ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic [K Project] : Bunny! Rabbit!

    ลำดับตอนที่ #1 : Bunny! Bunny!!

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 56


     

     

    #1


                    งานของเซปเตอร์โฟร์เพิ่มขึ้นทุกวัน

     


     

                    ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ ไม่ได้คิดไปเอง แต่หลังจากตายของราชาลำดับที่สามอย่าง สุโอ มิโคโตะ เหล่าสเตรนผิดกฎหมาย รึ พวกใต้ดินก็เริ่มเคลื่อนไหวกันมากขึ้น จนงานเริ่มล้นมือ บางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ แท้จริงแล้วงานของเซปเตอร์โฟร์นั้นถูกแบ่งครึ่ง ส่วนอีกครึ่งโฮมุระเป็นคนจัดการไปเพราะถือว่าเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่

                   


                    และเมื่อไม่มีโฮมุระที่คอยรับมือช่วย เซปเตอร์โฟร์จึงจำเป็นต้องรับภาระหน้าที่ดั่งเดิม

     


     

                    ชายหนุ่มผู้สวมแว่นกรอบหนาสี่เหลี่ยมส่งเสียงไม่พอใจในลำคอกับงานล่าสุดที่ได้รับมอบหมาย อันที่จริงมันก็แค่งานง่ายๆ อย่างการกวาดล้างกลุ่มคนที่รวบรวมเอาสัตว์ที่เป็นสเตรนไปขายต่อทอดในตลาดมืด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจับจ้องไปยังบรรดากรงของสัตว์ที่เป็นสเตรนกำลังทยอยได้รับการตรวจสอบ ก่อนส่งไปยังการควบคุม ณ ที่แห่งใหม่อีกที



                    “เท่าที่เห็นครับ จำนวนไม่มีขาดตกบกพร่อง ที่เหลือเป็นกรงเปล่าๆ คือมีการขายส่งไปแล้ว ส่วนรายชื่อที่ขายส่งต่อตลาดมืดก็ได้มาเรียบร้อยแล้วครับ จะทำการแกะรอยต่อทันที” ฟุชิมิพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อฟังคำรายงานสรุปผล  กวาดสายตามองคร่าวๆมองเอกสารที่อยู่ในมือ


                    “เดี๋ยวสักพักจะส่งไปยังศูนย์ทดลอง แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดครับ” ฟุชิมิพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเหล่าลูกน้องที่รายงานจะแยกย้ายไปทำงาน เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มค่อนดำถอนหายใจเบาๆ

                   

                    ในที่สุดงานวันนี้ก็เสร็จลง

     

     

                    “ขอโทษครับ ช่วยจับเจ้าตัวนั้นไว้หน่อย ใครก็ได้!!” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นแหวกอากาศ คนอายุน้อยที่สุดในหน่วยขยับตัวตามสัญชาตญาณ ขว้างหิ้วตัวลอยกับสิ่งมีชีวิตที่ดีดตัวพุ่งกลางอากาศมาทางที่เขายืนอยู่


                    สิ่งที่สะท้อนผ่านเลนส์แว่นของฟุชิมิคือกระต่ายหูตกตัวเล็ก ขนสีน้ำตาลออกส้มกำลังถูกหิ้วต้นคอห้อยต่องแต่งไปมา มันมีทีท่าฮึดฮัดไม่พอใจพร้อมกับพยามแกว่งตัวไปมาเพื่อให้หลุดจากการจับกุม


                    “อะ เอ่อ ขอบคุณครับ หัวหน้าฟุชิมิ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่เซปเตอร์โฟร์ เอ่ยขอบคุณเลิกลั่ก พลางรับเจ้ากระต่ายท่าทางโมโหร้ายไว้กับมือ


                    “เจ้านี้ ก็เป็นสเตรนรึไง” ฟุชิมิถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองกระต่ายที่พยามดิ้น ซึ่งในสายตาของเขา มองยังไงก็เป็นความพยามที่เปล่าประโยชน์  และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เขาสบตากับตากลมโตของกระต่ายตัวนั้น

     

     

                    ตัวก็เล็ก


                ยังจะทำอวดดีอีก

     

     

                    “คะ ครับ จากรายะละเอียดที่อ่านเจอในแฟ้ม เจ้านี่มีพลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วในชั่วระยะเวลาหนึ่งครับ แต่ถ้าจับตัวได้ก็ไม่มีปัญหากับเรื่องการใช้พลังแล้ว อะ อ้อ อีกอย่างเห็นว่ากระเพาะเจ้านี่ไม่เหมือนกระต่ายทั่วไป สามารถทานได้แม้กระทั่งสารเคมีโดยไม่เป็นอันตรายกับร่างกายด้วยครับ”  แล้วเจ้ากระต่ายนั้นก็ถูกโยนลงกรง



                 “ถามอะไรสักอย่างสิ”


                    “คะ ครับ หัวหน้าฟุชิมิ”


                    “เจ้านี่ จากนี้จะไปไหนต่อรึไง” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องมองกระต่ายขนนปุยสีน้ำตาลส้มพยามพังกรงอยู่นานสองนาน ก่อนจะหมดแรงตัวสั่นอยู่ในกรง ราวกับว่ารู้ชะตากรรมแล้วว่าจะหนีไม่พ้น


                    “ก็คงไปที่ห้องทดลองตรวจสอบเรื่องพลัง จากนั้นคงจะอยู่ที่นั้นต่อเลยมั้งครับ ความสามารถเหมาะกับการทดลองพวกเคมีซะด้วย อ่ะ เอ่อ ขอโทษครับ” ชั่ววูบที่บอกว่าจะอยู่ที่ห้องทดลองตลอดชีวิต ฟุชิมิเผลอหรี่ตาลงคล้ายกับไม่ชอบใจจนทำเอาผู้เป็นลูกน้องสะดุ้ง


                     “ช่างเถอะ จัดการให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”  หูที่ตกอยู่แล้ว ลู่ตก ก้มหน้ามากกว่าเดิม กระต่ายสีน้ำตาลส้มมีทีท่าเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด แล้วกรงที่มันอยู่ก็ถูกหิ้วตัวไปตามคำสั่งของฟุชิมิ

     

     

                    มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องไปยุ่งอยู่แล้ว


                ถึงจะเคยนึกอยากเลี้ยงกระต่ายเพราะให้ช่วยทานผักที่ตัวเองเกลียดก็เถอะ


                ใช่แล้วก็แค่สเตรนตัวหนึ่ง ที่เผลอไปสบตาด้วยก็เท่านั้น

     

     


     

                    #2



                    ฟุชิมิบางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจตัวเอง



                    ชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีวางกรงกระต่ายลงกับพื้นห้อง ก่อนปล่อยเจ้าตัวขนปุยหูตกออกมาวิ่งเล่น มันวิ่งไปรอบๆห้องอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เป็นเพียงการวิ่งที่แสดงถึงความอยากรู้อยากเห็น แสดงถึงท่าทางอันร่าเริงของเจ้าตัว มากกว่าจะวิ่งเพื่อหนีเหมือนตอนที่เขาเห็นครั้งแรก

     


     

                    “ฟุชิมิ เธอจะเอาสเตรนนี่ไปทำอะไร บอกตามตรง ฉันไม่คิดว่าเธออยากจะเลี้ยงกระต่ายนี้หรอกนะ”



                “ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับท่านรอง ว่าแค่ให้อยู่ภายใต้การดูแลของผมเท่านั้นเอง ผมไม่ได้คิดจะเลี้ยง”



                “แต่ว่า


                “อะวาชิม่าคุง ฟังคำของฟุชิมิคุงเขาหน่อยเถอะนะ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เอาเป็นว่าฉันอนุญาต อย่าให้มันก่อเรื่องละ” 

     


     

                    ฟุชิมิล้มตัวลงนอนกับพื้นเตียง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหม่อมองเพดานึกถึงบทสนทนาเมื่อสักครู่ที่เกิดขึ้น กับการเขาบ้าบิ่นยื่นข้อเสนอเอาเจ้ากระต่ายนี่มาอยู่ในความดูแล เพียงเพราะสะดุดกับคำไม่กี่คำว่ามันต้องอยู่ที่ห้องทดลองตลอดชีวิต



                    ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยหรือคิดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงโครามครามคล้ายกับอะไรสักอย่างชนกับของในห้องของเขา กระต่ายสีน้ำตาลส้มตัวเดิมตัวนั้นกำลังสะบัดหัวไปมา เอาเท้าหน้าคลำหัวเบาๆคล้ายกับเจ็บที่หัว แล้วฟุชิมิหันยังโต๊ะที่มีร่องรอยการเคลื่อนที่

     


     

                    ก็พอจะอนุมานได้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่คงวิ่งซนจนชนเขากับขาโต๊ะละสิท่า

     


     

                    “กระต่ายโง่เอ๊ย” ชายหนุ่มบ่นอุบอิบ ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มขบขัน พลางยันตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังเจ้าก้อนขนขดกลม เอื้อมมือไปลูบศีรษะเบาๆ “ทีหน้าทีหลัง วิ่งระวังๆ หน่อยสิ”



                    กระต่ายตัวนั้นจ้องหน้าเหมือนกับไม่พอใจที่ถูกต่อว่า ก่อนจะขยับหัวคลอเคลียรับสัมผัสที่ลูบเบาๆเหนือหัวตัวเอง แล้วตากลมโตนั้นก็จ้องเป็นประกายเหมือนต้องการจะบอกอะไรสักอย่าง



                    “หิวรึไง” ฟุชิมิลุกขึ้นยืน พลางพาร่างของตัวเองไปหยิบจับถุงพลาสติกที่ข้างในเต็มไปด้วยอาหาร เครื่องมือเครื่องใช้ สำหรับการเลี้ยงกระต่าย นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มก้มพิจารณาพลางทวนความจำเงียบๆในตอนที่ฟังเจ้าของร้านนั้นสาธยายถึงวิธีการเลี้ยงกระต่าย

     


     

                    “ทานผักได้บ้างก็จริงครับ แต่ต้องล้างให้สะอาด ต้องเลือกประเภทผักด้วย เพราะบางอย่างไม่ดีกับกระต่าย ให้ทานหญ้าจะดีกว่า”

     


     

                    “ยุ่งยากชะมัด” คนตัวสูงบ่นอุบอิบ เหลือบมองสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่โดดขึ้นลง สีหน้าบ่งบอกว่าสงสัยแค่ไหนว่าทำไมเขาถึงสนใจถุงพลาสติกในมือมากนัก แล้วมันก็เข้าใจ หลังจากที่ฟุชิมิสาวเท้าเข้าใกล้เคาท์เตอร์เล็กๆ ในห้องเพื่อล้างอะไรสักอย่าง ก่อนกลับมายื่นอาหารโปรดอย่างผักให้กับตัวมันเอง



                    กระต่ายขนสีน้ำตาลส้มเคี้ยวตุ้ย จนผู้รับเลี้ยงต้องเอ่ยปากเตือนให้ทานช้าๆ มันถึงจะยอมลดความเร็วในการทานลง


                    “หยุดทานทำไมละ รึว่าอิ่มแล้ว” กระต่ายสีส้มตัวนั้นส่ายหน้าไปมา สะบัดหน้าหนีผักที่เข้าป้อนให้ เท้าหน้าทั้งสองผลักออกไป สื่อเป็นทางอ้อมว่าต้องการแบ่งผักบางส่วนให้อีกฝ่ายทานด้วย



                    “ฉันไม่แย่งหรอกน่า กินเข้าไปเท่าที่ตัวเองอยากเถอะ กระต่ายโง่” ว่าแล้วมือเรียวที่กุมดาบก็ยื่นผักที่ขาหน้าของกระต่ายหูตกเขี่ยมาให้คืนที่เดิม 



                    กระต่ายขนสีน้ำตาลออกส้มหม่น  ไหนจะตากลมโตจ้องจะเอาแต่ใจ บวกกับพวกพฤติกรรมร่าเริงวิ่งไปรอบๆ ไม่เคยดู รึระวัง ตัวเล็ก อวดดี โมโหร้าย พอทำดีเข้าหน่อยก็ติดแจ้ ทุกสิ่งล้วนชวนให้คิดถึงใครสักคนที่เขาขาดการติดต่อไปเสียนาน


                    อาจจะได้เจอกันบ้าง ก็มีแต่สถานการณ์บังคับ แถมการพูดจาก็มีบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด ยิ่งการติดต่อคงไม่ต้องพูดถึง ช่องทางทุกอย่างที่เป็นส่วนตัวขาดสะบั้นพร้อมๆ กับมิตรภาพที่เขาเป็นฝ่ายทิ้งมันไปเอง


                    “หูตก เหมือนกันด้วย” ฟุชิมิเอื้อมมือไปจับและเล่นหูของอีกฝ่ายที่ตกลู่เบาๆ เจ้ากระต่ายแสดงทีท่าชอบใจเล็กน้อยทันทีที่เขาสัมผัสมันอย่างอ่อนโยนและเหย้าแหย่เล่น ชวนนึกถึงอดีตเพื่อนสนิทที่มักจะหลุดหัวเราะเสมอเวลาเขาแตะปลายผมของอีกฝ่ายในตำแหน่งเดียวกับหูของกระต่ายที่อยู่ตรงหน้า



                    “ยังไม่มีชื่อสินะ


                    ฟุชิมินิ่งเงียบไปชั่วขณะ ตรงข้ามกับตัวก้อนขนตัวน้อยกลับให้ความสนใจกับอาหาร เคี้ยวเต็มปาก มีบ้างที่เงยหน้ามองบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ



                    “เรียก มิซากิ ก็แล้วกัน เหมือนกันดี”


                    “เข้าใจไหม ตั้งแต่วันนี้ไป ชื่อ มิซากิ นะ”


                    “กระตายโง่เอ๊ย

     

     

                    #3



                    เป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับเหล่าพนักงานภาครัฐฯอย่าง เซปเตอร์โฟร์ ที่ยังอาศัยอยู่ ณ หอพัก จะได้เห็นภาพหัวหน้าอายุยังน้อยอย่าง ฟุชิมิ ซารุฮิโกะ ถือถุงจากร้านขายสัตว์เลี้ยง อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ แถมติดต่อนานเป็นระยะเวลาร่วมสองเดือน



                    หากตั้งใจฟังวงสนทนาจะได้อย่างเรื่องที่หัวหน้าคนนั้นตัดสินใจรับดูแลกระต่ายทีเป็นสเตรน โดยผ่านคำอนุมัติจาก ผบ. เป็นที่เรียบร้อย นั้นยิ่งทำให้คนแทบจะยกสำนักงานแสดงทีท่าตกใจเมื่อคนอย่างหัวหน้าฟุชิมิเลี้ยงกระต่าย

     


     

                    บอกตามตรงว่าคิดภาพไม่ออก

     


     

                    ก็ถือเป็นหัวข้อสนทนายอดฮิตอยู่พักใหญ่ๆ จนเข้าสู่เดือนที่สามนั้นแหละ ถึงจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่

     


     

                    #4



                    ฟุชิมิเคยคิดว่าการเลี้ยงสัตว์เป็นสิ่งที่ยุ่งยาก และทุกวันนี้เขาก็ยังคงคิดแบบนั้นอยู่

                   


                    กระต่ายมิซากิที่ชื่อคล้ายอดีตเพื่อนสนิทนั้นซุกซน บ้าพลัง แถมยังร่าเริงไม่เข้าท่า วันไหนได้หยุดพักสบายๆ ก็เอาแต่วิ่งเล่นจนชนของโครมครามในห้องให้ลำบาก ถ้าหนักหน่อยก็ต้องทำใจยักษ์ใจมาร ดุแรงๆ ไปสักหน บางครั้งก็กระโดดไปมาอย่างไม่รู้จักเหนื่อยเพียงเพื่อให้เขาเลิกสนใจกับหนังสือที่อยู่ในมือ



                    เขาไม่รู้ว่าควรเล่นกับกระต่ายแบบไหน แต่สำหรับกระต่ายมิซากินั้นโปรดปรานการวิ่งไปรอบๆ ห้องเป็นพิเศษ เคยได้ยินคำแนะนำจากเจ้าของร้านที่เขาไปอุดหนุนประจำว่าเขาควรจะวิ่งเล่นไล่จับกับมันบ้าง แต่คำนั้นกลับทำให้ฟุชิมิขนลุก



                    แน่นอน เขาไม่คิดแม้แต่สักเสี้ยวจะทำและโชคดีด้วยที่เจ้ากระต่ายชนสีน้ำตาลส้มไม่เซ้าซี้เกินความจำเป็น แค่ลูบหัว ลูบตัวนิดๆ หน่อยๆ เล่นกับใบหูที่ตกลู่พอเป็นพิธี ก็เป็นอันใช้ได้



                    “เสียงดังเกินไปแล้ว มิซากิ” คนตัวสูงขมวดคิ้ว สอดที่คั่นหนังสือแล้วปิดลง ละสายตาจากหน้ากระดาษก่อนจ้องมองไปยังกระต่ายหูตกที่พึ่งทำเสียงโครมครามไป มันชะงักไปชั่วขณะหันมามองอีกฝ่าย



                    “เฮ้อ มานี่มา” แม้จะถอดหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่น้ำเสียงนั้นกลับไม่ได้แข็งกระด้าง ฟุชิมิตบมือลงกับพื้นห้องเบาๆ ก่อนที่เจ้าตัวขนปุยสีน้ำตาลส้มจะเลิกสนใจการวิ่งเล่นมาหยุดอยู่ข้างๆ คลอเคลียให้มือกร้านลูบไปทั่วหัวและใบหูที่ตกลู่

                   


                    ว่าง่าย เหมือนมิซากิอีกคนสมัย ม.ต้น ถึงจะดื้อไปบ้างก็ตาม



                พอนึกขึ้นมาได้ ก็อยากเจอ



     

                    ฟุชิมิเผลอขมวดคิ้ว หยุดมือกับการลูบหัวไปสักพัก จนกระต่ายมิซากิต้องเอาจมูกมาดุนๆ กับมือใหญ่เป็นการเรียกสติและความสนใจให้กลับมาสัมผัสตัวมันอีกครั้ง และผู้เป็นเจ้าของก็ทำตามคำเรียกร้องนั้นแต่โดยดี ในขณะเดียวกันก็ใช้มือข้างที่ว่างปิดหนังสือที่เขาอ่านทิ้งเอาไว้ ไม่ทันจะได้อ่านพ้นหนึ่งย่อหน้า มือก็รู้สึกได้ถึงความสากของลิ้นและความรู้สึกที่เปียกชื้น กระต่ายหูตกข้างๆ กำลังเลียมือเขาอยู่

     


     

                    “ฮ่ะๆ จะว่าไป รู้ไว้ก็ดีนะครับ กระต่ายเลียหมายถึงกระต่ายรักคนๆนั้นนะ”

     


     

                    เสียงเจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงดังก้องในใจ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองกร่ายที่พยามเลียมือเขาเอาเป็นเอาตายผ่านหลังเลนส์แว่น ชายหนุ่มหลุดยิ้มบางๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก



                    “กระต่ายโง่เอ๊ย”

     


     

                ทั้งๆ ที่ว่าง่ายขนาดนั้น ตัวติดขนาดนั้น ทำไมตอนนี้นายไม่อยู่ข้างๆฉันกันนะ

     


     

                มิซากิ

     



     

                   

                    วินาทีนั้นเองที่กระต่ายหูตกสีน้ำตาลเห็นเจ้าของของมันกำลังทำสีหน้าเศร้าก่อนกลับเป็นปรกติและลูบหัวมันต่อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×