คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทางนรีเวชกรรม |
การผ่าตัดทางนรีเวชกรรม ประกอบด้วยการผ่าตัดเปิดทางหน้าท้อง การผ่าตัดทางหน้าท้องโดยการส่องกล้องและการผ่าตัดทางช่องคลอด ถ้าผู้ป่วยได้รับการเตรียมตัวและปฏิบัติตัวได้ถูกต้องทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด จะช่วยให้ปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อนและสามารถฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้รวดเร็ว ส่วนใหญ่แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านในเวลา 3 - 5 วันหรือไม่เกิน 7 วัน นับจากวันผ่าตัด |
|
การปฏิบัติตัวและการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด |
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ การตรวจเลือดป ปัสสาวะ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจคลื่นหัวใจและอื่นๆ ตามที่แพทย์จะเห็นสมควร เพื่อประเมินความพร้อมของสภาพร่างกายสำหรับการผ่าตัด |
ถ้ากินหมากและสูบบุหรี่ให้งดอย่างน้อย 1 วันก่อนการผ่าตัด |
ฝึกหัดสูดลมหายใจเข้า - ออกยาวๆ ลึกๆ |
ฝึกหัดไอเพื่อขับเสมหะออกจากลำคอ โดยสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด ใช้มือประคองหน้าท้องไว้แล้วไอออกมาให้เต็มที่ |
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มื้อเย็นก่อนวันผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย |
งดน้ำและอาหารทุกชนิดทางปาก ก่อนการผ่าตัด 8 - 12 ชั่วโมง ปกติให้เริ่มงดตั้งแต่ 24.00 น. ของคืนก่อนวันผ่าตัดเพื่อให้กระเพาะอาหารว่าง ป้องกันการอาเจียนหรือสำลักเศษอาหารในระหว่างการดมยาสลบ หรือภายหลังการผ่าตัด |
รักษาความสะอาดของร่างกาย ได้แก่ |
ความสะอาดทั่วไปโดยอาบน้ำ สระผม รักษาช่องปากและฟัน ล้างสีทาเล็บออกและตัดเล็บให้สั้น |
ความสะอาดเฉพาะที่ คืนวันก่อนผ่าตัดและเช้าวันผ่าตัด เจ้าหน้าที่จะเตรียมทำความสะอาดให้ดังนี้ |
* เตรียมผิวหนัง บริเวณที่จะทำผ่าตัดโดยฟอกสบู่และโกนขนออก |
* ส่วนล้างช่องคลอด (เฉพาะบางราย) เพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด ยกเว้นขณะมีระดุหรือมีเลือดออกทางช่องคลอด |
* สวนอุจจาระ เพื่อลดจำนวนแบคทีเรียในลำไส้และป้องกันอาการท้องอืดหลังการผ่าตัด |
การพักผ่อน ควรพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 - 8 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลีย แพทย์อาจพิจารณาให้ยานอนหลับ |
ถอดเครื่องประดับและของมีค่าออกจากตัว เพราะอาจเป็นสื่อนำไฟฟ้าขณะทำผ่าตัดและก่อนไปห้องผ่าตัดต้องถอดฟันปลอม หรือกายอุปกรณ์ทุกชนิดให้หมด เช่น แว่นตา คอนแทคเลนส์ เครื่องช่วงฟัง เป็นต้น |
ถ่ายปัสสาวะก่อนไปห้องผ่าตัด |
การปฏิบัติตัวภายหลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก |
หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกาย เช่น วัดอุณหภูมิ ตรวจการหายใจ ตรวจชีพจร วัดความดันโลหิต และอยู่ในการดูแลของแพทย์หรือพยาบาลวิสัญญีทุกๆ 15 - 30 นาที ในห้องพักฟื้นนานประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง จนอาการเป็นปกติจึงส่งกลับตึกรักษาพยาบาล |
เมื่อถึงตึกรักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยนอกพักบนเตียง 8 - 12 ชั่วโมง อาจหนุนหมอนหรือไม่หนุนหมอน ขึ้นอยู่กับอาการและการให้ยาสลบขณะทำการผ่าตัด และพยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ |
งดน้ำและอาหารทุกชนิดทางปากต่อจนกว่าลำไส้จะเริ่มทำงาน โดยแพทย์จะให้สารน้ำทดแทนประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง |
สูดลมหายใจเข้า - ออก ยาวๆ ลึกๆ (ตามที่ได้ฝึกไว้ก่อนการผ่าตัด) เพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดี |
ถ้ามีเสมหะพยายามขับออกด้วยการไอ (ตามที่ได้ฝึกไว้ก่อนการผ่าตัด) เพื่อป้องกันการอุดตันของทางเดินหายใจ |
ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ให้นอนตะแคงหน้าไปข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อป้องกันการสำลักเศษอาหาร |
ถ้าปวดแผลมากให้บอกพยาบาลซึ่งจะได้รับยาบรรเทาอาการปวด |
การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด ภายหลัง 24 ชั่วโมง |
ลุกนั่งบนเตียง เมื่อไม่มีอาการเวียนศรีษะให้ลงนั่งข้างเตียง และเดินรอบๆ เตียง |
เมื่อแพทย์เริ่มให้รับประทานอาหาร จะเริ่มด้วยการจิบน้ำ อาหารเหลว เช่น น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำผลไม้และโจ๊กตามลำดับ วันต่อไปเมื่อระบบการย่อยอาหารทำงานดีขึ้นจะเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม และข้าวสวยมื้อต่อไป อาหารประเภทนมสดควรรับประทาน เมื่อกลับไปพักฟื้นที่บ้าน เพราะอาจทำให้ท้องอืดได้ |
ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละประมาณ 2,000 - 3,000 ซี.ซี. หรือประมาณ 8 - 12 แก้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีสายสวนปัสสาวะ เพื่อขับสิ่งคั่งค้างออก |
อาจมีเลือดเก่าๆ หรือสิ่งคัดหลั่งที่คั่งค้างออกทางช่องคลอดให้ชำระล้างด้วยน้ำและสบู่ ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาดและใส่ผ้าอนามัยไว้ |
เมื่อต้องการเข้าห้องน้ำด้วยตนเองควรระวังการลื่นหกล้ม เมื่อรู้สึกหน้ามืดให้หาที่จับยึดแล้วค่อยๆ นั่งลงทันที |
หลังผ่าตัดวันที่ 3 ผู้ป่วยจะได้รับการทำความสะอาดแผลและปิดทับด้วยพลาสเตอร์ใสกันน้ำ เพื่อให้อาบน้ำได้ ปกติแผลจะแห้งและติดภายใน 5 - 7 วัน |
การปฏิบัติตัวเช่นเดียวกัน แต่มีข้อปฏิบัติเพิ่มเติม ดังนี้ |
ใส่สายสวนปัสสาวะนานประมาณ 3 - 5 วัน ควรหิ้วถุงปัสสาวะให้ต่ำกว่าระดับสะโพก เพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับของปัสสาวะเข้ากระเพาะปัสสาวะ |
พยาบาลจะทำความสะอาดแผลฝีเย็บด้วยน้ำสะอาดผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และอบไฟให้ทุกเช้าและเย็น จนกว่าแผลจะแห้งและติดดี เมื่อผู้ป่วยเข้าห้งอน้ำได้เองให้ทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่โดยราดน้ำจากด้านหน้าไปด้านหลัง และซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาดทุกครั้งที่อุจจาระ ปัสสาวะ หรือมีสิ่งคัดหลั่งออกทางช่องคลอด |
ไม่ควรให้ท้องผูกหรือเบ่งอุจจาระแรงเกินไป |
ฝึกบริหารกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด โดยการขมิบช่องคลอด อย่างน้อยวันละ 200 -300 ครั้ง |
เมื่อถอดสายสวนปัสสาวะออกต้องพยายามปัสสาวะเองถ้าปัสสาวะได้ปกติ แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ |
การปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน |
การพักผ่อนและการทำงาน ผู้ป่วยควรหยุดพักการทำงาน ประมาณ 30 - 45 วัน แต่สามารถทำกิจวัตรหรืองานบ้านเบาๆได้ ไม่ควรยกของหนัก |
อาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างร่ายกายและการหายของแผลและดื่มน้ำให้เพียงพอ |
ยา ควรรับประทานยาที่จัดให้ตามขนาดและเวลาที่กำหนดเท่านั้น |
การรักษาความสะอาดและการดูแลแผล สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ และซับบริเวณแผลให้แห้งด้วยผ้าสะอาด |
ป้องกันการซึมของน้ำ เมื่อครบ 10 วัน นับตั้งแตวันผ่าตัด ให้แกะพลาสเตอร์ออกได้ |
การมีเพศสัมพันธ์ ควรงดหลังการผ่าตัด 4 - 6 สัปดาห์ |
อาการผิดปกติที่ควรสังเกต ได้แก่ มีออาการปวดบริเวณท้องน้อย มีสิ่งคัดหลั่งเป็นหนองหรือน้ำออกมาทางแผลหรือช่องคลอด มีกลิ่นเหม็น แผลมีลักษณะบวม แดง ร้อน มีไข้สูงให้รีบมาพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอจนถึงวันนัด |
มาตรวจตามนัดถ้าอาการทั่วไปปกติดี เพื่อตรวจดูการกลับคืนสู่สภาพปกติและติดตามดูความผิดปกติอื่นๆ |
การปฏิบัติตัวในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
หลังคลอด 2 ชั่วโมงแรกเป็นระยะที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ การตกเลือดหลังคลอดได้
ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
คุณแม่สามารถดูแลตนเองเพื่อป้องกันการเกิดภาวะ
ตกเลือดหลังคลอดได้ดังนี้
การปฏิบัติตัวในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
1. สังเกตการหดรัดตัวของมดลูก
ปกติ มดลูกจะแข็งกลม ตัวมดลูกนุ่มและใหญ่
ควรคลึงกระตุ้นโดยวางมือข้างที่ถนัด บริเวณยอดมดลูกและคลึงเบาๆด้วยปลายนิ้ว จนกว่ามดลูก จะหดรัดตัวดี
2. สังเกตจำนวนเลือดที่ออกจากช่องคลอด
ถ้ารู้สึกว่ามีเลือดออกจากช่องคลอดมากให้ แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ
3. สังเกตอาการปวดบริเวณแผลฝีเย็บและอาการ ปวดมดลูกซึ่งเกิดจาก การหดรัดตัวของมดลูก
คุณแม่สามารถขอยาแก้ปวดรับประทานได้ ทุก 4-6 ชั่วโมง
ถ้าบริเวณแผลฝีเย็บมีอาการ ปวดมาก, บวม ตึง และขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจเกิดอาการบวมเลือดคุณแม่ต้องรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที
4. คุณแม่ควรพยายามถ่ายปัสสาวะทุก 3-4 ชั่วโมง
เพราะถ้ากระเพาะปัสสาวะเต็ม จะดันให้มดลูก ลอยตัวสูงขึ้นและหดรัดตัวไม่ดี
5. ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและแผล
ฝีเย็บ
โดยใช้น้ำสะอาด และทำความสะอาดทุกครั้ง
ที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือเปลี่ยนผ้าอนามัย โดยล้างจากข้างหน้าไปข้างหลังเพื่อป้องกันการปนเปื้อน จากทวารหนักและซับแผลให้แห้ง
6. การใช้ผ้าอนามัย
ผ้าอนามัย ที่ใช้ในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จะเป็นผ้าอนามัยแบบห่วง
6.1 ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกครั้งเมื่อเลือดชุ่ม หรืออย่างน้อย 4 ผืน ต่อวัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ที่แผล
ฝีเย็บ
6.2 การจับผ้าอนามัยและการใส่ผ้าอนามัย ไม่ควรจับต้องผ้าอนามัยบริเวณที่จะสัมผัสกับอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
6.3 สายผ้าอนามัย ให้นำห่วงที่เลื่อนไม่ได้ไว้ด้านหน้า ห่วงที่เลื่อนได้ไว้ด้านหลัง
7. การนอนพักผ่อนบนเตียง
ควรนอนพักบนเตียง 6- 8 ชั่วโมง เพราะมารดาจะเหน็ดเหนื่อยและเสียพลังงาน หลังจากนั้นควรลุกจากเตียง เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูสู่ภาวะปกติได้เร็ว โดยก่อนลุกจากเตียงให้สังเกตอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดตาลาย ถ้ามีอาการดังกล่าวให้นอนพักบนเตียงต่อก่อน
ความคิดเห็น