คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Bunny! Bunny!!
#1
งานของเซปเตอร์โฟร์เพิ่มขึ้นทุกวัน…
ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ ไม่ได้คิดไปเอง แต่หลังจากตายของราชาลำดับที่สามอย่าง สุโอ มิโคโตะ เหล่าสเตรนผิดกฎหมาย รึ พวกใต้ดินก็เริ่มเคลื่อนไหวกันมากขึ้น จนงานเริ่มล้นมือ บางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ แท้จริงแล้วงานของเซปเตอร์โฟร์นั้นถูกแบ่งครึ่ง ส่วนอีกครึ่งโฮมุระเป็นคนจัดการไปเพราะถือว่าเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่
และเมื่อไม่มีโฮมุระที่คอยรับมือช่วย เซปเตอร์โฟร์จึงจำเป็นต้องรับภาระหน้าที่ดั่งเดิม
ชายหนุ่มผู้สวมแว่นกรอบหนาสี่เหลี่ยมส่งเสียงไม่พอใจในลำคอกับงานล่าสุดที่ได้รับมอบหมาย อันที่จริงมันก็แค่งานง่ายๆ อย่างการกวาดล้างกลุ่มคนที่รวบรวมเอาสัตว์ที่เป็นสเตรนไปขายต่อทอดในตลาดมืด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องไปยังบรรดากรงของสัตว์ที่เป็นสเตรนกำลังทยอยได้รับการตรวจสอบ ก่อนส่งไปยังการควบคุม ณ ที่แห่งใหม่อีกที
“เท่าที่เห็นครับ จำนวนไม่มีขาดตกบกพร่อง ที่เหลือเป็นกรงเปล่าๆ คือมีการขายส่งไปแล้ว ส่วนรายชื่อที่ขายส่งต่อตลาดมืดก็ได้มาเรียบร้อยแล้วครับ จะทำการแกะรอยต่อทันที” ฟุชิมิพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อฟังคำรายงานสรุปผล กวาดสายตามองคร่าวๆมองเอกสารที่อยู่ในมือ
“เดี๋ยวสักพักจะส่งไปยังศูนย์ทดลอง แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดครับ” ฟุชิมิพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเหล่าลูกน้องที่รายงานจะแยกย้ายไปทำงาน เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มค่อนดำถอนหายใจเบาๆ
ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จลง
“ขอโทษครับ ช่วยจับเจ้าตัวนั้นไว้หน่อย ใครก็ได้!!” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นแหวกอากาศ คนอายุน้อยที่สุดในหน่วยขยับตัวตามสัญชาตญาณ ขว้างหิ้วตัวลอยกับสิ่งมีชีวิตที่ดีดตัวพุ่งกลางอากาศมาทางที่เขายืนอยู่
สิ่งที่สะท้อนผ่านเลนส์แว่นของฟุชิมิคือกระต่ายหูตกตัวเล็ก ขนสีน้ำตาลออกส้มกำลังถูกหิ้วต้นคอห้อยต่องแต่งไปมา มันมีทีท่าฮึดฮัดไม่พอใจพร้อมกับพยามแกว่งตัวไปมาเพื่อให้หลุดจากการจับกุม
“อะ เอ่อ ขอบคุณครับ หัวหน้าฟุชิมิ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่เซปเตอร์โฟร์ เอ่ยขอบคุณเลิกลั่ก พลางรับเจ้ากระต่ายท่าทางโมโหร้ายไว้กับมือ
“เจ้านี้ ก็เป็นสเตรนรึไง” ฟุชิมิถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองกระต่ายที่พยามดิ้น ซึ่งในสายตาของเขา มองยังไงก็เป็นความพยามที่เปล่าประโยชน์ และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เขาสบตากับตากลมโตของกระต่ายตัวนั้น
ตัวก็เล็ก…
ยังจะทำอวดดีอีก…
“คะ ครับ จากรายะละเอียดที่อ่านเจอในแฟ้ม เจ้านี่มีพลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในชั่วระยะเวลาหนึ่งครับ แต่ถ้าจับตัวได้ก็ไม่มีปัญหากับเรื่องการใช้พลังแล้ว อะ อ้อ อีกอย่างเห็นว่ากระเพาะเจ้านี่ไม่เหมือนกระต่ายทั่วไป สามารถทานได้แม้กระทั่งสารเคมีโดยไม่เป็นอันตรายกับร่างกายด้วยครับ” แล้วเจ้ากระต่ายนั้นก็ถูกโยนลงกรง
“ถามอะไรสักอย่างสิ”
“คะ ครับ หัวหน้าฟุชิมิ”
“เจ้านี่ จากนี้จะไปไหนต่อรึไง” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องมองกระต่ายขนนปุยสีน้ำตาลส้มพยามพังกรงอยู่นานสองนาน ก่อนจะหมดแรงตัวสั่นอยู่ในกรง ราวกับว่ารู้ชะตากรรมแล้วว่าจะหนีไม่พ้น
“ก็คงไปที่ห้องทดลองตรวจสอบเรื่องพลัง จากนั้นคงจะอยู่ที่นั้นต่อเลยมั้งครับ ความสามารถเหมาะกับการทดลองพวกเคมีซะด้วย อ่ะ เอ่อ ขอโทษครับ” ชั่ววูบที่บอกว่าจะอยู่ที่ห้องทดลองตลอดชีวิต ฟุชิมิเผลอหรี่ตาลงคล้ายกับไม่ชอบใจจนทำเอาผู้เป็นลูกน้องสะดุ้ง
“ช่างเถอะ จัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน” หูที่ตกอยู่แล้ว ลู่ตก ก้มหน้ามากกว่าเดิม กระต่ายสีน้ำตาลส้มมีทีท่าเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด แล้วกรงที่มันอยู่ก็ถูกหิ้วตัวไปตามคำสั่งของฟุชิมิ
มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องไปยุ่งอยู่แล้ว
ถึงจะเคยนึกอยากเลี้ยงกระต่ายเพราะให้ช่วยทานผักที่ตัวเองเกลียดก็เถอะ
ใช่แล้ว… ก็แค่สเตรนตัวหนึ่ง ที่เผลอไปสบตาด้วยก็เท่านั้น
#2
ฟุชิมิบางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง…
ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีวางกรงกระต่ายลงกับพื้นห้อง ก่อนปล่อยเจ้าตัวขนปุยหูตกออกมาวิ่งเล่น มันวิ่งไปรอบๆห้องอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เป็นเพียงการวิ่งที่แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็น แสดงถึงท่าทางอันร่าเริงของเจ้าตัว มากกว่าจะวิ่งเพื่อหนีเหมือนตอนที่เขาเห็นครั้งแรก
“ฟุชิมิ เธอจะเอาสเตรนนี่ไปทำอะไร บอกตามตรง ฉันไม่คิดว่าเธออยากจะเลี้ยงกระต่ายนี้หรอกนะ”
“ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับท่านรอง ว่าแค่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของผมเท่านั้นเอง ผมไม่ได้คิดจะเลี้ยง”
“แต่ว่า…”
“อะวาชิม่าคุง ฟังคำของฟุชิมิคุงเขาหน่อยเถอะนะ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เอาเป็นว่าฉันอนุญาต อย่าให้มันก่อเรื่องละ”
ฟุชิมิล้มตัวลงนอนกับพื้นเตียง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหม่อมองเพดานึกถึงบทสนทนาเมื่อสักครู่ที่เกิดขึ้น กับการเขาบ้าบิ่นยื่นข้อเสนอเอาเจ้ากระต่ายนี่มาอยู่ในความดูแล เพียงเพราะสะดุดกับคำไม่กี่คำว่ามันต้องอยู่ที่ห้องทดลองตลอดชีวิต
ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยหรือคิดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงโครามครามคล้ายกับอะไรสักอย่างชนกับของในห้องของเขา กระต่ายสีน้ำตาลส้มตัวเดิมตัวนั้นกำลังสะบัดหัวไปมา เอาเท้าหน้าคลำหัวเบาๆคล้ายกับเจ็บที่หัว แล้วฟุชิมิหันยังโต๊ะที่มีร่องรอยการเคลื่อนที่
ก็พอจะอนุมานได้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่คงวิ่งซนจนชนเขากับขาโต๊ะละสิท่า
“กระต่ายโง่เอ๊ย” ชายหนุ่มบ่นอุบอิบ ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มขบขัน พลางยันตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังเจ้าก้อนขนขดกลม เอื้อมมือไปลูบศีรษะเบาๆ “ทีหน้าทีหลัง วิ่งระวังๆ หน่อยสิ”
กระต่ายตัวนั้นจ้องหน้าเหมือนกับไม่พอใจที่ถูกต่อว่า ก่อนจะขยับหัวคลอเคลียรับสัมผัสที่ลูบเบาๆเหนือหัวตัวเอง แล้วตากลมโตนั้นก็จ้องเป็นประกายเหมือนต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง
“หิวรึไง” ฟุชิมิลุกขึ้นยืน พลางพาร่างของตัวเองไปหยิบจับถุงพลาสติกที่ข้างในเต็มไปด้วยอาหาร เครื่องมือเครื่องใช้ สำหรับการเลี้ยงกระต่าย นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มก้มพิจารณาพลางทวนความจำเงียบๆในตอนที่ฟังเจ้าของร้านนั้นสาธยายถึงวิธีการเลี้ยงกระต่าย
“ทานผักได้บ้างก็จริงครับ แต่ต้องล้างให้สะอาด ต้องเลือกประเภทผักด้วย เพราะบางอย่างไม่ดีกับกระต่าย ให้ทานหญ้าจะดีกว่า”
“ยุ่งยากชะมัด” คนตัวสูงบ่นอุบอิบ เหลือบมองสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่โดดขึ้นลง สีหน้าบ่งบอกว่าสงสัยแค่ไหนว่าทำไมเขาถึงสนใจถุงพลาสติกในมือมากนัก แล้วมันก็เข้าใจ หลังจากที่ฟุชิมิสาวเท้าเข้าใกล้เคาท์เตอร์เล็กๆ ในห้องเพื่อล้างอะไรสักอย่าง ก่อนกลับมายื่นอาหารโปรดอย่างผักให้กับตัวมันเอง
กระต่ายขนสีน้ำตาลส้มเคี้ยวตุ้ย จนผู้รับเลี้ยงต้องเอ่ยปากเตือนให้ทานช้าๆ มันถึงจะยอมลดความเร็วในการทานลง
“หยุดทานทำไมละ รึว่าอิ่มแล้ว” กระต่ายสีส้มตัวนั้นส่ายหน้าไปมา สะบัดหน้าหนีผักที่เข้าป้อนให้ เท้าหน้าทั้งสองผลักออกไป สื่อเป็นทางอ้อมว่าต้องการแบ่งผักบางส่วนให้อีกฝ่ายทานด้วย
“ฉันไม่แย่งหรอกน่า กินเข้าไปเท่าที่ตัวเองอยากเถอะ กระต่ายโง่” ว่าแล้วมือเรียวที่กุมดาบก็ยื่นผักที่ขาหน้าของกระต่ายหูตกเขี่ยมาให้คืนที่เดิม
กระต่ายขนสีน้ำตาลออกส้มหม่น ไหนจะตากลมโตจ้องจะเอาแต่ใจ บวกกับพวกพฤติกรรมร่าเริงวิ่งไปรอบๆ ไม่เคยดู รึระวัง ตัวเล็ก อวดดี โมโหร้าย พอทำดีเข้าหน่อยก็ติดแจ้ ทุกสิ่งล้วนชวนให้คิดถึงใครสักคนที่เขาขาดการติดต่อไปเสียนาน
อาจจะได้เจอกันบ้าง ก็มีแต่สถานการณ์บังคับ แถมการพูดจาก็มีบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด ยิ่งการติดต่อคงไม่ต้องพูดถึง ช่องทางทุกอย่างที่เป็นส่วนตัวขาดสะบั้นพร้อมๆ กับมิตรภาพที่เขาเป็นฝ่ายทิ้งมันไปเอง
“หูตก เหมือนกันด้วย” ฟุชิมิเอื้อมมือไปจับและเล่นหูของอีกฝ่ายที่ตกลู่เบาๆ เจ้ากระต่ายแสดงทีท่าชอบใจเล็กน้อยทันทีที่เขาสัมผัสมันอย่างอ่อนโยนและเหย้าแหย่เล่น ชวนนึกถึงอดีตเพื่อนสนิทที่มักจะหลุดหัวเราะเสมอเวลาเขาแตะปลายผมของอีกฝ่ายในตำแหน่งเดียวกับหูของกระต่ายที่อยู่ตรงหน้า
“ยังไม่มีชื่อสินะ…”
ฟุชิมินิ่งเงียบไปชั่วขณะ ตรงข้ามกับตัวก้อนขนตัวน้อยกลับให้ความสนใจกับอาหาร เคี้ยวเต็มปาก มีบ้างที่เงยหน้ามองบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ
“เรียก มิซากิ ก็แล้วกัน เหมือนกันดี”
“เข้าใจไหม ตั้งแต่วันนี้ไป ชื่อ มิซากิ นะ”
“กระตายโง่เอ๊ย…”
#3
เป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับเหล่าพนักงานภาครัฐฯอย่าง เซปเตอร์โฟร์ ที่ยังอาศัยอยู่ ณ หอพัก จะได้เห็นภาพหัวหน้าอายุยังน้อยอย่าง ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ ถือถุงจากร้านขายสัตว์เลี้ยง อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ แถมติดต่อนานเป็นระยะเวลาร่วมสองเดือน
หากตั้งใจฟังวงสนทนาจะได้อย่างเรื่องที่หัวหน้าคนนั้นตัดสินใจรับดูแลกระต่ายทีเป็นสเตรน โดยผ่านคำอนุมัติจาก ผบ. เป็นที่เรียบร้อย นั้นยิ่งทำให้คนแทบจะยกสำนักงานแสดงทีท่าตกใจเมื่อคนอย่างหัวหน้าฟุชิมิเลี้ยงกระต่าย
บอกตามตรงว่าคิดภาพไม่ออก
ก็ถือเป็นหัวข้อสนทนายอดฮิตอยู่พักใหญ่ๆ จนเข้าสู่เดือนที่สามนั้นแหละ ถึงจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่
#4
ฟุชิมิเคยคิดว่าการเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่ยุ่งยาก และทุกวันนี้เขาก็ยังคงคิดแบบนั้นอยู่…
กระต่ายมิซากิที่ชื่อคล้ายอดีตเพื่อนสนิทนั้นซุกซน บ้าพลัง แถมยังร่าเริงไม่เข้าท่า วันไหนได้หยุดพักสบายๆ ก็เอาแต่วิ่งเล่นจนชนของโครมครามในห้องให้ลำบาก ถ้าหนักหน่อยก็ต้องทำใจยักษ์ใจมาร ดุแรงๆ ไปสักหน บางครั้งก็กระโดดไปมาอย่างไม่รู้จักเหนื่อยเพียงเพื่อให้เขาเลิกสนใจกับหนังสือที่อยู่ในมือ
เขาไม่รู้ว่าควรเล่นกับกระต่ายแบบไหน แต่สำหรับกระต่ายมิซากินั้นโปรดปรานการวิ่งไปรอบๆ ห้องเป็นพิเศษ เคยได้ยินคำแนะนำจากเจ้าของร้านที่เขาไปอุดหนุนประจำว่าเขาควรจะวิ่งเล่นไล่จับกับมันบ้าง แต่คำนั้นกลับทำให้ฟุชิมิขนลุก
แน่นอน เขาไม่คิดแม้แต่สักเสี้ยวจะทำและโชคดีด้วยที่เจ้ากระต่ายชนสีน้ำตาลส้มไม่เซ้าซี้เกินความจำเป็น แค่ลูบหัว ลูบตัวนิดๆ หน่อยๆ เล่นกับใบหูที่ตกลู่พอเป็นพิธี ก็เป็นอันใช้ได้
“เสียงดังเกินไปแล้ว มิซากิ” คนตัวสูงขมวดคิ้ว สอดที่คั่นหนังสือแล้วปิดลง ละสายตาจากหน้ากระดาษก่อนจ้องมองไปยังกระต่ายหูตกที่พึ่งทำเสียงโครมครามไป มันชะงักไปชั่วขณะหันมามองอีกฝ่าย
“เฮ้อ มานี่มา” แม้จะถอดหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่น้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้แข็งกระด้าง ฟุชิมิตบมือลงกับพื้นห้องเบาๆ ก่อนที่เจ้าตัวขนปุยสีน้ำตาลส้มจะเลิกสนใจการวิ่งเล่นมาหยุดอยู่ข้างๆ คลอเคลียให้มือกร้านลูบไปทั่วหัวและใบหูที่ตกลู่
ว่าง่าย เหมือนมิซากิอีกคนสมัย ม.ต้น ถึงจะดื้อไปบ้างก็ตาม
พอนึกขึ้นมาได้ ก็อยากเจอ…
ฟุชิมิเผลอขมวดคิ้ว หยุดมือกับการลูบหัวไปสักพัก จนกระต่ายมิซากิต้องเอาจมูกมาดุนๆ กับมือใหญ่เป็นการเรียกสติและความสนใจให้กลับมาสัมผัสตัวมันอีกครั้ง และผู้เป็นเจ้าของก็ทำตามคำเรียกร้องนั้นแต่โดยดี ในขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างที่ว่างปิดหนังสือที่เขาอ่านทิ้งเอาไว้ ไม่ทันจะได้อ่านพ้นหนึ่งย่อหน้า มือก็รู้สึกได้ถึงความสากของลิ้นและความรู้สึกที่เปียกชื้น กระต่ายหูตกข้างๆ กำลังเลียมือเขาอยู่
“ฮ่ะๆ จะว่าไป รู้ไว้ก็ดีนะครับ กระต่ายเลียหมายถึงกระต่ายรักคนๆนั้นนะ”
เสียงเจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงดังก้องในใจ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองกร่ายที่พยามเลียมือเขาเอาเป็นเอาตายผ่านหลังเลนส์แว่น ชายหนุ่มหลุดยิ้มบางๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก
“กระต่ายโง่เอ๊ย”
ทั้งๆ ที่ว่าง่ายขนาดนั้น ตัวติดขนาดนั้น ทำไมตอนนี้นายไม่อยู่ข้างๆฉันกันนะ
มิซากิ
วินาทีนั้นเองที่กระต่ายหูตกสีน้ำตาลเห็นเจ้าของของมันกำลังทำสีหน้าเศร้าก่อนกลับเป็นปรกติและลูบหัวมันต่อ
ความคิดเห็น