คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ว่าด้วยการเดินถอยหลัง
ปีใหม่
งานใหม่
รักครั้งใหม่
ชีวิตใหม่
เริ่มต้นใหม่
เราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกอย่าง
ชีวิตสดใส ราบรื่น ปูทางสดใส ราบรื่น
ราบรื่น ทางสะดวก
อะไรใหม่ๆก็เกิดขึ้นได้
ปีใหม่
งานใหม่
รักครั้งใหม่
ยิ้ม
รับวันใหม่
...........
29 ธ.ค. 50 -- ว่าด้วยการเดินถอยหลัง
วันเสาร์ธรรมดาหนึ่งวัน อากาศปลอดโปร่ง คนเดินพลุกพล่าน รถยังติดเหมือนเคย อากาศร้อน คนเดินพลุกพล่าน เสียงแตรแว่วเป็นพักๆ มองไปรอบๆก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน จริงๆก็ตั้งแต่เมื่อวานซืน จริงๆก็เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่จำความได้ ท้องฟ้าสีฟ้า หรือไม่ใช่นะ ปกติคนไม่ค่อยมองฟ้าเท่าไรนัก ลองคิดดูสิ ใครบ้างจะจงใจเงยหน้าขึ้นให้แสงแดดกรุงเทพทิ่มแทงตาเล่นเพียงเพราะอยากจะเห็นสีของท้องฟ้า ทุกคนดูเหมือนจำเป็นต้องเดินจ้ำอ้าวเข้าที่ทำงานทั้งนั้น ดังนั้นท้องฟ้าอาจไม่ได้เป็นสีฟ้าตลอดวันก็ได้ เบื้องหลังแดดแสบนัยน์ตาอาจเป็นผืนผ้าใบสีเขียว สีม่วง สีเหลือง แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่มีใครสนใจ เพราะทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการมองทางตรงหน้า แล้วรีบเดินต่อไป ไม่ว่าจุดหมายจะเป็นจุดใดบนโลกก็ตาม คนเราต้องหันไปเผชิญหน้ากับทางตรงหน้า แล้วมองไปข้างหน้า แล้วเดินต่อไป บางคนอาจจะเปลี่ยนเส้นทาง ต้องเลี้ยวซ้าย ทะแยงขวา หรือเกิดเอะใจกลางทางว่า “สงสัยกูเดินผิดทาง” เลยต้องหยุด หันหลังกลับ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีใครเดินถอยหลัง คุณหลงทางเหรอ? คุณหมุนไปรอบตัว สังเกตการณ์ ถามคนรายรอบ อาจงุนงงเล็กน้อยถึงมากถึงมากที่สุด แต่คุณไม่เดินถอยหลัง ตามหลักธรรมชาติ ตาคุณต้องมุ่งไปในทิศทางเดียวกับเส้นทางที่จะเดิน แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้า ก้าวถอยหลังมีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงให้ลื่นชนหงายหลังศีรษะกระแทกพื้น อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จริงๆแล้วการก้าวไปข้างหน้าก็มีความเสี่ยงสะดุดล้มศีรษะขมำทิ่มพื้น แต่ความเสี่ยงนั้นน้อยกว่า เพราะคุณใช้สายตาระวังหน้าได้ ตามหลักการทางกายภาพ คนเราเดินไปข้างหน้า ไม่มีใครเดินถอยหลัง
วันนี้เป็นวันแดดจ้า อากาศรอบๆดูเป็นสีขาวอบอ้าว ผู้คนเดินขวักไขว่ และแน่นอน ไม่ว่าพวกเขาจะเดินคนเดียว เป็นคู่ เป็นหมู่คณะ มุ่งทิศเหนือ ใต้ ออก ตก เดินสวน เดินแซง เดินเบียด หรือแม้แต่วิ่ง พวกเขาทุกคนเดินไปข้างหน้า ผู้หญิงคนหนึ่งเดินอย่างมาดมั่นบนส้นสูงมุ่งหน้าเข้าสำนักงานของเธอ ผู้ชายอีกคนสวมรองเท้าผ้าใบ แบกกระเป๋าใบใหญ่เข้าฟิตเนส วัยรุ่นคู่รักทอดน่องจูงมือกันเข้าร้านอาหาร คนอีกหลายร้อยคนในรัศมีหลายร้อยเมตรมีเส้นทางเป็นของตัวเอง และต่างดำเนินทางของตน วุ่นวายอยู่กับก้าวของตัวเอง และระยะปลอดภัยบนทางเบื้องหน้าของตน ถ้ามองลงมาจากตึกระฟ้า สิ่งที่เห็นคือ จุดสีมากมายเคลื่อนที่ขวักไขว่ให้วุ่น เสมือนไร้ทิศทาง ต่างจุดต่างไม่มีเวลาหยุดทักทายกันและกัน ต่างจุดต่างเป็นคนแปลกหน้าทั้งๆที่รูปร่างหน้าตาก็ดูเหมือนกันหมด อย่างไรก็ดี หากซูมเข้ามาดูใกล้ๆอีกครั้ง จุดจะเริ่มขยาย รายละเอียดที่เริ่มปรากฎทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละคนบ้างเล็กน้อย แต่ที่เห็นเด่นชัดคือ จุด (หรือคน) เหล่านี้ไม่ได้ไร้ทิศทาง และที่สุดแห่งที่สุดของความจริงคือ ทุกจุด (หรือทุกคน) เดินไปข้างหน้า
เธอคือหนึ่งในจุดเหล่านั้น และวันนี้เธอยังไม่ได้ตัดสินใจเดินถอยหลัง เหตุผลหลักก็คือเธอต้องรีบไปทำงานให้ทันเวลา ออฟฟิสยังตั้งอยู่ที่เดิม ณ ริมถนนสายหนึ่งใจกลางกรุงเทพ ออฟฟิสไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนมาเป็นเวลาห้าเดือนแล้ว แม้คนที่แวะเวียนเข้ามาจะมีรายละเอียดต่างกันออกไปมากมายจนเธอจำไม่หวัดไม่ไหว และแม้พวกเขามีความถี่ในการเดินตัดผ่าน หรือวนเวียนในออฟฟิสแห่งนี้หลายหลากไปเท่าใด เธอจำได้เสมอว่า หนึ่ง เธอต้องเข้างานแปดโมงครึ่งเสมอ สอง เธอต้องยิ้มเสมอ และสาม ทุกคนเดินไปข้างหน้าเสมอ รวมทั้งเธอด้วย สรุปง่ายๆคือ เธอเป็นคนขับรถ มองไปข้างหน้า ขับไปตามเลนของตัวเอง ทิ้งระยะห่างจากรถข้างหน้า ส่วนที่เหลือก็ภาวนาอย่าให้รถคันอื่นขับมาชนเป็นพอ และเธอเป็นคนขับที่ดีเลิศมาตลอดห้าเดือน ขับอย่างสบายใจ ใจลอยเล็กน้อยแต่เรียกกลับมาได้เสมอ ไม่เคยขับชน และไม่เคยถูกชน และความลับก็คือ ... เธอกำลังจะได้เปลี่ยนรถคันใหม่ที่พ่วงเส้นทางใหม่มาให้ด้วย
บ่ายวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2550 เธอไม่แน่ใจว่าเดินไปตรงนั้นทำไม บางทีอาจเป็นสารเคมีบางชนิดบนปลายรองเท้าที่บังเอิญมีปฏิกริยาดึงดูดกับสารเคมีอีกชนิดบนทิศทางนั้น คนหนึ่งคนที่มีรายละเอียดคุ้นตานั่งวุ่นอยู่กับงานเอกสารบนโต๊ะ เธอจำเขาได้ เขาเป็นลูกค้าที่แวะเวียนมาทุกสุดสัปดาห์ มีลูกค้าอีกหลายสิบเดิน ยืน นั่ง กระจายอยู่ตามโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสยี่สิบห้าตัว บ้างนั่งคนเดียวจิบกาแฟแก้เขิน บ้างแกล้งวุ่นกับการอ่านหนังสือพิมพ์ บ้างวุ่นอยู่กับการอ่านจริงๆ บ้างนั่งจับกลุ่มสนทนา ทุกคนมีรายละเอียดยิบย่อยต่างกันออกไป แต่ในวินาทีนั้น ทุกคนดูเป็นจุดเหมือนกันหมด ยกเว้นเขา ทุกคนยกเว้นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งทำงานอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง วินาทีต่อมา จุดรายรอบคล้ายจะทยอยหายวับไปจากกระจกข้างทั้งสองของเธอ ขณะที่รายละเอียดรายรอบตัวเขาเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ โต๊ะโลหะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว เอกสารหนึ่งกอง ปากกาหนึ่งด้ามในมือเขา นาฬิกาเรือนใหญ่สีดำบนข้อมือซ้าย เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ลายพิมพ์ยี่ห้อ ADIDAS สร้อยทองห้อยพระบนคอ ใบหน้าที่กำลังขะมักขเม้นกับกระดาษตรงหน้า ใบหูค่อนข้างเล็กที่มีรอยเจาะทิ้งว่างไว้ และผมสีดำกึ่งสั้นกึ่งยาวที่มีปอยเล็กๆสีขาวหนึ่งปอยปรกบนหน้าผาก เสียงจอแจรายรอบค่อยๆกลืนหายไปกับอากาศเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ
และแล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท เธอยิ้มให้เขา เขายิ้มกลับ เธอเคยเห็นรอยยิ้มนี้มาก่อน สิ่งนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีรายละเอียดคุ้นตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์และขี้เล่น เธอมองเขาในระยะใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก ใกล้พอที่จะสังเกตแววตาตรงหน้าได้ถนัด แล้วทุกสิ่งภายนอกก็นิ่งสนิทขณะที่ลมหายใจภายในเริ่มรวนไม่เป็นจังหวะ
“แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน”
ยิ้มของเขายังปรากฎอยู่บนใบหน้า แต่แววตาช่างสงสัยเริ่มแปรเป็นหวาดระแวง “ฮะ” เขาหลุดปากออกมาเบาๆ “ว่าไงนะครับ”
เธอเขยิบเก้าอี้ออกมา แล้วนั่งลงตรงข้ามเขา “จำได้มั้ยคะว่าชื่ออะไร”
“ฮะ” สายตาของเขายังงุนงง แน่นอนว่าเขาได้ยินทุกคำชัดเจน “อะไรนะครับ”
เธอท้าวแขนลงบนโต๊ะโลหะผิวเย็นเฉียบ แล้วขยับตัวโน้มเข้าใกล้เขามากขึ้นอีกนิด ปากยังคงยิ้ม แต่ในใจพลางคิดถึงความน่าจะเป็นที่เขาจะจำหน้าเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเป็นคนผิวขาว ใบหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อย แต่พลังงานเต็มเปี่ยมยังส่องผ่านทางดวงตาชัดเจน “พี่เบนจำได้มั้ยคะว่าชื่ออะไร”
คล้ายจะจับคำพูดที่ได้ยินได้ทุกคำ แต่จับความไม่ได้ซักคำ เขาตอบกลับว่า “จำได้สิ ชื่อเบนไง”
เธอหัวเราะลั่น ซึ่งทำให้เขาถึงกับผงะ และแสดงสีหน้าระแวงยิ่งขึ้น “ไม่ใช่” เธอพยายามหยุดหัวเราะ “ที่....” แล้วก็ชะงัก “ที่...” แล้วก็ชะงักอีกรอบก่อนจะหลุดคำคำหนึ่งออกมา “หนู” แล้วเธอก็อ้ำอึ้ง แล้วคั้นคำใหม่อีกคำออกมา “ชะ...ชั้น” แล้วเธอก็ถอนใจ “ชื่ออะไร”
เขากลับมายิ้มอีกครั้ง สีหน้าโล่งอก “อ๋อ จำได้สิ แอร์ไง ใช่มั้ย”
“แอร์มีปัญหากับไอ้สรรพนามนี่ตลอด ชั้นก็แก่ หนูก็เด็ก เรียกชื่อตัวเองก็กันเองเกิน เป็นผู้หญิงไทยนี่ลำบากนะ”
“เรียกแอร์ก็ได้” เขาพูดเคล้าหัวเราะ “จำได้ จำได้”
แล้วช่วงห่างแห่งความเงียบก็ทอดเป็นทางยาว เขามองเธอ เธอมองเขา เขาเลี่ยงสายตามองปลายผมของเธอ เธอยังคงมองเขา เขาหลบสายตามองลงบนโต๊ะ สายตาเธอยังแน่วแน่ เขาเริ่มควงปากกาเล่นในมือ เธอเห็นว่าเขาควงปากกาเล่นในมือ อากาศที่ปกคลุมเขาอยู่คงอึดอัดน่าดู
“แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน”
การเคลื่อนไหวของปากกาหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นจ้องเธอ แม้แต่ยิ้มก็ไม่ปรากฎอีกแล้ว “เหรอครับ”
เธอยังรอคำต่อไปให้หลุดจากปากของชายตรงหน้าอย่างไม่รีบร้อน
“เออ.... ผม ...เออ ... พี่ว่า” เธอยังยิ้มรอฟัง “แล้ว... เศร้ามั้ย”
“ไม่เท่าครั้งแรกหรอกค่ะ”
แล้วเสียงจอแจรายรอบก็เริ่มแว่วให้เธอได้ยินอีกครั้ง เสียงที่จับใจความไม่ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ
“โทดทีค่ะที่มากวน พี่เบนทำงานต่อเถอะค่ะ โทดทีค่ะ” เธอลุกขึ้น ในใจรู้ดีว่าคนขับรถที่ดีต้องไม่จู่โจมคนขับคนอื่นด้วยประโยคเช่น เพิ่งเลิกกะแฟนมา แต่ทำไงได้ ก็เธออยากบอกเขานี่ แค่อยากบอกให้รู้ ก็เท่านั้น ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะมาอ้อมค้อม แต่ก็เอาเถอะ ถ้าทุกอย่างมันยากขนาดนี้ เธอขับรถไปเรื่อยคนเดียวต่อไปโดยไม่แวะจอดข้างทางก็ได้
“ป่าวครับ ป่าว แอร์ไม่ได้กวน” เขาโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้เธอไป เธอหยุดมองชั่วขณะ ต่างคนต่างจ้องหน้ากัน เขาขมวดคิ้วนิดๆแล้วหัวเราะ “นั่งคุยกันก่อนก็ได้” เธอยังลังเลที่จะนั่งต่อ เขาจึงลุกขึ้นแล้วย้ำ พูดพร้อมหัวเราะ “จริงๆ มา .... นั่งคุยกันก่อน”
เขาสวมกางเกงขาสั้นตัวใหญ่กับรองเท้าแตะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเป็นผู้ชายตัวเล็ก หรือ เสื้อยืดกางเกงลายทหารตัวใหญ่เกินไปกันแน่ แต่ภาพรวมที่เห็นทำให้เธอยิ้มอีกครั้ง เธอขยับเก้าอี้เข้ามานั่งต่อ
“พี่แต่งตัวน่ารักดี” เธออดไม่ได้ที่จะกัดเล็บมือชั่วขณะ แล้วใช้หลังมือนัวเนียอยู่ตรงคางและริมฝีปาก วิธีนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อยที่จะแสดงความชอบให้ชายตรงหน้าได้เห็น
“น่ารักยังไง” เขาใช้มือเสยผม ทำหน้าเหรอหรา
“ไฮไลท์สวยดี” เธอส่งสัญญาณมือไปทางผมหน้าของเขา “แต่เห็นไม่ค่อยชัดแล้ว”
“เนี่ยน่ะเหรอ” เขาเสยผมหน้าขึ้นอีก “ไม่ใช่ไฮไลท์ เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
“อ่าว จริงเหรอคะ” เขายิ้มแล้วใช้นิ้วปัดผมหน้า ตาเหลือบมองปอยผมสีขาว “แล้วทำไมมีกระจุกเดียวล่ะ”
เขาหัวเราะ “ก็ ตอนนั้นทำงานอยู่ไซท์ก่อสร้าง หลายปีแล้วแหละ มีสารเคมีมันหล่นใส่หัว ผมกระจุกนี้เลยเป็นแบบนี้ตลอด ไม่หาย”
“แล้วมันไม่งอกใหม่เหรอ”
“ก็ยาวใหม่ก็เป็นแบบนี้ หมอบอกว่าเม็ดสีตรงนี้เซลล์มันเปลี่ยนถาวรเลย แต่หมอบอกไม่เป็นไรไม่มีอันตราย”
“จริงเหรอ เช็คดีรึยัง เป็นมะเร็งรึป่าว”
สายตาบ่งบอกว่าไม่คาดคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เขาหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วเอื้อมมือออกมาแกล้งทำท่าทางตีสั่งสอนเธอ
“อ้าว จริงๆนะ เช็คดีรึยัง”
“ดีแล้วเซ่ ปกติดีทุกอย่าง”
“แน่ใจนะ”
“เอ้ะ แน่ใจสิครับ” เขาเน้นน้ำเสียงประชดประชัน สีหน้าบอกไม่ถูกว่าแปลกใจ เล่นมุก หรือรำคาญกันแน่
“อ้อ” เธอพยักหน้า “ดีแล้วค่ะ รำคาญแอร์มั้ยคะ”
“หา.. เปล่า เปล่า” เขาส่ายหน้าน้อยๆแล้วหัวเราะ “งงเฉยๆว่า... อืม ไม่มีไรหรอก ช่างมันเหอะ” ปากกาในมือเริ่มควงพาดไปตามนิ้วมือทั้งสี่อีกครั้ง
“ว่าแอร์เพิ่งเลิกกะแฟน”
เขาหัวเราะกลบเกลื่อน ยังหัวเราะต่อไป เสียงหัวเราะค่อยๆเจื่อนลง แต่เขายังยิ้มไปเรื่อยๆ
“เมื่อวานแอร์ไปงานศพเพื่อนมา”
เขาหยุดยิ้ม “เพื่อนเป็นอะไรครับ”
“ตายค่ะ”
แล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมาในบัดดล “ตายเพราะอะไรล่ะครับ”
“เส้นเลือดในสมองแตกค่ะ”
เขาหยุดหัวเราะ แล้วกลับเข้าสู่ภาวะหน้าตาปกติ “หา ... เพื่อนอายุเท่าไหร่กันถึงเส้นเลือดในสมองแตก”
“ยี่สิบสอง เท่าแอร์”
“เฮ่ย เป็นได้ยังไง เด็กๆเนี่ยนะ”
“อื้ม...ใช่ ไม่รู้สิ ชีวิตคนเรามันสั้นนะ ดังนั้นอยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
เขาพยักหน้ารับ
“จริงๆนะคะ”
“ใช่ๆ เห็นด้วย” เขาพยักหน้าไปเรื่อยๆ “... เห็นด้วย”
เธอจ้องหน้าเขา เขาก้มลงมองปากกาในมืออีกครั้งเมื่อเห็นว่าบทสนทนาไม่มีทางไปต่อ แต่ในชั่วครู่ต่อมาก็อดเงยขึ้นมามองเธอไม่ได้ เธอยิ้ม แล้วพูด “จริงๆนะ อยากทำอะไรก็รีบทำซะ พรุ่งนี้เราอาจจะตายก็ได้”
“ก็จริง” เขายิ้ม “ถ้างั้นอยากทำอะไรล่ะ”
“แต่โศกนาฏกรรมอยู่ที่ว่า พรุ่งนี้จะไม่ใช่วันตายของเรา ดังนั้นเราต้องอยู่รับผิดชอบผลของการกระทำ”
“ถูกอีกครับ” เขาหัวเราะ
“ปีใหม่ไปเที่ยวไหนคะ”
“เหอะ” เขาส่ายหน้า “ไม่ไปหรอก กรุงเทพนี่ล่ะ”
“อ่าว ไม่ออกต่างจังหวัดเหรอ ได้หยุดกี่วันคะ”
“เนี่ย วันนี้กะเคลียร์งานวันสุดท้าย” เขาก้มลงมองกระดาษตรงหน้าเป็นสัญญาณให้รู้ว่า นี่แหละงาน “แล้วก็ได้หยุดถึงวันศุกร์โน่น”
“ก็หยุดตั้งหลายวัน ไม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดล่ะ”
“ไม่เอา” เขาทำหน้าตาปฏิเสธเต็มขั้น “เบื่อ แย่งคนอื่นเที่ยว”
“แล้วเพื่อนๆล่ะคะ”
“ไปเที่ยวกันหมดแล้ว เนี่ยอยู่คนเดียว”
“อ่าว แล้วไม่ตามเค้าไปเที่ยวด้วยล่ะ”
“จริงๆก็อยู่บ้านเกือบทุกปีแหละปีใหม่ ที่บ้านขอไว้ ต้องสวดมนตร์ไหว้พระคืนปีใหม่ วันเกิดพี่พอดี”
“โม้รึเปล่า” เธอไม่เชื่อจริงๆนั่นแหละ ไม่ได้ประชด
“อ้าว จริงๆ วันเกิด” เขาย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอยังลังเล “จริงๆ”
เธอยิ้ม คราวนี้เชื่อแล้ว “แล้วปีนี้กี่ขวบแล้วล่ะคะ”
“พูดแล้วก็แก่ แอร์ยี่สิบสองใช่มั้ย” เธอพยักหน้ารับ “พี่ยี่สิบเก้าแล้วว่ะ เฮ่ย แก่จริงๆด้วย เรานี่เด็กเนอะ”
“ผมหงอกแล้วนี่คะ”
เขาหัวเราะร่า เอียงคอเล็กน้อย แล้วพิศมองเธออีกครั้ง การมองครั้งนี้ต่างไปจากเดิม เธอไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไร และต่างออกไปเช่นไร รู้เพียงแต่ว่า แตกต่างแน่ๆ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่เขายิ้ม เธออยากยิ้มกลับให้นานกว่าเขาอีกสิบเท่า เธอเพิ่งเลิกกะแฟน ใช่แล้ว และเธอก็ชอบเขา ไม่มีอะไรผิดแปลก เธออาจจะทำตัวแผลงๆไปบ้าง แต่ไม่มีอะไรผิดแปลก หรือเสียหาย เธอชอบเขา และเธอยังเด็ก และเธอมีอิสระที่จะหว่านเสน่ห์หรือถูกหว่านเสน่ห์ เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือก อย่างน้อยที่สุดคือ เธอมีสิทธิ์ที่จะคุยสนุกๆกับผู้ชายคนไหนก็ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ นี่คือเทศกาลปีใหม่
“แล้วเราล่ะ ไม่มีแพลนไปไหนเหรอ” เขาโน้มตัวเข้ามา วางปากกา แล้วท้าวแขนสองข้างลงบนโต๊ะ
“ไม่มีค่ะ เนี่ยแหละ อยู่กรุงเทพ ไปไหนไม่ได้หรอก เดี๋ยวไม่มีคนให้ข้าวเจ้าหมากิน”
“เอ้า เหรอ ที่บ้านพี่ก็เลี้ยงหมานะ แต่พี่ไม่ได้เป็นคนให้อาหาร”
“เจ้าหมาชอบกินข้าวคลุกน้ำตาล”
“อะไรนะ ข้าวคลุกน้ำปลา?”
“ข้าว..” เธอพูดให้ดังขึ้น “คลุกน้ำตาล”
เขาหัวเราะแบบไม่เชื่อตัวเอง พลางใช้มือเสยผมขึ้นสองสามที “พี่ชอบคุยกะเราว่ะ ไป ไปเที่ยวกันเถอะ”
เธอมองกลับ ไม่ตอบโต้ จริงๆคงเป็นเพราะจนปัญญาไม่รู้จะตอบโต้มุกนี้ยังไง
“ไป ไปเที่ยวกัน” เขาพยักหน้าเชิญชวน ตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบอย่างจริงจัง
“ไปไหน” เธอเลิกคิ้วมองเขา
“ไม่รู้ ไปไหนก็ได้ หาไรทำด้วยกัน ไป ไปเที่ยวกัน”
“แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน”
เขาพยายามกลั้นหัวเราะ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก “ดูเราเครียดๆนะ” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วกอดอก “ไป ไปกะพี่ ไปหาไรทำด้วยกันดีกว่า”
“ป่าว แอร์ไม่ได้เครียด หลังปีใหม่แอร์ก็ออกแล้ว”
“อ้าว ออก ลาออกอ่ะนะ” เธอพยักหน้ารับ “ทำไมล่ะ”
“ได้งานใหม่”
“ที่?”
“การบินไทยค่ะ”
“เป็นแอร์เหรอ”
“อ่าฮะ”
“ดีๆ ดีจัง ดีใจด้วย อย่างนี้ก็เป็นแอร์สมชื่อ” เขายิ้มร่า แต่เมื่อเห็นเธอยิ้มรับเจื่อนๆจึงรีบกลับลำอธิบายต่อ “แอร์ได้เป็นแอร์ไง ...แอร์” แต่เธอก็ยิ้มเจื่อนๆต่อไป “มุกนี้พลาดไปแล้ว”
“ป่าว ป่าวค่ะ เข้าใจ” เธอแก้ตัว “แค่ว่าไม่รู้ว่าจะทำรอดรึป่าว” เธอจำเป็นต้องทำให้รอด เพราะทุกคนต้องก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่รู้จุดหมายแน่ชัด ถึงอย่างไรขาก็ต้องก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังไม่ได้ เพราะผิดหลักธรรมชาติ ส่วนจะเปลี่ยนเส้นทางก็ยังไม่ได้ เพราะตอนนี้ทางปูลาดรอเธออยู่แค่ทางเดียว ครั้นจะปูทางอื่นเองก็เหนื่อยอีกหลายตลบ ทางที่รอนี่แหละที่ดูจะง่ายที่สุดในขณะนี้
“อ่าว รอดสิ ทำไมจะไม่ล่ะ อุตส่าห์เข้าได้ ได้เป็นนางฟ้า ดีใจด้วย อืม... แต่ก็น่าเสียดาย ก็จะไม่ได้เจอแอร์แล้วสิ”
เธอมองเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาว่า “พี่โสดรึเปล่า”
เขาย่นหน้าผาก แล้วพูดเคล้าเสียงหัวเราะ “โสดสนิท เราล่ะโสดจริงรึเปล่า”
“แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน”
“แต่โสดใช่มั้ย” เขาย้ำ
“ก็เพิ่งเลิกกะแฟน”
“งั้นไปเที่ยวกัน”
“ไปไหน” เธอว่า
“ไม่รู้ หาไรทำด้วยกัน เที่ยวในเมืองก็ได้ หรือจะไปตลาดน้ำ เคยไปตลาดน้ำมั้ย”
“พี่เบนโสดจริงนะ”
เขาโน้มตัวเข้าหาเธออีกครั้ง ท้าวแขน แล้วจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของเธอ ปากพูดเสียงใสชัดเจน “โสดสิคะ”
“แฟนแอร์ไปเรียนออสเตรเลีย ยังไม่พ้นเดือนแรกเลย เลิก”
“ใครบอกเลิก” เขาถาม
“เค้า”
“คบมากี่ปี”
“เดือนนึง”
“เดือนนึง?”
“บวกกับอีกเจ็ดวันก่อนหน้าเค้าไป”
“เจ็ดวัน!!!” เขาขึ้นเสียงสูง
เธอทำตาโต พยักหน้ารับ “เดือนนึงกับอีกเจ็ดวัน ทำไมเหรอ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
เขาขำแบบไม่เชื่อตัวเอง แล้วพิศมองเธอให้นานขึ้น เธอไม่อาจอ่านสายตาของเขาได้หรอก และไม่พยายามทำด้วย เขาเป็นผู้ชายตัวเล็กที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมากนัก แต่มีบางสิ่งในตัวเขาที่ทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่เขาจ้องมองมา หลักการวิเคราะห์ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพทั้งหลายคงใช้อธิบายตัวเขาได้บ้าง แต่จะคิดมากทำไมให้มากความ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือ ผู้ชายที่เธอชอบตรงหน้าชวนเธอไปเที่ยว... ตอนปีใหม่ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ
“ตกลงไปเที่ยวกะพี่นะ”
“จะไปไหน”
“ไว้ค่อยคุยกันก็ได้ ขอเบอร์ไว้ก่อนละกัน” เขาขยับตัว แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“พี่เคยเดินถอยหลังมั้ย”
“หา” เขาชะงัก ในมือถือโทรศัพท์ไว้ “ว่าไงนะ”
“เดินถอยหลัง”
“เดินถอยหลัง” เขาพูดตาม
“ใช่ มีคนอินเดียเดินถอยหลังได้ไกลที่สุดในโลก ร้อยกว่าโลได้”
“คิดยังไงเดินถอยหลัง”
“ลงกินเนสบุ๊คด้วยนะ คนที่เดินถอยหลังได้ไกลที่สุดในโลก”
“คิดยังไงเดินถอยหลัง”
“คิดยังไงเดินไปข้างหน้าตลอดเวลาแล้วจะเดินถอยหลังไม่ได้”
“แล้วคิดยังไงต้องเดินถอยหลัง”
“แล้วทำไมจะไม่คิดล่ะ”
“มา ขอเบอร์พี่หน่อย”
“เดินถอยหลังก็ได้วิวต่างออกไป คงแปลกดี.... คงตื้นเต้นน่าดู”
เขาวางโทรศัพท์บนโต๊ะ แล้วเอนหลังพิงพนัก “แอร์เป็นคนแปลกนะ มีคนเคยบอกมั้ยว่าแปลก”
“ประจำ”
“ทำไม”
“ไม่รู้เค้า ก็เค้าว่าแปลกแอร์ก็คงแปลกจริงๆ”
“ป่าวๆ” เขาเขยิบตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง ข้อศอกท้าวบนโต๊ะ “ทำไมถึงทำตัวแปลก”
“เป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด”
“งั้นขอเบอร์หน่อย” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เธออีกนิด สีหน้าจริงจัง มือหนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“เคยคิดว่าตัวเองบ้า แต่คนบ้าคงไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองบ้า”
“แปลกแต่น่ารักดี”
“แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองแปลก ดังนั้นก็คงจะแปลกจริงๆ”
“ขอเบอร์หน่อย”
“แอร์เพิ่งเลิกกะแฟน”
“ขี้บ่นมั้ยเราน่ะ”
“ไม่บ่น แต่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“ขี้บ่น” เขาพยักหน้าน้อยๆ แล้วย่นจมูก “ขี้บ่น”
“มือถือแอร์จอเสีย มืดสนิทเลย”
“อ่าว แล้วเอาไปซ่อมรึยัง”
“โทรได้ปกติ แต่มองไม่เห็นอะไรเลย”
“แล้วทำไมไม่เอาไปซ่อมล่ะคะ”
“พยายามเคาะๆให้มันหายอยู่ ปกติเคาะสองสามทีจะหาย แต่นี่มืดมาสองวันแล้ว”
“พี่ว่าซื้อใหม่เลยดีกว่า ปีใหม่ทั้งที มา... เดี๋ยวพี่ไปดูเป็นเพื่อนก็ได้”
“ซื้อใหม่เลยเหรอ จะดีเหรอ”
“ดีสิ ก็เดี๋ยวไปเที่ยวกัน แล้วไปเดินเลือกด้วยกันเลย เดี๋ยวพี่ช่วยเลือก”
“ต้องขอคิดก่อน”
“แต่ตอนนี้เครื่องเก่ายังรับสายได้ใช่มั้ยล่ะคะ”
“ลุ้นทุกครั้งที่รับ”
“งั้นขอเบอร์หน่อย” เขายิ้ม จ้องตาแป๋ว “เดี๋ยวพี่โทรหาเอง”
“ถ้าพรุ่งนี้ไม่หาย คงเอาไปซ่อมแล้วแหละ”
“ขอเบอร์หน่อย”
“ไม่ก็ซื้อใหม่เลย”
“ขี้บ่นจริงๆด้วย”
“ซื้อใหม่เลยก็ได้”
“ขี้บ่น”
“081- 803-1466”
เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอบ่อยนัก โดยปกติเธอสามารถเลี่ยงคำถามที่ไม่อยากเผชิญหน้าได้ง่ายๆ เพียงเปลี่ยนเรื่องโดยพูดสิ่งแรกที่โผล่ขึ้นมาในหัว ง่ายมาก ใช้ได้ผลเสมอ คนส่วนใหญ่มักงุนงง อ้ำอึ้ง ชะงัก หัวเราะ ไม่ก็ ผวาหนี แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด พวกเขามักต้องลืมคำถามเก่าไปในที่สุด แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เธอไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรู้ว่าเธออยากทำอะไร แต่เธอก็ไม่รู้ เธอแน่ใจว่าชอบเขา แต่เธอก็ไม่แน่ใจ เธออยากไปเที่ยวกับเขา แต่เธอก็ไม่อยากออกไปเที่ยวกับเขา เธออยากให้เบอร์เขา แต่เธอก็ไม่อยากให้เบอร์ ทุกอย่างอยู่ก้ำกึ่งวิ่งกระโดดสลับฝั่งซ้าย ขวา ซ้าย ขวา เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบังเอิญเป็นผู้ชายดึงดันไม่ยอมแพ้มากเกินไป หรือเธอบังเอิญใจแข็งน้อยเกินไปกันแน่
เขายิ้มกว้าง “ก็แค่นี้แหละ” แววตายังจับจ้องเธอจนเหมือนจะมองทะลุความรู้สึกทุกอนุภาคที่กำลังวิ่งพล่านในตัว ยิ่งเขามองมา เธอยิ่งต้องการมองกลับ เธอภาวนาให้ตัวเองสามารถมองเขาได้นานกว่านี้อีกนิด อีกนิด แต่สุดท้ายก็ทนสบสายตาไม่ได้
“แอร์ว่าจะลองเดินถอยหลังซักหน่อยว่างๆ”
“ไว้พี่โทรหาเรา แล้วออกมาเที่ยวเล่นกัน”
“จริงๆเดินถอยหลังขัดหลักธรรมชาติ คงเดินลำบากอยู่”
“แปลกดี” คล้ายจะขำกับตัวเองมากกว่า เขาหยิบปากกาขึ้นมาแล้วควงเล่น ก้มหน้าอยู่ครึ่งวินาที แล้วเงยขึ้นมองเธอ “แปลก”
“พี่เบนมีแฟนมากี่คนคะที่ผ่านมา”
“แปลก แต่จริง” เขาหัวเราะดังขึ้นอีก “แอร์ล่ะมีแฟนมาแล้วกี่คน”
“หนึ่ง”
“หนึ่งเดือนกับอีกเจ็ดวัน”
“ใช่”
“รู้จักกันนานเท่าไหร่เหรอก่อนเป็นแฟนกัน”
“เจ็ดวัน”
เสียงหัวเราะครั้งนี้ก้ำกึ่งกันระหว่างการประชดประชัน กับความไม่อยากเชื่อ “เจ็ดวัน แสดงว่าเหงามานานใช่มั้ย”
“พี่เบนมีแฟนกี่คน”
“ลองเดาดูสิ”
“เจ็ด”
เขาส่ายหน้า มองที่ปากกา แล้วยิ้ม “แฟนกี่คนเหรอ.... อืม ... พวกวันไนท์แสตนไม่นับนะ ...” เขาหมุนปากด้วยมือสองมือ “อืม... สิบหกคน”
เธอไม่แปลกใจที่เขาจะใช้ผู้หญิงเปลืองขนาดนั้น แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็มองออกได้ไม่ยากว่า เขาเป็นผู้ชายประเภทที่รู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และต้องการอะไร สายตาที่เปี่ยมด้วยลูกเล่นแพรวพราว มองจ๋องๆจนคุณใจอ่อน จ้องอย่างแข็งกร้าวจนคุณเกรง แววที่เป็นประกายบ่งบอกว่าเขามีพลังงานเหลือล้น ... เหลือล้นสำหรับกิจกรรมใดๆก็ตาม
“หนึ่ง ต่อ สิบหก” เธอเปรย
“พี่เจ้าชู้มั้ย”
“ไม่เห็นต้องถาม” เธอยิ้มกว้าง มือท้าวคาง และนี่ไม่ใช่การแสดงอาการประชดเสียดสี
“หนึ่งเหรอ หนึ่งเองเหรอ” เขายิ้มหยอก
“จะแข่งกันเหรอ”
“เปล่า เปล่า” น้ำเสียงของเขาปฏิเสธแบบไม่เต็มใจ “แต่เห็นแอร์บอกว่าไม่เศร้าเท่าครั้งแรก พี่ก็เลยสงสัย”
“เศร้าอะไร” เธอตามไม่ทัน
“เศร้าที่อกหักไง”
“อ้อ.... จริงๆตานี่โทรมาบอกเลิกเมื่อสี่เดือนที่แล้ว นั่นคือเศร้าครั้งแรก แล้วเมื่อวานก็ไปเจอกัน เค้ากลับมาแล้ว ขอคืนดี แต่คราวนี้เลิกจริง... รอบสอง”
“อ้อ” เขาพยักหน้า พยายามทำความเข้าใจตาม “แล้ว... ที่มาคุยกะพี่นี่เพราะจะหาทางลืมตานี่ให้ได้รึเปล่า”
โลกภายนอกไม่มีตัวตนอีกแล้วในเวลานี้ ทุกอย่างหยุดนิ่งยกเว้นบนสนทนาระหว่างเธอกับเขา เธอเพ่งมองเขาอยู่อีกพักใหญ่ ให้ตายสิ เธออยากจะสั่นหัวให้กับความงี่เง่าของเธอเสียจริงๆ เธอเกิดชอบเขาขึ้นมาจริงจังซะแล้ว เขาดูดี โดดเด่น ที่สำคัญคือเขาไม่กลัวเธอ และที่เยี่ยมที่สุดคือ เขาไม่อ้อมค้อม สัญญาณทุกอย่างล้วนบ่งบอกว่า เธอมีปัญหาใหญ่แน่ๆ เธอไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยวกับเขาเลยตั้งแต่แรก แค่อยากเข้ามาคุยด้วยแก้เหงาสนุกๆ แต่สุดท้ายเธอก็ลงเอยให้เบอร์เขาไป จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคุยถึงอดีตชีวิตรัก เธอแค่อยากบอกว่าเธอเพิ่งเลิกกะแฟน ไม่ได้อยากเล่าให้ฟังเสียหน่อย แต่เธอก็ลงเอยเล่าให้ฟังเกือบหมดเปลือก แหม เธอเกือบจะถือไพ่เหนือกว่าอยู่แล้วเชียว เกือบแล้วเชียว ไฉนของเล่นฆ่าเวลากลายเป็นคนเล่นเธอกลับได้เล่า
“ชื่อกอล์ฟ”
“หา...ว่าไงนะคะ” เขายืดตัวขึ้น แล้วตั้งใจฟัง
“ตานี่ ชื่อ กอล์ฟ” แล้วสุดท้ายเธอก็เล่าให้เขาฟังเสียหมดเปลือก เรียบร้อย
“อ้อ” เขาเออออพยักหน้ารับ “ตานี่ชื่อกอล์ฟ”
“ไม่เปลี่ยนใจเหรอ เปลี่ยนใจยังทันนะคะ”
“เปลี่ยนใจอะไร” เขาวางศอกไว้บนโต๊ะ แล้วเริ่มควงปากกา สายตามุ่งตรงแน่วแน่มาที่เธอ “ไม่เปลี่ยนใจหรอก”
“ไม่กลัวแอร์เหรอ แอร์ต๊องนะ”
“แล้วกลัวพี่มั้ยล่ะ”
เป็นคำถามที่ดีทีเดียว เธอต๊อง งี่เง่า แต่ผู้ชายคนนี้ถือไพ่เหนือชั้นกว่าความงี่เง่าของเธอมากนัก เขามีครบทุกอย่าง แววตา รอยยิ้ม คารม อำนาจ แรงดึงดูด ทุกอย่างที่จะทำให้เธอหัวปักหัวปำ อาการขาดความยับยั้งชั่งใจ และทัศนคติคิดสั้นๆแบบเรื้อรังของเธอ บวกกับฝีปากเย้ายวน และความดื้อดึงไม่ยอมแพ้ของเขา เท่ากับส่วนผสมหายนะชั้นเลิศดีๆนี่เอง
“แอร์ต้องกลับไปทำงานแล้ว”
“เย็นนี้ไปกินข้าวกะพี่นะ”
“เย็นนี้ว่าจะลองเดินถอยหลังซะหน่อย”
“ก็ไปกินข้าวกะพี่ก่อน”
“เพื่อนแอร์เพิ่งตาย”
“แล้วแอร์ไม่ต้องกินข้าวเย็นเหรอคะ”
“เค้าเริ่มสวดทุ่มนึง”
“แล้วแอร์ไม่ต้องกินข้าวเย็นเหรอคะ”
“ปกติแอร์กินคนเดียว”
“ก็วันนี้แอร์ไปกินข้าวเย็นกะพี่ก่อน แล้วค่อยไปงาน”
“เค้ามีอาหารให้กินในงาน”
“แล้วแอร์จะไปยังไงล่ะคะ”
“นั่งรถไป”
“โอเค งั้นพี่ขอไปส่งเราละกัน โอเคนะ”
“แอร์ต้องกลับไปทำงานแล้ว” เธอพรวดพราดลุกขึ้น และกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวแอร์ ....” เขาลุกขึ้นตาม ยกมือหยุดเธอไว้ เธอชะงัก หันกลับไปมอง “คุยกะเราแล้วสนุกดี ไว้เย็นนี้คุยใหม่นะ” เพียงน้ำเสียงอ้อนออดประกอบสายตาจ๋องๆเหมือนเด็กน้อยก็มากเกินพอสำหรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
บ่ายวันเสาร์สุดท้ายของปี 2550 ไม่มีอะไรพิเศษ ยังไม่มีใครใส่ใจอย่างจริงจังว่าท้องฟ้าข้างบนสีอะไร ทุกคนต่างใส่ใจมองหนทางเบื้องหน้า แล้วก้าวเดิน พวกเขาคำนวนระยะห่างระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อมรายรอบ แล้วก้าวเท้าไปในทิศทางเดียวกับสายตา บางคนกวาดสายตาสังเกตซ้ายขวาของตน คำนวนความเป็นไปได้ต่างๆนานา แล้วเคลื่อนที่ด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะปลอดภัย ตามหลักธรรมชาติ มนุษย์ต้องเดินหน้า แล้วทิ้งสิ่งที่เคยพบเห็นไว้เบื้องหลัง ก้าวไปข้างหน้า แล้วทิ้งสิ่งที่ผ่านไปแล้วไว้ข้างหลัง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง ทิศทางของสายตาควรเป็นทางเดียวกับทิศทางที่ก้าวเดิน พวกเขาไม่เดินถอยหลังเพราะจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า
“ลองเดินถอยหลังดูมั่งสิคะ น่าจะสนุกดี” เธอเดินถอยห่างออกจากโต๊ะโลหะผิววาวเหลี่ยมคม ขณะที่เขาหัวเราะเสียงดัง พลางใช้มือทั้งสองเสยผมขึ้นแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย สายตามองตามผู้หญิงที่กำลังก้าวถอยหลังช้าๆ ทีละก้าวสั้นๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา สลับไปเรื่อยๆ
ความคิดเห็น