังของฝ่ายตรงข้ามค่อยๆถูกความมืดภายในถ้ำกลืนกินเข้าไปจนหายลับไปจากสายตา...
“หัวหน้าครับ สรุปแล้วเราจะจัดการมันยังไงดี?”
เสียงถามจากใครบางคนดังขึ้นทันทีที่ดราก้อนฮันเตอร์หนุ่มเข้าไปในถ้ำจนมองไม่เห็นความเคลื่อนไหว... ไวซ์ หันมายังผู้ถามด้วยรอยยิ้มเหยียดอย่างพึงพอใจก่อนจะกล่าวตอบ
“เราต้องรอให้มันเอาศพมังกรให้เราดูก่อน... จากนั้นก็ตรวจให้เห็นว่าดวงตาของไวเวิร์นทั้งสองข้างยังอยู่เรียบร้อยดี จากนั้นค่อยต้อนมันกลับหมู่บ้านของเราแล้วเผาที่พักของมันทิ้งซะในคืนนี้” ชายหนุ่มอธิบายด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างไม่ปิดบัง “แต่ถ้ามันไม่ยอมมอบดวงตาของไวเวิร์นให้เราแต่โดยดี... เราก็จัดการรุมฆ่ามันซะที่นี่แหละ ยังไงคนของเราก็เยอะกว่า... แถมยังใช้มนตราล่ามังกรเบื้องต้นกันได้หมดทุกคน โอกาสที่จะชนะเป็นไปได้สูงมาก แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อนล่ะ เข้าใจนะ?”
“ครับ!”
“อ้อ... อย่าลืมใช้กรงเล็บมังกรสร้างบาดแผลให้ดูเหมือนถูกฆ่าโดยมังกรด้วยล่ะ... เวลาทางหน่วยงานมาถามฉันจะได้อธิบายเขาถูก”
“รับทราบครับ! หัวหน้า”
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
แต่ทันใดนั้นเอง...
“หัวหน้าครับ... แสงด้านบนนั่น...”
ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ไปบนท้องฟ้า เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปจับจ้องเป็นจุดเดียว
ภาพที่ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคนในที่นั้นคือลำแสงสีแดงส่องประกายเจิดจ้าสี่สายซึ่งพุ่งมาตัดกันที่จุดกึ่งกลางของลานดินเหนือหัวของพวกเขาพอดิบพอดี... ไวซ์หันไปมองยังจุดกำเนิดแสงด้วยแววตาตื่นตระหนก ก่อนจะพบว่าจุดทั้งหมดซึ่งอยู่บนหน้าผาทั้งสี่ทิศนั้นถูกเขียนกำกับไว้ด้วยวงเวทย์สีแดงเพลิง... หนึ่งในมนตราล่ามังกรชั้นสูงที่เขาเคยศึกษา...
ตาข่ายดักมังกร...
“ทุกคน! รีบหนีออกไปจากลานนี่ เร็วเข้า!!” หัวหน้าหมู่บ้านผู้เคยวางท่าทีสุขุมเยือกเย็นบัดนี้กลับตะโกนก้องอย่างสุดเสียง ทว่าคำเตือนนั้นก็ไร้ประโยชน์เมื่อเทียบกับความกว้างของเขตวงเวทย์ซึ่งถูกร่างให้ครอบคลุมทั่วลานดินขนาดใหญ่... เส้นสายสีแดงค่อยๆเชื่อมกันเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมด้วยความเร็วอันน่าตกใจก่อนจะตกลงมาปิดกั้นทางเข้าออกจากพื้นที่วงกลมบริเวณนั้นจนหมดสิ้น
“อะไรกัน! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!”
“พวกเราถูกขังงั้นเหรอ?!”
“แย่แล้วครับหัวหน้า! พวกเราจะทำยังไงต่อไปดีครับ?!”
เสียงตะโกนเซ็งแซ่ดังลอดซี่กรงขังซึ่งประกอบขึ้นมาจากลำแสงสีแดง... เสียงโวยวายด่าทอดังลั่น
ทว่าผู้เป็นหัวหน้ายังคงนิ่งเงียบในขณะที่จับจ้องไปยังร่างๆหนึ่งซึ่งเอนตัวพิงก้อนหินพลางสังเกตสถานการณ์อยู่บริเวณริมปากถ้ำเงียบๆอย่างเคียดแค้น
ฮันเตอร์ โครเซนท์...
“ทั้งหมดนี่เป็นแผนของแกสินะ ไอ้ดราก้อนฮันเตอร์!!”
ไวซ์ ครายตะโกนถามราวกับคนเสียสติ
หากแต่ สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเย็นชาจากชายหนุ่มตรงหน้า...
“ผมน่าจะเป็นฝ่ายถามมากกว่านะครับ ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อกี้น่ะเป็นแผนของคุณใช่รึเปล่า...” ฮันต์ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ดวงตาสีดำสะท้อนแววมืดมิดลึกล้ำอย่างไม่สามารถอ่านได้ออกว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ใดก่อนที่เขาจะดันตัวขึ้นมาจากก้อนหินซึ่งพิงอยู่ แล้วเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่หน้าหัวหน้าหมู่บ้านจอมหลอกลวงพร้อมกับแย้มรอยยิ้มเย็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า... “ตั้งแต่ที่คุณกุเรื่องว่ามังกรตัวนั้นมาโจมตีหมู่บ้าน เรียกพวกเรามา แล้วก็ฆ่าเพื่อนของผมน่ะ?”
ไวซ์กัดฟันกรอด
“แกรู้ได้ยังไง?”
ฮันต์กระตุกมุมปากเป็นเชิงเหยียดหยันเล็กน้อย
“เอาเรื่องไหนก่อนดีละครับ?” เขาย้อนถาม “ถ้าเป็นเรื่องฟิล... ผมรู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือมังกร เพราะว่าบริเวณที่เขาเสียชีวิตเป็นพื้นที่ที่เป็นป่ารกทึบ ซึ่งขนาดผมที่เป็นมนุษย์ยังต้องตัดฝ่ากิ่งไม้ไปกว่าจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้... ดังนั้นถ้าหากเป็นฝีมือมังกรจริง กิ่งไม้ตรงนั้นต้องหักโค่นลงมามากกว่านี้ ไม่ใช่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้ร่องรอยอย่างที่ผมไปเห็น”
หัวหน้าหมู่บ้านขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด... เขาไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมีสติมากพอในการสังเกตพื้นที่รอบๆจึงพลาดส่วนนั้นไปเสียสนิท...
แต่ว่า... เขายังไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้...
“แล้วเรื่องมังกรล่ะ?!”
ฮันต์แค่นหัวเราะเล็กน้อยให้กับคำถามนั้น
“คุณบอกว่าอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่กลับไม่เคยเห็นหรือได้ยินเสียงมังกรเลย... ที่สำคัญ คุณยังเล่าให้ผมฟังว่าเช้าที่มังกรบุกมา พวกคุณออกไปลาดตระเวนกัน ตามปกติ... นั่นแสดงว่าพวกคุณต้องออกสำรวจพื้นที่แถบนี้กันบ่อยครั้ง แถมยังเคยเดินผ่านถ้ำนี้ แต่กลับไม่มีใครเคยสังเกตเห็นความผิดปกติของพวกดินถล่มหรือต้นไม้หักโค่นที่เกิดขึ้นเป็นวงใหญ่ๆได้เลย ทั้งๆที่วันนั้นกลับบอกว่าตามรอยกิ่งไม้หักโค่นไปจนถึงถ้ำนี้... แต่ระหว่างทางที่ผมเดินมาก็ยังไม่เห็นว่ามีร่องรอยอะไรที่บ่งชี้ว่าเป็นที่นี่ซักนิด... คุณไม่คิดว่าผมจะสังเกตล่ะสิ?” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มเยาะ “แต่อีกเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ... คุณไม่รู้ว่าไวเวิร์นแปลงกายเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถแปลงกลับเป็นมังกรได้...”
ไวซ์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“...ว่ายังไงนะ?”
“คุณคงไม่รู้หรอก... เพราะว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่สืบทอดกันมาในเผ่าพันธุ์ของมังกรเท่านั้น” ฮันต์เอ่ยตอบ “กล่าวกันว่าทุกครั้งที่ราชินีแห่งเผ่ามังกรขาวมีอายุครบรอบศตวรรษจะไม่สามารถแปลงกายกลับเป็นมังกรได้จนกว่าจะถึงอีก 100 ปีถัดไป... นั่นก็เป็นเพราะว่าความสามารถพิเศษของดวงตาทั้งสองข้างนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง... ซึ่งระหว่างนั้นราชาของทุกเผ่าพันธุ์จะต้องเวียนกันปกป้องคุ้มครองไวเวิร์นให้ปลอดภัยจากสายตาของมนุษย์โดยสิ้นเชิง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีมนุษย์คนไหนเคยรู้ความจริงข้อนี้... แต่ว่าพอมังกรสูญพันธุ์ลง ไวเวิร์นก็จำเป็นจะต้องปกป้องตนเองจากมนุษย์ เธอจึงเก็บตัวอยู่ในถ้ำนี้มาเป็นเวลา 50 ปีแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะมีการคิดค้นมนตราล่ามังกร... ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะมีคนรู้ระแคะระคายที่อยู่นี้เพราะผู้ที่เชี่ยวชาญย่อมจะนึกไปว่าไวเวิร์นแปลงกายเพื่อให้กลมกลืนกับผู้คน เพียงแต่หญิงสาวที่มีผมขาวและดวงตาสีแดงเพลิงก็สะดุดตาอยู่ดี...”
“ถ้ามันเป็นความลับในเผ่ามังกร... แล้วแกรู้ได้ยังไง?!!”
ฮันต์เหยียดยิ้มตอบให้กับอาการแค้นคลั่งของอีกฝ่าย
“งั้นผมจะขอแนะนำตัวใหม่แล้วกันนะครับ... ผมชื่อฮันเตอร์ โครเซนท์...” ชายหนุ่มกล่าวเกริ่นค้างเอาไว้ก่อนที่จะให้โอกาสอีกฝ่ายได้สังเกตเห็นเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมาบริเวณใต้ฝ่าเท้า จนกระทั่งหมุนวนขึ้นมาโอบล้อมชายหนุ่มเอาไว้รอบๆราวกับพายุสีเพลิง...
“หรืออีกชื่อนึงก็คือ ‘ซาลามานเดอร์’... ราชาแห่งเผ่ามังกรเพลิงไงละครับ?”
ไวซ์ ครายมองดูร่างของชายตรงหน้าด้วยร่างกายแข็งทื่อราวกับถูกสาป...
ไม่... นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริง...
“แก... แก... หลอกลวงพวกเรา...” ชายหนุ่มหัวหน้าหมู่บ้านเบิกตากว้างพร้อมกับผงะถอยหลัง เขาสั่นหัวปฏิเสธราวกับคนเสียสติ เม็ดเหงื่อเย็นเยียบไหลโทรมใบหน้าซูบผอม... “แกไม่ใช่ซาลามานเดอร์... ไม่มีทาง!!”
ฮันต์เพียงแค่จ้องดูร่างตรงหน้าอย่างเย็นชา
“จะใช่หรือไม่ใช่... ก็ตัดสินจากความร้อนของไฟนี่เอาเองเถอะครับ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบในขณะที่ยืนมือออกมาด้านหน้าพร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน... “น่าเสียดายจริงๆ ทั้งที่ผมอุตส่าห์ยอมรับมนุษย์ส่วนนึงถึงขนาดให้เป็นเพื่อนได้แล้วแท้ๆ... แต่สำหรับพวกคุณ ผมคงไม่มีทางเลือกอื่น...”
“...ลาก่อนนะครับ...”
เสร็จสิ้นคำพูดนั้น... เปลวไฟทั้งหมดพุ่งทะยานออกไปเบื้องหน้า
เสียงกรีดร้องดังโหยหวน ท่ามกลางทะเลสีเพลิงที่ค่อยๆกลืนกินร่างอันสกปรกโสมมด้วยบาปอันหนาหนักเหล่านั้นลงไปอย่างช้าๆ...
เขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ในฐานะมังกร... แต่เขาทำ ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่พึ่งสูญเสียเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดคนหนึ่งในชีวิตไป...
ตอนนี้เขาคือฮันเตอร์ โครเซนท์
จากนี้... และตลอดไป...
ชายหนุ่มปิดตาลงช้าๆ ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้หญิงสาวซึ่งยืนรออยู่เบื้องหลังในที่สุด
“ไปกันเถอะครับ”
--------------------------------------------------------------------------------------------
...เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีเพลิง...
นอกจากนั้น... เขามีดวงตาสีดำลึกล้ำราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาล... เขามีดาบสีเงินที่ส่องประกายวาววับแม้ในถ้ำมืด... เขามีท่าทีแข็งแกร่งและน่าเกรงขามจนน่าหวาดหวั่น...
...ตามสถานะแล้ว... เขาคือคนที่จะมากำจัดฉัน...
“ขอร้องล่ะค่ะ ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย...” ฉันขอร้องวิงวอนในขณะที่ถอยหลังห่างออกไปด้วยความหวาดกลัว... “ฉันเป็นตัวสุดท้ายของเผ่าพันธุ์... และฉันก็สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายมนุษย์นะคะ ได้โปรดเถอะ!”
ทว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายของฉันทรุดลงไปพิงกับผนังหินอย่างหมดเรี่ยวแรง
ฉันพยายามขอความเห็นใจเป็นครั้งสุดท้ายทั้งที่รู้ดีว่าเปล่าประโยชน์...
“ได้โปรดเถอะค่ะ...”
ฉันเอ่ยออกมาได้แค่นั้นก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน... ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีทั้งเสียงการดึงดาบออกจากฝักหรือการขยับเขยื้อนใดๆ...
ฉันจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อค้นหาคำตอบนั้น...
ก่อนจะได้เห็น... รอยยิ้มของเขาพร้อมกับมือที่ยื่นออกมาด้านหน้า
“จำผมไม่ได้จริงๆด้วยสิ...” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะในขณะที่ช่วยพยุงฉันขึ้นมาอย่างอ่อนโยน... “ซาลามานเดอร์ไงครับ? เราเคยเจอกันแล้วครั้งนึงเมื่อร้อยปีก่อน... แต่สงสัยจะนานเกินไปละมั้ง”
เขาว่าพลางหัวเราะออกมา และเสียงนั้นเองที่ทำให้ความทรงจำของฉันในระหว่างที่เดินทางไปเยือนเผ่ามังกรเพลิงหวนกลับคืนมาอีกครั้ง...
ราชา... ผู้ปกครองซีกโลกตะวันออกผู้แสนใจดีคนนั้น...
“งั้น... ตอนนี้คุณก็ได้ใช้ชื่อว่าฮันเตอร์ โครเซนท์แล้วสินะคะ?”
ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอีก
“จำแม่นจริงๆเลยนะครับ” เขากล่าวชมกลั้วเสียงหัวเราะ “ใช่ครับ... อย่างที่เคยโม้กับคุณเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสได้เข้าไปปะปนกับมนุษย์ ผมจะออกไล่ล่ากำจัดความชั่วร้ายของโลกใบนี้ภายใต้ชื่อของ ‘ฮันเตอร์’...”
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเพลิงอธิบายก่อนจะยื่นมือออกมาด้านหน้า
“ตอนนี้ผมพึ่งจะสูญเสียเพื่อนของผมไปคนนึง จึงขาดคนที่จะร่วมเดินทางอยู่...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าเล็กน้อยในขณะที่เลือนสายตาขึ้นมาสบกับฉันอย่างเงียบงัน...
“สนใจจะร่วมเดินทางไปกับผมไหมครับ?”
ในวินาทีนั้น...
คำตอบของฉันคือ ‘ตกลง’
*:: The End ::*
--- มุมสนทนา by Double NN ----
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านที่หลงเข้ามาทุกท่าน... =w=
ไรเตอร์ห่างหายไปนานมากสำหรับโปรเจ็คนิยายอันนี้ พูดง่ายๆว่าพวกพล็อตที่ดองเค็มกันอยู่ในโปรฯนี้เป็นเรื่องสำหรับเอาไว้แต่งเล่นแก้เซ็งเวลาไม่มีอารมณ์แต่งเรื่องหลักก็เป็นได้ค่ะ เพราะอย่างนี้จึงเห็นว่าลงหัวไว้เฉยๆแล้วไม่ได้มาอัพ... ต้องขอโทษสำหรับคนที่ให้ความสนใจติดตามด้วยนะคะ! // คารวะสามหน
และด้วยการห่างหายไปนาน... เพราะงั้นวันนี้ไรเตอร์เลยเอามาลงให้เรื่องนึงเต็มๆเลยนะคะ~ ก็หวังว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินบวกกับแง่คิดดีๆจากเรื่องนี้ไปค่ะ!!
พูดถึงเรื่องแง่คิด... ความจริงแล้วเรื่องนี้ไรเตอร์อยากจะสื่อออกมาในอารมณ์ของ"การพลิกกลับ"ค่ะ อย่างเช่น คนที่ควรจะเป็นคนที่อยู่ฝ่ายดีกลับกลายเป็นคนชั่ว ส่วนคนที่ควรจะอยู่ฝ่ายอธรรมก็กลับกลายเป็นคนดีหรืออะไรเทือกนั้น... แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวแค่ 18 หน้าเวิร์ดกับพล็อตแนวแฟนตาซีแถไถของไรเตอร์คนนี้จะสื่อออกมาได้แค่ไหนเหมือนกัน... เพราะฉะนั้นก็ฝากทุกท่านติชมกันเข้ามาเยอะๆนะคะ!!
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ~ XD
ความคิดเห็น